รหัสลับวอยนิช
- 1. โลกเบี้ยวๆใบนี้มีภาษามากมายกว่า 3,000 ภาษาและมีตัวเขียนใช้ถึงกว่า100ภาษา ซึ่งแน่นอนว่า
ภาษาโบราณบางภาษายังไม่สามารถถอดความได้ การที่เรายังไม่สามารถถอดความอักขระโบราณเหล่านี้ได้
ก็ทาให้ความลับของอารยธรรมเจ้าของอักขระนั้นยังอยู่ในเงามืดของปริศนาตามไปด้วย
การถอดรหัสภาษาโบราณก็ไม่ได้ทากันง่ายๆเสียด้วยสิครับ
องค์ประกอบหนึ่งที่สาคัญในการเข้าใจภาษาโบราณที่ตายไปแล้วก็คือเราต้องมีภาษาที่ถอดความได้แล้วมาเปรียบเทียบ
แต่ถ้าไม่มีหลักฐานความสัมพันธ์กับภาษาใดๆเลยโอกาสที่จะถอดความภาษานั้นๆก็ดูจะริบหรี่เต็มที
หนึ่งในอักขระลึกลับที่ยังถอดความไม่ได้ในยุคใหม่ช่วง500 กว่าปีที่ผ่านมาก็มีให้พบเห็นอยู่เช่นกัน
ซึ่งก็คือตัวอักษรในตาราพิสดารที่จะนามาเสนอในครั้งนี้นี่เอง
นักวิชาการขนานนามเอกสารที่บันทึกข้อความปริศนาชุดนี้ว่า"ตาราของวอยนิช"(VoynichManuscript)
ตาราของวอยนิชนี้เป็นเอกสารที่แปลกประหลาดที่สุดชุดหนึ่งที่โลกรู้จัก
ด้วยความที่มันเป็นหนังสือเขียนด้วยลายมือที่ยังไม่มีใครอ่านออก
ที่ว่าอ่านไม่ออกไม่ใช่ว่าลายมือเจ้าของเอกสารชุ่ยจนอ่านไม่ออกนะครับแต่เป็นเพราะว่าภาษาที่เขียนนั้นไม่
สามารถเทียบได้กับภาษาใดๆในโลกเลยต่างหากเล่า
เอกสารชุดนี้มีขนาดประมาณ6 คูณ9 นิ้ว บรรจุจานวนหน้ามากมายถึง246 หน้า บ้างก็ว่าเดิมน่าจะเคยมีมากกว่า 262
- 2. หน้า บ้างก็ว่าอาจจะมากกว่า270หน้า แต่ที่พอจะสารวจคร่าวๆได้จากตาราฉบับนี้ก็คือ
มีหน้าที่เป็นภาพประกอบคาบรรยายอยู่ประมาณ 212 หน้าและหน้าที่มีแต่คาบรรยายล้วนๆอีก 33หน้า รวมเป็น 245
หน้า ส่วนหน้าสุดท้ายหรือหน้าที่246 นั้น นักวิชาการหลายท่านลงความเห็นตรงกันว่ามันน่าจะเขียนบางสิ่งบางอย่างที่
เปรียบเสมือนกุญแจ(Key) ในการไขรหัสลับของภาษาพิสดารในเล่มนี้เอาไว้
ตัว เล่มเป็นกระดาษที่ทาจากหนังลูกวัว
ภายในบันทึกข้อความภาษาประหลาดด้วยลายมือที่เชื่อว่าน่าจะเขียนด้วยปากกาขนนก
พร้อมภาพประกอบสีสันสดใสสวยงามเป็นอย่างยิ่งซึ่งจากรูปวาดในตาราเล่มนี้และหลักฐานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ก็พอจะทาให้ นักวิชาการส่วนหนึ่งพอจะระบุได้ว่าเอกสารชุดนี้น่าจะเก่าแก่อย่างดีก็เพียงแค่ 500 ถึง600 ปีเท่านั้น
เรื่องของ ความเป็นมานั้นสมควรย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี ค.ศ.1912 ก่อนเมื่อเจ้าของชื่อ "ตาราของวอยนิช"
- 3. นามวิลฟริดมิเชลวอยนิช(WilfridMichael Voynich) ซึ่งเป็นพ่อค้าหนังสือชาวโปแลนด์-อเมริกัน
ได้ค้นพบเอกสารเจ้าปัญหานี้โดยบังเอิญจากกองเอกสารโบราณจานวนมากในวิลลามอน-ดรากอน(Villa
Mondragone) เมืองฟรัสกาตี(Frascati) ใกล้กับกรุงโรม
วอย นิชทาการถ่ายสาเนาของเอกสารชุดนี้ส่งให้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาโบราณ
รวมทั้งผู้มีความสามารถและชานาญในด้านของการถอดรหัสลับร่วมไขข้อความภาษาปริศนาในตาราฉบับนี้
แต่ไม่มีใครเลยที่สามารถระบุได้ว่าภาษาที่ใช้นั้นเป็นภาษาอะไร
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1568 เราพอจะมีหลักฐานที่กล่าวว่ากษัตริย์รูดอล์ฟที่2(RudolphII) แห่งโบฮีเมีย
หนึ่งในกษัตริย์ที่ไม่ค่อยปกติของยุโรปในช่วงนั้น เคยครอบครองมันมาก่อน
มีเรื่องเล่าว่ากษัตริย์รูดอล์ฟทรงซื้อตาราภาษาประหลาดนี้มาจากใครคนหนึ่งซึ่งไม่มีบันทึกเอาไว้
ในราคาประมาณ 300 ดูคัตทองคา (Gold Ducats) ซึ่งประมาณเป็นเงินได้ 14,000 ดอลลาร์ ในช่วงนั้น
แต่ตาราบางเล่มก็กล่าวว่าราคาที่พระองค์ซื้อมานั้นคือประมาณ 600ดูคัตทองคา หรือถ้าตีเป็นเงินในช่วงนี้ก็คือประมาณ
60,000 ดอลลาร์เลยทีเดียวครับ
ที่ น่าสนใจก็คือในตาราพิสดารเล่มนี้มีจดหมายฉบับหนึ่งแนบมาด้วยเป็นจดหมายที่สื่อความว่า
ผู้ที่ริเริ่มเขียนข้อความด้วยภาษาประหลาดลงไปในตารานี้ก็คือนักปรัชญาชาวอังกฤษนามว่าโรเจอร์ เบคอน(Roger
Bacon) ที่มีบทบาทอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่13 บุคคลอีกท่านหนึ่งที่มีเอี่ยวด้วยก็คือ
ชาวอังกฤษที่มีความสามารถหลากหลายไม่ว่าจะเป็นนักสารวจโหราจารย์และยังเป็นผู้มีความสามารถทางเวทมนตร์
อีกด้วยเขาคือจอห์นดี (John Dee) สาเหตุที่จอห์นดี
เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของต้นฉบับลึกลับนี้ก็เพราะว่าเขาได้เข้ามาบรรยายที่กรุงปราก(Prague)กับเบคอนในช่วงเวลา
2 ปีก่อนเรื่องตาราพิศวงฉบับนี้จะเป็นที่รู้จัก
- 4. มี ผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมตรวจสอบตาราของวอยนิชฉบับนี้เสนอแนวคิดว่า มันอาจจะเป็นอักขระที่มีการเข้ารหัสลับเอาไว้
และต้องอาศัยการถอดรหัสออก แต่ก็เป็นไปได้สูงเช่นกันที่อักขระเหล่านี้จะเขียนด้วยภาษาใหม่ที่ไม่ได้ เข้ารหัส
หลังจากกษัตริย์รูดอล์ฟสิ้นพระชนม์ ตาราปริศนาเล่มนี้ก็เปลี่ยนมือจนสุดท้ายประมาณปี ค.ศ.1662
ก็ได้ตกมาเป็นสมบัติของมาร์ซี (Marci) อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยในกรุงปราก มาร์ซีได้ส่งจดหมายไปหาอธานาซิอุส
คีร์เชอร์ (Athanasius Kircher) ในปี ค.ศ.1666 เพื่อให้เขาช่วยตีความหมาย
ทาให้หลังจากนั้นต้นฉบับนี้จึงอยู่ในความดูแลของสถาบันที่คีร์เชอร์ทางานอยู่ จนกระทั่งมาถึงประมาณช่วงทศวรรษที่
1870 ตาราของวอยนิชที่ถูกลืมก็ได้ย้ายมารวมกับกองเอกสารโบราณจานวนมากในวิลลา มอนดรากอน
ซึ่งก็คือสถานที่ที่วอยนิชมาพบตารานี้เมื่อปี ค.ศ.1912 นั่นเอง
ปัจจุบันตาราของวอยนิชฉบับนี้ก็ได้รับการเก็บรักษาเอาไว้ในห้องสมุดตาราหา ยากเบเน็ค (Beinecke Rare Book
Library) ของมหาวิทยาลัยเยล
จากหลัก ฐานล่าสุดเมื่อปี ค.ศ.2009 ทีมนักวิชาการตรวจสอบตารานี้ด้วยวิธีวัดการสลายตัวของคาร์บอนกัมมันตรังสีก็
ทาให้ทราบว่า ต้นฉบับนี้น่าจะเป็นของแท้แน่นอนและมีอายุอยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1404 จนถึง ค.ศ.1438 ครับ
แม้ว่า จะยังไม่มีคนที่สามารถเข้าใจเนื้อหาด้านในอย่างถ่องแท้ได้ แต่จากการตรวจสอบภาพวาดต่างๆ
ในตาราเล่มนี้ก็พอจะทาให้สรุปเรื่องราวที่น่าจะได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ได้ว่า เนื้อหาถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วน
- 5. ส่วนแรกเป็นส่วนที่มีเนื้อหาเยอะที่สุด มีจานวน 130 หน้า
จากภาพวาดพอจะเดาได้ว่าเนื้อความของส่วนนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับพืชพันธุ์ พร้อมคาบรรยายภาพประกอบ
ทาให้นักวิชาการส่วนหนึ่งเรียกส่วนแรกของหนังสือนี้ว่า "ส่วนพฤกษศาสตร์"
ส่วนที่สองจานวน26 หน้าจากภาพวาดประกอบดูคล้ายคลึงกับภาพของดวงดาวและจักรวาลวิทยา รวมทั้งโหราศาสตร์
จึงทาให้ส่วนนี้ถูกเรียกว่า "ส่วนดาราศาสตร์"
- 6. ส่วนที่สามประกอบไปด้วยหน้าเพียง 4 หน้า แต่มีภาพประกอบถึง 28 ภาพ ที่เกี่ยวข้องกับกายวิภาคศาสตร์ เช่น
ภาพผู้หญิงเปลือยและท่อบางชนิดที่ไม่ทราบความหมายแน่ชัด จึงได้รับชื่อเรียกว่า "ส่วนชีววิทยา"
ส่วนที่สี่จานวน 34 หน้า นักวิชาการตั้งชื่อให้ว่าเป็น"ส่วนเภสัชศาสตร์"
- 8. ตลอด เกือบร้อยปีที่ผ่านมา หลังจากที่ตาราของวอยนิชได้รับการเปิดเผยต่อชาวโลกที่กระหายใคร่รู้
ก็มีผู้พยายามถอดความอักขระปริศนาในตารานี้กันหลายต่อหลายท่าน
ท่านแรกที่ดูเหมือนว่าจะตีความข้อความในตาราออกมานาเสนอก็คือวิลเลียมนิวโบลด์ (William Newbold) ในปี ค.ศ.
1919 เขากล่าวว่า จารึกเหล่านี้ได้รับการบันทึกโดยโรเจอร์ เบคอนที่ทาการส่องกล้องดูดาวออกไปยังท้องฟ้ า
และได้มองเห็นกลุ่มกาแล็กซีแอนโดรเมดา (Andromeda) รวมทั้งบันทึกเรื่องราวของดาวหางเอาไว้ด้วย
แต่แน่นอนว่าแนวคิดนี้ยังไม่มีน้าหนักมากพอทาให้เป็นอันตกไป
ต่อมา ในปี ค.ศ. 1944 ฮิวจ์ โอนีลล์ (Hugh O'Neill)
นักพฤกษศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงก็ได้ทาการวิเคราะห์ภาพพันธุ์พืชที่ปรากฏในตารา ของวอยนิช
และได้สรุปว่าพืชเหล่านี้น่าจะเป็นพืชของทางทวีปอเมริกาเช่นดอกทานตะวันและพริกแดงบางประเภทนั่นหมายความว่า
อายุของตาราฉบับนี้น่าจะอยู่ในช่วงหลังจากปี ค.ศ. 1493 ที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus)
ได้นาเมล็ดทานตะวันมาปลูกยังยุโรปเป็นครั้งแรก แต่ข้อสรุปนี้ก็ยังมีนักวิชาการอีกหลายท่านที่ไม่เห็นด้วย
ตอน นี้สิ่งที่ค่อนข้างแน่นอนที่สุดเมื่อกล่าวถึงอักขระลายมือในตาราของวอยนิชก็ คือ มันมีความแตกต่างกัน 2
รูปแบบอย่างเห็นได้ชัด โดยได้ขนานนามว่าภาษาเอและภาษาบี
นั่นหมายความว่าต้นฉบับตารานี้ไม่ได้เขียนโดยคนคนเดียวอย่างค่อนข้างแน่นอนหรือถ้าจะเขียนโดยคนคนเดียวกัน