More Related Content
Similar to Landscape maintenance and management share (20)
More from Bunchong Somboonchai (20)
Landscape maintenance and management share
- 7. 3 Practice 70% 10labs. smallscale Medium scale 50 Largescale 20 Final project. 15wks. midterm final
- 23. การตัดแต่งต่างๆ เหล่านี้ จะทําให้ทรงพุ่มโปร่ง แสงสว่าง ลม จะได้พัดผ่านเข้าไปในทรงพุ่มได้สะดวก ในกรณีของไม้ยืนต้น การตัดแต่งจะช่วยควบคุมการเจริญเติบโต ช่วยเพิ่มผลผลิต ส่วนไม้พุ่มจะทําให้รูปทรงของพุ่มต้นสมดุล การตัดแต่งไม้พุ่ม จะเริ่มตั้งแต่การเด็ดยอด (pinching) เพื่อให้ไม้พุ่มแตกตาข้าง ทําให้การเจริญเติบโตทางด้านยอดลดลง หลังจากนั้นอาจจะมีการขลิบ (trimming) แต่ง ลิดใบและยอดที่เจริญแทงออกมาจากทรงพุ่ม ในกรณีที่ทรงพุ่มแน่นเกินไปก็จะตัดแต่งกิ่งแก่ออกบ้าง โดยตัดให้ชิดพื้นดิน ส่วนไม้พุ่มที่แทงหน่อออกมาจะต้องตัดออก โดยตัดให้ลึกลงไปใต้ระดับดิน ส่วนไม้พุ่มที่ต้องการให้มีการเจริญเติบโตใหม่ (rejuvenate) เนื่องจากมีอายุมากแล้ว ให้ตัดส่วนของไม้นั้น เหลือเพียงหนึ่งในสามของความสูงเดิม ดูแลรักษาให้เจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งไม้พุ่มให้เล็กลง จะช่วยให้มีการแตกกิ่งยอดใหม่ ทําให้ไม้พุ่มนั้นมีดอกมากขึ้นการตัดแต่งพรรณไม้ แต่ละครั้ง เครื่องมือที่ใช้จะต้อง เหมาะสมกับงานนั้น ๆ เครื่องมือจะต้องคมและใช้ให้ถูกต้อง นอกจากนี้หากรอยแผลที่ถูกตัดแต่งมีขนาดใหญ่จะต้องใช้ยาทาแผล เพื่อป้องกันการเข้าทําลายของเชื้อโรค การตัดแต่ง พรรณไม้ เป็นการตัดส่วนที่ไม่ต้องการออก วัตถุประสงค์ของการตัดแต่งก็เพื่อจะให้ไม้นั้น ๆ มีรูปทรงตามที่ต้องการ การตัดแต่งเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับไม้ต้น (tree) และไม้พุ่ม (shrub) ไม้ต้นและไม้พุ่ม ที่นํามาจัดสวนจะมีการเจริญเติบโต จนรูปทรงเปลี่ยนแปลงไป การตัดแต่งจะช่วยให้ไม้นั้น ๆ คงสภาพรูปทรงที่เราต้องการได้ การตัดแต่งที่ถือปฏิบัติเริ่ม แรกจะเป็นการตัดแต่ง - กิ่งที่แห้งตาย - กิ่งที่อ่อนแอ ฉีกขาด - กิ่งที่เป็นโรค - กิ่งที่เจริญผิดปกติ - กิ่งที่แทงเข้าภายในพุ่มต้น
- 24. หมากเหลือง เป็นไม้ประดับภายใน อาคารที่เป็นที่นิยมมากชนิดหนึ่ง เพราะมีความสวยงาม มีความทนต่อสภาพแวดล้อมภายในอาคารและคายความชื้นให้แก่อากาศภายในห้องได้ เป็นจำนวนมาก ในขณะที่มีประสิทธิภาพสูงในการดูดสารพิษจากอากาศได้ในปริมาณมากเช่นกัน หมากเหลืองเป็นพืชตระกูลปาล์มที่ปลูกง่าย โตเร็ว เป็นพันธุ์ไม้ขนาดกลาง สูงประมาณ 5–10 เมตร ลำต้นมีลายคล้ายข้อปล้อง โค้งงอและตั้งตรงได้สัดส่วนสวยงาม เจริญพันธุ์ด้วยการแตกหน่อเป็นกอประมาณ 5–12 ต้น ใบมีลักษณะเป็นรูปขนนกแผ่นใบมีสีเขียวอมเหลืองออกดอกเป็นช่อสีเหลืองอ่อน เป็นอยู่ใต้กาบใบ ภายใต้สภาพแวดล้อมห้อง หมากเหลืองขนาดสูง 1.8 เมตรจะคายน้ำประมาณ 1 ลิตร ทุกๆ 24 ชั่วโมง ในบรรดาไม้ประดับดูดสารพิษด้วยกัน หมากเหลือง เป็นพืชที่ดูดสารพิษจากอากาศได้ในประมาณมากที่สุดชนิดหนึ่งที่แนะนำให้ปลูก ไว้ใน อาคารสำนักงาน หรือ บ้านเรือน
- 26. ยางอินเดีย เป็นไม้ประดับที่ รู้จักในเมืองไทยมานานแล้ว เป็นพรรณไม้ขนาดใหญ่ ถ้าปลูกกลางแจ้งจะสูงไม่มากนัก ถึงแม้จะเป็นไม้ที่ชอบแสงแดดแต่ก็เจริญเติบโตได้ในสภาพแสงน้อย ปลูกง่ายทนทาน มิหนำซ้ำยังมีคุณสมบัติดีเด่นในการดูดสารพิษจากอากาศภายในอาคารได้ดีเยี่ยม ยางอินเดียมีลำต้นตั้งตรง ลักษณะเด่นอยู่ที่ใบ มีลักษณะกลมรีปลายแหลม ใบหนาสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ปลูกเป็นไม้ประดับได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ใน บรรดาไม้ขนาดใหญ่ด้วยกัน ยางอินเดีย เป็นไม้ประดับภายในอาคารที่น่าสนใจ เพราะเจริญเติบโตได้ดีถึงจะมีแสงน้อย ปลูกง่าย ทนทาน ต้องการน้ำไม่มาก แต่ในทางตรงกันข้ามกลับคายความชื้นได้มาก และที่ สำคัญเป็นพืชดูดสารพิษช่วยฟอกอากาศภายในบ้านและสำนักงานได้อย่างดีเยี่ยม
- 30. เดหลี เป็นไม้ประดับที่โดด เด่นมากชนิดหนึ่ง เนื่องจากให้ดอกสีขาวที่สวยงาม จึงมักเป็นที่นิยมนำไปเป็นไม้ประดับในอาคาร เป็นไม้ที่คายความชื้นสูง ในขณะที่มีความสามารถสูงในการดูดพิษภายในอาคาร เดหลีเป็นไม้ประดับที่มีใบสีเขียวเข้มมันเป็นวาว ดอกเป็นช่อสีขาวหรือขาวแกมเหลือง กาบหุ้มช่อดอกมีสีขาวคล้ายดอกหน้าวัว เป็นไม้พุ่มเตี้ยสูงประมาณ30–60 เซนติเมตร โดยธรรมชาติเดหลีชอบขึ้นอยู่ตามริมลำธารที่มีร่มเงาในป่าฝนเขตร้อน แต่เมื่อนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในอาคารเดหลีก็สามารถปรับตัวได้ดี แม้จะมีความชื้นต่ำและรับแสงจากหลอดไฟฟ้า เพียงแต่ดินต้องมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ เป็นไม้ประดับในจำนวนน้อยชนิดที่สามารถออกดอกได้ภายในอาคาร เดหลีสามารถดูดสารพิษจำพวก แอลกอฮอล์ อาซีโตน ไตรคลอไรเอทีรีน เบนซีนและฟอร์มาดีไฮด์ และสามารถดูดได้ในปริมาณมาก จึงไม่ควรลืมที่จะนำเดหลีประดับไว้ในสำนักงานหรือบ้านเรือน
- 32. แวว มยุรา เป็นพืชพันธุ์ไม้เลื้อยกึ่งคลุมดินในตระกูลเดียว กับคล้า แต่การปลูกเลี้ยงง่ายกว่ามาก เพราะมีความอดทนและเจริญเติบโตได้ง่ายในทุกสภาวะของห้อง แววมยุรามีใบด้านหน้าสีเขียวสลับลายเขียวแก่หรือน้ำตาล ส่วนหลังสีเขียวอมแดงหรือม่วงมีลายสลับเช่นเดียวกัน เนื่องด้วยใบมีลวดลายและสีสันสวยงามคล้ายหางนกยูงจึงได้ชื่อไทยว่า “แววมยุรา” ส่วนภาษาอังกฤษได้ชื่อว่า “Prayer Plan” แปลว่า ต้นไม้พนมมือ โดยตั้งชื่อตามลักษณะการกระดกของใบตั้งขึ้นเหมือนการพนมมือตอนใกล้ค่ำ พอตอนรุ่งเช้าใบก็จะคลี่ออกตามเดิม แววมยุราเป็นไม้ประดับในอาคารที่ทำหน้าที่รักษา ความชุ่มชื้นภายในห้องได้ดี ถึงแม้ว่าคุณสมบัติในการดูดสารพิษจะน้อยไปสักนิดก็ตา
- 33. ชื่อวิทยาศาสตร์ Mesuaferrea L.ชื่อวงศ์ GUTIFERAE (CLUSIACEAE)ชื่อ พื้นเมือง(Commonname) ก๊าก่อ ( กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) ก้ำก่อ ( ชาน แม่ฮ่องสอน) บุนนาค ( ทั่วไป) ปะนาคอ ( มาลายู ปัตตานี) สารภีดอย( เชียงใหม่) นาคบุตร( ใต้)ชื่อสามัญ Ironwood, Indianrosechestnut ลักษณะต้น บุนนาคสามารถมีอายุเป็นร้อยปีขึ้นไป แต่ว่าการเจริญเติบโตช้า บุนนาคได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้ใหญ่ดอกสวยงามและหอม นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นไม้ที่มีใบสวยงามอีกด้วย บุนนาคเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ขนาดต้นสูงได้มากกว่า 25 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มรูปกรวย ลำต้นเรียบ ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ๆ สลับกัน ทรงใบรูปหอกแหลมเรียวปลาย ด้านบนใบเป็นสีเขียวด้านล่างเขียวอ่อนเกือบขาวขนาด ของใบกว้างประมาณ 3 ซม. ยาวไม่เกิน 12 ซม. ดอกออกเป็นช่อ ช่อละ 3-4 ดอก ขนาดดอกบานเต็มที่ประมาณ 6.5-9 ซม. กลีบดอกสีขาว หรือสีเหลืองอ่อนเรียง 2 ชั้นสลับกันชั้นละ 2 กลีบ เกสรตัวผู้มีมากกระจุกเป็นฝอยสี เหลือง สดใส ดอกมีกลิ่นหอมมาก ออกดอกในช่วยเ ดือนมีนาคม ถึงกรกฎาคมทุกปี บุนนาคชอบความชื้นในอากาศสูง เหมาะที่จะปลูกเป็นไม้กลางแจ้ง ให้ร่มเงา ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนซุยสามารถเก็บความชื้น ได้สูง อาจหาวัสดุคลุมดินช่วย การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด จะดีที่สุด วิธีอื่นจะได้ต้นที่ไม่สมบูรณ์ แต่จะใช้เวลาในการปลูกนานมาก คือไม่ต่ำกว่า 6 ปี จึงจะออกดอก การตอนกิ่ง พบว่าออกรากยากมาก แต่ก็เป็นวิธีการที่จะช่วยให้ออกดอกได้เร็วขึ้
- 34. ชื่อวิทยาศาสตร์ CestrumDiurnum L.ชื่อสามัญ DayCestrum ทิวา ราตรี เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 - 5 เมตร แตกกิ่งยืดยาวจำนวนมาก เป็นไม้ดอกหอมสกุลเดียวกับราตรี คนไทยรู้จักกันมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี ออกดอกดกส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ใบเป็นคลื่น ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ดอกเล็ก มี 5 - 6 กลีบ ปลายกลีบม้วนออกกลิ่น หอมตอนกลางวัน เมล็ด ทเป็นสีขาว ออกดอกตลอดปี ทิวาราตรี เป็นพรรณไม้ชอบ แดดจัดหรือแดดเต็มวัน ชอบดินชุ่มชื้น ธาตุอาหารสมบูรณ์ หมั่นตัดแต่งกิ่ง พรวนดินและใส่ปุ๋ย กิ่งที่แตกใหม่จะแข็งแรง และจะทำให้ดอกดกตลอด
- 35. ชื่อวิทยาศาสตร์ : Calophylluminophyllum Lมีชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ: กระทิง กากะทิง (ภาคกลาง), ทิง (กระบี่), เนาวกาน (น่าน), สารภีทะเล (ประจวบคีรีขันธ์), สารภีแนน (ภาคเหนือ)เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาด ใหญ่สูง 20 – 25 เมตร เปลือกเรียบสีเทาอ่อนหรือน้ำตาลปนเหลือง เปลือกในสีชมพูเนื้อไม้สีน้ำตาลปนแดง ใบเป็นใบเดี่ยว ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลม สีเขียวเข้ม กิ่งอ่อนเกลี้ยง ยอดอ่อนเรียวเล็ก ปลายทู่ ออกดอกเป็นช่อสั้นที่ซอกใบบริเวณปลายกิ่ง มีดอกย่อย กลีบดอกสีขาว เกสรเพศผู้สีเหลือง มีกลิ่นหอม ออกดอกช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ผลเป็นผลสดทรงกลม ปลายผลเป็นติ่งแหลม เมื่อสุกจะมีสีเหลืองการดูแลรักษาทำได้โดยชอบดินร่วนปนทรายหรือดินทราย ความชุ่มชื้นปานกลาง
- 36. ชื่อวิทยาศาสตร์ : Carissagrandiflora A. DC วงศ์ : APOCYNACEAE ชื่อสามัญ : หีบไม้งาม เป็นไม้พุ่มขนาด กลาง สูงได้ถึง 2 เมตร ดอกบาน หมุนเวียนตลอดปี อัตราการเจริญเติบโตช้า ชอบแสงแดดรำไร – แดดจัด ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับ ตั้งฉากซ้อนกันถี่ ใบรูปไข่ กว้าง 3-5 ซม. ยาว 4-6.5 ซม.ปลายใบมนมีติ่งหนามสั้น โคนใบรูปหัวใจหรือตัด ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนา แข็ง ผิวใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน ผิวใบด้านล่างสีเขียวอ่อนดอก ออกเป็นดอกเดี่ยว แต่รวมกันเป็นช่อกระจุกตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ช่อละ1-3 ดอก สีขาว กลิ่นหอม มีกลีบเลี้ยงเล็ก 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 แฉก ดอกบานเต็มที่ 2-3 ซม.ออกหมุนเวียนตลอดปี ผล ทรงกลมแป้นเล็กน้อย ขนาด 2-4ซม.เมื่อสุกสีแดงปนดำ มี 6-10
- 37. ชื่อวิทยาศาสตร์:Ixorafinlaysonia wall. ex 6. Don ชื่อวงศ์ :RUBIACEAE ชื่อสามัญ:siamese white Ixoraชื่ออื่นๆ :เข็มพวงขาวลักษณะทั่วไปไม้พุ่มสูง 1-3 เมตร สำต้นขนาดเล็ก แตกกิ่งใกล้ผิวดินจำนวนมาก แต่ละต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้น 1-2 เซนติเมตร เปลือกสีดำหรือม่วงเข้ม ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปรีแกมขอบขนาน หน้าใบมัน มีสีเขียวเข้ม หลังใบสีอ่อนกว่าและเห็นเส้นใบชัดเจน ช่อดอกสีขาว ออกที่ปลายยอด มีเส้นผ่าศูนย์กลางช่อดอก 8-18 เซนติเมตร มีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยงสีเขียวรูปถ้วย ปลายแยกเป็นกลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็ก ๆ ยาว 2.5-3 เซนติเมตรปลายหลอดมีกลีบแยกจากกันเป็น 4 กลีบ แต่ละกลีบรูปไข่กว้าง 0.3เซนติเมตร ยาว 0.6 เซนติเมตร เมื่อดอกบานมีเส้น ผ่าศูนย์กลาง 1.2-2 เซนติเมตร ดอกย่อยภายในช่อดอกเดียวกันบานในเวลาใกล้เคียงกัน ดอกที่บานใหม่ ๆ จะมีสีขาว บริสุทธิ์ เมื่อใกล้โรยจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ดอกมีกลิ่นหอม ออกดอกตลอดปี
- 38. ชื่อวิทยาศาสตร์ : CanangaodorataHook.f. et Th. Var. fruticosa (Craib) J.Sincl. วงศ์ : ANNONACEAEชื่ออื่น : กระดังงาสาขา (กรุงเทพฯ) กระดังงาเบา (ใต้) กระดังงอ (ยะลา)กระดังงาสงขลา เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 1-3 เมตร แตกกิ่งมาก ใบหนาเป็นทรงพุ่มแน่น ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุกที่บริเวณปลายกิ่ง กลีบดอกมีสีเหลือง กลีบเรียวยาวบิดเป็นเกลียวและอ่อนนิ่ม มีกลีบดอก 15-24 กลีบ เรียงตัวหลายชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบยาว 5-9 เซนติเมตร ดอกอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อเริ่มบานจึงเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอมแรง ออกดอกได้ตลอดทั้งปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับโชว์ทรงพุ่มสวยงาม ดอกมีกลิ่นหอม และดอกยังนิยมนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอกระเหย กระดังงาสงขลาขยายพันธุ์ได้ง่ายด้วยการตอนกิ่ง กิ่งตอนออกรากง่าย ชอบดินที่มีความชุ่มชื้นสูง และชอบแสงแดดจัด
- 39. ชื่อวิทยาศาสตร์ : CanangaOdorata (Lamk.) Hook.F.etTh.วงศ์ : ANNONACEAEชื่อสามัญ : Ilang – ilangชื่ออื่น : กระดังงา กระดังงาใหญ่ สะบันงา สะบันงาต้น กระดังงาไทยเป็นไม้ยืนต้น เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดความสูงประมาณ 8-15 เมตร ออกดอกตลอดทั้งปี ออกดอกเป็นช่อ ๆ ช่อละ 3-6 ดอก กลีบดอกอ่อนนุ่น เรียวยาวและบิด มี 6 กลีบ ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อบานจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมรุนแรง ขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง ส่วน ใหญ่นิยมขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เพราะเมล็ดหาง่าย และเพาะให้งอกได้อย่างรวดเร็ว กระดังงาไทยชอบอยู่กลางแจ้งในสภาพดินที่มีความชุ่มชื้นสูง สำหรับ ผู้ที่ต้องการจะปลูก จำเป็นจะต้องมีพื้นที่หน้าบ้านพอสมควร เพราะกระดังงาไทยเป็นไม้เป็นไม้ยืนต้นขนาดค่อนข้างใหญ่
- 59. Practice#1 วิเคราะห์องค์ประกอบ ภูมิทัศน์ที่สวยงาม วิธีคิดเชิงวิเคราะห์ 1.กำหนดขอบเขตหรือนิยามสิ่งที่เราจะวิเคราะห์ให้ชัดเจน 2.กำหนดจุดมุ่งหมายว่าจะวิเคราะห์เพื่ออะไร 3.พิจารณาหลักความรู้หรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้องว่าจะใช้หลักใดในการวิเคราะห์ 3.ใช้หลักความรู้นั้นให้ตรงกับเรื่องที่จะวิเคราะห์เป็นกรณีๆไปและต้องรู้ว่าควรจะวิเคราะห์อย่างไร 4.สรุปและรายงานผลให้เป็นระเบียบ การวิเคราะห์ เป็นการแยกแยะสิ่งที่จะพิจารณาออกเป็นส่วนย่อยที่มีความสัมพันธ์กัน เพื่อทำความเข้าใจแต่ละส่วนให้แจ่มแจ้ง รวมทั้งการสืบค้นความสัมพันธ์ของส่วนต่าง ๆ เพื่อดูว่าส่วนประกอบปลีกย่อยนั้นสามารถเข้ากันได้หรือไม่ สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างแท้จริง โดยพื้นฐานแล้ว การวิเคราะห์ถือเป็นทักษะที่มนุษย์ฝึกได้ โดยมีผู้กล่าวไว้ว่าทักษะการวิเคราะห์ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ 1.ความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์ ตลอดจนทัศนะคติในเรื่องที่จะวิเคราะห์นั้นๆ 40% รวมเรียกว่าศาสตร์ 2.ศิลปะการใช้ภาษา การสื่อสาร การถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจมุมมอง 40% รวมเรียกว่าศิลป์ 3.สัญชาติญาณและความกล้าหาญอีก 20% เรียกว่าพรสวรรค์