More Related Content More from Pateemoh254 (12) ปรัชญา2. หลักสูตรมีที่มาจากการวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐานด้านต่างๆ
ทั้งด้านปรัชญาการศึกษาด้านจิตวิทยา ด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
ด้านสาขาวิชา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีหลักสูตรที่เกี่ยวข้องมีที่มาจากศาสตร์ในสาขาที่เกี่ยวข้อง
จึงกล่าวได้ หลักสูตรมีที่มาจากความรู้ในหลากหลายสาขาวิชา และผู้ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร
ก็มาจากนักวิชาการหลากหลายสาขา การพัฒนาหลักสูตรจึงเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบดังกล่าวนี้
ในบทบาทของครูผู้สอนจะต้องให้ความสาคัญกับกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร
เกิดจากบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนไม่เข้าใจกระบวนการของการพัฒนาหลักสูตร
มโนทัศน์(Concept)
7. เมื่อกล่าวถึงแนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร มีประเด็นสาคัญเกี่ยวข้อง 2 ประเด็นคือ
1). ข้อมูลที่นามาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
2). การวิจัยทางการศึกษา
โดยจะพบว่า ในระยะเวลาประมาณ 10 ปี และจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องสรุปได้ดังนี้
รายงานการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1940 และ 1950 มุ่งศึกษา ตัวแปรทานาย จากคุณสมบัติของครู
มีความเชื่อว่าครูที่มีคุณสมบัติมีแนวโน้มที่จะสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
1) เสียง รูปร่างหน้าตา
2) ความมั่นคงทางอารมณ์
3) ความน่าเชื่อถือ
4) ความอบอุ่น และ
5) ความกระตือรือร้น
ต่อมาผลการศึกษาวิจัยความมีประสิทธิภาพของครู ในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970
ได้ข้อสรุปและเสนอแนะในการพัฒนาวิชาชีพด้วยการนิเทศแบบคลินิก (Clinical Supervision)
เทคนิควิธีการสังเกตการสอนชั้นเรียน เป็ นต้น
แนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร
8. ต่อมาในทศวรรษ 1980 เมเดอลีน ฮันเตอร์ (Madeline Hunter) และคณะมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ
ใช้หลักทฤษฎีเป็นฐาน (Theory-based) ในการเรียนการสอน สรุปได้ดังนี้
1) การสอนมีรากฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม
2) การอนุมานจากแนวคิดในด้านการเรียนรู้ เช่น แรงจูงใจ (Motivation) ความทรงจา (Retention)
การถ่ายโอนความรู้ (Transfer) เป็ นต้น
และผลการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 การเปลี่ยนแปลงทัศนะการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม (Be
เป็ นการเรียนรู้ด้วยปัญญา (Cognitive Learning Theory)
สถานศึกษาใดที่มุ่งมั่นพัฒนาในด้านการประเมินที่มีประสิทธิภาพและการพัฒนาวิชาชีพการสอนจึงต้องเริ่มด้วยการ
การสอนซึ่งสะท้อนสิ่งที่ครูควรรู้ ในประเทศไทยหน่วยงานหรือองค์กรวิชาชีพครูที่เรียกว่า คุรุสภา
ได้เสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้มีความรู้สมรรถนะความสามารถ
ในการจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพดังนั้นแนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตรอาจพิจารณาได้จากผลการศึกษาวิจัย
และข้อมูลพื้นฐานด้านต่าง ๆ ที่นามาใช้การพัฒนาหลักสูตร
แนวโน้มของการพัฒนาหลักสูต
10. ออนสไตน์ (Ornstein, Allan C. 1994 : 4-20) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับแนวโน้มของหลักสูตรไว
หลักสูตรในอนาคตเนื้อหาวิชาจะถูกลดความสาคัญลงโดยเฉพาะเนื้อหาวิชาที่แยกแบบโดดเดี่ยว
แต่จะมีลักษณะประสมประสานมากขึ้นและมีลักษณะเป็นองค์รวม ถึงแม้ว่าขอบข่ายเนื้อหาวิชาในหล
แบบดั้งเดิมจะยังคงอยู่แต่จะมีลักษณะการบูรณาการข้ากลุ่มสาระการเรียนรู้เพิ่มขึ้น
ความรู้ไม่สามารถพิจารณาในแง่มุมของรายละเอียดปลีกย่อยหรือความต่อ
เนื่องแต่จะมีความเป็นสหวิทยาการและหลากหลายมิติยิ่งขึ้น ความรู้จะบูรณาการกัน
ความรู้มีมากกว่าแหล่งความรู้ภาพและเสียงเท่านั้น และมีความน่าเชื่อถือน้อยจากสื่อที่
เป็ นการพูดและการสื่อสารด้วยตัวอักษร
แนวโน้มของหลักสูตร
11. ความเจริญก้าวหน้าของวีดิทัศน์สามารถนามาใช้เป็นเครื่องมือ
ในการเรียนการสอนได้ วีดิโอเทป คาสเสท และดิสค์สามารถนามาใช้สอน
ได้ทั้งในห้องเรียนห้องสมุด ศูนย์เรียนรู้ และที่บ้านของนักเรียน วีดิทัศน์มีความสะดวก
ที่นามาเรียนได้ตลอดเวลาซึ่งจะช่วยไม่ให้พลาดบทเรียนไปได้ มีวีดิทัศน์บทเรียนวิชาต่างมีจานวนมาก
นับเป็นจานวนพัน นอกจากนี้โรงเรียนหลายแห่งและครูจานวนมากที่สามารถผลิตสื่อการสอนวิชาที่ตนเองรับผิดชอบ
ในรูปของวีดิทัศน์ จากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สามารถที่จะพิมพ์วีดิทัศน์ หรือภาพจากจอภาพในรูปของ
ภาพถ่าย ตาราง กราฟ หรือรูปภาพในแบบต่าง ๆ ลงในกระดาษสาหรับศึกษาต่อไปได้วีดิทัศน์ยังสามารถนาใช้ผ่าน
ระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้สามารถเรียนได้ในลักษณะแบบจาลองเหตุการณ์ที่เป็นจริงมีการโต้ตอบกันสามารถ
นาเสนอได้เช่นเดียวกันกับการสอนให้ชั้นเรียน บทเรียนคอมพิวเตอร์สามารถให้คาตอบถูกหรือผิดให้กับผู้เรียนได้ทันที
หรือในกรณีที่ผู้เรียนเลือกคาตอบ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถให้ผู้เรียนเห็นคาตอบและสามารถเลือกทางเลือก
ที่กาหนดให้ปฏิบัติได้ตามที่โปรแกรมกาหนดไว้ นอกจากนี้วีดิทัศน์ยังสามารถใช้เป็นบทเรียน
เรียนแบบรายบุคคลหรือแบบกลุ่มย่อยก็ได้ความรู้ในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์นี้ยัง
สามารถจัดเก็บไว้ในสถานที่ที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้โดยผ่านระบบเครือข่าย ใครๆ
ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและสามารถใช้ประโยชน์ได้
กาศึกษาในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์
(Electronic Education)
12. โรงเรียนในปัจจุบันเห็นความสาคัญในวิวัฒนาการของเทคโนโลยีจึงได้ให้การศึกษา
กับบุคลากรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อีเล็กทรอนิกส์ เลเซอร์ และหุ่นยนต์ การรู้คอมพิวเตอร์ (Computer Literacy)
เป็นทักษะพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากทักษะการอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น หรือรู้จักกันว่า 3Rs ในวิถีทางเศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ผู้ปฏิบัติงานต้องมีการศึกษาที่ดี ต้องมีปัญญาที่ดีกว่า มีทักษะการสื่อสาร และการทางานเป็นทีม บ้านและที่ทางานจะมีเครื่องคิดเลข
คอมพิวเตอร์ เครื่องแฟกซ์ และเครื่องมืออีเล็กทรอนิกส์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะนาสู่จุดวิกฤติของคนที่ไม่สามารถใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ
นี้ให้ทางานได้ จึงมีความจาเป็นที่ภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาล จะได้ร่วมกันสร้างโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาที่มีหลักสูตร
ในการเตรียมคนเข้าสู่ตลาดแรงงานที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวนี้ ในอนาคตการศึกษาจะเป็นการสร้างนักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะสามารถ
ออกแบบ พัฒนา และประยุกต์เทคโนโลยีได้ในอนาคต
สมาคมครูวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (The National Science Teachers Association : NSTA)
ได้อนุมัติหลักสูตรเรียกว่า Science/Technology/Society ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นเพียงวิทยาศาสตร์เท่านั้น
หากแต่ให้ความสาคัญกับสังคมและเทคโนโลยี ตัวอย่างหนึ่งของจุดประสงค์โปรแกรมนี้ก็เพื่อช่วย
นักศึกษาจัดการกับผลกระทบของเทคโนโลยีในชีวิตประจาวันความจาเป็นที่จะต้องเพิ่มแผนพัฒนาแห่งชาติ
แบบมีส่วนร่วม ของการศึกษา อุตสาหกรรมและรัฐบาล การประเมินความต้องการอาชีพในอนาคต
และแผนความร่วมมือกันของโรงเรียนหรือสถานศึกษา
การรู้เทคโนโลยี
(Technical Literacy)
14. สังคมอเมริกันถือได้ว่าความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาได้มาจากประเทศต่างๆ และได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ
“หมู่บ้านโลก”(global village) กล่าวถึงมาตรฐานของการดารงชีวิตและเศรษฐกิจของชาติ(อเมริกัน)
มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่อื่นๆ ของโลก
การสื่อสารผ่านดาวเทียมและบรรยากาศ รายการโทรทัศน์ เครือข่ายซุปเปอร์คอมพิวเตอร์เทคโนโลยีเลเซอร์
และการเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ต ช่วยให้ดูเหมือนว่าโลกแคบลง ความจาเป็นในการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศมีมากยิ่งขึ้น
ภาษาพูดที่รู้จักกันส่วนใหญ่คือ ภาษาจีนกลาง รองลงมาคือภาษาอังกฤษฮินดี และสเปน ภาษาญี่ปุ่น(อันดับที่ 10)
และภาษาเยอรมันและฝรั่งเศส การฝึกอบรมนักศึกษาในสหรัฐอเมริกาให้เรียนรู้ภาษาต่าง ๆมีผลต่อความเจริญเติบโตทางด้านการค้า
ของสหรัฐอเมริกาและความเข้าใจในตลาดการค้าโลก
การศึกษานานาชาติ
(International Education)
16. การใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ ได้แก่ โรงไฟฟ้า การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
การบาบัดด้วยการฉายรังสี ความรู้เรื่องหลังงานนิวเคลียร์มีความจาเป็นว่าพลังงานดังกล่าวนี้มีผลกระทบต่ออากาศ
อาหารและน้าอย่างไรกรณีที่มีการรั่วไหลจะมีผลกระทบในขอบเขตห่างไกลเพียงใดและความเข้มข้นของรังสี
ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ทั้งที่อยู่ใกล้และไกลออกไปนับพันไมล์ดังนั้นหลักสูตรที่ให้ความสาคัญกับการศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์
ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรโลกศึกษา(Globally Oriented Curriculum)
การศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์
(Nuclear Education)
19. การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นผลมาจากการตีพิมพ์หนังสือชื่อ Nation at Risk ในปี ค.ศ.1983
เด็กอเมริกันจะได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวโลกรอบตัวเรา รวมถึงภูมิศาสตร์พื้นฐาน มีการทบทวนสาระสาคัญ
ทางภูมิศาสตร์อาทิเรื่อง back to basic, การเรียนรู้วัฒนธรรม นิเวศวิทยาศึกษา และโลกศึกษา
เรื่องราวต่างๆ ที่ศึกษาเล่าเรียนจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้รู้จักบทบาทของตนเองเพิ่มยิ่งขึ้น
ภูมิศาสตร์ย้อนกลับ
(The Return of Geography)
20. ผู้เรียนที่อายุระหว่าง 10 –15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่เปลี่ยนแปลงความเจริญเติบโตและ
พัฒนาการอย่างรวดเร็ว การศึกษาที่จัดให้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ ก่อนจะเป็น
วัยรุ่น(Preadolescents) และวัยรุ่นตอนต้น(early
adolescents) เมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนมัธยม(secondary
school) โรงเรียนเกรดกลางมุ่งให้ความสาคัญกับการเรียนรู้สังคมหรือ
สังคมประกิต(Socialization) ไม่เน้นวิชาการ แต่ให้ความสาคัญกับ
intramural sport แต่ก็ไม่เน้น interscholastic or
competitive sports ถึงแม้ว่าโรงเรียนเกรดกลางจะมีอยู่โดยทั่วไป แต่
หลักสูตรใหม่ที่เหมาะสมกับกลุ่มเด็กดังกล่าวนี้จาเป็นต้องพัฒนาขึ้น การ
พัฒนาครูผู้สอนจะต้องปรับเปลี่ยน โปรแกรมการพัฒนาครูจะต้องมีความ
แตกต่างจากครูประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในอนาคตสถาบันการผลิตครู
จะต้องมุ่งพัฒนาความรู้ ทักษะที่จาเป็นสาหรับการสอนโรงเรียนเกรดกลาง
(Middle school)
การศึกษาในช่วงเกรดกลาง
(Middle-Grade Education)
22. โรงเรียนหรือสถานศึกษารูปแบบต่าง ๆเกิดขึ้นมากมาย ทั้งในรูปแบบของเอกชนและหน่วยงานที่ตั้งขึ้น
เฉพาะกิจ อาทิ สถานเลี้ยงเด็กเล็ก(nursery) ศูนย์รับเลี้ยงเด็กช่วงเวลากลางวันและช่วงหลังเลิก
เรียน ศูนย์กีฬาและโคชเอกชน ศูนย์ติวเตอร์แฟรนไชส์ วิทยาลัยเอกชนเพื่อให้บริการแนะแนว(ในการ
เลือกมหาวิทยาลัย) สถาบันติวเตอร์สอบ SAT และการทดสอบเพื่อขอรับในรับรองประกอบวิชาชีพ
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการนาการศึกษาเข้าสู่ตลาดการค้าที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการศึกษา จาก
ผู้เรียนโดยตรง
ธุรกิจการศึกษา
(r-Profit Education)
23. จากงานเขียนของทอฟเลอร์(Toffler 1970) ที่กล่าวถึงอนาคตว่ามีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่สามารถที่กาหนดขอบข่ายของการเปลี่ยนแปลง
ได้เลยนั้น จึงนามาเป็นหลักการของความมุ่งหมายการศึกษา ที่จะต้องเพิ่มขีด
ความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนเพื่อที่ผู้เรียนแต่ละคนสามารถปรับตัวเข้ากับ
การเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง
แนวทางหนึ่งในการเตรียมตัวผู้เรียนในอนาคตก็คือช่วยให้ผู้เรียน
ได้เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โปรแกรมหรือรายวิชาใหม่ จะถูกเรียกว่า การศึกษาเล่า
เรียนเพื่ออนาคต(Futuristic studies) จะเริ่มในระดับอุดมศึกษา และ
มัธยมศึกษาในโอกาสต่อไป สาระสาคัญของการศึกษาดังกล่าวนี้พิจารณาจาก
ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสถานการณ์ในสังคมโดยไม่มีการ
แบ่งแยก แต่เป็นทั้งสององค์ประกอบที่ช่วยในการตัดใจในอนาคต โดยทั่วไป
การมองอนาคตไม่ใช่ภารกิจที่เล็กๆ แต่เป็นการนาเสนออนาคตที่มีจุดประสงค์
การเรียนรู้โดยปกติทั่วไปที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และนาไปใช้โดยปรับให้
เหมาะสมกับตนเองในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การศึกษาเพื่ออนาคต
(Futuristic Education
24. ในปี 1983 มาคมการพัฒนาหลักสูตรและการนิเทศ (Association for Supervision and
curriculum development : ASCD) ได้เผยแพร่บทความวิจัย ของ Benjamin I.
Troutman and Robert
D. Palombo เรื่อง Identifying Futures Trends in Curriculum Planning
โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 36 คน จากโรงเรียน Virginia Beach Public Schools ข้อมูลที่ได้
สรุปได้ว่า ในอนาคตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเป็นตัวชี้การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร อันเป็นผลจาก การ
ขยายความรู้ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และความรู้มีความเป็นศาสตร์เฉพาะการเพิ่มขึ้น ซึ่งมีการศึกษาผลต่อ
หลักสูตรใน 3 ประเด็น คือ
1). ความเป็นความรู้ที่ร่วมกันของวิทยาการที่เจริญก้าวหน้า
2). ความสมดุลระหว่างความยากลาบากในการได้มาของข้อเท็จจริงกับการพัฒนาทักษะกระบวนการ
3). เอกสารความรู้ที่ใช้เป็นแหล่งความรู้ในหลักสูตร จากขอบข่ายดังกล่าวนี้กลุ่มตัวอย่างจากโรงเรียน
Virginia Beach Public Schools ให้ความเห็นว่าแนวโน้มในอนาคตที่มีผลต่อการวางแผน
หลักสูตรมี 15 ประเด็น
25. 1). ทักษะพื้นฐานทางวิชาการ (Basic Academic Skills)จะต้องให้ความสาคัญเพิ่มขึ้นกับ ทักษะการ
สื่อสาร
คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะหลักสูตรอาชีวศึกษา
2). คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น ๆ (Computers and Other Information
Technologies)
คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น ๆ มีรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วอุปมาดั่งเช่นเป็นพาหนะขับเคลื่อน
การศึกษา
สาหรับผู้เรียนทุกคน การพัฒนาแผนสาหรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในระบบโรงเรียน Virginia
Beach
Public Schools ตั้งแต่อนุบาลถึงเกรดสิบสอง
3). ความยืดหยุ่นของหลักสูตร(Curriculum Flexibility) ให้โอกาสอันยิ่งใหญ่ที่มั่งคั่งสมบูรณ์และ
รวดเร็วจากหลักสูตร
สาหรับอนุบาลถึงเกรดสิบสอง
4). การทบทวนหลักสูตร (Curriculum Revision) พัฒนาแผนปฏิบัติการที่แน่ใจว่าสามารถดาเนินการ
ต่อไปได้
หลักสูตรได้รับการทบทวนและมีการประเมินอย่างเป็นระบบ
5). ความเป็นประชาธิปไตย (Democratic Ideals) ทาความเข้าใจและให้ความสาคัญกับ
26. 6). โปรแกรมสาหรับเด็กเล็ก(Early Childhood Programs) ขยายโปรแกรมสาหรับเด็กเล็ก
(เด็กก่อนอนุบาล)
ที่ให้ความสาคัญกับการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้
7). การมองอนาคต (Futures Perspective) การรวมขอบเขตสาระเป็นหลักสูตรเดียว โดยสิ่งต่าง
ๆ เหล่านั้นเป็น
ประเด็นสะท้อนและอธิบายประเด็นร่วมสมัย แนวโน้มอนาคต และความสัมพันธ์ระหว่างปัจจุบันกับ
เหตุการณ์ที่ผ่าน
ไปและทางเลือกในอนาคต
8). สัมพันธภาพระดับสากล (Global Interrelationships) ให้ความสาคัญกับมุมมองของ
ความสัมพันธ์
ระหว่างเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม-ชาติพันธุ์ของมนุษย์ที่หลักสูตรต้องมีความหลากหลาย
9). การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ขยายโอกาสสาหรับสมาชิกของชุมชนในเขตพื้นที่
บริการของ
โรงเรียนที่สนใจเรียนรู้ในรูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
10). สื่อมวลชน(Mass Media) ให้ความสาคัญกับทักษะในการวิเคราะห์วิจารณ์ การฟัง
และการดู ที่เกี่ยวข้องกับการแปลความหมายจากสื่อ
27. 11). การเติมเต็มบุคลิกภาพ (Personal Fulfillment) โรงเรียนเป็นสถานที่อันยิ่งใหญ่ที่จะสร้าง
ความคิดต่อตนเอง
เชิงบวก และพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
12). การประยุกต์กระบวนการ (Process Approach) หลักสูตรมุ่งที่การแก้ปัญหา การตัดสินใจ
ความคิดสร้างสรรค์
และทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะการนาไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า
13). การพัฒนาทีมงาน (Staff Development) เพิ่มโอกาสให้พัฒนาทีมงาน โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับ
เทคโนโลยี
14). ใช้ชุมชน (Use of Community) เพิ่มบทบาทของผู้ปกครองและแหล่งเรียนรู้ในชุมชนในการจัด
โปรแกรม
การศึกษา เชื่อมโยงการเรียนรู้ในชั้นเรียนกับประสบการณ์ในชุมชน
15). การอาชีวและอาชีพศึกษา (Vocational and Career Education) แน่ใจว่าการศึกษาอาชีว
และอาชีพ
สะท้อนการเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์ในการทางานและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เรียน