SlideShare a Scribd company logo
1 of 53
Download to read offline
1
แผนภูมิตัวละคร
1) วงศ์กษัตริย์แห่งอโยธยา
หมายเหตุ : ตัวอักษรสีน้าตาล คือตัวละครที่กษัตริย์วงศ์อโยธยาเสกสมรสด้วย
ท้าวอโนมาตัน + นางมณีเกษร
ท้าวอัชบาล + นางเทพอัปสร
ท้าวทศรถ
นางเกาสุริยา
พระราม + นางสีดา
พระมงกุฏ พระลบ
นางไกยเกษี
พระพรต
นางสมุทรชา
พระลักษณ์ พระสัตรุต
2
2) วงศ์กษัตริย์แห่งลงกา
หมายเหตุ : ตัวอักษรสีด้า คือตัวละครที่กษัตริย์วงศ์ลงกาเสกสมรสด้วย
ท้าวธาดาพรหม
+ นางมลิกา
ท้าวลัสเตียน
นางศรีสุนันทา กุเปรัน
นางจิตรมาลี ทัพนาสูร
นางสุวรรณมาลัย อัศธาดา
นางวรประไพ มารัน
นางรัชฎา
ทศกัณฐ์
กุมภกรรณ
ภิเภก
ขร
ฑูศน์
ตรีเศียร
นางส้ามนักขา
3
เนื้อเรื่องย่อ
ภายหลังที่ทศกัณฐ์ได้รับทราบรายงานเรื่องพญาไมยราพถูกหนุมานฆ่าตายแล้ว ทศกัณฐ์จึง
มองหาตัวผู้ที่สมควรเป็นแม่ทัพใหญ่ และเห็นว่าผู้ที่เหมาะสมที่สุดคือ กุมภกรรณน้องชายของตน มี
หอกโมขศักดิ์เป็นอาวุธส้าคัญทังได้พรจากองค์พระพรหม และมีฤทธิ์เดช กล้าหาญ จึงเรียกมาพบ
และแจ้งว่าใคร่จะให้น้องไปยกทัพต่อสู้กับข้าศึก
ในขันต้นกุมภกรรณได้พยายามทัดทานและบอกเหตุผลของศึกสงครามนีมาจากเพียงพี่ไป
ลักนางสีดามา มิใช่สงครามชิงบ้านชิงเมือง ขอให้พี่ส่งนางสีดาคืนแก่พระรามไปเถิด ทศกัณฐ์ว่าไม่
สามารถท้าได้หรอก เมื่อครังนางส้ามนักขาไปเที่ยวป่าถูกตัดมือตัดเท้า ต่อมา ทูต ขร ตรีเศียรก็ถูก
พระรามฆ่าตาย แล้วยังส่งหนุมานมาหักสวนขวัญ ฆ่าสหัสกุมารตาย อีกทังส่งองคตมาสื่อสารเจรจา
หยาบคายก้าวร้าว ตลอดจนส่งสุครีพมาหักฉัตรก็แสดงความหยาบช้าอย่างแสนสาหัส กุมภกรรณ
เห็นว่าทัดทานไปทศกัณฐ์ยิ่งทรงกริวจึงรับปากจะยกทัพออกรบตามพี่ขอ
กุมภกรรณเมื่อยกทัพออกไป พิเภกทูลพระรามว่าตนขอ
ออกไปเจรจาห้ามทัพแต่ไม่เป็นผลส้าเร็จอีกทังฝากปริศนาไปยัง
พระรามว่า “คือชีโฉดหญิงโหดมารยา ช้างงารีทรชน” พระราม
ไม่อาจไขปริศนาได้จึงส่งองคตมาล้วงความหมายของปริศนา
องคตม้วนหางต่างที่นั่งสูงเสมอกับกุมภกรรณที่นั่งอยู่บนรถทรง เจรจาความอย่าอ่อนหวาน
จนรู้ว่า “ช้างงารีคือทศกัณฐ์ ชีโฉดคือพระราม หญิงโหดคือนางส้ามนักขา ส่วนทรชนคนชั่วคือ
พิเภกนั่นเอง
พิเภกจึงทูลให้พระรามส่งสุครีพออกรบ แม้สุครีพจะมีพละก้าลังมากกว่ากุมภกรรณ แต่
ด้วยเล่ห์กลที่กุมภกรรณเหนือชันกว่า ท้าให้สุครีพพลาดท่าเสียที ถูกกุมภกรรณตีด้วยคทาแล้วจับ
เอาตัวไปได้ กล่าวคือกุมภกรรณสร้างอุบายลวงให้สุครีพหมดแรงก่อนด้วยการท้าให้สุครีพไปถอน
ต้นรังในทวีปอุดรเพื่อแสดงก้าลังให้เห็นก่อนว่าเหมาะสมจะมาสู้กับ กุมภกรรณหรือไม่ สุครีพไม่รู้
ว่าเป็นกลลวงเมื่อไปถอนต้นรังกลับมาก้าลังก็หย่อนลงเสียแล้ว กุมภกรรณจึงรีบเข้ารุกไล่ สุครีพ
ทันที เมื่อสุครีพพ่ายแพ้ พวกทหารลิงรีบมารายงานพระราม พระรามจึงให้หนุมานรีบไปช่วยไว้ได้
ทัน
ภายหลังที่กุมภกรรณเสียทีแก่หนุมานและสุครีพ จึงรีบกลับเข้าวังรายงานให้ทศกัณฐ์ทราบ
และแจ้งว่าตนจะไปท้าพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ที่ริมน้าเชิงเขาพระสุเมรุซึ่งหากลับเสร็จทังห้าคมหอกก็
จะมีฤทธิ์มากมายปราบได้ถึงสวรรค์ชันสิบหก ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้ แต่พิธีนีต้องใช้เวลาสี่คืน
ในเช้าวันรุ่งขึนพระรามสงสัยว่าเหตุใดกุมภกรรณไม่ยกทัพมารบ พิเภกจึงทูลว่ากุมภกรรณก้าลัง
4
ประกอบพิธีลับหอกโมขศักดิ์ ควรส่งคนไปท้าลายพิธีนี และด้วยความที่กุมภกรรณเป็นคนรักความ
สะอาด ชอบแต่กลิ่นหอมไม่สามารถทนต่อสิ่งที่เน่าเหม็นได้ จึงควรให้หนุมานและองคตแปลงเป็น
กาจิกหมาเน่าลอยน้าเข้าไปใกล้กุมภกรรณ และเป็นจริงดั่งพิเภกว่าเมื่อหนุมานและองคตนิมิตกาย
เข้าไปใกล้ ปรากฏว่ากุมภกรรณก็อาเจียน รู้สึกคลื่นไส้เวียนศีรษะลับหอกไม่ได้ และล้มเลิกพิธีลับ
หอกไป กลับเข้าวังเล่าให้ทศกัณฐ์ฟัง ทศกัณฐ์คิดว่าการที่มีหมาเน่าลอยน้ามาบริเวณริมฝั่ง
มหาสมุทรใหญ่เรียกว่า สีทันดร นันไม่น่าเป็นไปได้ และคิดว่าคงเป็นอุบายที่พิเภกบอกให้พวกลิง
ท้าเพื่อมาล้มล้างพิธี
วันรุ่งขึนกุมภกรรณออกรบ พิเภกแนะน้าพระรามให้ส่งพระ
ลักษณ์และสุครีพไปออกรบ การสู้เป็นไปอย่างอุตลุดและอลวน
ของเหล่าทหารยักษ์และเหล่าทหารลิง แต่พระลักษณ์พลาดท่าถูก
หอกโมกขศักดิ์ที่กุมภกรรณกวัดแกว่งและพุ่งเข้าที่หน้าอก เหล่า
ทหารลิงไปประคองแล้วพวกหนุมาน องคต และสิบแปดมงกุฎถ่า
โถมเข้าไล่กุมภกรรณจนเวลาพลบค่้ากุมภกรรณยกทัพกลับลงกา สุครีพเรียกนิลนนให้รีบไปแจ้ง
พระรามเรื่องพระลักษณ์ต้องหอก พระรามเดินทางมาพร้อมกับพิเภกเห็นพระลักษณ์ต้องหอกก็
ร้องไห้ไม่เป็นสมประดี
พิเภกทูลว่าพระลักษณ์ยังไม่ตายจนกว่าตะวันส่องแสงขอให้หนุมานไปหยุดรถพระอาทิตย์
แล้วรีบไปเก็บเอายาสังกรณีกับตรีชวา ที่ภูเขาสรรพยากับน้าจากแม่น้าปัญจมหานทีก็สามารถแก้
ได้และหอกจะหลุดไป พระรามจึงสั่งการ หนุมานตามค้าแนะน้าของพิเภกหนุมานรีบไปขอให้พระ
อาทิตย์หยุดรถแต่พระอาทิตย์หยุดไม่ได้เพราะเป็นจักรราศีแต่จะหลบเข้ากลีบเมฆเพื่อไม่ให้แสง
ส่องหอกโมกขศักดิ์ได้ หนุมานจึงรีบไปยังเขาสรรพยา ร้องเรียกสังกรณีกับตรีชวา ปีนป่ายขึนลงบน
ยอดเขาบ้าง ตีนเขาบ้าง
หนุมานจึงนิมิตร่างใหญ่เท่าเขาแล้วโอบรอบขุนเขา ค่อยๆ
ไล่ป่ายจับตามเสียงร้อง จนถึงยอดเขาก็เก็บเอาสังกรณีกับตรีชวา
มาได้ จึงรีบไปเข้าเฝ้าพระพรตและพระสัตรุดที่กรุงอโยธยาแล้ว
เล่าความให้ฟัง
พระพรตและพระสัตรุดฝากบอกพระรามว่า อยู่เฝ้าเมืองเหมือนนอนอยู่บนกองไฟ อยาก
ช่วยไปปราบยักษ์ก็เกรงจะขัดค้าบัญชาของพระรามแล้วมอบขวดใส่น้าปัญจมหานทีให้ เมื่อครบ
แล้วหนุมานรีบเหาะกลับมาเอาให้พิเภกเพื่อท้าการบดท้ายาป้ายและเป่ามนตร์ไปที่แผล หอกโมกข
ศักดิ์ก็หลุดออกมาแผลหายอย่างไม่มีร่องรอย แล้วพระลักษณ์ก็ฟื้นคืนสติ พระรามยินดีเป็นยิ่งนัก
จึงพากันยกทัพกลับเขามรกต
5
กุมภกรรณเมื่อรู้ข่าวว่าพระลักษณ์ฟื้นจากหอกโมกขศักดิ์ ก็หาวิธีใหม่ โดยเนรมิตร่างกาย
ใหญ่โตนอนขวางแม่น้าไม่ให้ไหลไปถึงเขามรกตอันเป็นที่ตังของทัพพระรามเพื่อให้กองทัพพระราม
อดน้าตาย แล้วใช้ให้นางคันธมาลีกับนางก้านัลสี่คนท้าหน้าที่เก็บดอกไม้หอมไปถวายทุกวัน
พิเภกใช้ให้ หนุมานไปท้าลายพิธีแต่ไม่รู้ว่ากุมภกรรณท้าพิธีที่ใดต้องไปสืบ หนุมานจึงแปลง
กายเป็นนางก้านัลปะปนเข้าไปในวัง ได้ทราบว่ามีเพียงนางคันธมาลีและนางก้านัลสี่คนเท่านันที่รู้
ว่ากุมภกรรณอยู่ที่ใด เมื่อรู้ดังนันจึงแปลงกายเป็นนกอินทรีบินอยู่เหนือวังพอเห็นนางคันธมาลีก็
ร่อนลงโฉบจับนางบินขึนไปบนฟ้าแล้วฆ่าตายเสียจึงแปลงร่างเป็นนางคันธมาลีไปเก็บดอกไม้กับ
นางก้านัลทังสี่ เมื่อไปถึงริมฝั่งที่กุมภกรรณทดน้าก็กลายร่างคืน
หนุมานด้าลงไปใต้น้าชักตรีเพชรทิ่มแทงกุมภกรรณจนไม่อาจนอนนิ่งเฉยอยู่ได้ จึงชักคทา
ประจ้ากายมาสู้รบกับหนุมาน แต่สู้ไม่ได้แล้วต้องหนีกลับกรุงลงกากลับมารายงานให้ทศกัณฐ์ทราบ
ทศกัณฐ์กล่าวว่าที่ข้าศึกท้าได้นีเพราะพิเภกบอกอุบายให้ ดังนันในการที่กุมภกรรณจะออกไปรบใน
วันพรุ่งนีขอให้ฆ่าพิเภกเสียเพื่อจะได้ไม่เป็นไส้ศึก บอกการตืนลึกให้แก่พระรามต่อไป
ในการออบรบในวันรุ่งขึนปรากฏว่ามีลางร้ายสารพัดแล้วท้ายสุดเมื่อกุมภกรรณออกรบกับ
พระรามก็ถูกพระรามแผลงศรพรหมมาสตร์ฆ่าตายก่อนสินใจกุมภกรรณเห็นร่างพระรามคือองค์
พระนารายณ์อวตาร จึงทูลขอขมาและส้านึกผิดจึงขอให้พระองค์ช่วยส่งไปสวรรค์ชันฟ้ากับขอฝาก
พิเภกผู้เป็นน้องชายด้วย ฝ่ายพิเภกเห็นพี่ชายตายก็เข้ากอดศพไว้แล้วร้าพันถึงกุมภกรรณด้วย
ประการต่างๆแล้วสะอืนซบหน้าลงจนสินสมประดี
6
ถอดความจากบทประพันธ์
เมื่อนัน ทศเศียรผู้ปรีชาหาญ
ฟังข่าวเร่าร้อนดังเพลิงกัลป์ พระยามารสลดระทดใจ
ความรักความเสียดายนันหนักหนา ชลนาคลอเนตรหลั่งไหล
ยิ่งคิดยิ่งแค้นแสนอาลัย สะอืนให้ครวญคร่้าถึงหลานรัก
ฯลฯ
(หน้า 30)
เมื่อทศกัณฐ์ได้ทราบข่าวก็รู้สึกโกรธ “เร่าร้อนดังเพลิงกาล” มีความสลดใจ และเสียดาย
จนถึงขันร้องให้ที่ตนนันได้สูญเสียหลานรัก นั่นก็คือ ไมยราพ ผู้ที่ได้รับบัญชาให้ไปออกรพก่อนหน้า
ทังยังร้าพึงร้าพันว่า “ อนิจจาเสียแรงที่มีพละก้าลังทังความคิดและความามารถ แต่กลับมาแพ้หนุ
มานและพวก” ทังยังรู้สึกอับอายขายขีหน้าเสียแรงที่ป็นถึงวงศ์ยักษ์เชือสายพรหม รวมถึงยัง
กล่าวหาพิเภกว่าเป็นคนทรยศ บอกกลศึกให้กับฝ่ายพระรามจนหมดสินให้หนุมานลงไปฆ่าไมยราพ
ถึงในชันบาดาลจนถึงแก่ชีวิต หากมัวแต่นิ่งเฉยข้าศึกก็จะฮึกเหิม จึงจ้าต้องออกไปท้าศึก และได้นึก
ถึงผู้ที่เหมาะสมจะเป็นแม่ทัพ ก็พบว่า ยังมีกุมภกรรณ ผู้ที่ได้รับประทานหอกโมกศักดิ์จากท้าว
ธาดาพรหม คิดแล้วจึงมีค้าสั่งให้นางสนมไปทูลเชิญกุมภกรรณมายังต้าหนักของตน
เมื่อนางก้านัลได้รับฟังอย่างนันแล้วจึงทูลลาและเดินออกจากหน้าพระที่นั่ง
เมื่อนางถึงปราสาทของกุมภกรรณแล้ว ก็เล่าความทุกอย่างว่า ทศกัณฐ์ ได้มีบัญชาให้กุม
ภกรรณไปเข้าเฝ้า
เมื่อกุมภกรรณับโองการแล้วก็อาบน้าช้าระร่างกาย แล้วแต่งตัว ทรงเครื่องประดับ ตกแต่ง
อย่างสวยงามและลงจากปราสาท มุ่งหน้าไปยังต้าหนักของทศกัณฐ์พร้อมนางสนม
เมื่อถึงต้าหนักก็ได้ก้มกราบทศกัณฐ์ท่ามกลางเหล่าพงศาคนาญาติ รอรับฟังพระบัญชา
(หน้า 31)
เมื่อทศกัณฐ์ได้เห็นอย่างนันแล้วก็มีก้าลังใจและความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่น้องของตนได้มา
เข้าเฝ้า จึงมีโองการให้ไมยราพสะกดทัพพระรามให้หลับไหลและจับทหรของพระรามและหนุ
มานฆาเสียให้สาสมกับการที่มาฆ่าไมยราพเพื่อไม่ให้ข้าศึกเหล่านันมีความฮึกเหิมมาต่อกร และ
คะยันคะยอให้ยกทัพไปฆ่าสีย
7
เมื่อกุมภกรรณได้ยินอย่างนันแล้วจิงทูลกลับไปว่าอันมูลศึกสงครามนันมีต้นเหตุก็เพราะ
ทศกัณฐ์ไปลักพาตัวนางสีดามา อันจะว่าเป็นของตนก็ไม่ใช่ จึงเสนอให้ทศกัณฐ์คืนนางไปให้กับ
พระรามเสียเพื่อตัดศึกและลดความสูญเสียในอนาคต รวมถึงแนะน้าให้ทศกัณฐ์ตั่งมั่นอยู่ใน
ทศพิธราชธรรม
เมื่อทศกัณฐ์ได้ยินอย่างนันแล้วก็ได้พูดจาว่ากล่าวตัดพ้อว่าเหมือนเจ้านันไม่รักพงศาคณา
ญาติ และกล่าวด้วยความแค้นว่า
“น้องเราเป็นหญิงไปเล่นไพร ควรฤๅมาไล่ราวี
ตัดเท้าตัดกรแล้วมิหน้า ฆ่าซ้าสุริย์วงศ์ยักษี
ฑูษณ์ขรตรีเศียรอสุรี ก็สินชีวีด้วยมือมัน
แล้วใช้อ้ายลิงหนุมาน มาหักรานกิ่งไม้ในสวนขวัญ
ฆ่าหลานเจ้าตายถึงพัน ทังมันลวงเผาเวียงชัย
อ้ายองคตมาสื่อสาร อหังการเจรจาหยาบใหญ่
ฆ่าสี่เสนาบรรลัย เจ็บใจเป็นพ้นพันทวี
แล้วให้สุครีพมาหักฉัตร ก็หยาบช้าสาหัสต่อพี่
ไม่ขอเป็นมิตรไมตรี เร่งโยธียกไปรอนราญ”
(นางส้ามนักขาไปประพาสป่าก็ถูกพระรามตัดเท้าตัดแขน แถมยังฆ่ายักษ์อีกมากมายไม่ว่าจะเป็น
ฑูษณ์ ขร ตรีเศียร แค่นันยังไม่พอ ยังให้หนุมานมาหักกิ่งไม้ในสวนขวัญและฆ่าบรรดาหลานๆของ
ตนมากมาย และยังลอบวางเพลิงในกรุงลงกา หรือว่าจะเป็นตอนที่ส่งองคตมาเจรจาการศึก องคต
8
ก็แสดงการเหยียดหยามทศกัณฐ์ท้าอหังการและฆ่าเสนาทังสี่ และกล่าวถึงตอนที่ช้าใจที่สุดคือ ให้
สุครีพมาหักฉัตร)
(หน้า 32)
เมื่อกุมภกรรณได้ยินเช่นนันแล้วจึงสองพระบัญชาแล้วพลางคิดว่า นางส้ามนักขาของตน
นันอากรณ์หนัก เที่ยวเกียวชายหมายปองพระราม เป็นต้นเหตุของการศึกครังนีแต่ทศกัณฐ์กลับ
เห็นผิดเป็นชอบให้เสียทศพิธราชธรรมจึงต้องท้าสงครามเพราะนางแท้ๆ “อีอัปรีจัญไร” แล้วยังคิด
อีกว่า ทังสุครีพ องคต หนุมาน เป็นทหารที่มากความสามารถ คิดว่าตนเองไม่อาจต้านทานไว้ได้
จึงคิดขอผ่อนผันต่อทศกัณฐ์อีกสักครัง
เมื่อทศกัณฐ์ได้ฟังอย่างนันแล้วรู้สึกโกรธมาก “ได้ฟังกริวโกรธดังเพลิงกัลป์ ขบฟันกระทืบ
บาทา” ก็ได้ย้อนกลับไปว่า
“เหวยอ้ายอัปรีไม่มีอาย กลัวตายอะไรหนักหนา
ดังเนือได้กลิ่นพยัคฆ์ฆา เหมือนกาตาแววเห็นธนู”
(ไอ้น้องจอมขีขลาด มึงจะกลัวตายอะไรหนักหนา เหมือนตัวเนือได้กลิ่นนักล่าเหมือนกาขีขลาดเห็น
แววธนู) ยังไม่ทันจะเห็นธงชัย พอได้ข่าวก็กลัวเสียแล้ว พูดหยามตัวข้าว่าเป็นผู้ที่ผิดเสียชาติเกิดที่
เป็นพี่น้องกัน จะร่วมเจ็บร่วมปวดกันก็หาไม่ ถ้ามึงคิดว่ากูชั่วแล้วก็ให้ไปอยู่กับพิเภกน้องของเจ้าสิ
ก็จะได้ครองกรุงลงกามีสมบัติพัสถานแต่เพียงผู้เดียว
เมื่อกุมภกรรณได้ยินอย่างนันแล้วก็ตกใจมากที่พี่ชายของตนพูดอย่างนันแล้วพลางคิดว่า
“ข้านีทัดทางด้วยสุจริต จะเกรงปัญจามิตรนันหาไม่
คิดว่าจะระงับดับภัย มิให้รณรงค์ราวี”
(ข้าอุตส่าห์เตือนด้วยความหวังดี หากจะเกรงกลัวต่อเหล่าศัตรูนันก็ไม่ใช่ หวังว่าจะช่วยหยุดการศึก
ไม่ให้มีการรบราต่อไปแค่นัน) แต่ท่านพี่กลับไม่เห็นด้วย จะให้ข้านันท้าศึกอย่างเดียว จึงจ้าต้องยก
ทัพไปต่อสู้ตามราชโองการ
(หน้า 33)
เมื่อทศกัณฐ์ได้ยินเช่นนันก็หายโกรธในทันที พลันเปลี่ยนอารมณ์ไปสวมกอดกุมภกรรณลูบ
หน้าลูบหลังแล้วพูดให้ก้าลังใจว่า “ท้าไมมนุษย์กับวานร ฤๅจะต่อกรกับเจ้าได้” และให้กุม
ภกรรณยกทัพไปต่อสู้ให้สินซาก และรับสั่งให้ “มโหทรยักษี”จัดทหารที่มีความสามารถ พร้อมด้วย
สรรพาวุธต่างๆให้พร้อม
9
เมื่อมโหทรได้รับโองการแล้วจึงออกมาจากพระที่นั่งทันที
ลักษณะการจัดทัพของกุมภกรรณ
ทัพหน้าจัดเอามหากาล ทวยหาญเลือกล้วนแข็งขัน
ยี่สิบเอ็ดกองครบครัน จัดสรรเป็นสรรพเสนา
ธงเขียวส้าคัญไว้ซ้าย ธงแดงสามชายอยู่เบืองขวา
แถวกลางธงทองรจนา ให้ดูธงสัญญาพระยายักษ์
โบกเข้าเบืองซ้ายให้โจมตี ที่โบกเข้าขวาให้ขวาหัก
ถ้าโบกตรงจงเข้าให้พร้อมพักตร์ หนุนหนักฟันแทงให้ย่อยยับ
ถ้าโบกออกซ้ายให้ซ้ายล่า ถ้าโบกออกทางขวาให้ขวากลับ
ถ้าธงชัยโบกถอยให้ถอยทัพ ก้าหนดสรรพสินทุกประการฯ
-ทัพหน้าให้เลือกเอาทหารที่แข็งแรงและมีความสามารถ
-กองทัพประกอบด้วยกองรบ 21 กอง
-ธงเขียวไว้ซ้ายสุดของกองทัพ
-ธงแดงริวสามชายอยู่ด้านขวาสุดของกองทัพ
-ธงทองของแม่ทัพอยู่ตรงกลาง
-ถ้าธงทอง -โบกเข้าซ้าย ให้เดินหน้าตีข้าศึก
-โบกไปทางด้านขวา ให้หักทิศทางการเคลื่อนทัพ
-โบกตรง ให้ท้าการสู้รบให้ข้าศึกย่อยยับ
-ถ้าธงชัยโบกไปทางด้านหลัง ให้ถอยทัพกลับ
เมื่อกุมภกรรณลาทศกัณฐ์แล้ว จึงกลับไปสรงน้าที่ท่า
พรรณาการอาบน้้า-แตงกายของกุมภกรรณ
ให้ไขท่อแก้วปทุมทอง เป็นละอองโปรยปรายดังสายฝน
กลิ่นตรลบอบอาบเสาวคนธ์ หอมฟุ้งปรุงปนสุมามาลย์
สอดสนับเพลาตา ภูษายกกระหนกก้าน
ชายแครงเครือหงส์อลงการ แก้วประกาฬเกราะเกล็ดเพชรทราย
รัดอกฉลององค์ทรงประพาส แสงดาดเหลื่อมศรีมณีฉาย
พาหุรัดทองกรจ้าหลักลาย โกมินนิลรายสลับกัน
แล้วทรงธ้ารงเรือนครุฑ กรกุมคทาวุธขึงขัน
งามสง่าดังท้าวเวสสุวรรณ จรจรัลไปขึนพิชัยรถ
10
-ให้นางสนมไปไขท่อน้า เวลาน้าไหลจะออกมาคล้ายฝักบัว มีกลิ่นหอมดอกไม้
-สอดสนับเพลาเป็นผ้ายกลายกนก มีชายไหวชายแครงประดับด้วยเพชร
-รัดอกมีแสงสะท้อนเมื่อกระทบแสง
-มีก้าไลแขนและทองกรสลักลายประดับด้วยโกมิน และ นิล
-ใส่แหวนหัวรูปครุฑ
-ในมือถือคฑา แลดูงดงามสง่าเหมือนท้าวกุเวร และเดินไปขึนราชรถ
(หน้า 34)
บทชมราชรถศึกของกุมภกรรณ
รถเอยราชรถทรง พิลึกล้าก้ากงอลงกต
เรือนแปรกแอกงอนอ่อนชด ชันลดช่อตังบัลลังก์ทอง
เทียมโตสองพันช้านาญศึก เริงร่านหาญศึกเผ่นผยอง
โล่ทันสันทัดในท้านอง ขับคล่องรีบเร่งดังลมพัด
11
พร้อมเครื่องอภิรุมชุมสาย ธงชัยเก้าชายปลายสะบัด
โยธาเบียดเสียดเยียดยัด กวัดแกว่าอาวุธดังแสงไฟ
เสียงฆ้องกลองประโคมโครมครึก เสียงพลโห่ฮึกแผ่นดินไหว
เร่งหมู่ม้ารถคชไกร ออกจากพิชัยธานีฯ
-กงรถมีการตกแต่ง (โมดิฟายด์) -แปรกแก้วงอนสวย
-มีพืนที่ลดหลั่นระหว่างพืนรถและที่ตังบัลลังก์
-เทียมลากรถมีก้าลัง 2,000 (เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร) วิ่งด้วยความไวประดุจลมพัด
-มีอุปกรณ์ในการรบ ปักธงชัยเก้าชาย -มีทหารล้อมรอบแน่นหนา
-มีเครื่องดนตรีเรียกขวัญให้กับนักรบและกองทัพ ขณะเดียวกันก็มีเสียงทหารโห่ร้องเอิกอึง
เมื่อยกทัพมาถึงสนามรบก็หยุดพักทัพริมเชิงเขา รอเวลาที่กองทัพพระรามจะยกมา
ในขณะเดียวกันนันเอง พระรามได้เสด็จมายังหน้าพลับพลาพร้อมด้วยเหล่าวานร พอได้ยิน
เสียงโห่ร้องของกุมภกรรณจึงได้ถามพิเภกว่า นี่เป็นทัพของลงกาใช่หรือไม่ หรือจะเป็นขบวนเสด็จ
ของใคร
พิเภกจังจับยามสามตาดูทันที ครันจึงรู้ความและทูลต่อพระรามว่า อันทัพที่ยกมานีเป็นทัพ
ของกุมภกรรณ ผู้ซึ่งอุปราชของทัพ และเป็นพี่ชายร่วมอุทรของพิเภก ได้สาธยายว่า อันตัวกุมภกร
รณนันเป็นยักษ์ดีที่มีทศพิธราชธรรม ตังมั่นในทศพิธราชธรรม ไม่เบียดเบียนใคร ใครๆก็รู้กันอยู่แต่
12
ที่มาวันนีเพราะเจ้ากรุงลงกา ได้บัญชาให้ยกทัพมาต่อสู้และจ้าต้องมาต่อสู้เพราะเกรงอาญา จึง
ขอให้พระรามโปรดไว้ชีวิตด้วย
(หน้า 35)
พระลักษณ์จึงถามพิเภกด้วยความที่มีจิตใจอ่อนโยนว่า ดูก่อนพิเภก อันที่ท่านว่ามานี กุม
ภกรรณเป็นยักษ์ดีมีศีลธรรม ไม่ได้เบียดเบียนใคร เราจึงไม่ควรสังหารเขา เราจึงควรเจรจาให้เขา
กลับไปก่อน แต่หากเขาไม่ยอม เราก็จ้าต้องอยู่ต่อสู้กับเขาให้ถึงที่สุด ถ้าหากกุมภกรรณยอมรับ
ข้อตกลงนี ก็จะไม่รุกรานกรุงลงกา จึงให้ท่าน(พิเภก)ไปแจ้งแก่พี่ชายของท่าน(กุมภกรรณ)
เมื่อพิเภกได้ความเช่นนันจึงบังคมลา
พิเภกได้เดินไปยังที่ตังทัพของกุมภกรรณท่ามกลางเหล่าทหาร มีความกลัวนิดๆ แต่ก็ข่มใจ
เดินไปยังหน้ารถ และถวายบังคมพี่ชาย
เมื่อกุมภกรรณเห็นพิเภก ก็รู้สึกโกรธยิ่งนัก
“จึ่งร้องว่าเหวยอ้ายทรลักษณ์ ชั่วช้าอัปลักษณ์โมหัน
ธรรมดาพี่น้องผิดกัน ไม่ช้าพลันก็จะกลับคืนดี
13
ถึงมาตรถ้าองค์พระเชษฐา โกรธาขับไล่มึงหนี
ญาติวงศ์พงศ์ศาก็ยังมี เหตุอสุรีจึงไม่ไป
กลับเข้ามาด้วยลักษณ์ราม บอกความตืนลึกทังปวงให้
จะแกล้งฆ่าพงศ์พันธุ์ให้บรรลัย มาหากูไยอ้ายอัปรีย์ฯ”
(เป็นไงล่ะไอ้น้องเวร ธรรมดาของพี่น้องกันถ้าผิดใจกันก็จะกลับคืนดีแต่โดยไว ถึงแม้พี่ชายมึงขับไล่
แต่ท้าไมมึงถึงไม่ไปขออยู่อาศัยกับญาติๆของมึง แต่กลับมาพึ่งพระรามพระลักษณ์ มิหน้าซ้ายังบอก
ความลับให้กับฝ่ายพระรามจนสิน หรือมึงอยากจะล้างเผ่าพันธุ์ให้บรรลัย มึงยังมีหน้ามาหากูอีก
หรือ)
(หน้า 36)
เมื่อนันพิเภกก็ถวายบังคมและพูดสวนไปว่า อันตัวของข้านียังมีแต่พี่ๆ ใช่ว่าจะตัดขาดญาติ
วงศ์พงศา ข้าแค่กราพทูลพระรามว่า กุมภกรรณเป็นผู้ที่ตังมั่นอยู่ในศีลธรรม พระองค์จึงเมตตาให้
ข้ามากราบทูล ในเรื่องที่ทศกัณฐ์ไปลักพาตัวนางสีดาเมียรักของพระราม จะน้ามาซึ่งความสูญเสีย
อันกุมภกรรณเป็นผู้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียจะมาผมพลอยฉิบหายด้วยได้อย่างไร จงควรอยู่ในความ
สุจริต ใครผิดก็ว่ากันตามผิด หากสงครามสงบเมื่อได ก็จะได้ครองกรุงลงกา
เมื่อนันกุมภกรรณก็ได้ปรบมือประชดและหัวเราะเมื่อได้ยินค้ากล่าวของพิเภกทังยังพูด
เสียดสีว่า ตัวมึงเป็นใส่ศึกให้กับอโยธยา พระรามก็ยกเมืองให้อยู่แล้ว แต่กูสิ มีแต่เสียกับเสีย อัน
ลงกานี่เป็นสองเมืองหรือ จู่ก็จะยกให้พี่ จู่ๆก็จะยกให้น้อง หลอกกูไม่ได้หรอก! ที่มึงว่าเป็นนารายณ์
น่ะ ข้าว่าไม่ใช่หรอก ข้าเห็นเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาสองมือมีเพียงแต่ธนูศร ร่อนเร่อยู่ในป่าดงพง
ไพร และมีลิงเป็นสมุน ถ้าหากเป็นดังค้าที่มึงมายกยอ มึงก็จะแจ้งในปริศนาของกู
“คือชีโฉดหญิงโหดมารยา ช้างงารีชายทรชน”
หากเป็นพระนารายณ์จริงๆ ก็จะไม่คิดขัดสนและกูก็จะยกทัพกลับเข้าเมืองทันที
เมื่อเสร็จสินการสนทนา พิเภกจึงจ้าปริศนาแล้วกลับมายังพลับพลาของพระราม
พิเภกได้ทูลพระรามว่า กุมภกรรณไม่เชื่อว่าพระรามเป็นพระนารายณ์อวตาร และมอบ
ปริศนามาให้ 4 ข้อ
(หน้า 37)
เมื่อพระรามได้ฟังปริศนาทังสามข้อ ก็ได้เงียบไปและคิดว่าปริศนานีหมายถึงอะไร เพราะ
เป็นโวหารติดต่อจะมีเหตุผลประกอบก็หาไม่ จึงมีบัญชาให้เหล่าผู้รู้ยันพิเภก ว่ามีความเห็นปะการ
ใด
14
เหล่าเสนาวานรก็คิดกันไปต่างๆนานาในข้อปริศนา
พิเภกจึงทูลไปว่า ไม่มีที่มาของปริศนาทังสี่ ตัวข้านีขัดสนจนปัญญาจริง มันแสนจะลึกลับ
จึงขอให้องคตผู้มีความปราดเปรื่องปรีชา ออกไปลวงถามด้วยอุบายอันแยบคายเพื่อไม่ให้เป็นการ
เสียเกียรติของพระราม
เมื่อนันเอง พระลักษณ์จึงทูลค้าตอบไปยังองคต ว่าเราได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ปริศนา
ทังสี่เป็นปรอศนาโวหารที่เลียวลด ผู้ที่เป็นปราชญ์เท่านันที่จะเข้าใจ จึงต้องรบกวนองคตให้ออกไป
เจรจากับกุมภกรรณ แต่อย่าให้มันรู้มารยานะ
เมื่อองคตได้รับบัญชาแล้วก็ยินดียิ่ง จึงถวายบังคมต่อหน้าเสนาทหารน้อยใหญ่และออกมา
จากพลับพลา
(หน้า 38)
ครันออกมาหน้าพลับพลาแล้วก็เหาะตรงไปยังสมรภูมิรบทันที
พลางแลเห็นกุมภกรรรยืนบนรถ ก็ลงไปยังหน้าที่จอดรถทันที
และแผลงฤทธ์ดังพระยาราชสีห์ ม้วนหางเป็นแท่นสูงตระหง่านเทียบเท่ารถ (เป็นการหยาม
หน้าเชิงสัญลักษณ์)
และได้ว่ากล่าววาจาอันชาญฉลาดว่า ดูก่อนกุมภกรรณ บัดนีพระรามได้บัญชาให้เรามา
เจรจากับผู้มีความรู้ ให้ทราบถึงการสินสุดข้อปริศนา(ออกอุบายว่ารู้แล้ว) พระรามได้รู้สินแล้ว และ
มีความชื่นชมว่าเป็นโวหารที่ท่านใช้ความชาญฉลาดในการออก และแจ้งไปทังหมด เป็นปริศนา
ระดับปราชญ์ ยากที่จะแก้ไข ยากที่จะหามาเทียบได้
เมื่อนันท้าวกุมภกรรณได้ฟังค้าพูดขององคตและตบมือเย้ยหยันแล้วพูดว่า เหวยๆองคต
เจ้ามาในวันนีมาด้วยความเคลือบแคลง อันเรานันไม่ใช่เด็กน้อย ไม่หลงมารยาเจ้าหรอก ที่ไหนได้
คิดว่าจะรู้ เอาหละ กูจะบอกให้
“อันเจ้ากรุงลงกาไกร นันได้แก่ช้างงารี
มารยาอาธรรม์พ้นนัก ไปลอบลักพาเมียเขาหนี
ฝ่ายพระรามองค์สามี คือชีโฉดชั่วสามานย์
เมียรักของตัวผู้เดียว ทิงไว้เปล่าเปลี่ยวในไพรสณฑ์
ครันหายเที่ยวหาไม่พบพาน ต้องรอนราญวุ่นไป
15
(หน้า 39)
หญิงโหดคือส้ามนักขา ชั่วช้าไม่มีที่เปรียบได้
ไปเที่ยวเกียวชายไม่อายใจ จนต้องทุกข์ภัยพันทวี
อันชายทรชนคนชั่ว คือตัวพิเภกยักษี
ไปเข้าด้วยพวกไพรี มิได้รู้คุณญาติกา”
(อันเจ้ากรุงลงกานันคือช้างงารี เที่ยวลอบลักพาตัวเมียเขา ส่วนพระรามคือชีโฉดที่พาเมียมาเดินป่า
พอเมียหาญก็ต้องต่อสู้เพื่อเอาเมียคืน หญิงโหดคือนางส้ามนักขา ร่านไม่เลือก จนน้ามาซึ่งความ
ทุกข์ และ ชายทรชนคือพิเภก ที่ทรยศเหล่าญาติ ไปเข้าด้วยกองทัพพระราม) เอ็งจงไปบอก
พระราม แล้วเอากองทัพออกมาต่อสู้กันดีกว่า
เมื่อองคตได้ฟังค้าเฉลยจากกุมภกรรณแล้วก็หัวเราะตบมือแล้วชีหนาว่า เห้ย กุมภกรรณ
อวดอ้างอยู่ได้ว่ามีปัญญาแสร้งผูกปริศนาแล้วมาดูถูกเรา หารู้ไม่ว่า พระรามมีความเมตตาให้ภิเภก
ออกมาเจรจาหย่าศึกหวังให้ชีวิตแต่กลับยังอหังการ หวังจะท้าศึกกับพระราม และทิงท้ายว่า เจ้าจ้า
จะหัวขาดด้วยศรพรหมมาศ ว่าแล้วส้าแดงฤทธิ์เหาะกลับไปยังพลับพลาพระราม
ครันองคตมาถึงหน้าพลับพลาแล้วก็ทูลความจริงแก่พระราม ว่าตัวกุมภกรรณนันมีความฮึก
เหิมหยาบช้า หวังจะให้ไปท้าศึก
พระรามเมื่อได้ยินค้าพูดขององคต จึงถามภิเภกว่า ภิเภก! ไหนว่ากุมภกรรณตังมั่นอยู่ใน
สัจจะวาจา เราจึงมีเมตตาแก่มัน แต่นี่มันกลับมาท้าทายด้วยความหยาบช้า ผลที่ตามมารู้หรือไม่
ว่ามันคือความตาย เราจะยกพลไปตามฆ่ามัน
(หน้า 40)
พิเภกจึงทูลสนองพระรามว่า บัดนี่ยังไม่ถึงวลาอันสมควรที่จะท้าการศึก จึงแนะน้าให้สุครี
พออกไปรบพร้อมไพร่พลก่อนเพราะสุครีพนันเป็นน้องของพาลี ผู้ที่มีฤทธิ์เทียบเท่าพาลี
พระรามเมื่อได้ยินอย่างนันแล้วจึงเห็นชอบและบัญชาให้สุครีพยกทัพไปปะทะกับกุมภกร
รณก่อน ถ้าหากตังรับศึกเอาไว้ไม่ได้ พระรามก็จะน้าทัพไปเสริมอีกแรง ว่าแล้วจึงสั่งให้ชมพูพานจัด
ไพร่พลไปต่อสู้
เมื่อนันสุครีพและชมพูพานก็ถวายบังคมลาออกมาจากพลับพลา
16
ลักษณะการจัดทัพของพระราม
ฝ่ายชมพูพานก็จัดพล ให้นิลนนท์เป็นกองหน้า
ปีกซ้ายเกสรทมาลา ปีกขวาวาหุโรมฤทธี
เกียกกายนันนิลปาสัน กองขันเอานิลเกศี
ยกกระบัตรคือสัตพลี กองหลังกระบี่โกมุท
พร้อมพรั่งทังหน้าพลับพลา โยธาถ้วนสามสิบสมุทร
แต่ละตนล้วนมีฤทธิรุทร กวัดแกว่งมืออาวุธคือเปลวไฟ
เป็นเบญจเสนาสิบห้ากอง ต้องตามกระบวนทัพใหญ่
เยียดยัดอัดอึงคะนึงไป เตรียมไว้คอยลูกพระทินกรฯ
-ฝ่ายชมพูพานได้จัดทัพให้เหล่าวานรสิบแปดมงกุฎร่วมรบในครังนี
-นิลนนท์เป็นกองหน้า เกสรทมาลาอยู่ปีกซ้าย หุโรมฤทธิ์อยู่ปีกขวา
-ผู้ร่วมรบมีนิลปาสัน นิลเกศี สัตพลี กระบี่โกมุท
-มีกองก้าลัง 30 กอง -วานรแต่ละตนทนต่อไฟ
-มีเสนาใหญ่ 5 นาย แต่ละนายคุมก้าลัง 3 กอง
สุครีพและเกล่าวานรไปอาบน้า
(หน้า 41)
พรรณนาการแต่งกายของสุครีพ
อ่าองค์ทรงเครื่องพิชัยยุทธ์ สนับเพลาเครือครุฑจ้ารัสศรี
ภูษาพืนด้าเชิงนาคี ผ้าทิพย์รูจีสังวาลวรรณ
สร้อยสะอิงเนาวรัตน์รุ้งร่วง ตาบทิพศทับทรวงกุดั่น
พาหุรัดทองกรมังกรพัน มงกุฎสุวรรณกรรเจียกจอน
ห้อยพวงมาลัยดอกไม้มาศ องอาจดั่งพระยาไกรสร
จับพระขรรค์เพชรฤทธิ์รอน ไปยังนิกรโยธาฯ
-ใส่ชุดนักรบ -สนับเพลาลายเครือ
-ผ้าพืนด้าเชิงนาค (ลายจก) -สวมสังวาล
-สวมสร้อยเนาวรัตน์ -สวมตาบทิศและทับทรวงลายกุดั่น
-สวมก้าไลแขนและทองกรลายมังกร -มงกุฎทองค้า
-ที่หูห้อยพวงมาลัย -พระขรรค์เพชร
17
เมื่อสุครีพมาถึงกองทัพก็เคลื่อนทัพออกไปยังแนวป่าและซุ่มก้าลังของกองทัพลงกา
และแล้วเมื่อกุมภกรรรมองเห็นสุครีพยกไพร่พลออกมาก็พิศเพ่งพิเคราะห์ดูเหล่าวานรและ
คิดว่าไม่สามารถต้านทานไว้ได้แน่ๆ จึงต้องออกอุบายให้สุครีพถอยทัพออกไปเพื่อให้สะดวกต่อการ
ท้าการรบและสะดวกแก่การยกพลรบ ว่าแล้วก็กวัดแกว่งอาวุธเคลื่อนรถไปหน้าทัพของวานร
กุมภกรรณได้ป่าวร้องไปว่าเหตุไฉนว่าเหตุใดสุครีพกับพาลีเป็นพี่น้องด้วยกันแท้ๆ ไฉนจึง
อกตัญญูกลายเป็นศัตรูกับพี่ตัเอง คบกับพระรามและฆ่าพาลีชิงเอาสมบัติ ไพร่ พล บริวาร ไม่กลัว
เวรกรรมจะตามสนองหรือไร ไหนๆยกทัพมาแล้ว ก็พาพวกวานรมาต่อสู้กันสิ กูไม่กลัวมึงหรอก
(หน้า 42)
ฝ่ายสุครีพเมื่อได้รับฟังกุมภกรรณแล้วก็ตบมือพลางหัวเราะและตอบไปว่า ดูก่อนสิอ้าย
ทรลักษณ์ ช่างไม่มีเหตุผลเสียเลย อันพระรามนันอวตารมาเพื่อที่จะปราบอธรรมให้สินซาก อัน
พระยาพาลีนันเคยสาบานกับข้าว่า หากคิดไม่ซื่อต่อกู ก็ให้ต้องศรนารายณ์ ครันจะเสียชีพด้วเสีย
สัตย์ก็เป็นไปได้ ใช่ว่ากูมุ่งหวังจะท้าร้ายชิงสมบัติพัสถาน เอ็งพูดแบบนีได้อย่างไร ไอ้ชาติจังไรอัปรี
ตัวกูยกพวกมาหวังจะมาฆ่าตัดหัวมึงไปถวายพระรามให้จงได้
18
ฝ่ายกุมภกรรณเมื่อได้ยินสุครีพก็โกรธกริวยิ่งนักและพลางตอบไปว่า ดูก่อนไอ้เดรัจฉาน
กล้ากล่าวค้าท้าโอหัง อันมึงกับกูมันคนละชันกันที่จะมารบราฆ่าฟัน ฤทธิ์ของเอ็งนันด้อยนัก ไม่ต่ง
กับพยัคฆ์กับพญาราชสีห์ สู้ไปก็มีแต่ความอัปยศ หากเจ้าแน่จริง จงไปถอนต้นรังในชมพูทวีปมาสิ
แล้วข้าจะเชื่อว่าเจ้ามีฤทธิ์จริง
เมื่อนันสุครีพไม่ทันรู้กลศึกก็โกรธมากที่ถูกหยามหน้า ก็พูดว่า กุมภกรรณเอ๋ย เอ็งเป็นแค่
น้องของทศกัณฐ์ ขนาดพี่มึงยังเคยพ่ายแพ้แก่กูมาแล้ว ครันข้ายกฉัตร เอ็งลืมไปแล้วหรือวะ แม้แต่
เขาพระสุเมรทรุดลงมาข้าก็ยกได้โดยไว จะนับประสาอะไรแค่ต้นรังในชมพูทวีป ว่าแล้วก็กวัดแกว่ง
พระขรรค์และเหาะไปในทันที
(หน้า 43)
สุครีพนันสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้เร็วมาก ลัดนิวมือเดียวก็ถึงชมพูทวีป และลงไปยัง
พืนดินใกล้กับภูเขากาลจันทร์ ที่ตังของต้นรังใหญ่ สูงตระหง่าน สุครีพดีใจมากที่พบต้นรัง จังเดินไป
ยังใต้โคนต้นรัง
สุครีพก็ได้ถอนต้นรัง เท้ายันพืน บ่ายันล้าต้น มือถอนโคนต้นรัง เสียงดังก้องปฐพีเสียงดัง
สนั่นหวั่นไหว โยกไปมา ฉุด กระชากอย่างว่องไวและแล้วก็สามารถถอนได้ทันที
สุครีพเมื่อถอนต้นรังได้แล้วก็ยกขึนกวัดแกว่งไปรอบๆทังสิบทิศดังฟ้าผ่า แล้วเหาะขึนไปยัง
บนท้องฟ้ามาหน้ารถทันที
สุครีพได้ร้องประกาศและแสดงอ้านาจของตน พร้อมถามกุมภกรรณว่านี่คือต้นอะไร
เมื่อกุมภกรรณเห็นสุครีพอ่อนก้าลังก็มิได้เว้นจังหวะกวัดแกว่งคทาลงจากรถโดยทันที และ
หาจังหวะโจมตีสุครีพ
กุมภกรรณหวดไปซ้ายขวาด้วยก้าลังดังพญาสิงห์ ตาต่อตาฟันต่อฟัน ตีไปยังวานรซ้าๆ
หลายๆที
เมื่อนันสุครีพก็ได้พยายามต้านประจันและรุกไปเรื่อยๆ
สุครีพได้ที หยิบเอาต้นรังฟาดกุมกรรณ ละต้นรังก็หักไปกับมือ
(หน้า 44)
กุมภกรรณหมายจะฆ่ากุมภกรรณ
19
เมื่อได้ทีแล้วจึงทุบด้วยคฑาท้าให้สุครีพเสียทีก็หนีบด้วยรักแร้และกลับไปในวงล้อมของ
ทหารลงกาและกลับเข้าเมืองไปทันที
ฝ่ายพลวานรเมื่อเห็นว่าสุครีพเสียทีถูกกุมภกรรณจับตัวไปก็ตระหนกตกใจจนตัวสั่น จะไป
ชิงตัวก็ไม่ทัน ทัพได้แตกกระจายออกไปก่อน
เมื่อมาถึงพลับพลา วานรก็เข้าไปกราบทูลพระรามว่าสุครีพเสียกลศึกแก่กุมภกรรณ
มิหน้าซ้ายังถูกพาตัวไปยังลงกา
เมื่อพระรามทราบข่าวก็โกรธและคิดว่าเหตุไฉนน้องพระยาพาลีมาเสียทีกุมภกรรณ หาก
เป็นเช่นนีก็จะเป็นที่ครหานินทาแก่ทศกัณฐ์ได้ ว่าแล้วก็มีโองการสั่งให้หนุมานไปชิงตัวสุครีพกลับ
มา
หนุมานเมื่อได้ยินเช้านนันจึงทูลลาไปปฏิบัติภารกิจของตนทันที
หนุมานได้แสดงอ้านาจผาดโผน แสดงฤทธิ์ ทังสิบทิศก็หวั่นไหวไปสนั่น
หนุมานแลเห็นกุมภกรรณหนีบสุครีพไปจนไกล้ถึงประตูเมืองลงกา เมื่อได้จังหวะก็โจมตี
โดยทันที
(หน้า 45)
“ถีบด้วยเท้าซ้ายป่ายขวา หัตถาบีบคอยักษี
สุครีพพลัดจากอสุรี สองกระบี่ช่วยกันรอนราญ”
หนุมานถีบกุมภกรรณด้วยเท้าซ้าย ปีนป่ายไปมา มือก็พลางบีบคอจนสุครีพพลัดตกจาก
รักแร้ของกุมภกรรณ และทังสองก็ช่วยกันต่อสู้
เมื่อนันกุมภกรรณรู้ตัวว่าไม่สามารถจะต้านทานอย่างไร ก็รุ้สึกเสียใจผิดหวังนิดๆ แค่ป้อง
ปัดต่อสู้กับลิงแค่สองตัวก็ไม่ได้ จ้าใจต้องยอม
สุครีพและหนุมานต่างก็รุมกัด หนุมานกัดหูทังสองข้าง ส่วนสุครีพกัดจมูก
กุมภกรรณเห็นว่าต้านไม่ไหวแล้ว ก็พลันวิ่งเข้าเมืองทันที
เมื่อกุมภกรรณวิ่งหนีเข้าเมือง ทังสองก็เหาะกลับมายังพลับพลาของพระราม และทูลความ
จริง
เมื่อพระรามได้ยินดังนันได้ฟังแล้วรู้สึกโกรธ แผดเสียงว่า ไอ้ลูกพระอาทิตย์ เสียแรงนักที่
เจ้ามีแรง ท้าไมถึงไม่ใช้ความคิดให้รอบคอบ ดันไปหลงกลของกุมภกรรณได้ สงครามเพียงแค่นีก็
20
ต้านรับไม่ได้ หากหนุมานไปไม่ทันก็จะถึงแก่ชีวิต เป็นที่น่าอับอายแก่เหล่าศัตรู ดีไม่ดีก็จะท้าให้มี
ความทะนงใจ เสียทีที่เป็นจอมทัพ ถ้าหากไม่มีความดีความชอบจะฆ่าทิงเสีย
(หน้า 46)
ด้วยความที่สุครีพกลัว จึงกล่าวค้าขอโทษว่า ใรการศึกครังนีตนเองนันท้าให้พระรามเสีย
หน้าจึงควรแก่การลงโทษถึงชีวิต แต่หากพระรามมีความเมตตา มีพระคุณมากมายจะเปรียบสิ่งใด
ก็มากกว่า จึงขอเอาพระบารมีมาปกเกล้าเหล่าวานร
เมื่อนันพระรามได้ยินค้าของสุครีพก็ยิมได้ และเอ่ยปากชมหนุมานว่าสมแล้วที่เป็นถึงทหาร
ใหญ่มากความสามารถ ว่าแล้วก็เสด็จออกไปจากพลับพลา
จะยกข้อต่อกล่าวท้าวกุมภกรรณ ที่ถูกลิงกัดจนจมูกแหว่งแสนน่าเวทนา ร่างกายบอบช้าไม่
ประสมดี ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งแค้นแสนเวทนา น้าตาก็ไหลหลั่ง เดินพลางก็ไปถึงต้าหนักของทศกัณฐ์
ครันมาถึงก็น้อมเศียรวันทาแทบเท้าทศกัณฐ์ มองแล้วช่างน่าอับอายยิ่งนักประหนึ่งจะตาย
ให้ได้
ทศกัณฐ์เมื่อเห็นเช่นนันก็ตกใจ มีบัญชาถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี
(หน้า 47)
กุมภกรรณจึงทูลว่าอันตัวข้านีได้ยกทัพไปต่อสู้กับกองทัพลิง จับได้สุครีพหนีบรักแร้มา จน
ไกล้จะถึงประตูเมืองก็มีหนุมาน มาต่อสู้และชิงสุครีพไป และต่อสู้มันไม่ได้จึงเสียทีและพ่ายต่อมัน
ไป รู้สึกเสียใจยิ่งนัก
เมื่อนันทศกัณฐ์ก็ได้สวมกอดปลอบน้องชายว่าอย่าเสียใจไป เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย สุด
แล้วแต่ปัญญานันเรื่องใหญ่ ในการศึกถ้าเสียทีก็ต้องมีชัย มิใช่แต่จะมีแพ้ อันตัวเจ้านันก็มากด้วย
ฤทธิ์ ปราบได้ทั่วหล้า อันศึกเพียงนีเล็กน้อยนัก จงคิดไปต่อสู้เพื่อชัยชนะ จะได้เป็นเกียรติตราบจน
สินฟ้า อย่าไปเสียใจกับมันเลย เจ้าจงอย่าละความพยายาม
เมื่อกุมภกรรณฟังพี่ชายพูดให้ขอคิดปลอบใจจึงทูลไปว่า กองทัพพระรามนัน น้องจะก้าจัด
พวกมันให้ได้ แต่ว่าจะลาพระองค์ไปเอาหอกโมกขศักดิ์ที่สวรรค์ชันพรหม แล้วกลับไปสังหารแก้
แค้นให้สาสม
ทศกัณฐ์ได้ยินเช่นนันแล้วก็ยินดีเป็นยิ่งนัก ลูบหลังและให้ก้าลังใจว่า อันเหล่ามนุษย์และ
วานรนัน จะต้องตายด้วยน้ามือของน้องชายเราเป็นแน่แท้
21
กุมภกรรณก็ทูลลาและออกจากท้องพระโรง
กุมภกรรณพลางส้าแดงฤทธิ์เสียงดังหวั่นไหว และเหาะขึนไปยังสวรรค์ชันพรหม
(หน้า 48)
เมื่อถึงวรรค์ชันพรหม กุมภกรรรก็เล่าความแก่ท่าวธาดาพรหม ว่าบัดนีกรุงลงกาของเรา
เกิดเหตุเข่นฆ่า อันตัวข้าจะมาขอหอกโมกขศักดิ์ไปต่อสู้
ท้าวธาดาพรหมเมื่อได้ฟังกระนันแล้วจึงบัญชากลับไปว่า อันหอกโมกขศักดิ์นันมีความ
แปลกประหลาดนัก ร้อยวันพันปีไม่มีราคี แต่มาบัดนีกลับมีสนิมมาเกาะติด เอ็งสินะที่เป็นผู้อยู่ใน
ครรลองครองธรรม ท้าวธาดาพรหมจึงเผลอมอบหอกโมกขศักดิ์ไปให้ทันที
กุมภกรรณเมื่อได้ฟังแล้วจึงทูลกลับไปว่า ตัวข้านีตังมั่นอยู่ในธรรม ตัวทศกัณฐ์ต่างหากที่
เป็นผู้ก่อความชั่ว ไปลักพาตัวนางสีดาผู้เป็นเมียของพระราม ผัวเขาจึงตามมาเข่นฆ่าราวี ครันจะ
ห้ามให้คืนนางมันก็โกรธ ด้วยความที่เป็นน้องชาย ไม่มีทางเลือกจงต้องเป็นไก่รองบ่อน มาครังนีข้า
จึงขอความปราณีเป็นที่พึ่งแก่ข้า
เมื่อท้าวธาดาพรหมได้ฟังค้าพูดของกุมภกรรณแล้วก็ตอบไปว่า อันทศกัณฐ์นันท้าความชั่ว
มาก เบียดเบียนมาถึงสวรรค์ มันชักจะก้าเริบอีกหรือ ว่าแล้วท้าวธาดาพรหมจึงยกหอกให้ด้วย
ความเข้าใจผิด และอวยชัยว่า เสียชีพอย่าเสียสัตย์ ตามวศ์พรหมของเรา
เมื่อนันกุมภกรรณรับเอาหอกแล้วก็ถวายบังคมลาท้าวธาดาพรหม ส้าแดงฤทธิ์เหาะเหิน
กลับมายังลงกา
(หน้า 49)
ครันมาถึงลงกาแล้วกุมภกรรณจึงมีรับสั่งให้กากนาสูรไปตังโรงพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ที่เชิง
เขาพระสุเมรุไกล้ฝั่งน้าอันอุดมไปด้วยพรรนานา
กากนาสูรรับบัญชากุมภกรรณและถวายบังคมลา
กากนาสูรเกณฑ์พนักออกจากเมืองไปยังเชิงเขาพระสุเมรุ
เมื่อถึงฝั่งน้าจึงสั่งให้พนักงานปลูกโรงพิธีขึน
ฝ่ายทหารก็ช่วยกันสร้างโรงพิธีจนเสร็จ
22
พรรณนาลักษณะของโรงพิธีลับหอกโมกขศักดิ์
ปลูกเป็นโรงราชพิธี อลงกตยาวรีสิบเก้าห้อง
หลังคานันตาดแดงแย่งทอง ช่อฟ้ากุก่องอลงการณ์
จัตุรมุขงามแม้นพิมานสวรรค์ หน้าบั่นดังเทพเลขา
เพดานแดงประดับด้วยดารา ห้อยบุปผามาลัย
ลายริวราชวัติฉัตรจรง ทิวธงเรียงรายปลายไสว
ล้อมแผ่นศิลาอ้าไพ ที่ลับหอกชัยอสุรีฯ
-ขนาด ยาว 19 ห้อง -มุงหลังคาด้วยตาดสีแดงแกมทอง
-มีช่อฟ้า -มุขทังสี่งดงามปานกับวิมานบนสวรรค์
-ประตูลายเทพพนม
-เพดานเป็นสีแดงประดับด้วยพวงดอกไม้ลายราชวัติ
-มีธงรายล้อมบริเวณปรัมพิธี (ล้อมรอบที่ลับหอก)
กุมภกรรณจะเสด็จมายังแท่นแก้วท่ามกลางบรรดาเสมนาอ้ามาตย์ จึงตรัสให้มหากาล
เตรียมรถให้พร้อมรวมไปถึงก้าลังพลจ้านวนหนึ่งไปตังพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ที่เช้งเขาพระสุเมรุ ลัง
เพื่อเอาไปฆ่ามนุษย์ให้ถึงแก่ความตาย
(หน้า 50)
มหากาลเมื่อได้รับบัญชาจากกุมภกรรณแล้ว ก็วิ่งลนลานออกไปท้าหน้าที่ของตน
ลักษณะการจัดกระบวนทัพของมหากาล
เกณฑ์มารเป็นหมู่พยุหบาตร โดยกระบวนประพาสในป่าใหญ่
ห้าพันล้วนพวกธงชัย แห่ในเบืองหน้าพระยามาร
กองขวาคอยป้องล้วนถือปืน แปดพันเลือกพืนทหารหาญ
กองซ้ายถือศรเผ่นทะยาน แปดพัคอยผลาญปัจจามิตร
กองหลังถือธนูก้าซาบ โล่ ดัง หอก ดาบ กระบี่ กฤช
เตรียมทังรถทองเชาวลิต เสด็จตามประกาศิตอสุราฯ
-มหากาลเกณฑ์ทหารและเดินทางไปยังโรงพิธีรวมเบ็ดเสร็จแล้วห้าพันตนแห่ไปล่วงหน้ากุมภกรรณ
–กองขวาคอยถือปืนกว่าแปดพันตน -กองซ้ายแปดพันตนถือธนูศร
-กองหลังถือธนู ศร โล่ ดัง หอก ดาบ กระบี่ กฤช
พอตอนเช้ากุมภกรรณก็มาที่แม่น้า
23
บทพรรณนาเครื่องแต่งกายของกุมภกรรณ
ช้าระสระสนานส้าราญกาย สุหร่ายแก้วโปรยดังสายฝน
ทรงสุคันธารสเสาวคนธ์ ปรุงปนทิพย์มาศสุขุมาลย์
สนับเพลารายพลอยเครือแย่ง ภูษาชายแครงกระหนกก้าน
ชายไหวชายแครงอลงการ ทรงมหาสังวาลทับทิมพราย
ทับทรวงสร้อนสนสะอิงแก้ว ตาบทิศเพชรแววฉานฉาย
พาหุรัดทองกรจ้าหลักลาย ธ้ามรงค์พลอยรายกรรเจียกจอน
ห้อยพวงมาลัยดอกไม้ทัด ขัดพระขรรค์เพชรประภัสสร
จับพระแสงโมขศักดิ์ฤทธิ์รอน กรายกรไปขึนพิชัยรถฯ
-อาบน้าด้วยฝักบัวที่โปรยปรายเหมือนสายฝน -ฉีดน้าหอมที่มีกลิ่นดอกไม้
-กางเกงประดับพลอยลายเครือแย่ง -ผ้าชายแครงตกแต่งด้วยลายกนกด้าน
- ทรงสังวาลสีแดงประดับทับทิม -ทับทวงประดับเพชร
-ทาบทิศฝังเพชร -ก้าไลแขนและทองกรสลักลวดลายงดงาม
–แหวนประดับพลอย -พวงมาลัยทัดหู
-ทรงพระขรรค์เพชร หยิบหอกโมกศักด์แล้วไปที่รถทรง
บทพรรณนาราชรถทรง
รถเอยราชรถนิล โกมินกงมาศมรกต
ทรงงามสามงอนอ่อนชด ชันลดช่อลอยล้วนพลอยเพชร
แก้วกระหาบกาบกระหนกนกลาย บัวหงายบังเงากระจังเก็จ
บัลลังก์บุลวดผอวดเม็ด แสงเตร็จส่องตรัสเมฆาฯ
-รถทรงสีแดงโกมิน -กงล้อสีเขียวตก
-แต่งด้วยเพชรพลอย -กาบแก้วลวดลายกนกสวยงาม
-ลายกนกบัวหงายบังด้านหน้ากระจังรถ -บัลลังก์เพชร
(หน้า 51)
คนขับรถพาล่องไปบนเวลาสูงลิบและมีแสงสะท้อนจากเพชรนิลจินดาที่ประดับรถ มีมโหรีบรรเลง
และต้นเสียงเห่ รถก็เหาะลิ่วข้ามยอดเขายุคุนธรและมหาสมุทรทังเจ็ด
24
เมื่อถึงโรงพิธีที่เชิงเขาพระสุเมรุ จึงสั่งเสนาเฝ้าเวรยามดูแลทังทางบกและทางน้าอย่าให้
ของเน่าเหม็นเข้ามาในเขตที่ท้าพิธี เมื่อสั่งความเสร็จสินแล้วจึงลงจากรถ แลดูองอาจเยี่ยงพญาสิงห์
เข้าสู่โรงพิธี
กุมภกรรณจุดธูปเทียนบูชา โปรยดอกไม้เจ็ดสี ใส่เลือดโคถึกที่ชื่อว่า มฤคี จัดใส่เครื่องบัตร
พลี ยกมือไหว้บรรพบุรุษ บริกรรมพระเวทพร้อมลับหอกโมกศักดิ์
ตอนเช้าพระรามตื่นบรรทม แสงฟ้าส่องหน้าก็ออกจากแท่น อาบน้าและล้างหน้าแล้วชวน
พระลักษณ์ไปตรวจตราความเรียบร้อยของกองทัพกับหมู่เสนา
ทังสองพระองค์นั่งลงบนแก้ว พร้อมทหารติดตาม แล้วถามพิเภกว่าตอนนีกุมภกรรณเป็น
อย่างไรจึงไม่ยกทัพมาท้าสงครามกับเรา
พิเภกจึงบอกว่าทัพกุมภกรรณไม่มาเพราะไปลับหอกโมกศักดิ์ที่เขาพระสุเมรุ เมื่อลับเสร็จ
ทังสี่คมด้านก็จะมีพลังดั่งไฟกรด ปราบได้ทั่วสวรรค์ยันบาดาล ไม่มีอะไรต้านทานได้
(หน้า 52)
เมื่อพระรามได้ฟังที่พิเภกพูดถึงอาวุธของกุมภกรรรณที่มีพลังรุนแรง จึงคิดว่าจะท้าเช่นไร
จึงจะไม่เป็นเช่นนัน
พิเภกจึงกล่าวว่ากุมภกรรณนันเป็นคนรักความสะอาด รักกลิ่นหอมจะประพรมน้าหอมทุก
วัน แพ้สิ่งที่เน่าเหม็นจึงให้หนุมานและองคตแปลงกายเป็นสุนัขเน่าลอยไปใกล้โรงพิธีท้าให้ลับหอก
ไม่ส้าเร็จ
เมื่อพะรามได้ฟังค้าแนะน้าของพิเภกจึงสั่งให้หนุมานและองคตไปขัดขวางการท้าพิธีลับ
หอกโดยทันที
หนุมานละองคตรับค้าสั่งของของพระรามและเหาะมุ่งหน้าไปเขาพระสุเมรุ
เมื่อมาถึงเชิงเขาพระสุเมรุจึงเห็นกุมภกรรณลับหอกอยู่โรงพิธีใกล้ริมแม่น้า ทังสองจึงเหาะ
ลงมาและแปลงกาย
(หน้า 54)
หนุมานแปลงเป็นสุนัขเน่าลอยน้ามา องคตแปลงเป็นอีกาบินโฉบมากินสุนัขเน่า
25
เมื่อกุมภกรรณลับหอกอยู่นันพลางหันไปเห็นสุนัขเน่ามีแมลงวันตอม และกาจิกกินมีหนอน
เต็มไปหมดก็อาเจียน เวียนหัวไม่สามรถลับหอกต่อได้จึงขึนรถกลับกรุงลงกาและมีค้าสั่งให้ทหารที่
อยู่ที่เชิงเขาพระสุเมรุกลับกรุงลงกาทังหมด
องคตและหนุมานเมื่อเห็นกุมกภกรรณกลับไปก็ต่างก็พอใจและกลายเป็นลิงขึนจากแม่น้า
หนุมานและองคตเหาะกลับมาที่พลับพลาอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงพลับพลาก็ทูลต่อพระรามว่าท้าลายพิธีส้าเร็จ
เมื่อพระรามได้ยินก็ทรงยินดีและชื่นชมหนุมานและองคตว่ามิเสียทีที่เป็นวงศ์เทเวศ ทังฤทธิ์
เดช ความคิดไม่แพ้ใคร ขอให้ทังสองรักษาความดีนีไว้ และเสด็จกลับไปในห้อง
(หน้า 54)
เมื่อกุมภกรรณถึงกรุงลงกาก็เข้าเฝ้าทศกัณฐ์
บอกถึงการตังพิธีตังแต่ต้นอย่างถี่ถ้วนจนจบ
ทศกัณฐ์ได้ฟังเรื่องแล้วแค้นใจเป็นยิ่งนัก ร้อนใจร้อนใจแล้วบอกว่า อันมหาสมุทรสีทันดร
เป็นที่ที่ไกลเกินกว่ามนุษย์จะเข้าถึง น้าที่นั่นก็ไม่สกปรกแม้แต่น้อย แต่สุนักเน่าและอีกานันมาได้
อย่าไร หรือเอ๊ะ จะเป็นเพราะพิเภกคนชั่วบอกความจริงแก่พระราม จึงมีการมาล้มล้างพิธี ถึง
อย่างไรก็ตามแต่ ไม่สามารถลับหอกโมกขศักดิ์ได้ งันพรุ่งนี เจ้าจงยกทัพไปฆ่าเสียให้สิน
เมื่อกุมภกรรณได้รับค้าสั่งจากทศกัณฐ์ก็รับสนองเพราะความโกรธแค้นดังไฟจี ถึงตายก็ไม่
เสียดายชีวิตเพราะคิดจะแก้แค้นจึงลาทศกัณฐ์แล้วกลับปราสาทของตน
กุมภกรรณสั่งการยักษีให้เตรียมพลไปรบกับพระรามพรุ่งนี
(หน้า 55)
สิทธิกาลรับค้าสั่งแล้วออกไปจากต้าหนัก
ลักษณะการจัดทัพครั้งที่สองของกุมภกรรณ
จัดหมู่ทหารช้านาญยุทธ์ ถือปืนคาบชุดเป็นทัพหน้า
กองขันถือคบศิลา ล่้าสันกายาเร็วแรง
เกียกกายล้าพองคะนองศึก ห้าวฮึกถือธนูขัดแล่ง
กองหลวงล้วนขัดดาบแดง มือถือทวนแทงถ้วนตน
ยุกกระบัตรล้วยถือหอกใหญ่ นายหมวดตรวจไพร่กุลาหล
26
กองหนุนเลือกล้วนคงทน ถือง้าวค้ารนจ้าราญรอน
กองหลังมือถืออาวุธ ส้าแดงฤทธิ์รุธดั่งไกรสร
เตรียมทังรถทรงอลงกรณ์ คอยเสด็จบทจรอสุราฯ
-จัดทหารช้านาญการต่อสู้ -ทัพหน้าถือปืนและธนู
-กองขันถือคบศิลา -ร่างกายแข็งแรง
-นักรบทุกตนล้วนคะนองศึกและสะพายลูกธนู -กองกลางถือดาบสีแดงและทวน
-นายหมวดถือหอกใหญ่ -กองหนุนถือง้าว
-กองหลังล้วนด้วยอาวุธ เตรียมรถศึกออกรบ
ตอนรุ่งสางกุมภกรรณอาบน้า
บทพรรณนาการแต่งกายของกุมภกรรณ
สุหร่ายแก้วโปรยปรายดังสายฝน ทรงสุคนธ์เฟื่องฟุ้งจรุงกลิ่น
สนับเพลาเชิงรูปนาคิน ภูษาเครือกินรีร้า
สอดใส่ฉลององค์อย่างน้อย เกราะพลอยมรกตเขียวข้า
รัดอกล้วนบุษราคัม ประจ้ายามเคียงคั่นกุดั่นดวง
สร้อยสนสังวาลสะอิงแก้ว ตาบทิศเพชรแพรวรุ้งร่วง
เฟื่องห้อยพลอยประดับทับทรวง พาหุรัดแก้วดวงทองกร
สอดใส่ธ้ามรงค์เนาวรัตน์ กรรเจียกแก้วจ้ารัสประภัสสร
จับโมกขศักดิ์ฤทธิ์รอน บทจรมาขึนรถทรงฯ
-อาบด้วยฝักบัวแก้วที่น้าไหลเหมือนสายฝน -พรมน้าหอม
-สวมกางเกงเชิงของรูปพญานาค -ผ้าลายเครือกินรีร้า
-เกราะพลอยสีเขียวมรกต -รัดอกสีเหลืองบุษราคัม
-ประจ้ายามลายกุดั่น -สังวาลเพชร
-ตาบทิศเพชร -ทับทรวงประดับพ ลอยลายเฟื่ อง
-ก้าไลแขนประดับเพชรและทองกร -สวมแหวน
-หูทัดดอกไม้ -ถือหอกโมกขศักดิ์
บทชมรถของกุมภกรรณ
รถเอยรถศึก เจ็ดงอนพ้นลึกงามระหง
ก้าแก้วสลับประกับกง ดุมวงประดับทับทิมพราย
27
บัลลังก์รายรูปสิงห์สลับครุฑ กรยุดนาคหิวเฉิดฉาย
เทพพนมประนมนิวเรียงราย จตุรมุขงามคล้ายพิมานรัตน์
เทียมโตสองพันตัวคะนอง สารถีขับคล่องยืนหยัด
รวดเร็วดั่งหนึ่งลมพัด มยุรฉัตรเครื่องสูงเรียงรัน
ปี่ฆ้องกลองประสานเสียง ส้าเนียงพลโห่เลื่อนลั่น
ผงคลีมืดคลุ้มชอุ่มควัน รีบเร่งพลขันธ์ออกมาฯ
-รถศึกสวยงาม ขอบข้างมีถึงเจ็ดงอนทังสองฝั่ง - ก้าประดับเพชร ดุมล้อประดับด้วยทับทิม
-บัลลังก์รูปสิงห์สลับครุฑยุดนาค -กนกขอบลายเทพพนม
-สี่มุขดั่งวิมาน -เทียมโตให้ก้าลัง 2000
-เคลื่อนที่เร็ววดังลมพัด -มีมยุรฉัตรสูงเรียงรายหน้าขบวน
-มโหรีบรรเลง -เมื่อทัพเคลื่อนท้าให้เกิดฝุ่นตลบ
(หน้า 56)
เมื่อถึงสมรภูมิ จึงหยุดกองตังกระบวนที่ชายป่า
เมื่อพระรามนอนบนพระที่นั่ง ก็ทรงพูดถึงไมยราพที่มาลอบสะกดทัพจนถึงตอนเช้าแต่นึก
ไม่ถึงว่าจะมีลมพัดกลิ่นดอกไม้ท้าให้ฟื้น
จึงแต่งองค์ทรงเครื่องงดงามดั่งเทวดาจับศรแล้วออกมายังหน้าพลับพลา
สนามรบพร้อมทหารทังสองเมือง มีมากดั่งดาวล้อมเดือน เมื่อได้ยินเสียงสนั่น สะเทือนฝุ่น
ตลบบัง พระรามจึงมีบัญชาให้ดูว่าเป็นทัพของกุมภกรรณหรือเปล่าที่ได้ยินเสียงดังลั่นมาจากทาง
ป่า จะเป็นทัพของกุมภกรรณหรือเปล่าหรือว่าทัพใคร
พิเภกเมื่อได้ฟังเสียงก็ทูลพระรามว่านั่นคือทัพของกุมภกรรณที่มีหอกโมกศักดิ์และก้าลังพล
ละอาวุธมากมาย
(หน้า 57)
เมื่อพระรามได้ฟังพิเภกว่าทัพศัตรูมีก้าลังและอาวุธมากมาย จึงถามพิเภกว่าจะให้ใครไป
ต่อสู้ด้วยจึงจะไม่พ่ายแพ้
พิเภกบอกว่าทัพลิงคงสู้ไม่ไหวต้องให้พระลักษณ์ไปสู้
เมื่อพระลักษณ์ได้ฟังค้าพิเภกก็เห็นด้วย เมื่อพระรามสั่งสอนพระลักษณ์เสร็จ พระลักษณ์
จึงยกทัพไปสู้กับกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ
รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ

More Related Content

What's hot

เกศสุดา2
เกศสุดา2เกศสุดา2
เกศสุดา2Kat Suksrikong
 
สามัคคีเภทคำฉันท์Pdf
สามัคคีเภทคำฉันท์Pdfสามัคคีเภทคำฉันท์Pdf
สามัคคีเภทคำฉันท์PdfMind Candle Ka
 
วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัด
วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัดวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัด
วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัดThiranan Suphiphongsakorn
 
ความสัมพันธ์กับอาณาจักรต่างๆในสมัยสุโขทัย อยุธยา
ความสัมพันธ์กับอาณาจักรต่างๆในสมัยสุโขทัย อยุธยาความสัมพันธ์กับอาณาจักรต่างๆในสมัยสุโขทัย อยุธยา
ความสัมพันธ์กับอาณาจักรต่างๆในสมัยสุโขทัย อยุธยาPrincess Chulabhorn's College, Chiang Rai Thailand
 
งานนำเสนอลิลิตเตลงพ่าย
งานนำเสนอลิลิตเตลงพ่ายงานนำเสนอลิลิตเตลงพ่าย
งานนำเสนอลิลิตเตลงพ่ายSantichon Islamic School
 
โคลงโลกนิติ
โคลงโลกนิติโคลงโลกนิติ
โคลงโลกนิติพัน พัน
 
โวหารในการเขียน
โวหารในการเขียนโวหารในการเขียน
โวหารในการเขียนkrubuatoom
 
รายงานนิราศนรินทร์คำโคลง กลุ่ม 4 ม.4/2
รายงานนิราศนรินทร์คำโคลง กลุ่ม 4 ม.4/2รายงานนิราศนรินทร์คำโคลง กลุ่ม 4 ม.4/2
รายงานนิราศนรินทร์คำโคลง กลุ่ม 4 ม.4/2Chalermsak Sornchai
 
ความรู้พื้นฐานด้านวรรณคดี
ความรู้พื้นฐานด้านวรรณคดีความรู้พื้นฐานด้านวรรณคดี
ความรู้พื้นฐานด้านวรรณคดีWatcharapol Wiboolyasarin
 
การแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพ
การแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพการแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพ
การแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพพัน พัน
 
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นNattha Namm
 
งานนำเสนอมัทนะพาธา
งานนำเสนอมัทนะพาธางานนำเสนอมัทนะพาธา
งานนำเสนอมัทนะพาธาSantichon Islamic School
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์Jariya Huangjing
 
แผ่นพับ ลิลิตตะเลงพ่าย
แผ่นพับ ลิลิตตะเลงพ่ายแผ่นพับ ลิลิตตะเลงพ่าย
แผ่นพับ ลิลิตตะเลงพ่ายAum Orrawan
 
วังสัฏ ฉันท์ ๑๒
วังสัฏ  ฉันท์ ๑๒วังสัฏ  ฉันท์ ๑๒
วังสัฏ ฉันท์ ๑๒Jiraprapa Noinoo
 
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการsupaporn2516mw
 
เล่มที่ 5 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)
เล่มที่ 5  สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)เล่มที่ 5  สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)
เล่มที่ 5 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)Choengchai Rattanachai
 
โวหารภาพพจน์
โวหารภาพพจน์โวหารภาพพจน์
โวหารภาพพจน์krubuatoom
 

What's hot (20)

เกศสุดา2
เกศสุดา2เกศสุดา2
เกศสุดา2
 
สามัคคีเภทคำฉันท์Pdf
สามัคคีเภทคำฉันท์Pdfสามัคคีเภทคำฉันท์Pdf
สามัคคีเภทคำฉันท์Pdf
 
วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัด
วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัดวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัด
วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัด
 
ความสัมพันธ์กับอาณาจักรต่างๆในสมัยสุโขทัย อยุธยา
ความสัมพันธ์กับอาณาจักรต่างๆในสมัยสุโขทัย อยุธยาความสัมพันธ์กับอาณาจักรต่างๆในสมัยสุโขทัย อยุธยา
ความสัมพันธ์กับอาณาจักรต่างๆในสมัยสุโขทัย อยุธยา
 
งานนำเสนอลิลิตเตลงพ่าย
งานนำเสนอลิลิตเตลงพ่ายงานนำเสนอลิลิตเตลงพ่าย
งานนำเสนอลิลิตเตลงพ่าย
 
โคลงโลกนิติ
โคลงโลกนิติโคลงโลกนิติ
โคลงโลกนิติ
 
โวหารในการเขียน
โวหารในการเขียนโวหารในการเขียน
โวหารในการเขียน
 
รสวรรณคดี ม.1
รสวรรณคดี ม.1รสวรรณคดี ม.1
รสวรรณคดี ม.1
 
รายงานนิราศนรินทร์คำโคลง กลุ่ม 4 ม.4/2
รายงานนิราศนรินทร์คำโคลง กลุ่ม 4 ม.4/2รายงานนิราศนรินทร์คำโคลง กลุ่ม 4 ม.4/2
รายงานนิราศนรินทร์คำโคลง กลุ่ม 4 ม.4/2
 
ความรู้พื้นฐานด้านวรรณคดี
ความรู้พื้นฐานด้านวรรณคดีความรู้พื้นฐานด้านวรรณคดี
ความรู้พื้นฐานด้านวรรณคดี
 
การแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพ
การแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพการแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพ
การแต่งคำประพันธ์กลอนสุภาพ
 
หน่วยที่ 11 บทละครในเรื่องอิเหนา
หน่วยที่ 11 บทละครในเรื่องอิเหนาหน่วยที่ 11 บทละครในเรื่องอิเหนา
หน่วยที่ 11 บทละครในเรื่องอิเหนา
 
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
 
งานนำเสนอมัทนะพาธา
งานนำเสนอมัทนะพาธางานนำเสนอมัทนะพาธา
งานนำเสนอมัทนะพาธา
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์
 
แผ่นพับ ลิลิตตะเลงพ่าย
แผ่นพับ ลิลิตตะเลงพ่ายแผ่นพับ ลิลิตตะเลงพ่าย
แผ่นพับ ลิลิตตะเลงพ่าย
 
วังสัฏ ฉันท์ ๑๒
วังสัฏ  ฉันท์ ๑๒วังสัฏ  ฉันท์ ๑๒
วังสัฏ ฉันท์ ๑๒
 
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
 
เล่มที่ 5 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)
เล่มที่ 5  สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)เล่มที่ 5  สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)
เล่มที่ 5 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)
 
โวหารภาพพจน์
โวหารภาพพจน์โวหารภาพพจน์
โวหารภาพพจน์
 

รามเกียรติ ตอน ศึกกุมภกรรณ

  • 1. 1 แผนภูมิตัวละคร 1) วงศ์กษัตริย์แห่งอโยธยา หมายเหตุ : ตัวอักษรสีน้าตาล คือตัวละครที่กษัตริย์วงศ์อโยธยาเสกสมรสด้วย ท้าวอโนมาตัน + นางมณีเกษร ท้าวอัชบาล + นางเทพอัปสร ท้าวทศรถ นางเกาสุริยา พระราม + นางสีดา พระมงกุฏ พระลบ นางไกยเกษี พระพรต นางสมุทรชา พระลักษณ์ พระสัตรุต
  • 2. 2 2) วงศ์กษัตริย์แห่งลงกา หมายเหตุ : ตัวอักษรสีด้า คือตัวละครที่กษัตริย์วงศ์ลงกาเสกสมรสด้วย ท้าวธาดาพรหม + นางมลิกา ท้าวลัสเตียน นางศรีสุนันทา กุเปรัน นางจิตรมาลี ทัพนาสูร นางสุวรรณมาลัย อัศธาดา นางวรประไพ มารัน นางรัชฎา ทศกัณฐ์ กุมภกรรณ ภิเภก ขร ฑูศน์ ตรีเศียร นางส้ามนักขา
  • 3. 3 เนื้อเรื่องย่อ ภายหลังที่ทศกัณฐ์ได้รับทราบรายงานเรื่องพญาไมยราพถูกหนุมานฆ่าตายแล้ว ทศกัณฐ์จึง มองหาตัวผู้ที่สมควรเป็นแม่ทัพใหญ่ และเห็นว่าผู้ที่เหมาะสมที่สุดคือ กุมภกรรณน้องชายของตน มี หอกโมขศักดิ์เป็นอาวุธส้าคัญทังได้พรจากองค์พระพรหม และมีฤทธิ์เดช กล้าหาญ จึงเรียกมาพบ และแจ้งว่าใคร่จะให้น้องไปยกทัพต่อสู้กับข้าศึก ในขันต้นกุมภกรรณได้พยายามทัดทานและบอกเหตุผลของศึกสงครามนีมาจากเพียงพี่ไป ลักนางสีดามา มิใช่สงครามชิงบ้านชิงเมือง ขอให้พี่ส่งนางสีดาคืนแก่พระรามไปเถิด ทศกัณฐ์ว่าไม่ สามารถท้าได้หรอก เมื่อครังนางส้ามนักขาไปเที่ยวป่าถูกตัดมือตัดเท้า ต่อมา ทูต ขร ตรีเศียรก็ถูก พระรามฆ่าตาย แล้วยังส่งหนุมานมาหักสวนขวัญ ฆ่าสหัสกุมารตาย อีกทังส่งองคตมาสื่อสารเจรจา หยาบคายก้าวร้าว ตลอดจนส่งสุครีพมาหักฉัตรก็แสดงความหยาบช้าอย่างแสนสาหัส กุมภกรรณ เห็นว่าทัดทานไปทศกัณฐ์ยิ่งทรงกริวจึงรับปากจะยกทัพออกรบตามพี่ขอ กุมภกรรณเมื่อยกทัพออกไป พิเภกทูลพระรามว่าตนขอ ออกไปเจรจาห้ามทัพแต่ไม่เป็นผลส้าเร็จอีกทังฝากปริศนาไปยัง พระรามว่า “คือชีโฉดหญิงโหดมารยา ช้างงารีทรชน” พระราม ไม่อาจไขปริศนาได้จึงส่งองคตมาล้วงความหมายของปริศนา องคตม้วนหางต่างที่นั่งสูงเสมอกับกุมภกรรณที่นั่งอยู่บนรถทรง เจรจาความอย่าอ่อนหวาน จนรู้ว่า “ช้างงารีคือทศกัณฐ์ ชีโฉดคือพระราม หญิงโหดคือนางส้ามนักขา ส่วนทรชนคนชั่วคือ พิเภกนั่นเอง พิเภกจึงทูลให้พระรามส่งสุครีพออกรบ แม้สุครีพจะมีพละก้าลังมากกว่ากุมภกรรณ แต่ ด้วยเล่ห์กลที่กุมภกรรณเหนือชันกว่า ท้าให้สุครีพพลาดท่าเสียที ถูกกุมภกรรณตีด้วยคทาแล้วจับ เอาตัวไปได้ กล่าวคือกุมภกรรณสร้างอุบายลวงให้สุครีพหมดแรงก่อนด้วยการท้าให้สุครีพไปถอน ต้นรังในทวีปอุดรเพื่อแสดงก้าลังให้เห็นก่อนว่าเหมาะสมจะมาสู้กับ กุมภกรรณหรือไม่ สุครีพไม่รู้ ว่าเป็นกลลวงเมื่อไปถอนต้นรังกลับมาก้าลังก็หย่อนลงเสียแล้ว กุมภกรรณจึงรีบเข้ารุกไล่ สุครีพ ทันที เมื่อสุครีพพ่ายแพ้ พวกทหารลิงรีบมารายงานพระราม พระรามจึงให้หนุมานรีบไปช่วยไว้ได้ ทัน ภายหลังที่กุมภกรรณเสียทีแก่หนุมานและสุครีพ จึงรีบกลับเข้าวังรายงานให้ทศกัณฐ์ทราบ และแจ้งว่าตนจะไปท้าพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ที่ริมน้าเชิงเขาพระสุเมรุซึ่งหากลับเสร็จทังห้าคมหอกก็ จะมีฤทธิ์มากมายปราบได้ถึงสวรรค์ชันสิบหก ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้ แต่พิธีนีต้องใช้เวลาสี่คืน ในเช้าวันรุ่งขึนพระรามสงสัยว่าเหตุใดกุมภกรรณไม่ยกทัพมารบ พิเภกจึงทูลว่ากุมภกรรณก้าลัง
  • 4. 4 ประกอบพิธีลับหอกโมขศักดิ์ ควรส่งคนไปท้าลายพิธีนี และด้วยความที่กุมภกรรณเป็นคนรักความ สะอาด ชอบแต่กลิ่นหอมไม่สามารถทนต่อสิ่งที่เน่าเหม็นได้ จึงควรให้หนุมานและองคตแปลงเป็น กาจิกหมาเน่าลอยน้าเข้าไปใกล้กุมภกรรณ และเป็นจริงดั่งพิเภกว่าเมื่อหนุมานและองคตนิมิตกาย เข้าไปใกล้ ปรากฏว่ากุมภกรรณก็อาเจียน รู้สึกคลื่นไส้เวียนศีรษะลับหอกไม่ได้ และล้มเลิกพิธีลับ หอกไป กลับเข้าวังเล่าให้ทศกัณฐ์ฟัง ทศกัณฐ์คิดว่าการที่มีหมาเน่าลอยน้ามาบริเวณริมฝั่ง มหาสมุทรใหญ่เรียกว่า สีทันดร นันไม่น่าเป็นไปได้ และคิดว่าคงเป็นอุบายที่พิเภกบอกให้พวกลิง ท้าเพื่อมาล้มล้างพิธี วันรุ่งขึนกุมภกรรณออกรบ พิเภกแนะน้าพระรามให้ส่งพระ ลักษณ์และสุครีพไปออกรบ การสู้เป็นไปอย่างอุตลุดและอลวน ของเหล่าทหารยักษ์และเหล่าทหารลิง แต่พระลักษณ์พลาดท่าถูก หอกโมกขศักดิ์ที่กุมภกรรณกวัดแกว่งและพุ่งเข้าที่หน้าอก เหล่า ทหารลิงไปประคองแล้วพวกหนุมาน องคต และสิบแปดมงกุฎถ่า โถมเข้าไล่กุมภกรรณจนเวลาพลบค่้ากุมภกรรณยกทัพกลับลงกา สุครีพเรียกนิลนนให้รีบไปแจ้ง พระรามเรื่องพระลักษณ์ต้องหอก พระรามเดินทางมาพร้อมกับพิเภกเห็นพระลักษณ์ต้องหอกก็ ร้องไห้ไม่เป็นสมประดี พิเภกทูลว่าพระลักษณ์ยังไม่ตายจนกว่าตะวันส่องแสงขอให้หนุมานไปหยุดรถพระอาทิตย์ แล้วรีบไปเก็บเอายาสังกรณีกับตรีชวา ที่ภูเขาสรรพยากับน้าจากแม่น้าปัญจมหานทีก็สามารถแก้ ได้และหอกจะหลุดไป พระรามจึงสั่งการ หนุมานตามค้าแนะน้าของพิเภกหนุมานรีบไปขอให้พระ อาทิตย์หยุดรถแต่พระอาทิตย์หยุดไม่ได้เพราะเป็นจักรราศีแต่จะหลบเข้ากลีบเมฆเพื่อไม่ให้แสง ส่องหอกโมกขศักดิ์ได้ หนุมานจึงรีบไปยังเขาสรรพยา ร้องเรียกสังกรณีกับตรีชวา ปีนป่ายขึนลงบน ยอดเขาบ้าง ตีนเขาบ้าง หนุมานจึงนิมิตร่างใหญ่เท่าเขาแล้วโอบรอบขุนเขา ค่อยๆ ไล่ป่ายจับตามเสียงร้อง จนถึงยอดเขาก็เก็บเอาสังกรณีกับตรีชวา มาได้ จึงรีบไปเข้าเฝ้าพระพรตและพระสัตรุดที่กรุงอโยธยาแล้ว เล่าความให้ฟัง พระพรตและพระสัตรุดฝากบอกพระรามว่า อยู่เฝ้าเมืองเหมือนนอนอยู่บนกองไฟ อยาก ช่วยไปปราบยักษ์ก็เกรงจะขัดค้าบัญชาของพระรามแล้วมอบขวดใส่น้าปัญจมหานทีให้ เมื่อครบ แล้วหนุมานรีบเหาะกลับมาเอาให้พิเภกเพื่อท้าการบดท้ายาป้ายและเป่ามนตร์ไปที่แผล หอกโมกข ศักดิ์ก็หลุดออกมาแผลหายอย่างไม่มีร่องรอย แล้วพระลักษณ์ก็ฟื้นคืนสติ พระรามยินดีเป็นยิ่งนัก จึงพากันยกทัพกลับเขามรกต
  • 5. 5 กุมภกรรณเมื่อรู้ข่าวว่าพระลักษณ์ฟื้นจากหอกโมกขศักดิ์ ก็หาวิธีใหม่ โดยเนรมิตร่างกาย ใหญ่โตนอนขวางแม่น้าไม่ให้ไหลไปถึงเขามรกตอันเป็นที่ตังของทัพพระรามเพื่อให้กองทัพพระราม อดน้าตาย แล้วใช้ให้นางคันธมาลีกับนางก้านัลสี่คนท้าหน้าที่เก็บดอกไม้หอมไปถวายทุกวัน พิเภกใช้ให้ หนุมานไปท้าลายพิธีแต่ไม่รู้ว่ากุมภกรรณท้าพิธีที่ใดต้องไปสืบ หนุมานจึงแปลง กายเป็นนางก้านัลปะปนเข้าไปในวัง ได้ทราบว่ามีเพียงนางคันธมาลีและนางก้านัลสี่คนเท่านันที่รู้ ว่ากุมภกรรณอยู่ที่ใด เมื่อรู้ดังนันจึงแปลงกายเป็นนกอินทรีบินอยู่เหนือวังพอเห็นนางคันธมาลีก็ ร่อนลงโฉบจับนางบินขึนไปบนฟ้าแล้วฆ่าตายเสียจึงแปลงร่างเป็นนางคันธมาลีไปเก็บดอกไม้กับ นางก้านัลทังสี่ เมื่อไปถึงริมฝั่งที่กุมภกรรณทดน้าก็กลายร่างคืน หนุมานด้าลงไปใต้น้าชักตรีเพชรทิ่มแทงกุมภกรรณจนไม่อาจนอนนิ่งเฉยอยู่ได้ จึงชักคทา ประจ้ากายมาสู้รบกับหนุมาน แต่สู้ไม่ได้แล้วต้องหนีกลับกรุงลงกากลับมารายงานให้ทศกัณฐ์ทราบ ทศกัณฐ์กล่าวว่าที่ข้าศึกท้าได้นีเพราะพิเภกบอกอุบายให้ ดังนันในการที่กุมภกรรณจะออกไปรบใน วันพรุ่งนีขอให้ฆ่าพิเภกเสียเพื่อจะได้ไม่เป็นไส้ศึก บอกการตืนลึกให้แก่พระรามต่อไป ในการออบรบในวันรุ่งขึนปรากฏว่ามีลางร้ายสารพัดแล้วท้ายสุดเมื่อกุมภกรรณออกรบกับ พระรามก็ถูกพระรามแผลงศรพรหมมาสตร์ฆ่าตายก่อนสินใจกุมภกรรณเห็นร่างพระรามคือองค์ พระนารายณ์อวตาร จึงทูลขอขมาและส้านึกผิดจึงขอให้พระองค์ช่วยส่งไปสวรรค์ชันฟ้ากับขอฝาก พิเภกผู้เป็นน้องชายด้วย ฝ่ายพิเภกเห็นพี่ชายตายก็เข้ากอดศพไว้แล้วร้าพันถึงกุมภกรรณด้วย ประการต่างๆแล้วสะอืนซบหน้าลงจนสินสมประดี
  • 6. 6 ถอดความจากบทประพันธ์ เมื่อนัน ทศเศียรผู้ปรีชาหาญ ฟังข่าวเร่าร้อนดังเพลิงกัลป์ พระยามารสลดระทดใจ ความรักความเสียดายนันหนักหนา ชลนาคลอเนตรหลั่งไหล ยิ่งคิดยิ่งแค้นแสนอาลัย สะอืนให้ครวญคร่้าถึงหลานรัก ฯลฯ (หน้า 30) เมื่อทศกัณฐ์ได้ทราบข่าวก็รู้สึกโกรธ “เร่าร้อนดังเพลิงกาล” มีความสลดใจ และเสียดาย จนถึงขันร้องให้ที่ตนนันได้สูญเสียหลานรัก นั่นก็คือ ไมยราพ ผู้ที่ได้รับบัญชาให้ไปออกรพก่อนหน้า ทังยังร้าพึงร้าพันว่า “ อนิจจาเสียแรงที่มีพละก้าลังทังความคิดและความามารถ แต่กลับมาแพ้หนุ มานและพวก” ทังยังรู้สึกอับอายขายขีหน้าเสียแรงที่ป็นถึงวงศ์ยักษ์เชือสายพรหม รวมถึงยัง กล่าวหาพิเภกว่าเป็นคนทรยศ บอกกลศึกให้กับฝ่ายพระรามจนหมดสินให้หนุมานลงไปฆ่าไมยราพ ถึงในชันบาดาลจนถึงแก่ชีวิต หากมัวแต่นิ่งเฉยข้าศึกก็จะฮึกเหิม จึงจ้าต้องออกไปท้าศึก และได้นึก ถึงผู้ที่เหมาะสมจะเป็นแม่ทัพ ก็พบว่า ยังมีกุมภกรรณ ผู้ที่ได้รับประทานหอกโมกศักดิ์จากท้าว ธาดาพรหม คิดแล้วจึงมีค้าสั่งให้นางสนมไปทูลเชิญกุมภกรรณมายังต้าหนักของตน เมื่อนางก้านัลได้รับฟังอย่างนันแล้วจึงทูลลาและเดินออกจากหน้าพระที่นั่ง เมื่อนางถึงปราสาทของกุมภกรรณแล้ว ก็เล่าความทุกอย่างว่า ทศกัณฐ์ ได้มีบัญชาให้กุม ภกรรณไปเข้าเฝ้า เมื่อกุมภกรรณับโองการแล้วก็อาบน้าช้าระร่างกาย แล้วแต่งตัว ทรงเครื่องประดับ ตกแต่ง อย่างสวยงามและลงจากปราสาท มุ่งหน้าไปยังต้าหนักของทศกัณฐ์พร้อมนางสนม เมื่อถึงต้าหนักก็ได้ก้มกราบทศกัณฐ์ท่ามกลางเหล่าพงศาคนาญาติ รอรับฟังพระบัญชา (หน้า 31) เมื่อทศกัณฐ์ได้เห็นอย่างนันแล้วก็มีก้าลังใจและความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่น้องของตนได้มา เข้าเฝ้า จึงมีโองการให้ไมยราพสะกดทัพพระรามให้หลับไหลและจับทหรของพระรามและหนุ มานฆาเสียให้สาสมกับการที่มาฆ่าไมยราพเพื่อไม่ให้ข้าศึกเหล่านันมีความฮึกเหิมมาต่อกร และ คะยันคะยอให้ยกทัพไปฆ่าสีย
  • 7. 7 เมื่อกุมภกรรณได้ยินอย่างนันแล้วจิงทูลกลับไปว่าอันมูลศึกสงครามนันมีต้นเหตุก็เพราะ ทศกัณฐ์ไปลักพาตัวนางสีดามา อันจะว่าเป็นของตนก็ไม่ใช่ จึงเสนอให้ทศกัณฐ์คืนนางไปให้กับ พระรามเสียเพื่อตัดศึกและลดความสูญเสียในอนาคต รวมถึงแนะน้าให้ทศกัณฐ์ตั่งมั่นอยู่ใน ทศพิธราชธรรม เมื่อทศกัณฐ์ได้ยินอย่างนันแล้วก็ได้พูดจาว่ากล่าวตัดพ้อว่าเหมือนเจ้านันไม่รักพงศาคณา ญาติ และกล่าวด้วยความแค้นว่า “น้องเราเป็นหญิงไปเล่นไพร ควรฤๅมาไล่ราวี ตัดเท้าตัดกรแล้วมิหน้า ฆ่าซ้าสุริย์วงศ์ยักษี ฑูษณ์ขรตรีเศียรอสุรี ก็สินชีวีด้วยมือมัน แล้วใช้อ้ายลิงหนุมาน มาหักรานกิ่งไม้ในสวนขวัญ ฆ่าหลานเจ้าตายถึงพัน ทังมันลวงเผาเวียงชัย อ้ายองคตมาสื่อสาร อหังการเจรจาหยาบใหญ่ ฆ่าสี่เสนาบรรลัย เจ็บใจเป็นพ้นพันทวี แล้วให้สุครีพมาหักฉัตร ก็หยาบช้าสาหัสต่อพี่ ไม่ขอเป็นมิตรไมตรี เร่งโยธียกไปรอนราญ” (นางส้ามนักขาไปประพาสป่าก็ถูกพระรามตัดเท้าตัดแขน แถมยังฆ่ายักษ์อีกมากมายไม่ว่าจะเป็น ฑูษณ์ ขร ตรีเศียร แค่นันยังไม่พอ ยังให้หนุมานมาหักกิ่งไม้ในสวนขวัญและฆ่าบรรดาหลานๆของ ตนมากมาย และยังลอบวางเพลิงในกรุงลงกา หรือว่าจะเป็นตอนที่ส่งองคตมาเจรจาการศึก องคต
  • 8. 8 ก็แสดงการเหยียดหยามทศกัณฐ์ท้าอหังการและฆ่าเสนาทังสี่ และกล่าวถึงตอนที่ช้าใจที่สุดคือ ให้ สุครีพมาหักฉัตร) (หน้า 32) เมื่อกุมภกรรณได้ยินเช่นนันแล้วจึงสองพระบัญชาแล้วพลางคิดว่า นางส้ามนักขาของตน นันอากรณ์หนัก เที่ยวเกียวชายหมายปองพระราม เป็นต้นเหตุของการศึกครังนีแต่ทศกัณฐ์กลับ เห็นผิดเป็นชอบให้เสียทศพิธราชธรรมจึงต้องท้าสงครามเพราะนางแท้ๆ “อีอัปรีจัญไร” แล้วยังคิด อีกว่า ทังสุครีพ องคต หนุมาน เป็นทหารที่มากความสามารถ คิดว่าตนเองไม่อาจต้านทานไว้ได้ จึงคิดขอผ่อนผันต่อทศกัณฐ์อีกสักครัง เมื่อทศกัณฐ์ได้ฟังอย่างนันแล้วรู้สึกโกรธมาก “ได้ฟังกริวโกรธดังเพลิงกัลป์ ขบฟันกระทืบ บาทา” ก็ได้ย้อนกลับไปว่า “เหวยอ้ายอัปรีไม่มีอาย กลัวตายอะไรหนักหนา ดังเนือได้กลิ่นพยัคฆ์ฆา เหมือนกาตาแววเห็นธนู” (ไอ้น้องจอมขีขลาด มึงจะกลัวตายอะไรหนักหนา เหมือนตัวเนือได้กลิ่นนักล่าเหมือนกาขีขลาดเห็น แววธนู) ยังไม่ทันจะเห็นธงชัย พอได้ข่าวก็กลัวเสียแล้ว พูดหยามตัวข้าว่าเป็นผู้ที่ผิดเสียชาติเกิดที่ เป็นพี่น้องกัน จะร่วมเจ็บร่วมปวดกันก็หาไม่ ถ้ามึงคิดว่ากูชั่วแล้วก็ให้ไปอยู่กับพิเภกน้องของเจ้าสิ ก็จะได้ครองกรุงลงกามีสมบัติพัสถานแต่เพียงผู้เดียว เมื่อกุมภกรรณได้ยินอย่างนันแล้วก็ตกใจมากที่พี่ชายของตนพูดอย่างนันแล้วพลางคิดว่า “ข้านีทัดทางด้วยสุจริต จะเกรงปัญจามิตรนันหาไม่ คิดว่าจะระงับดับภัย มิให้รณรงค์ราวี” (ข้าอุตส่าห์เตือนด้วยความหวังดี หากจะเกรงกลัวต่อเหล่าศัตรูนันก็ไม่ใช่ หวังว่าจะช่วยหยุดการศึก ไม่ให้มีการรบราต่อไปแค่นัน) แต่ท่านพี่กลับไม่เห็นด้วย จะให้ข้านันท้าศึกอย่างเดียว จึงจ้าต้องยก ทัพไปต่อสู้ตามราชโองการ (หน้า 33) เมื่อทศกัณฐ์ได้ยินเช่นนันก็หายโกรธในทันที พลันเปลี่ยนอารมณ์ไปสวมกอดกุมภกรรณลูบ หน้าลูบหลังแล้วพูดให้ก้าลังใจว่า “ท้าไมมนุษย์กับวานร ฤๅจะต่อกรกับเจ้าได้” และให้กุม ภกรรณยกทัพไปต่อสู้ให้สินซาก และรับสั่งให้ “มโหทรยักษี”จัดทหารที่มีความสามารถ พร้อมด้วย สรรพาวุธต่างๆให้พร้อม
  • 9. 9 เมื่อมโหทรได้รับโองการแล้วจึงออกมาจากพระที่นั่งทันที ลักษณะการจัดทัพของกุมภกรรณ ทัพหน้าจัดเอามหากาล ทวยหาญเลือกล้วนแข็งขัน ยี่สิบเอ็ดกองครบครัน จัดสรรเป็นสรรพเสนา ธงเขียวส้าคัญไว้ซ้าย ธงแดงสามชายอยู่เบืองขวา แถวกลางธงทองรจนา ให้ดูธงสัญญาพระยายักษ์ โบกเข้าเบืองซ้ายให้โจมตี ที่โบกเข้าขวาให้ขวาหัก ถ้าโบกตรงจงเข้าให้พร้อมพักตร์ หนุนหนักฟันแทงให้ย่อยยับ ถ้าโบกออกซ้ายให้ซ้ายล่า ถ้าโบกออกทางขวาให้ขวากลับ ถ้าธงชัยโบกถอยให้ถอยทัพ ก้าหนดสรรพสินทุกประการฯ -ทัพหน้าให้เลือกเอาทหารที่แข็งแรงและมีความสามารถ -กองทัพประกอบด้วยกองรบ 21 กอง -ธงเขียวไว้ซ้ายสุดของกองทัพ -ธงแดงริวสามชายอยู่ด้านขวาสุดของกองทัพ -ธงทองของแม่ทัพอยู่ตรงกลาง -ถ้าธงทอง -โบกเข้าซ้าย ให้เดินหน้าตีข้าศึก -โบกไปทางด้านขวา ให้หักทิศทางการเคลื่อนทัพ -โบกตรง ให้ท้าการสู้รบให้ข้าศึกย่อยยับ -ถ้าธงชัยโบกไปทางด้านหลัง ให้ถอยทัพกลับ เมื่อกุมภกรรณลาทศกัณฐ์แล้ว จึงกลับไปสรงน้าที่ท่า พรรณาการอาบน้้า-แตงกายของกุมภกรรณ ให้ไขท่อแก้วปทุมทอง เป็นละอองโปรยปรายดังสายฝน กลิ่นตรลบอบอาบเสาวคนธ์ หอมฟุ้งปรุงปนสุมามาลย์ สอดสนับเพลาตา ภูษายกกระหนกก้าน ชายแครงเครือหงส์อลงการ แก้วประกาฬเกราะเกล็ดเพชรทราย รัดอกฉลององค์ทรงประพาส แสงดาดเหลื่อมศรีมณีฉาย พาหุรัดทองกรจ้าหลักลาย โกมินนิลรายสลับกัน แล้วทรงธ้ารงเรือนครุฑ กรกุมคทาวุธขึงขัน งามสง่าดังท้าวเวสสุวรรณ จรจรัลไปขึนพิชัยรถ
  • 10. 10 -ให้นางสนมไปไขท่อน้า เวลาน้าไหลจะออกมาคล้ายฝักบัว มีกลิ่นหอมดอกไม้ -สอดสนับเพลาเป็นผ้ายกลายกนก มีชายไหวชายแครงประดับด้วยเพชร -รัดอกมีแสงสะท้อนเมื่อกระทบแสง -มีก้าไลแขนและทองกรสลักลายประดับด้วยโกมิน และ นิล -ใส่แหวนหัวรูปครุฑ -ในมือถือคฑา แลดูงดงามสง่าเหมือนท้าวกุเวร และเดินไปขึนราชรถ (หน้า 34) บทชมราชรถศึกของกุมภกรรณ รถเอยราชรถทรง พิลึกล้าก้ากงอลงกต เรือนแปรกแอกงอนอ่อนชด ชันลดช่อตังบัลลังก์ทอง เทียมโตสองพันช้านาญศึก เริงร่านหาญศึกเผ่นผยอง โล่ทันสันทัดในท้านอง ขับคล่องรีบเร่งดังลมพัด
  • 11. 11 พร้อมเครื่องอภิรุมชุมสาย ธงชัยเก้าชายปลายสะบัด โยธาเบียดเสียดเยียดยัด กวัดแกว่าอาวุธดังแสงไฟ เสียงฆ้องกลองประโคมโครมครึก เสียงพลโห่ฮึกแผ่นดินไหว เร่งหมู่ม้ารถคชไกร ออกจากพิชัยธานีฯ -กงรถมีการตกแต่ง (โมดิฟายด์) -แปรกแก้วงอนสวย -มีพืนที่ลดหลั่นระหว่างพืนรถและที่ตังบัลลังก์ -เทียมลากรถมีก้าลัง 2,000 (เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร) วิ่งด้วยความไวประดุจลมพัด -มีอุปกรณ์ในการรบ ปักธงชัยเก้าชาย -มีทหารล้อมรอบแน่นหนา -มีเครื่องดนตรีเรียกขวัญให้กับนักรบและกองทัพ ขณะเดียวกันก็มีเสียงทหารโห่ร้องเอิกอึง เมื่อยกทัพมาถึงสนามรบก็หยุดพักทัพริมเชิงเขา รอเวลาที่กองทัพพระรามจะยกมา ในขณะเดียวกันนันเอง พระรามได้เสด็จมายังหน้าพลับพลาพร้อมด้วยเหล่าวานร พอได้ยิน เสียงโห่ร้องของกุมภกรรณจึงได้ถามพิเภกว่า นี่เป็นทัพของลงกาใช่หรือไม่ หรือจะเป็นขบวนเสด็จ ของใคร พิเภกจังจับยามสามตาดูทันที ครันจึงรู้ความและทูลต่อพระรามว่า อันทัพที่ยกมานีเป็นทัพ ของกุมภกรรณ ผู้ซึ่งอุปราชของทัพ และเป็นพี่ชายร่วมอุทรของพิเภก ได้สาธยายว่า อันตัวกุมภกร รณนันเป็นยักษ์ดีที่มีทศพิธราชธรรม ตังมั่นในทศพิธราชธรรม ไม่เบียดเบียนใคร ใครๆก็รู้กันอยู่แต่
  • 12. 12 ที่มาวันนีเพราะเจ้ากรุงลงกา ได้บัญชาให้ยกทัพมาต่อสู้และจ้าต้องมาต่อสู้เพราะเกรงอาญา จึง ขอให้พระรามโปรดไว้ชีวิตด้วย (หน้า 35) พระลักษณ์จึงถามพิเภกด้วยความที่มีจิตใจอ่อนโยนว่า ดูก่อนพิเภก อันที่ท่านว่ามานี กุม ภกรรณเป็นยักษ์ดีมีศีลธรรม ไม่ได้เบียดเบียนใคร เราจึงไม่ควรสังหารเขา เราจึงควรเจรจาให้เขา กลับไปก่อน แต่หากเขาไม่ยอม เราก็จ้าต้องอยู่ต่อสู้กับเขาให้ถึงที่สุด ถ้าหากกุมภกรรณยอมรับ ข้อตกลงนี ก็จะไม่รุกรานกรุงลงกา จึงให้ท่าน(พิเภก)ไปแจ้งแก่พี่ชายของท่าน(กุมภกรรณ) เมื่อพิเภกได้ความเช่นนันจึงบังคมลา พิเภกได้เดินไปยังที่ตังทัพของกุมภกรรณท่ามกลางเหล่าทหาร มีความกลัวนิดๆ แต่ก็ข่มใจ เดินไปยังหน้ารถ และถวายบังคมพี่ชาย เมื่อกุมภกรรณเห็นพิเภก ก็รู้สึกโกรธยิ่งนัก “จึ่งร้องว่าเหวยอ้ายทรลักษณ์ ชั่วช้าอัปลักษณ์โมหัน ธรรมดาพี่น้องผิดกัน ไม่ช้าพลันก็จะกลับคืนดี
  • 13. 13 ถึงมาตรถ้าองค์พระเชษฐา โกรธาขับไล่มึงหนี ญาติวงศ์พงศ์ศาก็ยังมี เหตุอสุรีจึงไม่ไป กลับเข้ามาด้วยลักษณ์ราม บอกความตืนลึกทังปวงให้ จะแกล้งฆ่าพงศ์พันธุ์ให้บรรลัย มาหากูไยอ้ายอัปรีย์ฯ” (เป็นไงล่ะไอ้น้องเวร ธรรมดาของพี่น้องกันถ้าผิดใจกันก็จะกลับคืนดีแต่โดยไว ถึงแม้พี่ชายมึงขับไล่ แต่ท้าไมมึงถึงไม่ไปขออยู่อาศัยกับญาติๆของมึง แต่กลับมาพึ่งพระรามพระลักษณ์ มิหน้าซ้ายังบอก ความลับให้กับฝ่ายพระรามจนสิน หรือมึงอยากจะล้างเผ่าพันธุ์ให้บรรลัย มึงยังมีหน้ามาหากูอีก หรือ) (หน้า 36) เมื่อนันพิเภกก็ถวายบังคมและพูดสวนไปว่า อันตัวของข้านียังมีแต่พี่ๆ ใช่ว่าจะตัดขาดญาติ วงศ์พงศา ข้าแค่กราพทูลพระรามว่า กุมภกรรณเป็นผู้ที่ตังมั่นอยู่ในศีลธรรม พระองค์จึงเมตตาให้ ข้ามากราบทูล ในเรื่องที่ทศกัณฐ์ไปลักพาตัวนางสีดาเมียรักของพระราม จะน้ามาซึ่งความสูญเสีย อันกุมภกรรณเป็นผู้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียจะมาผมพลอยฉิบหายด้วยได้อย่างไร จงควรอยู่ในความ สุจริต ใครผิดก็ว่ากันตามผิด หากสงครามสงบเมื่อได ก็จะได้ครองกรุงลงกา เมื่อนันกุมภกรรณก็ได้ปรบมือประชดและหัวเราะเมื่อได้ยินค้ากล่าวของพิเภกทังยังพูด เสียดสีว่า ตัวมึงเป็นใส่ศึกให้กับอโยธยา พระรามก็ยกเมืองให้อยู่แล้ว แต่กูสิ มีแต่เสียกับเสีย อัน ลงกานี่เป็นสองเมืองหรือ จู่ก็จะยกให้พี่ จู่ๆก็จะยกให้น้อง หลอกกูไม่ได้หรอก! ที่มึงว่าเป็นนารายณ์ น่ะ ข้าว่าไม่ใช่หรอก ข้าเห็นเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาสองมือมีเพียงแต่ธนูศร ร่อนเร่อยู่ในป่าดงพง ไพร และมีลิงเป็นสมุน ถ้าหากเป็นดังค้าที่มึงมายกยอ มึงก็จะแจ้งในปริศนาของกู “คือชีโฉดหญิงโหดมารยา ช้างงารีชายทรชน” หากเป็นพระนารายณ์จริงๆ ก็จะไม่คิดขัดสนและกูก็จะยกทัพกลับเข้าเมืองทันที เมื่อเสร็จสินการสนทนา พิเภกจึงจ้าปริศนาแล้วกลับมายังพลับพลาของพระราม พิเภกได้ทูลพระรามว่า กุมภกรรณไม่เชื่อว่าพระรามเป็นพระนารายณ์อวตาร และมอบ ปริศนามาให้ 4 ข้อ (หน้า 37) เมื่อพระรามได้ฟังปริศนาทังสามข้อ ก็ได้เงียบไปและคิดว่าปริศนานีหมายถึงอะไร เพราะ เป็นโวหารติดต่อจะมีเหตุผลประกอบก็หาไม่ จึงมีบัญชาให้เหล่าผู้รู้ยันพิเภก ว่ามีความเห็นปะการ ใด
  • 14. 14 เหล่าเสนาวานรก็คิดกันไปต่างๆนานาในข้อปริศนา พิเภกจึงทูลไปว่า ไม่มีที่มาของปริศนาทังสี่ ตัวข้านีขัดสนจนปัญญาจริง มันแสนจะลึกลับ จึงขอให้องคตผู้มีความปราดเปรื่องปรีชา ออกไปลวงถามด้วยอุบายอันแยบคายเพื่อไม่ให้เป็นการ เสียเกียรติของพระราม เมื่อนันเอง พระลักษณ์จึงทูลค้าตอบไปยังองคต ว่าเราได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ปริศนา ทังสี่เป็นปรอศนาโวหารที่เลียวลด ผู้ที่เป็นปราชญ์เท่านันที่จะเข้าใจ จึงต้องรบกวนองคตให้ออกไป เจรจากับกุมภกรรณ แต่อย่าให้มันรู้มารยานะ เมื่อองคตได้รับบัญชาแล้วก็ยินดียิ่ง จึงถวายบังคมต่อหน้าเสนาทหารน้อยใหญ่และออกมา จากพลับพลา (หน้า 38) ครันออกมาหน้าพลับพลาแล้วก็เหาะตรงไปยังสมรภูมิรบทันที พลางแลเห็นกุมภกรรรยืนบนรถ ก็ลงไปยังหน้าที่จอดรถทันที และแผลงฤทธ์ดังพระยาราชสีห์ ม้วนหางเป็นแท่นสูงตระหง่านเทียบเท่ารถ (เป็นการหยาม หน้าเชิงสัญลักษณ์) และได้ว่ากล่าววาจาอันชาญฉลาดว่า ดูก่อนกุมภกรรณ บัดนีพระรามได้บัญชาให้เรามา เจรจากับผู้มีความรู้ ให้ทราบถึงการสินสุดข้อปริศนา(ออกอุบายว่ารู้แล้ว) พระรามได้รู้สินแล้ว และ มีความชื่นชมว่าเป็นโวหารที่ท่านใช้ความชาญฉลาดในการออก และแจ้งไปทังหมด เป็นปริศนา ระดับปราชญ์ ยากที่จะแก้ไข ยากที่จะหามาเทียบได้ เมื่อนันท้าวกุมภกรรณได้ฟังค้าพูดขององคตและตบมือเย้ยหยันแล้วพูดว่า เหวยๆองคต เจ้ามาในวันนีมาด้วยความเคลือบแคลง อันเรานันไม่ใช่เด็กน้อย ไม่หลงมารยาเจ้าหรอก ที่ไหนได้ คิดว่าจะรู้ เอาหละ กูจะบอกให้ “อันเจ้ากรุงลงกาไกร นันได้แก่ช้างงารี มารยาอาธรรม์พ้นนัก ไปลอบลักพาเมียเขาหนี ฝ่ายพระรามองค์สามี คือชีโฉดชั่วสามานย์ เมียรักของตัวผู้เดียว ทิงไว้เปล่าเปลี่ยวในไพรสณฑ์ ครันหายเที่ยวหาไม่พบพาน ต้องรอนราญวุ่นไป
  • 15. 15 (หน้า 39) หญิงโหดคือส้ามนักขา ชั่วช้าไม่มีที่เปรียบได้ ไปเที่ยวเกียวชายไม่อายใจ จนต้องทุกข์ภัยพันทวี อันชายทรชนคนชั่ว คือตัวพิเภกยักษี ไปเข้าด้วยพวกไพรี มิได้รู้คุณญาติกา” (อันเจ้ากรุงลงกานันคือช้างงารี เที่ยวลอบลักพาตัวเมียเขา ส่วนพระรามคือชีโฉดที่พาเมียมาเดินป่า พอเมียหาญก็ต้องต่อสู้เพื่อเอาเมียคืน หญิงโหดคือนางส้ามนักขา ร่านไม่เลือก จนน้ามาซึ่งความ ทุกข์ และ ชายทรชนคือพิเภก ที่ทรยศเหล่าญาติ ไปเข้าด้วยกองทัพพระราม) เอ็งจงไปบอก พระราม แล้วเอากองทัพออกมาต่อสู้กันดีกว่า เมื่อองคตได้ฟังค้าเฉลยจากกุมภกรรณแล้วก็หัวเราะตบมือแล้วชีหนาว่า เห้ย กุมภกรรณ อวดอ้างอยู่ได้ว่ามีปัญญาแสร้งผูกปริศนาแล้วมาดูถูกเรา หารู้ไม่ว่า พระรามมีความเมตตาให้ภิเภก ออกมาเจรจาหย่าศึกหวังให้ชีวิตแต่กลับยังอหังการ หวังจะท้าศึกกับพระราม และทิงท้ายว่า เจ้าจ้า จะหัวขาดด้วยศรพรหมมาศ ว่าแล้วส้าแดงฤทธิ์เหาะกลับไปยังพลับพลาพระราม ครันองคตมาถึงหน้าพลับพลาแล้วก็ทูลความจริงแก่พระราม ว่าตัวกุมภกรรณนันมีความฮึก เหิมหยาบช้า หวังจะให้ไปท้าศึก พระรามเมื่อได้ยินค้าพูดขององคต จึงถามภิเภกว่า ภิเภก! ไหนว่ากุมภกรรณตังมั่นอยู่ใน สัจจะวาจา เราจึงมีเมตตาแก่มัน แต่นี่มันกลับมาท้าทายด้วยความหยาบช้า ผลที่ตามมารู้หรือไม่ ว่ามันคือความตาย เราจะยกพลไปตามฆ่ามัน (หน้า 40) พิเภกจึงทูลสนองพระรามว่า บัดนี่ยังไม่ถึงวลาอันสมควรที่จะท้าการศึก จึงแนะน้าให้สุครี พออกไปรบพร้อมไพร่พลก่อนเพราะสุครีพนันเป็นน้องของพาลี ผู้ที่มีฤทธิ์เทียบเท่าพาลี พระรามเมื่อได้ยินอย่างนันแล้วจึงเห็นชอบและบัญชาให้สุครีพยกทัพไปปะทะกับกุมภกร รณก่อน ถ้าหากตังรับศึกเอาไว้ไม่ได้ พระรามก็จะน้าทัพไปเสริมอีกแรง ว่าแล้วจึงสั่งให้ชมพูพานจัด ไพร่พลไปต่อสู้ เมื่อนันสุครีพและชมพูพานก็ถวายบังคมลาออกมาจากพลับพลา
  • 16. 16 ลักษณะการจัดทัพของพระราม ฝ่ายชมพูพานก็จัดพล ให้นิลนนท์เป็นกองหน้า ปีกซ้ายเกสรทมาลา ปีกขวาวาหุโรมฤทธี เกียกกายนันนิลปาสัน กองขันเอานิลเกศี ยกกระบัตรคือสัตพลี กองหลังกระบี่โกมุท พร้อมพรั่งทังหน้าพลับพลา โยธาถ้วนสามสิบสมุทร แต่ละตนล้วนมีฤทธิรุทร กวัดแกว่งมืออาวุธคือเปลวไฟ เป็นเบญจเสนาสิบห้ากอง ต้องตามกระบวนทัพใหญ่ เยียดยัดอัดอึงคะนึงไป เตรียมไว้คอยลูกพระทินกรฯ -ฝ่ายชมพูพานได้จัดทัพให้เหล่าวานรสิบแปดมงกุฎร่วมรบในครังนี -นิลนนท์เป็นกองหน้า เกสรทมาลาอยู่ปีกซ้าย หุโรมฤทธิ์อยู่ปีกขวา -ผู้ร่วมรบมีนิลปาสัน นิลเกศี สัตพลี กระบี่โกมุท -มีกองก้าลัง 30 กอง -วานรแต่ละตนทนต่อไฟ -มีเสนาใหญ่ 5 นาย แต่ละนายคุมก้าลัง 3 กอง สุครีพและเกล่าวานรไปอาบน้า (หน้า 41) พรรณนาการแต่งกายของสุครีพ อ่าองค์ทรงเครื่องพิชัยยุทธ์ สนับเพลาเครือครุฑจ้ารัสศรี ภูษาพืนด้าเชิงนาคี ผ้าทิพย์รูจีสังวาลวรรณ สร้อยสะอิงเนาวรัตน์รุ้งร่วง ตาบทิพศทับทรวงกุดั่น พาหุรัดทองกรมังกรพัน มงกุฎสุวรรณกรรเจียกจอน ห้อยพวงมาลัยดอกไม้มาศ องอาจดั่งพระยาไกรสร จับพระขรรค์เพชรฤทธิ์รอน ไปยังนิกรโยธาฯ -ใส่ชุดนักรบ -สนับเพลาลายเครือ -ผ้าพืนด้าเชิงนาค (ลายจก) -สวมสังวาล -สวมสร้อยเนาวรัตน์ -สวมตาบทิศและทับทรวงลายกุดั่น -สวมก้าไลแขนและทองกรลายมังกร -มงกุฎทองค้า -ที่หูห้อยพวงมาลัย -พระขรรค์เพชร
  • 17. 17 เมื่อสุครีพมาถึงกองทัพก็เคลื่อนทัพออกไปยังแนวป่าและซุ่มก้าลังของกองทัพลงกา และแล้วเมื่อกุมภกรรรมองเห็นสุครีพยกไพร่พลออกมาก็พิศเพ่งพิเคราะห์ดูเหล่าวานรและ คิดว่าไม่สามารถต้านทานไว้ได้แน่ๆ จึงต้องออกอุบายให้สุครีพถอยทัพออกไปเพื่อให้สะดวกต่อการ ท้าการรบและสะดวกแก่การยกพลรบ ว่าแล้วก็กวัดแกว่งอาวุธเคลื่อนรถไปหน้าทัพของวานร กุมภกรรณได้ป่าวร้องไปว่าเหตุไฉนว่าเหตุใดสุครีพกับพาลีเป็นพี่น้องด้วยกันแท้ๆ ไฉนจึง อกตัญญูกลายเป็นศัตรูกับพี่ตัเอง คบกับพระรามและฆ่าพาลีชิงเอาสมบัติ ไพร่ พล บริวาร ไม่กลัว เวรกรรมจะตามสนองหรือไร ไหนๆยกทัพมาแล้ว ก็พาพวกวานรมาต่อสู้กันสิ กูไม่กลัวมึงหรอก (หน้า 42) ฝ่ายสุครีพเมื่อได้รับฟังกุมภกรรณแล้วก็ตบมือพลางหัวเราะและตอบไปว่า ดูก่อนสิอ้าย ทรลักษณ์ ช่างไม่มีเหตุผลเสียเลย อันพระรามนันอวตารมาเพื่อที่จะปราบอธรรมให้สินซาก อัน พระยาพาลีนันเคยสาบานกับข้าว่า หากคิดไม่ซื่อต่อกู ก็ให้ต้องศรนารายณ์ ครันจะเสียชีพด้วเสีย สัตย์ก็เป็นไปได้ ใช่ว่ากูมุ่งหวังจะท้าร้ายชิงสมบัติพัสถาน เอ็งพูดแบบนีได้อย่างไร ไอ้ชาติจังไรอัปรี ตัวกูยกพวกมาหวังจะมาฆ่าตัดหัวมึงไปถวายพระรามให้จงได้
  • 18. 18 ฝ่ายกุมภกรรณเมื่อได้ยินสุครีพก็โกรธกริวยิ่งนักและพลางตอบไปว่า ดูก่อนไอ้เดรัจฉาน กล้ากล่าวค้าท้าโอหัง อันมึงกับกูมันคนละชันกันที่จะมารบราฆ่าฟัน ฤทธิ์ของเอ็งนันด้อยนัก ไม่ต่ง กับพยัคฆ์กับพญาราชสีห์ สู้ไปก็มีแต่ความอัปยศ หากเจ้าแน่จริง จงไปถอนต้นรังในชมพูทวีปมาสิ แล้วข้าจะเชื่อว่าเจ้ามีฤทธิ์จริง เมื่อนันสุครีพไม่ทันรู้กลศึกก็โกรธมากที่ถูกหยามหน้า ก็พูดว่า กุมภกรรณเอ๋ย เอ็งเป็นแค่ น้องของทศกัณฐ์ ขนาดพี่มึงยังเคยพ่ายแพ้แก่กูมาแล้ว ครันข้ายกฉัตร เอ็งลืมไปแล้วหรือวะ แม้แต่ เขาพระสุเมรทรุดลงมาข้าก็ยกได้โดยไว จะนับประสาอะไรแค่ต้นรังในชมพูทวีป ว่าแล้วก็กวัดแกว่ง พระขรรค์และเหาะไปในทันที (หน้า 43) สุครีพนันสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้เร็วมาก ลัดนิวมือเดียวก็ถึงชมพูทวีป และลงไปยัง พืนดินใกล้กับภูเขากาลจันทร์ ที่ตังของต้นรังใหญ่ สูงตระหง่าน สุครีพดีใจมากที่พบต้นรัง จังเดินไป ยังใต้โคนต้นรัง สุครีพก็ได้ถอนต้นรัง เท้ายันพืน บ่ายันล้าต้น มือถอนโคนต้นรัง เสียงดังก้องปฐพีเสียงดัง สนั่นหวั่นไหว โยกไปมา ฉุด กระชากอย่างว่องไวและแล้วก็สามารถถอนได้ทันที สุครีพเมื่อถอนต้นรังได้แล้วก็ยกขึนกวัดแกว่งไปรอบๆทังสิบทิศดังฟ้าผ่า แล้วเหาะขึนไปยัง บนท้องฟ้ามาหน้ารถทันที สุครีพได้ร้องประกาศและแสดงอ้านาจของตน พร้อมถามกุมภกรรณว่านี่คือต้นอะไร เมื่อกุมภกรรณเห็นสุครีพอ่อนก้าลังก็มิได้เว้นจังหวะกวัดแกว่งคทาลงจากรถโดยทันที และ หาจังหวะโจมตีสุครีพ กุมภกรรณหวดไปซ้ายขวาด้วยก้าลังดังพญาสิงห์ ตาต่อตาฟันต่อฟัน ตีไปยังวานรซ้าๆ หลายๆที เมื่อนันสุครีพก็ได้พยายามต้านประจันและรุกไปเรื่อยๆ สุครีพได้ที หยิบเอาต้นรังฟาดกุมกรรณ ละต้นรังก็หักไปกับมือ (หน้า 44) กุมภกรรณหมายจะฆ่ากุมภกรรณ
  • 19. 19 เมื่อได้ทีแล้วจึงทุบด้วยคฑาท้าให้สุครีพเสียทีก็หนีบด้วยรักแร้และกลับไปในวงล้อมของ ทหารลงกาและกลับเข้าเมืองไปทันที ฝ่ายพลวานรเมื่อเห็นว่าสุครีพเสียทีถูกกุมภกรรณจับตัวไปก็ตระหนกตกใจจนตัวสั่น จะไป ชิงตัวก็ไม่ทัน ทัพได้แตกกระจายออกไปก่อน เมื่อมาถึงพลับพลา วานรก็เข้าไปกราบทูลพระรามว่าสุครีพเสียกลศึกแก่กุมภกรรณ มิหน้าซ้ายังถูกพาตัวไปยังลงกา เมื่อพระรามทราบข่าวก็โกรธและคิดว่าเหตุไฉนน้องพระยาพาลีมาเสียทีกุมภกรรณ หาก เป็นเช่นนีก็จะเป็นที่ครหานินทาแก่ทศกัณฐ์ได้ ว่าแล้วก็มีโองการสั่งให้หนุมานไปชิงตัวสุครีพกลับ มา หนุมานเมื่อได้ยินเช้านนันจึงทูลลาไปปฏิบัติภารกิจของตนทันที หนุมานได้แสดงอ้านาจผาดโผน แสดงฤทธิ์ ทังสิบทิศก็หวั่นไหวไปสนั่น หนุมานแลเห็นกุมภกรรณหนีบสุครีพไปจนไกล้ถึงประตูเมืองลงกา เมื่อได้จังหวะก็โจมตี โดยทันที (หน้า 45) “ถีบด้วยเท้าซ้ายป่ายขวา หัตถาบีบคอยักษี สุครีพพลัดจากอสุรี สองกระบี่ช่วยกันรอนราญ” หนุมานถีบกุมภกรรณด้วยเท้าซ้าย ปีนป่ายไปมา มือก็พลางบีบคอจนสุครีพพลัดตกจาก รักแร้ของกุมภกรรณ และทังสองก็ช่วยกันต่อสู้ เมื่อนันกุมภกรรณรู้ตัวว่าไม่สามารถจะต้านทานอย่างไร ก็รุ้สึกเสียใจผิดหวังนิดๆ แค่ป้อง ปัดต่อสู้กับลิงแค่สองตัวก็ไม่ได้ จ้าใจต้องยอม สุครีพและหนุมานต่างก็รุมกัด หนุมานกัดหูทังสองข้าง ส่วนสุครีพกัดจมูก กุมภกรรณเห็นว่าต้านไม่ไหวแล้ว ก็พลันวิ่งเข้าเมืองทันที เมื่อกุมภกรรณวิ่งหนีเข้าเมือง ทังสองก็เหาะกลับมายังพลับพลาของพระราม และทูลความ จริง เมื่อพระรามได้ยินดังนันได้ฟังแล้วรู้สึกโกรธ แผดเสียงว่า ไอ้ลูกพระอาทิตย์ เสียแรงนักที่ เจ้ามีแรง ท้าไมถึงไม่ใช้ความคิดให้รอบคอบ ดันไปหลงกลของกุมภกรรณได้ สงครามเพียงแค่นีก็
  • 20. 20 ต้านรับไม่ได้ หากหนุมานไปไม่ทันก็จะถึงแก่ชีวิต เป็นที่น่าอับอายแก่เหล่าศัตรู ดีไม่ดีก็จะท้าให้มี ความทะนงใจ เสียทีที่เป็นจอมทัพ ถ้าหากไม่มีความดีความชอบจะฆ่าทิงเสีย (หน้า 46) ด้วยความที่สุครีพกลัว จึงกล่าวค้าขอโทษว่า ใรการศึกครังนีตนเองนันท้าให้พระรามเสีย หน้าจึงควรแก่การลงโทษถึงชีวิต แต่หากพระรามมีความเมตตา มีพระคุณมากมายจะเปรียบสิ่งใด ก็มากกว่า จึงขอเอาพระบารมีมาปกเกล้าเหล่าวานร เมื่อนันพระรามได้ยินค้าของสุครีพก็ยิมได้ และเอ่ยปากชมหนุมานว่าสมแล้วที่เป็นถึงทหาร ใหญ่มากความสามารถ ว่าแล้วก็เสด็จออกไปจากพลับพลา จะยกข้อต่อกล่าวท้าวกุมภกรรณ ที่ถูกลิงกัดจนจมูกแหว่งแสนน่าเวทนา ร่างกายบอบช้าไม่ ประสมดี ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งแค้นแสนเวทนา น้าตาก็ไหลหลั่ง เดินพลางก็ไปถึงต้าหนักของทศกัณฐ์ ครันมาถึงก็น้อมเศียรวันทาแทบเท้าทศกัณฐ์ มองแล้วช่างน่าอับอายยิ่งนักประหนึ่งจะตาย ให้ได้ ทศกัณฐ์เมื่อเห็นเช่นนันก็ตกใจ มีบัญชาถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี (หน้า 47) กุมภกรรณจึงทูลว่าอันตัวข้านีได้ยกทัพไปต่อสู้กับกองทัพลิง จับได้สุครีพหนีบรักแร้มา จน ไกล้จะถึงประตูเมืองก็มีหนุมาน มาต่อสู้และชิงสุครีพไป และต่อสู้มันไม่ได้จึงเสียทีและพ่ายต่อมัน ไป รู้สึกเสียใจยิ่งนัก เมื่อนันทศกัณฐ์ก็ได้สวมกอดปลอบน้องชายว่าอย่าเสียใจไป เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย สุด แล้วแต่ปัญญานันเรื่องใหญ่ ในการศึกถ้าเสียทีก็ต้องมีชัย มิใช่แต่จะมีแพ้ อันตัวเจ้านันก็มากด้วย ฤทธิ์ ปราบได้ทั่วหล้า อันศึกเพียงนีเล็กน้อยนัก จงคิดไปต่อสู้เพื่อชัยชนะ จะได้เป็นเกียรติตราบจน สินฟ้า อย่าไปเสียใจกับมันเลย เจ้าจงอย่าละความพยายาม เมื่อกุมภกรรณฟังพี่ชายพูดให้ขอคิดปลอบใจจึงทูลไปว่า กองทัพพระรามนัน น้องจะก้าจัด พวกมันให้ได้ แต่ว่าจะลาพระองค์ไปเอาหอกโมกขศักดิ์ที่สวรรค์ชันพรหม แล้วกลับไปสังหารแก้ แค้นให้สาสม ทศกัณฐ์ได้ยินเช่นนันแล้วก็ยินดีเป็นยิ่งนัก ลูบหลังและให้ก้าลังใจว่า อันเหล่ามนุษย์และ วานรนัน จะต้องตายด้วยน้ามือของน้องชายเราเป็นแน่แท้
  • 21. 21 กุมภกรรณก็ทูลลาและออกจากท้องพระโรง กุมภกรรณพลางส้าแดงฤทธิ์เสียงดังหวั่นไหว และเหาะขึนไปยังสวรรค์ชันพรหม (หน้า 48) เมื่อถึงวรรค์ชันพรหม กุมภกรรรก็เล่าความแก่ท่าวธาดาพรหม ว่าบัดนีกรุงลงกาของเรา เกิดเหตุเข่นฆ่า อันตัวข้าจะมาขอหอกโมกขศักดิ์ไปต่อสู้ ท้าวธาดาพรหมเมื่อได้ฟังกระนันแล้วจึงบัญชากลับไปว่า อันหอกโมกขศักดิ์นันมีความ แปลกประหลาดนัก ร้อยวันพันปีไม่มีราคี แต่มาบัดนีกลับมีสนิมมาเกาะติด เอ็งสินะที่เป็นผู้อยู่ใน ครรลองครองธรรม ท้าวธาดาพรหมจึงเผลอมอบหอกโมกขศักดิ์ไปให้ทันที กุมภกรรณเมื่อได้ฟังแล้วจึงทูลกลับไปว่า ตัวข้านีตังมั่นอยู่ในธรรม ตัวทศกัณฐ์ต่างหากที่ เป็นผู้ก่อความชั่ว ไปลักพาตัวนางสีดาผู้เป็นเมียของพระราม ผัวเขาจึงตามมาเข่นฆ่าราวี ครันจะ ห้ามให้คืนนางมันก็โกรธ ด้วยความที่เป็นน้องชาย ไม่มีทางเลือกจงต้องเป็นไก่รองบ่อน มาครังนีข้า จึงขอความปราณีเป็นที่พึ่งแก่ข้า เมื่อท้าวธาดาพรหมได้ฟังค้าพูดของกุมภกรรณแล้วก็ตอบไปว่า อันทศกัณฐ์นันท้าความชั่ว มาก เบียดเบียนมาถึงสวรรค์ มันชักจะก้าเริบอีกหรือ ว่าแล้วท้าวธาดาพรหมจึงยกหอกให้ด้วย ความเข้าใจผิด และอวยชัยว่า เสียชีพอย่าเสียสัตย์ ตามวศ์พรหมของเรา เมื่อนันกุมภกรรณรับเอาหอกแล้วก็ถวายบังคมลาท้าวธาดาพรหม ส้าแดงฤทธิ์เหาะเหิน กลับมายังลงกา (หน้า 49) ครันมาถึงลงกาแล้วกุมภกรรณจึงมีรับสั่งให้กากนาสูรไปตังโรงพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ที่เชิง เขาพระสุเมรุไกล้ฝั่งน้าอันอุดมไปด้วยพรรนานา กากนาสูรรับบัญชากุมภกรรณและถวายบังคมลา กากนาสูรเกณฑ์พนักออกจากเมืองไปยังเชิงเขาพระสุเมรุ เมื่อถึงฝั่งน้าจึงสั่งให้พนักงานปลูกโรงพิธีขึน ฝ่ายทหารก็ช่วยกันสร้างโรงพิธีจนเสร็จ
  • 22. 22 พรรณนาลักษณะของโรงพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ ปลูกเป็นโรงราชพิธี อลงกตยาวรีสิบเก้าห้อง หลังคานันตาดแดงแย่งทอง ช่อฟ้ากุก่องอลงการณ์ จัตุรมุขงามแม้นพิมานสวรรค์ หน้าบั่นดังเทพเลขา เพดานแดงประดับด้วยดารา ห้อยบุปผามาลัย ลายริวราชวัติฉัตรจรง ทิวธงเรียงรายปลายไสว ล้อมแผ่นศิลาอ้าไพ ที่ลับหอกชัยอสุรีฯ -ขนาด ยาว 19 ห้อง -มุงหลังคาด้วยตาดสีแดงแกมทอง -มีช่อฟ้า -มุขทังสี่งดงามปานกับวิมานบนสวรรค์ -ประตูลายเทพพนม -เพดานเป็นสีแดงประดับด้วยพวงดอกไม้ลายราชวัติ -มีธงรายล้อมบริเวณปรัมพิธี (ล้อมรอบที่ลับหอก) กุมภกรรณจะเสด็จมายังแท่นแก้วท่ามกลางบรรดาเสมนาอ้ามาตย์ จึงตรัสให้มหากาล เตรียมรถให้พร้อมรวมไปถึงก้าลังพลจ้านวนหนึ่งไปตังพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ที่เช้งเขาพระสุเมรุ ลัง เพื่อเอาไปฆ่ามนุษย์ให้ถึงแก่ความตาย (หน้า 50) มหากาลเมื่อได้รับบัญชาจากกุมภกรรณแล้ว ก็วิ่งลนลานออกไปท้าหน้าที่ของตน ลักษณะการจัดกระบวนทัพของมหากาล เกณฑ์มารเป็นหมู่พยุหบาตร โดยกระบวนประพาสในป่าใหญ่ ห้าพันล้วนพวกธงชัย แห่ในเบืองหน้าพระยามาร กองขวาคอยป้องล้วนถือปืน แปดพันเลือกพืนทหารหาญ กองซ้ายถือศรเผ่นทะยาน แปดพัคอยผลาญปัจจามิตร กองหลังถือธนูก้าซาบ โล่ ดัง หอก ดาบ กระบี่ กฤช เตรียมทังรถทองเชาวลิต เสด็จตามประกาศิตอสุราฯ -มหากาลเกณฑ์ทหารและเดินทางไปยังโรงพิธีรวมเบ็ดเสร็จแล้วห้าพันตนแห่ไปล่วงหน้ากุมภกรรณ –กองขวาคอยถือปืนกว่าแปดพันตน -กองซ้ายแปดพันตนถือธนูศร -กองหลังถือธนู ศร โล่ ดัง หอก ดาบ กระบี่ กฤช พอตอนเช้ากุมภกรรณก็มาที่แม่น้า
  • 23. 23 บทพรรณนาเครื่องแต่งกายของกุมภกรรณ ช้าระสระสนานส้าราญกาย สุหร่ายแก้วโปรยดังสายฝน ทรงสุคันธารสเสาวคนธ์ ปรุงปนทิพย์มาศสุขุมาลย์ สนับเพลารายพลอยเครือแย่ง ภูษาชายแครงกระหนกก้าน ชายไหวชายแครงอลงการ ทรงมหาสังวาลทับทิมพราย ทับทรวงสร้อนสนสะอิงแก้ว ตาบทิศเพชรแววฉานฉาย พาหุรัดทองกรจ้าหลักลาย ธ้ามรงค์พลอยรายกรรเจียกจอน ห้อยพวงมาลัยดอกไม้ทัด ขัดพระขรรค์เพชรประภัสสร จับพระแสงโมขศักดิ์ฤทธิ์รอน กรายกรไปขึนพิชัยรถฯ -อาบน้าด้วยฝักบัวที่โปรยปรายเหมือนสายฝน -ฉีดน้าหอมที่มีกลิ่นดอกไม้ -กางเกงประดับพลอยลายเครือแย่ง -ผ้าชายแครงตกแต่งด้วยลายกนกด้าน - ทรงสังวาลสีแดงประดับทับทิม -ทับทวงประดับเพชร -ทาบทิศฝังเพชร -ก้าไลแขนและทองกรสลักลวดลายงดงาม –แหวนประดับพลอย -พวงมาลัยทัดหู -ทรงพระขรรค์เพชร หยิบหอกโมกศักด์แล้วไปที่รถทรง บทพรรณนาราชรถทรง รถเอยราชรถนิล โกมินกงมาศมรกต ทรงงามสามงอนอ่อนชด ชันลดช่อลอยล้วนพลอยเพชร แก้วกระหาบกาบกระหนกนกลาย บัวหงายบังเงากระจังเก็จ บัลลังก์บุลวดผอวดเม็ด แสงเตร็จส่องตรัสเมฆาฯ -รถทรงสีแดงโกมิน -กงล้อสีเขียวตก -แต่งด้วยเพชรพลอย -กาบแก้วลวดลายกนกสวยงาม -ลายกนกบัวหงายบังด้านหน้ากระจังรถ -บัลลังก์เพชร (หน้า 51) คนขับรถพาล่องไปบนเวลาสูงลิบและมีแสงสะท้อนจากเพชรนิลจินดาที่ประดับรถ มีมโหรีบรรเลง และต้นเสียงเห่ รถก็เหาะลิ่วข้ามยอดเขายุคุนธรและมหาสมุทรทังเจ็ด
  • 24. 24 เมื่อถึงโรงพิธีที่เชิงเขาพระสุเมรุ จึงสั่งเสนาเฝ้าเวรยามดูแลทังทางบกและทางน้าอย่าให้ ของเน่าเหม็นเข้ามาในเขตที่ท้าพิธี เมื่อสั่งความเสร็จสินแล้วจึงลงจากรถ แลดูองอาจเยี่ยงพญาสิงห์ เข้าสู่โรงพิธี กุมภกรรณจุดธูปเทียนบูชา โปรยดอกไม้เจ็ดสี ใส่เลือดโคถึกที่ชื่อว่า มฤคี จัดใส่เครื่องบัตร พลี ยกมือไหว้บรรพบุรุษ บริกรรมพระเวทพร้อมลับหอกโมกศักดิ์ ตอนเช้าพระรามตื่นบรรทม แสงฟ้าส่องหน้าก็ออกจากแท่น อาบน้าและล้างหน้าแล้วชวน พระลักษณ์ไปตรวจตราความเรียบร้อยของกองทัพกับหมู่เสนา ทังสองพระองค์นั่งลงบนแก้ว พร้อมทหารติดตาม แล้วถามพิเภกว่าตอนนีกุมภกรรณเป็น อย่างไรจึงไม่ยกทัพมาท้าสงครามกับเรา พิเภกจึงบอกว่าทัพกุมภกรรณไม่มาเพราะไปลับหอกโมกศักดิ์ที่เขาพระสุเมรุ เมื่อลับเสร็จ ทังสี่คมด้านก็จะมีพลังดั่งไฟกรด ปราบได้ทั่วสวรรค์ยันบาดาล ไม่มีอะไรต้านทานได้ (หน้า 52) เมื่อพระรามได้ฟังที่พิเภกพูดถึงอาวุธของกุมภกรรรณที่มีพลังรุนแรง จึงคิดว่าจะท้าเช่นไร จึงจะไม่เป็นเช่นนัน พิเภกจึงกล่าวว่ากุมภกรรณนันเป็นคนรักความสะอาด รักกลิ่นหอมจะประพรมน้าหอมทุก วัน แพ้สิ่งที่เน่าเหม็นจึงให้หนุมานและองคตแปลงกายเป็นสุนัขเน่าลอยไปใกล้โรงพิธีท้าให้ลับหอก ไม่ส้าเร็จ เมื่อพะรามได้ฟังค้าแนะน้าของพิเภกจึงสั่งให้หนุมานและองคตไปขัดขวางการท้าพิธีลับ หอกโดยทันที หนุมานละองคตรับค้าสั่งของของพระรามและเหาะมุ่งหน้าไปเขาพระสุเมรุ เมื่อมาถึงเชิงเขาพระสุเมรุจึงเห็นกุมภกรรณลับหอกอยู่โรงพิธีใกล้ริมแม่น้า ทังสองจึงเหาะ ลงมาและแปลงกาย (หน้า 54) หนุมานแปลงเป็นสุนัขเน่าลอยน้ามา องคตแปลงเป็นอีกาบินโฉบมากินสุนัขเน่า
  • 25. 25 เมื่อกุมภกรรณลับหอกอยู่นันพลางหันไปเห็นสุนัขเน่ามีแมลงวันตอม และกาจิกกินมีหนอน เต็มไปหมดก็อาเจียน เวียนหัวไม่สามรถลับหอกต่อได้จึงขึนรถกลับกรุงลงกาและมีค้าสั่งให้ทหารที่ อยู่ที่เชิงเขาพระสุเมรุกลับกรุงลงกาทังหมด องคตและหนุมานเมื่อเห็นกุมกภกรรณกลับไปก็ต่างก็พอใจและกลายเป็นลิงขึนจากแม่น้า หนุมานและองคตเหาะกลับมาที่พลับพลาอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงพลับพลาก็ทูลต่อพระรามว่าท้าลายพิธีส้าเร็จ เมื่อพระรามได้ยินก็ทรงยินดีและชื่นชมหนุมานและองคตว่ามิเสียทีที่เป็นวงศ์เทเวศ ทังฤทธิ์ เดช ความคิดไม่แพ้ใคร ขอให้ทังสองรักษาความดีนีไว้ และเสด็จกลับไปในห้อง (หน้า 54) เมื่อกุมภกรรณถึงกรุงลงกาก็เข้าเฝ้าทศกัณฐ์ บอกถึงการตังพิธีตังแต่ต้นอย่างถี่ถ้วนจนจบ ทศกัณฐ์ได้ฟังเรื่องแล้วแค้นใจเป็นยิ่งนัก ร้อนใจร้อนใจแล้วบอกว่า อันมหาสมุทรสีทันดร เป็นที่ที่ไกลเกินกว่ามนุษย์จะเข้าถึง น้าที่นั่นก็ไม่สกปรกแม้แต่น้อย แต่สุนักเน่าและอีกานันมาได้ อย่าไร หรือเอ๊ะ จะเป็นเพราะพิเภกคนชั่วบอกความจริงแก่พระราม จึงมีการมาล้มล้างพิธี ถึง อย่างไรก็ตามแต่ ไม่สามารถลับหอกโมกขศักดิ์ได้ งันพรุ่งนี เจ้าจงยกทัพไปฆ่าเสียให้สิน เมื่อกุมภกรรณได้รับค้าสั่งจากทศกัณฐ์ก็รับสนองเพราะความโกรธแค้นดังไฟจี ถึงตายก็ไม่ เสียดายชีวิตเพราะคิดจะแก้แค้นจึงลาทศกัณฐ์แล้วกลับปราสาทของตน กุมภกรรณสั่งการยักษีให้เตรียมพลไปรบกับพระรามพรุ่งนี (หน้า 55) สิทธิกาลรับค้าสั่งแล้วออกไปจากต้าหนัก ลักษณะการจัดทัพครั้งที่สองของกุมภกรรณ จัดหมู่ทหารช้านาญยุทธ์ ถือปืนคาบชุดเป็นทัพหน้า กองขันถือคบศิลา ล่้าสันกายาเร็วแรง เกียกกายล้าพองคะนองศึก ห้าวฮึกถือธนูขัดแล่ง กองหลวงล้วนขัดดาบแดง มือถือทวนแทงถ้วนตน ยุกกระบัตรล้วยถือหอกใหญ่ นายหมวดตรวจไพร่กุลาหล
  • 26. 26 กองหนุนเลือกล้วนคงทน ถือง้าวค้ารนจ้าราญรอน กองหลังมือถืออาวุธ ส้าแดงฤทธิ์รุธดั่งไกรสร เตรียมทังรถทรงอลงกรณ์ คอยเสด็จบทจรอสุราฯ -จัดทหารช้านาญการต่อสู้ -ทัพหน้าถือปืนและธนู -กองขันถือคบศิลา -ร่างกายแข็งแรง -นักรบทุกตนล้วนคะนองศึกและสะพายลูกธนู -กองกลางถือดาบสีแดงและทวน -นายหมวดถือหอกใหญ่ -กองหนุนถือง้าว -กองหลังล้วนด้วยอาวุธ เตรียมรถศึกออกรบ ตอนรุ่งสางกุมภกรรณอาบน้า บทพรรณนาการแต่งกายของกุมภกรรณ สุหร่ายแก้วโปรยปรายดังสายฝน ทรงสุคนธ์เฟื่องฟุ้งจรุงกลิ่น สนับเพลาเชิงรูปนาคิน ภูษาเครือกินรีร้า สอดใส่ฉลององค์อย่างน้อย เกราะพลอยมรกตเขียวข้า รัดอกล้วนบุษราคัม ประจ้ายามเคียงคั่นกุดั่นดวง สร้อยสนสังวาลสะอิงแก้ว ตาบทิศเพชรแพรวรุ้งร่วง เฟื่องห้อยพลอยประดับทับทรวง พาหุรัดแก้วดวงทองกร สอดใส่ธ้ามรงค์เนาวรัตน์ กรรเจียกแก้วจ้ารัสประภัสสร จับโมกขศักดิ์ฤทธิ์รอน บทจรมาขึนรถทรงฯ -อาบด้วยฝักบัวแก้วที่น้าไหลเหมือนสายฝน -พรมน้าหอม -สวมกางเกงเชิงของรูปพญานาค -ผ้าลายเครือกินรีร้า -เกราะพลอยสีเขียวมรกต -รัดอกสีเหลืองบุษราคัม -ประจ้ายามลายกุดั่น -สังวาลเพชร -ตาบทิศเพชร -ทับทรวงประดับพ ลอยลายเฟื่ อง -ก้าไลแขนประดับเพชรและทองกร -สวมแหวน -หูทัดดอกไม้ -ถือหอกโมกขศักดิ์ บทชมรถของกุมภกรรณ รถเอยรถศึก เจ็ดงอนพ้นลึกงามระหง ก้าแก้วสลับประกับกง ดุมวงประดับทับทิมพราย
  • 27. 27 บัลลังก์รายรูปสิงห์สลับครุฑ กรยุดนาคหิวเฉิดฉาย เทพพนมประนมนิวเรียงราย จตุรมุขงามคล้ายพิมานรัตน์ เทียมโตสองพันตัวคะนอง สารถีขับคล่องยืนหยัด รวดเร็วดั่งหนึ่งลมพัด มยุรฉัตรเครื่องสูงเรียงรัน ปี่ฆ้องกลองประสานเสียง ส้าเนียงพลโห่เลื่อนลั่น ผงคลีมืดคลุ้มชอุ่มควัน รีบเร่งพลขันธ์ออกมาฯ -รถศึกสวยงาม ขอบข้างมีถึงเจ็ดงอนทังสองฝั่ง - ก้าประดับเพชร ดุมล้อประดับด้วยทับทิม -บัลลังก์รูปสิงห์สลับครุฑยุดนาค -กนกขอบลายเทพพนม -สี่มุขดั่งวิมาน -เทียมโตให้ก้าลัง 2000 -เคลื่อนที่เร็ววดังลมพัด -มีมยุรฉัตรสูงเรียงรายหน้าขบวน -มโหรีบรรเลง -เมื่อทัพเคลื่อนท้าให้เกิดฝุ่นตลบ (หน้า 56) เมื่อถึงสมรภูมิ จึงหยุดกองตังกระบวนที่ชายป่า เมื่อพระรามนอนบนพระที่นั่ง ก็ทรงพูดถึงไมยราพที่มาลอบสะกดทัพจนถึงตอนเช้าแต่นึก ไม่ถึงว่าจะมีลมพัดกลิ่นดอกไม้ท้าให้ฟื้น จึงแต่งองค์ทรงเครื่องงดงามดั่งเทวดาจับศรแล้วออกมายังหน้าพลับพลา สนามรบพร้อมทหารทังสองเมือง มีมากดั่งดาวล้อมเดือน เมื่อได้ยินเสียงสนั่น สะเทือนฝุ่น ตลบบัง พระรามจึงมีบัญชาให้ดูว่าเป็นทัพของกุมภกรรณหรือเปล่าที่ได้ยินเสียงดังลั่นมาจากทาง ป่า จะเป็นทัพของกุมภกรรณหรือเปล่าหรือว่าทัพใคร พิเภกเมื่อได้ฟังเสียงก็ทูลพระรามว่านั่นคือทัพของกุมภกรรณที่มีหอกโมกศักดิ์และก้าลังพล ละอาวุธมากมาย (หน้า 57) เมื่อพระรามได้ฟังพิเภกว่าทัพศัตรูมีก้าลังและอาวุธมากมาย จึงถามพิเภกว่าจะให้ใครไป ต่อสู้ด้วยจึงจะไม่พ่ายแพ้ พิเภกบอกว่าทัพลิงคงสู้ไม่ไหวต้องให้พระลักษณ์ไปสู้ เมื่อพระลักษณ์ได้ฟังค้าพิเภกก็เห็นด้วย เมื่อพระรามสั่งสอนพระลักษณ์เสร็จ พระลักษณ์ จึงยกทัพไปสู้กับกุมภกรรณ