ประเทศจีน
- 2. ภูมิประเทศของจีน
ประเทศจีนตั้งอยู่บริเวณซีกโลกเหนือในทวีปเอเชียตะวันออก ทางฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก สภาพ
ภูมิประเทศของจีนค่อนข้างซับซ้อน พื้นที่ด้านตะวันตกยกตัวสูงและค่อนๆ ลาดต่่าลงมาทางตะวันออก
ลักษณะภูมิประเทศของจีนคล้ายขั้นบันได 3 ขั้น ขั้นที่ 1 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สูงจากระดับน้่าทะเลมากที่สุดในโลก
และได้รับการขนานนามว่า "หลังคาของโลก" คือบริเวณที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบตซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันตก
เฉียงใต้ของจีน พื้นที่บันไดขั้นที่ 1 นี้จะเอียงลาดลงมาทางตะวันออกและเหนือ กลายเป็นที่ราบสูงและแอ่ง
แผ่นดินต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียง บริเวณที่ราบสูงและแอ่งแผ่นดินเหล่านี้ก็คือพื้นที่บันไดขั้นที่ 2 นั่นเอง ส่วน
พื้นที่บันไดขั้นสุดท้ายส่วนใหญ่จะเป็นที่ราบ
ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีภูเขามาก เขตภูเขาของจีนอันประกอบด้วยภูเขา ที่ราบสูงและเนินเขาคิดเป็นเนื้อ
ที่ประมาณสองในสามของพื้นที่ทั้งหมด ในบรรดาเทือกเขาที่มียอดเขาสูงจากระดับน้่าทะเลมากกว่า 8,000
เมตรจ่านวน 14 แห่งของโลก ในจ่านวนนี้มียอดเขาถึง 9 ยอดที่ตั้งอยู่บนเส้นพรมแดนของจีนและภายใน
พื้นที่ประเทศจีน เช่น ยอดเขาจูมู่หลางหม่าหรือยอดเขาเอเวอร์เรสซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก(สูงจาก
ระดับน้่าทะเลประมาณ 8,848.13 เมตร) และยังมียอดเขาที่สูงจากระดับน้่าทะเลมากกว่า 5,000 เมตรอีกนับ
ไม่ถ้วน เทือกเขาของจีนจึงกลายเป็นที่สุดของโลกไม่ว่าจะเป็นในด้านปริมาณหรือความสูงของยอดเขา
ประเทศจีนมีที่ราบสูงซึ่งกินเนื้อที่เป็นบริเวณกว้าง ที่ราบสูงที่มีชื่อเสียงทั้งสี่แห่งของจีนได้แก่ ที่ราบสูงชิง
ไห่-ทิเบต ที่ราบสูงมองโกลเลียใน ที่ราบสูงหวงถู่และที่ราบสูงยูนนาน-กุ้ยโจว ที่ราบสูงทั้งสี่นี้สูงจาก
ระดับน้่าทะเลมากกว่า 1,000 เมตร โดยแต่ละที่จะมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ต่างกันไป
นอกจากนี้จีนยังมีแอ่งแผ่นดินจ่านวนมาก ได้แก่ แอ่งเสฉวน แอ่งทาริม แอ่งจูงการ์และแอ่งไฉตาามู่ แอ่ง
แผ่นดินสามแอ่งแรกล้อมรอบด้วยเทือกเขาสูง สภาพพื้นที่โดยทั่วไปในแอ่งแผ่นดินค่อนข้างราบและมี
ทะเลทรายขนาดใหญ่
แม่น้่าในประเทศจีนก็มีมากเช่นกัน โดยมีแม่น้่าจ่านวนกว่า 50,000 สายที่มีบริเวณลุ่มน้่ามากกว่า 100 ตาราง
กิโลเมตร และมีแม่น้่ากว่า 1,500 สายที่มีบริเวณลุ่มน้่ามากกว่า 1,000 ตารางกิโลเมตร แม่น้่าส่วนใหญ่อยู่ทาง
- 3. ภาคตะวันออกและภาคใต้ของจีน ส่วนทางภาคตะวันตะเฉียงเหนือจะแห้งแล้งและมีปริมาณน้่าฝนน้อย
ส่งผลให้มีแม่น้่าน้อยสาย แม่น้่าฉางเจียงหรือแม่น้่าแยงซีเป็นแม่น้่าสายใหญ่อันดับแรกของจีนและยังเป็น
แม่น้่าที่ยาวที่สุดในโลกด้วย แม่น้่าสายส่าคัญอื่นๆ ได้แก่ แม่น้่าหวงเหอหรือแม่น้่าเหลือง แม่น้่าเฮยหลงเจียง
แม่น้่าจูเจียงและแม่น้่าหวายเหอ เป็นต้น นอกจากนี้ประเทศจีนยังมีทะเลสาบอยู่มากมาย ได้แก่ ทะเลสาบชิง
ไห่ซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต ทะเลสาบแห่งนี้เป็นทะเลสาบน้่าเค็มที่ใหญ่ที่สุดของจีนและยังเป็นเขต
อนุรักษ์ทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของจีนอีกด้วย ส่วนทะเลสาบอื่นๆ ในประเทศจีนส่วนใหญ่เป็นทะเลสาบ
น้่าจืดซึ่งล้วนแต่มีทรัพยากรทางน้่าที่อุดมสมบูรณ์ เช่น ทะเลสาบผัวหยาง ทะเลสาบต้งถิง ทะเลสาบไท่หู
และทะเลสาบหงเจาอ เป็นต้น
ภูมิอากาศเมืองจีน
เมืองจีนมีลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบมรสุมภาคพื้นทวีปมีหลากหลายรูปแบบ ลมเหนือจะมีอิทธิพลสูงใน
ฤดูหนาว ในขณะที่ลมใต้จะมีบทบาทในฤดูร้อน ท่าให้เมืองจีนมีถึง 4 ฤดู ที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัด มีฤดูฝน
ปนอยู่กับฤดูร้อน ภูมิอากาศที่ซับซ้อนของเมืองจีนในลักษณะนี้ มีผลท่าให้สามารถแบ่งแถบอิงอุณหภูมิ กับ
แถบอิงความชื้นของภาคพื้นของเมืองจีนได้ คือแบ่งแถบอิงอุณหภูมิจากภาคใต้ถึงภาคเหนือเป็น แถบเส้น
ศูนย์สูตร ร้อนชื้น กึ่งร้อนชื้น อบอุ่น และแถบหนาวเย็น และแบ่งแถบอิงความแห้ง - ชื้น จากตะวันออกเฉียง
ใต้ ถึงตะวันตกเฉียงเหนือเป็นแถบความชื้นสูง
เมืองจีนมีลมฟ้าอากาศส่วนใหญ่อยู่ในเขตลมมรสุม การที่เมืองจีนมีพื้นที่กว้างใหญ่ทั้งทางเนื้อที่ และลักษณะ
ภูมิประเทศท่าให้เมืองจีนมีภูมิอากาศที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น
ภูมิอากาศบริเวณคาบสมุทรเลยโจว เกาะไหหนาน และมณฑลยูนนานของเมืองจีนนั้นจัดเป็นภูมิอากาศ
เขตร้อน มีอากาศร้อนและฝนตกตลอดปี จึงท่าให้พืชพรรณธัญญาหารมีความอุดมสมบูรณ์ มณฑลเฮลุง
เจียงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองจีน จะมีลักษณะอากาศร้อนที่ค่อนข้างหนาวในระยะสั้น ๆ และมี
ฤดูหนาวที่อากาศหนาวจัดมาก ส่วนบริเวณลุ่มแม่น้่าฉางเจียงและฮวยเหอ ทางภาคตะวันออกของเมืองจีน
นั้นมีอากาศอบอุ่นและชุ่มชื้นโดยที่มีฤดูแตกต่างกันทั้ง 4 ฤดู พื้นที่บางแห่งบริเวณที่ราบสูงยูนนาน ไกวโจว
ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองจีนนั้นมีฤดูหนาวที่ค่อนข้างอบอุ่น และฤดูร้อนค่อนข้างเย็น เช่นในคุนหมิงซึ่ง
รู้จักกันดีว่าเป็นเมืองในฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี บริเวณที่ราบทิเบตนั้นมีอากาศที่รุนแรงมาก แต่ก็ได้รับ
แสงอาทิตย์เต็มที่ ในเขตภูมิอากาศอบอุ่นเหนือ มีฤดูที่แตกต่างกันไปทั้ง 4 ฤดู ซึ่งประกอบด้วยภูมิอากาศ
- 4. หนาว ร้อน อบอุ่น และฝนตกชุก ระยะเวลาของลมมรสุมเมืองจีน นั้นจะเริ่มตอนปลายฤดูใบไม้ผลิไปจนถึง
ระยะอากาศอบอุ่นของกลางปี เป็นลมมรสุมที่ชุ่มชื้นเพราะพัดจากมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดียเข้าสู่
แผ่นดิน ส่วนในฤดูหนาวอีกครึ่งปีนั้น จะมีลมแห้งแล้งพัดผ่านแผ่นดินไปยังทะเล ท่าให้เกิดฤดูแล้งขึ้น
บริเวณลุ่มน้่าแยงซีนั้นกลับได้รับประโยชน์จากลมบ้าหมูซึ่งท่าให้เกิดฝนตกในฤดูหนาว
- 5. ดอกไม้ประจ่าชาติจีน (ดอกโบตั๋น)
ดอกโบตั๋นหรือในภาษาจีนเรียกว่า หมู่ตัน 牡(mǔ)丹(dān)花(huā)เป็นดอกไม้สวยงาม สีสันสดใส
และมีกลิ่นหอม มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ในยุคแรกชาวจีนน่าดอกโบตั๋นมาเป็นท่าเป็นยาสมุนไพร
หลังจากนั้นก็ค่อยๆมีจิตรกรน่าดอกโบตั๋นมาวาดไว้ในงานศิลปะ ชาวจีนเชื่อว่า ดอกโบตั๋นนี้เป็นดอกไม้ที่มี
สัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งร่่ารวย ในสมัยราชวงศ์ชิงนั้นได้ก่าหนดให้ดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้ประจ่าชาติจีน
แต่หลังจากราชวงศ์ล่มสลาย พรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมามีอ่านาจ ท่าให้ไม่มีการแต่งตั้งดอกไม้ประจ่าชาติจีน
อย่างเป็นทางการ จนกระทั่งสมัยอดีตนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล เขาได้เดินทางไปยังเมืองลั่วหยาง มณฑล
เหอหนาน ได้เยือนแหล่งเพาะปลูกดอกโบตั๋นที่มีชื่อเสียง แต่เนื่องจากขาดการสนับสนุน ท่าให้ผลผลิตที่
ออกมาไม่ดีเท่าที่ควร อดีตนายกฯได้กล่าวกับอาคันตุกะชาวต่างชาติว่า “ดอกโบตั๋นนั้นเป็นดอกไม้ประจ่า
ชาติจีน เป็นดอกไม้ที่น่าอัศจรรย์และสง่างามมาก มันเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขและความมั่งมีศรีสุขของ
ประเทศ เราจะต้องปกป้องมันอย่างเร่งด่วน” หลังจากนั้นดอกโบตั๋นก็ค่อยๆเริ่มกลับมามีชื่อเสียงและเจริญ
งอกงามอีกครั้ง เมืองลั่วหยางเองก็ได้มีการจัดงานเทศกาลชมดอกโบตั๋นขึ้นเป็นประจ่าทุกปี ปัจจุบันนอกจาก
ในประเทศจีนแล้ว ยังได้มีการปลูกดอกโบตั๋นในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ อังกฤษ
ฝรั่งเศส อเมริกา แคนาดา เป็นต้น
- 6. การแต่งกาย
กี่เพ้าหรือฉีเผา ตามส่าเนียงจีนกลางนี้ มีต้นก่าเนิดในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911) ซึ่งปกครองแบบ 8
แว่นแคว้นหรือปาฉี โดยผู้ปกครองชาวแมนจู ค่าว่า ‘ฉี’ ในปาฉีและค่าว่า ‘เผา’ นั้นหมายถึงเสื้อผ้าชุดยาว
ตลอดล่าตัว จึงเป็นที่มาของ ‘ฉีเผา’นั่นเอง โดยได้รับความนิยมสูงสุดในรัชสมัย ‘คังซี’ และ ‘หยงเจิ้ง’ (ค.ศ.
1662-1736) ยุครุ่งเรืองแห่งราชวงศ์ชิง
ซึ่งต่างจากสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) ยุคก่อนหน้านั้น ที่แฟชั่นของหญิงชาวฮั่นซึ่งเป็นชน
กลุ่มใหญ่ของแผ่นดินจีน มักแยกเสื้อกับกระโปรงออกจากกัน อย่างไรก็ตาม ในยุคกลางราชวงศ์ชิง ชุดของ
สาวแมนจูกับสาวฮั่น ต่างก็เริ่มเลียนแบบซึ่งกันและกัน
หลังปี ค.ศ.1840 วัฒนธรรมตะวันตกได้ค่อยๆ จู่โจมเข้าสู่แดนมังกรพร้อมกับยุคล่าอาณานิคม เมือง
ชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะเมืองส่าคัญอย่าง ‘เซี่ยงไฮ้’ ซึ่งมีชาวตะวันตกเข้าอยู่อาศัยปะปนกับชาวจีน จึงได้รับ
อิทธิพลตะวันตกก่อนพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ไม่เว้นแม้แต่แฟชั่นการแต่งกายแบบฝรั่งที่ค่อยๆ แทรกซึม และ
น่าไปสู่การเปลี่ยนแปลง
รูปแบบของชุดกี่เพ้าที่เราเห็นกันในปัจจุบัน จึงมีวิวัฒนาการจากชุดสตรีชาวแมนจู ที่ถูกสตรีชาวฮั่น
น่าไปประยุกต์ดัดแปลง ผสมผสานการดูดซับเอาวัฒนธรรมเครื่องแต่งกายที่เน้นส่วนโค้งเว้าเข้ารูปแบบ
ตะวันตก โดยจะมีลักษณะของแขน ปก ชาย การผ่าข้าง และความสั้นยาวเปลี่ยนไปตามความนิยมในแต่ละ
ยุคสมัย กี่เพ้าหรือฉีเผา ตามส่าเนียงจีนกลางนี้ มีต้นก่าเนิดในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911) ซึ่งปกครอง
แบบ 8 แว่นแคว้นหรือปาฉี โดยผู้ปกครองชาวแมนจู ค่าว่า ‘ฉี’ ในปาฉีและค่าว่า ‘เผา’ นั้นหมายถึงเสื้อผ้าชุด
ยาวตลอดล่าตัว จึงเป็นที่มาของ ‘ฉีเผา’นั่นเอง โดยได้รับความนิยมสูงสุดในรัชสมัย ‘คังซี’ และ ‘หยงเจิ้ง’
(ค.ศ.1662-1736) ยุครุ่งเรืองแห่งราชวงศ์ชิง
ซึ่งต่างจากสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) ยุคก่อนหน้านั้น ที่แฟชั่นของหญิงชาวฮั่นซึ่งเป็นชน
กลุ่มใหญ่ของแผ่นดินจีน มักแยกเสื้อกับกระโปรงออกจากกัน อย่างไรก็ตาม ในยุคกลางราชวงศ์ชิง ชุดของ
สาวแมนจูกับสาวฮั่น ต่างก็เริ่มเลียนแบบซึ่งกันและกัน
- 7. หลังปี ค.ศ.1840 วัฒนธรรมตะวันตกได้ค่อยๆ จู่โจมเข้าสู่แดนมังกรพร้อมกับยุคล่าอาณานิคม เมือง
ชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะเมืองส่าคัญอย่าง ‘เซี่ยงไฮ้’ ซึ่งมีชาวตะวันตกเข้าอยู่อาศัยปะปนกับชาวจีน จึงได้รับ
อิทธิพลตะวันตกก่อนพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ไม่เว้นแม้แต่แฟชั่นการแต่งกายแบบฝรั่งที่ค่อยๆ แทรกซึม และ
น่าไปสู่การเปลี่ยนแปลง
รูปแบบของชุดกี่เพ้าที่เราเห็นกันในปัจจุบัน จึงมีวิวัฒนาการจากชุดสตรีชาวแมนจู ที่ถูกสตรีชาวฮั่น
น่าไปประยุกต์ดัดแปลง ผสมผสานการดูดซับเอาวัฒนธรรมเครื่องแต่งกายที่เน้นส่วนโค้งเว้าเข้ารูปแบบ
ตะวันตก โดยจะมีลักษณะของแขน ปก ชาย การผ่าข้าง และความสั้นยาวเปลี่ยนไปตามความนิยมในแต่ละ
ยุคสมัย
- 8. ภาษา แมนดารินเป็นภาษาราชการ และมีภาษาท้องถิ่นอีกจ่านวนมาก เช่น ภาษากวางตุ้ง แต้จิ๋ว เซี่ยงไฮ้ แคะ
ฮกเกี้ยน เสฉวน หูหนาน ไหหล่า เป็นต้น ส่วนใหญ่ใช้อักษรจีนแบบย่อ (Simplified Chinese) มีอักษร
ทั้งหมด 56,000 ตัว ใช้ประจ่า 6,763 ตัว ถ้ารู้เพียง 3,000 ตัว ก็อ่านหนังสือพิมพ์และทั่วไปได้
การทักทายในภาษาจีน
1.你好
Nǐ hǎo
หนี่ห่าว
สวัสดี
2.您好
Nín hǎo
หนินห่าว
สวัสดี
3.早安
Zǎo ān
เจ่าอาน
อรุณสวัสดิ์
- 10. ไม่ได้เจอกันนาน เป็นไงบ้าง
9.最近忙吗?
Zuìjìn máng ma?
จุ้ยจิ้น หมางมะ
ช่วงนี้ยุ่งไหม
10.你身体好吗?
Nǐ shēntǐ hǎo ma?
หนี่เซินถี่ห่าวมะ
คุณสุขภาพเป็นไงบ้าง
11.我的身体很好。
Wǒ de shēntǐ hěn hǎo.
หว่อเตอเซินถี่เหิ่นห่าว
สุขภาพฉันดี
12.你父母身体好吗?
Nǐ fùmǔ shēntǐ hǎo ma?
หนี่ ฟู่หมู่ เซินถี่ ห่าวมะ
พ่อแม่คุณสุขภาพเป็นไงบ้าง
13.带我向他们问好。
Dài wǒ xiàng tāmen wènhǎo.