More Related Content
Similar to ประเภทของเครื่องใช้ไฟฟ้า
Similar to ประเภทของเครื่องใช้ไฟฟ้า (20)
ประเภทของเครื่องใช้ไฟฟ้า
- 6. 1.1 ไส้หลอด ทาด้วยโลหะที่มีจุดหลอดเหลวสูง ทนความร้อนได้มาก มีความ
ทานสูง เช่น ทังสเตน
1.2 หลอดแก้วทาจากแก้วที่ทนความร้อนได้ดี ไม่แตกง่าย สูบอากาศออกจน
หมดภายในบรรจุก๊าซไนโตรเจนและอาร์กอนเล็กน้อย ก๊าซชนิดนี้ทาปฏิกิริยายาก
ช่วยป้องกันไม่ให้ไส้หลอดระเหิดไปจับที่หลอดแก้ว และช่วยไม่ให้ไส้หลอดไม่
ขาดง่าย ถ้าบรรจุก๊าซออกซิเจนจะทาปฏิกิริยากับไส้หลอด ซึ่งทาให้ไส้หลอดขาด
ง่าย
1.3 ขั้วหลอดไฟ เป็นจุดต่อวงจรไฟฟ้า มี 2 แบบ คือ แบบเขี้ยวและแบบเกลียว
เนื่องจากหลอดไฟฟ้าประเภทนี้ให้แสงสว่างได้ด้วย
การเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อนก่อนที่
จะให้แสงสว่างออกมา จึงทาให้สิ้นเปลือง พลังงานไฟฟ้า
มากกว่าหลอดชนิดอื่น ในขนาดกาลังไฟฟ้า ของ
หลอดไฟซึ่งจะกาหนดไว้ที่หลอดไฟทุกดวง เช่น
หลอดไฟฟ้าขนาด 100 วัตต์ เป็นต้น
- 7. หลักการทางานของหลอดไฟฟ้าธรรมดา
การที่หลอด ไฟฟ้าให้แสงสว่างได้เป็นไปตามหลักการดังนี้ เมื่อ
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไส้หลอด ซึ่งมีความต้านทานสูง พลังงานไฟฟ้าจะ
เปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ทาให้ไส้หลอดร้อนจัดจนเปล่งแสง ออกมา
ได้ ซึ่งมีการเปลี่ยนรูปพลังงานดังนี้
พลังงานไฟฟ้า ----> พลังงานความร้อน ----> พลังงานแสง
- 9. 2.1 ตัวหลอด ภายในสูบอากาศออกจนหมดแล้วบรรจุไอปรอทและก๊าซ
อาร์กอน เล็กน้อย ผิวด้านในของหลอดเรืองแสงฉาบด้วยสารเรืองแสงชนิดต่างๆ
แล้วแต่ความต้องการให้เรืองแสงเป็นสีใด เช่น ถ้าต้องการให้เรืองแสงสีเขียว ต้อง
ฉาบด้วยสารซิงค์ซิลิเคต แสงสีขาวแกมฟ้าฉาบด้วยมักเนเซียมทังสเตน แสงสีชมพู
ฉาบด้วยแคดเนียมบอเรต เป็นต้น
2.2 ไส้หลอด ทาด้วยทังสเตนหรือวุลแฟรมอยู่ที่ปลายทั้งสองข้าง เมื่อ
กระแสไฟฟ้าผ่านไส้หลอดจะทาให้ไส้หลอดร้อนขึ้น ความร้อนที่เกิดขึ้นจะทาให้ไอ
ปรอทที่บรรจุไว้ในหลอดกลายเป็นไอมากขึ้น แต่ขณะนั้นกระแสไฟฟ้ายังผ่านไอ
ปรอทไม่สะดวก เพราะปรอทยังเป็นไอน้อยทาให้ความต้านทานของหลอดสูง
- 10. 2.3 สตาร์ตเตอร์ ทาหน้าที่เป็นสวิตซ์ไฟฟ้าอัตโนมัติของวงจรโดยต่อขนานกับหลอด ทา
ด้วยหลอดแก้วภายในบรรจุก๊าซนีออนและแผ่นโลหะคู่ที่งอตัวได้ เมื่อได้รับความร้อน เมื่อ
กระแสไฟฟ้าผ่านก๊าซนีออน ก๊าซนีออนจะติดไฟเกิดความร้อนขึ้น ทาให้แผ่นโลหะคู่งอจนแตะ
ติดกันทาให้กลายเป็นวงจรปิดทาให้กระแสไฟฟ้าผ่านแผ่น โลหะได้ครบวงจร ก๊าซนีออนที่ตด ิ
ไฟอยู่จะดับและเย็นลง แผ่นโลหะคู่จะแยกออกจากกันทาให้เกิดความต้านทานสูงขึ้นอย่างทันที
ซึ่งขณะ เดียวกันกระแสไฟฟ้าจะผ่านไส้หลอดได้มากขึ้นทาให้ไส้หลอดร้อนขึนมาก ปรอทก็
้
จะเป็นไอมากขึ้นจนพอที่นากระแสไฟฟ้าได้
2.4 แบลลัสต์ เป็นขดลวดที่พันอยู่บนแกนเหล็ก ขณะกระแสไฟฟ้าไหลผ่านจะเกิดการ
เหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้าทาให้เกิดแรงเคลื่อน ไฟฟ้าเหนี่ยวนาขึ้น เมื่อแผ่นโลหะคู่ในสตาร์ต
เตอร์แยกตัวออกจากกันนั้นจะเกิดวงจรเปิดชั่วขณะ แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนาที่เกิดขึ้นใน
แบลลัสต์จึงทาให้เกิดความต่าง ศักย์ระหว่างไส้หลอดทั้งสองข้างสูงขึ้นเพียงพอที่จะทาให้
กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ไอปรอทจากไส้หลอดข้างหนึ่งไปยังไส้หลอดอีกข้างหนึ่ง
ได้ แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนาทีเ่ กิดจากแบลลัสต์นั้นจะทาให้เกิดกระแสไฟฟ้า เหนี่ยวนาไหล
สวนทางกับกระแสไฟฟ้าจากวงจรไฟฟ้าในบ้าน ทาให้กระแส ไฟฟ้าที่จะเข้าสู่วงจรของหลอด
เรืองแสงลดลง
- 11. หลักการทางานของหลอดฟลูออเรสเซนต์
เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านไอปรอท จะคายพลังงานไฟฟ้าให้แก่ไอปรอท ซึ่งจะ
ทาให้อะตอม ของไอปรอทอยู่ในสภาวะถูกกระตุ้น (exited state) เป็นผลให้
อะตอมปรอทคายพลังงานออกมาเพื่อ ลดระดับพลังงานในตัวเองในรูปของ
รังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งมองไม่เห็น เมื่อรังสีชนิดนี้ไปกระทบกับสารวาวแสงที่
ฉาบไว้ที่ผิวด้านในของหลอดฟลูออเรส เซนต์ สารเหล่านี้จะเปล่งแสงได้ โดย
ให้แสงสีต่างๆตามชนิดของสารวาวแสงที่ฉาบไว้ภายในหลอดนั้น เช่น ซิงค์ซิ
ลิเคท (Zinc silicate) ให้แสงสีเขียว ซิงค์เบริลเลียมซิลิเคท (Zinc Beryllium
silicate) ให้แสงสีเหลืองนวล นอกจากนี้ยังอาจผสมสารวาวแสงเหล่านี้ เพื่อให้
ได้แสงสีผสมที่แตกต่างกันออกไปได้อีกด้วย
- 12. 3.หลอดไฟโฆษณาหรือหลอดนีออน
หลอดไฟโฆษณาหรือหลอดนีออน เป็นหลอดแก้วที่ถูกลนไฟแล้วดัดให้เป็น
รูปหรือตัวอักษร ไม่มีไส้หลอดแต่ที่ปลายทั้งสองข้างจะมีขั้วไฟฟ้าทาด้วยโลหะ
ต่อกับแหล่งกาเนิดไฟฟ้า ที่มีความต่างศักย์สูงประมาณ 10,000 โวลต์ ภายใน
หลอดสูบอากาศออกจนหมดแล้วใส่ก๊าซบางชนิดที่ให้แสงสีต่างๆออกมาเมื่อมี
กระแสไฟฟ้าผ่าน เช่นก๊าซนีออนให้แสงสีแดงหรือส้ม ก๊าซฮีเลียมให้แสงสี
ชมพู ความต่างศักย์ที่สูงมากๆ จะทาให้ก๊าซที่บรรจุไว้ในหลอดเกิดการแตกตัว
เป็นนีออน และนาไฟฟ้าได้ เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านก๊าซเหล่านี้จะทาให้ก๊าซร้อนติด
ไฟให้แสงสีต่างๆได้
- 13. เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อน เป็นเครื่องใช้ที่เปลี่ยนพลังงาน
ไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน โดยใช้หลักการคือ เมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวด
ตัวนาที่มีความต้านทานสูงๆ ลวดตัวนานั้นจะร้อนจนสามารถนาความร้อนออกไป
ใช้ประโยชน์ได้ เนื่องจากเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อนมาก จึงสิ้น
เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ามากเมื่อเปรียบกับการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ เมื่อใช้
ในเวลาที่เท่ากัน ฉะนั้นขณะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าให้พลังงานความร้อนจึงควรใช้ด้วย
ความระมัดระวัง ตัวอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อน เช่น เตารีด หม้อหุง
ข้าว กระทะไฟฟ้า กาต้มน้า เครื่องต้มกาแฟ เตาไฟฟ้า ฯลฯ
- 14. ส่วนประกอบในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อน มีดังนี้
1. ขดลวดความร้อน หรือแผ่นความร้อน มักทาจากโลหะผสมระหว่างนิเกิล
กับโครเมียม เรียกว่า นิโครม ซึ่งมีสมบัติคือมีจุดหลอมเหลวสูงมากจึงทนความร้อน
ได้สูงเมื่อมีความร้อนเกิดขึ้นมากๆจึงไม่ขาด และมีความต้านทานสูงมาก
2. เทอโมสตาร์ท หรือสวิตซ์ความร้อนอัตโนมัติ ทาหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิ
ไม่ให้ร้อนเกินไป มีส่วนประกอบเป็นโลหะต่างชนิดกัน 2 แผ่นมาประกบกัน เมื่อ
ได้รับความร้อนจะขยายตัวได้ไม่เท่ากัน เช่น เหล็กกับทองเหลือง โดยให้แผ่น
โลหะที่ขยายตัวได้น้อย(เหล็ก)อยู่ด้านบน ส่วนโลหะที่จะขยายตัวได้มาก
(ทองเหลือง)อยู่ด้านล่าง เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านแผ่นโลหะทั้งสองมากขึ้น จะทา
ให้มีอุณหภูมิสูงจนแผ่นโลหะทั้งสองซึ่งขยายตัวได้ต่างกันโลหะที่ขยายตัวได้ มาก
จะขยายตัวโค้งงอ เป็นเหตุให้จุดสัมผัสแยกออกจากกัน เกิดเป็นวงจรเปิด
กระแสไฟฟ้าจึงไหลผ่านไม่ได้ และเมื่อแผ่นโลหะทั้งสองเย็นลงก็จะสัมผัสกัน
เหมือนเดิม เกิดเป็นวงจรปิด กระแสไฟฟ้าจึงไหลผ่านได้อีกครั้งหนึ่ง
- 15. 3. แผ่นไมกา หรือ แผ่นใยหิน ซึ่งเป็นฉนวนไฟฟ้า ในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้
พลังงาน ความร้อนบางชนิด เช่นเตารีด หม้อหุงข้าว เตาไฟฟ้า จะมีแผ่น
ไมกา หรือใยหิน เพื่อป้องกันไม่ให้ขดลวดหลอมละลาย และป้องกันไฟฟ้ารั่ว
ขณะใช้งาน
- 16. ข้อควรระวังในการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อน
เนื่องจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อนจะมีกระแสไฟฟ้าปริมาณมาก
ไหลผ่าน มากกว่าเครื่องใช้ประเภทอื่นๆ จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังดังนี้
- หมั่นตรวจสอบดูแลสายไฟ เต้ารับ เต้าเสียบ ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยไม่ชารุด
- เมื่อเลิกใช้งานต้องถอดเต้าเสียบออกจากเต้ารับทุกครั้งไม่ควรเสียบทิ้งไว้
- 17. หลักการทางานของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนมีหลักการคือเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านความ
ต้านทานไฟฟ้าสูง พลังงานไฟฟ้าจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ดังนั้น จึงให้
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดนิโครมหรือแผ่นความร้อนซึ่งมีความต้านทานไฟฟ้า
สูง พลังงานไฟฟ้าจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนมากแล้วถ่ายเทพลังงานความ
ร้อนไป ยังภาชนะ
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อน ใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่า
เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นหลายเท่า กระแสไฟฟ้าที่ผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้มีปริมาณ
มากจึงต้องใช้ด้วยความ ระมัดระวัง เช่น คอยตรวจสอบสภาพของสายไฟ และ
เต้าเสียบให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอเพื่อป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้ารั่ว ขณะใช้
เครื่องใช้ไฟฟ้าควรดูแลใกล้ชิด และอย่าใช้ใกล้กับสารไวไฟ เมื่อเลิกใช้แล้วต้อง
ถอดเต้าเสียบออกทุกครั้ง
- 19. ส่วนประกอบของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานกล
มอเตอร์
มอเตอร์ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงาน
กล ประกอบด้วยขดลวดที่พันรอบแกนโลหะที่วางอยู่ระหว่างขั้วแม่เหล็ก โดยเมื่อ
ผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปยังขดลวดที่อยู่ระหว่างขั้วแม่เหล็ก จะทาให้ขดลวดหมุน
ไปรอบแกน และเมื่อสลับขั้วไฟฟ้า การหมุนของขดลวดจะหมุนกลับทิศทางเดิม
- 20. ประเภทของมอเตอร์มี 2 ประเภท คือ มอเตอร์กระแสตรง และมอเตอร์
กระแสสลับ
- มอเตอร์กระแสตรง เป็นมอเตอร์ที่ต้องใช้ไฟฟ้ากระแสตรงผ่านเข้า
ไปในขดลวดอาร์เมเจอร์เพื่อทาให้ เกิดการดูดและผลักกันของแม่เหล็กถาวร
กับแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากขดลวด มอเตอร์จึงหมุนได้
- มอเตอร์กระแสสลับ เป็นมอเตอร์ที่ต้องใช้กับไฟฟ้ากระแสสลับ โดย
ใช้หลักการดูดและผลักกันของแม่เหล็กถาวรกับแม่เหล็กไฟฟ้าจากขดลวด
มาทาให้ เกิดการหมุนของมอเตอร์
ข้อควรระวังในการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมอเตอรเป็นส่วนประกอบ คือ
ห้ามใช้เครื่องใช้ประเภทนี้ในช่วงที่ไฟตก หรือแรงดันไฟฟ้าไม่ถึง 220 โวลต์
เนื่องจากมอเตอร์จะไม่หมุนและทาให้เกิดกระแสไฟฟ้าดันกลับ จะทาให้
ขดลวดร้อนจัดจนเกิดไหม้เสียหายได้
- 21. หลักการทางานของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานกล
พลังงานกล ประกอบด้วยขดลวดที่พันรอบแกนโลหะที่วางอยู่ระหว่าง
ขั้วแม่เหล็ก โดยเมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปยังขดลวดที่อยู่ระหว่างขั้วแม่เหล็ก
จะทาให้ขดลวดหมุนไปรอบแกน และเมื่อสลับขั้วไฟฟ้า การหมุนของขดลวด
จะหมุนกลับทิศทางเดิม
- 22. เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานเสียง ได้แก่ เครื่องรับวิทยุ
เครื่องขยายเสียง เครื่องบันทึกเสียง ฯลฯ
1.เครื่องรับวิทยุ เป็นอุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานเสียง โดย
รับคลื่นวิทยุ จากสถานีส่งแล้วใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขยายสัญญาณเสียงที่มี
อยู่ในรูปของ สัญญาณไฟฟ้าให้แรงขึ้นเมื่อผ่านสัญญาณไฟฟ้านี้ไปยังลาโพงจะ
ทาให้ลาโพงสั่น สะเทือนเปลี่ยนเป็นเสียงที่สามารถรับฟังได้ ดังแผนผัง
แผนผังการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานเสียงของเครื่องรับวิทยุ
- 23. 2. เครื่องขยายเสียง(Amplifier) คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงาน
ไฟฟ้าเป็นพลังงานเสียงโดยรับสัญญาณไฟฟ้าจากไมโครโฟน หัวเทป หรือ
จาก เครื่องกาเนิดสัญญาณไฟฟ้าจากเสียงต่างๆ มาขยายสัญญาณไฟฟ้าจนมี
กาลังมากพอจึงส่งออกสู่ลาโพงเสียง
ส่วนประกอบของเครื่องขยายเสียง
1. ไมโครโฟน เปลี่ยนพลังงานเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า
2. เครื่องขยายสัญญาณไฟฟ้า ขยายสัญญาณไฟฟ้าให้แรงขึ้น
3. ลาโพง เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นพลังงานเสียง
- 24. 3. เครื่องบันทึกเสียง (Tape recorder) ขณะบันทึกด้วยการพูดผ่าน
ไมโครโฟน ซึ่งจะเปลี่ยนพลังงานเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วบันทึกลงในแถบ
บันทึกเสียงซึ่งฉาบด้วยสารแม่เหล็กในรูปของสัญญาณแม่เหล็ก ดังแผนผัง
แผนผังการเปลี่ยนพลังงานของเครื่องบันทึกเสียงขณะบันทึก