9789740332794
- 1. บทนำ
ปัจจุบันที่ผ่านมาการดารงชีวิตของมนุษย์ล้วนต้องใช้ไฟฟ้ าเป็นแหล่งพลังงานป้ อน
ให้แก่อุปกรณ์ต่าง ๆ ในงานด้าน คมนาคม อุปโภคบริโภค อุตสาหกรรม และ งานด้านอื่น ๆ
อีกมากมายแต่การที่จะรู้จักประโยชน์จากไฟฟ้ าให้เกิดคุณประโยชน์สูงสุด และ เกิดโทษ
มหันต์ให้น้อยที่สุดจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องของไฟฟ้ าและวงจรไฟฟ้ าที่ใช้กันอยู่ทั้งในภาค
ธุรกิจ อุตสาหกรรม หรือ แม้แต่ครัวเรือน ทั้งนี้ในแง่ของโทษที่เกิดจากการนาไฟฟ้ ามาใช้โดย
ปราศจากความรู้ ความเข้าใจ ย่อมส่งผลให้เกิดโทษ ทั้งในเรื่องของชีวิต ทรัพย์สิน เงินทอง
ดังนั้น หากทราบวิธีการและเข้าใจการใช้งานจากไฟฟ้าให้ถูกต้องนับว่าเป็นสิ่งที่จาเป็นอย่างยิ่ง
ต่อการดาเนินชีวิตในปัจจุบัน
1.1 บริบทเกี่ยวกับไฟฟ้ ำ
1.1.1 นิยำมของไฟฟ้ ำ
ไฟฟ้ าเป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่เป็ นส่วนประกอบอยู่ในวัตถุธาตุทุกชนิด
ประกอบด้วยอนุภาคเล็ก ๆ ที่เรียกว่า อะตอม (Atom)โดยธาตุแต่ละชนิดมีจานวนอะตอม
ต่างกัน และในแต่ละอะตอมจะประกอบด้วยโปรตรอน (Proton) นิวตรอน (Neutron)
และอิเล็กตรอน (Electron) สาหรับโปรตรอนและนิวตรอนจะมีสถานะอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหว
แต่อิเล็กตรอนจะเคลื่อนไหว รอบโปรตรอนและนิวตรอน และยังสามารถเคลื่อนไหว
จากอะตอมหนึ่งไปยังอีกอะตอมหนึ่งด้วยการเคลื่อนไหวของอิเล็กตรอนจากอะตอมหนึ่งไปยัง
อีกอะตอมหนึ่งที่อยู่ถัดไปคือสิ่งที่เรียกว่า ไฟฟ้าสถิต (Electrostatic)
1.1.2 ที่มำของไฟฟ้ ำ
ไฟฟ้ าที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้กาเนิดมาจากแหล่งพลังงานได้หลายลักษณะได้แก่
ถ่านหินน้ามัน ก๊าซธรรมชาติ พลังงานน้า พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และเซลล์ไฟฟ้ า
(คือแหล่งกาเนิดไฟฟ้ าที่ให้กาลังไฟฟ้ าด้วยปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์) โดยการนาเอาพลังงาน
จากแหล่งต่าง ๆ ที่กล่าวมานาไปใช้ในการเดินเครื่องกาเนิดไฟฟ้ าเพื่อ ผลิตกระแสไฟฟ้ าส่ง
ตามสายส่งไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าต่อไป
ภาคทฤษฎี
บทที่ 1
ความปลอดภัยเกี่ยวกับงานไฟฟ้ าและอิเล็กทรอนิกส์
- 2. 2 บทที่ 1
ความปลอดภัยเกี่ยวกับงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
1.1.3 อันตรำยกับร่ำงกำยที่เกิดจำกไฟฟ้ ำ
ไฟฟ้าสามารถทาอันตรายแก่ร่างกายได้ ถ้าหากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
เข้าไปสัมผัสหรือแตะส่วนหนึ่งของวงจรไฟฟ้ า เช่น สายไฟฟ้ าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้ าที่มี
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านขณะนั้นอาจจะสัมผัสถูกสายไฟ 2 เส้น หรือเพียงเส้นเดียว หรือ อาจไป
สัมผัสวัตถุ หรือ โลหะที่กระแสไฟฟ้ ารั่วไหลในขณะที่ร่างกายส่วนอื่นสัมผัสอยู่กับพื้นดิน
หรือพื้นที่ชื้นแฉะ กระแสไฟฟ้ าจะสามารถไหลผ่านร่างกายลงสู่ดิน (Ground) และครบวงจร
ทาให้เกิดอันตรายได้โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานสาคัญ 3 อย่างที่จะทาให้กระแสไฟฟ้ า
ทาอันตรายกับร่างกายได้ คือ
1. กระแสไฟฟ้า (Current) หมายถึง จานวนของปริมาณอิเล็กตรอนที่ไหลผ่านร่างกาย
โดยขึ้นอยู่กับปริมาณอิเล็กตรอนที่ไหลผ่าน หากมีปริมาณน้อยจะเกิดอันตรายน้อย และหาก
ปริมาณมากอันตรายจะเกิดขึ้นมากจนสามารถทาให้เสียชีวิตได้
2. แรงเคลื่อนไฟฟ้า (Voltage) หมายถึง จานวนพลังงานที่แหล่งกาเนิดจะสามารถให้
ได้ต่อหน่วยประจุไฟฟ้ าโดยขึ้นอยู่กับปริมาณแรงเคลื่อนไฟฟ้ า หากมีปริมาณน้อย
จะเกิดอันตรายน้อย และหากปริมาณมากอันตรายจะเกิดขึ้นมากจนสามารถทาให้เสียชีวิตได้
3. ความต้านทาน (Resistance) หมายถึง ความต้านทานของร่างกายที่เกิดจากบริเวณ
ผิวหนังแต่ละส่วนของร่างกายจะมีความต้านทานแตกต่างกัน พบว่าบริเวณที่มีค่า
ความต้านทานต่า เช่นบริเวณผิวหนังที่มีความชื้นจะทาให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ง่าย
1.1.4 ลักษณะกำรกระทำของไฟฟ้ ำที่เกิดกับมนุษย์
มนุษย์ทั่วไปมักจะประสบหรือถูกกระทาจากอันตรายที่เกิดจากไฟฟ้ า
โดยทั่วไปจะพบอยู่ 3 ลักษณะดังนี้
1. เกิดจากการที่ค่ากระแสไฟฟ้ าไหลผ่านร่างกายมนุษย์ลงดินหรือครบวงจรกับดิน
เรียกว่า ไฟดูด เช่น เอามือไปจับส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ตู้เย็น เครื่องทาน้าอุ่น
กระทะไฟฟ้า ที่มีกระแสไฟฟ้ารั่วไหลผ่านทางผิวหนังของร่างกายลงสู่ดินถึงเท้า
2. เกิดจากร่างกายของมนุษย์ไปต่อเป็นส่วนหนึ่งของวงจรไฟฟ้าทาให้ กระแสไฟฟ้า
ไหลผ่านครบวงจรในตัวโดยไม่จาเป็นต้องต่อลงดิน เช่น คนใช้มือสองข้างสัมผัสเข้ากับ
สายไฟฟ้าเปลือย 2 เส้น
- 3. บทที่ 1
ความปลอดภัยเกี่ยวกับงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
3
3. ได้รับอันตรายจากแสงและความร้อนอันเกิดจากไฟฟ้ าลัดวงจรที่เรียกว่า ไฟช๊อต
ได้แก่ ผู้ที่ติดตั้งเสาอากาศโทรทัศน์ พบว่าหากไม่ระมัดระวังจะมีส่วนหนึ่งของโลหะเสาอากาศ
โทรทัศน์ไปสัมผัสสายไฟฟ้าแรงสูงทาให้กระแสไฟฟ้าที่มีปริมาณมากไหลผ่านร่างกายลงดิน
ส่งผลให้เกิดบาดแผลไฟไหม้รุนแรง และอาจเสียชีวิตได้หากได้รับการช่วยเหลือไม่ทันท่วงที
หรือขั้นตอนการช่วยเหลือไม่ถูกต้อง
1.2 กำรป้ องกันอันตรำยจำกกระแสไฟฟ้ ำ
1.2.1 ควำมต้ำนทำนกระแสไฟฟ้ ำของร่ำงกำยมนุษย์
ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์ต่าง ๆ มากมาย เซลล์เหล่านั้นทาหน้าที่
ต่างกัน โดยเฉพาะมนุษย์จะมีน้า (H2O) เป็นส่วนประกอบของร่างกายที่สาคัญ ดังนั้นร่างกาย
มนุษย์จึงถือว่าเป็นตัวนาไฟฟ้ าชนิดหนึ่ง ที่ยอมให้กระแสไหลผ่านได้บ้าง ทั้งนี้ร่างกายของ
มนุษย์ยังมีผิวหนังหุ้มภายนอก ซึ่งถือว่าเป็นความต้านทานชนิดหนึ่งได้ ผู้เชี่ยวชาญได้ทาการ
วัดความต้านทานเฉลี่ยของร่างกายมนุษย์มีค่าประมาณ 90,000 โอห์ม/ตารางเซนติเมตร
บางคนอาจจะมีความต้านทานได้สูงสุดประมาณ 500,000 โอห์ม/ตารางเซนติเมตร
เมื่อผิวหนังมีเหงื่อหรือเปียกความต้านทานจะลดลงเหลือเพียง 5,000 โอห์ม/ตารางเซนติเมตร
และ ถ้าหากสายไฟฟ้ าทะลุผิวหนังถึงเนื้อ ความต้านทานจะลดลงอีก 300โอห์ม/ตาราง
เซนติเมตร เนื่องจากภายในเนื้อมนุษย์เต็มไปด้วยน้าและเส้นเลือดซึ่งเป็นสื่อไฟฟ้าอย่างดี
1.2.2 ผลลัพธ์จำกกระแสไฟฟ้ ำที่ส่งผลกับร่ำงกำยมนุษย์ มี 5 กรณี ตามภาพที่ 1.1
กรณีที่ 1 กล้ามเนื้อจะแข็งตัว ทาให้ปอดหยุดทางาน และร่างกายขาดออกซิเจน
กรณีที่ 2 เมื่อกระแสไฟฟ้ าไหลผ่านหัวใจจะทาให้หัวใจเต้นรัว อ่อน ผิดจังหวะ
และ จะหยุดทางาน ทาให้การสูบฉีดโลหิตชะงัก แต่ในกรณีนี้ หัวใจอาจจะกลับทางานใหม่ได้
ภายใน 2-3 นาที เมื่อมีการปฐมพยาบาลผู้ป่วยทันเวลา
กรณีที่ 3 เส้นประสาทชะงัก ส่งผลให้ส่วนหนึ่งของสมอง ควบคุมการหายใจจะ
หยุดสั่งการ และ สมองส่วนนี้จะไม่สามารถอยู่ได้นาน เมื่อขาดเลือดจะต้องอาศัยออกซิเจน
ไปหล่อเลี้ยงสมอง และ อาจจะพิการได้ ถ้าหากไม่ได้รับปริมาณออกซิเจนภายใน 5 นาที
หลังจากหยุดหายใจ
- 4. 4 บทที่ 1
ความปลอดภัยเกี่ยวกับงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
กรณีที่ 4 ความร้อนจะเริ่มเกิดขึ้นตามอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย เนื่องจากได้รับ
กระแสไฟฟ้าอาจทาลายเซลล์หรือเยื่อหุ้มภายในร่างกาย ส่งผลทาให้เสียชีวิตได้หลังจากได้รับ
กระแสไฟฟ้าภายในหนึ่งวันหรือภายในสัปดาห์หรือหนึ่งเดือน
กรณีที่ 5 ในกรณีสุดท้าย การเสียชีวิตอาจเกิดขึ้นโดยการไม่รู้ถึงอาการของผู้ป่วย และ
ไม่รู้วิธีช่วยให้ผู้ป่วยกลับหายใจได้ทันท่วงทีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไม่ถูกวิธีอาจจะทาให้เป็น
อันตรายต่อชีวิต
กล้ามเนื้อแข็งตัว
ปอดเริ่มหยุดทางาน
หัวใจเต้นผิดปกติ
สมองทางานช้าเนื่องจากขาดก๊าซอ็อกซิเจน
ระบบหมุนเวียนโลหิตล้มเหลว
ผิวหนังได้รับความร้อนจนไหม้
ระบบหัวใจล้มเหลวจนเสียชีวิต
ภำพที่ 1.1 ผลลัพธ์จากกระแสไฟฟ้าที่ส่งผลกับร่างกายมนุษย์
- 5. บทที่ 1
ความปลอดภัยเกี่ยวกับงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
5
1.2.3 ปริมำณกระแสไฟฟ้ ำที่ส่งผลกระทบกับร่ำงกำยมนุษย์
เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านส่วนใดของร่างกาย จะส่งผลให้เกิดอาการเกร็งของ
กล้ามเนื้อไม่สามารถสะบัดให้หลุดจากจุดที่ถูกไฟฟ้าดูดส่งผลให้ปริมาณกระแสไฟฟ้าจานวน
มากจะไหลผ่านร่างกายเป็ นเวลานานขึ้นก่อให้เกิดอันตรายเมื่อปริมาณจานวนของ
กระแสไฟฟ้า จะแปรผันโดยตรงกับระยะเวลาที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายมนุษย์อันเป็นผล
ให้เกิดปฏิกิริยาต่อร่างกายดังตารางที่ 1.1
ตำรำงที่ 1.1 แสดงความสัมพันธ์ของกระแสไฟฟ้ากับเวลาและปฏิกิริยาของร่างกายมนุษย์
1.2.4 ข้อควรปฏิบัติพื้นฐำนสำหรับผู้ถูกกระแสไฟฟ้ ำผ่ำนร่ำงกำย
1. เวลาเกิดไฟฟ้ าลัดวงจรหรือมีผู้ประสบภัยอันตรายเนื่องจากเกิดกระแสไฟฟ้ า ก่อน
อื่นให้ตัดกระแสไฟฟ้าด้วยการยกสวิตช์ตัดตอน (Cut Out) ให้เปิดวงจรทันที
2. ช่วยผู้ประสบภัยอันตรายให้หลุดพ้นจากกระแสไฟฟ้า ห้ามแตะต้องร่างกายผู้ถูกไฟ
ดูดด้วยมือเปล่าหรือระวังอย่าให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายสัมผัสตัวผู้ประสบอันตราย
เพราะจะถูกไฟฟ้ าดูดได้เช่นกัน แต่ให้ใช้ผ้าหรือไม้ หรือเชือกแห้งหรือสายยางแห้ง ดึงผู้
ประสบอันตรายออก หรือเขี่ยสายไฟให้ออกห่างจากผู้ประสบอันตราย
3. เมื่อช่วยให้ผู้ประสบภัยอันตรายหลุดพ้นจากกระแสไฟฟ้าแล้วจากนั้นจะต้องทาการ
ปฐมพยาบาลให้ปอดและหัวใจทางาน ด้วยวิธีให้ลมหายใจทางปาก พร้อมการนวดหัวใจ
ปริมำณกระแสไฟฟ้ ำไหลผ่ำน
ร่ำงกำย มิลลิแอมแปร์ (mA)
ปฏิกิริยำร่ำงกำย
< 0.5 ไม่รู้สึกตัว
0.5-2 เริ่มรู้สึกตัวเล็กน้อย
2-10 กล้ามเนื้อหดตัว, กระตุกปานกลางถึงขั้นรุนแรง
5-25 เจ็บปวดกล้ามเนื้อ, เกร็งไม่สามารถหลุดออกมาได้
> 25 กล้ามเนื้อหดตัว, กระตุกรุนแรง
50-200 หัวใจเต้นผิดปกติ หากใช้เวลานานจะเสียชีวิต
> 100 หัวใจหยุดเต้น, เนื้อผิวหนังตามร่างกายไหม้
- 6. 6 บทที่ 1
ความปลอดภัยเกี่ยวกับงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
1.3 กำรปฐมพยำบำลผู้ประสบอุบัติเหตุกระแสไฟฟ้ ำไหลผ่ำนร่ำงกำย
เมื่อมีผู้ประสบอุบัติเหตุเกิดกระแสไฟฟ้ าไหลผ่านร่างกายจนทาให้เกิดการสิ้นสติ
ผู้ประสบเหตุการณ์ดังกล่าวมีความจาเป็นต้องเรียนรู้วิธีปฏิบัติสาหรับการให้ความช่วยเหลือ
เมื่อพบผู้ประสบอุบัติเหตุ โดยสิ่งที่ต้องกระทาตามลาดับของความสาคัญมีดังนี้
1.3.1 ขั้นตอนตรวจสอบกำรเต้นของหัวใจ
ขั้นแรก ตรวจดูว่าผู้ป่ วยหายใจหรือไม่ในกรณีที่ผู้ป่ วยยังมีลมหายใจอยู่
จะต้องรีบตามแพทย์หรือนาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด และให้
ผู้ป่วยอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา พยายามให้เท้าผู้ป่วยอยู่สูงกว่าศีรษะ
1. คลาชีพจรที่ลาคอ 5-10 วินาที โดยวางนิ้วชี้และนิ้วกลางลงบนลูกกระเดือก
ผู้บาดเจ็บ แล้วเลื่อนนิ้วลงไปด้านข้างระหว่างร่องลูกกระเดือกกับกล้ามเนื้อคอ ส่วนมือ
อีกข้างดันหน้าผากให้หน้าแหงนตลอดเวลา เพื่อคลาชีพจรเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ลาคอ เพื่อให้
แน่ใจว่าการหายใจยังปกติ ดังภาพที่ 1.2
ภำพที่ 1.2 การคลาหาจุดชีพจรเพื่อตรวจการหายใจของผู้ป่วย
2. ให้ผู้บาดเจ็บนอนหงายบริเวณที่โล่งและให้แหงนศีรษะพร้อมกับยกคาง
ของผู้บาดเจ็บขึ้นและใช้มือผู้ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บช้อนคอของผู้บาดเจ็บ ดังภาพที่ 1.3
ภำพที่ 1.3 การเปิดช่องทางเดินของระบบการหายใจของผู้บาดเจ็บ
- 7. บทที่ 1
ความปลอดภัยเกี่ยวกับงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
7
กรณีผู้ป่วยไม่หายใจทาให้สมองถูกทาลายทางการแพทย์ กล่าวว่าไม่มีออกซิเจนไป
หล่อเลี้ยงสมองนานกว่า 5 นาที โอกาสที่ผู้ป่วยเสียชีวิตมีมาก ดังนั้น การช่วยให้ผู้ป่วยหายใจ
โดยวิธีใช้ปากเป่าให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วยโดยตรงเป็นวิธีดีที่สุด เพราะเป็นวิธีที่ทุกคนปฏิบัติได้
ทันทีและง่าย ซึ่งเป็นวิธีการค้นคว้าของโรงพยาบาลจอห์น ฮอปกิ้น (John Hobkin Hospital)
พิสูจน์ว่าวิธีนี้ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนมากที่สุด ในระหว่างที่ทาการช่วยให้ผู้ป่วยหายใจควร
ให้ผู้ป่วยอยู่ในที่อบอุ่นหรือห่มผ้าให้อุ่นเสมอและการให้ออกซิเจนทางปากจะต้องทาติดต่อกัน
จนกระทั่งผู้ป่วยหายใจ
1.3.2 ขั้นตอนปฐมพยำบำลผู้ป่ วยสิ้นสติโดยตรงทำงปำก
1. วางผู้ป่วยนอนหงายให้ศีรษะแหงนต่าลาคอยืดตรงและยกคางขึ้น
2. จับขากรรไกรล่างของผู้ป่วยให้ยกขึ้นจนปากของผู้ป่วยเปิด
3. ล้วงสิ่งต่าง ๆ ที่อาจติดค้างอยู่ในปากและลาคอออกให้หมด เพื่อมิให้
ขวางทางลมแล้วบีบจมูกคนเจ็บให้สนิทไม่ให้ลมออกได้
4. ใช้มือบนของผู้ปฐมพยาบาลผลักหน้าผากให้แหงนขึ้น ใช้มือล่างยกคาง
ส่วนที่เป็นกระดูกพร้อมเปิดทางเดินลมหายใจ ดังภาพที่ 1.4 และให้ทาบปากลงปิดปากคนเจ็บ
ให้สนิทแล้วเป่าลมเข้าเป็นจังหวะประมาณ 12-15 ครั้งต่อนาที ดังภาพที่ 1.5
ภำพที่ 1.4 การเปิดทางเดินลมหายใจ
ภำพที่ 1.5 การให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วยทางปาก
- 8. 8 บทที่ 1
ความปลอดภัยเกี่ยวกับงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
5. ขณะเป่าลมเข้าปากของผู้ป่วยให้สังเกตดูหน้าอกของผู้ป่วยจะกระเพื่อมขึ้น
เมื่อเป่าลมเข้าไประยะแรกให้จังหวะเร็วในตอนต้น แล้วจึงช้าลงเหลือ 15 ครั้งต่อนาที และ
หากไม่กระเพื่อมขึ้นลงอาจเป็นเพราะท่านอนไม่ดีหรือมีสิ่งกีดขวางทางเดินหายใจ
6. ถ้าไม่สามารถอ้าปากของผู้ป่วยได้ให้ใช้มือปิดปากผู้ป่วยให้สนิท แล้วเป่า
ลมเข้าทางจมูกโดยใช้วิธีปฏิบัติทานองเดียวกับการเป่าปาก
1.3.3 ขั้นตอนกำรนวดหัวใจภำยนอก
1. วางผู้ป่วยนอนหงายให้ศีรษะแหงนและลาคอเหยียดตรง
2. ล้วงสิ่งของต่าง ๆ ที่อาจติดค้างอยู่ในปากและลาคอออกเพื่อไม่ให้
ขวางทางลม
3. นั่งคุกเข่าลงข้างลาตัวผู้ป่วยระหว่างแขนซ้ายกับลาตัวของผู้ป่วย วางมือทั้ง
สองซ้อนทับกันบนทรวงอกบริเวณหัวใจ เหยียดแขนตรง และใช้มือคลากระดูกชายโครง
เลื่อนมาถึงตรงกลางจะสัมผัสกระดูกลิ้นปี่ได้ ใช้นิ้วกลางและนิ้วชี้วางจากปลายกระดูกลิ้นปี่
ขึ้นมา ให้วางมือถัดจากนิ้วชี้ขึ้นมา ดังภาพที่ 1.6
ภำพที่ 1.6 การวางตาแหน่งมือของผู้ปฐมพยาบาล
4. ในกรณีผู้ป่วยเป็นผู้ใหญ่ให้นั่งคุกเข่าข้างลาตัวผู้ป่วยใช้มือคลากระดูกชาย
โครงเลื่อนถึงตรงกลางจะสัมผัสกระดูกลิ้นปี่ใช้นิ้วกลางและนิ้วชี้วางจากปลายกระดูกลิ้นปี่
ขึ้นมา ให้วางมือถัดจากนิ้วชี้ขึ้นมา จากนั้นใช้ส้นมือกดด้วยน้าหนักตัวให้หน้าอกยุบลง
ประมาณ 1 นิ้ว เป็นจังหวะ 60 ครั้งต่อนาที สาหรับเด็กใช้ส้นมือกดเพียงมือเดียว ถ้าเป็นเด็ก
ทารกใช้ปลายนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง กดให้ลึกเล็กน้อย ดังภาพที่ 1.7
- 9. บทที่ 1
ความปลอดภัยเกี่ยวกับงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
9
ภำพที่ 1.7 ท่าในการกดของผู้ปฐมพยาบาล
5. ขณะนาส่งโรงพยาบาลให้นวดต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าหัวใจจะกลับมาทางาน
อีกครั้งหรือคนเจ็บได้รับการช่วยเหลือจากแพทย์
กรณีผู้ป่วยมีอาการทั้งปอดและหัวใจไม่ทางานสามารถให้ความช่วยเหลือได้ดังนี้
6. ถ้ามีผู้ทาการปฐมพยาบาลเพียงคนเดียว ให้ทาการปฐมพยาบาลทั้งสอง
อย่างโดยทาสลับกัน คือ ทาการเป่าปาก 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 4 วินาที แล้วนวดหัวใจ 15
ครั้ง ครั้งละประมาณ 1 วินาที
7. ถ้ามีผู้ทาการปฐมพยาบาล 2 คน ให้ปฏิบัติพร้อมกันตามจังหวะให้เป่า
ปาก 1 ครั้ง นวดหัวใจจานวน 5 ครั้ง จนกว่าปอดและหัวใจจะทางาน
1.4 กำรป้ องกันอันตรำยที่เกิดจำกเครื่องใช้ไฟฟ้ ำ
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ในชีวิตประจาวันสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
1.4.1 อุปกรณ์ไฟฟ้ ำ
การเลือกใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับระบบไฟฟ้ าควรได้รับมาตรฐาน เป็นที
ยอมรับตามสากลได้แก่ มอก. ย่อมาจากมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ ISO ย่อมา
จาก International Organization for Standardization จะเป็นสิ่งที่กาหนดความเชื่อมั่นของ
อุปกรณ์ดังกล่าวที่ไม่ส่งผลอันตรายกับผู้นาไปใช้งาน
1.4.2 อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ เป็น ส่วนประกอบภายในของเครื่องใช้ไฟฟ้ าต่าง ๆ
จะต้องมีกระแสไฟฟ้ า และแรงเคลื่อนไฟฟ้ า พบว่า ส่วนมากใช้ระบบแรงเคลื่อนไฟฟ้ า
กระแสตรงจะเป็ นแรงเคลื่อนที่ถูกลดค่า และรูปแบบแรงเคลื่อนไฟฟ้ าที่มาจาก
แรงเคลื่อนไฟฟ้ ากระแสสลับ ดังนั้น จึงต้องมีความระมัดระวังในการป้ องกันอันตรายไม่ให้
- 10. 10 บทที่ 1
ความปลอดภัยเกี่ยวกับงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
เกิดกับ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้ าดังกล่าวได้แก่ ชุดเครื่องเสียงขนาดกาลังวัตต์
ต่าง ๆ ควรมีการติดตั้งระบบกราวนด์ลงกับดิน และเครื่องรับโทรทัศน์ต้องใช้แรงเคลื่อนไฟฟ้า
ที่มีค่าสูง สาหรับการผลักอิเล็กตรอนให้ยิงกวาดผ่านหน้าจอ ดังนั้น จึงไม่ควรแก้ไขเครื่องรับ
โทรทัศน์ ในกรณีที่ไม่เข้าใจการทางานของวงจรภายในโทรทัศน์
1.5 ข้อแนะนำทั่วไปเกี่ยวกับกำรใช้ไฟฟ้ ำ
ปัจจุบันไฟฟ้ าได้มีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวันของมนุษย์ จึงจาเป็นที่
จะต้องศึกษาหาความรู้ เพื่อให้ทราบถึงอันตรายของไฟฟ้ า และวิธีปฏิบัติให้ปลอดภัยจาก
อันตรายจากไฟฟ้า มีดังต่อไปนี้
1. เสาไฟฟ้ าบริเวณภายนอกอาคารตามถนนต่าง ๆ ที่มีลวดตัวนาต่อจากยอดเสาหรือ
จากหม้อแปลงไฟฟ้ าลงมาตามเสาไปยังดินจะต้องระวังไม่ให้มือหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของ
ร่างกายไปสัมผัสสายไฟ เพราะอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ถ้าหากสายไฟที่ต่อไว้ เกิดการ
ชารุดหรือฉนวนสึกหรอ
2. รั้วหรือหลังคาที่เป็นโลหะสังกะสี อาจแตะกับสายไฟและมีกระแสไฟฟ้ าไหลอยู่
โดยไม่ทราบจึงควรระวังไม่ให้คมสังกะสีบาดหรือเสียดสีกับสายไฟ โดยใช้หลอด หรือ ท่อ
กระเบื้อง หรือท่อเอส-ล่อน (พี.วี.ซี.) ครอบสายไฟไว้ และควรระวังไม่ให้ตะปูที่ตอกตรึง
สังกะสีทะลุถูกสายไฟ
3. ห้องน้าเป็นสถานที่มีน้าเปียกชื้นอยู่เป็นประจา เมื่อร่างกายเปียกน้าย่อมมีโอกาสที่
จะได้รับอันตรายจากไฟฟ้ าได้ง่าย จึงไม่ควรติดตั้งสวิตช์ เต้าเสียบ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้ าที่ไม่มี
การป้ องกันอย่างดีไว้ในห้องน้า ก่อนเปลี่ยนหลอดไฟควรยกสวิตช์เปิดวงจรก่อนเสมอ
4. การติดตั้งสายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้ า เพื่อประดับตู้เลี้ยงปลาหากใช้สายไฟและ
อุปกรณ์ไฟฟ้ าที่ไม่เหมาะสมหรือติดตั้งไม่ถูกต้องอาจส่งผลทาให้เกิดไฟรั่วที่ตู้เลี้ยงปลาได้
บริเวณตู้เลี้ยงปลาจะเปียกชื้น จึงทาให้โอกาสที่จะเกิดอันตรายมีมาก จึงไม่ควรที่จะติดตั้ง
สายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้ าไว้กับตู้เลี้ยงปลา แต่ถ้าจาเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้ า เช่น เครื่อง
สูบน้า เครื่องอัดอากาศ ควรจะต้องมีการต่อสายดินไว้