More Related Content
Similar to กิตติกวิน.docx
Similar to กิตติกวิน.docx (20)
กิตติกวิน.docx
- 1. บทคัดย่อ
การทาน้าหมักกล้วยไข่ได้มีแนวคิดจากการชมรายการทีวี จากการเรีย
นการสอนของครูอาจารย์ ซึ่งใช้เป็ นแนวคิดและแนวทางในการทาน้าหมักกล้ว
ยไข่
โดยกล้วยไข่มีสรรพคุณที่โดดเด่นคือระบายท้อง ช่วยให้ระบบขับถ่ายคล่องตัว
และในการทาน้าหมักกล้วยไข่นี้ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการดาเ
นินงาน ซึ่งมีวัตถุประสงค์อยู่ด้วยกันสองข้อคือประการแรกคือนาน้าหมักกล้ว
ยไข่ที่หมักไว้ 3 เดือน ไปใช้แช่เท้ากับกลุ่มตัวอย่างจานวน 6 คน เพื่อศึกษา
คุณสมบัติของน้าหมักในการดับกลิ่นเท้า พบผลที่เป็นไปในทางที่ดีคือน้าหมัก
กล้วยไข่ใช้ดับกลิ่นเท้าได้ดีอย่างที่คาดไว้ ซึ่งใช้เวลาในการทาการทดลองเพีย
ง 1 สัปดาห์ สิ่งที่พบและผลที่เกิดคือทาให้กลิ่นเท้าที่เคยมีจางหายและเมื่อใช้เป็
นประจาอย่างต่อเนื่องจะทาให้กลิ่นเท้าหายจากกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ ในประ
การที่สองคือนาน้าหมักกล้วยไข่ที่หมักไว้ 3 เดือน ไปใช้ล้างจานที่บ้านของสม
าชิกในกลุ่ม คนละ 6 ใบ เป็นจานวน 5 ครั้ง ในการทดลองนี้จะเห็นผลได้ชัด
เมื่อทดลองเป็นครั้งแรกเพราะคราบมันที่เกาะอยู่กับจานหลุดออกอย่างง่ายดาย
แต่กลิ่นคาวยังคงติดอยู่ จึงมีการปรับเปลี่ยนแนววิธีการทดลองและประสบผล
สาเร็จได้อย่างดีทีเดียวภายหลังการปรับเปลี่ยนแนวการทดลองจนกระทั่ง ครา
บมันและกลิ่นคาวที่ติดอยู่กับจานชามหายไปถือเป็นผลที่เกิดกับการทดลองที่ดี
อย่างมาก
- 2. บทที่ 1
บทนา
ที่มาและความสาคัญ
จากการเรียนรู้และศึกษาการทาน้าหมัก และได้เปิดพบรายการทีวีที่มีรา
ยการของป้ าเชง ที่มีชื่อรายการว่า “Super
Cheng” โดยมีการแนะนาการทาน้าหมักชีวภาพและบอกถึงคุณค่ารวมทั้งปร
ะโยน์ที่ได้รับจากการทาน้าหมักชีวภาพ เช่น การใช้บารุงร่างกาย บารุงผิพรรณ
บาบัดโรค บาบัดน้าเสีย ใช้ดับกลิ่น
ในที่ต่าง ๆ และยังพบตัวอย่างจากหนังสือ
ที่มีเรื่องเกี่ยวกับการทาน้าหมักชีวภาพและบอกถึงคุณค่าและประโยชน์ของน้า
หมัก
จากข้อมูลดังกล่าวจึงได้จัดทาโครงงานและลงมือทาอย่างจริงจัง โดยรว
บรวมข้อมูลจากหลายแห่งหลายด้าน
เช่น จากอินเตอร์เน็ต หนังสือวารสาร รายการทีวี รวมถึงจากผู้ปฏิบัติจริงใน
ชุมชนและคุณครูที่ให้คาปรึกษา จึงได้มีการจัดทาน้าหมักชีวภาพที่ใช้วัตถุดิบจ
าก “กล้วยไข่”
ดังที่กล่าวไว้ในบทข้างต้นทางผู้จัดทาเห็นถึงประโยชน์หลายด้านที่เป็นผ
ลจากการใช้น้าหมัก
อันส่งผลที่เห็นได้ชัดจากชุมชน โรงเรียน และจากการสารวจผู้ใช้ พบว่าการใ
ช้แล้วมีผลดีเป็ นอย่างมาก โดยน้าหมักชีวภาพยังมีคุณประโยชน์ทั้งในด้านการ
เกษตร และใช้ในครัวเรือน
นับว่าเป็ นสิ่งที่สามารถนามาใช้ได้อย่างดีของผู้ที่เห็นถึงความสาคัญของสรรพคุ
ณและประโยชน์ของน้าหมัก
กล้วยอุดมด้วยน้าตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และ กลูโคส
รวมกับเส้นใยและกากอาหาร
กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด
จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ
กับการออกกาลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที
ประโยชน์ของกล้วยไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้น ยังช่วยเอาชนะ
และป้ องกันโรคต่างๆที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค เช่น โรคโลหิตจาง
โรคความดันโลหิตสูง กาลังสมอง โรคท้องผูก โรคความซึมเศร้า อาการเสีย
- 3. ดท้องความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า ยุงกัด ระบบประสาท โรคลาไส้เป็นแผล
การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ความสับสนของอารมณ์เป็ นครั้งคราว ควา
มเครียด เส้นเลือดฝอยแตก โรคหูด
วัตถุประสงค์
1. เพื่อนาน้าหมักกล้วยไข่ที่หมักไว้ 3 เดือน ไปใช้แช่เท้ากับกลุ่มตัวอ
ย่างจานวน 6 คน เพื่อศึกษาคุณสมบัติของน้าหมักในการดับกลิ่นเท้
า
2. เพื่อนาน้าหมักกล้วยไข่ที่หมักไว้ 3 เดือน ไปใช้ล้างจานที่บ้านของส
มาชิกในกลุ่ม คนละ 6 ใบ เป็นจานวน 5 ครั้ง
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
คุณค่ารวมทั้งประโยน์ที่ได้รับจากการทาน้าหมักชีวภาพ เช่น
การใช้บารุงร่างกาย บารุงผิพรรณ บาบัดโรค บาบัดน้าเสีย
ใช้ดับกลิ่นในที่ต่าง ๆ และยังพบตัวอย่างจากหนังสือ
ที่มีเรื่องเกี่ยวกับการทาน้าหมักชีวภาพและบอกถึงคุณค่าและประโยชน์ของน้า
หมัก
- 4. บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก
อาจพบเกือบทุกหนทุกแห่งในธรรมชาติ ในอากาศที่เรา หายใจเข้าไป
ในอาหารที่เรากิน ที่ผิวหนังของร่างกาย ในทางเดินอาหาร ในปาก
จมูกหรือช่องเปิดต่างๆ ของร่างกาย
แต่ยังเป็นความโชคดีของเราเพราะจุลินทรีย์ส่วนใหญ่มีคุณประโยชน์ต่อสรรพ
สิ่งมีชีวิตทั้ง มวลในโลก ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
จุลินทรีย์เป็นตัวการทาให้เกิดกระบวนการหมัก ผลผลิตที่ได้ จากการหมักนั้น
ในที่นี้เราขอเรียกว่า “น้าหมักชีวภาพ”
น้าหมักชีวภาพ
การนาเอาพืช ผัก ผลไม้ สัตว์ชนิดต่าง ๆ
มาหมักกับน้าตาลทาให้เกิดจุลินทรีย์
ที่เป็ นประโยชน์จานวนมากซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้จะไปช่วยสลายธาตุอาหารต่าง ๆ
ที่อยู่ในพืช
มีคุณค่าในแง่ของธาตุอาหารพืชเมื่อถูกย่อยสลายโดยกระบวนการย่อยสลายขอ
งแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์สารต่างๆ จะถูกปลดปล่อยออกมา เช่นโปรตีน
กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ ธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง จุลธาตุ
ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต เอนไซม์ วิตามิน
ซึ่งพืชสามารถนาไปใช้ในการเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
น้าหมักชีวภาพ มี 2 ประเภท คือ
1. น้าหมักชีวภาพจากพืช ทาได้โดยการนาเศษพืชสด
ผสมกันน้าตาลทรายแดง หรือกากน้าตาลอัตราส่วน กากน้าตาล 1 ส่วน
พืชผัก 3 ส่วน หมักรวมกันในถังปิดฝา หมักทิ้งไว้ประมาณ 3-
7 วันหรือหมักไว้เป็ นปี เราจะ ได้ของเหลวข้น ๆ สีน้าตาล ซึ่งเราเรียกว่า
น้าหมักชีวภาพจากพืช
2. น้าหมักชีวภาพจากสัตว์ มีขั้นตอนทาคล้ายกับน้าหมักจากพืช
แตกต่างกันตรงวัตถุดิบจากสัตว์ เช่น หัวปลา ก้างปลา หอยเชอรี่ เป็นต้น
เคล็ดลับในการทาน้าหมักให้ได้ผลดี
1 . ควรเลือกใช้เศษพืชผัก ผลไม้ หรือเศษอาหารที่ยังไม่บูดเน่า
สับหรือบดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ใน ภาชนะที่มีปากกว้าง เช่นถังพลาสติก
หรือโอ่ง หากมีน้าหมักชีวภาพอยู่แล้วให้เทผสมลงไปแล้วลด
ปริมาณกากน้าตาลลง ปิดฝาภาชนะทิ้งไว้ จนได้เป็ นน้าหมักชีวภาพ
จากนั้นกรอกใส่ขวดปิดฝาให้สนิท รอการใช้งานต่อไป
2. ในระหว่างการหมัก
ห้ามปิดฝาภาชนะจนแน่นสนิทเพราะอาจทาให้ระเบิดได้เนื่องจากระหว่าง การ
หมักจะเกิดก๊าชต่าง ๆ ขึ้น เช่นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน เป็ นต้น
- 5. 3.ไม่ควรเลือกพืชจาพวกเปลือกส้ม ใช้ทาน้าหมัก
เพราะมีน้ามันที่ผิวเปลือกจะทาให้จุลินทรีย์ไม่ย่อยสลาย
กล้วยไข่
ชื่อพื้นเมือง :กล้วยไข่
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Musa acuminata Colla
ชื่อวงศ์ :MUSACEAE
ชื่อสามัญ :-
สรุปลักษณะและข้อมูลพันธุ์ไ
ม้ :
ไม้ล้มลุก ขึ้นบนบกในที่กลางแจ้ง
ความสูง 1.2 เมตร ความกว้าง 1 เมตร
รูปร่างคล้ายรูปร่ม
ลาต้นอยู่ใต้ดินมีลักษณะเป็นหัว
ผิวของลาต้นเรียบ เห็นข้อปล้องชัดเจน
ต้นอ่อนมีสีขาว ต้นแก่สีน้าตาล มียางใส
ใบเป็นใบเดี่ยว ใบอ่อนมีสีเขียว
ใบแก่มีสีน้าตาล แผ่นใบกว้าง 30 -
45 เซนติเมตร ยาว 100 - 200 เซนติเมตร
ใบจะแผ่กว้างยาว
การเรียงตัวของใบเรียงแบบสลับ
แผ่นใบรูปแถบปลายใบม้วน โคนใบรูปลิ่ม
ขอบใบเรียบ
ประโยชน์ :ปลูกเป็นไม้ผล
ผลแก่รับประทานเป็ นผลไม้หรือทาอาหารหวา
น
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง :
กล้วยไข่เป็ นผลไม้ที่นิยมผู้บริโภคกันทั่วไป เนื่องจากมีรสชาติดี
ลักษณะการเรียงตัวของผลและสีผลสวยสะดุดตา
- 6. ปัจจุบันส่งออกจาหน่ายต่างประเทศมากขึ้น ตลาดที่สาคัญคือ จีน และฮ่องกง
กล้วยไข่เป็ นพืชที่สามารถปลูกได้แทบทุกภาคของประเทศ
ในพื้นที่ปลูกที่มีการจัดการการผลิตเพื่อให้ได้ทั้งปริมาณ
และผลผลิตตรงตามมาตรฐานคุณภาพ ตลาดต้องการ
ปัญหาสาคัญที่มีผลต่อคุณภาพของผลผลิตคือ การปนเปื้อนของ
สารป้ องกันกาจัดศัตรูพืช ซึ่งอาจทาให้เกิดปัญหาต่อสุขอนามัยของผู้บริโภค
ตลอดจนการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อมในระยะยาว
ดังนั้นกระบวนการผลิตจึงต้องมีการปฏิบัติอย่างถูกต้องและเหมาะสม
แหล่งปลูกที่เหมาะสม
สภาพพื้นที่:
- พื้นที่ดอน หรือพื้นที่ราบ ไม่มีน้าท่วมขัง
- ความสูงจากระดับน้าทะเลไม่เกิน 1,200 เมตร
- มีแหล่งน้าธรรมชาติ หรืออยู่ในเขตชลประทาน
- การคมนาคมสะดวก
ลักษณะดิน:
- ดินร่วน, ดินร่วนเหนียว หรือดินร่วนปนทราย
- มีความอุดมสมบูรณ์สูง ระบายน้าดี
- ระดับน้าใต้ดินลึกมากกว่า 75 เซนติเมตร
- ค่าความเป็นกรดด่างของดินระหว่าง 5.0-7.0
สภาพภูมิอากาศ:
- อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ระหว่าง 25-
35 องศาเซนเซียส
- ปริมาณน้าฝนไม่น้อยกว่า 1,200 มิลลิเมตรต่อปี
- ไม่มีลมแรงพัดผ่านเป็นประจา
- มีแสงแดดจัด
แหล่งน้า:
- มีน้าใช้เพียงพอตลอดฤดูปลูก
- เป็นแหล่งน้าสะอาด ค่าความเป็นกรดด่างของน้าระหว่าง 5.0-
9.0
พันธุ์
กล้วยไข่มี 2 สายพันธุ์ คือ กล้วยไข่สายพันธุ์กาแพงเพชร
และกล้วยไข่พระตระบอง
พันธุ์ที่นิยมปลูกเป็นการค้าคือ กล้วยไข่สายพันธุ์กาแพงเพชร
1. กล้วยไข่สายพันธุ์กาแพงเพชร
- 7. ลักษณะกาบใบเป็นสีน้าตาลหรือช๊อกโกแลต
ร่องก้านใบเปิดและขอบก้านใบขยายออก ใบมีสีเหลืองอ่อน ไม่มีนวล
ก้านเครือมีขนขนาดเล็ก ผิวเปลือกผลบาง ผลเล็ก เนื้อมีสีเหลือง รสชาติหวาน
2. กล้วยไข่พระตะบอง
ลักษณะกาบใบเป็นสีน้าตาลปนดา สีของใบเข้มกว่าสายพันธุ์กาแพงเพชร
รสชาดจะออกหวานอมเปรี้ยว
และผลมีขนาดใหญ่กว่ากล้วยไข่สายพันธุ์กาแพงเพชร
การปลูก
การเตรียมดิน:
- วิเคราะห์ดิน
เพื่อประเมินค่าความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารพืชในดิน
และความเป็นกรดด่างของดิน ปรับสภาพดินตามคาแนะนาก่อนปลูก
- ไถพรวน ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 1 เดือน
เพื่อลดการระบาดของศัตรูพืช
- คราดเก็บเศษวัชพืชออกจากแปลง
ฤดูปลูก:
- ช่วงเวลาการปลูก ในเขตภาคเหนือตอนล่าง
ประมาณเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน
วิธีการปลูก:
- ปลูกด้วยหน่อใบแคบที่มีความสมบูรณ์ดี
- เตรียมหลุมปลูกขนาด 50x50x50 เซนติเมตร
- รองก้นหลุมด้วยปุ๋ ยคอกอัตรา 5 กิโลกรัมต่อหลุม
คลุกเคล้ากับหน้าดินรองก้นหลุมปลูกถ้ามีการไว้หน่อ
(ratoon) เพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปอีก 1-2 รุ่น ควรรองก้นหลุมด้วย
หินฟอสเฟต อัตรา 100-200 กรัม/หลุม
- ระยะปลูก (1.5-1.75) x2 เมตร
เป็นการปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตเพียงครั้งเดียว
แล้วรื้อปลูกใหม่ 2x2 เมตรเป็นการปลูกสาหรับไว้ตอหรือหน่อ
(ratoon) เพื่อที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตของหน่อ (ratoon) อีก 1-2 รุ่น
- การปลูก วางหน่อพันธุ์ที่หลุมปลูกให้ลึก 25-30 เซนติเมตร
โดยจัดวางหน่อพันธุ์ให้ด้านที่ติดกับต้นแม่อยู่ในทิศทางเดียวกัน
กลบดินลงหลุมปลูกและกดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น แล้วรดน้าให้ชุ่ม
- 8. การดูแลรักษา
การพรวนดิน:
ภายหลังปลูกกล้วยไข่ประมาณ 1 เดือนควรรีบทาการพลิกดินให้ทั่
วทั้งแปลงปลูก เพื่อให้ดินเก็บความชื้นจากน้าฝนไว้ให้มากที่สุด
และเป็นการกาจัดวัชพืชไปด้วย ขณะที่รากกล้วยยังขยายไปไม่มากนัก
การกาจัดวัชพืช:
ควรกาจัดวัชพืชปีละ 3 ครั้ง ครั้งแรกพร้อม ๆ กับการพลิกดิน
ส่วนครั้งที่ 2 และ 3 ให้พิจารณา จากปริมาณวัชพืช
แต่จะทาก่อนที่ต้นกล้วยตกเครือ
การให้ปุ๋ ย:
ใส่ปุ๋ ยอินทรีย์ 1 ครั้ง เช่น ปุ๋ ยคอกหรือปุ๋ ยหมักก่อนปลูกอัตรา 3-
5 กิโลกรัมต่อหลุม ใส่ปุ๋ ยเคมี 4 ครั้ง
ครั้งที่ 1 และ 2 เป็นระยะที่กล้วยมีการเจริญเติบโตทางลาต้น
ใส่ปุ๋ ยเคมีสูตร 20-10-10 หรือ 15-15-15 อัตรา 125-
250 กรัมต่อต้นต่อครั้ง หลังจากปลูก 1 และ 3 เดือน
การให้ปุ๋ ยเคมีครั้งที่ 3 และ 4 จะให้ปุ๋ ยเคมีภายหลังจากปลูก 5 และ 7 เดือน
ซึ่งเป็ นระยะที่กล้วยใกล้จะให้ผลผลิต จะให้ปุ๋ ยเคมีสูตร 12-12-24, 13-13-
21 หรือ 14-14-21 อัตรา 125-250 กรัมต่อต้นต่อครั้ง วิธีการใส่ปุ๋ ยเคมี
โรยห่างจากต้นประมาณ 30 เซนติเมตร
หรือใส่ลงในหลุมลึกประมาณ 10 เซนติเมตร 4 ด้าน แล้วพรวนดินกลบ
การให้น้า:
ในฤดูฝน เมื่อฝนทิ้งช่วง เมื่อสังเกตหน้าดินแห้งและเริ่มแตก
ควรรีบให้น้าในฤดูแล้งเริ่มให้น้าตั้งแต่หมดฝน ประมาณปลายเดือนมกราคม-
พฤษภาคมหรือใช้วิธีปล่อยให้น้าไหลเข้าไปในแปลงย่อยเป็นแปลง ๆ
เมื่อดินมีความชุ่มชื้นดีแล้ว จึงให้แปลงอื่นต่อไป
- 9. บทที่ 3
การดาเนินงาน
วิธีทาน้าหมักชีวภาพ
การดาเนินการโครงงานแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 รวบรวมข้อมูลในการทาโครงงานน้าหมักกล้วยไข่
ระยะที่ 2 นาข้อมูมาสรุปผลและทาการหมักน้าหมักกล้วยไข่
ระยะที่
3 นาผลที่ได้จากการหมักกล้วยไข่ไปใช้ประโยชน์ตามจุดประสงค์ที่วางไว้
ระยะที่ 4 สรุปผลและการทดลองที่ได้
ระยะที่ 1 รวบรวมข้อมูลในการทาโครงงานน้าหมักกล้วยไข่
ได้จัดแบ่งหน้าที่ในการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลพร้อมกับการเตรียมวัส
ดุอุปกรในการทาน้าหมักชีวภาพ โดยอาศัยการแนะนาและให่คาปรึกษาจากคุ
ณครูวิรัตน์
ระหว่างบ้าน เป็นผู้ให้คาแนะนาและแนวทางการดาเนินงาน สาหรับข้อมูลที่
ต่างฝ่ายต่างไปเก็บมาจากหลายแหล่งที่มาทั้งในห้องสมุดโรงเรียน อินเตอร์เน็
ต วารสารต่างๆ และได้ศึกษาพร้อมจัดเตรียมอุปกรณ์ในการทาน้าหมัก เพื่อ
ให้การทาน้าหมักเกิดผลดีและมีประสิธิภาพ และยังศึกษาสูตรและปริมาณของ
การทาน้าหมัก โดยพบสูตรที่เป็นมาตรฐาน คือ 3 : 1 :
5 ซึ่งเป็ นสูตรมาตรฐานที่ใช้ในการหมัก โดยในสูตรมาตรฐานนี้มีความหมาย
คือ
ในส่วนแรกจะหมายถึงส่วนของวัตถุดิบที่จะนามาหมัก ส่วนที่สองหมายถึงน้า
ตาล(ในที่นี้ใช้น้าตาลอ้อย)
และส่วนที่สามหมายถึงส่วนของน้าเปล่า และได้จัดหางบประมาณโดยเรียกเก็
บจากสมาชิกภายในกลุ่มเพื่อจัดซื้อวัตถุดิบและวัสดุอุปกรณ์ในการทาน้าหมัก
โดยมีรายละเอียดดังนี้
งบประมาณ
จานวน 100 บาท ได้มาจากการรวบรวมจากกลุ่ม โดยนาไปลงทุนในการซื้
ออุปกร ดังนี้
น้าหมักชีวภาพ “กล้วยไข่”
ที่ รายการซื้อ จานวน ราคา รวมเงิน
- 10. 1. กล้วยไข่ 1 กก. 20 20
2. น้าตาลอ้อย 0.5 กก. 36 18
3. น้า 2 ลิตร 1 2
4. ถังหมัก 5 ลิตร 50 50
5. อื่นๆ - - -
รวมเป็ นเงิน 90
ยอดคงเหลือ 10
ระยะที่ 2 นาข้อมูมาสรุปผลและทาการหมักน้าหมักกล้วยไข่
หลังจากการเก็บรวบรวมข้อมูลมาแล้ว ได้นาข้อมูลที่เก็บได้ดังกล่าวมาสรุ
ปและวิเคราะ เพื่อเป็นแนวทางในการดาเนินงานและเพื่อให้เกิดงานที่มีประสิ
ทธิภาพ โดยจะนาข้อมูลของแต่ละบุคคลที่ได้มอบหมายและแบ่งหน้าที่ให้ไปห
าข้อมูล และใช้ข้อมูลการทานาหมักมาเรียบเทียบเพื่อหาสูตรการทาน้าหมักแล
ะวัสดุอุถปกรณ์ต่างๆที่ต้องใช้ในการทาน้าหมัก
น้าหมักชีวภาพ(เอนไซม์) ใช้ดื่มกินเป็ นสารโปรตีน
วิตามินเอ, บี, ซี, ดี, อี, เค, อะมิโนแอซิค(Amino acid) และ อะเซทิลโคเอ
(Acetyl Coa) ที่ได้จาก หมักผลไม้นานาชนิด โดยมี จุลินทรีย์ท้องถิ่น
หลากหลายชนิด ปะปนอยู่ใน กระบวนการหมัก เพื่อเปลี่ยนผลไม้ + น้าผึ้ง +
น้า ระยะเริ่มแรกเป็ นแอลกอฮอล์ ระยะต่อมา เป็นน้าส้มสายชู (รสเปรี้ยว)
อีกระยะหนึ่งเป็ นยาธาตุ (รสขม) ในที่สุดเป็ นน้าหมักชีวภาพ (เอ็นไซม์)
ซึ่งใช้เวลาหมักขยายประมาณ ๒ ปี
กรณีจะนาไปดื่มกินควรผ่านการหมักขยายเป็นเวลา ๖
ปีขึ้นไป แต่ในการทาน้าหมักนี้ได้ทาขึ้นเป็ นชุดแรกและทาในระยะเวลาที่จากั
ด จึงได้จัดทาเพื่อนามาทดลองที่เป็นการทดลองที่พอจะเห็นผล โดยจะเก็บน้า
หมักนี้เพื่อให้รุ่นต่อไปได้จัดทาและดาเนินงานต่อ
วัสดุอุปกรณ์ในการทา
1. กล้วยไข่
2. น้าตาลอ้อย
3. น้าถังหมัก
4. ไม้พาย
5. เครื่องชั่ง
6. อุปกรณ์ตวง
การทาน้าหมักกล้วยไข่
โดยการนาวัดถุดิบและวัสดุอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ ล้างทาความสะอาดเช็ดใ
ห้แห้งแล้วนาเอา
กล้วยไข่ 6 ส่วน น้าตาล 2 ส่วน น้า 10 ส่วน ใส่รวมกันในถัง
ที่มีฝาปิดสนิทอย่าให้อากาศเข้า โดยเว้นที่ว่างไว้ประมาณ 1 ใน 5 ของถัง
- 11. 1. ล้างกล้วยไข่ที่เตรียมไว้จานวน 1 กิโลกรัม
2. นากล้วยไข่ที่ล้างแล้วมาใส่ในถังหมักขนาด 2 ลิตร แล้วเทน้าตาลอ้อย 0.5
กิโลลงในถังบนกล้วย
3. เทนาเปล่าจานวน 2ลิตร ลงบนกล้วยและน้าตาลที่เตรียมไว้ในถังหมัก
4. กวนส่วนผสมเล็กน้อยให้ทุกอย่างเข้ากันและเพื่อให้น้าตาลละลาย
แล้วปิดผานาไปเก็บ
ระยะที่ 3 นาผลที่ได้จากการหมักกล้วยไข่ไปใช้ประโยชน์ตาม
จุดประสงค์ที่วางไว้
1. เพื่อนาน้าหมักกล้วยไข่ที่หมักไว้ 3 เดือน ไปใช้แช่เท้ากับกลุ่มตัวอ
ย่างจานวน 6 คน เพื่อศึกษาคุณสมบัติของน้าหมักในการดับกลิ่นเท้า
2. เพื่อนาน้าหมักกล้วยไข่ที่หมักไว้ 3 เดือน ไปใช้ล้างจานที่บ้านของส
มาชิกในกลุ่ม คนละ 6 ใบ เป็นจานวน 5 ครั้ง
น้าหมักกล้วยไข่ดับกลิ่นเท้า
กระบารการ
กลุ่มผู้จัดทามีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 6 คน โดยได้เสนอแ
นวทางและปรึกษาหาปัญหาที่ต้องการทดลอง ได้มีข้อเสนอหลายประการ เช่
น ซักผ้า ล้างหน้า สระผม เป็นต้น แต่ในข้อเสนอเหล่านี้เป็ นเพียงข้อเสนอเ
พื่อเป็นแนวทางและเพื่อเป็นแนวคิดสาหรับการดาเนินงาน และสุดท้ายได้มีข้
อเสนอที่ว่า ใช้น้าหมักในการดับกลิ่นเท้า จึงได้ร่วมกันพิจารณา หาบุคคลทด
สองซึ่งได้สอบถามกับสมาชิกภายในกลุ่มเพื่อหาบุคคลตัวอย่างเพื่อมาทดลองใ
นการทาการทดลอง น้าหมักกล้วยไข่ดับกลิ่นเท้า และผลสรุปที่ออกมาคือสมา
ชิกได้เสนอให้มีการทดลองกับสมาชิกภายในกลุ่ม ซึ่งสมาชิกต่างก็มีความคิดเ
ห็นที่ตรงกันจึงได้มีการทดลอง น้าหมักกล้วยไข่ดับกลิ่นเท้า โดยมีการทดลอง
ดังนี้
การทดลอง “น้าหมักดับกลิ่นเท้า”
การทดลองจะใช้การทดลองเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และใช้บุคคลทดลองจา
นวน 6 คน ซึ่งแต่ละคนเป็ นสมาชิกภายในกลุ่มได้แบ่งให้ไปทดลองแล้วนากา
รทดลองของแต่ละบุคคลมาประเมิณและบันทึกผลการทดลอง
อุปกรณ์
1. น้าหมัก
- 12. 2. น้าสะอาด
3. อ่างแช่เท้า
วิธีการทดลอง
การทดลองมีระยะเวลา 1 สัปดาห์ โดยเริ่มการทดลองตั้งแต่วัน
ที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ถึง วันที่ 8 เดือน
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 โดยมีการดาเนินการดังนี้
ตาราง แสดงการดาเนินงานการทดลอง “น้าหมักกล้วยไข่ดับกลิ่นเท้า”
บุคคลทดลอ
ง
วิธีการทดลอง
ระยะเวลาการทดล
อง
นายกิตติกวิ
น สเลอาด
ใช้น้าหมักกล้วยไข่ในปริมาณ 200 มิล
ลิลิตร ต่อ น้า 3 ลิตร
ผสมรวมกันในอ่างแล้วนาเท้าลงไปแช่ใน
อ่าง แช่ทิ้งไว้ 5-10 นาที
2-
8 กุมภาพันธ์ 25
56
นายกิตติกวิ
น สเลอาด
ใช้น้าหมักกล้วยไข่ในปริมาณ 200 มิล
ลิลิตร ต่อ น้า 3 ลิตร
ผสมรวมกันในอ่างแล้วนาเท้าลงไปแช่ใน
อ่าง แช่ทิ้งไว้ 5-10 นาที
2-
8 กุมภาพันธ์ 25
56
นายกิตติกวิ
น สเลอาด
ใช้น้าหมักกล้วยไข่ในปริมาณ 200 มิล
ลิลิตร ต่อ น้า 3 ลิตร
ผสมรวมกันในอ่างแล้วนาเท้าลงไปแช่ใน
อ่าง แช่ทิ้งไว้ 5-10 นาที
2-
8 กุมภาพันธ์ 25
56
นายกิตติกวิ
น สเลอาด
ใช้น้าหมักกล้วยไข่ในปริมาณ 200 มิล
ลิลิตร ต่อ น้า 3 ลิตร
ผสมรวมกันในอ่างแล้วนาเท้าลงไปแช่ใน
อ่าง แช่ทิ้งไว้ 5-10 นาที
2-
8 กุมภาพันธ์ 25
56
นายกิตติกวิ
น สเลอาด
ใช้น้าหมักกล้วยไข่ในปริมาณ 200 มิล
ลิลิตร ต่อ น้า 3 ลิตร
ผสมรวมกันในอ่างแล้วนาเท้าลงไปแช่ใน
อ่าง แช่ทิ้งไว้ 5-10 นาที
2-
8 กุมภาพันธ์ 25
56
นายกิตติกวิ
น สเลอาด
ใช้น้าหมักกล้วยไข่ในปริมาณ 200 มิล
ลิลิตร ต่อ น้า 3 ลิตร
ผสมรวมกันในอ่างแล้วนาเท้าลงไปแช่ใน
อ่าง แช่ทิ้งไว้ 5-10 นาที
2-
8 กุมภาพันธ์ 25
56
- 13. น้าหมักกล้วยไข่ดับกลิ่นคาวที่ติดกับจาน
กระบวนการ
เป็ นปัญหาที่ฉุกคิดขึ้นมา เนื่องจากรับประทานอาหาร เช่น ปลา
เนื้อวัว หรืออาหารทะเล ที่มีกลิ่นคาวของอาหารติดกับจานและช้อนรวมทั้งติ
ดมือ ซึ่งหลานคนไม่ค่อยชอบและไม่ถูกใจกับจานช้อนที่มีกลิ่นคาวมาก เพรา
ะจะทาให้อาหารมื้อนั้นๆ หมดความอร่อยและหมดอารมณ์ในการทานอาหาร
อุปกรณ์
1. น้าหมักกล้วยไข่ 200 มิลลิลิตร
2. อ่างล้างจาน 3 อ่าง
4. จานที่ใช้รับประทานอาหารแล้วแล้ว (ใช้จาน 5 ใบ)
การทดลอง
การทดลองน้าหมักกล้วยไข่ใช้ดับกลิ่นคาวในภาชนะ
มีการดาเนินงานโดยจะใช้เวลา 1 สัปดาห์ในการทดลอง โดยเริ่มวันที่ 2 เดือ
น กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 ถึง วันที่ 8 เดือน กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2556 โดยมีการทดลองและดาเนินงานดังนี้
1. เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วให้นาจานจานวน 5 ใบแยกไว้เ
พื่อทดลอง
2. ผสมน้าหมักกล้วยไข่ในอ่างล้างจาน
ใช้ปริมาณน้าหมัก 100 มิลลิลิตร ต่อ น้า 5 ลิตร
3. ใช้จาน 5 ใบที่แยกไว้
นามาแช่ในน้าหมักเป็นเวลาประมาณ 5-10 นาที
4. ถูจานและล้างด้วยน้าเปล่าอย่างน้อย 2-3 น้า
แล้วน้าไปเช็ดให้แห้ง
5. ทดสอบกลิ่นแล้วบันทึกผล
บทที่ 4
ผลการดาเนินงาน
- 14. การดาเนินงานที่ผ่านมาทางกลุ่มผู้จัดทาได้ใช้ผลผลิตที่ได้จากการ
หมักกล้วยไข่มีผลการดาเนินการตามที่วางเป้ าหมายไว้ในจุดประสงค์
การติดตามบันทึกผลการเปลี่ยนแปลงของน้าหมักกล้วยไข่
1. วันแรกที่เริ่มทา วันที่ 16 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
นาเป็นสีน้าตาลเข้มอมดาเล็กน้อย กล้วยลอยบ้างจมบ้า
งเป็นบางผล กลิ่นหอมน้าตาลอ้อย และการรวมรวมของทุกอย่างยังไม่มีการเ
ปลี่ยงแปลง
2. สัปดาห์ที่ 1 วันที่ 23 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
พบว่าน้าตาลที่เป็ นเนื้อเดียวกับน้ามีการเปลี่ยนแปลง โ
ดยการเปลี่ยนแปลงที่พบคือน้าตาลเริ่มตกตะกอน สีของน้าเปลี่ยนจากสีน้าตาล
เข้มอมดาเริ่มเป็นสีน้าตาลเข้มปกติ กล้วยลอยตัวทุกผล
3. สัปดาห์ที่ 2 วันที่ 30 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
หลังจากผ่านมา 2 สัปดาห์ พบว่าตะกอนก้นถังเห็นชั
ดมากขึ้นซึ่งตะกอนที่เกิดเป็ นตะกอนจากน้าตาล สีของน้ายังคงเป็นสีน้าตาลป
กติ กล้วยลอยตัวและเรียงตัวกันแบบแนบชิดเป็นระเบียบ
4. สัปดาห์ที่ 3 วันที่ 7 เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2555
พบการตกตะกอนของน้าตาลอย่างชัดเจน สีของน้าเป็
นสีน้าตาลและสีของน้าเริ่มไล่ระดับสีจากใต้ถังซึ่งมีตะกอนและสีจะเข้มมากจา
กใต้ถังขึ้นมาเรื่อยๆ น้าเริ่มมีสีอ่อนลงและจะมีความใสของน้าเมื่อถึงบริเวฌเห
นือผิวน้า กล้วยยังคงเป็นปกติ แต่เริ่มมีกลิ่นที่คล้ายกลิ่นเปรี้ยวออกมาเล็กน้อย
5. สัปดาห์ที่ 4 วันที่ 14 เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2555
ในสัปดาห์นี้พบว่าตะกอนที่อยู่ใต้ถังมีสีเข้มจนมองเห็น
เป็นสีที่คล้ายสีดาและเหนือตะกอนเป็นสีขาวขุ่นใสๆ น้าในถังมีความใสและด
ปร่งแสงมากขึ้นสีของน้าเป็ นสีน้าตาลไม่ค่อยเข้มมากนัก กล้วยและเหนือผิว
น้าเริ่มมีผังผืดที่มีเส้นโยงต่อกันคล้ายใยแมงมุมแต่ยังมองเห็นไม่ค่อยชัด กลิ่น
ของน้ามีกลิ่งแรงมากกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มมีไอน้าก่อตัวอยู่กับฝาถัง
6. สัปดาห์ที่ 5 วันที่ 21 เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2555
พบว่าตะกอนใต้ถังมีสีเข้มและมีปริมาณมากเหนือชั้นข
องตะกอนมีสีขาวขุ่นๆ น้ามีความใส้ซึ่งจะเป็ นสีน้าตาลใส เหนือผิวน้าและกล้ว
ยมีผังผืดที่เริ่มชัดเจนจนสังเกตได้ว่าผังผืดที่ขึ้นเป็ ราขาวซึ่งเกาะอยู่บริเวณกล้ว
ยและโยงเชื่อมต่อกัน มีกลิ่นฉุนและแรงมากกว่าเดิม มีน้าฝาถังจนสังเกตได้ชั
ดเจน
7. สัปดาห์ที่ 6 วันที่ 28 เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2555
พบว่าตะกอนใต้ถังแบ่งชั้นกันอย่างชัดเจนโดยตะกอน
ที่มีสีเข้มจะอยู่ใต้สุดและมีความหนามากกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
เหนือชั้นผิวตะกอนเป็นสีขาวขุ่นและน้าของน้าหมักเป็นสีน้าตาลใส กล้วยเป็น
สีดาและมีราขาวเกาะรอบๆกล้วยมากจนเห็นได้ชัด มีน้าฝาถังในปริมาณมาก
8. สัปดาห์ที่ 7 วันที่ 4 เดือน มกราคม พ.ศ. 2556
- 15. พบว่าตตะกอนที่อยู่ด้างล่างเริ่มมีสีที่กลมกลืนกันและต
ะกอนที่มีสีขาวขุ่นเริ่มกลายเป็นสีน้าตาล น้าเป็นสีน้าตาลใส กล้วยมีสีดาสัมผัส
กล้วยพบว่ากล้วยยังคงมีเนื้อที่แข็งยังไม่เปื่อยยุ่ย เหนือผิวน้ามีราสีขาว กลิ่นข
องน้าหมักมีกลิ่นที่แรงแต่กลิ่นจะมีเอกลักษณ์ของกล้วยไข่ที่หมัก น้าฝาถังมีปริ
มาณที่มากแต่ไม่ได้เก็บ เพราะไม่ได้ใช้ในการทดลอง
9. สัปดาห์ที่ 8 วันที่ 11 เดือน มกราคม พ.ศ. 2556
ตะกอนใต้น้าเริ่มสังเกตยากว่าแยกชั้นกัน
เพราะตะกอนมีสีที่คล้ายกัน น้าก็ยังคงมีสภาพเหมือนในสัปดาห์ที่แล้ว ที่ยังคง
เป็นสีน้าตาลใส กล้วยมีสีดาและราขาวขึ้นรอบๆกล้วย มีกลิ่นหอมของกล้วยซึ่
งไม่ค่อยเหม็นเหมือนที่ผ่านมา น้าฝาถังมีมากและทดลองชิมพบว่ารสชาติของ
น้าฝาถังจะมีรสชาติเปรี้ยวฉุนและมีรสชาติที่เปรี้ยวและเมื่อกลืนเข้าไปจะมีควา
มร้อนผ่าวๆคล้ายกินไวน์ที่มีแอลกอร์ฮอลอ่อนๆ มีกลิ่นหอมของกล้วย รสชาติ
ของน้าหมักจะเปรี้ยวและมีความหวานปนเล็กน้อยพร้องทั้งมีความหอมของกล้
วยไข่ที่ใช้หมัก
10. สัปดาที่ 9 วันที่ 18 เดือน มกราคม พ.ศ. 2556
สาหรับตะกอนและน้าหมักยังคงสภาพเหมือนเดิมจาก
สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่กล้วยและราขาวที่เกาะอยู่มีการเปลี่ยนแปลง คือ
กล้วยบางผลเริ่มจมลงใต้น้าและกล้วยมีผิวสัมผัสที่อ่อนนุ่มเปลี่ยนจากเมือตอน
ครั้งแรกๆที่จับส่วนราขาวที่อยู่เหนือน้ามีความหนามากโดยเฉพาะบริเวณรอบ
ๆกล้วย น้าฝาถังมีมากและรสชาติเริ่มมีความแรงขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา รส
ชาติของน้าหมักมีความเปรี้ยวอมหวานและกลิ่นหอมกล้วยออกมามากจนมีคว
ามหอมกล้วยที่โดดเด่น
11. สัปดาห์ที่ 10 วันที่ 25 เดือน มกราคม พ.ศ. 2556
ในสัปดาห์นี้ทางกลุ่มผู้จัดทาสังเกตว่าน้าหมักคงตัวมีคว
ามเปลี่ยนแปลงของน้าลดลง แต่กล้วยที่เหนือผิวน้ายังคงมีการเปลี่ยนแปลง ร
าขาวที่เกาะมีความหนามากขึ้นและกล้วยจะมีบางผลที่มีการจมลงสู้
พื้นล่างของถัง น้าฝาถังมีมากขึ้นจากที่ผ่านมา กลิ่นหอมอ่อนๆที่โดดเด่นด้วย
กล้วยที่ใช้หมัก รสชาติเปรี้ยวอร่อยกินง่ายกว่าเดิม และในสัปดาห์นี้ทางกลุ่มผู้
จัดทาได้มีการเก็บน้าหมักเพื่อมาใช้ในการทดลอง ตามที่วัตถุประสงค์ได้วางไ
ว้
ผลการทดลอง “น้าหมักกล้วยไข่ดับกลิ่นเท้า”
หลังจากการทาน้าหมักแล้ว ได้นาเอาน้าหมักมาทาการทดลองในเรื่องการ
กาจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ท่าเกิดจากร่างการ
ในที่นี้ได้ทดลองใช้น้าหมักกล้วยไข่ดับกลิ่นเท้า โดยมีผลที่เกิดหลังจากการทด
ลอง ดังนี้
วันที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
- 16. พบข้อเปลี่ยนแปลงคือ
เมือแช่เท้าลงไปในน้าหมักผสมกับน้าแล้วมีผลที่เกิดกับเท้าหลังการแช่ที่ใช้เวล
าประมาณ 5-
10 นาที เท้ามีความนุ่มและสะอาดตั้งแต่ครั้งแรกแต่กลิ่นเท้ายังไม่ค่อยหายมา
กนักและยังมีกลิ่นน้าหมักปนอยู่ด้วย
วันที่ 3 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
พบว่าการเปลี่ยงแปลงของเท้าภายหลังการแช่มีความนุ่มและเท้ามีความสะ
อาดมากขึ้นโดยใช้เวลาในการแช่เท้าประมาณ 5-
10 นาที แล้วน้าเท้าไปล้างน้าเปล่าและให้ผู้ทดสอบทดสอบกลิ่นพบการเปลี่ยน
แปลงจากวันที่ผ่านมา พบว่าเท่าเริ่มมีกลิ่นที่อ่อนลงไม่ค่อยแรงเหมือนครั้งแร
กแต่ยังคงมีกลิ่นของน้าหมักกล้วยไข่ ติดอยู่เช่นเคยแต่มีกลิ่นที่อ่อนกว่า
เพราเมื่อแช่เสร็จแล้วได้นาเอาเท้าผู้ทดลองไปล้างน้าเปล่าแล้วเช็ดให้แห้ง
วันที่ 4 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
พบว่าเท้าที่นาไปแช่นั้นมีความอ่อนนุ่มและสะอาด ในครั้งนี้ใช้เวลาในการ
แช่เท้าประมาณ 5-
10 นาที แต่คราวนี้ไม่ได้ล้างเท้าหลังจากแช่แต่เช็ดเท้าแทน
และผู้ทดลองได้พิสูจน์กลิ่น พบว่ากลิ่นเท้าไม่มีแต่มีกลิ่นอ่อนๆ
ของน้าหมักกล้วยไข่
จึงพบว่าถ้าล้างเท้าด้วยน้าเปล่าหลังแช่แล้วเช็ดให้แห้งจะมีกลิ่นเท้าลดลงและกลิ่
นน้าหมักกล้วยไข่ก็น้อยลง
วันที่ 5 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
พบการเปลี่ยนแลงของการแช่เท้าที่ไม่ค่อยมีอะไรเด่นชัดนักแต่สาหรับกลิ่
นเท้าเริ่มมีการเปลี่ยนแลงเพราภายหลังจากการใช่ต่อเนื่อมาเป็นเวลา 3 วัน
อาการของผู้ที่มีกลิ่นเท้าที่ค่อนข้างแรงในวันนี้หลังจากการแช่เท้าไปเป็นเวลา
10 นาที แล้วล้างด้วยน้าเปล่าและเช็ดเท้าให้แห้งแล้วสอบถามจากผู้ทดลองพบ
ว่ากลิ่นเท้าหายจาอาการกลิ่นเท้าเหม็นแต่ก็ยังคงมีกลิ่นออกมาบ้างยังหายไม่สนิ
ท
วันที่ 6 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
พบการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นเท้าที่มีกลิ่นจากวันแรกก่อนทดลองในวันนี้หลั
งจากการทดลองแช่เท้า 10 นาที และนาน้าเปล่ามาล้างหลังจากแช่แล้วนาผ้าม
าเช็ดให้แห้งแล้วสอบถามผู้ทดลองพบว่าอาการกลิ่นเท้าเหม็นมีการลดลงและมี
แนวโน้มที่จะหายจากกลิ่นเท้าที่ไม่พึงประสงค์
วันที่ 7 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
พบการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดเนื่องจากการแช่เท้าที่เป็นประจาและต่อเนื่อง
ในวันนี้ใช้เวลาแช่เท้า 10 นาที แล้วล้างด้วยน้าสะอาดแล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง
- 17. พบว่าเท้าของผู้ทดลองเมื่อสัมผัสมีความอ่อนนุ่มและสอบถามจากผู้ทดลองในเ
รื่องของกลิ่นเท้าพบว่ากลิ่นเท่าบรรเทาลง
วันที่ 8 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ในวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ทาการทดลองพบว่าเท้าของผู้ทดลองนั้นมีความเปลี่
ยนแปลงโดยเฉพาะเท้านั้นมีความนุ่มและเนียนเมื่อแช่เท้าและหลังจากการแช่เ
ท้าในวันนี้ได้ใช้เวลาในการแช่เท้า 10 นาที สอบถามและเก็บผลจากผู้ทดลอง
พบว่าการแช่เท่าแล้วล้างน้าสะอาดและใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง
มีผลดีและทาให้เท้าหายมีกลิ่นและสะอาดมากขึ้นและเห็นผลดีง่ายและเร็ว
ผลการทดลอง “น้าหมักกล้วยไข่กาจัดกลิ่นคาวในภาชนะ”
เมื่อหมักน้าหมักแล้วและได้ทาการทดลองดับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดจา
กร่างกายไปแล้ว
ต่อมาได้ทาการทดลองที่มีกลิ่นที่เกิดจากภาชนะและสิ่งของใช้ในครัว โดยในที่
นี้ใช้จานใส่อาหารมาทาการทดลองโดยมีผลที่เกิด ดังนี้
วันที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ในการทดลองครั้งแรกยังมีผลที่ไม่ดีตามที่คาดหวังมากนัก เนื่องจากใช้น้า
หมักน้อยแต่อย่างไรก็ตามผลที่ออกมาก็ยังถือว่าใช้ได้ คราบนามันที่ติดกับจา
นหลังจากการแช่พบว่าหายไปและเมื่อล้างเสร็จเช็ดให้แห้งยังมีกลิ่นติดอยู่เล็กน้
อยสาหรับกลิ่นของอาหารแต่ที่มีกลิ่นเด่นคือกลิ่นของน้าหมักกล้วยไข่
วันที่ 3 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
วันนี้ทดลองโดยใช้ปริมาณน้าหมักมากกว่าวันที่ผ่านมา พบว่าจานเมื่อแช่ล
งไปคราบมันหลุดออกง่ายกว่าเมื่อวานและล้างง่ายเมื่อล้างเสร็จแล้วนาจานมาเ
ช็ดแล้วทดสอบกลิ่นพบว่ามีกลิ่นน้าหมักกล้วยไข่ติดอยู่ จึงมีการวางแผนเพื่อ
ทาให้กลิ่นนั้นหาย
วันที่ 4 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
จากสาเหตุที่มีกลิ่นน้าหมักกล้วยไข่ติดดกับจานหลังจากวันนี้ที่ได้ทาการล้า
งจานเสร็จแล้ว
ได้เช็ดจานให้แห้งและเก็บไว้เป็นเวลา 2 ชั่วโมง พบว่ากลิ่นของน้าหมักกล้วย
ไข่จางลงและกลิ่นคาวก็หายไปด้วย
วันที่ 5 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
เมื่อพบปัญหาและแก้ปัญหาที่ทาให้จานนั้นมีกลิ่นของน้าหมักกล้วยไข่จึงได้
ทาการทดลองมาเรื่อยๆ
โดยใช้ปริมานน้าหมักที่มากกว่านาและนาจานลงไปแช่โดยใช้จานจานวน 5 ใ
บในการทดลองทุกครั้ง
พบว่าผลที่ออกมีความคงที่และได้ทาการทดลองนี้จนครบตามระยะเวลาที่กาห