"... เรื่ อ งที่ จ ะช่ ว ยชาวเขา และโครงการชาวเขานั น มี ป ระโยชน์ โ ดยตรงกั บ ชาวเขาที่ จ ะส่ ง เสริ ม และสนั บ สนุ น ให้
                                                                       ้
ชาวเขามี ค วามเป็ นอยู่ ดี ขึ น สามารถเพาะปลู ก สิ่ ง ที่ เ ป็ นประโยชน์ แ ละเป็ นรายได้ กั บ เขาเอง ที่ มี โ ครงการนี ้ จุ ด ประสงค์
                                       ้
 อย่ า งหนึ่ ง ก็ คื อ มนุ ษ ยธรรม หมายถึ ง ให้ ผู้ ที่ อ ยู่ ใ นถิ่ น ทุ ร กั น ดารสามารถที่ จ ะมี ค วามรู้ และพยุ ง ตั ว มี ค วามเจริ ญ ได้ อี ก
     อย่ า งหนึ่ ง ก็ เ ป็ นเรื่ อ งช่ ว ยในทางที่ ทุ ก คนเห็ น ว่ า เขาจะเลิ ก ปลู ก ยาเสพย์ ติ ด คื อ ฝิ่ น ทาให้ นโยบายการระงั บ การ
 ปราบปราม การสู บ ฝิ่ น และการค้ าฝิ่ นได้ ผลดี อั น นี เ้ ป็ นผลอย่ า งหนึ่ ง ผลอี ก อย่ า งหนึ่ ง ซึ่ ง สาคั ญ มากก็ คื อ ชาวเขาเป็ น
ผู้ ทาการเพาะปลู ก โดยวิ ธี ที่ จ ะทาให้ บ้ านเมื อ งของเราไปสู่ ห ายนะได้ โดยที่ ถ างป่ าแล้ วปลู ก ก็ เ ท่ า กั บ ช่ ว ยบ้ านเมื อ งให้ มี
ความดี ความอยู่ กิ น ดี แ ละความปลอดภั ย ได้ อี ก ทั่ ว ประเทศ เพราะถ้ าสามารถทาโครงการนี ไ้ ด้ สาเร็ จ ให้ ชาวเขาอยู่ เ ป็ น
   หลั ก เป็ นแหล่ ง สามารถที่ จ ะอยู่ ดี กิ น ดี พ อสมควร และสนั บ สนุ น นโยบายที่ จ ะรั ก ษาป่ าไม้ รั ก ษาดิ น ให้ เป็ นประโยชน์
                                                       ต่ อ ไป ประโยชน์ อั น นี จ ะยั่ ง ยื น มาก...."
                                                                                  ้
การเสด็จประพาสต้นบนดอย ของพระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หว เป็ นต้ นกาเนินของ
                                                              ั
โครงการหลวงเมื่อ 32 ปี มาแล้ ว โครงการหลวงเป็ นโครงการส่วนพระองค์อย่างแท้ จริ ง ตังแต่เริ่ มแรก
                                                                                        ้
ทรงบริ จาคพระราชทรัพย์สวนพระองค์ เพื่อเริ่ มโครงการนี ้ เพื่อพิสจน์ทฤษฎี เพื่อดูแลอธิปไตยของ
                                ่                               ู
ประเทศและเหนือสิ่งอื่นใด เพื่อความอยู่ดีกินดีของพสกนิกรของพระองค์เอง ไม่มีพระมหากษัตริ ย์
พระองค์ใดในโลก ทรงอุทิศพระวรกาย พระชนมายุพระราชหฤทัย และทรงให้ เวลาอย่างมากมายใน
การทรงงานเพื่อทวยราษฎร์ อย่างแท้ จริ ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้ าฯ ให้ ม.จ.ภีศเดช รัชนี รับสนอง
แนวพระพระราชดาริ และทรงนาการปฏิบติบนดอยตามพระราชดาริ และพระราชกระแส ความ
                                              ั
มุ่งมันที่มีรับสังครังแล้ วครังเล่าก็คือ "ความผาสุกของประชาชน และความมันคงของประเทศ" ซึงเป็ น
      ่          ่ ้          ้                                            ่                 ่
ภาพรวมของกรอบปฏิบติที่ใช้ ได้ ทวประเทศ สาหรับโครงการหลวงซึงดาเนินการในเขตภาคเหนือนัน
                            ั          ั่                           ่                           ้
มีความสาคัญในแง่ของการรักษาอธิปไตยของประเทศในการรักษาสภาวะวิกฤตของการรักษาและ
ดูแลต้ นน ้าลาธาร ในการทาให้ ชาวเขามีความเป็ นอยู่ดีขึ ้น ไม่ตดไม้ ทาลายป่ า ไม่ทาไรเลื่อนลอย ไม่
                                                              ั
ปลูกพืชเสพย์ติด และเป็ นประชากรที่อาศัยอยู่บนพื ้นที่สงที่มีจิตสานึกในการดูแลรักษาต้ นน ้าลาธาร
                                                        ู
ด้ วย
สาหรับงานบนพื ้นที่สง ผู้ปฏิบติงานในโครงการหลวงทุกคนได้ ยดถือหลักการ
                               ู        ั                                ึ
พระราชทาน ซึงง่าย สัน และตรงจุด มาตังแต่เริ่ มต้ นจนถึงปั จจุบนคือ
                 ่    ้                   ้                      ั
o ๑) ลดขันตอน
           ้
o ๒) เร็ วๆ เข้ า
o ๓) ช่วยเขาให้ ช่วยตัวเอง
o ๔) ปิ ดทองหลังพระ
           จากหลักการที่พระราชทานนี ้ทาให้ เกิดการสร้ างวีการที่สาคัญขึ ้น เพือใช้ ในการ
                                                                              ่
ปฏิบติในงานของโครงการหลวงคือ
    ั
o ๑) วิธีสร้ างการประสานงานและความร่ วมมือ
o ๒) วิธีสร้ างการบุกเบิกและทดสอบสิ่งใหม่ๆ
o ๓) วิธีสร้ างการกาหนดทางเลือก
o ๔) วิธีการสร้ างจิตสานึกของชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ทีอยูบนพื ้นทีสง
                                                 ่ ่         ่ ู
ม.จ.ภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ได้ ทรงตรัสแก่เหล่าเจ้ าหน้ าที่
โครงการหลวงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หว รับสังกับผู้เข้ าเฝาฯ ณ พระตาหนักจิตรลดา
                                                ั   ่         ้
รโหฐานว่า โครงการหลวงเกิดขึ ้นเพราะท่านไปเที่ยว คาว่า "ไปเที่ยว" นี ้ เราท่านน่าจะว่า
"ประพาสตัน" มากกว่า เพราะนอกจากจะเป็ นราชาศัพท์ที่ถกต้ อง แต่ออกจะไม่ใช้ กนแล้ วยัง
                                                            ู                     ั
ทาให้ เราเห็นภาพ พระพุทธเจ้ าหลวง เวลาเสด็จฯไปเที่ยวบ้ านชาวบ้ าน โดยที่เขาไม่ไม่ทราบ
ว่าท่านเป็ นใคร จึงไม่ประหม่ามาก คุยคล่องถึงการกินอยู่ ทาให้ ท่านสามารถพระราชทาน
ความช่วยเหลือได้ ตามพระราชอัธยาศัย ส่วนพระราชนัดดา คือ พระบาทสมเด็จพระ
เจ้ าอยู่หว รัชกาลที่ ๙ ของพวกเรานี ้ เมื่อทรงแปรพระราชฐานไปเชียงใหม่ เพื่อตามอากาศ
          ั
จะเสด็จฯไปหน้ าหนาว จึงเรี ยกว่า พักร้ อน อย่างที่ใครๆ เขามักจะเรี ยกกันไม่ได้ นอกจากนี ้
พระองค์ท่านไม่ได้ ทรงพัก แต่มกจะเสด็จฯ ดันดันไปทอดพระเนตรชีวิตของคนบนดอย ซึง
                                 ั            ้                                        ่
สาหรับคนอื่น ๆ แล้ ว ยังกับว่าอยู่คนละโลกกับเรา เช่นเมื่อราว ๓๐ ปี มาแล้ ว ทางไปพระ
ธาตุดอยสุเทพมีถนนลูกรังที่รถยนต์ขึ ้นได้ แต่ลาบาก จากนันถ้ าจะไปบ้ านแม้ วดอยปุย ก็ต้อง
                                                          ้
เดินเอา นอกจากจะจ้ างเสลี่ยงนังให้ เขาหามโยกเยกไป ในเมื่อระยะใกล้ ๆ ต้ องใช้ เวลาเดิน
                                   ่
นานเช่นนี ้ ดอยจึงพันหูพนตาของคนไทยส่วนมาก
                          ั
ตามกระแสรับสัง โครงการหลวงต้ องหาพืชเมืองหนาวมาปลูกบนดอย ซึงนอกจาก
                           ่                                                      ่
ฝิ่ นแล้ ว ในขณะนันไม่มีใครทราบว่า มีพืชอะไรบ้ างปลูกได้ ดังนันโครงการหลวงต้ องทาการ
                   ้                                          ้
วิจย คือ ทดลองมากมายหลายโครงการ การวิจยย่อมต้ องใช้ คนและเงิน สาหรับคนนันพวกที่
     ั                                       ั                                      ้
เพียบพร้ อมด้ วยความสามารถก็หาไม่ยาก เพราะเหล่านักวิชาศาสตร์ ทางเกษตร ทังจาก    ้
มหาวิทยาลัย และสถาบันต่าง ๆ มีความจงรักภักดีที่จะทางานถวาย โดยเฉพาะได้ ทางานใน
โครงการหลวง ที่ไม่ขนตอนมากมายเหมือนในระบบราชการ เพราะมีรับสังให้ ลดขันตอน
                     ั้                                               ่       ้
อนึง บรรดาอาจารย์ที่มาอาสาสมัครวิจยนัน ก็ได้ ข้อมูลความรู้จากผลการวิจยในประเทศเรา
       ่                              ั ้                               ั
ไปสอนแก่ศิษย์ ซึงดีกว่าการศึกษาในตาราที่ฝรั่งเขียนไว้ สาหรับเมืองเขา
                 ่
เหตุผลที่ว่าทาไมถึงต้ องส่งเสริ มให้ ชาวเขาปลูกไม้ ผล สาหรับเป็ นพืชทดแทนฝิ่ นนันก็
                                                                                               ้
เนื่องมาจากในงานวิจยของโครงการหลวง ในการหาพืชอื่นให้ ชาวเขาปลูกทดแทนฝิ่ นนันทาง
                         ั                                                             ้
โครงการฯ มีความมุ่งหมายที่จะแก้ ไขเรื่ องต่าง ๆ ไปพร้ อมกันด้ วย กล่าวคือพืชหลักควรจะเป็ นไม้ ยืน
ต้ น เช่นไม้ ผลชนิดต่าง ๆ กาแฟ ต้ นนัท (พวกเกาลัด มะคาเดเมียนัท วอลนัทหรื อมันฮ่อ เป็ นต้ น) ทังนี ้
                                                                                                   ้
เพื่อมุ่งหวังให้ ชาวเขาทามาหากินอยู่กบที่ เลิกทาไร่ เลื่อนลอย ซึงจะทาให้ หยุดยังการทาลายป่ าลงได้
                                         ั                         ่               ้
นอกจากนัน ไม้ ยืนต้ นเหล่านี ้ก็ยงให้ ประโยชน์ในแง่ของการอนุรักษ์ ดินและน ้า เหมือนกับเป็ นการ
             ้                    ั
ทดแทนป่ าไม้ อีกด้ วย จากการทดลองในเรื่ องไม้ ผลยืนต้ นนี ้ ทางโครงการหลวงสามารถหาพันธุ์ไม้ ผล
เมืองหนาวหลายชนิด ที่สามารถให้ ผลผลิตได้ ดีบนพื ้นที่สง และได้ นาผลจากการวิจยเรื่ อง การ
                                                            ู                        ั
ขยายพันธุ์ การปลูก ขันตอนการดูแลรักษา จนกระทังการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยได้ มีเจ้ าหน้ าที่
                           ้                             ่
ส่งเสริ มของโครงการมานาเอาความรู้ดงกล่าว ไปถ่ายทอด อบรมให้ แก่เกษตรกรชาวเขาตามหมู่บ้าน
                                           ั
ต่าง ๆ ต่อไป ปั จจุบนผลไม้ เมืองหนาวหลายชนิดที่ผลิตโดยชาวเขา เช่น พีช พลับ บ๊ วย พลัม สาบี่
                      ั
เอเซีย(ผลสีน ้าตาล) สตรอเบอรี่ ผลกีวี อะโวกาโดร องุ่น ฯลฯ มีจาหน่ายในตลาดกรุงเทพฯและ
เชียงใหม่ ภายใต้ เครื่ องหมายการค้ าว่า "ดอยคา"
เนื่องจากไม้ ผลยืนต้ นต้ องใช้ เวลานาน ๓-๖ ปี กว่าจะได้ ผลผลิตทารายได้ ให้ แก่
ชาวเขาผู้ปลูก โครงการหลวงจึงมีนโนบายให้ หาพืชอายุสนให้ ชาวเขา ปลูกเป็ นรายได้ ไป
                                                           ั้
พลางก่อน พืชอายุสนเหล่านี ้มีมากมายหลายชนิดทีขึ ้นได้ ดีในที่สง และทารายได้ ไปพลาง
                        ั้                            ่           ู
ก่อน พืชอายุสนเหล่านี ้มีมากมายหลายชนิดทีขึ ้นได้ ดีในที่สง และทารายได้ ให้ แก่ผ้ ปลูกเป็ น
                  ั้                             ่            ู                   ู
อย่างมาก พืชดังกล่าว เช่น สตรอเบอรี่ ถัวชนิดต่าง ๆ ผักเมืองหนาวหลายชนิด สมุนไพร
                                             ่
เครื่ องเทศ เมล็ดพันธุ์ผกและดอกไม้ ไม้ ดอกชนิดต่าง ๆ ข้ าวสาลี และธัญพืชอื่นๆ เป็ นต้ น
                               ั
นอกจากไม้ ยืนต้ นและพืชอายุสนทีกล่าวถึงแล้ ว ชาวเขายังสามารถหารายได้ จากงานอื่น ๆ
                                  ั้ ่
เช่น งานหัตถกรรม ซึงทางมูลนิธิสงเสริ มศิลปาชีพได้ เข้ ามาให้ คาแนะนาการเลี ้ยงสัตว์ การ
                           ่         ่
ปลูก เห็ดเมืองหนาว เป็ นต้ น
             จะเห็นได้ วาถ้ าเราสามารถจัดการให้ ชาวเขามีการปลูกไม้ ผลยืนต้ นเป็ นพืชหลัก
                             ่
และพาพืชอายุสนอื่นๆ ที่เหมาะสมกับท้ องถิ่นให้ ปลูกได้ ตลอดปี โดยอาจมีงานพิเศษเสริ ม
                     ั้
เข้ าไปด้ วย ก็จะทาให้ ชาวเขามีรายได้ เกินกว่าการปลูกฝิ่ นอย่างมากมาย ชนิดของพืชทีจะ  ่
แนะนะให้ ปลูกและงานพิเศษที่จะเสริ มรายได้ นน จะต้ องมีการวางแผนให้ เหมาะ เพื่อให้
                                                   ั้
สอดคล้ องกับปั จจัยต่างๆ เช่น ภูมิอากาศ ทางคมนาคม และตลาด เป็ นต้ น
ด้ วยสายพระเนตรอันยาวไกลของพระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่ ที่ทรงตังพระราชหฤทัยให้
                                                                                      ้
มีการรักษาป่ า ต้ นน ้าลาธาร บนพื ้นที่ภเู ขาสูงของประเทศ และในขณะเดียวกันก็ให้ ชาวเขาที่มาพึง       ่
พระบรมโพธสมภารอยู่ในพื ้นที่นนได้ มีชีวิตที่ดีขึ ้น ไม่เบียดเบียนป่ านัน คือ ไม่ตดไม้ ทาลายป่ า ไม่
                                  ั้                                      ้       ั
ปลูกพืชเสพย์ติดนัน พระองค์ได้ พระราชทานพระราชดาริ ให้ ชาวเขาอยู่เป็ นที่ไม่ทาไร่เลื่อนลอย ไม่
                     ้
ย้ ายหมู่บ้านเหมือนในอดีต พระองค์ได้ พระราชทานแนวทางการใช้ ประโยชน์ของป่ า ๓ อย่าง ให้ แก่
กรมป่ าไม้ และโครงการหลวงนาไปปฏิบติ คือ    ั
o ๑. ป่ าใช้ สอย คือให้ ชาวบ้ านปลูกต้ นไม้ เนื ้อแข็ง ที่สาหรับจะได้ นามาใช้ ก่อสร้ างที่ อยู่อาศัย
o ๒. ป่ าทาเชื ้อเพลิง คือให้ มีการปลูกต้ นไม้ โตเร็ วไว้ ในบริ เวณหมู่บ้าน สาหรับนามาใช้ สอยใน
    ครัวเรื อน เช่น ทาฟื น เพาะเห็ด
o ๓. ป่ ากินได้ คือให้ มีการปลูกต้ นไม้ ที่ให้ ผลผลิตสาหรับไว้ รับประทานและขายเป็ นร ได้ ซึงก็คือ ไม้
                                                                                                 ่
    ผลยืนต้ นชนิดต่าง ๆ
              และด้ วยวิธี จะทาให้ ชาวเขาเกิดความรักในพื ้นที่ทากิน มีความหวงแหนในต้ นไม้ ของเขา
และผลที่ตามมาก็คือ ต้ นไม้ ยืนต้ นเหล่านี ้ ก็จะทาหน้ าที่คล้ วยกับป่ า ในการอนุรักษ์ สภาพแวดล้ อม
รักษาต้ นน ้า ลาธารที่เป็ นสมบัติอนล ้าค่าของประเทศไทยต่อไป
                                     ั
ในเรื่ องของการรักษาสิงแวดล้ อมบนพื ้นที่สงทางโครงการหลวง ได้ ตระหนัก
                                   ่                     ู
เป็ นอย่างดี และได้ ปรับปรุงวิธีการผลิตไม้ ผล โดยไม่ใช้ สารเคมีที่เป็ นอันตรายในการ
กาจัดแมลงและโรคที่เป็ นศัตรูพืช กล่าวคือ นอกจากจะใช้ วิธีการควบคุมศัตรูพืชโดย
ชีววิธี เช่น ให้ แมลง เช่น พวกห ้า ตัวเบียน คอยควบคุมจานวนแมลงที่เป็ นศัตรูของพืช
โดยการรักษาสมดุลของธรรมชาติแล้ ว ทางโครงการหลวงยังได้ นาวิธีการต่างๆ มาใช้
เช่น ได้ แนะนาให้ เกษตรกรชาวเขา ห่อผลไม้ ตงแต่ผลยังเล็ก เพื่อปองกันไม่ให้ แมลง
                                              ั้                   ้
ทาลาย จึงทาให้ ไม่ต้องใช้ ยาฆ่าแมลงพ่น เหมือนกับการผลิตไม้ ผลเมืองหนาวทัวๆ ไป   ่
ในต่างประเทศ นอกจากนี ้ยังได้ แนะนาให้ ชาวเขาทาปุยหมัก ปู่ ยพืชสด ใช้ เอง โดยใช้
                                                       ๋
มูลสัตว์ และเศษพืชในท้ องที่เป็ นการลดการใช้ ป๋ ยเคมี เป็ นต้ น จึงกลาวได้ วาผลผลิต
                                                 ุ                           ่
ของโครงการหลวงนันสะอาด ปลอดภัยจากสารพิษตกค้ าง
                        ้
นางสาวอาทิมา รัตนพันธ์
มัธยมศึกษาปี ที่ ๔/๖ เลขที่ ๕

โครงการ สวนผลไม้ชาวเขา

  • 1.
    "... เรื่ องที่ จ ะช่ ว ยชาวเขา และโครงการชาวเขานั น มี ป ระโยชน์ โ ดยตรงกั บ ชาวเขาที่ จ ะส่ ง เสริ ม และสนั บ สนุ น ให้ ้ ชาวเขามี ค วามเป็ นอยู่ ดี ขึ น สามารถเพาะปลู ก สิ่ ง ที่ เ ป็ นประโยชน์ แ ละเป็ นรายได้ กั บ เขาเอง ที่ มี โ ครงการนี ้ จุ ด ประสงค์ ้ อย่ า งหนึ่ ง ก็ คื อ มนุ ษ ยธรรม หมายถึ ง ให้ ผู้ ที่ อ ยู่ ใ นถิ่ น ทุ ร กั น ดารสามารถที่ จ ะมี ค วามรู้ และพยุ ง ตั ว มี ค วามเจริ ญ ได้ อี ก อย่ า งหนึ่ ง ก็ เ ป็ นเรื่ อ งช่ ว ยในทางที่ ทุ ก คนเห็ น ว่ า เขาจะเลิ ก ปลู ก ยาเสพย์ ติ ด คื อ ฝิ่ น ทาให้ นโยบายการระงั บ การ ปราบปราม การสู บ ฝิ่ น และการค้ าฝิ่ นได้ ผลดี อั น นี เ้ ป็ นผลอย่ า งหนึ่ ง ผลอี ก อย่ า งหนึ่ ง ซึ่ ง สาคั ญ มากก็ คื อ ชาวเขาเป็ น ผู้ ทาการเพาะปลู ก โดยวิ ธี ที่ จ ะทาให้ บ้ านเมื อ งของเราไปสู่ ห ายนะได้ โดยที่ ถ างป่ าแล้ วปลู ก ก็ เ ท่ า กั บ ช่ ว ยบ้ านเมื อ งให้ มี ความดี ความอยู่ กิ น ดี แ ละความปลอดภั ย ได้ อี ก ทั่ ว ประเทศ เพราะถ้ าสามารถทาโครงการนี ไ้ ด้ สาเร็ จ ให้ ชาวเขาอยู่ เ ป็ น หลั ก เป็ นแหล่ ง สามารถที่ จ ะอยู่ ดี กิ น ดี พ อสมควร และสนั บ สนุ น นโยบายที่ จ ะรั ก ษาป่ าไม้ รั ก ษาดิ น ให้ เป็ นประโยชน์ ต่ อ ไป ประโยชน์ อั น นี จ ะยั่ ง ยื น มาก...." ้
  • 2.
    การเสด็จประพาสต้นบนดอย ของพระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หวเป็ นต้ นกาเนินของ ั โครงการหลวงเมื่อ 32 ปี มาแล้ ว โครงการหลวงเป็ นโครงการส่วนพระองค์อย่างแท้ จริ ง ตังแต่เริ่ มแรก ้ ทรงบริ จาคพระราชทรัพย์สวนพระองค์ เพื่อเริ่ มโครงการนี ้ เพื่อพิสจน์ทฤษฎี เพื่อดูแลอธิปไตยของ ่ ู ประเทศและเหนือสิ่งอื่นใด เพื่อความอยู่ดีกินดีของพสกนิกรของพระองค์เอง ไม่มีพระมหากษัตริ ย์ พระองค์ใดในโลก ทรงอุทิศพระวรกาย พระชนมายุพระราชหฤทัย และทรงให้ เวลาอย่างมากมายใน การทรงงานเพื่อทวยราษฎร์ อย่างแท้ จริ ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้ าฯ ให้ ม.จ.ภีศเดช รัชนี รับสนอง แนวพระพระราชดาริ และทรงนาการปฏิบติบนดอยตามพระราชดาริ และพระราชกระแส ความ ั มุ่งมันที่มีรับสังครังแล้ วครังเล่าก็คือ "ความผาสุกของประชาชน และความมันคงของประเทศ" ซึงเป็ น ่ ่ ้ ้ ่ ่ ภาพรวมของกรอบปฏิบติที่ใช้ ได้ ทวประเทศ สาหรับโครงการหลวงซึงดาเนินการในเขตภาคเหนือนัน ั ั่ ่ ้ มีความสาคัญในแง่ของการรักษาอธิปไตยของประเทศในการรักษาสภาวะวิกฤตของการรักษาและ ดูแลต้ นน ้าลาธาร ในการทาให้ ชาวเขามีความเป็ นอยู่ดีขึ ้น ไม่ตดไม้ ทาลายป่ า ไม่ทาไรเลื่อนลอย ไม่ ั ปลูกพืชเสพย์ติด และเป็ นประชากรที่อาศัยอยู่บนพื ้นที่สงที่มีจิตสานึกในการดูแลรักษาต้ นน ้าลาธาร ู ด้ วย
  • 3.
    สาหรับงานบนพื ้นที่สง ผู้ปฏิบติงานในโครงการหลวงทุกคนได้ยดถือหลักการ ู ั ึ พระราชทาน ซึงง่าย สัน และตรงจุด มาตังแต่เริ่ มต้ นจนถึงปั จจุบนคือ ่ ้ ้ ั o ๑) ลดขันตอน ้ o ๒) เร็ วๆ เข้ า o ๓) ช่วยเขาให้ ช่วยตัวเอง o ๔) ปิ ดทองหลังพระ จากหลักการที่พระราชทานนี ้ทาให้ เกิดการสร้ างวีการที่สาคัญขึ ้น เพือใช้ ในการ ่ ปฏิบติในงานของโครงการหลวงคือ ั o ๑) วิธีสร้ างการประสานงานและความร่ วมมือ o ๒) วิธีสร้ างการบุกเบิกและทดสอบสิ่งใหม่ๆ o ๓) วิธีสร้ างการกาหนดทางเลือก o ๔) วิธีการสร้ างจิตสานึกของชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ทีอยูบนพื ้นทีสง ่ ่ ่ ู
  • 4.
    ม.จ.ภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวงได้ ทรงตรัสแก่เหล่าเจ้ าหน้ าที่ โครงการหลวงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หว รับสังกับผู้เข้ าเฝาฯ ณ พระตาหนักจิตรลดา ั ่ ้ รโหฐานว่า โครงการหลวงเกิดขึ ้นเพราะท่านไปเที่ยว คาว่า "ไปเที่ยว" นี ้ เราท่านน่าจะว่า "ประพาสตัน" มากกว่า เพราะนอกจากจะเป็ นราชาศัพท์ที่ถกต้ อง แต่ออกจะไม่ใช้ กนแล้ วยัง ู ั ทาให้ เราเห็นภาพ พระพุทธเจ้ าหลวง เวลาเสด็จฯไปเที่ยวบ้ านชาวบ้ าน โดยที่เขาไม่ไม่ทราบ ว่าท่านเป็ นใคร จึงไม่ประหม่ามาก คุยคล่องถึงการกินอยู่ ทาให้ ท่านสามารถพระราชทาน ความช่วยเหลือได้ ตามพระราชอัธยาศัย ส่วนพระราชนัดดา คือ พระบาทสมเด็จพระ เจ้ าอยู่หว รัชกาลที่ ๙ ของพวกเรานี ้ เมื่อทรงแปรพระราชฐานไปเชียงใหม่ เพื่อตามอากาศ ั จะเสด็จฯไปหน้ าหนาว จึงเรี ยกว่า พักร้ อน อย่างที่ใครๆ เขามักจะเรี ยกกันไม่ได้ นอกจากนี ้ พระองค์ท่านไม่ได้ ทรงพัก แต่มกจะเสด็จฯ ดันดันไปทอดพระเนตรชีวิตของคนบนดอย ซึง ั ้ ่ สาหรับคนอื่น ๆ แล้ ว ยังกับว่าอยู่คนละโลกกับเรา เช่นเมื่อราว ๓๐ ปี มาแล้ ว ทางไปพระ ธาตุดอยสุเทพมีถนนลูกรังที่รถยนต์ขึ ้นได้ แต่ลาบาก จากนันถ้ าจะไปบ้ านแม้ วดอยปุย ก็ต้อง ้ เดินเอา นอกจากจะจ้ างเสลี่ยงนังให้ เขาหามโยกเยกไป ในเมื่อระยะใกล้ ๆ ต้ องใช้ เวลาเดิน ่ นานเช่นนี ้ ดอยจึงพันหูพนตาของคนไทยส่วนมาก ั
  • 5.
    ตามกระแสรับสัง โครงการหลวงต้ องหาพืชเมืองหนาวมาปลูกบนดอยซึงนอกจาก ่ ่ ฝิ่ นแล้ ว ในขณะนันไม่มีใครทราบว่า มีพืชอะไรบ้ างปลูกได้ ดังนันโครงการหลวงต้ องทาการ ้ ้ วิจย คือ ทดลองมากมายหลายโครงการ การวิจยย่อมต้ องใช้ คนและเงิน สาหรับคนนันพวกที่ ั ั ้ เพียบพร้ อมด้ วยความสามารถก็หาไม่ยาก เพราะเหล่านักวิชาศาสตร์ ทางเกษตร ทังจาก ้ มหาวิทยาลัย และสถาบันต่าง ๆ มีความจงรักภักดีที่จะทางานถวาย โดยเฉพาะได้ ทางานใน โครงการหลวง ที่ไม่ขนตอนมากมายเหมือนในระบบราชการ เพราะมีรับสังให้ ลดขันตอน ั้ ่ ้ อนึง บรรดาอาจารย์ที่มาอาสาสมัครวิจยนัน ก็ได้ ข้อมูลความรู้จากผลการวิจยในประเทศเรา ่ ั ้ ั ไปสอนแก่ศิษย์ ซึงดีกว่าการศึกษาในตาราที่ฝรั่งเขียนไว้ สาหรับเมืองเขา ่
  • 6.
    เหตุผลที่ว่าทาไมถึงต้ องส่งเสริ มให้ชาวเขาปลูกไม้ ผล สาหรับเป็ นพืชทดแทนฝิ่ นนันก็ ้ เนื่องมาจากในงานวิจยของโครงการหลวง ในการหาพืชอื่นให้ ชาวเขาปลูกทดแทนฝิ่ นนันทาง ั ้ โครงการฯ มีความมุ่งหมายที่จะแก้ ไขเรื่ องต่าง ๆ ไปพร้ อมกันด้ วย กล่าวคือพืชหลักควรจะเป็ นไม้ ยืน ต้ น เช่นไม้ ผลชนิดต่าง ๆ กาแฟ ต้ นนัท (พวกเกาลัด มะคาเดเมียนัท วอลนัทหรื อมันฮ่อ เป็ นต้ น) ทังนี ้ ้ เพื่อมุ่งหวังให้ ชาวเขาทามาหากินอยู่กบที่ เลิกทาไร่ เลื่อนลอย ซึงจะทาให้ หยุดยังการทาลายป่ าลงได้ ั ่ ้ นอกจากนัน ไม้ ยืนต้ นเหล่านี ้ก็ยงให้ ประโยชน์ในแง่ของการอนุรักษ์ ดินและน ้า เหมือนกับเป็ นการ ้ ั ทดแทนป่ าไม้ อีกด้ วย จากการทดลองในเรื่ องไม้ ผลยืนต้ นนี ้ ทางโครงการหลวงสามารถหาพันธุ์ไม้ ผล เมืองหนาวหลายชนิด ที่สามารถให้ ผลผลิตได้ ดีบนพื ้นที่สง และได้ นาผลจากการวิจยเรื่ อง การ ู ั ขยายพันธุ์ การปลูก ขันตอนการดูแลรักษา จนกระทังการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยได้ มีเจ้ าหน้ าที่ ้ ่ ส่งเสริ มของโครงการมานาเอาความรู้ดงกล่าว ไปถ่ายทอด อบรมให้ แก่เกษตรกรชาวเขาตามหมู่บ้าน ั ต่าง ๆ ต่อไป ปั จจุบนผลไม้ เมืองหนาวหลายชนิดที่ผลิตโดยชาวเขา เช่น พีช พลับ บ๊ วย พลัม สาบี่ ั เอเซีย(ผลสีน ้าตาล) สตรอเบอรี่ ผลกีวี อะโวกาโดร องุ่น ฯลฯ มีจาหน่ายในตลาดกรุงเทพฯและ เชียงใหม่ ภายใต้ เครื่ องหมายการค้ าว่า "ดอยคา"
  • 7.
    เนื่องจากไม้ ผลยืนต้ นต้องใช้ เวลานาน ๓-๖ ปี กว่าจะได้ ผลผลิตทารายได้ ให้ แก่ ชาวเขาผู้ปลูก โครงการหลวงจึงมีนโนบายให้ หาพืชอายุสนให้ ชาวเขา ปลูกเป็ นรายได้ ไป ั้ พลางก่อน พืชอายุสนเหล่านี ้มีมากมายหลายชนิดทีขึ ้นได้ ดีในที่สง และทารายได้ ไปพลาง ั้ ่ ู ก่อน พืชอายุสนเหล่านี ้มีมากมายหลายชนิดทีขึ ้นได้ ดีในที่สง และทารายได้ ให้ แก่ผ้ ปลูกเป็ น ั้ ่ ู ู อย่างมาก พืชดังกล่าว เช่น สตรอเบอรี่ ถัวชนิดต่าง ๆ ผักเมืองหนาวหลายชนิด สมุนไพร ่ เครื่ องเทศ เมล็ดพันธุ์ผกและดอกไม้ ไม้ ดอกชนิดต่าง ๆ ข้ าวสาลี และธัญพืชอื่นๆ เป็ นต้ น ั นอกจากไม้ ยืนต้ นและพืชอายุสนทีกล่าวถึงแล้ ว ชาวเขายังสามารถหารายได้ จากงานอื่น ๆ ั้ ่ เช่น งานหัตถกรรม ซึงทางมูลนิธิสงเสริ มศิลปาชีพได้ เข้ ามาให้ คาแนะนาการเลี ้ยงสัตว์ การ ่ ่ ปลูก เห็ดเมืองหนาว เป็ นต้ น จะเห็นได้ วาถ้ าเราสามารถจัดการให้ ชาวเขามีการปลูกไม้ ผลยืนต้ นเป็ นพืชหลัก ่ และพาพืชอายุสนอื่นๆ ที่เหมาะสมกับท้ องถิ่นให้ ปลูกได้ ตลอดปี โดยอาจมีงานพิเศษเสริ ม ั้ เข้ าไปด้ วย ก็จะทาให้ ชาวเขามีรายได้ เกินกว่าการปลูกฝิ่ นอย่างมากมาย ชนิดของพืชทีจะ ่ แนะนะให้ ปลูกและงานพิเศษที่จะเสริ มรายได้ นน จะต้ องมีการวางแผนให้ เหมาะ เพื่อให้ ั้ สอดคล้ องกับปั จจัยต่างๆ เช่น ภูมิอากาศ ทางคมนาคม และตลาด เป็ นต้ น
  • 8.
    ด้ วยสายพระเนตรอันยาวไกลของพระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่ที่ทรงตังพระราชหฤทัยให้ ้ มีการรักษาป่ า ต้ นน ้าลาธาร บนพื ้นที่ภเู ขาสูงของประเทศ และในขณะเดียวกันก็ให้ ชาวเขาที่มาพึง ่ พระบรมโพธสมภารอยู่ในพื ้นที่นนได้ มีชีวิตที่ดีขึ ้น ไม่เบียดเบียนป่ านัน คือ ไม่ตดไม้ ทาลายป่ า ไม่ ั้ ้ ั ปลูกพืชเสพย์ติดนัน พระองค์ได้ พระราชทานพระราชดาริ ให้ ชาวเขาอยู่เป็ นที่ไม่ทาไร่เลื่อนลอย ไม่ ้ ย้ ายหมู่บ้านเหมือนในอดีต พระองค์ได้ พระราชทานแนวทางการใช้ ประโยชน์ของป่ า ๓ อย่าง ให้ แก่ กรมป่ าไม้ และโครงการหลวงนาไปปฏิบติ คือ ั o ๑. ป่ าใช้ สอย คือให้ ชาวบ้ านปลูกต้ นไม้ เนื ้อแข็ง ที่สาหรับจะได้ นามาใช้ ก่อสร้ างที่ อยู่อาศัย o ๒. ป่ าทาเชื ้อเพลิง คือให้ มีการปลูกต้ นไม้ โตเร็ วไว้ ในบริ เวณหมู่บ้าน สาหรับนามาใช้ สอยใน ครัวเรื อน เช่น ทาฟื น เพาะเห็ด o ๓. ป่ ากินได้ คือให้ มีการปลูกต้ นไม้ ที่ให้ ผลผลิตสาหรับไว้ รับประทานและขายเป็ นร ได้ ซึงก็คือ ไม้ ่ ผลยืนต้ นชนิดต่าง ๆ และด้ วยวิธี จะทาให้ ชาวเขาเกิดความรักในพื ้นที่ทากิน มีความหวงแหนในต้ นไม้ ของเขา และผลที่ตามมาก็คือ ต้ นไม้ ยืนต้ นเหล่านี ้ ก็จะทาหน้ าที่คล้ วยกับป่ า ในการอนุรักษ์ สภาพแวดล้ อม รักษาต้ นน ้า ลาธารที่เป็ นสมบัติอนล ้าค่าของประเทศไทยต่อไป ั
  • 9.
    ในเรื่ องของการรักษาสิงแวดล้ อมบนพื้นที่สงทางโครงการหลวง ได้ ตระหนัก ่ ู เป็ นอย่างดี และได้ ปรับปรุงวิธีการผลิตไม้ ผล โดยไม่ใช้ สารเคมีที่เป็ นอันตรายในการ กาจัดแมลงและโรคที่เป็ นศัตรูพืช กล่าวคือ นอกจากจะใช้ วิธีการควบคุมศัตรูพืชโดย ชีววิธี เช่น ให้ แมลง เช่น พวกห ้า ตัวเบียน คอยควบคุมจานวนแมลงที่เป็ นศัตรูของพืช โดยการรักษาสมดุลของธรรมชาติแล้ ว ทางโครงการหลวงยังได้ นาวิธีการต่างๆ มาใช้ เช่น ได้ แนะนาให้ เกษตรกรชาวเขา ห่อผลไม้ ตงแต่ผลยังเล็ก เพื่อปองกันไม่ให้ แมลง ั้ ้ ทาลาย จึงทาให้ ไม่ต้องใช้ ยาฆ่าแมลงพ่น เหมือนกับการผลิตไม้ ผลเมืองหนาวทัวๆ ไป ่ ในต่างประเทศ นอกจากนี ้ยังได้ แนะนาให้ ชาวเขาทาปุยหมัก ปู่ ยพืชสด ใช้ เอง โดยใช้ ๋ มูลสัตว์ และเศษพืชในท้ องที่เป็ นการลดการใช้ ป๋ ยเคมี เป็ นต้ น จึงกลาวได้ วาผลผลิต ุ ่ ของโครงการหลวงนันสะอาด ปลอดภัยจากสารพิษตกค้ าง ้
  • 10.