More Related Content Similar to Javacentrix com chap01-0
Similar to Javacentrix com chap01-0 (20) More from Theeravaj Tum (20) Javacentrix com chap01-01. Servlet & Java Server Page
HTTP
HTML
CSS
XML
Java Servlet
Java Server Page(JSP)
Cookie and Session
Database System
Shopping Online
Web Broad
Rungrote Phonkam
www.JavaCentrix.com
rungrote@javacentrix.com
3. บทที่ 1 รู้จักการประมวลผลรูปแบบเอ็นเตอร์ไพร์
การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ที่มีการใช้งานโดยผู้ใช้เพียงคนเดียว
ทั้งในแง่ของการใช้ทรัพยากรของเครื่องและระบบการประมวลผล
เรามักเรียกรูปแบบลักษณะการใช้งานว่าสแตนอะโลน (Standalone)
ยกตัวอย่างเช่น การพิมพ์เอกสาร การวาดภาพ เป็นต้น
หากแต่งานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีผู้ใช้งานที่จำเป็นต้องทำงานร่วมกัน
หรือใช้ทรัพยากรร่วมกัน
ลักษณะสภาพแวดล้อมสแตนอะโลนจะเปลี่ยนเป็นสภาพแวดล้อมในระบบเครือ
ข่าย เช่น เครือข่ายแลน (LAN: Local Area Network)
และเครือข่ายคอมพิวเตอร์นี้เองที่จะทำการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่อง
ให้สามารถสื่อสารหรือส่งข้อมูลถึงกันและกันได้
ทำให้เกิดงานขนาดใหญ่ขึ้นจากการใช้งานตามปกติ เช่น
การทำระบบบัญชีภายในองค์กร
การรับส่งหรือสื่อสารทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ภายในกลุ่ม
ดังนั้นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีการเชื่อมโยงด้วยเครือข่ายคอมพิวเตอร์
จึงก่อให้เกิดรูปแบบการทำงานที่กว้างขวางขึ้น
หากเมื่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีขนาดใหญ่ขึ้นแทนที่จะเป็นภายในพื้นที่เดีย
วกัน ก็เป็นการเชื่อมโยงในต่างพื้นที่ ต่างภูมิภาค หรือเชื่อมโยงระหว่างประเทศ
และประกอบกับเครื่องคอมพิวเตอร์
หรือระบบคอมพิวเตอร์ในการเชื่อมโยงเหล่านั้น
มีความแตกต่างกันทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์ เช่น คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal
Computer) คอมพิวเตอร์ผอมบาง (Thin Computer) พีดีเอ (PDA) เป็นต้น
รวมถึงระบบปฏิบัติการก็ยังมีความแตกต่างกันอีกด้วย เช่น ยูนิกส์(Unix)
วินโดว์(Windows) ลีนุกซ์(Linux) แม็คโอเอส(MacOS) เป็นต้น
ทำให้ระบบการทำงานบางงานที่เกิดขึ้นต้องรองรับสภาพแวดล้อมและทรัพยากร
ที่แตกต่างกัน ซึ่งเรามักจะเรียกว่าการทำงานรูปแบบเอ็นเตอร์ไพร์ (Enterprise
Processing)
4. 1. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากเนื้อความเบื้องต้นของบทนี้ได้กล่าวถึงการนำมาซึ่งระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ที่มีการนำเอาทรัพยากรทางคอมพิวเตอร์มาเชื่อมโยงกันเพื่อให้เกิดเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ในการรองรับการทำงานที่มีรูปแบบการสื่อสารรวมกันระหว่างผู้ใช้งาน
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีการเชื่อมโยงทั้งในแบบกายภาพ (Phisical) ที่มีทั้งรูปแบบมีสายเชื่อมโยง (Cabling Network)
เช่นการใช้สาย UTP สายโคแอ็คซ์ (Coxicial) หรือการเชื่อมโยงรูปแบบไร้สาย (Wireless Network) เช่น
การใช้อินฟาเรต(Infrared) ไมโครเวฟ(Microwave) ความถี่วิทยุ (Radio Frequency) เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการติดตั้ง สถานที่
ความเร็ว ระยะทาง ที่ทางผู้กำหนดและวางแผนในการติดตั้งจะออกแบบ
ดังนั้นในหนังสือเล่มนี้จึงไม่เน้นเป็นที่การทำความเข้าใจกับรายละเอียดทางด้านเครือข่ายมากนัก
ในขั้นตอนต่อไปคือการใช้งานระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นการนำเอาเครือข่ายคอมพิวเตอร์
(ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบมีสายหรือไร้สาย) มาใช้งาน โดยมองในแง่ของการใช้ทรัพยากรและรูปแบบการทำงาน
โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.1 เครือข่ายเพียร์-ทู-เพียร์ (Peer-to-Peer)
ระบบเครือข่ายแบบเพียร์-ทู-เพียร์
เป็นเครือข่ายที่ผู้ใช้ทรัพยากรแต่ละคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการทำงานบนเครือข่าย
เรามักนำเอาเครือข่ายรูปแบบในมาใช้ในการแบ่งปันทรัพยากรที่เรียกว่าการแชร์ (Shared Resource) เช่น
เครือข่ายที่มีเครื่องพิมพ์อยู่จำนวนจำกัดไม่พอใช้กับทุกคน
ก็จะทำการแชร์เครื่องพิมพ์ให้ผู้ใช้ทุกคนบนระบบเครือข่ายสามารถสั่งพิมพ์งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ทุกคน
หรือการแชร์พื้นที่ใช้งาน (มักเรียกว่าการแชร์ไฟล์)
กล่าวคือเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเป็นเครื่องที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่มากกว่าเครื่องอื่น หรือเป็นเครื่องที่พอจะไว้ใจได้
(ไม่เกิดอาการแฮงค์ง่ายๆ) ก็มักจะแชร์พื้นที่ให้ผู้ใช้ในเครื่องอื่นๆได้ทำการเก็บบันทึกไฟล์งานเอาไว้
ระบบเครือข่ายรูปแบบนี้มีระดับในการรักษาความปลอดภัย หรือควบคุมการใช้งานไม่สูงนัก
เนื่องจากสิทธิของเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องเท่าเทียมกัน
ผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพยากรจึงมีบทบาทในการอนุญาติหรือไม่อนุญาติให้บุคคลอื่นในเครือข่ายเข้าใช้งานทรัพยากรของตัวเองห
รือไม่
รูปแสดงการทำงานของเครือข่ายแบบเพียร์-ทู-เพียร์
1.2 ไคลเอนต์/เซิร์ฟเวอร์ (Client/Server)
เครือข่ายแบบต่อมาที่แนะนำให้รู้จักคือเครือข่ายที่ในปัจจุบันมีการใช้งานกันในวงกว้างคือเครือข่ายแบบไคลเอนต์/
เซิร์ฟเวอร์
เมื่อกำหนดให้ระบบงานที่ทำงานอยู่บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่งที่รับหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์
(Server: เครื่องที่เป็นฝ่ายรอบรับการเรียกใช้บริการ และให้บริการ) และเครื่องคอมพิวเตอร์อีกส่วนหนึ่งในระบบงานเดียวกัน
ทำหน้าที่เป็นไคลเอนต์ (Client: เครื่องที่เป็นฝ่ายขอใช้บริการ)
ข้อแนะนำ ในระบบใหญ่ๆ เครื่องที่ทำหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์มีจำนวนมากกว่าหนึ่งเครื่อง
เพื่อเป็นการรอบรับด้านความเสถียรภาพในการทำงาน หรือรองรับไคลเอนต์จำนวนมากๆ
เนื่องจากเซิร์ฟเวอร์จะต้องคอยบริการผู้ใช้อยู่ตลอดเวลา
5. ตัวอย่างเช่น หากกำลังพูดถึงระบบเว็บ การทำงานของระบบเว็บคือการให้บริการข้อมูลเว็บ
ซึ่งเป็นข้อมูลที่บรรจุอยู่ในแฟ้มข้อมูลรูปแบบ HTML
ดังนั้นเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกควบคุมโดยผู้บริหารเว็บก็คือเครื่องที่ทำหน้าที่รับผิดชอบเก็บแฟ้มข้อมูลเว็บ
และคอยส่งให้กับไคลเอนต์ในระบบเดียวกันหากมีการร้องขอขึ้นมา
และไคลเอนต์ก็ถูกใช้งานโดยผู้ใช้ทำหน้าที่ร้องขอข้อมูลเว็บโดยการใช้งานของผู้ใช้จากเซิร์ฟเวอร์
ในระบบเดียวกันจะอาศัยรูปแบบการสื่อสารที่เข้าใจกันเอง
จากตัวอย่างระบบเว็บมีรูปแบบการสื่อสารที่ใช้กันที่เรียกว่าโพรโตคอล HTTP
เครื่องที่ทำหน้าที่เซิร์ฟเวอร์ถูกเรียกว่าเว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) เครื่องที่ทำหน้าที่ไคลเอนต์เรียกว่าเว็บไคลเอนต์ (Web
Client) ปัจจุบันเว็บไคลเอนต์อาจถูกเรียกว่าบราวเซอร์ (Brower) ตามการใช้งานคือการท่องดูข้อมูลเว็บ
หรือเรียกชื่อผลิตภัณฑ์เว็บไคลเอนต์จนติดปาก เช่น ไออี (IE: Internet Explorer) หรือเน็ทเคป (Netscape Navigator)
เป็นต้น
ในทำนองเดียวกันระบบอื่นๆที่มีการทำงานด้วยรูปแบบไคลเอนต์/เซิร์ฟเวอร์ก็เรียกขานเครื่องที่ทำหน้าที่ต่างๆในทำ
นองเดียวกัน เช่นระบบอีเมล์ (Electronic Mail) เครื่องเซิร์ฟเวอร์เรียกว่าเมล์เซิร์ฟเวอร์ (Mail Server)
เครื่องไคลเอนต์เรียกว่าเมล์ไคลเอนต์ (Mail Client) หรือเมล์รีดเดอร์ (Mail Reader)
การสื่อสารภายในระบบอีเมล์ใช้โพรโตคอล SMTP/POP3 เป็นต้น ดังนั้นหากกล่าวถึงระบบเอฟทีพี (FTP)
ผู้อ่านคงพอเดาได้ว่าเครื่องเซิร์ฟเวอร์ และไคลเอนต์จะถูกเรียกว่าอะไร?
1.3 ส่วนประกอบของระบบเครือข่าย (Network Components)
- โฮสต์ (Host)
หลายๆท่านอาจจะเข้าใจว่าคำว่าโฮสต์นั้นหมายถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ใดๆที่ต่อเชื่อมกับระบบเครือข่ายเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้วโฮสต์ยังหมายถึงอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายตัวอื่นๆอีกด้วย เช่น เครื่องพิมพ์ระบบเครือข่าย
เครื่องถ่ายเอกสารระบบเครือข่าย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในระบบเครือข่าย อุปกรณ์พีดีเอในระบบเครือข่าย
และอื่นๆอีกมากที่สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้าสู่ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
- อุปกรณ์เครือข่าย (Network Devices)
คือการอาศัยอุปกรณ์เช่น เน็ตเวิร์คการ์ด (NIC: Network Interface Card) ฮับ(Hub) สวิทช์ (Switch)
หรือพาหะในการเชื่อมโยงทั้งในรูปแบบที่ใช้สายญาณ เช่น สายโคแอกซ์ สายยูทีพี (UTP)
และรูปแบบที่ไม่ใช้สายสัญญาณแต่ใช้สื่ออื่นๆ เช่น คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ เป็นต้น
นำมาเชื่อมโยงตามมาตรฐานระบบเครือข่ายต่างๆที่ถูกกำหนดไว้ เช่น Ethernet, Token-Ring, Fast Ethernet เป็นต้น
- ระบบปฏิบัติการเครือข่าย (Network OS)
ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ (OS: Operating System)
ถูกติดตั้งลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ถือเป็นแกนกลางในการทำงาน
และการสั่งงานอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์จากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการในอดีตเช่น ดอส (DOS: Disk Operating
System) ยังไม่มีความสามารถทางด้านการสื่อสารในระบบเครือข่ายโดยตรง
ต้องใช้โปรแกรมสนับสนุนระบบเครือข่ายติดตั้งเสริมการทำงาน
แต่ในปัจจุบันระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์โดยส่วนใหญ่มีความสามารถในด้านการสื่อสารระบบเครือข่ายอยู่ภายในแล้
ว เช่น ยูนิกส์ ลีนุกซ์ วินโดว์ (ตั้งแต่ วินโดว์ 95 ขึ้นไป)
- ซอฟต์แวร์ทำงานบนเครือข่าย (Network Software)
แน่นอนว่าการอาศัยเพียงแค่ อุปกรณ์สื่อสาร โฮสต์
ระบบปฏิบัติการในระบบเครือข่ายเพียงแค่นี้จะทำให้เกิดการทำงานในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
6. เป็นไปไม่ได้เลยว่าหากปราศจากซอฟต์แวร์ที่ใช้งานในระบบเครือข่ายในการทำงาน
ซึ่งหมายถึงซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับใช้สื่อสาร ไม่ว่าจะเป็น ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล (DBMS:
DataBase Management System) ซอร์ฟแวร์บริหารเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์(Web Server)
ซอฟต์แวร์บริหารระบบอีเมล์(E-main System) เป็นต้น
2 โพรโตคอล (Protocol)
โพรโตคอลคือรูปแบบมาตรฐานที่ใช้ในการสื่อสาร กว่าที่ระบบงานคอมพิวเตอร์บนระบบเครือข่ายจะสามารถทำงานกันได้
จำเป็นต้องอาศัยส่วนประกอบอยู่หลายส่วนเลยทีเดียว
นอกจากส่วนประกอบทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่กล่าวไว้ในหัวข้อที่ 1 แล้วก็ยังไม่พอหากไม่มีการพูดถึงโพรโตคอล
โพรโตคอลมีหลายลักษณะขึ้นอยู่กับว่าจะนำไปใช้ในระดับไหน หรือเพื่องานอะไร มาตรฐานการสื่อสาร เช่น OSI (Open Systems
Interconnections) หรือ TCP/IP ก็จะมีโพรโตคอลที่ใช้งานร่วมกันหลายโพรโตคอล
แต่เนื่องจากว่าหนังสือเล่มนี้กล่าวในแง่ของการพัฒนาระบบเป็นหลัก
ดังนั้นจึงขอกล่าวถึงโพรโตคอลที่ถูกใช้ในการสื่อสารระดับแอปพลิเคชั่น และความต้องการในการพัฒนาระบบเป็นหลัก
โดยขอแบ่งโพรโตคอลเป็นสองส่วนด้วยกันคือ โพรโตคอลในงานเครือข่าย และโพรโตคอลในงานแอปพลิเคชั่น
2.1 โพรโตคอลระดับเครือข่าย (Network Protocol)
มาตรฐานโพรโตคอลที่ใช้ในระดับสื่อสารที่จะมีการควบคุมเส้นทาง
การแยกข้อมูลเพื่อให้ข้อมูลสามารถไปถึงปลายทางได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
โพรโตคอลในระดับนี้มองข้อมูลในหน่วยของบิตเป็นส่วนใหญ่
โดยไม่สนใจลักษณะข้อมูลแต่มุ่งที่จะให้ข้อมูลไปยังปลายทางได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ รวมถึงเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โพรโตคอลในระดับนี้มีอยู่มากมายหลายโพรโตคอลแต่จะยกตัวอย่างขึ้นมาเพื่อให้เห็นภาพในบางโพรโตคอลเท่านั้น
- การสื่อสารในรูปแบบ IPX/SPX (
เป็นโพรโตคอลในระดับเครือข่ายหนึ่ง ที่ถูกใช้งานในครั้งแรกกับระบบเครือข่ายของโนแวร์ (Novell)
ที่รู้จักกันดีในชื่อเน็ตแวร์ (Netware) ที่ทำให้อุปกรณ์ในระบบเครือข่ายแต่ละตัวสามารถสื่อสารกันได้
ปัจจุบันระบบวินโดวส์ได้มีการนำเอาโพรโตคอลนี้ไปใช้งานกันระบบเครือข่ายของตนเองได้
(เครือข่ายวินโดวส์สามารถใช้งานได้หลายโพรโตคอลบนเครื่องคอมพิวเตอร์เดียวกัน ขึ้นอยู่การติดตั้งของผู้บริหารระบบ)
- การสื่อสารในรูปแบบ TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
เป็นมาตรฐานในการสื่อสารสำหรับการสื่อสารในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
เริ่มต้นใช้ในครั้งแรกในวงการทหารของสหรัฐอเมริกา ต่อมาได้รับการพัฒนาจนมีการใช้งานอย่างกว้างขวาง
และทำให้คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานโพรโตคอลนี้มีการเชื่อมโยงกันทั่วโลก อันเป็นที่มาของระบบงานต่างๆ เช่น
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ระบบเว็บ ในปัจจุบัน และในหนังสือเล่มนี้ก็มีการใช้งานโพรโตคอลนี้ในการทำงาน
แต่จะไม่กล่าวถึงรายละเอียดในด้านลึกของโพรโตคอลนี้
แต่สามารถดูมาตรฐานการสื่อสารของโพรโตคอลนี้ได้ในเอกสาร RFC-791 และ RFC-793 ในเว็บไซต์ http://www.rfc-
editor.org/
3 โพรโตคอลสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต
โพรโตคอลในระดับสื่อสารนี้ เป็นโพรโตคอลที่รับผิดชอบในการรับ-ส่งข้อมูลในระดับแอปพลิเคชั่น
ดังนั้นเราจะเห็นการใช้งานโปรแกรมต่างๆบนอินเตอร์เน็ตอ้างถึงชื่อโปรโตคอลเหล่านี้ เนื่องจากมีผลถึงการรับ-
ส่งข้อมูลในระดับบนโดยตรง เช่น เว็บใช้โพรโตคอล HTTP เป็นต้น
- โพรโตคอล SMTP/POP3 (Simple Mail Transfer Protocol/ Post Office Protocol v.3)
คือโพรโตคอลที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลข่าวสารรูปแบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรืออีเมล์
7. การรับส่งข้อมูลในระบบงานนี้สามารถใช้งานโพรโตคอล SMTP
เพื่อใช้ส่งจดหมายจากเครื่องผู้ใช้ไปยังระบบเมล์เซิร์ฟเวอร์ (Mail Server)
เพื่อแจกจ่ายจดหมายไปยังปลายทางอีกทีหนึ่ง สำหรับโพรโตคอล POP 3
ถูกใช้ในการอ่านเมล์คือจะถูกเรียกอ่านเมล์ที่จัดเก็บไว้ที่เมล์เซิร์ฟเวอร์ลงมาอ่านบนเครื่องผู้ใช้
ตัวอย่างของโปรแกรมที่ใช้โพรโตคอลนี้ เช่น Outlook, Eudora, Netscape Mail เป็นต้น
- โพรโตคอล FTP (File Transfer Protocol)
คือโพรโตคอลในการขนย้ายไฟล์ ทำให้สามารถขนย้ายไฟล์จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งบนระบบอินเตอร์เน็ต
ทำให้สามารถรับ-ส่งไฟล์ได้รวดเร็วขึ้น จึงทำให้เกิดกิจกรรมการทำงานขึ้น เช่น การดาวน์โหลด (Download)
เป็นการย้ายไฟล์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ใดๆบนอินเตอร์เน็ตลงมาสู่เครื่องผู้ใช้ และการอัพโหลด (Upload)
เป็นการย้ายไฟล์จากเครื่องผู้ใช้เพื่อย้ายขึ้นไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ใดๆบนอินเตอร์เน็ต
ตัวอย่างโปรแกรมที่ใช้ในการทำงานของโพรโตคอลนี้คือ CuteFTP, WS_FTP, Win FTP เป็นต้น
นอกจากนี้แล้วบราวเซอร์บางตัวยังสามารถใช้งานโพรโตคอล FTP นี้ได้อีกด้วย
- โพรโตคอล HTTP (HyperText Transfer Protocol)
คือโพรโตคอลที่ใช้งานในระบบเวิร์ดไวเว็บ
เพื่อที่ใช้ในการร้องขอเอกสารจากแหล่งเก็บเอกสารหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ลงมาอ่าน
ซึ่งเป็นโพรโตคอลที่เป็นเป้าหมายของหนังสือเล่มนี้ที่จะจัดการและควบคุมด้วยเซิร์ฟเล็ตหรือ JSP
สำหรับโปรแกรมที่ใช้งานโพรโตคอลนี้คือโปรแกรม Internet Explorer, Netscape Navigator, Opera เป็นต้น
4 รูปแบบการประมวลผลบนระบบเว็บ
รูปแบบการประมวลผลในที่นี้จะกล่าวถึงการทำงานที่เกิดขึ้นในระบบเว็บเท่านั้น
ซึ่งเป็นการประมวลผลข้อมูลภายในไคลเอนต์หรือเซิร์ฟเวอร์อย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยการประมวลผลนี้ขึ้นอยู่กับการจัดสร้างเว็บไซต์ของผู้พัฒนา
ที่จะเลือกใช้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือร่วมกันเพื่อสามารถนำเสนอข้อมูลได้ตามความต้องการของผู้ใช้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
4.1 การประมวลผลแบบสแตนอะโลน (Standalone Processing)
คือการประมวลผลที่ทำงานโดยอาศัยทรัพยากรของผู้ใช้เป็นหลัก
ดังนั้นการติดต่อระหว่างระหว่างเว็บไคลเอนต์และเว็บเซิร์ฟเวอร์
เว็บไคลเอนต์จะสื่อสารเพื่อดึงเอาโปรแกรมจากเว็บเซิร์ฟเวอร์ผ่านระบบเครือข่ายลงมาไว้ที่พื้นที่ทำงานของเครื่องคอมพิวเตอ
ร์ภายในตัวเว็บไคลเอนต์เองก่อน
จากนั้นจึงสั่งให้โปรแกรมดังกล่าวเริ่มทำงานและประมวลผลโดยใช้ทรัพยากรในระบบของเครื่องเว็บไคลเอนต์เอง เช่น
ฮาร์กดิกส์ หน่วยความจำ และซีพียู ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลจะประกฎบนพื้นที่แสดงผลของเว็บไคลเอนต์เอง
การทำงานรูปแบบนี้เว็บไคลเอนต์จำเป็นต้องมีทรัพยากรที่เพียงพอต่อการประมวลผลของโปรแกรม
ส่วนเว็บเซิร์ฟเวอร์ก็ต้องจัดให้มีพื้นที่ในการจัดเก็บโปรแกรมเพื่อส่งให้กับเว็บไคลเอนต์ที่ร้องขอมาเท่านั้น
รูปการทำงานของการประมวลผลรูปแบบสแตนอะโลน
สำหรับในเทคโนโลยีจาวานั้น การประมวลผลในแบบสแตนอะโลนคือการสร้างโปรแกรมในรูปแบบจาวาแอปเพล็ต
(Java Applet หรือจาวาแอปพลิเคชั่น (Java Application) นั่นเอง ซึ่งถึงแม้นว่าการใช้งานเว็บจากบราวเซอร์
(เว็บไคลเอนต์ในระบบเว็บ) เป็นการเรียกดูหน้าเอกสารที่มีแอปเพล็ตอยู่
แอปเพล็ตที่ปรากฏขึ้นใช้การประมวลผลของเครื่องผู้ใช้ในการทำงาน
8. 4.2 การประมวลผลแบบเอ็นเตอร์ไพร์ (Enterprise Processing)
การประมวลผลรูปแบบนี้เป็นเป้าหมายหลักที่หนังสือเล่มนี้จะใช้อธิบายสำหรับให้ผู้อ่านได้เข้าใจการพัฒนาโปรแกรมที่ประม
วลผลบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์
นั่นคือการทำงานนี้อาศัยการสื่อสารของเว็บไคลเอนต์กับเว็บเซิร์ฟเวอร์เช่นเดียวกันกับการประมวลผลที่เคยกล่าวมาแล้ว
แต่การสื่อสารดังกล่าวหากเว็บไคลเอนต์เรียกดูเอกสารที่ผู้ออกแบบกำหนดให้มีการประมวลผลที่เว็บเซิร์ฟเวอร์แล้ว
ก่อนที่เว็บไคลเอนต์จะได้รับเอกสาร
เว็บเซิร์ฟเวอร์จะทำการนำเอาเอกสารนั้นมาประมวลผลในพื้นที่ทำงานของเว็บเซิร์ฟเวอร์ก่อนที่จะลำเลียงส่งให้กับเว็บไคลเอ
นต์ ดังนั้นการทำงานในลักษณะเช่นนี้จำเป็นต้องอาศัยทรัพยากรภายในเครื่องของเว็บเซิร์ฟเวอร์ทำงาน เช่น พื้นที่ฮาร์กดิสก์
หน่วยความจำ และซีพียู ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการให้ทำงานรูปแบบนี้จึงจำเป็นต้องมีทรัพยากรในการทำงานสูงด้วย
รูปแสดงการทำงานของการประมวลผลรูปแบบเอ็นเตอร์ไพร์
รูปแบบการประมวลผลแบบนี้เกิดขึ้นจากเอกสารที่เว็บไคลเอนต์เรียกดูได้บรรจุเอาคำสั่งที่สามารถทำงานได้ลงไปด้
วย ซึ่งคำสั่งที่สามารถประมวลผลได้นี้สำหรับเทคโนโลยีจาวาได้ออกแบบการทำงานที่เรียกว่า จาวาเซิร์ฟเล็ต (Java Servlet)
และ Java Server Page (JSP) มาใช้งานกับเว็บเซิร์ฟเวอร์
จากบทนี้ทางผู้อ่านจะได้
รับความรู้เบื้องต้นของระบบเครือข่
าย
และสิ่งที่จำเป็นในการทำงานของร
ะบบเอ็นเตอร์ไพร์ว่าควรจะประกอ
บด้วยเทคโนโลยีใดบ้าง
กล่าวโดยสรุปคือ
จะต้องมีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่อ
าศัยโพรโตคอล TCP/IP
เป็นการทำงานในการสื่อสารระดับ
ล่าง มีโพรโตคอล HTTP
เป็นการสื่อสารที่ทำให้เกิดระบบงา
นเวิร์ดไวเว็บ
และจำเป็นต้องสร้างเอกสารที่สาม
ารถประมวลผลได้ติดตั้งลงบนเว็บเ
ซิร์ฟเวอร์เพื่อที่จะทำให้เกิดการปร
ะมวลผลก่อนจะส่งผลลัพธ์กลับไป
ให้บราวเซอร์อีกทีหนึ่ง ต่อจากนี้
ในเนื้อหาของบทต่อไปจะทำให้ผู้อ่
านได้เห็นภาพของการทำงานที่เจอ
ะจงลงไปที่ระบบเว็บว่ามีการทำงา
นอยู่ไร