แบ่งเป็น 3 ส่วน 1.ถือว่าจำเลยทั้งสองได้ทำการตรวจเลือดและวินิจฉัยเป็นไปตามมาตรฐานตามหลักวิชาชีพที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ประกาศกำหนดแล้วการกระทำของจำเลยที่ ๑ ในส่วนนี้จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ----- 2.แต่เนื่องจากการตรวจและวินิจฉัยโรคของจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้มีวิชาชีพแพทย์ โดยเฉพาะการตรวจร่างกายและเลือดของโจทก์ในฐานะผู้ป่วย ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยโรคว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไร พยาธิสภาพอยู่ที่ไหนและในระยะใด เพื่อนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งจำเลยที่ ๒ จักต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์มิให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ มิฉะนั้นอาจนำมาซึ่งอันตรายที่จะเกิดแก่ร่างกายและชีวิตของผู้ป่วยในขั้นตอนการรักษาที่ต่อเนื่องกันไป........แต่การที่จำเลยที่ ๒ ปล่อยปละละเลยระยะเวลาให้เนิ่นนานและมีการตรวจซ้ำในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ซึ่งห่างจากการตรวจครั้งแรกเป็นเวลาถึง ๔ ปีเศษ การกระทำของจำเลยที่ ๒ จึงถือว่าประมาทเลินเล่อ ไม่ใช้ความระมัดระวังเยี่ยงบุคคลผู้มีวิชาชีพแพทย์ทั่วไปพึงกระทำ........การกระทำของจำเลยที่ ๒ จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ----- 3.คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ ๑ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๒ หรือไม่เพียงใด.......เมื่อจำเลยที่ ๑ เก็บค่ารักษาพยาบาลจากคนไข้แล้วก็จะแบ่งรายได้มาให้จำเลยที่ ๒ อันแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยทั้งสองได้ว่า จำเลยที่ ๑ มีอำนาจบังคับบัญชาและจ่ายค่าตอบแทนในการทำงานให้แก่จำเลยที่ ๒ ตามวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๑ ดังนี้ถือได้ว่า จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ มิใช่เพียงผู้มาใช้สถานที่ประกอบโรคศิลปะ...ตามที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้าง....จำเลยที่