การอำลาบิดามารดาในพิธีบวชพระสงฆ์

1. ในพิธีบวช...
ต้องไปลาพ่อแม่ด้วยหรือ?
ทัศไนย์คมกฤส - บ้านอับราฮัม สามพราน 13 มิถุนายน 2011

2. “มิใช่ท่านทัง้หลายได้เลือกเรา
แต่เราได้เลือกท่าน
มอบภารกิจให้ท่านไปทา
จนเกิดผล...” (ยน 15:16)

3. พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นซีโมนกับอันดรูว์..ตรัสสัง่ว่า “จงตาม
เรามาเถิด เราจะทาให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์” ซีโมนกับ
อันดรูว์ก็ทิ้งแหไว้ แล้วตามพระองค์ไปทันที.....พระองค์
ทอดพระเนตรเห็นยากอบบุตรของเศเบดีและยอห์นน้องชาย....ทรง
เรียกเขา ทั้งสองคนก็ละทิ้งเศเบดีบิดาของตนไว้ในเรือกับลูกจ้าง
แล้วตามพระองค์ไปทันที (มก 1:16 ฯลฯ)

4. พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่เขาทูลว่า “ขออนุญาต
ให้ข้าพเจ้าไปฝังศพบิดาของข้าพเจ้าเสียก่อน” พระองค์ตรัสกับเขา
ว่า “จงปล่อยให้คนตายฝังคนตายของตนเถิด ส่วนท่านจงไป
ประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า” อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระเจ้าข้า
ข้าพเจ้าจะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตกลับไปลา่ลาคนที่บ้าน
ก่อน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดที่จับคันไถแล้วเหลียวดูข้างหลัง
ผู้นั้นก็ไม่เหมาะสมกับพระอาณาจักรของพระเจ้า” (ลก 9:59-62)

5. ข้อความเหล่านี้จากพระวรสารแสดงให้เห็นเงื่อนไขของการเป็นศิษย์
ติดตามพระเยซูเจ้า เพื่อสืบต่อพันธกิจของพระองค์ ซึ่งก็คือความหมาย
ของศีลบวช ที่ผู้บวชตอบสนองการเรียกจากพระเจ้าเพื่อสืบต่อพันธกิจ
ของพระคริสตเจ้าและพระศาสนจักรด้วยความสมัครใจ

6. ในพิธีบวชจึงมีการเรียกชื่อ ผู้
จะรับศีลบวช ซึ่งตอบรับด้วยความ
มัน่ใจว่า “อย่คูรับ” แล้ว พระศาสน
จักรมารดาจึงขอให้พระสังฆราช
บวชเขาเป็น ศาสนบริกร
(สังฆานุกร พระสงฆ์ หรือ
พระสังฆราช) ต่อจากนนั้
พระสังฆราชประธานจะสอบถาม
ความสมัครใจของผู้สมัครบวช

7. จารีตพิธีและบทภาวนาในพิธีบวช
จึงทาให้ผู้ร่วมพิธีเข้าใจความหมาย
ของศีลบวชได้ชัดเจนว่าเป็นการ
ตอบสนองการเรียกของพระเจ้ามา
รับใช้ประชากรของพระเจ้าและสืบ
ต่อพันธกิจของพระคริสตเจ้า เป็น
การเสียสละเพื่อพระอาณาจักรของ
พระเจ้าด้วยการเป็นศิษย์ติดตาม
พระองค์ (เทียบ มธ 19:29; มก
10:29-30; ลก 18:29-30)

8. หลังสภาสังคายนาวาติกันที่สอง มีการ
ปรับปรุงพิธีกรรมให้เข้าถึงวัฒนธรรม
ท้องถิ่นเพื่อช่วยให้เข้าใจความหมายของ
พิธีกรรมได้ดีขึ้น ในประเทศไทยจึงมีการนา
พิธีบางประการจากพิธีกรรมทางพุทธ
ศาสนาเข้ามาใช้ในพิธีบวชของเราด้วย ใน
บางแห่งจึงเห็นมีการที่ผู้จะรับศีลบวชเข้าไป
ร่าลาบิดามารดา และมีบทเพลงพรรณนาถึง
พระคุณของแม่ คล้ายกับ “การทาขวัญ
นาค” ในพิธีบวชด้วย

9. แม้พิธีร่าลาดังกล่าวอาจทาให้หลายคนรู้สึกประทับใจ โดยเฉพาะพ่อแม่
แต่ดูเหมือนว่าพิธีดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้เข้าใจความหมายของพิธีบวชได้
ดีขึ้น ตรงข้ามยังอาจทาให้เข้าใจความหมายของศีลบวชผิดไปด้วย
เพราะการบวชของชาวพุทธเป็นการออกไปแสวงหาธรรมะและตอบแทน
บุญคุณบิดามารดา ให้มารดาได้ “เกาะชายผ้าเหลือง” ไปสวรรค์

10. ความคิดเช่นนี้อาจมีผลทาให้ผู้เตรียมตัวบวชเป็นพระสงฆ์บางคนคิดผิด
ไปด้วย พระสงฆ์บางคนที่มีปัญหาในชีวิตสงฆ์อาจคิดว่า “ฉันได้ตอบ
แทนบุญคุณบิดามารดาแล้ว บัดนี้ฉันจึงขอลาจากการเป็นพระสงฆ์ได้”
ผู้เตรียมตัวบวชเป็นพระสงฆ์บางคนจึงไม่ได้เตรียมตัวเพื่อจะรับใช้
ประชากรของพระเจ้าตลอดชีวิตดังที่ปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน

11. บางครั้งยังมีการให้บิดามารดาเป็นผู้นาผู้จะบวชขึ้นไปมอบให้
พระสังฆราชด้วย นัยว่าเป็นเหมือนการถวายบุตรของตนแด่ พระเจ้า
คล้ายกับที่นางฮันนาห์นาซามูเอลบุตรชายไปถวาย พระเจ้าตามที่ได้
บนบานไว้ (เทียบ 1 ซมอ 1:19-28)

12. แต่ถ้าจะว่าไปแล้วการทาเช่นนี้เป็นเหมือนบิดามารดานาบุตรไปเข้า
โรงเรียนอนุบาลมากกว่า ไม่ใช่เป็นการที่ผู้สมัครบวชยินดีตอบรับการ
เรียกจากพระเจ้าและพระศาสนจักรเพื่อถวายชีวิตเพื่อรับใช้ประชากร
ของพระเจ้าด้วยความสมัครใจอย่างผู้ที่มีวุฒิภาวะแล้ว

13. สรุปแล้วก็คือการไปร่าลาบิดามารดาก่อนพิธีบวช และการพรรณนาถึง
พระคุณของมารดา หรือนาผู้บวชขึ้นไปที่พระแท่น ในพิธีบวชเป็นสังฆานุ
กรหรือพระสงฆ์ ทาให้เข้าใจความหมายของศีลบวชเพี้ยนไป จึงไม่ควร
คิดว่าเป็นการนาเข้าถึงวัฒนธรรมในการปรับปรุงพิธีกรรมของพระศาสน
จักร และนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพิธี