SlideShare a Scribd company logo
1 of 217
Download to read offline
ระเบียบวิธีไฟไนตเอลิเมนต
( Finite Element Method, FEM ]
โดย
ผศ.ดร. มนตศักดิ์ พิมสาร
Engineering Analysis
Classical Methods Numerical Methods
Closed-form
Approximate
Finite Element
Finite Difference
Boundary Element
วิธีการแกปญหาทางวิศวกรรม
‰ ระเบียบวิธีไฟไนตเอลิเมนตเปนวิธีการหนึ่งในการนํามาวิเคราะห
ปญหาทางวิศวกรรม
บทนําเกี่ยวกับระเบียบวิธีไฟไนตเอลิเมนต
¾ ระเบียบวิธีไฟไนตเอลิเมนตเปนวิธีเชิงตัวเลขที่ใชแกปญหา ทางฟสิกส หรือทาง
วิศวกรรม และอื่นๆ
¾ รูปแบบปญหาคือ การหาฟงกชันการกระจายตัวของตัวแปรในระบบสามมิติ ซึ่ง
ปญหาแตละอันจะสามารถอธิบายดวย
¾ Differential equation/Integral equation
¾ Finite element คือ องคประกอบยอยๆของโดเมนโครงสราง
สําหรับวิธีการของ FEM โดเมนของโครงสรางถูกแบงยอยเปนองคประกอบ
ยอยที่มีรูปรางอยางงายขนาดเล็ก องคประกอบยอยนี้จะถูกเรียกเปน “element”
โดเมนของโครงสราง: มีระดับความเสรีแบบอนันต ( infinite number of DOF)
โดเมนของแบบจําลอง : มีระดับความเสรีจํากัด (finite number of DOF)
โดเมนของโครงสราง: มีระดับความเสรีแบบอนันต ( infinite number of DOF)
โดเมนของแบบจําลอง : มีระดับความเสรีจํากัด (finite number of DOF)
ดังนั้นเองนี้จึงเปนที่มาของ “Finite element method”
¾ ในแตละ element การกระจายตัวของตัวแปรที่เราสนใจนั้น จะมีคาตางกันตาม
ตําแหนงใดๆ
¾ รูปดานซายแสดงตัวอยางของรูปราง
Mesh, Element และ Node
¾ ตัวแปรที่เราสนใจคือ u(x,y)(การขจัด
ตามแนวแกน x) และ v(x,y) (การขจัดตาม
แนวแกน y)
ขั้นตอนในการทําแบบจําลอง FEM
‰ FEM คือ การสรางสถานการณจําลองขึ้นมา (Simulation)
‰ คาความผิดพลาดมาจาก Modeling error, Discretization error, Numerical error
ประวัติของ FEM
ประวัติของ FEM
‰ มันเปนการยากที่จะบอกไดวา FEM ไดเริ่มเกิดขึ้นมาเมื่อไหร เพราะวาแนวคิด
พื้นฐานของมันไดถูกพัฒนามากอนหนานี้เมื่อ 150 ป หรือมากกวานี้
‰ Clough คือ บุคคลแรกที่ไดบัญญัติเทอม Finite element ในชวงตอนตนทศวรรษที่
1960 จากนั้นวิศวกรไดใช FEM แกปญหาทางดานการวิเคราะหความเคน การวิเคราะห
การไหล การถายเทความรอนและอื่นๆ
‰ หนังสือเลมแรกที่เกี่ยวกับ FEM แตงโดย Zienkiewicz และ Cheung ซึ่งตีพิมพในป
1967
‰ ในปลายทศวรรษ 1960 และตนทศวรรษ 1970 ไดมีการนําเอา FEM มาใชแกปญหา
ในทางวิศวกรรมกันอยางแพรหลาย
ประวัติของ FEM
‰ ในทศวรรษที่ 1970 การพัฒนา FEM ไดมีความกาวหนาอยางมาก โดยไดมีการ
พัฒนา เอลิเมนตใหมๆขึ้นมา และไดมีการศึกษา Convergent ของวิธี FEM
‰ ซอฟแวรสวนใหญ ไดออกวางขายใน ชวงทศวรรษที่ 1970 เชน ABAQUS,
ADINA, ANSYS, MARC, PAFEC
‰ ซอฟแวรสวนใหญ ไดออกวางขายใน ชวงทศวรรษที่ 1980 เชน FENRIS,
LARSTRAN’80, SESAM’80
ขอดีของ FEM
‰ สามารถนํามาใชวิเคราะหปญหาที่มีรูปรางซับซอนได (จุดเดนที่สุด)
‰ สามารถนํามาใชวิเคราะหปญหาที่ซับซอนเชน
‰ Vibration
‰ Transients
‰ Nonlinear
‰ Heat Transfer
‰ Fluids
‰ Buckling
‰ Electromagnetic
‰ Multi-Physics
ขอดีของ FEM
‰ สามารถนํามาใชวิเคราะหปญหาที่รับภาระตางๆเชน
‰ ภาระที่กระทํากับ node เชน point loads
‰ ภาระที่กระทํากับ element เชน pressure, thermal, inertia forces, gravity
forces
‰ ภาระที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา หรือภาระที่ขึ้นอยูกับความถี่
‰ สามารถนํามาใชวิเคราะหปญหาที่วัตถุมีคุณสมบัติแบบ non-isotropic
‰ Orthotropic
‰ Anisotropic
ขอดีของ FEM
‰ สามารถนํามาใชวิเคราะหปญหาที่วัตถุมีคุณสมบัติพิเศษเชน
‰ คุณสมบัติของวัตถุเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ
‰ Plasticity
‰ Creep
‰ Swelling
‰ สามารถนํามาใชวิเคราะหปญหาที่มีเปนแบบ
‰ Large displacements
‰ Large rotations
‰ Contact (gap) conditions
ขอเสียของ FEM
‰ เปนวิธีการประเมินเชิงตัวเลขดังนั้นจะมี error เกิดขึ้นเสมอ
‰ ผูใชตองมีประสบการณและความชํานาญในการทําแบบจําลอง FEM ถึง
จะทําใหไดคําตอบที่สอดคลองกับความเปนจริง
‰ ตองใชคอมพิวเตอรที่มีสมรรถนะสูงและซอฟแวรที่นาเชื่อถือได(ราคา
แพง)
‰ มีปญหาเชิงตัวเลขเกิดขึ้นจาก
‰ เนื่องจากคอมพิวเตอรสามารถเก็บคาเลขนัยสําคัญไดจํากัด
‰ Round-off error สะสม
ขอเสียของ FEM
‰ เปนวิธีการประเมินเชิงตัวเลขดังนั้นจะมี error เกิดขึ้นเสมอ
‰ ผูใชตองมีประสบการณและความชํานาญในการทําแบบจําลอง FEM ถึง
จะทําใหไดคําตอบที่สอดคลองกับความเปนจริง
‰ ตองใชคอมพิวเตอรที่มีสมรรถนะสูงและซอฟแวรที่นาเชื่อถือได(ราคา
แพง)
‰ มีขอผิดพาดเกิดขึ้นจากการทํา Modeling เนื่องจาก
‰ การเลือกใชชนิดอิลิเมนตที่ไมเหมาะสม
‰ การใช Distorted element ในโมเดล
‰ การทําเม็ชที่ไมเหมาะสม
ขอเสียของ FEM
‰ พฤติกรรมบางอยางไมไดรวมใหโดยอัตโนมัติเชน
‰ Buckling
‰ Large displacements และ Large rotations
‰ Materials nonlinearities
‰ Nonlinearities อื่นๆเชน Contact condition
ขั้นตอนพื้นฐานของระเบียบวิธีไฟไนตเอลิเมนต
1. ขั้นตอนของการเตรียมแบบจําลอง (Preprocessing phase)
‰ การสรางรูปรางของแบบจําลอง (Geometric construction)
‰ การแบงโดเมนของแบบจําลองออกเปนเอลิเมนตยอยๆตอกัน โดยแตเอลิ
เมนตจะประกอบไปดวยโนด (Discretization)
‰ การกําหนด shape function ซึ่งแสดงถึงพฤติกรรมทางกายภาพของเอลิเมนต
หรือผลเฉลยของเอลิเมนต(คาประมาณ)
‰ สรางสมการสําหรับเอลิเมนต
‰ กําหนดคาเงื่อนไขเริ่มตน สภาวะโหลดและสภาวะขอบใหกับปญหา
‰ กําหนดคุณสมบัติของวัสดุ (Material properties)
2. ขั้นตอนการหาคําตอบ (Solution phase)
การแกหาคําตอบของสมการซึ่งอยูในรูปสมการเชิงเสนหรือสมการไม
เชิงเสน ซึ่งคําตอบคือคาการกระจัดที่โนดตางๆ หรือคาอุณหภูมิที่โนด
ตางๆ(ในกรณีเปนปญหาการถายเทความรอน)
3. การวิเคราะหผลลัพธ (Postprocessing phase)
การวิเคราะหหาผลลัพธที่เราสนใจเพิ่มเติมเชนเราอาจอยากจะทราบคา
ความเคนหลัก ฟลักซความรอน เปนตน
ปญหาทางกลศาสตรของแข็ง(Solid-Mechanics)
Analysis of solids
Static Dynamics
Behavior of Solids
Linear Nonlinear
Material
Fracture
Geometric
Large Displacement
Instability
Plasticity
Viscoplasticity
Geometric
Classification of solids
Skeletal Systems
1D Elements
Plates and Shells
2D Elements
Solid Blocks
3D Elements
Trusses
Cables
Pipes
Plane Stress
Plane Strain
Axisymmetric
Plate Bending
Shells with flat elements
Shells with curved elements
Brick Elements
Tetrahedral Elements
General Elements
Elementary Advanced
Stress Stiffening
ชนิดของเอลิเมนตพื้นฐาน
Primitive structure elements
Continuum elements
Special elements
การสรางเอลิเมนต 1 มิติ (1D element or Line element)
วิธีการสรางเอลิเมนต 1 มิติโดย
1. Direct stiffness method (เราจะใชอันนี้)
2. Weighted residual method
3. Minimum potential energy method (เราจะใชอันนี้)
4. Variational method
การสรางเอลิเมนต 1 มิติโดยวิธี Direct stiffness
‰ วิธีการสรางเอลิเมนต 1 มิติ (Spring element or bar element)
รูปขางลางแสดงสปริงในพิกัดสามมิติ
ˆˆˆ
xyz Global coordinate system
xyz Local coordinate system
−
−
ในการพิจารณาที่สปริงเอลิเมนตใดๆนั้นเราจะกําหนดให ทิศทางของแรงที่
กระทําที่โนด(Nodal force) และการกระจัดที่โนด(Nodal displacement) มีทิศทาง
และสัญลักษณแสดงดังรูป
1 2
1 2
ˆ ˆ
, 1 2
ˆ ˆ
, 1 2
x x
x x
f f Local nodal forces at node and
d d Local nodal displacements at node and
−
−
L คือความยาวของสปริงกอนยืดหรือหด
k คือคาคงที่ของสปริง
สิ่งที่เราตองการในตอนนี้คือตองการแสดงความสัมพันธของแรงกระทําที่โนด
และการกระจัดที่โนดของสปริงเอลิเมนต ซึ่งจะเขียนเปนสมการไดดังนี้
1 1
11 12
21 22
2 2
ˆ ˆ
(1)
ˆ ˆ
x x
x x
f d
k k
k k
f d
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎣ ⎦
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
หรือ
ˆ ˆ ˆ
f k d
=
ˆ 2 1
ˆ 2 2
ˆ 2 1
f Local nodal forces matrix
k Element stiffness matrix
d Local nodal displacements matrix
− − ×
− − ×
− − ×
เมื่อ
ขั้นตอนที่ 1 กําหนดชนิดเอลิเมนต
กําหนดเอลิเมนตที่จะพัฒนาเปนสปริงเอลิเมนต สมมุติสปริงถูกกระทําดวย
แรงดึง T ทั้งสองขางและแกน x ของ Local coordinate ชี้จากโนด 1 ไปยัง
โนด 2 ดังรูป
ˆ 0
x = x̂ L
=
โนด 1 โนด 2
แตละโนดมีความอิสระในการเคลื่อนที่ได 1 แบบ(ตามแนวแกนสปริง) – DOF = 1
ขั้นตอนที่ 2 การกําหนดฟงกชันของการกระจัด
เปนขั้นตอนการกําหนดเลือกฟงกชันทางคณิตศาสตรเพื่อจะนํามาอธิบายการ
เสียรูปของสปริง ซึ่งฟงกชันนี้จะถือวาเปนคาประมาณ(Approximate solution)
ฟงกชันที่เลือกใชสวนใหญเปนฟงกชันโพลีโนเมียล ณ.ที่นี้เราใชฟงกชันเชิง
เสน (Linear function)
[ ] 1
1 2
2
ˆ ˆ ˆ ˆ
( ) 1 (2)
a
u x a a x x
a
⎧ ⎫
= + = ⎨ ⎬
⎩ ⎭
โดย a1 และ a2 คือคาคงที่และจะหาไดจากเงื่อนไขดังนี้
1
2
ˆ
ˆ ˆ
( 0)
ˆ
ˆ ˆ
( )
x
x
u x d
u x L d
= =
= =
ขั้นตอนที่ 2 การกําหนดฟงกชันของการกระจัด(ตอ)
จากนั้นทําการแทนคาเงื่อนไขดังกลาวลงในสมการที่ (2) จะได
1 1
2 2 1
ˆ
ˆ ˆ
( 0) (3)
ˆ ˆ
ˆ ˆ
( ) (4)
x
x x
u x d a
u x L d a L d
= = =
= = = +
หรือได a2 ดังนี้
2 1
2
ˆ ˆ
(5)
x x
d d
a
L
−
=
นํากลับไปแทนในสมการที่ (2) ได
[ ]
2 1
1
1 1
1 2
2 2
ˆ ˆ
ˆ
ˆ ˆ ˆ
( )
ˆ ˆ
ˆ
ˆ
1 (6)
ˆ ˆ
x x
x
x x
x x
d d
u x x d
L
d d
x
x N N
L d d
⎛ ⎞
−
= +
⎜ ⎟
⎜ ⎟
⎝ ⎠
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎡ ⎤
= − =
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎣ ⎦⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
ขั้นตอนที่ 2 การกําหนดฟงกชันของการกระจัด(ตอ)
โดย N1 และ N2 คือ shape function
และมีคุณสมบัติดังรูปดานขวามือ
ขั้นตอนที่ 3 การกําหนดความสัมพันธของระยะยืดของ
สปริงกับแรง
รูปขางลางแสดงสปริงที่มีการยืดตัวและระยะยืดของสปริงคือ
2 1
ˆ ˆ (7)
x x
d d
δ = −
จากความสัมพันธของแรงในสปริงกับระยะยืดตัว
2 1
ˆ ˆ
( ) (8)
x x
T k k d d
= δ = −
ขั้นตอนที่ 4 การพิสูจนหา Element stiffness matrix
จากรูปแรงที่โนด 1 และ 2
1 2
ˆ ˆ (9)
x x
f T f T
= − =
จากสมการที่ (8) และ (9) เราสรุปได
1 2 1
2 2 1
ˆ ˆ ˆ
( ) (10)
ˆ ˆ ˆ
( ) (11)
x x x
x x x
T f k d d
T f k d d
= − = −
= = −
เราสามารถเขียนสมการ (10) และ (11) ในรูปเมตริกดังนี้
1 1
2 2
ˆ ˆ
(12)
ˆ ˆ
x x
x x
f d
k k
k k
f d
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
−
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
Local stiffness matrix หรือ Element stiffness matrix
ขั้นตอนที่ 5 การประกอบเอลิเมนตเขาดวยกัน
ขั้นตอนนี้จะทําการประกอบเอลิเมนตทุกอันเขาดวยกันจะทําใหเราได Global equation
ซึ่ง สมการนี้จะแสดงถึงความสัมพันธของ Nodal forces และ Nodal displacements ซึ่ง
มี Global matrix เปนตัวแสดงความสัมพันธหรือเขียนสมการไดดังนี้
{ } [ ]{ } (13)
F K d or F K d
= =
โดย
[ ] { }
( ) ( )
1 1
N N
e e
e e
K K k F F f
= =
= = = =
∑ ∑
ขั้นตอนที่ 6 ทําการแกสมการหาคา Nodal displacements
จากนั้นทําการกําหนดคาสภาวะขอบลงไปในสมการที่ (13) จากนั้นทําการแกสมการหา
คา การกระจัดที่โนด (Nodal displacements)
ขั้นตอนที่ 7 ทําการแกหาคาแรงที่กระทําที่โนดตางๆ ภายใน
เอลิเมนต
นําเอาคาการกระจัดที่คํานวณไดแทนลงในสมการที่ (12) เพื่อหาคาแรงที่กระทํา
ที่โนดภายในเอลิเมนต
ตัวอยาง
(1)
1 1 1 1
(1)
1 1 3
3
ˆ
( )
ˆ
x x
x
x
f k k d
a
k k d
f
⎧ ⎫ − ⎧ ⎫
⎡ ⎤
⎪ ⎪
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦ ⎩ ⎭
⎪ ⎪
⎩ ⎭
(2)
3 2 2 3
(2)
2 2 2
2
ˆ
( )
ˆ
x x
x
x
f k k d
b
k k d
f
⎧ ⎫ − ⎧ ⎫
⎡ ⎤
⎪ ⎪
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦⎩ ⎭
⎪ ⎪
⎩ ⎭
เอลิเมนต 1
เอลิเมนต 2
Compatibility conditions
(1) (2)
3 3 3 ( )
x x x
d d d c
= =
(1) (2)
3 3 3
(2)
2 2
(1)
1 1
( )
( )
( )
x x x
x x
x x
F f f d
F f e
F f f
= +
=
=
Free body diagram แสดง Nodal forces
นําคาสมการ (a) และ (b) ลงในสมการ (d), (e) และ (f) จะได
3 1 1 1 3 2 3 2 2
2 2 3 2 2
1 1 1 1 3
( ) ( )
( )
x x x x x
x x x
x x x
F k d k d k d k d
F k d k d g
F k d k d
= − + + −
= − +
= −
นําสมการ (g) มาเขียนเปนเมตริก
3 1 2 2 1 3
2 2 2 2
1 1 1 1
0 ( )
0
x x
x x
x x
F k k k k d
F k k d h
F k k d
+ − −
⎧ ⎫ ⎡ ⎤⎧ ⎫
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
= −
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
−
⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭
1 1 1 1
2 2 2 2
3 1 2 1 2 3
0
0 ( )
x x
x x
x x
F k k d
F k k d i
F k k k k d
−
⎧ ⎫ ⎡ ⎤⎧ ⎫
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
= −
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
− − +
⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭
(13)
F K d
=
นําสมการ (h) มาเขียนใหมเปน
หรือ
F Global nodal force matrix
d Global nodal displacement matrix
K Total or global system stiffness matrix
=
=
=
การหา Global equations โดย Superposition
เราสามารถหาไดโดยใชหลักการของ Superposition ดังนี้
(1) (1)
1 1 1
(1) (1)
1 2 2 2
(1) (1)
3 3 3
1 0 1
0 0 0 ( )
1 0 1
x x x
x x x
x x x
d d f
k d d f j
d d f
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
− =
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥ = =
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
− =
⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎩ ⎭
เอลิเมนต 1 จากสมการ (a) ในตัวอยางที่แลวสามารถเขียนใหมได
เอลิเมนต 2 จากสมการ (b) ในตัวอยางที่แลวสามารถเขียนใหมได
(2) (2)
1 1 1
(2) (2)
2 2 2 2
(2) (2)
3 3 3
0 0 0
0 1 1 ( )
0 1 1
x x x
x x x
x x x
d d f
k d d f k
d d f
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
=
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
− = =
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
− =
⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎩ ⎭
0
0
จับสมการ (j) และ (k) บวกกัน และจากสมดุลแรงที่แตละโนด จากสมการ (d), (e)
และ (f) ในตัวอยางที่แลว เราจะได
(1)
1 1 1 1
(2)
1 2 2 2 2 2
(1) (2)
3 3 3 3 3
1 0 1 0 0 0 0
0 0 0 0 1 1 0 ( )
1 0 1 0 1 1
x x x x
x x x x
x x x x x
d d f F
k d k d f F l
d d f f F
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
−
⎡ ⎤⎧ ⎫ ⎡ ⎤⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
+ − = + =
⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
− −
⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎩ ⎭
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
หรือเขียนไดเหมือนสมการ (i)
1 1 1 1
2 2 2 2
3 1 2 1 2 3
0
0 ( )
x x
x x
x x
F k k d
F k k d i
F k k k k d
−
⎧ ⎫ ⎡ ⎤⎧ ⎫
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
= −
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
− − +
⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭
(13)
F K d
=
หรือ
ตัวอยางเชิงตัวเลข
กําหนดระบบสปริงดังรูป,มีแรงภายนอกกระทําที่โนด 4 เทากับ 5000 lb และหมายเลข
โนดกําหนดใหดังรูป
จงหา (1) Global stiffness matrix
(2) การกระจัดที่โนด 3 และ 4
(3) แรงปฎิกิริยาที่โนด 1 และ 2
เอลิเมนต 1 ประกอบดวยโนด 1 และ 3 Element stiffness matrix คือ
(1)
1 3
1000 1000 1
1000 1000 3
k
−
⎡ ⎤
= ⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
เอลิเมนต 2 ประกอบดวยโนด 3 และ 4 Element stiffness matrix คือ
(3)
4 2
3000 3000 4
3000 3000 2
k
−
⎡ ⎤
= ⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
เอลิเมนต 3 ประกอบดวยโนด 4 และ 2 Element stiffness matrix คือ
(2)
3 4
2000 2000 3
2000 2000 4
k
−
⎡ ⎤
= ⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
Element stiffness matrix ทั้งหมดเขียนใหมไดดังนี้
(1)
1 2 3 4
1000 0 1000 0 1
0 0 0 0 2
1000 0 1000 0 3
0 0 0 0 4
k
−
⎡ ⎤
⎢ ⎥
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
⎣ ⎦
(2)
1 2 3 4
0 0 0 0 1
0 0 0 0 2
0 0 2000 2000 3
0 0 2000 2000 4
k
⎡ ⎤
⎢ ⎥
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
(3)
1 2 3 4
0 0 0 0 1
0 3000 0 3000 2
0 0 0 0 3
0 3000 0 3000 4
k
⎡ ⎤
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
จากนั้นจับ Element stiffness matrix บวกกัน
(1) (2) (3)
1000 0 1000 0
0 3000 0 3000
1000 0 1000 2000 2000
0 3000 2000 2000 3000
1000 0 1000 0
0 3000 0 3000
1000 0 3000 2000
0 3000 2000 5000
K k k k
= + +
−
⎡ ⎤
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
− + −
⎢ ⎥
− − +
⎣ ⎦
−
⎡ ⎤
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
− −
⎣ ⎦
Global stiffness matrix
1 1
2 2
3 3
4 4
1000 0 1000 0
0 3000 0 3000
1000 0 3000 2000
0 3000 2000 5000
x x
x x
x x
x x
F d
F d
F d
F d
−
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
−
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
− −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
− −
⎣ ⎦
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
กําหนดสภาวะขอบและภาระที่กระทําที่โนด 3 และ 4 จะไดสมการ
1 1
2 2
3 3
4 4
0
1000 0 1000 0
0
0 3000 0 3000
0 1000 0 3000 2000
5000 0 3000 2000 5000
x x
x x
x x
x x
F d
F d
F d
F d
=
−
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥ =
−
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
= − −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
= − −
⎣ ⎦
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
หรือ
3
4
0 3000 2000
5000 2000 5000
x
x
d
d
− ⎧ ⎫
⎧ ⎫ ⎡ ⎤
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
−
⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭
แกสมการได
3 4
10 15
11 11
x x
d in d in
= =
นําคาที่ไดไปแทนในสมการเมตริกขางบนได
1 2
10,000 45,000
11 11
x x
F lb F lb
= − = −
การสรางเอลิเมนตเมตริกสําหรับบาร(Bar or rod)
‰ เราสามารถลอกเลียนแบบการสรางเอลิเมนตเมตริกสําหรับบารที่อยูภายใตแรง
ตามแนวแกนไดเชนเดียวกับกรณีสปริง โดยคาคงที่สปริงของบารคือ
(14)
AE
k
L
=
โดย A = พื้นที่หนาตัดของบาร L = ความยาวเดิมของบาร
E = Young’s modulus ของบาร
ดังนั้นเราจะสามารถสรุปไดวาสําหรับบารเอลิเมนต เอลิเมนตเมตริกของบารคือ
1 1
ˆ (15)
1 1
AE
k
L
−
⎡ ⎤
= ⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
ความเคนภายในเอลิเมนตหาไดจากสมการความสัมพันธ
[ ]
2 1
1
2
ˆ ˆ
( )
ˆ
1 1 (16)
ˆ
x x
x
x
E
E E d d
L L
d
E
L d
δ
σ = ε = = −
⎧ ⎫
⎪ ⎪
= − ⎨ ⎬
⎪ ⎪
⎩ ⎭
Note: ดังนั้นจะเห็นวาความเคนตามแนวแกนภายในเอลิเมนตนั้นๆหรือ
ภายในแทงบารจะมีคาคงที่ตลอดทั่วทั้งเอลิเมนต
ตัวอยางปญหาของบารเอลิเมนต
ระบบโครงสรางบารดังรูป
จงหา (1) Global stiffness matrix
(2) การกระจัดที่โนด 2 และ 3
(3) แรงปฎิกิริยาที่โนด 1 และ 4
(4) ความเคนภายในแตละเอลิเมนต
ถากําหนดใหแรงกระทําที่โนด 2 ในทิศทางแกน x เทากับ 3000 lb
ความยาวของแตละเอลิเมนตเทากับ 30 in
E = 30 x 106 psi และ A = 1 in2 สําหรับเอลิเมนต 1 และ 2
E = 15 x 106 psi และ A = 2 in2 สําหรับเอลิเมนต 3
เอลิเมนต 1 ประกอบดวยโนด 1 และ 2 Element stiffness matrix คือ
6
(1) 6
1 2
1 1 1 1
(1)(30 10 )
10
1 1 1 1
30
lb
k
in
− −
⎡ ⎤ ⎡ ⎤
×
= =
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
− −
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
เอลิเมนต 2 ประกอบดวยโนด 2 และ 3 Element stiffness matrix คือ
เอลิเมนต 3 ประกอบดวยโนด 3 และ 4 Element stiffness matrix คือ
6
(2) 6
2 3
1 1 1 1
(1)(30 10 )
10
1 1 1 1
30
lb
k
in
− −
⎡ ⎤ ⎡ ⎤
×
= =
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
− −
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
6
(3) 6
3 4
1 1 1 1
(2)(15 10 )
10
1 1 1 1
30
lb
k
in
− −
⎡ ⎤ ⎡ ⎤
×
= =
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
− −
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
Element stiffness matrix ทั้งหมดเขียนใหมไดดังนี้
(1) 6
1 2 3 4
1 1 0 0 1
1 1 0 0 2
10
0 0 0 0 3
0 0 0 0 4
lb
k
in
−
⎡ ⎤
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎣ ⎦
(2) 6
1 2 3 4
0 0 0 0 1
0 1 1 0 2
10
0 1 1 0 3
0 0 0 0 4
lb
k
in
⎡ ⎤
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
⎣ ⎦
(3) 6
1 2 3 4
0 0 0 0 1
0 0 0 0 2
10
0 0 1 1 3
0 0 1 1 4
lb
k
in
⎡ ⎤
⎢ ⎥
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
จากนั้นจับ Element stiffness matrix บวกกัน
(1) (2) (3)
6
6
1 1 0 0
1 1 1 1 0
10
0 1 1 1 1
0 0 1 1
1 1 0 0
1 2 1 0
10
0 1 2 1
0 0 1 1
K k k k
lb
in
lb
in
= + +
−
⎡ ⎤
⎢ ⎥
− + −
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
− + −
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
−
⎡ ⎤
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
Global stiffness matrix
1 1
2 2
6
3 3
4 4
1 1 0 0
1 2 1 0
10
0 1 2 1
0 0 1 1
x x
x x
x x
x x
F d
F d
F d
F d
−
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
− −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
− −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
−
⎣ ⎦
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
กําหนดสภาวะขอบและภาระที่กระทําที่โนด 2 และ 3 จะไดสมการ
1 1
2 2
6
3 3
4 4
0
1 1 0 0
3000 1 2 1 0
10
0 0 1 2 1
0
0 0 1 1
x x
x x
x x
x x
F d
F d
F d
F d
=
−
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
= − −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
= − −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
=
−
⎣ ⎦
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
หรือ
2
6
3
3000 2 1
10
0 1 2
x
x
d
d
− ⎧ ⎫
⎧ ⎫ ⎡ ⎤
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
−
⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭
แกสมการได
2 3
0.002 0.001
x x
d in d in
= =
นําคาที่ไดไปแทนในสมการเมตริกขางบนได
6 6
1 4
10 (0 0.002) 2000 10 ( 0.001 0) 1000
x x
F lb F lb
= − = − = − + = −
ความเคนภายในเอลิเมนต 1
(1) 6
(1) 3
2 1
(1)
30 10
ˆ ˆ
( ) (0.002 0) 2 10
30
x x
E lb
d d
L in
×
σ = − = − = ×
ความเคนภายในเอลิเมนต 2
(2) 6
(2) 3
3 2
(2)
30 10
ˆ ˆ
( ) (0.001 0.002) 1 10
30
x x
E lb
d d
L in
×
σ = − = − = − ×
(3) 6
(3) 2
4 3
(3)
15 10
ˆ ˆ
( ) (0 0.001) 5 10
30
x x
E lb
d d
L in
×
σ = − = − = − ×
ความเคนภายในเอลิเมนต 3
(ความเคนดึง)
(ความเคนอัด)
(ความเคนอัด)
ขอสังเกต เกิดความไมตอเนื่องของคาความเคนที่บริเวณรอยตอของเอลิเมนต
Practical example 1 (Bar element)
Practical example 2 (Bar element)
Plane truss element (2 มิติ)
‰ เราสามารถพัฒนา Truss element แบบ 2 มิติไดโดยเอาผลจากการพัฒนา Bar
element เพียงแตแรงและการกระจัดของแตละโนดใน Truss element จะมีคาตาม
แนวแกน x และ y ดวยดังนั้น รูปขางลางคือตัวอยางของ Plane truss system
2 Node truss element
เราสามารถแสดงความสัมพันธของ Nodal forces กับ Nodal displacements ที่
อางอิงกับ Global coordinate system ไดดังสมการ
x
y 2 2
,
x x
f d
θ
1 1
,
y y
f d
1 1
,
x x
f d
2 2
,
y y
f d
f k d
=
1
2
In global coordinate system, the vector of nodal displacements
and loads
⎪
⎪
⎭
⎪
⎪
⎬
⎫
⎪
⎪
⎩
⎪
⎪
⎨
⎧
=
⎪
⎪
⎭
⎪
⎪
⎬
⎫
⎪
⎪
⎩
⎪
⎪
⎨
⎧
=
2y
2x
1y
1x
2y
2x
1y
1x
f
f
f
f
f
;
d
d
d
d
d
Our objective is to obtain a relation of the form
1
4
4
4
1
4
d
k
f
×
×
×
=
Where k is the 4x4 element stiffness matrix in global coordinate
system
The key is to look at the local coordinates
⎪
⎭
⎪
⎬
⎫
⎪
⎩
⎪
⎨
⎧
⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
=
⎪
⎭
⎪
⎬
⎫
⎪
⎩
⎪
⎨
⎧
2x
1x
2x
1x
d̂
d̂
k
k
-
k
-
k
f̂
f̂
L
EA
k =
Rewrite as
⎪
⎪
⎭
⎪
⎪
⎬
⎫
⎪
⎪
⎩
⎪
⎪
⎨
⎧
⎥
⎥
⎥
⎥
⎦
⎤
⎢
⎢
⎢
⎢
⎣
⎡
=
⎪
⎪
⎭
⎪
⎪
⎬
⎫
⎪
⎪
⎩
⎪
⎪
⎨
⎧
2y
2x
1y
1x
2y
2x
1y
1x
d̂
d̂
d̂
d̂
0
0
0
0
0
k
0
k
-
0
0
0
0
0
k
-
0
k
f̂
f̂
f̂
f̂
x̂
ŷ
θ
1x
1x f̂
,
d̂
2x
2x f̂
,
d̂
x
y
1y 1y
ˆ ˆ
d ,f 0
=
2y 2y
ˆ ˆ
d ,f 0
=
d̂
k̂
f̂ =
NOTES
1. Assume that there is no stiffness in the local y direction.
2. If you consider the displacement at a point along the local x
direction as a vector, then the components of that vector along the
global x and y directions are the global x and y displacements.
3. The expanded stiffness matrix in the local coordinates is
symmetric and singular.
^
NOTES
5. In local coordinates we have
But or goal is to obtain the following relationship
Hence, need a relationship between and
and between and
1
4
4
4
1
4
d
k
f
×
×
×
=
1
4
4
4
1
4
d̂
k̂
f̂
×
×
×
=
d̂ d
f̂ f
⎪
⎪
⎭
⎪
⎪
⎬
⎫
⎪
⎪
⎩
⎪
⎪
⎨
⎧
=
⎪
⎪
⎭
⎪
⎪
⎬
⎫
⎪
⎪
⎩
⎪
⎪
⎨
⎧
=
2y
2x
1y
1x
2y
2x
1y
1x
d̂
d̂
d̂
d̂
d̂
d
d
d
d
d
Need to understand
how the components
of a vector change
with coordinate
transformation
1x
d
1y
d
1x
d̂
θ
1y
d̂
2x
d
2y
d
2x
d̂
θ
2y
d̂
Transformation of a vector in two dimensions
θ
x̂
ŷ
y
v̂
x
v cos θ
x
y
v
x
v̂
x
v
y
v
y
v sin θ
θ
y
v cos θ
x
v sin θ
x x y
y x y
v̂ v cos θ v sin θ
v̂ v sin θ v cos θ
= +
= − +
The vector v has components (vx, vy) in the global coordinate system
and (vx, vy) in the local coordinate system. From geometry
^ ^
Angle θ is
measured positive
in the counter
clockwise direction
from the +x axis)
x x
y y
v̂ v
cos θ sin θ
v̂ v
sin θ cos θ
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎡ ⎤
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
In matrix form
Or
x x
y y
v̂ v
v̂ v
C S
S C
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎡ ⎤
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
where
cos
sin
C
S
θ
θ
=
=
Transformation matrix for a single vector in 2D
*
T
C S
S C
⎡ ⎤
= ⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
*
v̂ T v
=
x x
y y
v̂ v
v̂ and v
v̂ v
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
= =
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
relates
where are components of the same
vector in local and global
coordinates, respectively.
Direction cosines
Relationship between and for the truss element
d̂ d
⎭
⎬
⎫
⎩
⎨
⎧
=
⎪
⎭
⎪
⎬
⎫
⎪
⎩
⎪
⎨
⎧
1y
1x
*
1y
1x
d
d
T
d̂
d̂
At node 1
At node 2
⎭
⎬
⎫
⎩
⎨
⎧
=
⎪
⎭
⎪
⎬
⎫
⎪
⎩
⎪
⎨
⎧
2y
2x
*
2y
2x
d
d
T
d̂
d̂
Putting these together
{ {
1x 1x
1y 1y
2x
2x
2y
2y
T d
d̂
d̂ d
0 0
d̂ d
0 0
ˆ 0 0 d
d
0 0 d
d̂
C S
S C
C S
S C
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
−
⎣ ⎦⎩ ⎭
⎪ ⎪
⎩ ⎭ 144
4
2444
3
d
T
d̂ =
⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
=
×
*
*
4
4 T
0
0
T
T
1x
d
1y
d
1x
d̂
θ
1y
d̂
2x
d
2y
d
2x
d̂
θ
2y
d̂
Relationship between and for the truss element
f̂ f
⎭
⎬
⎫
⎩
⎨
⎧
=
⎪
⎭
⎪
⎬
⎫
⎪
⎩
⎪
⎨
⎧
1y
1x
*
1y
1x
f
f
T
f̂
f̂
At node 1
At node 2
⎭
⎬
⎫
⎩
⎨
⎧
=
⎪
⎭
⎪
⎬
⎫
⎪
⎩
⎪
⎨
⎧
2y
2x
*
2y
2x
f
f
T
f̂
f̂
Putting these together
{ {
1x 1x
1y 1y
2x
2x
2y
2y
T f
f̂
f̂ f
0 0
f̂ f
0 0
ˆ 0 0 f
f
0 0 f
f̂
C S
S C
C S
S C
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
−
⎣ ⎦⎩ ⎭
⎪ ⎪
⎩ ⎭ 144
4
2444
3
f
T
f̂ =
⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
=
×
*
*
4
4 T
0
0
T
T
1x
f
1y
f
1x
f̂
θ
1y
f̂
2x
f
2y
f
2x
f̂
θ
2y
f̂
Important property of the transformation matrix T
The transformation matrix is orthogonal, i.e. its inverse is its
transpose
T
T
T
1
=
−
Use the property that C2+S2=1
Putting all the pieces together
( )d
T
k̂
T
f
d
T
k̂
f
T
d̂
k̂
f̂
k
1
4
3
4
2
1
−
=
⇒
=
⇒
=
x̂
ŷ
θ
1x
1x f̂
,
d̂
2x
2x f̂
,
d̂
x
y
1y
1y f̂
,
d̂
2y
2y f̂
,
d̂
f
T
f̂ =
d
T
d̂ =
The desired relationship is
1
4
4
4
1
4
d
k
f
×
×
×
=
Where
4
4
4
4
4
4
4
4
T
k̂
T
k
×
×
×
×
=
T is the element stiffness matrix in the
global coordinate system
0 0
0 0
T
0 0
0 0
C S
S C
C S
S C
⎡ ⎤
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
⎥
⎥
⎥
⎥
⎦
⎤
⎢
⎢
⎢
⎢
⎣
⎡
=
0
0
0
0
0
k
0
k
-
0
0
0
0
0
k
-
0
k
k̂
2 2
2 2
2 2
2 2
EA
ˆ
k T kT
L
T
C CS C CS
CS S CS S
C CS C CS
CS S CS S
⎡ ⎤
− −
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
= =
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
⎣ ⎦
Computation of the direction cosines
L
1
2
θ
(x1,y1)
(x2,y2)
2 1
2 1
cos
sin
x x
C
L
y y
S
L
θ
θ
−
= =
−
= =
What happens if I reverse the node numbers?
L
2
1
θ
(x1,y1)
(x2,y2)
1 2
1 2
' cos
' sin
x x
C C
L
y y
S S
L
θ
θ
−
= = = −
−
= = = −
Question: Does the stiffness matrix change?
© 2002 Brooks/Cole Publishing / Thomson Learning™
Example Bar element for stiffness matrix evaluation
o
30
60
2
10
30
2
6
=
=
=
×
=
θ
in
L
in
A
psi
E
3
cos 30
2
1
sin30
2
C
S
= =
= =
( )( )
in
lb
⎥
⎥
⎥
⎥
⎥
⎥
⎥
⎥
⎥
⎦
⎤
⎢
⎢
⎢
⎢
⎢
⎢
⎢
⎢
⎢
⎣
⎡
−
−
−
−
−
−
−
−
×
=
4
1
4
3
4
1
4
3
4
3
4
3
4
3
4
3
4
1
4
3
4
1
4
3
4
3
4
3
4
3
4
3
60
2
10
30
k
6
© 2002 Brooks/Cole Publishing / Thomson Learning™
Computation of element strains
[ ]
[ ]
[ ] d
T
0
1
0
1
L
1
d̂
0
1
0
1
L
1
d̂
d̂
d̂
d̂
0
1
0
1
L
1
L
d̂
d̂
ε
2y
2x
1y
1x
1x
2x
−
=
−
=
⎪
⎪
⎭
⎪
⎪
⎬
⎫
⎪
⎪
⎩
⎪
⎪
⎨
⎧
−
=
−
=
Recall that the element strain is
[ ]
[ ]
[ ]
1x
1y
2x
2y
0 0
0 0
1
ε 1 0 1 0 d
0 0
L
0 0
1
d
L
d
d
1
d
L
d
C S
S C
C S
S C
C S C S
C S C S
⎡ ⎤
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
= −
⎢ ⎥
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
= − −
⎧ ⎫
⎪ ⎪
⎪ ⎪
= − − ⎨ ⎬
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎩ ⎭
Computation of element stresses stress and tension
( ) [ ]
2x 1x
E E
ˆ ˆ
Eε d d d
L L
C S C S
σ = = − = − −
[ ]
EA
T EAε d
L
C S C S
= = − −
Recall that the element stress is
Recall that the element tension is
Steps in solving a problem
Step 1: Write down the node-element connectivity table
linking local and global nodes; also form the table of
direction cosines (C, S)
Step 2: Write down the stiffness matrix of each element in
global coordinate system with global numbering
Step 3: Assemble the element stiffness matrices to form the
global stiffness matrix for the entire structure using the
node element connectivity table
Step 4: Incorporate appropriate boundary conditions
Step 5: Solve resulting set of reduced equations for the unknown
displacements
Step 6: Compute the unknown nodal forces
การโกง(Buckling)ใน Bar หรือ Truss
‰ ถึงแมความเคนในบารหรือTruss มีคาต่ํากวาความเคนคราก ชิ้นสวนของ
โครงสรางแบบนี้สามารถเสียหายไดจากการโกงซึ่งเราสามารถหาคาความเคนที่ทํา
ใหเกิดการโกงได จากสูตร
2
2
AL
EI
A
Pcrb
crb
π
σ =
=
com
crb
P
where
A
σ σ σ
> =
การโกงเกิดขึ้นเมื่อ
ความเคนอัดในเอลิเมนต
Example 1
P1
P2
1
2
3
x
y
El#1
El#2
The length of bars 12 and 23 are equal (L)
E: Young’s modulus
A: Cross sectional area of each bar
Solve for
(1) d2x and d2y
(2) Stresses in each bar
Solution
Step 1: Node element connectivity table
3
2
2
2
Node 2
1
1
Node 1
ELEMENT
45o
Table of nodal coordinates
Lsin45
Lcos45
2
2Lsin45
0
y
0
3
0
1
x
Node
Table of direction cosines
-cos45
cos45
sin45
L
2
sin45
L
1
Length
ELEMENT 2 1
x x
C
length
−
= 2 1
y y
S
length
−
=
Step 2: Stiffness matrix of each element in global coordinates
with global numbering
2 2
2 2
(1)
2 2
2 2
EA
k
L
C CS C CS
CS S CS S
C CS C CS
CS S CS S
⎡ ⎤
− −
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
⎣ ⎦
Stiffness matrix of element 1
d1x
d2x
d2x
d1x d1y d2y
d1y
d2y
1 1 1 1
1 1 1 1
EA
1 1 1 1
2L
1 1 1 1
− −
⎡ ⎤
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
− −
⎣ ⎦
Stiffness matrix of element 2
d2x
d3x
d3x d3y
d2y
d3y
d2x d2y
(2)
1 1 1 1
1 1 1 1
EA
k
1 1 1 1
2L
1 1 1 1
− −
⎡ ⎤
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
− −
⎣ ⎦
1 1 1 1 0 0
1 1 1 1 0 0
1 1 2 0 1 1
EA
K
1 1 0 2 1 1
2L
0 0 1 1 1 1
0 0 1 1 1 1
− −
⎡ ⎤
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
⎢ ⎥
− − −
= ⎢ ⎥
− − −
⎢ ⎥
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
− −
⎣ ⎦
Step 3: Assemble the global stiffness matrix
The final set of equations is Kd F
=
Step 4: Incorporate boundary conditions
2
2
0
0
0
0
x
y
d
d
d
⎧ ⎫
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
= ⎨ ⎬
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎩ ⎭
Hence reduced set of equations to solve for unknown
displacements at node 2
2 1
2 2
2 0
0 2
2
x
y
d P
E A
d P
L
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎡ ⎤
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎣ ⎦ ⎩ ⎭
⎩ ⎭
Step 5: Solve for unknown displacements
1
2
2 2
x
y
P L
d E A
d P L
E A
⎧ ⎫
⎪ ⎪
⎧ ⎫ ⎪ ⎪
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎩ ⎭ ⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎩ ⎭
Step 6: Obtain stresses in the elements
For element #1: 1
1
(1)
2
2
1 2
2 2
E 1 1 1 1
L 2 2 2 2
E
( )
2L 2
x
y
x
y
x y
d
d
d
d
P P
d d
A
σ
⎧ ⎫
⎪ ⎪
⎡ ⎤⎪ ⎪
= − − ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎣ ⎦ ⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎩ ⎭
+
= + =
0
0
For element #2: 2
2
(2)
3
3
1 2
2 2
E 1 1 1 1
L 2 2 2 2
E
( )
2L 2
x
y
x
y
x y
d
d
d
d
P P
d d
A
σ
⎧ ⎫
⎪ ⎪
⎡ ⎤⎪ ⎪
= − − ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎣ ⎦ ⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎩ ⎭
−
= − =
0
0
ตัวอยาง Plane truss
F = 1000 N F = 1000 N
1 2
3
4
1
2
3
4 5
1 2
3
4
1
2
3
4 5
(1) (1) (2) (2) (3) (3) (4) (4)
(5) (5)
(1) (2) (3) (4) (5)
200 2
10 2
10, 10 2
E A E A E A E A
E A
L L L L L
= = = =
=
= = = = =
กําหนด
© 2002 Brooks/Cole Publishing / Thomson Learning™
Figure 3-22 Plane truss with inclined boundary
conditions at node 3 (see problem worked out in class)
Multi-point constraints
Problem 3: For the plane truss
P
1
2
3
x
y
El#1
El#2
45o
El#3
P=1000 kN,
L=length of elements 1 and 2 = 1m
E=210 GPa
A = 6×10-4m2 for elements 1 and 2
= 6 ×10-4 m2 for element 3
2
Determine the unknown displacements
and reaction forces.
Solution
Step 1: Node element connectivity table
3
2
2
3
1
3
2
Node 2
1
1
Node 1
ELEMENT
Table of nodal coordinates
L
0
2
L
0
y
L
3
0
1
x
Node
Table of direction cosines
0
1
L
2
0
L
3
1
L
1
Length
ELEMENT 2 1
x x
C
length
−
= 2 1
y y
S
length
−
=
2 1/ 2 1/ 2
Step 2: Stiffness matrix of each element in global coordinates
with global numbering
2 2
2 2
(1)
2 2
2 2
EA
k
L
C CS C CS
CS S CS S
C CS C CS
CS S CS S
⎡ ⎤
− −
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
⎣ ⎦
Stiffness matrix of element 1
d1x
d2x
d2x
d1x d1y d2y
d1y
d2y
9 -4
0 0 0 0
0 1 0 1
(210 10 )(6 10 )
0 0 0 0
1
0 1 0 1
⎡ ⎤
⎢ ⎥
−
× × ⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
Stiffness matrix of element 2
d2x
d3x
d3x d3y
d2y
d3y
d2x d2y
9 -4
(2)
1 0 1 0
0 0 0 0
(210 10 )(6 10 )
k
1 0 1 0
1
0 0 0 0
−
⎡ ⎤
⎢ ⎥
× × ⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
⎣ ⎦
Stiffness matrix of element 3
9 -4
(3)
0.5 0.5 0.5 0.5
0.5 0.5 0.5 0.5
(210 10 )(6 2 10 )
k
0.5 0.5 0.5 0.5
2
0.5 0.5 0.5 0.5
− −
⎡ ⎤
⎢ ⎥
− −
× × ⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
− −
⎣ ⎦
d1x
d3x
d3x d3y
d1y
d3y
d1x d1y
5
0.5 0.5 0 0 0.5 0.5
0.5 1.5 0 1 0.5 0.5
0 0 1 0 1 0
K 1260 10
0 1 0 1 0 0
0.5 0.5 1 0 1.5 0.5
0.5 0.5 0 0 0.5 0.5
− −
⎡ ⎤
⎢ ⎥
− − −
⎢ ⎥
⎢ ⎥
−
= × ⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
⎢ ⎥
− − −
⎢ ⎥
− −
⎣ ⎦
Step 3: Assemble the global stiffness matrix
The final set of equations is Kd F
=
N/m
Eq(1)
Step 4: Incorporate boundary conditions
2
3
3
0
0
0
x
x
y
d
d
d
d
⎧ ⎫
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
= ⎨ ⎬
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎩ ⎭
P
1
2
3
x
y
El#1
El#2
45o
El#3
$
x
$
y
Also, $3 0
y
d =
How do I convert this to a boundary condition in the global (x,y)
coordinates?
in the local coordinate system of element 3
1
1
2
3
3
x
y
y
x
y
F
F
P
F
F
F
F
⎧ ⎫
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
= ⎨ ⎬
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎩ ⎭
P
1
2
3
x
y
El#1
El#2
45o
El#3
$
x
$
y
Also, 3
ˆ 0
x
F =
How do I convert this to a boundary condition in the global (x,y)
coordinates?
in the local coordinate system of element 3
3 3
3
3
ˆ 1
,
ˆ 2
x x
y
y
d d
C S
C S
d
S C
d
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎡ ⎤
⎪ ⎪
= = =
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦ ⎩ ⎭
⎪ ⎪
⎩ ⎭
Using coordinate transformations
$
$
( )
( )
3 3
3 3
3
3
3 3
1 1 1
2 2 2
1 1 1
2 2 2
x y
x x
y
y
y x
d d
d
d
d
d d d
⎡ ⎤ ⎧ ⎫
+
⎢ ⎥ ⎪ ⎪
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⇒ = =
⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥ ⎩ ⎭
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎩ ⎭ − −
⎢ ⎥ ⎪ ⎪
⎣ ⎦ ⎩ ⎭
$3 0
y
d =
$ ( )
3 3 3
3 3
1
0
2
0
y y x
y x
d d d
d d
⇒ = − =
⇒ − = Eq (2)
(Multi-point constraint)
3 3
3
3
ˆ 1
,
ˆ 2
x x
y
y
F F
C S
C S
F
S C
F
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎡ ⎤
⎪ ⎪
= = =
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦ ⎩ ⎭
⎪ ⎪
⎩ ⎭
Similarly for the forces at node 3
( )
( )
3 3
3 3
3
3
3 3
1 1 1
ˆ 2 2 2
ˆ 1 1 1
2 2 2
x y
x x
y
y
y x
F F
F F
F
F F F
⎡ ⎤ ⎧ ⎫
+
⎢ ⎥ ⎪ ⎪
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⇒ = =
⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥ ⎩ ⎭
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎩ ⎭ − −
⎢ ⎥ ⎪ ⎪
⎣ ⎦ ⎩ ⎭
( )
3 3 3
3 3
1
ˆ 0
2
0
x y x
y x
F F F
F F
⇒ = + =
⇒ + = Eq (3)
3
ˆ 0
x
F =
Therefore we need to solve the following equations simultaneously
Kd F
= Eq(1)
3 3 0
y x
d d
− = Eq(2)
3 3 0
y x
F F
+ = Eq(3)
Incorporate boundary conditions and reduce Eq(1) to
2
5
3 3
3 3
1 1 0
1 2 6 0 1 0 1 1 .5 0 .5
0 0 .5 0 .5
x
x x
y y
d P
d F
d F
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
−
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
× − =
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭
Write these equations out explicitly
5
2 3
5
2 3 3 3
5
3 3 3
1 2 6 0 1 0 ( )
1 2 6 0 1 0 ( 1 .5 0 .5 )
1 2 6 0 1 0 (0 .5 0 .5 )
x x
x x y x
x y y
d d P
d d d F
d d F
× − =
× − + + =
× + =
Eq(4)
Eq(5)
Eq(6)
Add Eq (5) and (6)
5
2 3 3 3 3
1 2 6 0 1 0 ( 2 ) 0
x x y x y
d d d F F
× − + + = + = using Eq(3)
5
2 3
1 2 6 0 1 0 ( 3 ) 0
x x
d d
⇒ × − + = using Eq(2)
2 3
3
x x
d d
⇒ = Eq(7)
Plug this into Eq(4)
5
3 3
5 6
3
1 2 6 0 1 0 (3 )
2 5 2 0 1 0 1 0
x x
x
d d P
d
⇒ × − =
⇒ × =
3
2 3
0 .0 0 3 9 6 8
3 0 .0 1 1 9
x
x x
d m
d d m
⇒ =
= =
Compute the reaction forces
1
1 2
5
2 3
3 3
3
0 0 .5 0 .5
0 0 .5 0 .5
1 2 6 0 1 0 0 0 0
1 1 .5 0 .5
0 0 .5 0 .5
5 0 0
5 0 0
0
5 0 0
5 0 0
x
y x
y x
x y
y
F
F d
F d
F d
F
kN
− −
⎧ ⎫ ⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎧ ⎫
− −
⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎢ ⎥
= ×
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
− ⎩ ⎭
⎢ ⎥
⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎣ ⎦
⎩ ⎭
−
⎧ ⎫
⎪ ⎪
−
⎪ ⎪
⎪ ⎪
= ⎨ ⎬
⎪ ⎪
−
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎩ ⎭
เอลิเมนตแบบ 1 มิติพื้นฐานที่นาสนใจ
‰ Simple beam element
‰ Beam หรือคานคือโครงสรางที่ออกแบบไวสําหรับรับภาระตามแนวดิ่ง ซึ่งในกรณีของ
คานอยางงาย(Simple beam) คือคานที่มีความยาวมาก หรือขนาดของความยาวคานมีคา
มากกวามิติของหนาตัดของคานมาก และแรงกระทําตามแนวดิ่ง ไมกอใหเกิดการบิดตัว
รอบแนวแกนคาน(No torsion/twist) ความเคนที่สําคัญประกอบไปดวยความเคนตาม
แนวแกน(จาก Bending moment) และความเคนเฉือนจากแรงเฉือน
Beam terminology
Common supports
Simple beam element
{ }
1
1
2
2
ˆ
ˆ
ˆ
ˆ
ˆ
y
y
f
m
f
f
m
⎧ ⎫
⎪ ⎪
⎪ ⎪
= ⎨ ⎬
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎩ ⎭
‰ Simple beam element แบบ 2 โนด โดยแตละโนดจะมี DOF เทากับ 2 ซึ่ง
ประกอบไปดวยการหมุนและการกระจัดตามแนวดิ่ง
Local nodal force และ
moment { }
1
1
2
2
ˆ
ˆ
ˆ
ˆ
ˆ
y
y
d
d
d
φ
φ
⎧ ⎫
⎪ ⎪
⎪ ⎪
= ⎨ ⎬
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎩ ⎭
Local nodal transverse
displacement และ
rotation
สรางความสัมพันธ
Simple beam element (ตอ)
‰ ขอกําหนดเกี่ยวกับทิศทางของการกระจัด แรง มุม และโมเมนต ที่โนด
1. โมเมนตมีทิศเปนบวก เมื่อทิศทวนเข็มนาฬิกา
2. มุม(Rotation)มีทิศเปนบวก เมื่อทิศทวนเข็มนาฬิกา
3. แรงมีทิศเปนบวกเมื่อมีทิศชี้ในทิศทางแกน y
4. การกระจัด dy มีทิศเปนบวกเมื่อมีทิศชี้ในทิศทางแกน y
Beam Theory
‰ ขอกําหนดเกี่ยวกับทิศทางของแรง และโมเมนต ที่หนาตัดดานซายและขวา
ขอสังเกตุ
1. โมเมนตทางดานซาย ตามเข็มนาฬิกาเปนบวก
2. แรงเฉือนดานขวาชี้ลงเปนบวก
Beam Theory (ตอ)
พิจารณาคานภายใตภาระใดๆ
พิจารณาสมดุลตามแนวดิ่ง
ˆ
0; ( ) ( ) 0 or
ˆ
- 0 or (1)
ˆ
y
F V V dV w x dx
dV
wdx dV w
dx
∑ = − + − =
− = = −
Beam Theory (ตอ)
2
2
2 2
2 2
2 2
2 2
ˆ ˆ
1 ˆ
,
ˆ ˆ
Substitute into (2) then (1)
ˆ
ˆ
( ) (3)
ˆ ˆ
ˆ
Nodal force only 0 (4)
ˆ ˆ
M d v dv
EI dx dx
M
d d v
EI w x
dx dx
d d v
EI
dx dx
κ φ
ρ
= = = =
⎛ ⎞
= −
⎜ ⎟
⎝ ⎠
⎛ ⎞
=
⎜ ⎟
⎝ ⎠
พิจารณาสมดุลโมเมนตรอบจุด 2
2
ˆ
ˆ ˆ ˆ
0; ( ) 0 or
2
(2)
ˆ
dx
M Vdx dM w x dx
dM
V
dx
⎛ ⎞
∑ = − + + =
⎜ ⎟
⎝ ⎠
=
Beam curvature
Simple beam element (ตอ)
{ } { }
ˆ ˆ ˆ
f k d
⎡ ⎤
=
⎣ ⎦
‰ หาความสัมพันธของ Local nodal matrix และ Local nodal displacement matrix
หรือ
1
1
2 2
1 1
3
2 2
2 2
2 2
ˆ
ˆ 12 6 12 6
ˆ
ˆ 6 4 6 2
ˆ ˆ
12 6 12 6
6 2 6 4 ˆ
ˆ
y
y
y y
d
f L L
m L L L L
EI
L L
L
f d
L L L L
m
φ
φ
⎧ ⎫
⎧ ⎫ −
⎡ ⎤
⎪ ⎪
⎪ ⎪ ⎢ ⎥
− ⎪ ⎪
⎪ ⎪ ⎢ ⎥
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
− − −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
−
⎣ ⎦
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
Local element stiffness matrix
Local element equation
ขั้นตอนที่ 1 กําหนดชนิดเอลิเมนต
กําหนดเอลิเมนตที่จะพัฒนาเปนคานเอลิเมนต (Beam element)
ˆ 0
x = x̂ L
=
โนด 1 โนด 2
แตละโนดมีความอิสระในการเคลื่อนที่ได 2 แบบ – DOF = 2
ขั้นตอนที่ 2 การกําหนดฟงกชันของการกระจัด
เปนขั้นตอนการกําหนดเลือกฟงกชันทางคณิตศาสตรเพื่อจะนํามาอธิบายการเสียรูป
ของคาน ซึ่งฟงกชันนี้จะถือวาเปนคาประมาณ(Approximate solution) ฟงกชันที่
เลือกใชสวนใหญเปนฟงกชันโพลีโนเมียล
3 2
1 2 3 4
ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ
( ) (1)
v x a x a x a x a
= + + +
โดย a1 a2 a3 และ a4 คือคาคงที่และจะหาไดจากเงื่อนไขดังนี้
1 4
1 3
3 2
2 1 2 3 4
2
2 1 2 3
ˆ
ˆ ˆ
( 0) (2.1)
ˆ ˆ
( 0) ˆ (2.2)
ˆ
ˆ
ˆ ˆ
( ) (2.3)
ˆ ˆ
( ) ˆ 3 2 (2.4)
ˆ
y
y
v x d a
dv x
a
dx
v x L d a L a L a L a
dv x L
a L a L a
dx
= = =
=
= φ =
= = = + + +
=
= φ = + +
ขั้นตอนที่ 2 การกําหนดฟงกชันของการกระจัด(ตอ)
จากนั้นทําการแกสมการดังกลาว (2.1-2.4) จะได a1 a2 a3 และ a4
จากนั้นนําไปแทนในสมการที่ 1 ได
( ) ( )
( ) ( )
3
1 2 1 2
3 2
2
1 2 1 2 1 1
3 2
2 1
ˆ ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ ˆ
( )
3 1
ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ
2 (3)
y y
y y y
v x d d x
L L
d d x x d
L L
⎡ ⎤
= − + φ + φ +
⎢ ⎥
⎣ ⎦
⎡ ⎤
− − − φ + φ + φ +
⎢ ⎥
⎣ ⎦
หรือเขียนเปนเมตริกได
{ }
1
1
1 2 3 4
2
2
ˆ
ˆ
ˆ
ˆ ˆ
( ) [ ] [ ] (4)
ˆ
ˆ
y
y
d
v x N d N N N N
d
⎧ ⎫
⎪ ⎪
φ
⎪ ⎪
= = ⎨ ⎬
⎪ ⎪
⎪ ⎪
φ
⎩ ⎭
ขั้นตอนที่ 2 การกําหนดฟงกชันของการกระจัด(ตอ)
โดย N1 N2 N3 และ N4 คือ shape function และมีคาดังนี้
( ) ( )
( ) ( )
3 2 3 3 2 2 3
1 2
3 3
3 2 3 2 2
3 4
3 3
1 1
ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ
2 3 2
1 1
ˆ ˆ ˆ ˆ
2 3
N x x L L N x L x L xL
L L
N x x L N x L x L
L L
= − + = − +
= − + = −
ขั้นตอนที่ 3 การกําหนดความสัมพันธของความเครียดกับ
การกระจัด
ความเครียดตามแนวแกนของคาน
2
2
ˆ
ˆ ˆ
( , ) (5)
ˆ
ˆ
ˆ ˆ (6)
ˆ
ˆ
ˆ ˆ ˆ
( , ) (7)
ˆ
x
x
du
x y
dx
dv
u y
dx
d v
x y y
dx
ε =
= −
∴ ε = −
ขั้นตอนที่ 4 การพิสูจนหา Element stiffness matrix
จากรูปที่โนด 1 และ 2 และจากสมการ
2 3
2 3
ˆ ˆ
ˆ
ˆ ˆ
( ) (8)
ˆ ˆ
d v d v
m x EI V EI
dx dx
= =
จะเขียนเปนสมการไดดังนี้
( )
( )
( )
3
1 1 1 2 2
3 3
2
2 2
1 1 1 2 2
2 3
3
2 1 1 2 2
3 3
2
2 1
2 3
ˆ(0)
ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ
ˆ 12 6 12 6 ( )
ˆ
ˆ(0) ˆ ˆ
ˆ ˆ
ˆ ˆ 6 4 6 2 ( )
ˆ
ˆ( )
ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ
ˆ 12 6 12 6 ( )
ˆ
ˆ( ) ˆ
ˆ ˆ 6 2
ˆ
y y y
y y
y y y
y
d v EI
f V EI d L d L a
dx L
d v EI
m m EI Ld L Ld L b
dx L
d v L EI
f V EI d L d L c
dx L
d v L EI
m m EI Ld
dx L
= = = + φ − + φ
= − = = + φ − + φ
= − = − = − − φ + − φ
= = = +
( )
2 2
1 2 2
ˆ
ˆ ˆ
6 4 ( )
y
L Ld L d
φ − + φ
ขั้นตอนที่ 4 การพิสูจนหา Element stiffness matrix (ตอ)
จัดรูปสมการ (a), (b), (c) และ (d) ใหมเขียนเปนสมการได
1
1
2 2
1 1
3
2 2
2 2
2 2
ˆ
ˆ 12 6 12 6
ˆ
ˆ 6 4 6 2
(9)
ˆ ˆ
12 6 12 6
6 2 6 4 ˆ
ˆ
y
y
y y
d
f L L
m L L L L
EI
L L
L
f d
L L L L
m
φ
φ
⎧ ⎫
⎧ ⎫ −
⎡ ⎤
⎪ ⎪
⎪ ⎪ ⎢ ⎥
− ⎪ ⎪
⎪ ⎪ ⎢ ⎥
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
− − −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
−
⎣ ⎦
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
ขั้นตอนที่ 5 การประกอบเอลิเมนตเขาดวยกัน
ขั้นตอนนี้จะทําการประกอบเอลิเมนตทุกอันเขาดวยกันจะทําใหเราได Global equation
ซึ่ง สมการนี้จะแสดงถึงความสัมพันธของ Nodal forces และ Nodal displacements ซึ่ง
มี Global matrix เปนตัวแสดงความสัมพันธหรือเขียนสมการไดดังนี้
{ } [ ]{ } (13)
F K d or F K d
= =
โดย
[ ] { }
( ) ( )
1 1
N N
e e
e e
K K k F F f
= =
= = = =
∑ ∑
ขั้นตอนที่ 6 ทําการแกสมการหาคา Nodal displacements
จากนั้นทําการกําหนดคาสภาวะขอบลงไปในสมการที่ (13) จากนั้นทําการแกสมการหา
คา การกระจัดที่โนด (Nodal displacements)
ขั้นตอนที่ 7 ทําการแกหาคาแรงที่กระทําที่โนดตางๆ ภายใน
เอลิเมนต
นําเอาคาการกระจัดที่คํานวณไดแทนลงในสมการที่ (12) เพื่อหาคาแรงที่กระทํา
ที่โนดภายในเอลิเมนต
ตัวอยาง จากระบบคานดังรูป จงหาการกระจัดในแนวดิ่งและการหมุน ที่จุด
กึ่งกลางคาน และเขียนแผนภาพแรงเฉือนและโมเมนต กําหนดใหวัสดุของ
คานมีคา E = 210 GPa และ I = 4 x 10-4 m4
วิธีทํา หา Element stiffness matrix ของแตละเอลิเมนต
แทนคาลงไปได
2 2
9 4
(1) (2)
3
2 2
5
12 6 3 12 6 3
6 3 4 3 6 3 2 3
210 10 4 10
ˆ ˆ
12 6 3 12 6 3
3
6 3 2 3 6 3 4 3
12 18 12 18
18 36 18 18
840 10
12 18 12 18
9
18 18 18 36
k k
−
× − ×
⎡ ⎤
⎢ ⎥
× × − × ×
× × × ⎢ ⎥
= =
⎢ ⎥
− − × − ×
⎢ ⎥
× × − × ×
⎣ ⎦
−
⎡ ⎤
⎢ ⎥
−
× ⎢ ⎥
=
⎢ ⎥
− − −
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
จากนั้นขยายเมตริกใหเทากับเมตริก K(6 x 6)
5
(1)
12 18 12 18 0 0
18 36 18 18 0 0
12 18 12 18 0 0
840 10
ˆ
18 18 18 36 0 0
9
0 0 0 0 0 0
0 0 0 0 0 0
k
−
⎡ ⎤
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
⎢ ⎥
− − −
×
= ⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎣ ⎦
5
(2)
0 0 0 0 0 0
0 0 0 0 0 0
0 0 12 18 12 18
840 10
ˆ
0 0 18 36 18 18
9
0 0 12 18 12 18
0 0 18 18 18 36
k
⎡ ⎤
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
−
×
= ⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎣ ⎦
จากนั้นประกอบเมตริกเขาดวยกันได
1 1
1 1
5
2 2
2 2
3 3
3 3
12 18 12 18 0 0
18 36 18 18 0 0
12 18 12 12 18 18 12 18
840 10
18 18 18 18 36 36 18 18
9
0 0 12 18 12 18
0 0 18 18 18 36
y y
y y
y y
F d
M
F d
M
F d
M
φ
φ
φ
−
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
−
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
− − + − + −
×
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
− + + −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
− − −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎣ ⎦
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
1 1 3 3 2 2
0, 10,000, 20,000
y y
d d F M
φ φ
= = = = = − =
จากนั้นกําหนดคาสภาวะขอบและภาระที่กําหนดให
Kd F
=
ไดสมการ
1
1
5
2
2
3
3
12 18 12 18 0 0 0
18 36 18 18 0 0 0
10,000 12 18 24 0 12 18
840 10
20,000 18 18 0 72 18 18
9
0 0 12 18 12 18 0
0 0 18 18 18 36 0
y
y
y
F
M
d
F
M
φ
−
⎧ ⎫ ⎡ ⎤⎧ ⎫
⎪ ⎪ ⎢ ⎥⎪ ⎪
−
⎪ ⎪ ⎢ ⎥⎪ ⎪
⎪ ⎪ ⎢ ⎥⎪ ⎪
− − − −
×
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
−
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
− − −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥⎪ ⎪
⎪ ⎪ ⎣ ⎦⎩ ⎭
⎩ ⎭
5
2
2
10,000 24 0
840 10
20,000 0 72
9
y
d
φ
− ⎧ ⎫
⎧ ⎫ ⎡ ⎤
×
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭
จากนั้นทําการแบงสวนเมตริก
แกสมการได 4 5
2 2
1.339 10 , 8.928 10
y
d m rad
φ
− −
= − × = ×
จากนั้นคํานวณแรงภายในของแตละเอลิเมนต
เอลิเมนต 1
(1)
1
(1) 5
1
4
(1)
2
5
(1)
2
12 18 12 18 0
18 36 18 18 0
840 10
12 18 12 18 1.339 10
9
18 18 18 36 8.929 10
y
y
f
m
f
m
−
−
−
⎧ ⎫ ⎡ ⎤⎧ ⎫
⎪ ⎪ ⎢ ⎥⎪ ⎪
−
×
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
− − − − ×
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
− ×
⎣ ⎦⎩ ⎭
⎩ ⎭
แกสมการไดแรงภายใน
(1) (1) (1)
1 1 2
(1)
2
10,000 , 12,500 , 10,000 ,
17,500
y y
f N m N m f N
m N m
= = − = −
= −
เขียนเปน FBD
เอลิเมนต 2
(2) 4
2
(2) 5
5
2
(2)
3
(2)
3
12 18 12 18 1.339 10
18 36 18 18 8.929 10
840 10
12 18 12 18
9 0
18 18 18 36 0
y
y
f
m
f
m
−
−
−
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
− ×
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
− ×
×
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
− − −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
−
⎣ ⎦⎩ ⎭
⎩ ⎭
แกสมการไดแรงภายใน
(2) (2) (2) (1)
2 2 3 2
0 , 2,500 , 0 , 2,500
y y
f N m N m f N m N m
= = − = = − −
เขียนเปน FBD
นําขอมูลมาเขียนแผนภาพแรงเฉือนและโมเมนต ของแตละเอลิเมนตได
V, N
10,000
M, N-m
-12,500
17,500
V, N
M, N-m
-2,500
0
เอลิเมนต 1 เอลิเมนต 2
ภาระแบบกระจายตลอดความยาวของเอลิเมนต
(Distributed loading)
• เมื่อมีภาระกระจายตลอดความยาวเอลิเมนต ตองทําการเปลี่ยนรูปใหเปนภาระ
กระทําที่โนดทั้งสอง ดังตัวอยางจากรูปขางลาง เหตุผลเพราะภาระ(โหลด)ไม
สามารถใสคาลงไปที่โนดใดโนดนึงได ตองทําการเปลี่ยนรูปกอน
• วิธีการเปลี่ยนภาระกระจายตลอดความยาวเอลิเมนต ไปเปนภาระกระทําที่
โนดทั้งสอง จะใชหลักการของ Work-Equivalent method ซึ่งมีหลักการคือ
งานที่ไดจากการกระทําของแรงกระจาย = งานของแรงและโมเมนตที่กระทํา
ที่โนดทั้งสองรวมกัน
เปลี่ยนเปนภาระกระทําที่โนดทั้งสอง
ตัวอยาง เอลิเมนตมีการรับภาระกระจายแบบสม่ําเสมอ ตองการเปลี่ยนรูปให
เปนภาระกระทําที่โนดทั้งสองขาง
งานที่ไดจากภาระจากทั้งสองระบบเทากัน (Work equivalent system)
งานที่ไดจากภาระทั้งสองเขียนเปนสมการได
0
1 1 2 2 1 1 2 2
ˆ ˆ ˆ ˆ
( ) ( ) ( )
ˆ ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ
ˆ ˆ ( )
L
distributed
discrete y y y y
W w x v x dx a
W m m f d f d b
φ φ
=
= + + +
∫
หรือสมการ (a) = (b)
1 1 2 2 1 1 2 2
0
ˆ ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ
ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ
( ) ( ) ( )
L
y y y y
w x v x dx m m f d f d c
φ φ
= + + +
∫
แทนคา
( ) ( )
( ) ( )
3
1 2 1 2
3 2
2
1 2 1 2 1 1
3 2
ˆ
( )
2 1
ˆ ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ ˆ
( )
3 1
ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ
2
y y
y y y
w x w
v x d d x
L L
d d x x d
L L
φ φ
φ φ φ
= −
⎡ ⎤
= − + + +
⎢ ⎥
⎣ ⎦
⎡ ⎤
− − − + + +
⎢ ⎥
⎣ ⎦
ลงไปในสมการ (c) และทําการอินทิเกรทได
( ) ( ) ( ) ( )
( )
2 2
1 2 1 2 2 1 1 2
2
1 1 1 1 2 2 1 1 2 2
ˆ ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ ˆ ˆ
2
2 4 3
ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ ( )
2
y y y y
y y y y y
Lw L w L w
d d Lw d d
L w
d wL m m f d f d d
φ φ φ φ
φ φ φ
− − − + − − + +
⎛ ⎞
− − = + + +
⎜ ⎟
⎝ ⎠
เมื่อตองหาคา
2 2 2
2
1
2
ˆ
4 3 2 12
L w L wL
m L w w
⎛ ⎞
= − − + = −
⎜ ⎟
⎝ ⎠
1
ˆ (1)
m
1 2
ˆ ˆ
ˆ ˆ
1, 0, 0, 0
1 2 y y
d d
= = = =
φ φ
แทนลงไปในสมการ (d)ได
กําหนดคา
เชนเดียวกันถาตองหาคา
กําหนดคา
แทนลงไปในสมการ (d)ได
2
ˆ (1)
m
2 2 2
2
ˆ
4 2 12
L w L w wL
m
⎛ ⎞
= − − =
⎜ ⎟
⎝ ⎠
1 2
ˆ ˆ
ˆ ˆ
0, 1, 0, 0
1 2 y y
d d
φ φ
= = = =
ดังนั้นถาใชวิธีการเดียวกัน จะสามารถหาไดวา
1 1 2 2 1
2 1 2 1 2
ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ
( 0, 1)
2 2
ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆ
( 0, 1)
2 2
y y y
y y y
Lw Lw
f Lw Lw d d
Lw Lw
f Lw d d
φ φ
φ φ
= − + − = − = = = =
= − = = = = =
ดังนั้นสรุปไดวา
2
wL
−
2
wL
2
12
wL
−
2
12
wL
ขอมูลจากหนังสือ Appendix D
หมายเหตุ ถาภาระกระจายมีรูปแบบนอกเหนือจากนี้ ตองทําการอินทิเกรท
หาใหม
วิธีการแกปญหา ของปญหาที่มีแรงกระจาย ทําไดโดยเปลี่ยนแรงกระจายให
เปนแรงกระทําที่โนด ดังนั้นจะถือวาแรงที่เปลี่ยนรูปแลวก็คือภาระกระทําที่
โนดนั้นๆ นั่นเอง หรือเขียนเปนสมการได
0
F Kd F
= −
แรงกระจายที่เปลี่ยนรูปเปนแรงกระทําที่โนดแลวหรือ Equivalent nodal forces
Global equation
0
ˆ ˆ ˆ ˆ
f k d f
= − Element equation
แรงกระจายที่เปลี่ยนรูปเปนแรงกระทําที่โนดแลว บนเอลิเมนตใดๆ
ตัวอยาง คานดังรูป ทั้งสองขางมีการยึดแบบแคนทิลิเวอร(Fix)และรับภาระ
แบบกระจาย จงคํานวณหาการกระจัดและการหมุนหรือ slope ที่จุดกึ่งกลาง
คาน พรอมทั้งหาแรงปฎิกิริยาที่จุดรองรับทั้งสองขาง กําหนด คานมีคา E และ
พื้นที่หนาตัด คงที่ทั้วทั้งความยาว การคํานวณใหใช 2 เอลิเมนต
1 2 3
วิธีทํา ทําการแบงเอลิเมนตออกเปนสองเอลิเมนต จากนั้นหาเอลิเมนตเมตริก
และประกอบเขาดวยกัน เพื่อใหไดสมการของโครงสรางรวมหรือ Global
equation โดยแรงกระทําที่โนดของประกอบไปดวยแรงและโมเมนตภายนอก
ที่ใหมารวมกับแรงและโมเมนตที่ไดจากการเปลี่ยนแรงกระจาย
หาเอลิเมนตเมตริกได
2 2
(1) (2)
3
2 2
12 6 12 6
6 4 6 2
12 6 12 6
6 2 6 4
L L
L L L L
EI
k k
L L
L
L L L L
−
⎡ ⎤
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
= =
⎢ ⎥
− − −
⎢ ⎥
−
⎣ ⎦
2 2
(1) (2)
2 2 2 2
3
2 2
2 2
2 2 2
3
12 6 12 6 0 0
6 4 6 2 0 0
12 6 12 12 6 6 12 6
6 2 6 6 4 4 6 2
0 0 12 6 12 6
0 0 6 2 6 4
12 6 12 6 0 0
6 4 6 2 0 0
12 6 24 0 12 6
6 2 0 8 6 2
0 0 12 6 12 6
L L
L L L L
L L L L
EI
K k k
L L L L L L L L
L
L L
L L L L
L L
L L L L
L L
EI
L L L L L
L
L L
−
⎡ ⎤
⎢ ⎥
−
⎢ ⎥
⎢ ⎥
− − + − + −
= + = ⎢ ⎥
− + + −
⎢ ⎥
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎣ ⎦
−
−
− − −
=
−
− −
2 2
0 0 6 2 6 4
L L L L
⎡ ⎤
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎣ ⎦
ประกอบเอลิเมนตเมตริกเขาดวยกันได
หาแรงและโมเมนตเสมือน(equivalent nodal forces) ของเอลิเมนตและโครงสราง
เอลิเมนต 1
เอลิเมนต 2
+
โครงสราง
2
0 2
2
3
40
60
2
30
17
40
15
wL
wL
wL
F
wL
wL
wL
−
⎧ ⎫
⎪ ⎪
⎪ ⎪
−
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
−
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
= ⎨ ⎬
−
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
−
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎩ ⎭
0
F Kd F
= −
จากสมการ Global equation
2
1 1
2 2
1 1
2 2
2 2 2
3 2
2 2
3 3
2 2
3 3
3
40
12 6 12 6 0 0 60
6 4 6 2 0 0
12 6 24 0 12 6 2
6 2 0 8 6 2
30
0 0 12 6 12 6
0 0 6 2 6 4
y y
y y
y y
wL
wL
F d
L L
M L L L L wL
F d
L L
EI
M L L L L L
L wL
F d
L L
M L L L L
φ
φ
φ
−
−
−
⎧ ⎫ ⎧ ⎫
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
− −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
− − −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
= −
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
− −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
− −
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥ −
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎣ ⎦
⎩ ⎭ ⎩ ⎭
2
17
40
15
wL
wL
⎧ ⎫
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎨ ⎬
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎩ ⎭
0
0
0
0
0
0
ทําการแยกสวนเมตริกซได
2
2
3 2
2
0 24 0 2
0 0 8
30
y
wL
d
EI
L
L wL
φ
−
⎧ ⎫
⎪ ⎪
⎧ ⎫
⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪
= −
⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
−
⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎩ ⎭
แกสมการได 4 3
2 2
,
48 240
y
wL wL
d
EI EI
φ
− −
= =
นําคาทั้งสองไปแทน
ในสมการ Global equation ได
2
1
1
3
3
2
12
40
8
60
28
40
3
15
y
y
wL
F wL
M
F wL
M
wL
⎧ ⎫
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎧ ⎫ ⎪ ⎪
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
=
⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎩ ⎭
⎪ ⎪
−
⎪ ⎪
⎪ ⎪
⎩ ⎭
คําตอบ
กรณีศึกษาการเปรียบเทียบผลลัพธที่ไดจาก Exact solution กับจากวิธีไฟ
ไนตเอลิเมนต จากปญหาของคานดังรูป
จุดประสงค ทําการศึกษาหากราฟของระยะกระจัด(v) โมเมนต(M) และแรง
เฉือน(V) โดยในวิธีไฟไนตเอลิเมนตจะใชจํานวนเอลิเมนตเทากับ 1 เอลิเมนต
Exact solution จากสมการของ Beam Theory และภาระที่กําหนดให
สามารถแกหาคําตอบไดดังนี้ (ดูหนา 188-189)
( )
4 3 2 2
2 2
1
( )
24 6 4
( )
2 2
( )
wx wLx wL x
y x
EI
wL wx
M x wLx
V x w L x
⎛ ⎞
−
= + −
⎜ ⎟
⎝ ⎠
−
= − +
= −
โดยกําหนดให
5 4
210 , 4 10 , 2.5 , 4 /
E GPa I m L m w kN m
−
= = × = =
ผลลัพธ
ผลลัพธ(ตอ)
ขอสังเกตุ ผลตางของการกระจัดจะนอยที่สุด และผลตางของแรงเฉือนจะมาก
ที่สุด วิธีการที่จะทําใหผลตางของแรงเฉือนมีคาดีขึ้นคือใชจํานวนเอลิเมนตมาก
ขึ้นหรือใช high order เอลิเมนต
เท็นเซอรความเคน(Stress tensor)
‰ เท็นเซอรความเคนเปนปริมาณที่ใชอธิบายคาความเคนที่เกิดขึ้นภายใน
เนื้อวัตถุ ณ จุดใด ซึ่งคานี้ตองมีการอางอิงกับพิกัดฉาก XYZ ที่เราตอง
กําหนดขึ้นมาลวงหนา
‰ เราจะมาดูกันวาเท็นเซอรความเคนมีองคประกอบทั้งหมดกี่คา และคานี้
หามาไดอยางไร และพิกัดฉากที่ตั้งขึ้นมาไวอางอิงมีความสําคัญอยางไร
กับเท็นเซอรความเคน
พิจารณาวัตถุที่ถูกแรงภายนอก
กระทําและอยูในสภาวะสมดุล
ดังรูป
จากนั้นทําการตัดวัตถุดวยระนาบ เราจะ
เห็นแรงกระทําบนหนาตัด ไดดังรูป
ถาพิจารณาพื้นที่เล็กๆ ΔA (Normal vector ชี้ไปตามแนวแกน z )บนหนาตัด
ซึ่งมีแรงกระทํา ΔF ดังรูปเราสามารถแตกแรงนี้ออกเปนตามแกน x, y และ z
ตามลําดับ และนิยามคาดังนี้
0
0
0
lim
lim
lim
z
z
A
x
zx
A
y
zy
A
F
A
F
A
F
A
Δ →
Δ →
Δ →
Δ
σ =
Δ
Δ
τ =
Δ
Δ
τ =
Δ
ความเคนตั้งฉาก ตามแนวแกน z
ความเคนเฉือน ตามแนวแกน x
ความเคนเฉือน ตามแนวแกน y
ในทํานองเดียวกัน ถาพิจารณาพื้นที่เล็กๆ ΔA (Normal vector ชี้ไปตามแนวแกน y
)บนหนาตัดซึ่งมีแรงกระทํา ΔF ดังรูปเราสามารถแตกแรงนี้ออกเปนตามแกน x, y
และ z ตามลําดับ และนิยามคาดังนี้
ความเคนตั้งฉาก ตามแนวแกน y
0
0
0
lim
lim
lim
y
y
A
x
yx
A
z
yz
A
F
A
F
A
F
A
Δ →
Δ →
Δ →
Δ
σ =
Δ
Δ
τ =
Δ
Δ
τ =
Δ
ความเคนเฉือน ตามแนวแกน x
ความเคนเฉือน ตามแนวแกน z
และในทํานองเดียวกัน ถาพิจารณาพื้นที่เล็กๆ ΔA (Normal vector ชี้ไปตาม
แนวแกน x )บนหนาตัดซึ่งมีแรงกระทํา ΔF ดังรูปเราสามารถแตกแรงนี้ออกเปน
ตามแกน x, y และ z ตามลําดับ และนิยามคาดังนี้
0
0
0
lim
lim
lim
x
x
A
y
xy
A
z
xz
A
F
A
F
A
F
A
Δ →
Δ →
Δ →
Δ
σ =
Δ
Δ
τ =
Δ
Δ
τ =
Δ
ความเคนตั้งฉาก ตามแนวแกน x
ความเคนเฉือน ตามแนวแกน y
ความเคนเฉือน ตามแนวแกน z
ดังนั้นเรานิยามเท็นเซอรความเคน ณ จุดใดๆ โดยคาดังกลาวหรือเขียนเปน
{ }
, ,
x
y
x xy xz
z
yx y yz
yz
zx zy z
zx
xy
xy yx xz zx yz zy
σ
⎧ ⎫
⎪ ⎪
σ
⎪ ⎪
⎡ ⎤
σ τ τ
⎪ ⎪
σ
⎪ ⎪
⎢ ⎥
σ = τ σ τ = ⎨ ⎬
⎢ ⎥ τ
⎪ ⎪
⎢ ⎥
τ τ σ
⎣ ⎦ ⎪ ⎪
τ
⎪ ⎪
τ
⎪ ⎪
⎩ ⎭
τ = τ τ = τ τ = τ
ดังนั้นเท็นเซอรความเคนคือสถานะของความเคน(State of stress) ณ จุดใดๆ
ในวัตถุ ซึ่งเปนคาที่ตองอางอิงกับพิกัด xyz
Stress tensor
เมื่อ
ในทํานองเดียวกันเราสามารถนิยามเท็นเซอรความเครียด ณ จุดใดๆ โดย
{ }
, ,
x
y
x xy xz
z
yx y yz
zy
zx zy z
zx
xy
xy yx xz zx yz zy
ε
⎧ ⎫
⎪ ⎪
ε
⎪ ⎪
⎡ ⎤
ε ε ε
⎪ ⎪
ε
⎪ ⎪
⎢ ⎥
ε = ε ε ε = ⎨ ⎬
⎢ ⎥ ε
⎪ ⎪
⎢ ⎥
ε ε ε
⎣ ⎦ ⎪ ⎪
ε
⎪ ⎪
ε
⎪ ⎪
⎩ ⎭
ε = ε ε = ε ε = ε
ดังนั้นเท็นเซอรความเครียดคือสถานะของความเครียด(State of strain) ณ จุด
ใดๆในวัตถุ ซึ่งเปนคาที่ตองอางอิงกับพิกัด xyz
Strain tensor
เมื่อ
x
y
A B
C
A’
B’
C’
v
u
dy
dx
dx
x
v
∂
∂
x
d
x
u
u
∂
∂
+
dy
y
u
∂
∂
dy
y
v
v
∂
∂
+
1 2 1 2
u
d x u d x u d x
A 'B ' A B u
x
A B d x x
v
d y v d y v d y
y
A 'C ' A C v
A C d y y
π
a n g le (C 'A 'B ') β β ta n β ta n β
2
v u
x
x
y
x y
y
ε
ε
ε
∂
⎛ ⎞
⎛ ⎞
+ + − −
⎜ ⎟
⎜ ⎟
− ∂
∂
⎝ ⎠
⎝ ⎠
= = =
∂
⎛ ⎞
⎛ ⎞
∂
+ + − −
⎜ ⎟
⎜ ⎟
∂
− ∂
⎝ ⎠
⎝ ⎠
= = =
∂
= − = + ≈ +
∂ ∂
≈ +
∂ ∂
1
β
2
β
ตัวอยาง 2D
คาของเท็นเซอรความเคนและเท็นเซอรความเครียดมีความสัมพันธซึ่งอธิบาย
ไดดวย Constitutive matrix หรือ Stress/Strain matrix
{ } { }
[ ]
6 1 6 1
D
σ = ε
× ×
คาคงที่ที่จะนํามาใชในเมตริก [D] ขึ้นอยูวาวัตถุที่พิจารณามีคุณสมเปนแบบ
ไหนเชน Isotropic material หรือ orthotropic material หรือ Anisotropic
material
ขนาด 6 x 6 หรือ มีองคประกอบ 36 ตัว
ซึ่งไดจากคาคงที่ของวัสดุ
Generalized Hooke’s Law
‰ Constitutive matrix หรือ Stress/Strain matrix ของ Linear isotropic material
1 0 0 0
1 0 0 0
1 0 0 0
[ ]
0 0 0 1 2 0 0
(1 )(1 2 )
0 0 0 0 1 2 0
0 0 0 0 0 1 2
E
D
− ν ν ν
⎡ ⎤
⎢ ⎥
ν − ν ν
⎢ ⎥
⎢ ⎥
ν ν − ν
= ⎢ ⎥
− ν
+ ν − ν ⎢ ⎥
⎢ ⎥
− ν
⎢ ⎥
− ν
⎢ ⎥
⎣ ⎦
จะเห็นวามีคาคงที่สองตัวที่ตองหามาจากการทดลอง Eและ ν , poisson’s ratio,
(คาหลังนี้หายาก) แตเราจะหาคาหลังจากความสัมพันธนี้
( mod )
2(1 )
E
G shear ulus =
+ ν
Torsion test Tensile test
‰ orthotropic material ต.ย. เชน ไม ลามิเนตพลาสติก Rolled steel เปนตน มีคา
คุณสมบัติ 9 ตัวที่ตองหามา โดยสวนใหญจะเขียนดังนี้แทน
, ,
yz zy xy yx
zx xz
y z z x x y
E E E E E E
ν ν ν ν
ν ν
= = =
{ } { } { }
1
[ ] [ ]
1
0 0 0
1
0 0 0
1
0 0 0
[ ]
1
0 0 0 0 0
2
1
0 0 0 0 0
2
1
0 0 0 0 0
2
yx zx
x y z
xy zy
x y z
yz
xz
x y z
yz
zx
xy
D S
E E E
E E E
E E E
S
G
G
G
−
ε = σ = σ
ν
⎡ ⎤
ν
− −
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
ν ν
− −
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
ν
ν
⎢ ⎥
− −
⎢ ⎥
= ⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎣ ⎦
เมื่อ
Compliance matrix
‰ Constitutive matrix หรือ Stress/Strain matrix ของ anisotropic material นั้น
จะมีคาคงที่ของวัสดุถึง 21 คา ซึ่งจะไมกลาวถึง ณ ที่นี้
‰ ในทางปฏิบัตินั้นเราสามารถที่จะหาพิกัดฉาก
อางอิงที่เหมาะสมแลวทําใหคาสถานะความเคนที่
จุดนั้นๆ มีคาเฉพาะความเคนในแนวตั้งฉาก ซึ่งเรา
จะเรียกความเคนนี้วาเปน Principal stresses ซึ่งคา
ของมันจะมีคาที่สูงที่สุด(Maximum) คากลาง
(Intermediate) และคาต่ําสุด (Minimum)
Transform
เมื่อทําการ Transform คาเท็นเซอรความเคนแลวหรือเลือกพิกัดอางอิงที่เหมาะสม
ไดแลว ณ ที่นี้คือพิกัด
{ } { }
0 0
0 0
0 0
x xy xz x x y x z I
yx y yz y x y y z II
zx zy z z x z y z III
I II III
′ ′ ′ ′ ′
′ ′ ′ ′ ′
′ ′ ′ ′ ′
⎡ ⎤ ⎡ ⎤
σ τ τ σ τ τ σ
⎡ ⎤
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
′
σ = τ σ τ → σ = τ σ τ = σ
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
τ τ σ τ τ σ σ
⎣ ⎦
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
σ > σ > σ
Principal stresses - ความเคนหลักสูงสุดหาไดจาก
x y z
′ ′ ′
3 2
1 2 3
1
2 2 2
2
2 2 2
3
( )( )( ) 0
where
2
I II III
x y z
x y y z x z xy xz yz
x y z xy xz yz x yz y xz z xy
− + − = − − − =
= + +
= + + − − −
= + − − −
σ σ σ σ σ σ σ σ σ
σ σ σ
σ σ σ σ σ σ τ τ τ
σ σ σ τ τ τ σ τ σ τ σ τ
I I I
I
I
I
ความเคนหลักสูงสุดในระบบ 2 มิติ
‰ สามารคํานวณความเคนหลักจากสมการ
2
,
2 2
x y x y
I II xy
σ σ σ σ
σ σ τ
+ −
⎛ ⎞
= ± +
⎜ ⎟
⎝ ⎠
‰ สถานะของความเคน
x xy
yx y
σ τ
τ σ
⎡ ⎤
⎢ ⎥
⎣ ⎦
สมการนี้คือสมการของวงกลม Mohr นั่นเอง
การเสียหายของวัสดุวิศวกรรม
การเสียหายของวัสดุสามารถแบงออกไดดังนี้ดังตอไปนี้
1. Instantaneous fracture (Overload)
2. Yielding (Plastic deformation)
3. Fatigue (Delayed fracture)
4. Corrosion (Environmentally-assisted cracking)
5. Creep (Time dependent plastic deformation)
6. Wear( Surface damage)
Instantaneous Fracture
Tensile test results : (a) Ductile Fracture (b) Brittle Fracture
การคราก(Yielding)
Plastic deformation is
induced and the original
structure is not returned to
its original shape
การลา(Fatigue)
This high tensile steel bolt failed under low stress high cycle conditions
with a fatigue crack running from 9 o'clock as shown by the beach
marks.
Crack origin
การกัดกรอน(Corrosion)
The deep drawn brass cup on the right shows stress corrosion
cracking under the influence of the residual manufacturing
stresses and a mildly corrosive environment. The cup on the
left has been annealed before putting it into service which
solves the problem
การคืบ(Creep)
Failed toilet float - creep failure due to overtightening.
การสึกหรอ(Wear)
Wear may be defined as damage to a solid
surface caused by the removal or displacement of
material by the mechanical action of a contacting
solid, liquid, or gas.
Abrasion of gear
tooth surface
ทฤษฎีการเสียหาย(Failure theories)
เราสามารถทํานายการเสียหาย(เกิดการครากแลวหรือแตกหัก)ของวัสดุ
ไดดวยทฤษฎีดังตอไปนี้
1. Maximum principal stress theory
2. Maximum shear stress theory
3. Distortion energy theory
หมายเหตุ : จริงๆแลวมีทฤษฎีอื่นๆอีกแตทั้งสามทฤษฎีนี้ เปนที่นิยมใชสําหรับ
โลหะ เซรามิค และพลาสติก เปนตน
Maximum Principal Stress Theory
ทฤษฎีกลาวไววา “การครากของวัสดุจะเกิดขึ้นเมื่อคาสมบูรณความเคนหลักมีคา
เทากับหรือมากกวาคาความเคนแรงดึงสูงสุด(uni-axial tensile yield strength)”
ทฤษฎีมักจะนําไปใชทํานายการเสียหายของวัสดุเปราะ
( , , )
I II III y
MAX σ σ σ σ
≥
Maximum Shear Stress Theory
‰มีชื่ออีกอยางหนึ่งวา “Tresca criterion” ซึ่งมาจากชื่อของนักวิทยาศาสตรชาว
ฝรั่งเศสที่ชื่อวา Henri Tresca ทฤษฎีกลาวไววา “การครากของวัสดุจะเกิดขึ้นเมื่อคา
ความเคนเฉือนสูงสุดมีคาเทากับหรือมากกวาคาความเคนเฉือนคราก (τy =
σy/2) ของวัสดุที่อยูภายใตแรงกระทําตามแนวแกนอยางเดียวแบะคาความเคน
เทากับความเคนแรงดึงสูงสุด ทฤษฎีมักจะนําไปใชทํานายการเสียหายของวัสดุ
เหนียว
( , , )
2 2 2 2
y
II III III I I II
y
MAX
σ
σ σ σ σ σ σ
τ
− − −
= =
, ,
2 2 2
II III III I I II
I II III
σ σ σ σ σ σ
τ τ τ
− − −
= = =
คาความเคนเฉือนหลักหาไดโดย
Distortion Energy Theory
‰ทฤษฎีนี้สมมุติใหพลังงานความเครียดรวมสามารถแบงออกเปนสองสวนคือ
volumetric (hydrostatic) strain energy และ shape (distortion or shear) strain
energy ดังนั้นพลังงานที่ทําใหเกิดการครากจะมาจากสวนหลัง ทฤษฎีจึงกลาวไววา
“การครากจะเกิดขึ้นเมื่อ distortion energy มีคามากกวาความเคนแรงดึงสูงสุด”
ทฤษฎีนี้เปนที่รูจักกันดีในนาม Von Mises criterion และสามารถแสดงเปนสมการ
ไดดังนี้
2 2 2 2
1
( ) ( ) ( )
2
I II II III III I y
σ σ σ σ σ σ σ
⎡ ⎤
− + − + − =
⎣ ⎦
หรือ
2 2 2 2 2 2 2
1
( ) ( ) ( ) 6( )
2
x y y z z x xy yz zx y
σ σ σ σ σ σ τ τ τ σ
⎡ ⎤
− + − + − + + + =
⎣ ⎦
1/2
2 2 2 2 2 2
1
( ) ( ) ( ) 6( )
2
von x y y z z x xy yz zx
σ σ σ σ σ σ σ τ τ τ
⎡ ⎤
= − + − + − + + +
⎣ ⎦
Von Mises stress
Examples of Calculation
Example: A three dimensional state of stress is as follows:
100 80 0
80 60 0
0 0 40
ij MPa
σ
⎡ ⎤
⎢ ⎥
= −
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎣ ⎦
Solution: Substitute in the principal stress equation, we get
1
2
2
2
3
100 60 40 80
100 ( 60) ( 60) 40 100 40 80 10,800
100 ( 60) 40 40 80 496,000
I
I
I
= − + =
= × − + − × + × − = −
= × − × − × =
Find the principal stresses?
Examples of Calculation (cont.)
3 2
2
3
1
2
80 10,800 496,000 0
or
( 40)( 40 12,400) 0
40 MPa
133.1 MPa
93.1 MPa
σ σ σ
σ σ σ
σ
σ
σ
− − + =
− − + =
∴ =
=
= −
Examples of Failure Calculation
Question From previous example, if the material has tensile
yield strength equal to 100 MPa, determine that the plastic
deformation has already occurred or not. Use the
following criterions,
1. Maximum principal stress theory
2. Maximum shear stress theory
3. Distortion energy theory
Solution : 1) Maximum principal stress theory
1 2 3
( 133.1 , 93.1 , 40 ) 133.1 100
σ σ σ
= = − = = >
MAX
Therefore, yielding has occurred.
Examples of Failure Calculation (cont.)
2 3
1
1 3
2
1 2
3
93.1 40
66.5
2 2
133.1 40
46.55
2 2
133.1 ( 93.1)
113.1
2 2
σ σ
τ
σ σ
τ
σ σ
τ
− − −
= = =
− −
= = =
− − −
= = =
Solution : 2) Maximum shear stress theory
Therefore, yielding has occurred.
3 max 113.1 100/ 2
τ τ
= = >
Examples of Failure Calculation (cont.)
Solution : 3) Distortion energy theory
Therefore, yielding has occurred.
2
2 2 2 2
1
(133.1 ( 93.1)) (( 93.1) 40) (40 133.1)
2
196.91 100
σ
σ
⎡ ⎤
− − + − − + − =
⎣ ⎦
= >
e
e
Tutorial
Problem The round bar is subjected to a force and torque, as
shown below. Determine
1) State of stress at any point within a body
2) Principal normal stresses
Tutorial (cont.)
σxx = F/A
τxy = Tr/J, J (Circular Shaft) = πr4/2, r = outside radius of a
solid shaft, shear is maximum at outside radius
• If solid shaft material is AISI 1030, determine that is it failed
by yielding or not?
ปญหาแบบสองมิติของกลศาสตรของแข็ง
ปญหาบางสวนสามารถที่จะลดรูปใหเปนปญหาแบบสองมิติได ซึ่ง
แบงเปนดังนี้
1. Plane stress problem
2. Plane strain problem
3. Axisymmetric problem
ซึ่งเราจะมาพิจารณากันตอไปวาปญหาแบบนี้มีนิยามอยางไร
ปญหา Plane stress
ปญหาที่ซึ่งมีแรงกระทําบนระนาบ xy และความหนาของวัตถุมีขนาดเล็กดัง
ตัวอยางดังรูปขางลาง
{ }
, 0
x
x xy
y
yx y
xy
xy yx z yz xz
⎧ ⎫
σ
σ τ
⎡ ⎤ ⎪ ⎪
σ = = σ
⎨ ⎬
⎢ ⎥
τ σ
⎣ ⎦ ⎪ ⎪
τ
⎩ ⎭
τ = τ σ = τ = τ =
ปญหา Plane stress (ตอ)
สําหรับ Isotropic material ความสัมพันธระหวางความเคนและ
ความเครียด มีคาดังนี้
{ } 2
1 0
[ ] 1 0
1
0 0 1
x x x
y y y
xy xy xy
v
E
D v
v
⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎧ ⎫
σ ε ε
⎡ ⎤
⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
σ = σ = ε = ε
⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
− ν
⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪
⎢ ⎥
τ ε − ε
⎣ ⎦
⎩ ⎭ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭
ปญหา Plane stress (ตอ)
1
0
1
[ ] 0
1
0 0
2
yx
x y
x x x
xy
y y y
x y
xy xy xy
xy
yx xy
y x
v
E E
v
S
E E
G
when
E E
⎡ ⎤
−
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎧ ⎫
ε σ σ
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪
ε = σ = − σ
⎢ ⎥
⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬
⎢ ⎥
⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪
ε τ τ
⎩ ⎭ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎣ ⎦
ν ν
=
สําหรับ orthotropic material ตัวอยางดังรูป ความสัมพันธระหวาง
ความเคนและความเครียด มีคาดังนี้ (มีคาคงที่ 4 ตัว)
ปญหา Plane strain
ปญหาที่ซึ่งมีแรงกระทําบนระนาบ xy และความหนาของวัตถุมีขนาดใหญ
มากตัวอยางดังรูปขางลาง
{ }
, 0, 0
x
x xy
y
yx y
xy
xy yx z yz xz z
⎧ ⎫
ε
ε ε
⎡ ⎤ ⎪ ⎪
ε = = ε
⎨ ⎬
⎢ ⎥
ε ε
⎣ ⎦ ⎪ ⎪
ε
⎩ ⎭
ε = ε ε = ε = ε = σ ≠
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem
Introduction fem

More Related Content

Similar to Introduction fem

กฎของเลขยกกำลัง
กฎของเลขยกกำลังกฎของเลขยกกำลัง
กฎของเลขยกกำลังNiwat Namisa
 
การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงการเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงkroosarisa
 
บทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
บทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงบทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
บทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงkroosarisa
 
Student-pilot-handbook-by-tutor ferry (Ex)
Student-pilot-handbook-by-tutor ferry (Ex)Student-pilot-handbook-by-tutor ferry (Ex)
Student-pilot-handbook-by-tutor ferry (Ex)Tutor Ferry
 
Comprehensive Examination (structural engineering)
Comprehensive  Examination (structural engineering)Comprehensive  Examination (structural engineering)
Comprehensive Examination (structural engineering)Anirut Dechabooya
 
กฎของเลขยกกำลัง
กฎของเลขยกกำลังกฎของเลขยกกำลัง
กฎของเลขยกกำลังNiwat Namisa
 
บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]
บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]
บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]Thepsatri Rajabhat University
 

Similar to Introduction fem (14)

อนุพันธ์ของฟังก์ชัน
อนุพันธ์ของฟังก์ชันอนุพันธ์ของฟังก์ชัน
อนุพันธ์ของฟังก์ชัน
 
กฎของเลขยกกำลัง
กฎของเลขยกกำลังกฎของเลขยกกำลัง
กฎของเลขยกกำลัง
 
การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงการเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
 
บทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
บทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงบทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
บทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
 
เครื่องมือ 7 คุณภาพ
เครื่องมือ 7 คุณภาพเครื่องมือ 7 คุณภาพ
เครื่องมือ 7 คุณภาพ
 
4339
43394339
4339
 
Student-pilot-handbook-by-tutor ferry (Ex)
Student-pilot-handbook-by-tutor ferry (Ex)Student-pilot-handbook-by-tutor ferry (Ex)
Student-pilot-handbook-by-tutor ferry (Ex)
 
11
1111
11
 
ACO ant colony
ACO ant colonyACO ant colony
ACO ant colony
 
Comprehensive Examination (structural engineering)
Comprehensive  Examination (structural engineering)Comprehensive  Examination (structural engineering)
Comprehensive Examination (structural engineering)
 
Pathaya
PathayaPathaya
Pathaya
 
Epi info unit09
Epi info unit09Epi info unit09
Epi info unit09
 
กฎของเลขยกกำลัง
กฎของเลขยกกำลังกฎของเลขยกกำลัง
กฎของเลขยกกำลัง
 
บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]
บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]
บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]
 

Introduction fem

  • 1. ระเบียบวิธีไฟไนตเอลิเมนต ( Finite Element Method, FEM ] โดย ผศ.ดร. มนตศักดิ์ พิมสาร
  • 2. Engineering Analysis Classical Methods Numerical Methods Closed-form Approximate Finite Element Finite Difference Boundary Element วิธีการแกปญหาทางวิศวกรรม ‰ ระเบียบวิธีไฟไนตเอลิเมนตเปนวิธีการหนึ่งในการนํามาวิเคราะห ปญหาทางวิศวกรรม
  • 3. บทนําเกี่ยวกับระเบียบวิธีไฟไนตเอลิเมนต ¾ ระเบียบวิธีไฟไนตเอลิเมนตเปนวิธีเชิงตัวเลขที่ใชแกปญหา ทางฟสิกส หรือทาง วิศวกรรม และอื่นๆ ¾ รูปแบบปญหาคือ การหาฟงกชันการกระจายตัวของตัวแปรในระบบสามมิติ ซึ่ง ปญหาแตละอันจะสามารถอธิบายดวย ¾ Differential equation/Integral equation ¾ Finite element คือ องคประกอบยอยๆของโดเมนโครงสราง สําหรับวิธีการของ FEM โดเมนของโครงสรางถูกแบงยอยเปนองคประกอบ ยอยที่มีรูปรางอยางงายขนาดเล็ก องคประกอบยอยนี้จะถูกเรียกเปน “element” โดเมนของโครงสราง: มีระดับความเสรีแบบอนันต ( infinite number of DOF) โดเมนของแบบจําลอง : มีระดับความเสรีจํากัด (finite number of DOF)
  • 4. โดเมนของโครงสราง: มีระดับความเสรีแบบอนันต ( infinite number of DOF) โดเมนของแบบจําลอง : มีระดับความเสรีจํากัด (finite number of DOF) ดังนั้นเองนี้จึงเปนที่มาของ “Finite element method” ¾ ในแตละ element การกระจายตัวของตัวแปรที่เราสนใจนั้น จะมีคาตางกันตาม ตําแหนงใดๆ ¾ รูปดานซายแสดงตัวอยางของรูปราง Mesh, Element และ Node ¾ ตัวแปรที่เราสนใจคือ u(x,y)(การขจัด ตามแนวแกน x) และ v(x,y) (การขจัดตาม แนวแกน y)
  • 5. ขั้นตอนในการทําแบบจําลอง FEM ‰ FEM คือ การสรางสถานการณจําลองขึ้นมา (Simulation) ‰ คาความผิดพลาดมาจาก Modeling error, Discretization error, Numerical error
  • 7. ประวัติของ FEM ‰ มันเปนการยากที่จะบอกไดวา FEM ไดเริ่มเกิดขึ้นมาเมื่อไหร เพราะวาแนวคิด พื้นฐานของมันไดถูกพัฒนามากอนหนานี้เมื่อ 150 ป หรือมากกวานี้ ‰ Clough คือ บุคคลแรกที่ไดบัญญัติเทอม Finite element ในชวงตอนตนทศวรรษที่ 1960 จากนั้นวิศวกรไดใช FEM แกปญหาทางดานการวิเคราะหความเคน การวิเคราะห การไหล การถายเทความรอนและอื่นๆ ‰ หนังสือเลมแรกที่เกี่ยวกับ FEM แตงโดย Zienkiewicz และ Cheung ซึ่งตีพิมพในป 1967 ‰ ในปลายทศวรรษ 1960 และตนทศวรรษ 1970 ไดมีการนําเอา FEM มาใชแกปญหา ในทางวิศวกรรมกันอยางแพรหลาย
  • 8. ประวัติของ FEM ‰ ในทศวรรษที่ 1970 การพัฒนา FEM ไดมีความกาวหนาอยางมาก โดยไดมีการ พัฒนา เอลิเมนตใหมๆขึ้นมา และไดมีการศึกษา Convergent ของวิธี FEM ‰ ซอฟแวรสวนใหญ ไดออกวางขายใน ชวงทศวรรษที่ 1970 เชน ABAQUS, ADINA, ANSYS, MARC, PAFEC ‰ ซอฟแวรสวนใหญ ไดออกวางขายใน ชวงทศวรรษที่ 1980 เชน FENRIS, LARSTRAN’80, SESAM’80
  • 9. ขอดีของ FEM ‰ สามารถนํามาใชวิเคราะหปญหาที่มีรูปรางซับซอนได (จุดเดนที่สุด) ‰ สามารถนํามาใชวิเคราะหปญหาที่ซับซอนเชน ‰ Vibration ‰ Transients ‰ Nonlinear ‰ Heat Transfer ‰ Fluids ‰ Buckling ‰ Electromagnetic ‰ Multi-Physics
  • 10. ขอดีของ FEM ‰ สามารถนํามาใชวิเคราะหปญหาที่รับภาระตางๆเชน ‰ ภาระที่กระทํากับ node เชน point loads ‰ ภาระที่กระทํากับ element เชน pressure, thermal, inertia forces, gravity forces ‰ ภาระที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา หรือภาระที่ขึ้นอยูกับความถี่ ‰ สามารถนํามาใชวิเคราะหปญหาที่วัตถุมีคุณสมบัติแบบ non-isotropic ‰ Orthotropic ‰ Anisotropic
  • 11. ขอดีของ FEM ‰ สามารถนํามาใชวิเคราะหปญหาที่วัตถุมีคุณสมบัติพิเศษเชน ‰ คุณสมบัติของวัตถุเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ ‰ Plasticity ‰ Creep ‰ Swelling ‰ สามารถนํามาใชวิเคราะหปญหาที่มีเปนแบบ ‰ Large displacements ‰ Large rotations ‰ Contact (gap) conditions
  • 12. ขอเสียของ FEM ‰ เปนวิธีการประเมินเชิงตัวเลขดังนั้นจะมี error เกิดขึ้นเสมอ ‰ ผูใชตองมีประสบการณและความชํานาญในการทําแบบจําลอง FEM ถึง จะทําใหไดคําตอบที่สอดคลองกับความเปนจริง ‰ ตองใชคอมพิวเตอรที่มีสมรรถนะสูงและซอฟแวรที่นาเชื่อถือได(ราคา แพง) ‰ มีปญหาเชิงตัวเลขเกิดขึ้นจาก ‰ เนื่องจากคอมพิวเตอรสามารถเก็บคาเลขนัยสําคัญไดจํากัด ‰ Round-off error สะสม
  • 13. ขอเสียของ FEM ‰ เปนวิธีการประเมินเชิงตัวเลขดังนั้นจะมี error เกิดขึ้นเสมอ ‰ ผูใชตองมีประสบการณและความชํานาญในการทําแบบจําลอง FEM ถึง จะทําใหไดคําตอบที่สอดคลองกับความเปนจริง ‰ ตองใชคอมพิวเตอรที่มีสมรรถนะสูงและซอฟแวรที่นาเชื่อถือได(ราคา แพง) ‰ มีขอผิดพาดเกิดขึ้นจากการทํา Modeling เนื่องจาก ‰ การเลือกใชชนิดอิลิเมนตที่ไมเหมาะสม ‰ การใช Distorted element ในโมเดล ‰ การทําเม็ชที่ไมเหมาะสม
  • 14. ขอเสียของ FEM ‰ พฤติกรรมบางอยางไมไดรวมใหโดยอัตโนมัติเชน ‰ Buckling ‰ Large displacements และ Large rotations ‰ Materials nonlinearities ‰ Nonlinearities อื่นๆเชน Contact condition
  • 15. ขั้นตอนพื้นฐานของระเบียบวิธีไฟไนตเอลิเมนต 1. ขั้นตอนของการเตรียมแบบจําลอง (Preprocessing phase) ‰ การสรางรูปรางของแบบจําลอง (Geometric construction) ‰ การแบงโดเมนของแบบจําลองออกเปนเอลิเมนตยอยๆตอกัน โดยแตเอลิ เมนตจะประกอบไปดวยโนด (Discretization) ‰ การกําหนด shape function ซึ่งแสดงถึงพฤติกรรมทางกายภาพของเอลิเมนต หรือผลเฉลยของเอลิเมนต(คาประมาณ) ‰ สรางสมการสําหรับเอลิเมนต ‰ กําหนดคาเงื่อนไขเริ่มตน สภาวะโหลดและสภาวะขอบใหกับปญหา ‰ กําหนดคุณสมบัติของวัสดุ (Material properties)
  • 16. 2. ขั้นตอนการหาคําตอบ (Solution phase) การแกหาคําตอบของสมการซึ่งอยูในรูปสมการเชิงเสนหรือสมการไม เชิงเสน ซึ่งคําตอบคือคาการกระจัดที่โนดตางๆ หรือคาอุณหภูมิที่โนด ตางๆ(ในกรณีเปนปญหาการถายเทความรอน) 3. การวิเคราะหผลลัพธ (Postprocessing phase) การวิเคราะหหาผลลัพธที่เราสนใจเพิ่มเติมเชนเราอาจอยากจะทราบคา ความเคนหลัก ฟลักซความรอน เปนตน
  • 17. ปญหาทางกลศาสตรของแข็ง(Solid-Mechanics) Analysis of solids Static Dynamics Behavior of Solids Linear Nonlinear Material Fracture Geometric Large Displacement Instability Plasticity Viscoplasticity Geometric Classification of solids Skeletal Systems 1D Elements Plates and Shells 2D Elements Solid Blocks 3D Elements Trusses Cables Pipes Plane Stress Plane Strain Axisymmetric Plate Bending Shells with flat elements Shells with curved elements Brick Elements Tetrahedral Elements General Elements Elementary Advanced Stress Stiffening
  • 21. การสรางเอลิเมนต 1 มิติ (1D element or Line element) วิธีการสรางเอลิเมนต 1 มิติโดย 1. Direct stiffness method (เราจะใชอันนี้) 2. Weighted residual method 3. Minimum potential energy method (เราจะใชอันนี้) 4. Variational method
  • 22. การสรางเอลิเมนต 1 มิติโดยวิธี Direct stiffness ‰ วิธีการสรางเอลิเมนต 1 มิติ (Spring element or bar element) รูปขางลางแสดงสปริงในพิกัดสามมิติ ˆˆˆ xyz Global coordinate system xyz Local coordinate system − −
  • 23. ในการพิจารณาที่สปริงเอลิเมนตใดๆนั้นเราจะกําหนดให ทิศทางของแรงที่ กระทําที่โนด(Nodal force) และการกระจัดที่โนด(Nodal displacement) มีทิศทาง และสัญลักษณแสดงดังรูป 1 2 1 2 ˆ ˆ , 1 2 ˆ ˆ , 1 2 x x x x f f Local nodal forces at node and d d Local nodal displacements at node and − − L คือความยาวของสปริงกอนยืดหรือหด k คือคาคงที่ของสปริง
  • 24. สิ่งที่เราตองการในตอนนี้คือตองการแสดงความสัมพันธของแรงกระทําที่โนด และการกระจัดที่โนดของสปริงเอลิเมนต ซึ่งจะเขียนเปนสมการไดดังนี้ 1 1 11 12 21 22 2 2 ˆ ˆ (1) ˆ ˆ x x x x f d k k k k f d ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ หรือ ˆ ˆ ˆ f k d = ˆ 2 1 ˆ 2 2 ˆ 2 1 f Local nodal forces matrix k Element stiffness matrix d Local nodal displacements matrix − − × − − × − − × เมื่อ
  • 25. ขั้นตอนที่ 1 กําหนดชนิดเอลิเมนต กําหนดเอลิเมนตที่จะพัฒนาเปนสปริงเอลิเมนต สมมุติสปริงถูกกระทําดวย แรงดึง T ทั้งสองขางและแกน x ของ Local coordinate ชี้จากโนด 1 ไปยัง โนด 2 ดังรูป ˆ 0 x = x̂ L = โนด 1 โนด 2 แตละโนดมีความอิสระในการเคลื่อนที่ได 1 แบบ(ตามแนวแกนสปริง) – DOF = 1
  • 26. ขั้นตอนที่ 2 การกําหนดฟงกชันของการกระจัด เปนขั้นตอนการกําหนดเลือกฟงกชันทางคณิตศาสตรเพื่อจะนํามาอธิบายการ เสียรูปของสปริง ซึ่งฟงกชันนี้จะถือวาเปนคาประมาณ(Approximate solution) ฟงกชันที่เลือกใชสวนใหญเปนฟงกชันโพลีโนเมียล ณ.ที่นี้เราใชฟงกชันเชิง เสน (Linear function) [ ] 1 1 2 2 ˆ ˆ ˆ ˆ ( ) 1 (2) a u x a a x x a ⎧ ⎫ = + = ⎨ ⎬ ⎩ ⎭ โดย a1 และ a2 คือคาคงที่และจะหาไดจากเงื่อนไขดังนี้ 1 2 ˆ ˆ ˆ ( 0) ˆ ˆ ˆ ( ) x x u x d u x L d = = = =
  • 27. ขั้นตอนที่ 2 การกําหนดฟงกชันของการกระจัด(ตอ) จากนั้นทําการแทนคาเงื่อนไขดังกลาวลงในสมการที่ (2) จะได 1 1 2 2 1 ˆ ˆ ˆ ( 0) (3) ˆ ˆ ˆ ˆ ( ) (4) x x x u x d a u x L d a L d = = = = = = + หรือได a2 ดังนี้ 2 1 2 ˆ ˆ (5) x x d d a L − = นํากลับไปแทนในสมการที่ (2) ได [ ] 2 1 1 1 1 1 2 2 2 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ( ) ˆ ˆ ˆ ˆ 1 (6) ˆ ˆ x x x x x x x d d u x x d L d d x x N N L d d ⎛ ⎞ − = + ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎝ ⎠ ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎡ ⎤ = − = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭
  • 28. ขั้นตอนที่ 2 การกําหนดฟงกชันของการกระจัด(ตอ) โดย N1 และ N2 คือ shape function และมีคุณสมบัติดังรูปดานขวามือ
  • 30. ขั้นตอนที่ 4 การพิสูจนหา Element stiffness matrix จากรูปแรงที่โนด 1 และ 2 1 2 ˆ ˆ (9) x x f T f T = − = จากสมการที่ (8) และ (9) เราสรุปได 1 2 1 2 2 1 ˆ ˆ ˆ ( ) (10) ˆ ˆ ˆ ( ) (11) x x x x x x T f k d d T f k d d = − = − = = − เราสามารถเขียนสมการ (10) และ (11) ในรูปเมตริกดังนี้ 1 1 2 2 ˆ ˆ (12) ˆ ˆ x x x x f d k k k k f d ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ − ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ Local stiffness matrix หรือ Element stiffness matrix
  • 31. ขั้นตอนที่ 5 การประกอบเอลิเมนตเขาดวยกัน ขั้นตอนนี้จะทําการประกอบเอลิเมนตทุกอันเขาดวยกันจะทําใหเราได Global equation ซึ่ง สมการนี้จะแสดงถึงความสัมพันธของ Nodal forces และ Nodal displacements ซึ่ง มี Global matrix เปนตัวแสดงความสัมพันธหรือเขียนสมการไดดังนี้ { } [ ]{ } (13) F K d or F K d = = โดย [ ] { } ( ) ( ) 1 1 N N e e e e K K k F F f = = = = = = ∑ ∑
  • 32. ขั้นตอนที่ 6 ทําการแกสมการหาคา Nodal displacements จากนั้นทําการกําหนดคาสภาวะขอบลงไปในสมการที่ (13) จากนั้นทําการแกสมการหา คา การกระจัดที่โนด (Nodal displacements) ขั้นตอนที่ 7 ทําการแกหาคาแรงที่กระทําที่โนดตางๆ ภายใน เอลิเมนต นําเอาคาการกระจัดที่คํานวณไดแทนลงในสมการที่ (12) เพื่อหาคาแรงที่กระทํา ที่โนดภายในเอลิเมนต
  • 33. ตัวอยาง (1) 1 1 1 1 (1) 1 1 3 3 ˆ ( ) ˆ x x x x f k k d a k k d f ⎧ ⎫ − ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ (2) 3 2 2 3 (2) 2 2 2 2 ˆ ( ) ˆ x x x x f k k d b k k d f ⎧ ⎫ − ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ เอลิเมนต 1 เอลิเมนต 2 Compatibility conditions (1) (2) 3 3 3 ( ) x x x d d d c = =
  • 34. (1) (2) 3 3 3 (2) 2 2 (1) 1 1 ( ) ( ) ( ) x x x x x x x F f f d F f e F f f = + = = Free body diagram แสดง Nodal forces นําคาสมการ (a) และ (b) ลงในสมการ (d), (e) และ (f) จะได 3 1 1 1 3 2 3 2 2 2 2 3 2 2 1 1 1 1 3 ( ) ( ) ( ) x x x x x x x x x x x F k d k d k d k d F k d k d g F k d k d = − + + − = − + = −
  • 35. นําสมการ (g) มาเขียนเปนเมตริก 3 1 2 2 1 3 2 2 2 2 1 1 1 1 0 ( ) 0 x x x x x x F k k k k d F k k d h F k k d + − − ⎧ ⎫ ⎡ ⎤⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = − ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − ⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭ 1 1 1 1 2 2 2 2 3 1 2 1 2 3 0 0 ( ) x x x x x x F k k d F k k d i F k k k k d − ⎧ ⎫ ⎡ ⎤⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = − ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − − + ⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭ (13) F K d = นําสมการ (h) มาเขียนใหมเปน หรือ F Global nodal force matrix d Global nodal displacement matrix K Total or global system stiffness matrix = = =
  • 36. การหา Global equations โดย Superposition เราสามารถหาไดโดยใชหลักการของ Superposition ดังนี้ (1) (1) 1 1 1 (1) (1) 1 2 2 2 (1) (1) 3 3 3 1 0 1 0 0 0 ( ) 1 0 1 x x x x x x x x x d d f k d d f j d d f ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ − = ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − = ⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎩ ⎭ เอลิเมนต 1 จากสมการ (a) ในตัวอยางที่แลวสามารถเขียนใหมได เอลิเมนต 2 จากสมการ (b) ในตัวอยางที่แลวสามารถเขียนใหมได (2) (2) 1 1 1 (2) (2) 2 2 2 2 (2) (2) 3 3 3 0 0 0 0 1 1 ( ) 0 1 1 x x x x x x x x x d d f k d d f k d d f ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ = ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − = = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − = ⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎩ ⎭ 0 0
  • 37. จับสมการ (j) และ (k) บวกกัน และจากสมดุลแรงที่แตละโนด จากสมการ (d), (e) และ (f) ในตัวอยางที่แลว เราจะได (1) 1 1 1 1 (2) 1 2 2 2 2 2 (1) (2) 3 3 3 3 3 1 0 1 0 0 0 0 0 0 0 0 1 1 0 ( ) 1 0 1 0 1 1 x x x x x x x x x x x x x d d f F k d k d f F l d d f f F ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ − ⎡ ⎤⎧ ⎫ ⎡ ⎤⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ + − = + = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − − ⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ หรือเขียนไดเหมือนสมการ (i) 1 1 1 1 2 2 2 2 3 1 2 1 2 3 0 0 ( ) x x x x x x F k k d F k k d i F k k k k d − ⎧ ⎫ ⎡ ⎤⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = − ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − − + ⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭ (13) F K d = หรือ
  • 38. ตัวอยางเชิงตัวเลข กําหนดระบบสปริงดังรูป,มีแรงภายนอกกระทําที่โนด 4 เทากับ 5000 lb และหมายเลข โนดกําหนดใหดังรูป จงหา (1) Global stiffness matrix (2) การกระจัดที่โนด 3 และ 4 (3) แรงปฎิกิริยาที่โนด 1 และ 2
  • 39. เอลิเมนต 1 ประกอบดวยโนด 1 และ 3 Element stiffness matrix คือ (1) 1 3 1000 1000 1 1000 1000 3 k − ⎡ ⎤ = ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ เอลิเมนต 2 ประกอบดวยโนด 3 และ 4 Element stiffness matrix คือ (3) 4 2 3000 3000 4 3000 3000 2 k − ⎡ ⎤ = ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ เอลิเมนต 3 ประกอบดวยโนด 4 และ 2 Element stiffness matrix คือ (2) 3 4 2000 2000 3 2000 2000 4 k − ⎡ ⎤ = ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦
  • 40. Element stiffness matrix ทั้งหมดเขียนใหมไดดังนี้ (1) 1 2 3 4 1000 0 1000 0 1 0 0 0 0 2 1000 0 1000 0 3 0 0 0 0 4 k − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ (2) 1 2 3 4 0 0 0 0 1 0 0 0 0 2 0 0 2000 2000 3 0 0 2000 2000 4 k ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ (3) 1 2 3 4 0 0 0 0 1 0 3000 0 3000 2 0 0 0 0 3 0 3000 0 3000 4 k ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦
  • 41. จากนั้นจับ Element stiffness matrix บวกกัน (1) (2) (3) 1000 0 1000 0 0 3000 0 3000 1000 0 1000 2000 2000 0 3000 2000 2000 3000 1000 0 1000 0 0 3000 0 3000 1000 0 3000 2000 0 3000 2000 5000 K k k k = + + − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − + − ⎢ ⎥ − − + ⎣ ⎦ − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ − − ⎣ ⎦ Global stiffness matrix 1 1 2 2 3 3 4 4 1000 0 1000 0 0 3000 0 3000 1000 0 3000 2000 0 3000 2000 5000 x x x x x x x x F d F d F d F d − ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ − − ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭
  • 42. กําหนดสภาวะขอบและภาระที่กระทําที่โนด 3 และ 4 จะไดสมการ 1 1 2 2 3 3 4 4 0 1000 0 1000 0 0 0 3000 0 3000 0 1000 0 3000 2000 5000 0 3000 2000 5000 x x x x x x x x F d F d F d F d = − ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ = − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = − − ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ หรือ 3 4 0 3000 2000 5000 2000 5000 x x d d − ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − ⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭ แกสมการได 3 4 10 15 11 11 x x d in d in = = นําคาที่ไดไปแทนในสมการเมตริกขางบนได 1 2 10,000 45,000 11 11 x x F lb F lb = − = −
  • 43. การสรางเอลิเมนตเมตริกสําหรับบาร(Bar or rod) ‰ เราสามารถลอกเลียนแบบการสรางเอลิเมนตเมตริกสําหรับบารที่อยูภายใตแรง ตามแนวแกนไดเชนเดียวกับกรณีสปริง โดยคาคงที่สปริงของบารคือ (14) AE k L = โดย A = พื้นที่หนาตัดของบาร L = ความยาวเดิมของบาร E = Young’s modulus ของบาร
  • 44. ดังนั้นเราจะสามารถสรุปไดวาสําหรับบารเอลิเมนต เอลิเมนตเมตริกของบารคือ 1 1 ˆ (15) 1 1 AE k L − ⎡ ⎤ = ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ ความเคนภายในเอลิเมนตหาไดจากสมการความสัมพันธ [ ] 2 1 1 2 ˆ ˆ ( ) ˆ 1 1 (16) ˆ x x x x E E E d d L L d E L d δ σ = ε = = − ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ = − ⎨ ⎬ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ Note: ดังนั้นจะเห็นวาความเคนตามแนวแกนภายในเอลิเมนตนั้นๆหรือ ภายในแทงบารจะมีคาคงที่ตลอดทั่วทั้งเอลิเมนต
  • 45. ตัวอยางปญหาของบารเอลิเมนต ระบบโครงสรางบารดังรูป จงหา (1) Global stiffness matrix (2) การกระจัดที่โนด 2 และ 3 (3) แรงปฎิกิริยาที่โนด 1 และ 4 (4) ความเคนภายในแตละเอลิเมนต ถากําหนดใหแรงกระทําที่โนด 2 ในทิศทางแกน x เทากับ 3000 lb ความยาวของแตละเอลิเมนตเทากับ 30 in E = 30 x 106 psi และ A = 1 in2 สําหรับเอลิเมนต 1 และ 2 E = 15 x 106 psi และ A = 2 in2 สําหรับเอลิเมนต 3
  • 46. เอลิเมนต 1 ประกอบดวยโนด 1 และ 2 Element stiffness matrix คือ 6 (1) 6 1 2 1 1 1 1 (1)(30 10 ) 10 1 1 1 1 30 lb k in − − ⎡ ⎤ ⎡ ⎤ × = = ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − − ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ เอลิเมนต 2 ประกอบดวยโนด 2 และ 3 Element stiffness matrix คือ เอลิเมนต 3 ประกอบดวยโนด 3 และ 4 Element stiffness matrix คือ 6 (2) 6 2 3 1 1 1 1 (1)(30 10 ) 10 1 1 1 1 30 lb k in − − ⎡ ⎤ ⎡ ⎤ × = = ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − − ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ 6 (3) 6 3 4 1 1 1 1 (2)(15 10 ) 10 1 1 1 1 30 lb k in − − ⎡ ⎤ ⎡ ⎤ × = = ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − − ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
  • 47. Element stiffness matrix ทั้งหมดเขียนใหมไดดังนี้ (1) 6 1 2 3 4 1 1 0 0 1 1 1 0 0 2 10 0 0 0 0 3 0 0 0 0 4 lb k in − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ (2) 6 1 2 3 4 0 0 0 0 1 0 1 1 0 2 10 0 1 1 0 3 0 0 0 0 4 lb k in ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ (3) 6 1 2 3 4 0 0 0 0 1 0 0 0 0 2 10 0 0 1 1 3 0 0 1 1 4 lb k in ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦
  • 48. จากนั้นจับ Element stiffness matrix บวกกัน (1) (2) (3) 6 6 1 1 0 0 1 1 1 1 0 10 0 1 1 1 1 0 0 1 1 1 1 0 0 1 2 1 0 10 0 1 2 1 0 0 1 1 K k k k lb in lb in = + + − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − + − ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − + − ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ Global stiffness matrix 1 1 2 2 6 3 3 4 4 1 1 0 0 1 2 1 0 10 0 1 2 1 0 0 1 1 x x x x x x x x F d F d F d F d − ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ − ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭
  • 49. กําหนดสภาวะขอบและภาระที่กระทําที่โนด 2 และ 3 จะไดสมการ 1 1 2 2 6 3 3 4 4 0 1 1 0 0 3000 1 2 1 0 10 0 0 1 2 1 0 0 0 1 1 x x x x x x x x F d F d F d F d = − ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ = − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = − ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ หรือ 2 6 3 3000 2 1 10 0 1 2 x x d d − ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − ⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭ แกสมการได 2 3 0.002 0.001 x x d in d in = = นําคาที่ไดไปแทนในสมการเมตริกขางบนได 6 6 1 4 10 (0 0.002) 2000 10 ( 0.001 0) 1000 x x F lb F lb = − = − = − + = −
  • 50. ความเคนภายในเอลิเมนต 1 (1) 6 (1) 3 2 1 (1) 30 10 ˆ ˆ ( ) (0.002 0) 2 10 30 x x E lb d d L in × σ = − = − = × ความเคนภายในเอลิเมนต 2 (2) 6 (2) 3 3 2 (2) 30 10 ˆ ˆ ( ) (0.001 0.002) 1 10 30 x x E lb d d L in × σ = − = − = − × (3) 6 (3) 2 4 3 (3) 15 10 ˆ ˆ ( ) (0 0.001) 5 10 30 x x E lb d d L in × σ = − = − = − × ความเคนภายในเอลิเมนต 3 (ความเคนดึง) (ความเคนอัด) (ความเคนอัด) ขอสังเกต เกิดความไมตอเนื่องของคาความเคนที่บริเวณรอยตอของเอลิเมนต
  • 51. Practical example 1 (Bar element)
  • 52. Practical example 2 (Bar element)
  • 53. Plane truss element (2 มิติ) ‰ เราสามารถพัฒนา Truss element แบบ 2 มิติไดโดยเอาผลจากการพัฒนา Bar element เพียงแตแรงและการกระจัดของแตละโนดใน Truss element จะมีคาตาม แนวแกน x และ y ดวยดังนั้น รูปขางลางคือตัวอยางของ Plane truss system
  • 54. 2 Node truss element เราสามารถแสดงความสัมพันธของ Nodal forces กับ Nodal displacements ที่ อางอิงกับ Global coordinate system ไดดังสมการ x y 2 2 , x x f d θ 1 1 , y y f d 1 1 , x x f d 2 2 , y y f d f k d = 1 2
  • 55. In global coordinate system, the vector of nodal displacements and loads ⎪ ⎪ ⎭ ⎪ ⎪ ⎬ ⎫ ⎪ ⎪ ⎩ ⎪ ⎪ ⎨ ⎧ = ⎪ ⎪ ⎭ ⎪ ⎪ ⎬ ⎫ ⎪ ⎪ ⎩ ⎪ ⎪ ⎨ ⎧ = 2y 2x 1y 1x 2y 2x 1y 1x f f f f f ; d d d d d Our objective is to obtain a relation of the form 1 4 4 4 1 4 d k f × × × = Where k is the 4x4 element stiffness matrix in global coordinate system
  • 56. The key is to look at the local coordinates ⎪ ⎭ ⎪ ⎬ ⎫ ⎪ ⎩ ⎪ ⎨ ⎧ ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ = ⎪ ⎭ ⎪ ⎬ ⎫ ⎪ ⎩ ⎪ ⎨ ⎧ 2x 1x 2x 1x d̂ d̂ k k - k - k f̂ f̂ L EA k = Rewrite as ⎪ ⎪ ⎭ ⎪ ⎪ ⎬ ⎫ ⎪ ⎪ ⎩ ⎪ ⎪ ⎨ ⎧ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎣ ⎡ = ⎪ ⎪ ⎭ ⎪ ⎪ ⎬ ⎫ ⎪ ⎪ ⎩ ⎪ ⎪ ⎨ ⎧ 2y 2x 1y 1x 2y 2x 1y 1x d̂ d̂ d̂ d̂ 0 0 0 0 0 k 0 k - 0 0 0 0 0 k - 0 k f̂ f̂ f̂ f̂ x̂ ŷ θ 1x 1x f̂ , d̂ 2x 2x f̂ , d̂ x y 1y 1y ˆ ˆ d ,f 0 = 2y 2y ˆ ˆ d ,f 0 = d̂ k̂ f̂ =
  • 57. NOTES 1. Assume that there is no stiffness in the local y direction. 2. If you consider the displacement at a point along the local x direction as a vector, then the components of that vector along the global x and y directions are the global x and y displacements. 3. The expanded stiffness matrix in the local coordinates is symmetric and singular. ^
  • 58. NOTES 5. In local coordinates we have But or goal is to obtain the following relationship Hence, need a relationship between and and between and 1 4 4 4 1 4 d k f × × × = 1 4 4 4 1 4 d̂ k̂ f̂ × × × = d̂ d f̂ f ⎪ ⎪ ⎭ ⎪ ⎪ ⎬ ⎫ ⎪ ⎪ ⎩ ⎪ ⎪ ⎨ ⎧ = ⎪ ⎪ ⎭ ⎪ ⎪ ⎬ ⎫ ⎪ ⎪ ⎩ ⎪ ⎪ ⎨ ⎧ = 2y 2x 1y 1x 2y 2x 1y 1x d̂ d̂ d̂ d̂ d̂ d d d d d Need to understand how the components of a vector change with coordinate transformation 1x d 1y d 1x d̂ θ 1y d̂ 2x d 2y d 2x d̂ θ 2y d̂
  • 59. Transformation of a vector in two dimensions θ x̂ ŷ y v̂ x v cos θ x y v x v̂ x v y v y v sin θ θ y v cos θ x v sin θ x x y y x y v̂ v cos θ v sin θ v̂ v sin θ v cos θ = + = − + The vector v has components (vx, vy) in the global coordinate system and (vx, vy) in the local coordinate system. From geometry ^ ^ Angle θ is measured positive in the counter clockwise direction from the +x axis)
  • 60. x x y y v̂ v cos θ sin θ v̂ v sin θ cos θ ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ In matrix form Or x x y y v̂ v v̂ v C S S C ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ where cos sin C S θ θ = = Transformation matrix for a single vector in 2D * T C S S C ⎡ ⎤ = ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ * v̂ T v = x x y y v̂ v v̂ and v v̂ v ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ = = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ relates where are components of the same vector in local and global coordinates, respectively. Direction cosines
  • 61. Relationship between and for the truss element d̂ d ⎭ ⎬ ⎫ ⎩ ⎨ ⎧ = ⎪ ⎭ ⎪ ⎬ ⎫ ⎪ ⎩ ⎪ ⎨ ⎧ 1y 1x * 1y 1x d d T d̂ d̂ At node 1 At node 2 ⎭ ⎬ ⎫ ⎩ ⎨ ⎧ = ⎪ ⎭ ⎪ ⎬ ⎫ ⎪ ⎩ ⎪ ⎨ ⎧ 2y 2x * 2y 2x d d T d̂ d̂ Putting these together { { 1x 1x 1y 1y 2x 2x 2y 2y T d d̂ d̂ d 0 0 d̂ d 0 0 ˆ 0 0 d d 0 0 d d̂ C S S C C S S C ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ − ⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ 144 4 2444 3 d T d̂ = ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ = × * * 4 4 T 0 0 T T 1x d 1y d 1x d̂ θ 1y d̂ 2x d 2y d 2x d̂ θ 2y d̂
  • 62. Relationship between and for the truss element f̂ f ⎭ ⎬ ⎫ ⎩ ⎨ ⎧ = ⎪ ⎭ ⎪ ⎬ ⎫ ⎪ ⎩ ⎪ ⎨ ⎧ 1y 1x * 1y 1x f f T f̂ f̂ At node 1 At node 2 ⎭ ⎬ ⎫ ⎩ ⎨ ⎧ = ⎪ ⎭ ⎪ ⎬ ⎫ ⎪ ⎩ ⎪ ⎨ ⎧ 2y 2x * 2y 2x f f T f̂ f̂ Putting these together { { 1x 1x 1y 1y 2x 2x 2y 2y T f f̂ f̂ f 0 0 f̂ f 0 0 ˆ 0 0 f f 0 0 f f̂ C S S C C S S C ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ − ⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ 144 4 2444 3 f T f̂ = ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ = × * * 4 4 T 0 0 T T 1x f 1y f 1x f̂ θ 1y f̂ 2x f 2y f 2x f̂ θ 2y f̂
  • 63. Important property of the transformation matrix T The transformation matrix is orthogonal, i.e. its inverse is its transpose T T T 1 = − Use the property that C2+S2=1
  • 64. Putting all the pieces together ( )d T k̂ T f d T k̂ f T d̂ k̂ f̂ k 1 4 3 4 2 1 − = ⇒ = ⇒ = x̂ ŷ θ 1x 1x f̂ , d̂ 2x 2x f̂ , d̂ x y 1y 1y f̂ , d̂ 2y 2y f̂ , d̂ f T f̂ = d T d̂ = The desired relationship is 1 4 4 4 1 4 d k f × × × = Where 4 4 4 4 4 4 4 4 T k̂ T k × × × × = T is the element stiffness matrix in the global coordinate system
  • 65. 0 0 0 0 T 0 0 0 0 C S S C C S S C ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎣ ⎡ = 0 0 0 0 0 k 0 k - 0 0 0 0 0 k - 0 k k̂ 2 2 2 2 2 2 2 2 EA ˆ k T kT L T C CS C CS CS S CS S C CS C CS CS S CS S ⎡ ⎤ − − ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ = = ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ ⎣ ⎦
  • 66. Computation of the direction cosines L 1 2 θ (x1,y1) (x2,y2) 2 1 2 1 cos sin x x C L y y S L θ θ − = = − = = What happens if I reverse the node numbers? L 2 1 θ (x1,y1) (x2,y2) 1 2 1 2 ' cos ' sin x x C C L y y S S L θ θ − = = = − − = = = − Question: Does the stiffness matrix change?
  • 67. © 2002 Brooks/Cole Publishing / Thomson Learning™ Example Bar element for stiffness matrix evaluation o 30 60 2 10 30 2 6 = = = × = θ in L in A psi E 3 cos 30 2 1 sin30 2 C S = = = = ( )( ) in lb ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎢ ⎣ ⎡ − − − − − − − − × = 4 1 4 3 4 1 4 3 4 3 4 3 4 3 4 3 4 1 4 3 4 1 4 3 4 3 4 3 4 3 4 3 60 2 10 30 k 6
  • 68. © 2002 Brooks/Cole Publishing / Thomson Learning™ Computation of element strains [ ] [ ] [ ] d T 0 1 0 1 L 1 d̂ 0 1 0 1 L 1 d̂ d̂ d̂ d̂ 0 1 0 1 L 1 L d̂ d̂ ε 2y 2x 1y 1x 1x 2x − = − = ⎪ ⎪ ⎭ ⎪ ⎪ ⎬ ⎫ ⎪ ⎪ ⎩ ⎪ ⎪ ⎨ ⎧ − = − = Recall that the element strain is
  • 69. [ ] [ ] [ ] 1x 1y 2x 2y 0 0 0 0 1 ε 1 0 1 0 d 0 0 L 0 0 1 d L d d 1 d L d C S S C C S S C C S C S C S C S ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ = − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ = − − ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = − − ⎨ ⎬ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭
  • 70. Computation of element stresses stress and tension ( ) [ ] 2x 1x E E ˆ ˆ Eε d d d L L C S C S σ = = − = − − [ ] EA T EAε d L C S C S = = − − Recall that the element stress is Recall that the element tension is
  • 71. Steps in solving a problem Step 1: Write down the node-element connectivity table linking local and global nodes; also form the table of direction cosines (C, S) Step 2: Write down the stiffness matrix of each element in global coordinate system with global numbering Step 3: Assemble the element stiffness matrices to form the global stiffness matrix for the entire structure using the node element connectivity table Step 4: Incorporate appropriate boundary conditions Step 5: Solve resulting set of reduced equations for the unknown displacements Step 6: Compute the unknown nodal forces
  • 72. การโกง(Buckling)ใน Bar หรือ Truss ‰ ถึงแมความเคนในบารหรือTruss มีคาต่ํากวาความเคนคราก ชิ้นสวนของ โครงสรางแบบนี้สามารถเสียหายไดจากการโกงซึ่งเราสามารถหาคาความเคนที่ทํา ใหเกิดการโกงได จากสูตร 2 2 AL EI A Pcrb crb π σ = = com crb P where A σ σ σ > = การโกงเกิดขึ้นเมื่อ ความเคนอัดในเอลิเมนต
  • 73. Example 1 P1 P2 1 2 3 x y El#1 El#2 The length of bars 12 and 23 are equal (L) E: Young’s modulus A: Cross sectional area of each bar Solve for (1) d2x and d2y (2) Stresses in each bar Solution Step 1: Node element connectivity table 3 2 2 2 Node 2 1 1 Node 1 ELEMENT 45o
  • 74. Table of nodal coordinates Lsin45 Lcos45 2 2Lsin45 0 y 0 3 0 1 x Node Table of direction cosines -cos45 cos45 sin45 L 2 sin45 L 1 Length ELEMENT 2 1 x x C length − = 2 1 y y S length − =
  • 75. Step 2: Stiffness matrix of each element in global coordinates with global numbering 2 2 2 2 (1) 2 2 2 2 EA k L C CS C CS CS S CS S C CS C CS CS S CS S ⎡ ⎤ − − ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ Stiffness matrix of element 1 d1x d2x d2x d1x d1y d2y d1y d2y 1 1 1 1 1 1 1 1 EA 1 1 1 1 2L 1 1 1 1 − − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ − − ⎣ ⎦
  • 76. Stiffness matrix of element 2 d2x d3x d3x d3y d2y d3y d2x d2y (2) 1 1 1 1 1 1 1 1 EA k 1 1 1 1 2L 1 1 1 1 − − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ − − ⎣ ⎦
  • 77. 1 1 1 1 0 0 1 1 1 1 0 0 1 1 2 0 1 1 EA K 1 1 0 2 1 1 2L 0 0 1 1 1 1 0 0 1 1 1 1 − − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − − − = ⎢ ⎥ − − − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ − − ⎣ ⎦ Step 3: Assemble the global stiffness matrix The final set of equations is Kd F =
  • 78. Step 4: Incorporate boundary conditions 2 2 0 0 0 0 x y d d d ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ Hence reduced set of equations to solve for unknown displacements at node 2 2 1 2 2 2 0 0 2 2 x y d P E A d P L ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭
  • 79. Step 5: Solve for unknown displacements 1 2 2 2 x y P L d E A d P L E A ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎩ ⎭ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ Step 6: Obtain stresses in the elements For element #1: 1 1 (1) 2 2 1 2 2 2 E 1 1 1 1 L 2 2 2 2 E ( ) 2L 2 x y x y x y d d d d P P d d A σ ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎡ ⎤⎪ ⎪ = − − ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ + = + = 0 0
  • 80. For element #2: 2 2 (2) 3 3 1 2 2 2 E 1 1 1 1 L 2 2 2 2 E ( ) 2L 2 x y x y x y d d d d P P d d A σ ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎡ ⎤⎪ ⎪ = − − ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ − = − = 0 0
  • 81. ตัวอยาง Plane truss F = 1000 N F = 1000 N 1 2 3 4 1 2 3 4 5 1 2 3 4 1 2 3 4 5 (1) (1) (2) (2) (3) (3) (4) (4) (5) (5) (1) (2) (3) (4) (5) 200 2 10 2 10, 10 2 E A E A E A E A E A L L L L L = = = = = = = = = = กําหนด
  • 82. © 2002 Brooks/Cole Publishing / Thomson Learning™ Figure 3-22 Plane truss with inclined boundary conditions at node 3 (see problem worked out in class) Multi-point constraints
  • 83. Problem 3: For the plane truss P 1 2 3 x y El#1 El#2 45o El#3 P=1000 kN, L=length of elements 1 and 2 = 1m E=210 GPa A = 6×10-4m2 for elements 1 and 2 = 6 ×10-4 m2 for element 3 2 Determine the unknown displacements and reaction forces. Solution Step 1: Node element connectivity table 3 2 2 3 1 3 2 Node 2 1 1 Node 1 ELEMENT
  • 84. Table of nodal coordinates L 0 2 L 0 y L 3 0 1 x Node Table of direction cosines 0 1 L 2 0 L 3 1 L 1 Length ELEMENT 2 1 x x C length − = 2 1 y y S length − = 2 1/ 2 1/ 2
  • 85. Step 2: Stiffness matrix of each element in global coordinates with global numbering 2 2 2 2 (1) 2 2 2 2 EA k L C CS C CS CS S CS S C CS C CS CS S CS S ⎡ ⎤ − − ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ Stiffness matrix of element 1 d1x d2x d2x d1x d1y d2y d1y d2y 9 -4 0 0 0 0 0 1 0 1 (210 10 )(6 10 ) 0 0 0 0 1 0 1 0 1 ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − × × ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦
  • 86. Stiffness matrix of element 2 d2x d3x d3x d3y d2y d3y d2x d2y 9 -4 (2) 1 0 1 0 0 0 0 0 (210 10 )(6 10 ) k 1 0 1 0 1 0 0 0 0 − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ × × ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ Stiffness matrix of element 3 9 -4 (3) 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 (210 10 )(6 2 10 ) k 0.5 0.5 0.5 0.5 2 0.5 0.5 0.5 0.5 − − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − − × × ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ − − ⎣ ⎦ d1x d3x d3x d3y d1y d3y d1x d1y
  • 87. 5 0.5 0.5 0 0 0.5 0.5 0.5 1.5 0 1 0.5 0.5 0 0 1 0 1 0 K 1260 10 0 1 0 1 0 0 0.5 0.5 1 0 1.5 0.5 0.5 0.5 0 0 0.5 0.5 − − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − − − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − = × ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − − − ⎢ ⎥ − − ⎣ ⎦ Step 3: Assemble the global stiffness matrix The final set of equations is Kd F = N/m Eq(1)
  • 88. Step 4: Incorporate boundary conditions 2 3 3 0 0 0 x x y d d d d ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ P 1 2 3 x y El#1 El#2 45o El#3 $ x $ y Also, $3 0 y d = How do I convert this to a boundary condition in the global (x,y) coordinates? in the local coordinate system of element 3
  • 89. 1 1 2 3 3 x y y x y F F P F F F F ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ P 1 2 3 x y El#1 El#2 45o El#3 $ x $ y Also, 3 ˆ 0 x F = How do I convert this to a boundary condition in the global (x,y) coordinates? in the local coordinate system of element 3
  • 90. 3 3 3 3 ˆ 1 , ˆ 2 x x y y d d C S C S d S C d ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ = = = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ Using coordinate transformations $ $ ( ) ( ) 3 3 3 3 3 3 3 3 1 1 1 2 2 2 1 1 1 2 2 2 x y x x y y y x d d d d d d d d ⎡ ⎤ ⎧ ⎫ + ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⇒ = = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎩ ⎭ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ − − ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ $3 0 y d = $ ( ) 3 3 3 3 3 1 0 2 0 y y x y x d d d d d ⇒ = − = ⇒ − = Eq (2) (Multi-point constraint)
  • 91. 3 3 3 3 ˆ 1 , ˆ 2 x x y y F F C S C S F S C F ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ = = = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ Similarly for the forces at node 3 ( ) ( ) 3 3 3 3 3 3 3 3 1 1 1 ˆ 2 2 2 ˆ 1 1 1 2 2 2 x y x x y y y x F F F F F F F F ⎡ ⎤ ⎧ ⎫ + ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⇒ = = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎩ ⎭ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ − − ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ( ) 3 3 3 3 3 1 ˆ 0 2 0 x y x y x F F F F F ⇒ = + = ⇒ + = Eq (3) 3 ˆ 0 x F =
  • 92. Therefore we need to solve the following equations simultaneously Kd F = Eq(1) 3 3 0 y x d d − = Eq(2) 3 3 0 y x F F + = Eq(3) Incorporate boundary conditions and reduce Eq(1) to 2 5 3 3 3 3 1 1 0 1 2 6 0 1 0 1 1 .5 0 .5 0 0 .5 0 .5 x x x y y d P d F d F ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ − ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ × − = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭
  • 93. Write these equations out explicitly 5 2 3 5 2 3 3 3 5 3 3 3 1 2 6 0 1 0 ( ) 1 2 6 0 1 0 ( 1 .5 0 .5 ) 1 2 6 0 1 0 (0 .5 0 .5 ) x x x x y x x y y d d P d d d F d d F × − = × − + + = × + = Eq(4) Eq(5) Eq(6) Add Eq (5) and (6) 5 2 3 3 3 3 1 2 6 0 1 0 ( 2 ) 0 x x y x y d d d F F × − + + = + = using Eq(3) 5 2 3 1 2 6 0 1 0 ( 3 ) 0 x x d d ⇒ × − + = using Eq(2) 2 3 3 x x d d ⇒ = Eq(7) Plug this into Eq(4) 5 3 3 5 6 3 1 2 6 0 1 0 (3 ) 2 5 2 0 1 0 1 0 x x x d d P d ⇒ × − = ⇒ × =
  • 94. 3 2 3 0 .0 0 3 9 6 8 3 0 .0 1 1 9 x x x d m d d m ⇒ = = = Compute the reaction forces 1 1 2 5 2 3 3 3 3 0 0 .5 0 .5 0 0 .5 0 .5 1 2 6 0 1 0 0 0 0 1 1 .5 0 .5 0 0 .5 0 .5 5 0 0 5 0 0 0 5 0 0 5 0 0 x y x y x x y y F F d F d F d F kN − − ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎧ ⎫ − − ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = × ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ − ⎩ ⎭ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ − ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ ⎪ ⎪ − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭
  • 95. เอลิเมนตแบบ 1 มิติพื้นฐานที่นาสนใจ ‰ Simple beam element ‰ Beam หรือคานคือโครงสรางที่ออกแบบไวสําหรับรับภาระตามแนวดิ่ง ซึ่งในกรณีของ คานอยางงาย(Simple beam) คือคานที่มีความยาวมาก หรือขนาดของความยาวคานมีคา มากกวามิติของหนาตัดของคานมาก และแรงกระทําตามแนวดิ่ง ไมกอใหเกิดการบิดตัว รอบแนวแกนคาน(No torsion/twist) ความเคนที่สําคัญประกอบไปดวยความเคนตาม แนวแกน(จาก Bending moment) และความเคนเฉือนจากแรงเฉือน
  • 97. Simple beam element { } 1 1 2 2 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ y y f m f f m ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ ‰ Simple beam element แบบ 2 โนด โดยแตละโนดจะมี DOF เทากับ 2 ซึ่ง ประกอบไปดวยการหมุนและการกระจัดตามแนวดิ่ง Local nodal force และ moment { } 1 1 2 2 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ y y d d d φ φ ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ Local nodal transverse displacement และ rotation สรางความสัมพันธ
  • 98. Simple beam element (ตอ) ‰ ขอกําหนดเกี่ยวกับทิศทางของการกระจัด แรง มุม และโมเมนต ที่โนด 1. โมเมนตมีทิศเปนบวก เมื่อทิศทวนเข็มนาฬิกา 2. มุม(Rotation)มีทิศเปนบวก เมื่อทิศทวนเข็มนาฬิกา 3. แรงมีทิศเปนบวกเมื่อมีทิศชี้ในทิศทางแกน y 4. การกระจัด dy มีทิศเปนบวกเมื่อมีทิศชี้ในทิศทางแกน y
  • 99. Beam Theory ‰ ขอกําหนดเกี่ยวกับทิศทางของแรง และโมเมนต ที่หนาตัดดานซายและขวา ขอสังเกตุ 1. โมเมนตทางดานซาย ตามเข็มนาฬิกาเปนบวก 2. แรงเฉือนดานขวาชี้ลงเปนบวก
  • 101. Beam Theory (ตอ) 2 2 2 2 2 2 2 2 2 2 ˆ ˆ 1 ˆ , ˆ ˆ Substitute into (2) then (1) ˆ ˆ ( ) (3) ˆ ˆ ˆ Nodal force only 0 (4) ˆ ˆ M d v dv EI dx dx M d d v EI w x dx dx d d v EI dx dx κ φ ρ = = = = ⎛ ⎞ = − ⎜ ⎟ ⎝ ⎠ ⎛ ⎞ = ⎜ ⎟ ⎝ ⎠ พิจารณาสมดุลโมเมนตรอบจุด 2 2 ˆ ˆ ˆ ˆ 0; ( ) 0 or 2 (2) ˆ dx M Vdx dM w x dx dM V dx ⎛ ⎞ ∑ = − + + = ⎜ ⎟ ⎝ ⎠ = Beam curvature
  • 102. Simple beam element (ตอ) { } { } ˆ ˆ ˆ f k d ⎡ ⎤ = ⎣ ⎦ ‰ หาความสัมพันธของ Local nodal matrix และ Local nodal displacement matrix หรือ 1 1 2 2 1 1 3 2 2 2 2 2 2 ˆ ˆ 12 6 12 6 ˆ ˆ 6 4 6 2 ˆ ˆ 12 6 12 6 6 2 6 4 ˆ ˆ y y y y d f L L m L L L L EI L L L f d L L L L m φ φ ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ − ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ − ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ Local element stiffness matrix Local element equation
  • 103. ขั้นตอนที่ 1 กําหนดชนิดเอลิเมนต กําหนดเอลิเมนตที่จะพัฒนาเปนคานเอลิเมนต (Beam element) ˆ 0 x = x̂ L = โนด 1 โนด 2 แตละโนดมีความอิสระในการเคลื่อนที่ได 2 แบบ – DOF = 2
  • 104. ขั้นตอนที่ 2 การกําหนดฟงกชันของการกระจัด เปนขั้นตอนการกําหนดเลือกฟงกชันทางคณิตศาสตรเพื่อจะนํามาอธิบายการเสียรูป ของคาน ซึ่งฟงกชันนี้จะถือวาเปนคาประมาณ(Approximate solution) ฟงกชันที่ เลือกใชสวนใหญเปนฟงกชันโพลีโนเมียล 3 2 1 2 3 4 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ( ) (1) v x a x a x a x a = + + + โดย a1 a2 a3 และ a4 คือคาคงที่และจะหาไดจากเงื่อนไขดังนี้ 1 4 1 3 3 2 2 1 2 3 4 2 2 1 2 3 ˆ ˆ ˆ ( 0) (2.1) ˆ ˆ ( 0) ˆ (2.2) ˆ ˆ ˆ ˆ ( ) (2.3) ˆ ˆ ( ) ˆ 3 2 (2.4) ˆ y y v x d a dv x a dx v x L d a L a L a L a dv x L a L a L a dx = = = = = φ = = = = + + + = = φ = + +
  • 105. ขั้นตอนที่ 2 การกําหนดฟงกชันของการกระจัด(ตอ) จากนั้นทําการแกสมการดังกลาว (2.1-2.4) จะได a1 a2 a3 และ a4 จากนั้นนําไปแทนในสมการที่ 1 ได ( ) ( ) ( ) ( ) 3 1 2 1 2 3 2 2 1 2 1 2 1 1 3 2 2 1 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ( ) 3 1 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ 2 (3) y y y y y v x d d x L L d d x x d L L ⎡ ⎤ = − + φ + φ + ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ ⎡ ⎤ − − − φ + φ + φ + ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ หรือเขียนเปนเมตริกได { } 1 1 1 2 3 4 2 2 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ( ) [ ] [ ] (4) ˆ ˆ y y d v x N d N N N N d ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ φ ⎪ ⎪ = = ⎨ ⎬ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ φ ⎩ ⎭
  • 106. ขั้นตอนที่ 2 การกําหนดฟงกชันของการกระจัด(ตอ) โดย N1 N2 N3 และ N4 คือ shape function และมีคาดังนี้ ( ) ( ) ( ) ( ) 3 2 3 3 2 2 3 1 2 3 3 3 2 3 2 2 3 4 3 3 1 1 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ 2 3 2 1 1 ˆ ˆ ˆ ˆ 2 3 N x x L L N x L x L xL L L N x x L N x L x L L L = − + = − + = − + = −
  • 108. ขั้นตอนที่ 4 การพิสูจนหา Element stiffness matrix จากรูปที่โนด 1 และ 2 และจากสมการ 2 3 2 3 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ( ) (8) ˆ ˆ d v d v m x EI V EI dx dx = = จะเขียนเปนสมการไดดังนี้ ( ) ( ) ( ) 3 1 1 1 2 2 3 3 2 2 2 1 1 1 2 2 2 3 3 2 1 1 2 2 3 3 2 2 1 2 3 ˆ(0) ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ 12 6 12 6 ( ) ˆ ˆ(0) ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ 6 4 6 2 ( ) ˆ ˆ( ) ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ 12 6 12 6 ( ) ˆ ˆ( ) ˆ ˆ ˆ 6 2 ˆ y y y y y y y y y d v EI f V EI d L d L a dx L d v EI m m EI Ld L Ld L b dx L d v L EI f V EI d L d L c dx L d v L EI m m EI Ld dx L = = = + φ − + φ = − = = + φ − + φ = − = − = − − φ + − φ = = = + ( ) 2 2 1 2 2 ˆ ˆ ˆ 6 4 ( ) y L Ld L d φ − + φ
  • 109. ขั้นตอนที่ 4 การพิสูจนหา Element stiffness matrix (ตอ) จัดรูปสมการ (a), (b), (c) และ (d) ใหมเขียนเปนสมการได 1 1 2 2 1 1 3 2 2 2 2 2 2 ˆ ˆ 12 6 12 6 ˆ ˆ 6 4 6 2 (9) ˆ ˆ 12 6 12 6 6 2 6 4 ˆ ˆ y y y y d f L L m L L L L EI L L L f d L L L L m φ φ ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ − ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ − ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭
  • 110. ขั้นตอนที่ 5 การประกอบเอลิเมนตเขาดวยกัน ขั้นตอนนี้จะทําการประกอบเอลิเมนตทุกอันเขาดวยกันจะทําใหเราได Global equation ซึ่ง สมการนี้จะแสดงถึงความสัมพันธของ Nodal forces และ Nodal displacements ซึ่ง มี Global matrix เปนตัวแสดงความสัมพันธหรือเขียนสมการไดดังนี้ { } [ ]{ } (13) F K d or F K d = = โดย [ ] { } ( ) ( ) 1 1 N N e e e e K K k F F f = = = = = = ∑ ∑
  • 111. ขั้นตอนที่ 6 ทําการแกสมการหาคา Nodal displacements จากนั้นทําการกําหนดคาสภาวะขอบลงไปในสมการที่ (13) จากนั้นทําการแกสมการหา คา การกระจัดที่โนด (Nodal displacements) ขั้นตอนที่ 7 ทําการแกหาคาแรงที่กระทําที่โนดตางๆ ภายใน เอลิเมนต นําเอาคาการกระจัดที่คํานวณไดแทนลงในสมการที่ (12) เพื่อหาคาแรงที่กระทํา ที่โนดภายในเอลิเมนต
  • 112. ตัวอยาง จากระบบคานดังรูป จงหาการกระจัดในแนวดิ่งและการหมุน ที่จุด กึ่งกลางคาน และเขียนแผนภาพแรงเฉือนและโมเมนต กําหนดใหวัสดุของ คานมีคา E = 210 GPa และ I = 4 x 10-4 m4 วิธีทํา หา Element stiffness matrix ของแตละเอลิเมนต
  • 113. แทนคาลงไปได 2 2 9 4 (1) (2) 3 2 2 5 12 6 3 12 6 3 6 3 4 3 6 3 2 3 210 10 4 10 ˆ ˆ 12 6 3 12 6 3 3 6 3 2 3 6 3 4 3 12 18 12 18 18 36 18 18 840 10 12 18 12 18 9 18 18 18 36 k k − × − × ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ × × − × × × × × ⎢ ⎥ = = ⎢ ⎥ − − × − × ⎢ ⎥ × × − × × ⎣ ⎦ − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − × ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ − − − ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦
  • 114. จากนั้นขยายเมตริกใหเทากับเมตริก K(6 x 6) 5 (1) 12 18 12 18 0 0 18 36 18 18 0 0 12 18 12 18 0 0 840 10 ˆ 18 18 18 36 0 0 9 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 k − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − − − × = ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ 5 (2) 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 12 18 12 18 840 10 ˆ 0 0 18 36 18 18 9 0 0 12 18 12 18 0 0 18 18 18 36 k ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − × = ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦
  • 115. จากนั้นประกอบเมตริกเขาดวยกันได 1 1 1 1 5 2 2 2 2 3 3 3 3 12 18 12 18 0 0 18 36 18 18 0 0 12 18 12 12 18 18 12 18 840 10 18 18 18 18 36 36 18 18 9 0 0 12 18 12 18 0 0 18 18 18 36 y y y y y y F d M F d M F d M φ φ φ − ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − − + − + − × ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − + + − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ 1 1 3 3 2 2 0, 10,000, 20,000 y y d d F M φ φ = = = = = − = จากนั้นกําหนดคาสภาวะขอบและภาระที่กําหนดให Kd F =
  • 116. ไดสมการ 1 1 5 2 2 3 3 12 18 12 18 0 0 0 18 36 18 18 0 0 0 10,000 12 18 24 0 12 18 840 10 20,000 18 18 0 72 18 18 9 0 0 12 18 12 18 0 0 0 18 18 18 36 0 y y y F M d F M φ − ⎧ ⎫ ⎡ ⎤⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥⎪ ⎪ − ⎪ ⎪ ⎢ ⎥⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥⎪ ⎪ − − − − × ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎩ ⎭ 5 2 2 10,000 24 0 840 10 20,000 0 72 9 y d φ − ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ × = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭ จากนั้นทําการแบงสวนเมตริก แกสมการได 4 5 2 2 1.339 10 , 8.928 10 y d m rad φ − − = − × = ×
  • 117. จากนั้นคํานวณแรงภายในของแตละเอลิเมนต เอลิเมนต 1 (1) 1 (1) 5 1 4 (1) 2 5 (1) 2 12 18 12 18 0 18 36 18 18 0 840 10 12 18 12 18 1.339 10 9 18 18 18 36 8.929 10 y y f m f m − − − ⎧ ⎫ ⎡ ⎤⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥⎪ ⎪ − × ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − − − − × ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ − × ⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎩ ⎭ แกสมการไดแรงภายใน (1) (1) (1) 1 1 2 (1) 2 10,000 , 12,500 , 10,000 , 17,500 y y f N m N m f N m N m = = − = − = − เขียนเปน FBD
  • 118. เอลิเมนต 2 (2) 4 2 (2) 5 5 2 (2) 3 (2) 3 12 18 12 18 1.339 10 18 36 18 18 8.929 10 840 10 12 18 12 18 9 0 18 18 18 36 0 y y f m f m − − − ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ − × ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − × × ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ − ⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎩ ⎭ แกสมการไดแรงภายใน (2) (2) (2) (1) 2 2 3 2 0 , 2,500 , 0 , 2,500 y y f N m N m f N m N m = = − = = − − เขียนเปน FBD
  • 120. ภาระแบบกระจายตลอดความยาวของเอลิเมนต (Distributed loading) • เมื่อมีภาระกระจายตลอดความยาวเอลิเมนต ตองทําการเปลี่ยนรูปใหเปนภาระ กระทําที่โนดทั้งสอง ดังตัวอยางจากรูปขางลาง เหตุผลเพราะภาระ(โหลด)ไม สามารถใสคาลงไปที่โนดใดโนดนึงได ตองทําการเปลี่ยนรูปกอน
  • 121. • วิธีการเปลี่ยนภาระกระจายตลอดความยาวเอลิเมนต ไปเปนภาระกระทําที่ โนดทั้งสอง จะใชหลักการของ Work-Equivalent method ซึ่งมีหลักการคือ งานที่ไดจากการกระทําของแรงกระจาย = งานของแรงและโมเมนตที่กระทํา ที่โนดทั้งสองรวมกัน เปลี่ยนเปนภาระกระทําที่โนดทั้งสอง
  • 123. งานที่ไดจากภาระทั้งสองเขียนเปนสมการได 0 1 1 2 2 1 1 2 2 ˆ ˆ ˆ ˆ ( ) ( ) ( ) ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ( ) L distributed discrete y y y y W w x v x dx a W m m f d f d b φ φ = = + + + ∫ หรือสมการ (a) = (b) 1 1 2 2 1 1 2 2 0 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ( ) ( ) ( ) L y y y y w x v x dx m m f d f d c φ φ = + + + ∫
  • 124. แทนคา ( ) ( ) ( ) ( ) 3 1 2 1 2 3 2 2 1 2 1 2 1 1 3 2 ˆ ( ) 2 1 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ( ) 3 1 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ 2 y y y y y w x w v x d d x L L d d x x d L L φ φ φ φ φ = − ⎡ ⎤ = − + + + ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ ⎡ ⎤ − − − + + + ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ ลงไปในสมการ (c) และทําการอินทิเกรทได ( ) ( ) ( ) ( ) ( ) 2 2 1 2 1 2 2 1 1 2 2 1 1 1 1 2 2 1 1 2 2 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ 2 2 4 3 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ( ) 2 y y y y y y y y y Lw L w L w d d Lw d d L w d wL m m f d f d d φ φ φ φ φ φ φ − − − + − − + + ⎛ ⎞ − − = + + + ⎜ ⎟ ⎝ ⎠
  • 125. เมื่อตองหาคา 2 2 2 2 1 2 ˆ 4 3 2 12 L w L wL m L w w ⎛ ⎞ = − − + = − ⎜ ⎟ ⎝ ⎠ 1 ˆ (1) m 1 2 ˆ ˆ ˆ ˆ 1, 0, 0, 0 1 2 y y d d = = = = φ φ แทนลงไปในสมการ (d)ได กําหนดคา เชนเดียวกันถาตองหาคา กําหนดคา แทนลงไปในสมการ (d)ได 2 ˆ (1) m 2 2 2 2 ˆ 4 2 12 L w L w wL m ⎛ ⎞ = − − = ⎜ ⎟ ⎝ ⎠ 1 2 ˆ ˆ ˆ ˆ 0, 1, 0, 0 1 2 y y d d φ φ = = = =
  • 126. ดังนั้นถาใชวิธีการเดียวกัน จะสามารถหาไดวา 1 1 2 2 1 2 1 2 1 2 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ( 0, 1) 2 2 ˆ ˆ ˆ ˆ ˆ ( 0, 1) 2 2 y y y y y y Lw Lw f Lw Lw d d Lw Lw f Lw d d φ φ φ φ = − + − = − = = = = = − = = = = = ดังนั้นสรุปไดวา 2 wL − 2 wL 2 12 wL − 2 12 wL
  • 129. วิธีการแกปญหา ของปญหาที่มีแรงกระจาย ทําไดโดยเปลี่ยนแรงกระจายให เปนแรงกระทําที่โนด ดังนั้นจะถือวาแรงที่เปลี่ยนรูปแลวก็คือภาระกระทําที่ โนดนั้นๆ นั่นเอง หรือเขียนเปนสมการได 0 F Kd F = − แรงกระจายที่เปลี่ยนรูปเปนแรงกระทําที่โนดแลวหรือ Equivalent nodal forces Global equation 0 ˆ ˆ ˆ ˆ f k d f = − Element equation แรงกระจายที่เปลี่ยนรูปเปนแรงกระทําที่โนดแลว บนเอลิเมนตใดๆ
  • 130. ตัวอยาง คานดังรูป ทั้งสองขางมีการยึดแบบแคนทิลิเวอร(Fix)และรับภาระ แบบกระจาย จงคํานวณหาการกระจัดและการหมุนหรือ slope ที่จุดกึ่งกลาง คาน พรอมทั้งหาแรงปฎิกิริยาที่จุดรองรับทั้งสองขาง กําหนด คานมีคา E และ พื้นที่หนาตัด คงที่ทั้วทั้งความยาว การคํานวณใหใช 2 เอลิเมนต 1 2 3
  • 131. วิธีทํา ทําการแบงเอลิเมนตออกเปนสองเอลิเมนต จากนั้นหาเอลิเมนตเมตริก และประกอบเขาดวยกัน เพื่อใหไดสมการของโครงสรางรวมหรือ Global equation โดยแรงกระทําที่โนดของประกอบไปดวยแรงและโมเมนตภายนอก ที่ใหมารวมกับแรงและโมเมนตที่ไดจากการเปลี่ยนแรงกระจาย หาเอลิเมนตเมตริกได 2 2 (1) (2) 3 2 2 12 6 12 6 6 4 6 2 12 6 12 6 6 2 6 4 L L L L L L EI k k L L L L L L L − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ = = ⎢ ⎥ − − − ⎢ ⎥ − ⎣ ⎦
  • 132. 2 2 (1) (2) 2 2 2 2 3 2 2 2 2 2 2 2 3 12 6 12 6 0 0 6 4 6 2 0 0 12 6 12 12 6 6 12 6 6 2 6 6 4 4 6 2 0 0 12 6 12 6 0 0 6 2 6 4 12 6 12 6 0 0 6 4 6 2 0 0 12 6 24 0 12 6 6 2 0 8 6 2 0 0 12 6 12 6 L L L L L L L L L L EI K k k L L L L L L L L L L L L L L L L L L L L L L L EI L L L L L L L L − ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − − + − + − = + = ⎢ ⎥ − + + − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ − − − − − = − − − 2 2 0 0 6 2 6 4 L L L L ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ ประกอบเอลิเมนตเมตริกเขาดวยกันได
  • 133. หาแรงและโมเมนตเสมือน(equivalent nodal forces) ของเอลิเมนตและโครงสราง เอลิเมนต 1 เอลิเมนต 2 + โครงสราง 2 0 2 2 3 40 60 2 30 17 40 15 wL wL wL F wL wL wL − ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭
  • 134. 0 F Kd F = − จากสมการ Global equation 2 1 1 2 2 1 1 2 2 2 2 2 3 2 2 2 3 3 2 2 3 3 3 40 12 6 12 6 0 0 60 6 4 6 2 0 0 12 6 24 0 12 6 2 6 2 0 8 6 2 30 0 0 12 6 12 6 0 0 6 2 6 4 y y y y y y wL wL F d L L M L L L L wL F d L L EI M L L L L L L wL F d L L M L L L L φ φ φ − − − ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = − ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ − ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ 2 17 40 15 wL wL ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎨ ⎬ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ 0 0 0 0 0 0 ทําการแยกสวนเมตริกซได
  • 135. 2 2 3 2 2 0 24 0 2 0 0 8 30 y wL d EI L L wL φ − ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ = − ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − ⎩ ⎭ ⎣ ⎦⎩ ⎭ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ แกสมการได 4 3 2 2 , 48 240 y wL wL d EI EI φ − − = = นําคาทั้งสองไปแทน ในสมการ Global equation ได 2 1 1 3 3 2 12 40 8 60 28 40 3 15 y y wL F wL M F wL M wL ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ = ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ ⎪ ⎪ − ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ คําตอบ
  • 136. กรณีศึกษาการเปรียบเทียบผลลัพธที่ไดจาก Exact solution กับจากวิธีไฟ ไนตเอลิเมนต จากปญหาของคานดังรูป จุดประสงค ทําการศึกษาหากราฟของระยะกระจัด(v) โมเมนต(M) และแรง เฉือน(V) โดยในวิธีไฟไนตเอลิเมนตจะใชจํานวนเอลิเมนตเทากับ 1 เอลิเมนต
  • 137. Exact solution จากสมการของ Beam Theory และภาระที่กําหนดให สามารถแกหาคําตอบไดดังนี้ (ดูหนา 188-189) ( ) 4 3 2 2 2 2 1 ( ) 24 6 4 ( ) 2 2 ( ) wx wLx wL x y x EI wL wx M x wLx V x w L x ⎛ ⎞ − = + − ⎜ ⎟ ⎝ ⎠ − = − + = − โดยกําหนดให 5 4 210 , 4 10 , 2.5 , 4 / E GPa I m L m w kN m − = = × = =
  • 139. ผลลัพธ(ตอ) ขอสังเกตุ ผลตางของการกระจัดจะนอยที่สุด และผลตางของแรงเฉือนจะมาก ที่สุด วิธีการที่จะทําใหผลตางของแรงเฉือนมีคาดีขึ้นคือใชจํานวนเอลิเมนตมาก ขึ้นหรือใช high order เอลิเมนต
  • 140. เท็นเซอรความเคน(Stress tensor) ‰ เท็นเซอรความเคนเปนปริมาณที่ใชอธิบายคาความเคนที่เกิดขึ้นภายใน เนื้อวัตถุ ณ จุดใด ซึ่งคานี้ตองมีการอางอิงกับพิกัดฉาก XYZ ที่เราตอง กําหนดขึ้นมาลวงหนา ‰ เราจะมาดูกันวาเท็นเซอรความเคนมีองคประกอบทั้งหมดกี่คา และคานี้ หามาไดอยางไร และพิกัดฉากที่ตั้งขึ้นมาไวอางอิงมีความสําคัญอยางไร กับเท็นเซอรความเคน
  • 142. ถาพิจารณาพื้นที่เล็กๆ ΔA (Normal vector ชี้ไปตามแนวแกน z )บนหนาตัด ซึ่งมีแรงกระทํา ΔF ดังรูปเราสามารถแตกแรงนี้ออกเปนตามแกน x, y และ z ตามลําดับ และนิยามคาดังนี้ 0 0 0 lim lim lim z z A x zx A y zy A F A F A F A Δ → Δ → Δ → Δ σ = Δ Δ τ = Δ Δ τ = Δ ความเคนตั้งฉาก ตามแนวแกน z ความเคนเฉือน ตามแนวแกน x ความเคนเฉือน ตามแนวแกน y
  • 143. ในทํานองเดียวกัน ถาพิจารณาพื้นที่เล็กๆ ΔA (Normal vector ชี้ไปตามแนวแกน y )บนหนาตัดซึ่งมีแรงกระทํา ΔF ดังรูปเราสามารถแตกแรงนี้ออกเปนตามแกน x, y และ z ตามลําดับ และนิยามคาดังนี้ ความเคนตั้งฉาก ตามแนวแกน y 0 0 0 lim lim lim y y A x yx A z yz A F A F A F A Δ → Δ → Δ → Δ σ = Δ Δ τ = Δ Δ τ = Δ ความเคนเฉือน ตามแนวแกน x ความเคนเฉือน ตามแนวแกน z
  • 144. และในทํานองเดียวกัน ถาพิจารณาพื้นที่เล็กๆ ΔA (Normal vector ชี้ไปตาม แนวแกน x )บนหนาตัดซึ่งมีแรงกระทํา ΔF ดังรูปเราสามารถแตกแรงนี้ออกเปน ตามแกน x, y และ z ตามลําดับ และนิยามคาดังนี้ 0 0 0 lim lim lim x x A y xy A z xz A F A F A F A Δ → Δ → Δ → Δ σ = Δ Δ τ = Δ Δ τ = Δ ความเคนตั้งฉาก ตามแนวแกน x ความเคนเฉือน ตามแนวแกน y ความเคนเฉือน ตามแนวแกน z
  • 145. ดังนั้นเรานิยามเท็นเซอรความเคน ณ จุดใดๆ โดยคาดังกลาวหรือเขียนเปน { } , , x y x xy xz z yx y yz yz zx zy z zx xy xy yx xz zx yz zy σ ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ σ ⎪ ⎪ ⎡ ⎤ σ τ τ ⎪ ⎪ σ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ σ = τ σ τ = ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ τ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ τ τ σ ⎣ ⎦ ⎪ ⎪ τ ⎪ ⎪ τ ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ τ = τ τ = τ τ = τ ดังนั้นเท็นเซอรความเคนคือสถานะของความเคน(State of stress) ณ จุดใดๆ ในวัตถุ ซึ่งเปนคาที่ตองอางอิงกับพิกัด xyz Stress tensor เมื่อ
  • 146. ในทํานองเดียวกันเราสามารถนิยามเท็นเซอรความเครียด ณ จุดใดๆ โดย { } , , x y x xy xz z yx y yz zy zx zy z zx xy xy yx xz zx yz zy ε ⎧ ⎫ ⎪ ⎪ ε ⎪ ⎪ ⎡ ⎤ ε ε ε ⎪ ⎪ ε ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ε = ε ε ε = ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ε ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ ε ε ε ⎣ ⎦ ⎪ ⎪ ε ⎪ ⎪ ε ⎪ ⎪ ⎩ ⎭ ε = ε ε = ε ε = ε ดังนั้นเท็นเซอรความเครียดคือสถานะของความเครียด(State of strain) ณ จุด ใดๆในวัตถุ ซึ่งเปนคาที่ตองอางอิงกับพิกัด xyz Strain tensor เมื่อ
  • 147. x y A B C A’ B’ C’ v u dy dx dx x v ∂ ∂ x d x u u ∂ ∂ + dy y u ∂ ∂ dy y v v ∂ ∂ + 1 2 1 2 u d x u d x u d x A 'B ' A B u x A B d x x v d y v d y v d y y A 'C ' A C v A C d y y π a n g le (C 'A 'B ') β β ta n β ta n β 2 v u x x y x y y ε ε ε ∂ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ + + − − ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ − ∂ ∂ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ = = = ∂ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ ∂ + + − − ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ∂ − ∂ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ = = = ∂ = − = + ≈ + ∂ ∂ ≈ + ∂ ∂ 1 β 2 β ตัวอยาง 2D
  • 148. คาของเท็นเซอรความเคนและเท็นเซอรความเครียดมีความสัมพันธซึ่งอธิบาย ไดดวย Constitutive matrix หรือ Stress/Strain matrix { } { } [ ] 6 1 6 1 D σ = ε × × คาคงที่ที่จะนํามาใชในเมตริก [D] ขึ้นอยูวาวัตถุที่พิจารณามีคุณสมเปนแบบ ไหนเชน Isotropic material หรือ orthotropic material หรือ Anisotropic material ขนาด 6 x 6 หรือ มีองคประกอบ 36 ตัว ซึ่งไดจากคาคงที่ของวัสดุ Generalized Hooke’s Law
  • 149. ‰ Constitutive matrix หรือ Stress/Strain matrix ของ Linear isotropic material 1 0 0 0 1 0 0 0 1 0 0 0 [ ] 0 0 0 1 2 0 0 (1 )(1 2 ) 0 0 0 0 1 2 0 0 0 0 0 0 1 2 E D − ν ν ν ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ ν − ν ν ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ν ν − ν = ⎢ ⎥ − ν + ν − ν ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ − ν ⎢ ⎥ − ν ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ จะเห็นวามีคาคงที่สองตัวที่ตองหามาจากการทดลอง Eและ ν , poisson’s ratio, (คาหลังนี้หายาก) แตเราจะหาคาหลังจากความสัมพันธนี้ ( mod ) 2(1 ) E G shear ulus = + ν Torsion test Tensile test
  • 150. ‰ orthotropic material ต.ย. เชน ไม ลามิเนตพลาสติก Rolled steel เปนตน มีคา คุณสมบัติ 9 ตัวที่ตองหามา โดยสวนใหญจะเขียนดังนี้แทน , , yz zy xy yx zx xz y z z x x y E E E E E E ν ν ν ν ν ν = = = { } { } { } 1 [ ] [ ] 1 0 0 0 1 0 0 0 1 0 0 0 [ ] 1 0 0 0 0 0 2 1 0 0 0 0 0 2 1 0 0 0 0 0 2 yx zx x y z xy zy x y z yz xz x y z yz zx xy D S E E E E E E E E E S G G G − ε = σ = σ ν ⎡ ⎤ ν − − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ν ν − − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ν ν ⎢ ⎥ − − ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ เมื่อ Compliance matrix
  • 151. ‰ Constitutive matrix หรือ Stress/Strain matrix ของ anisotropic material นั้น จะมีคาคงที่ของวัสดุถึง 21 คา ซึ่งจะไมกลาวถึง ณ ที่นี้ ‰ ในทางปฏิบัตินั้นเราสามารถที่จะหาพิกัดฉาก อางอิงที่เหมาะสมแลวทําใหคาสถานะความเคนที่ จุดนั้นๆ มีคาเฉพาะความเคนในแนวตั้งฉาก ซึ่งเรา จะเรียกความเคนนี้วาเปน Principal stresses ซึ่งคา ของมันจะมีคาที่สูงที่สุด(Maximum) คากลาง (Intermediate) และคาต่ําสุด (Minimum) Transform
  • 152. เมื่อทําการ Transform คาเท็นเซอรความเคนแลวหรือเลือกพิกัดอางอิงที่เหมาะสม ไดแลว ณ ที่นี้คือพิกัด { } { } 0 0 0 0 0 0 x xy xz x x y x z I yx y yz y x y y z II zx zy z z x z y z III I II III ′ ′ ′ ′ ′ ′ ′ ′ ′ ′ ′ ′ ′ ′ ′ ⎡ ⎤ ⎡ ⎤ σ τ τ σ τ τ σ ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ′ σ = τ σ τ → σ = τ σ τ = σ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ τ τ σ τ τ σ σ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ σ > σ > σ Principal stresses - ความเคนหลักสูงสุดหาไดจาก x y z ′ ′ ′ 3 2 1 2 3 1 2 2 2 2 2 2 2 3 ( )( )( ) 0 where 2 I II III x y z x y y z x z xy xz yz x y z xy xz yz x yz y xz z xy − + − = − − − = = + + = + + − − − = + − − − σ σ σ σ σ σ σ σ σ σ σ σ σ σ σ σ σ σ τ τ τ σ σ σ τ τ τ σ τ σ τ σ τ I I I I I I
  • 153. ความเคนหลักสูงสุดในระบบ 2 มิติ ‰ สามารคํานวณความเคนหลักจากสมการ 2 , 2 2 x y x y I II xy σ σ σ σ σ σ τ + − ⎛ ⎞ = ± + ⎜ ⎟ ⎝ ⎠ ‰ สถานะของความเคน x xy yx y σ τ τ σ ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ สมการนี้คือสมการของวงกลม Mohr นั่นเอง
  • 154. การเสียหายของวัสดุวิศวกรรม การเสียหายของวัสดุสามารถแบงออกไดดังนี้ดังตอไปนี้ 1. Instantaneous fracture (Overload) 2. Yielding (Plastic deformation) 3. Fatigue (Delayed fracture) 4. Corrosion (Environmentally-assisted cracking) 5. Creep (Time dependent plastic deformation) 6. Wear( Surface damage)
  • 155. Instantaneous Fracture Tensile test results : (a) Ductile Fracture (b) Brittle Fracture
  • 156. การคราก(Yielding) Plastic deformation is induced and the original structure is not returned to its original shape
  • 157. การลา(Fatigue) This high tensile steel bolt failed under low stress high cycle conditions with a fatigue crack running from 9 o'clock as shown by the beach marks. Crack origin
  • 158. การกัดกรอน(Corrosion) The deep drawn brass cup on the right shows stress corrosion cracking under the influence of the residual manufacturing stresses and a mildly corrosive environment. The cup on the left has been annealed before putting it into service which solves the problem
  • 159. การคืบ(Creep) Failed toilet float - creep failure due to overtightening.
  • 160. การสึกหรอ(Wear) Wear may be defined as damage to a solid surface caused by the removal or displacement of material by the mechanical action of a contacting solid, liquid, or gas. Abrasion of gear tooth surface
  • 161. ทฤษฎีการเสียหาย(Failure theories) เราสามารถทํานายการเสียหาย(เกิดการครากแลวหรือแตกหัก)ของวัสดุ ไดดวยทฤษฎีดังตอไปนี้ 1. Maximum principal stress theory 2. Maximum shear stress theory 3. Distortion energy theory หมายเหตุ : จริงๆแลวมีทฤษฎีอื่นๆอีกแตทั้งสามทฤษฎีนี้ เปนที่นิยมใชสําหรับ โลหะ เซรามิค และพลาสติก เปนตน
  • 162. Maximum Principal Stress Theory ทฤษฎีกลาวไววา “การครากของวัสดุจะเกิดขึ้นเมื่อคาสมบูรณความเคนหลักมีคา เทากับหรือมากกวาคาความเคนแรงดึงสูงสุด(uni-axial tensile yield strength)” ทฤษฎีมักจะนําไปใชทํานายการเสียหายของวัสดุเปราะ ( , , ) I II III y MAX σ σ σ σ ≥
  • 163. Maximum Shear Stress Theory ‰มีชื่ออีกอยางหนึ่งวา “Tresca criterion” ซึ่งมาจากชื่อของนักวิทยาศาสตรชาว ฝรั่งเศสที่ชื่อวา Henri Tresca ทฤษฎีกลาวไววา “การครากของวัสดุจะเกิดขึ้นเมื่อคา ความเคนเฉือนสูงสุดมีคาเทากับหรือมากกวาคาความเคนเฉือนคราก (τy = σy/2) ของวัสดุที่อยูภายใตแรงกระทําตามแนวแกนอยางเดียวแบะคาความเคน เทากับความเคนแรงดึงสูงสุด ทฤษฎีมักจะนําไปใชทํานายการเสียหายของวัสดุ เหนียว ( , , ) 2 2 2 2 y II III III I I II y MAX σ σ σ σ σ σ σ τ − − − = = , , 2 2 2 II III III I I II I II III σ σ σ σ σ σ τ τ τ − − − = = = คาความเคนเฉือนหลักหาไดโดย
  • 164. Distortion Energy Theory ‰ทฤษฎีนี้สมมุติใหพลังงานความเครียดรวมสามารถแบงออกเปนสองสวนคือ volumetric (hydrostatic) strain energy และ shape (distortion or shear) strain energy ดังนั้นพลังงานที่ทําใหเกิดการครากจะมาจากสวนหลัง ทฤษฎีจึงกลาวไววา “การครากจะเกิดขึ้นเมื่อ distortion energy มีคามากกวาความเคนแรงดึงสูงสุด” ทฤษฎีนี้เปนที่รูจักกันดีในนาม Von Mises criterion และสามารถแสดงเปนสมการ ไดดังนี้ 2 2 2 2 1 ( ) ( ) ( ) 2 I II II III III I y σ σ σ σ σ σ σ ⎡ ⎤ − + − + − = ⎣ ⎦ หรือ 2 2 2 2 2 2 2 1 ( ) ( ) ( ) 6( ) 2 x y y z z x xy yz zx y σ σ σ σ σ σ τ τ τ σ ⎡ ⎤ − + − + − + + + = ⎣ ⎦ 1/2 2 2 2 2 2 2 1 ( ) ( ) ( ) 6( ) 2 von x y y z z x xy yz zx σ σ σ σ σ σ σ τ τ τ ⎡ ⎤ = − + − + − + + + ⎣ ⎦ Von Mises stress
  • 165. Examples of Calculation Example: A three dimensional state of stress is as follows: 100 80 0 80 60 0 0 0 40 ij MPa σ ⎡ ⎤ ⎢ ⎥ = − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ Solution: Substitute in the principal stress equation, we get 1 2 2 2 3 100 60 40 80 100 ( 60) ( 60) 40 100 40 80 10,800 100 ( 60) 40 40 80 496,000 I I I = − + = = × − + − × + × − = − = × − × − × = Find the principal stresses?
  • 166. Examples of Calculation (cont.) 3 2 2 3 1 2 80 10,800 496,000 0 or ( 40)( 40 12,400) 0 40 MPa 133.1 MPa 93.1 MPa σ σ σ σ σ σ σ σ σ − − + = − − + = ∴ = = = −
  • 167. Examples of Failure Calculation Question From previous example, if the material has tensile yield strength equal to 100 MPa, determine that the plastic deformation has already occurred or not. Use the following criterions, 1. Maximum principal stress theory 2. Maximum shear stress theory 3. Distortion energy theory Solution : 1) Maximum principal stress theory 1 2 3 ( 133.1 , 93.1 , 40 ) 133.1 100 σ σ σ = = − = = > MAX Therefore, yielding has occurred.
  • 168. Examples of Failure Calculation (cont.) 2 3 1 1 3 2 1 2 3 93.1 40 66.5 2 2 133.1 40 46.55 2 2 133.1 ( 93.1) 113.1 2 2 σ σ τ σ σ τ σ σ τ − − − = = = − − = = = − − − = = = Solution : 2) Maximum shear stress theory Therefore, yielding has occurred. 3 max 113.1 100/ 2 τ τ = = >
  • 169. Examples of Failure Calculation (cont.) Solution : 3) Distortion energy theory Therefore, yielding has occurred. 2 2 2 2 2 1 (133.1 ( 93.1)) (( 93.1) 40) (40 133.1) 2 196.91 100 σ σ ⎡ ⎤ − − + − − + − = ⎣ ⎦ = > e e
  • 170. Tutorial Problem The round bar is subjected to a force and torque, as shown below. Determine 1) State of stress at any point within a body 2) Principal normal stresses
  • 171. Tutorial (cont.) σxx = F/A τxy = Tr/J, J (Circular Shaft) = πr4/2, r = outside radius of a solid shaft, shear is maximum at outside radius • If solid shaft material is AISI 1030, determine that is it failed by yielding or not?
  • 172. ปญหาแบบสองมิติของกลศาสตรของแข็ง ปญหาบางสวนสามารถที่จะลดรูปใหเปนปญหาแบบสองมิติได ซึ่ง แบงเปนดังนี้ 1. Plane stress problem 2. Plane strain problem 3. Axisymmetric problem ซึ่งเราจะมาพิจารณากันตอไปวาปญหาแบบนี้มีนิยามอยางไร
  • 173. ปญหา Plane stress ปญหาที่ซึ่งมีแรงกระทําบนระนาบ xy และความหนาของวัตถุมีขนาดเล็กดัง ตัวอยางดังรูปขางลาง { } , 0 x x xy y yx y xy xy yx z yz xz ⎧ ⎫ σ σ τ ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ σ = = σ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ τ σ ⎣ ⎦ ⎪ ⎪ τ ⎩ ⎭ τ = τ σ = τ = τ =
  • 174. ปญหา Plane stress (ตอ) สําหรับ Isotropic material ความสัมพันธระหวางความเคนและ ความเครียด มีคาดังนี้ { } 2 1 0 [ ] 1 0 1 0 0 1 x x x y y y xy xy xy v E D v v ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ σ ε ε ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ σ = σ = ε = ε ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ − ν ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎢ ⎥ τ ε − ε ⎣ ⎦ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭
  • 175. ปญหา Plane stress (ตอ) 1 0 1 [ ] 0 1 0 0 2 yx x y x x x xy y y y x y xy xy xy xy yx xy y x v E E v S E E G when E E ⎡ ⎤ − ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ⎧ ⎫ ε σ σ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ε = σ = − σ ⎢ ⎥ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ⎪ ε τ τ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ ⎩ ⎭ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎣ ⎦ ν ν = สําหรับ orthotropic material ตัวอยางดังรูป ความสัมพันธระหวาง ความเคนและความเครียด มีคาดังนี้ (มีคาคงที่ 4 ตัว)
  • 176. ปญหา Plane strain ปญหาที่ซึ่งมีแรงกระทําบนระนาบ xy และความหนาของวัตถุมีขนาดใหญ มากตัวอยางดังรูปขางลาง { } , 0, 0 x x xy y yx y xy xy yx z yz xz z ⎧ ⎫ ε ε ε ⎡ ⎤ ⎪ ⎪ ε = = ε ⎨ ⎬ ⎢ ⎥ ε ε ⎣ ⎦ ⎪ ⎪ ε ⎩ ⎭ ε = ε ε = ε = ε = σ ≠