หน่วยการเรียนรู้ที่ ๗
- 7. ตามตารานาฏศาสตร์กล่าวไว้ว่ามีการสร้างโรงละคร ๓ แบบ คือ
๑. ขนาดเล็ก เป็นรูปสามเหลี่ยม ๓๒ ศอก (โรงละครสามัญชน)
๒. ขนาดกลาง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ๓๖ ศอก (โรงละครกษัตริย์)
๓. ขนาดใหญ่ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ๑๐๘ ศอก (โรงละครเทวดา)
ก่อนการแสดงตามตารานาฏศาสตร์ต้องมีการบูชาพระอินทร์ให้ปกป้อง
ภัยอันตรายแก่ผู้แสดง
- 10. โขน หมายถึง การแสดงท่าทางการรา เต้นออกท่าทางเข้ากับดนตรี
ประกอบด้วยตัวละครที่เป็นยักษ์ ลิง มนุษย์ และเทวดา ผู้แสดงจะ
สวมหัวโขนไม่บทร้องและพูด ใช้วิธีการพากย์เป็นสาคัญ อาจมีการรา
ประกอบบทร้องบ้าง มีหลักฐานเป็นภาพจาหลักผนัง ที่ปราสาทนคร
วัด สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ของเขมร (พ.ศ.๑๖๕๖) ปรากฏให้
เห็นว่าเป็นการจัดการแสดงโขนโรงใหญ่ ตอนชักนาคหรือการกวนน้า
อมฤต หรือกวนเกษียรสมุทร ซึ่งจัดว่าเป็นหลักฐานโขนชุดที่เก่าแก่
ที่สุด
- 11. ประเภทการแสดง ที่มา ดนตรี เพลงร้อง สถานที่แสดง เรื่องที่แสดง
๑.โขนกลางแปลง สันนิษฐานว่ามีมา
ตั้งแต่สมัยกรุงศรี
อยุธยา แสดงในสมัย
รัชกาลที่ ๑ ประมาณปี
พ.ศ. ๒๓๓๙
ใช้วงปี่พาทย์
เครื่องห้า
๑.ไม่มีบทขับร้อง
๒.มีแต่การพากย์
เจรจา
๓.บรรเลงเพลงหนัง
พาทย์
นิยมแสดงกลางแจ้ง ไม่มี
เวที
แสดงเรื่องรามเกียรติ์
ตอนที่นิยมแสดงมักเป็น
ตอนยกทัพเพราะต้องใช้
ผู้แสดงจานวนมาก
๒.โขนโรงนอก บางครั้งเรียกว่า “โขน
นอนโรง” เพราะ
แสดง๒ วัน โดยแรก
แสดงโหมโรงแล้วจับ
เรื่อง
ใช้วงปี่พาทย์
เครื่องห้า
๑.ไม่มีบทขับร้อง
๒.มีแต่การพากย์
เจรจา
๓.บรรเลงเพลงหนัง
พาทย์
๑.แสดงบนเวที
๒.ไม่มีเตียงสาหรับผู้
แสดง
๓.ใช้ราวไม้พาดตามแนว
ยาวของเวทีแทนเตียง ผู้
แสดงเดินได้รอบราว
แสดงเรื่องรามเกียร์
๓.โขนหน้าจอ วิวัตนาการมาจากการ
แสดงหนังใหญ่ ต่อมา
ใช้ตัวโขนสลับกับการ
เชิดหนังใหญ่ที่เรียกว่า
หนังติดตัวโขน เมื่อ
ความนิยมเรื่องหนัง
ใหญ่ลดลงจึงนิยม
แสดงเฉพาะโขนชนิด
นี้
ใช้วงปี่พาทย์
เครื่องห้า
๑.ไม่มีบทขับร้อง
๒.มีแต่การพากย์และ
การเจรจา
๓.บรรเลงเพลงหน้า
พาทย์
๑.แสดงบนเวที
๒.ด้านหลังเวทีเป็น
ลักษณะจอหนังใหญ่
๓.ด้านล่างของจอหนัง
ใหญ่จะเจอะเป็นตาข่าย
เพื่อให้นักดนตรีเห็นผู้
แสดงขณะที่แสดงขณะที่
แสดงโดยตั้งวงอยู่
ด้านหลังที่เจาะ
แสดงเรื่องรามเกียรติ์
- 12. ประเภทการ
แสดง
ที่มา ดนตรี เพลงร้อง สถานที่แสดง เรื่องที่แสดง
๔.โขนโรงใน วิวัฒนาการมาจาก
การแสดงละครใน
เข้ามาผสมผสานกัน
ใช้วงปี่พาทย์
เครื่องห้า
๑.มีบทขับร้อง
๒.มีแต่การพากย์
เจรจา
๓.บรรเลงเพลงหนัง
พาทย์
บนเวทีทั่วไปหรืออาจ
แสดงบนเวทีโขน
หน้าจอก็ได้เพียงแต่
วิธีการแสดงเป็นโขน
โรงในอย่างที่เห็นใน
ปัจจุบัน
แสดงเรื่องรามเกียรติ์
๕.โขนฉาก วิวัฒนาการมาจาก
การนาเรื่องราวจัด
ฉากเข้ามาผสมใน
การแสดงโขนโดน
นาเทคนิคการจัด
ฉากมาจากการแสดง
ละครดึกดาบรรพืใน
สมัยรัชการที่๕ส่วน
วิธีการแสดงมีรุป
แบบคล้ายโขนโรง
ใน
ใช้วงปี่พาทย์
เครื่องห้า
๑.มีบทขับร้อง
๒.มีแต่การพากย์
เจรจา
๓.บรรเลงเพลงหนัง
พาทย์
บนเวทีมีการจัดฉาก
ประกอบการแสดงโขน
แต่ละตอนด้วย
แสดงเรื่องรามเกียรตื
- 15. ละครแบ่งออกตามยุคสมัยได้ ดังนี้
๑.สมัยน่านเจ้า เป็นละครเรื่องมโนราห์ ซึ่งมีอิทธิพลละครแบบจีนตอนใต้ใน
อาณาจักรน่านเจ้า
๒.สมัยสุโขทัย ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับละครมากนัก มีเพียงการกาหนดแบบแผน
แห่งศิลปะการแสดงไว้ ๓ ชนิดคือ โขน ละคร และฟ้ อนรา
๓.สมัยอยุธยา มีการจัดระเบียบแบบแผนการละครชัดเจนขึ้น มีการแสดงละคร
ชาตรี ละครนอก ละครใน โดยการรับผสมผสานวัฒนธรรมละคร ๒ สาย
๔.สมัยธนบุรี การละครซบเซาเป็นผลมาจากสงครามแต่ในตอนปลายสมัยเมื่อ
พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์
- 16. ๕.สมัยรัตนโกสินทร์
๕.๑ รัชกาลที่ ๑ มีบทละครสาคัญ ๔ เรื่อง คือ เรื่องอุณรุท รามเกียรติ์ ดาหลัง และ
อิเหนา
๕.๒ รัชกาลที่ ๒ มีบทละครสาคัญๆ ดังนี้
๑) เรื่องอิเหนา
๒) เรื่องรามเกียรติ์
๓) เรื่องไกรทอง
๔) เรื่องคาวี
๕) เรื่องไชยเชษฐ์
๖) เรื่องสังข์ทอง
๗) เรื่องมณีพิชัย
- 17. ๕.๓ รัชกาลที่ ๓ ยุคละครซบเซาเนื่องจากขาดการสนับสนุน
๕.๔ รัชกาลที่ ๔ มีการฟื้ นฟูละครหลวงขึ้นอีกครั้ง ออกประกาศให้ความสาคัญกับ
ละครอย่างเกิดละครประเภทต่างๆ ขึ้นมากมาย เช่น
๑) ละครพันทาง
๒) ละครดึกดาบรรพ์
๓) ละครร้อง
๔) ละครพูด
๕) ละครเสภา
๕.๖ รัชกาลที่ ๖ เป็นสมัยที่การละครเจริญรุ่งเรืองมากถึงขีดสุด เป็นยุคทองแห่ง
การละครไทย ทรงพระราชนิพนธ์บทละครไว้เป็นจานวนมาก
- 18. ๕.๗ รัชกาลที่ ๗ ถึงปัจจุบัน ช่วงแรกเป็นยุคสงครามโลก การละครซบเซาจน
ต่อมาได้พัฒนาการละครสู่สากล
- 21. การราตามลักษณะของการแสดงละคร โขน เช่น
๑.การราหน้าพาทย์ คือ การราตามทานองเพลงดนตรีปี่พาทย์ โดยผู้แสดง
จะต้องเต้น หรือราไปตามจังหวะและทานองเพลงที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะ
๒. การราบท เป็นการแสดงท่าทางแทนคาพูด ให้มีความหมายต่างๆ รวมทั้ง
การแสดงลักษณะอารมณ์ด้วยในการแสดงท่าทางคาพูด
- 23. ระบาของนาฏศิลป์ไทยแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. ระบามาตรฐาน เป็นระบาแบบดั้งเดิมที่มีแต่โบราณ ไม่สามารถนามา
เปลี่ยนแปลงท่าราใหม่ได้
๒. ระบาที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ เป็นการจัดทาหรือปรับปรุงประดิษฐ์ขึ้นใหม่โดย
คานึงถึงความเหมาะสมของผู้แสดงและนาไปใช้ในโอกาสต่างๆ