SlideShare a Scribd company logo
1 of 566
English Grammar


  ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Yindii English Grammar ซึ่งทางเราจะได้ทำาการ update เพิ่มเนื้อหา
 และแบบทดสอบในส่วนต่างๆต่อไปอีกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณคงจะได้รับประโยชน์จากส่วนนี้

                           รวมแบบทดสอบในแต่ละ section

Introduction                                   คำานำา
Adjectives                                     คำาคุณศัพท์
Adverbs                                        คำากริยาวิเศษณ์
Verbs                                          คำากริยา
Tenses                                         กาล
Prepositions                                   คำาบุพบท
Pronouns                                       คำาสรรพนาม
Nouns                                          คำานาม
Gerunds                                        กริยาที่เติม ing
Articles                                       คำานำาหน้านาม
Auxiliary verbs                                กริยาช่วย
Comparisons                                    การเปรียบเทียบ
Conjunctions                                   คำาสันธาน
Punctuation                                    เครื่องหมายวรรคตอน
Irregular Verbs                                กริยารูปพิเศษ
                                                                                         Graphics 1




                                   The Tenses
The simple Tenses
1. Present Simple                              S + V 1 (s, es)
2. Past Simple                                 S + V2
3. Future Simple                               S + will, shall + V1

The Continuous (Progressive) Tenses
1.Present Continuous                S + is, am, are + Ving
                                                                                         Graphics 2




2.Past Continuous (Progressive)     S + was, were + Ving
3.Future Continuous (Progressive)   S + will, shall + be + Ving

The Perfect Tenses
1.Present Perfect                              S + has, have + V3
2.Past Perfect                                 S + had + V3
3.Future Perfect                               S + will, shall + have + V3

The Perfect Continuous Tenses
1.Present Perfect Continuous                   S + has, have + been + Ving
2.Past Perfect Continuous                      S + had + been + Ving
3.Future Perfect Contunuous                    S + will, shall + have been + Ving


   www.chrisdelivery.com                                Isan_Poem
Chris Delivery Episode 3                       Isan_Poem_1
Chris Delivery Episode 4                       Isan_Poem_2
Chris Delivery Episode 5    Isan_Poem_3
Chris Delivery Episode 6    Isan_Poem_4
Chris Delivery Episode 7
Chris Delivery Episode 8
Chris Delivery Episode 9
Chris Delivery Episode 10
Chris Delivery Episode 11
Chris Delivery Episode 12
Chris Delivery Episode 13
Chris Delivery Episode 14
Chris Delivery Episode 15
Chris Delivery Episode 16
I love you.                                       ฉันรักคุณ
I really love you.                                ฉันรักคุณจริงๆ
I love you with all my heart.                     ฉันรักคุณหมดหัวใจ
I miss you.                                       ฉันคิดถึงคุณ
I feel so lonely.                                 ฉันเหงามาก
I’m so lonely without you.                        ไม่มีคุณ ฉันเหงามาก
I don’t want to be here without you.              ฉันไม่อยากอยู่ที่นี้ ถ้าไม่มีคุณ
Can you be my boy / girlfriend?                   คุณเป็นแฟนฉันได้ไหม
I am single.                                      ฉันเป็นโสด
I don’t have anyone in my heart.                  ไม่มีใคร อยู่ในหัวใจ
I want to be with you.                            ฉันอยากอยู่กับคุณ
I want to be with you all the time.               ฉันอยากอยู่กับคุณ ตลอดเวลา
I want to be with you forever.                    ฉันอยากอยู่กับคุณตลอดไป
Why do you love me?                               ทำาไมคุณถึงรักฉัน
Because you are………                                เพราะว่าคุณ………..
I can’t forget you.                               ฉันลืมคุณไม่ได้
I dream about you all the time.                   ฉันฝันถึงคุณ ตลอดเวลา
I will dream about you every night.               ฉันจะฝันถึงคุณ ทุกคืน
I will dream about you tonight                    คืนนี้ ฉันจะฝันถึงคุณ
You’re the woman of my dreams.                    คุณคือผู้ชายในฝัน
I want to know all about you.                     ฉันอยากรู้เรื่องของคุณ
This is my first love.                            นี่เป็นรักครั้งแรกของผม
Graphics 1




You are very beautiful.                           คุณสวยมาก
You are very handsome.                            คุณหล่อมาก
You are very charming.                            คุณมีเสน่ห์มาก
You are very cute.                                คุณน่ารักมาก
You are very beautiful eyes.                      ตาของคุณสวยมาก
You have a cute nose.                             จมูกของคุณน่ารักมาก
I like your smile.                                ฉันชอบยิ้มของคุณ
I like your outfit.                               ฉันชอบชุดที่คุณใส่
I like looking at you.                            ฉันชอบมองคุณ
Graphics 2




I want to share my life with you.                 ฉันอยากใช้ชีวิตกับคุณ
Love at first sight.                              รักแรกพบ
I’ve never met a man like you.                    ฉันไม่เคยเจอผู้ชายอย่างคุณ
I’ve never met a woman like you.                  ฉันไม่เคยเจอผู้หญิงอย่างคุณ
I’ve never loved anybody like this before.        ฉันไม่เคยรักใครอย่างนี้มาก่อน
I’m serious about you.                            ฉันจริงใจกับคุณ
I’m crazy about you.                              ฉันคลั่งไคล้คุณ
I love you, not your money.                       ฉันรักคุณ ไม่ใช่เงินของคุณ
I don’t care how much money you have.             ฉันไม่สนใจหรอกว่าคุณมีเงินเท่าไหร่
I’m so happy being around you.                    ฉันมีความสุขที่อยู่ใกล้คุณ
Are you really serious about me?                  คุณจริงจังกับฉันจริงหรือเปล่า
   * Really จริงๆ
   * Yes, I’m serious and sincere. ฉันทังจริงจังและจริงใจ
                                        ้
   * I like you as a friend. ฉันชอบคุณแบบเพื่อน
   * I don’t know yet. ฉันยังไม่รู้

My heart is all yours.                            หัวใจของฉันเป็นของคุณ
You mean everything to me.               คุณคือทุกสิ่งทุกอย่างสำาหรับฉัน
You are my precious thing.               คุณเป็นสิ่งมีค่าของฉัน
I love you only.                         ฉันรักคุณคนเดียว
I’m so happy being around you.           ฉันมีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้คุณ
I will always love you.                  ฉันจะรักคุณตลอดไป
I can’t love anyone else.                ฉันรักใครไม่ได้อีกแล้ว
I can’t wait to see you again.           ฉันอยากจะเจอคุณเร็วๆ
I want to see you as soon as possible.   ฉันอยากเจอคุณ ให้เร็วที่สุด
I don’t want to leave you.               ฉันไม่อยากไปจากคุณ
You can trust me.                        ขอให้เชื่อใจฉัน
I will be faithful to you.               ฉันจะซื่อสัตย์ต่อคุณ
I will never cheat on you.               ฉันจะไม่นอกใจคุณ
I still remember the moment we met.      ยังจำาได้ตอนที่เราเจอกัน
I have fallen in love with you           รักคุณเข้าแล้ว
I love you with all my heart.            รักคุณหมดใจ
You’re mine.                             คุณเป็นของฉัน
It’s hard to say how I feel.             ยากที่จะบอกความรู้สึก
Think about me sometimes.                คิดถึงฉันบ้าง
You are my sweetheart.                   คุณคือสุดที่รัก ของฉัน
Don’t forget me.                         อย่าลืมฉัน
กลับไปยังหน้าเดิม
                                                                 Introduction
                    What is a sentence? ความหมายของประโยค

                    ประโยคคือกลุ่มของคำาที่มีประธานและส่วนขยาย

                    What are the parts of speech? ชนิดของคำา

                    แบ่งออกได้เป็น 8 ชนิดคือ
                    คำานาม คำากริยา คำาสรรพนาม คำากริยาวิเศษณ์ คำาคุณศัพท์ คำาบุพบท คำาสันธานและคำาอุทาน

                    verbs                                                 คำากริยา
                    nouns                                                 คำานาม
                    pronouns                                              คำาสรรพนาม
                    adverbs                                               คำากริยาวิเศษณ์
                    adjectives                                            คำาคุณศัพท์
                    prepositions                                          คำาบุพบท
                    conjunctions                                          คำาสันธาน
                    interjections                                         คำาอุทาน



                    กลับไปยังหน้าเดิม
กลับไปยังหน้าเดิม
                                                                                  Adjectives คำ า คุ ณ ศั พ ท์
                    Descriptive adjectives        Demonstrative adjectives            Proper Adjectives
                    Numeral Adjectives            Possessive Adjectives               Quantitative Adjectives

                    คำาคุณศัพท์คือคำาที่ทำาหน้าที่ขยายคำานามหรือคำาสรรพนาม ที่สำาคัญมีดังนี้

                    Descriptive adjectives

                    คือคำาคุณศัพท์ที่บอกลักษณะ คุณภาพ ขนาด สี รูปร่าง ของคำานามที่มันประกอบเช่น

                       beautiful                  สวยงาม
                       ugly                       ขี้เหล่
                       new                        ใหม่
                       old                        เก่า
                       big                        ใหญ่
                       small                      เล็ก
                       clean                      สะอาด
                       dirty                      สกปรก
                       good                       ดี
                       bad                        เลว

                       She is beatiful.
                       Daeng's room is dirty.
                       Tammy is a good tennis player.

                    1. การเรียงลำาดับคำาคุณศัพท์ที่มีอยู่ในประโยคเรียงได้ตามนี้

                       คำาคุณศัพท์ที่บอกสี        ที่มา(มาจากไหน)                     วัสดุ(ทำาจากอะไร)
                       blue                       American                            leather
                       red                        Thai                                silk


                    2. ถ้ามีคำาคุณศัพท์ที่บอกขนาด ความสูง ความยาวจะวางไว้ข้างหน้าจากข้อหนึ่ง
                       a small blue car
                       a thick glass bottle

                    3. ถ้ามีคำาว่า first, last และ next จะวางไว้หน้าจำานวนนับ
                       the first two weeks
                       the next three men

                    Demonstrative adjectives

                    คือคุณศัพท์ชี้เฉพาะได้แก่ This, That, These, Those

                       This ใช้กับคำานามเอกพจน์ที่อยู่ใกล้ (นี้)
                       That ใช้กับคำานามเอกพจน์ที่อยู่ไกล (นั้น)
                       These ใชักับคำานามพหูพจน์ที่อยู่ใกล้(เหล่านี้)
                       Those ใชักับคำานามพหูพจน์(เหล่านั้น)
                       This is my pen.
That is my motorcycle.
    These books are theirs.

Proper Adjectives

คือคำาคุณศัพท์ที่เกี่ยวกับเชื้อชาติเป็นคำาศัพท์ที่มีรูปมา
จากชื่อของประเทศเช่น

    Thailand                     Thai                          คนไทย
    Canada                       Canadian                      คนแคนาดา
    U.S.A.                       American                      คนอเมริกัน
    China                        Chinese                       คนจีน
    Switzerland                  Swiss                         คนสวิส

Numeral Adjectives

คือคุณศัพท์ที่บอกจำานวนนับ ลำาดับที่และจำานวนที่ไม่แน่นอน
จำานวนนับได้แก่ one,two, three, four,five,six,seven,eight, nine,ten......
ลำาดับที่ได้แก่ first,second,third,fourth, fifth, sixth, seventh, eighth, nineth,tenth.....
บอกจำานวนที่ไม่แน่นอนได้แก่คำาว่า
    many มาก
    much มาก
    double ทั้งสอง
    few /a few น้อย จำานวนน้อย สองสาม
    several หลาย
    a little/little เล็กน้อย
    all ทั้งหมด
    no ไม่มี
    some มีบ้าง
    enough. เพียงพอ

    I have three dogs.
    That's his second wife.
    I will be away several weeks.

Possessive Adjectives

คือคำาคุณศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของ
   my ของฉัน
   her ของเธอ
   his ของเขา
   its ของมัน
   your ของคุณ
   our ของพวกเรา
   their ของพวกเขา

    My book is on the table.
    I lost her coat.
    May I borrow your pen?

Quantitative Adjectives
คือคุณศัพท์ที่แสดงปริมาณบอกถึงความมากน้อยของสิ่งนับไม่ได้ได้แก่คำาว่า
   some บ้าง
   much มาก
   little น้อย
   enough เพียงพอ
   all ทั้งหมด
   no ไม่มี
   any บ้าง
   whole ทั้งหมด

   Give me some food.
   I do not have enough water.
   Do you have any money?


กลับไปยังหน้าเดิม




Adjectives

Adjectives คือ คุณศัพท์ หมายถึง คำาที่ไปทำาหน้าที่ขยายนามหรือสรรพนาม (ขยายสรรพนามต้องอยู่หลังตลอดไป
หรือคุณสมบัติของนามหรือสรรพนามนั้นว่า เป็นอย่างไร?
ได้แก่คำาว่า
      good                 ดี
      bad                  เลว
      tall                 สูง
      dirty                สกปรก
      wise                 ฉลาด
      red                  แดง
      fat                  อ้วน
      thin                 ผอม
      this                 นี้
      those                เหล่านั้น
      short                สั้น
      white                ขาว


ชนิ ด ของ Adjective

Adjective ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 11 ชนิด คือ
      1. Descriptive Adjective คุณศัพท์บอกลักษณะ
      2. Proper Adjective คุณศัพท์บอกสัญชาติ
      3. Quantitative Adjective คุณศัพท์บอกปริมาณ
      4. Numbearl Adjective คุณศัพท์บอกจำานวนแน่นอน
      5. Demonstrative Adjective คุณศัพท์ชี้เฉพาะ
      6. Interrogative Adjective คุณศัพท์บอกคำาถาม
      7. Possessive Adjective คุณศัพท์บอกเจ้าของ
      8. Distributive Adjective คุณศัพท์แบ่งแยก
      9. Emphaszing Adjective คุณศัพท์เน้นความ
10. Exclamatory Adjective คุณศัพท์บอกอุทาน
      11. Relative Adjective คุณศัพท์สัมพันธ์

1. Descriptive Adjective คือ "คำาคุณศัพท์บอกลักษณะ" หมายถึง คำาที่ใช้ลักษณะหรือคุณภาพของคนสัตว์ สิ่งของและสถานที่เพื่อให้ร
good, bad, tall, shot, black, fat, thin, fat, thin, clever, foolish, poor, rich, brave, cowardly, pretty, agly, happy, sor
ตัวอย่างเช่น :
        The rich man lives in the big house. (คนรวยอาศัยอยู่บ้านหลังใหญ่)
        A clever pupil can answer the difficult problem. (นักเรียนที่ฉลาดสามารถตอบปัญหายากได้
        The black cat cuagh a smail bird. (แมวดำาตัวนั้นจับนกได้)
ข้อสังเกต : rich, big, clever, difficult, black และ small เป็นคุณศัพท์บอกลักษณะ

2. Proper Adjective คือ "คุณศัพท์บอกสัญชาติ" หมายถึง คำาที่ไปขยายนามเพื่อบอกสัญชาติ ซึ่งอันที่จริงมีรูปเปลี่ยนมาจาก
      Proper Noun                                           Proper Adjective
      (เป็นนามเฉพาะ)                                        (เป็นคุณศัพท์บอกสัญชาติ)
      England                                               English
      America                                               American
      Thailand                                              Thai
      India                                                 Indian
      Germany                                               German
      Italy                                                 Italian
      Japan                                                 Japanese
      China                                                 Chinese

ตัวอย่างเช่น :
        John employs a chinese cook. (จอห์นจ้างพ่อครัวชาวจีนคนหนึ่ง)
        Do you learn French literature? (คุณเรียนวรรณคดีฝรั่งเศสหรือ)
        The English language is used by every nation. (ภาษาอังกฤษใช้ในทุกประเทศ)
        ข้อสังเกต : Chinese, French, English เป็นคำาคุณศัพท์บอกสัญชาติ

3. Quantitive Adjective คือ "คำาคุณศัพท์บอกปริมาณ" หมายถึง คำาที่ไปขยายนาม เพื่อบอกให้ทราบปริมาณของสิ่งเหล่านั้นว่า มีมาก
much, many, little, some, any, enough, half, great, all, whole, sufficent, etc.

      He ate much rice at school yesterday.
      (เขากินข้าวมากที่โรงเรียนเมื่อวานนี้)
      Linda did not give any money to her younger brother.
      (ลินดาไม่ได้ให้เงินแก่น้องชายของหล่อน)
      Take great care of your health.
      (เอาใจใส่ต่อสุขภาพของคุณให้มากหน่อย)

ข้อสังเกต : much, any, great ในประโยชน์ทั้ง 3 เป็นคำาคุณศัพท์บอกปริมาณ
ตัวอย่างเช่น :

4. Numberal Adjective คือ "คำาคุณศัพท์บอกจำานวนแน่นอน" หมายถึง คำาที่ไปขยายนาม เมื่อบอกจำานวนแน่นอนของนามว่ามีเท่าไห

4.1 Cardinal Numberal Adjective คือ คุณศัพท์ที่ใช้บอกจำานวนนับที่แน่นอนของนาม ได้แก่
one, two, three, four, five, six, seven, etc.
ตัวอย่างเช่น :
        She gave me two apples and three organes.
        (หล่อนให้แอปเปิ้ลสองผล และส้มสามผลแก่ฉัน)
        Bill wants to buy seven pens.
        (บิลต้องการซื้อปากกาเจ็ดด้าม)
        ข้อสังเกต : two, three, seven เป็นคุณศัพท์บอกจำานวนแน่นอนวางไว้หน้านาม
4.2 Ordinanal Numberal Adjective คือ "คำาคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกลำาดับที่ของนามนั้นๆ ได้แก
first, second, third, fifth, sixt, seventh, etc.
ตัวอย่างเช่น :
        Tom is the first boy to be rewarded in this school.
        (ทอมเป็นเด็กคนแรกที่ได้รับรางวัลในโรงเรียนนี)   ้
        Sam won the third prize last month and the second one last week.
        (แซมได้รับรางวัลที่ 3 เมื่อเดือนที่แล้ว และสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับรางวัลที่ 2)
        I am the seventh son of my family.
        (ฉันเป็นลูกคนที่ 7 ของครอบครัว)
        ข้อสังเกต : first, third, second, seventh เป็นคุณศัพท์บอกลำาดับที่วางไว้หน้านาม

4.3 Mutiplicative Adjective คือ "คุณศัพท์บอกจำานวนทวีของนาม" ได้แก่ double, triple, fourfold
ตัวอย่างเช่น :
        Some roses are double.
        (ดอกกุหลาบบางดอกก็มีกลีบ 2 ชั้น)
        Buddha, Dhamma, and Sangha are triple gems.
        (พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ คือแก้ว 3 ประการ)
        ข้อสังเกต : double, triple, เป็นคำาคุณศัพท์บอกจำานวนทวีของนาม

5. Demonstrative adjective คือ คุณศัพท์ชี้เฉพาะหรือนิยมคุณศัพท์หมายถึง คำาที่ชี้เฉพาะให้กับนามใดนามหนึ่ง ได้แก่
these ,those (ใช้กับนามพหูพจน์) such, same
ตัวอย่างเช่น:
        I invited that man to come in.
        (ฉันได้เชิญผู้ชายคนนั้นให้เข้ามาข้างใน)
        Jan hated such things because they made her ill.
        (แจนเกลียดสิ่งเหล่านั้นเพราะมันทำาให้เธอไม่สบาย)
        They said the same thing two or three times.
        (พวกเขาพูดถึงสิ่งเดียวกันนี้2หรือ3ครั้งแล้ว)
        ข้อสังเกต: that,such,same เป็นคุณศัพท์ชี้เฉพาะวางไว้หน้านาม

6.interrogative adjective คือ คุณศัพท์บอกคำาถามหมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อให้เป็นคำาถามโดยจะวางไว้
ต้นประโยคและมีนามตามหลังเสมอ ได้แก่ what, which, whose
ตัวอย่างเช่น:
        What book is he reading in the room?
        (เขากำาลังอ่านหนังสืออะไรอยู่ในห้อง)
        Which way shall we go?
        (เราจะไปทางไหนกันนี่?)
        Whose shoes are these?
        (รองเท้านี้เป็นของใคร)
        ข้อสังเกต: what,which,whose เป็นคุณศัพท์บอกคำาถามอยู่หน้าประโยค

7. Possessive adjective คือ คุณศัพท์บอกเจ้าของหรือสามีคุณศัพท์ หมายถึง คำาคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกความเป็นเจ้าของขอ
ตัวอย่างเช่น :
        This is my table.
        (นี่คือโต๊ะของฉัน)
        Her pen is on my desk.
        (ปากกาของหล่อนอยู่บนโต๊ะฉัน)
        Our nation needs solidarity.
        (ชาติของเราต้องการความสามัคคี)
        Their parents work hard every day.
        (พ่อแม่ของพวกเขาทำางานหนักทุกวัน)
ข้อสังเกต : my, her, our, their เป็นคุณศัพท์บอกเจ้าของวางไว้หน้านาม

8. Distributive คือ คุณศัพท์แบ่งแยก หมายถึง คำาคุณศัพท์ที่ไปขยายนาม เพื่อแยกนามออกจากกันเป็น อันหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งได้แก่
ตัวอย่างเช่น :
        The two men had each a gun.
        (ชายสองคนนี้มีปืนคนละกระบอก)
        Every soldier is punctually in his place.
        (ทหารทุกคนเข้าประจำาที่ของตัวตรงเวลาดี)
        Either side is a narrow lane.
        (ไม่ข้างใดก็ข้างหนึ่งเป็นซอยแคบ)
        Neither accusation is true.
        (ข้อกล่าวหาทั้งสองข้อไม่เป็นความจริง)
        ข้อสังเกต: each,every,either,neither เป็นคุณศัพท์แบ่งแยกมาขยายนาม

9. Emphasizing Adjective คือ คุณศัพท์เน้นความ หมายถึงคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อเน้นความให้มีนำาหนักขึ้น ได้แก่
ตัวอย่างเช่น:
        Linda said that she had seen it with her own eyes.
        (ลินดาพูดว่าหล่อนได้เห็นมันมากับตาเธอเอง)
        He is the very man who stole my wrist watch last night.
        (เขาคือชายคนนั้นผู้ซึ่งได้ขโมยนาฬิกาข้อมือของฉันไปเมื่อคืนนี)
                                                                    ้
        Jean is my own girl-friend.
        (จีนคือแฟนผมเอง)
        ข้อสังเกต : own,very เป็นคุณศัพท์เน้นความขยายนามที่ตามหลังให้มีนำาหนักขึ้น

10. Exclamatory Adjective คือ คุณศัพท์บอกอุทาน หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายเพื่อให้เป็นคำาอุทาน ได้แก่
ตัวอย่างเช่น:
        What a man he is!
        (เขาเป็นผู้ชายอะไรนะเนี่ย!)
        What an idea it is!
        (มันเป็นความคิดอะไรกันหนอ!)
        What a piece of work he does!
        (เขาทำางานได้เยี่ยมจริงๆ!)
        ข้อสังเกต : what ทั้ง 3 คำา ในประโยคเหล่านี้เป็นคุณศัพท์บอกอุทาน

11. Relative Adjective คือ คุณศัพท์สัมพันธ์ หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามที่ตามหลังและในขณะเดียวกันก็ยังทำาหน้าที่คล้ายส้นธา
เชื่อมความในประโยคของตัวเองกับประโยคข้างหน้าให้สัมพันธ์กันอีกด้วย ได้แก่
what(อะไรก็ได้),whichever(อันไหนก็ได้)
ตัวอย่างเช่น:
        Give me what money you have.
        (จงให้เงินเท่าที่คุณมีอยู่แก่ฉัน)
        I will take whichever horse you don t want.
        (ฉันจะนำาเอาม้าตัวที่คุณไม่ต้องการ)
        He will read what book he wishes.
        [ แซมจะอ่านหนังสืออะไรก็ได้ที่เขาปราถนา (จะอ่าน) ]
        ข้อสังเกต : What, Whichever เป็นคุณศัพท์สัมพันธ์ ไปขยายนามที่ตามหลัง และในขณะเดียวกันก็ทำาหน้าที่เชื่อมประโยคหน้า

Adjective เวลานำาไปพูดหรือเขียนมีวิธีใช้อยู่ 4 อย่างคือ

1. เรียงไว้หน้าคำานามที่คุณศัพท์นั้นไปขยายโดยตรงได้ เช่น
        * The thin man can run very quickly.
        (คนผอมสามารถวิ่งได้เร็วมาก)
        * A wise boy is able to answer a difficult problem.
(เด็กฉลาดสามารถตอบปัญหาที่ยากได้)
        * The beautiful girl is wanted by a young boy.
        (สาวสวยย่อมเป็นที่หมายตาของเด็กหนุ่ม)
ข้อสังเกต : thin , wise , difficult , beautiful ,young เป็น
คุณศัพท์เรียงขยายไว้หน้านามโดยตรง

2. เรียงไว้หลัง Verb to be, look feel,seem,get,taste,smell,
turn,go,appear,keep,become,sound,grow,etc. ก็ได้ Adjective
ที่เรียงตามกริยาเหล่านี้ ถือว่าขยายประธาน แต่วางตามหลังกริยา
เพราะฉะนั้นจึงมีชื่อเรียกได้อีกอย่างหนึงว่า Subjective Complement เช่น
         * I'm feeling a bit hungry.
         (ฉันรู้สึกหิวนิดๆ)
         * Sugar tastes sweet.
         (นำ้าตาลมีรสหวาน)
ข้อสังเกต: hungry และ sweet เป็น Adjective เรียงไว้หลัง
กริยา feeling และ tastes ทั้งนั้น

3. เรียงคำานามที่ไปทำาหน้าที่เป็นกรรม (Object) ได้ ทั้งนี้เพื่อ
ช่วยขยายเนื้อความของกรรมนั้นให้สมบรูณ์ขึ้น Adjiective ที่ใช้ใน
ลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็น Objiective Complement เช่น
        * Sam made his wife happy.
        (แซมทำาภรรยาของเขาให้มีความสุข)
        * I consider that man mad.
        (ฉันพิจารนาดูแล้วว่า ชายคนนั้นเป็นบ้า)
        *This matter made me foolish.
        (เรื่องนี้ทำาให้ฉันโกรธไปได้)
ข้อสังเกต: happy,mad และ foolish เป็น Adjective ให้เรียง
หลังนาม และสรรพนามที่เป็น Object คือ wife,man,me

4. เรียง Adjective ไว้หลังคำานามได้ ไม่ว่านามนั้นจะทำาหน้าที่เป็นอะไรก็ตาม ถ้า Adjective ตัวนั้นมี
บุพบทวลี (Perpositional Phrase)มาขยายนามตามหลัง เช่น
        * A parcel posted by mail today will reach him tomorrow.
        (พัสดุที่ส่งทางไปรษณีย์วันนี้จะถึงเขาวันพรุ่งนี)
                                                       ้
ข้อสังเกต: posted เป็น Adjective เรียงตามหลังนาม parcal ได้เพราะมีบุพบทวลี by mail today
        * I have known the manager suitable for his position.
        (ฉันได้รู้จักผู้จัดการซึ่งก็มีความเหมาะสมสำาหรับตำาแหน่งของเขา)
ข้อสังเกต: suitable เป็นคุณศัพท์ เรียงไว้หลังนาม manager ได้เพราะมีบุพบท วลี for his position
* ข้อยกเว้น ในการใช้ Adjecive บางตัวเมื่อไปขยายนาม

การใช้ Adjecive ไปขยายนามหรือประกอบนามตามแบบตั้งแต่ ข้อ 1 ถึง 4 นั้น หมายถึง Adjecive
ที่จะกล่าวต่อไปนี้แล้วให้มีวิธีใช้ขยายนามหรือประกอบนาม ได้เพียงข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น คือ ประกอบหน้านาม หรือเรียงหลังกริยา จะใช
2 อย่างไม่ได้ นั้นคือ ( มีต่อค่ะ )



Adjective - Equivalent

คือ "คำาที่ใช้เสมือนเป็นคุณศัพท์" ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า คำาที่จะนำามาใช้เสมือนหนึ่ง
เป็นคุณศัพท์ที่จะกล่าวต่อไปนี้
1. คำานาม (Noun) นำามาใช้เป็น Adjective ขยายนามด้วยกันได้ แต่ให้วางไว้หน้านามที่มันไปขยายนั้นทุกครั้งไป เช่น
        Yale University is the place for political studies.
        (มหาวิทยาลัยเยลเป็นสถานที่สำาหรับการศึกษาวิชาการเมือง)
ข้อสังเกต : Yale เป็นนามนำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยาย university ซึ่งเป็นนามด้วยกัน
      My younger brother wishes to study at Suan Dusit College.
      (น้องชายของฉันประสงค์จะเรียนที่วิทยาลัยสวนดุสิต)
      ข้อสังเกต : Suan Dusit เป็นนาม แต่นำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนาม college ได้
      They have worked in New York City for two years.
      (พวกเขาได้ทำางานอยู่ที่เมืองนิวยอร์คเป็นเวลา 2 ปีแล้ว)
      ข้อสังเกต : New York เป็นนามนำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามที่ตามหลัง คือ City

2. คำานามที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ โดยมี Apostrophe ( 's ) มาใช้ควบนั้น นำามาใช้เป็น Adjective
ขยายนามได้ และให้เรียงไว้หน้านามตัวนั้นตลอดไป เช่น
       John's house was built in Denver five years ago.
       (บ้านของจอห์นได้สร้างไว้ที่เดนเวอร์ เมื่อ 5 ปีมาแล้ว)
       ข้อสังเกต : เป็นคำานามที่นำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนาม house ได้
       The teacher's table is larger than the students.
       (โต๊ะของครูมีขนาดใหญ่)
       ข้อสังเกต : teacher's เป็นนาม นำามาใช้บยายนาม table ทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์ได้

3. Infinitive (กริยาสภาวมาลา ได้แก่ to + V.1) นำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามหรือสรรพนามได้ แต่วางไว้หลังนามที่มันขยายเสมอ เช
       He has no money to give me for buying a pen.
       (เขาไม่มีเงินที่จะให้ฉันซื้อปากกา)
       ข้อสังเกต : to give เป็น Infinitive นำามาใช้เป็น Adjective ขยายนาม money ได้
       This book is good for you to read.
       (หนังสือเล่มนี้ดีสำาหรับคุณที่จะอ่าน)
       ข้อสังเกต : to read เป็น Infinitive นำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายสรรพนาม you ได้

4. Participle นำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามได้ และให้วางไว้หน้านามที่มันไปขยายทุกครั้ง เช่น
      The standing boy is afraid of the running dog.
      (เด็กชายที่ยืนอยู่กลัวสุนัขที่วิ่งมา)
      ข้อสังเกต : standing, running เป็น Participle นำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามได้

5. Gerund (กริยานาม คือ Verb เติม ing แล้วนำามาใช้อย่างนามซึ่งจะได้กล่าวในบทต่อไปนี้เช่นกัน
      Now he is waiting for you in the meeting room.
      (เดี๋ยวนี้เขากำาลังรอคุณอยู่ที่ห้องประชุม)
      ข้อสังเกต : meeting เป็น gerund นำามาใช้ทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม room

6. Phrase (วลีทุกชนิด) นำามาใช้เป็น Adjective ขยายนามหรือสรรพนามได้ ส่วนตำาแหน่งวางของวลีคุณศัพท์นั้นอยู่หน้านามก็มี อยู่ห
      The man in this room is our guest.
      (ผู้ชายที่อยู่ในห้องนี้เป็ฯแขกของเรา)
      ข้อสังเกต : in this room เป็นวลีมาทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์มาขยายนาม man ที่อยู่ข้างหน้า
      He wants to buy the corner.
      (เขาต้องการซื้อบ้านที่อยู่มุมถนนนั้น)
      ข้อสังเกต : on the corner เป็นวลีมาทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม house ที่อยู่ข้างหน้า

7. Subordinate Clause (อนุประโยค) นำามาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้ และให้วางไว้หลังนามที่ไปขยายทุกครั้ง เช่น
      This is the house that Jack built.
      (นี้คือบ้านที่แจ๊คสร้างเอาไว้)
      ข้อสังเกต : that Jack built เป็น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค) มาทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม
      I know Mr. Clinton whom you want to see.
      (ฉันรู้จัก มิสเตอร์คลินตัน ผู้ซึ่งคุณต้องการพบ)
      ข้อสังเกต : whom you want to see เป็น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค
ำ า คุ ณ ศั พ ท์




                   จุดประสงค์(เพื่ออะไร)   คำานาม
                   sport                   shoes
                   business                tie
th,tenth.....
ยสรรพนามต้องอยู่หลังตลอดไป) เพื่อบอกให้รู้ลักษณะคุณภาพ
ณะหรือคุณภาพของคนสัตว์ สิ่งของและสถานทีเพื่อให้รว่า นามนั้นมีลักษณะอย่างไร ได้แก่คำาว่า
                                       ่        ู้
 ch, brave, cowardly, pretty, agly, happy, sorry, etc.


 สามารถตอบปัญหายากได้)



 บอกสัญชาติ ซึ่งอันที่จริงมีรูปเปลี่ยนมาจาก Proper noun นั่นเอง ได้แก่
                                               คำาแปล

                                             อังกฤษ, คนอังกฤษ
                                             อเมริกา, คนอเมริกัน
                                             ไทย, คนไทย
                                             อินเดีย, คนอินเดีย
                                             เยอรมัน, คนเยอรมัน
                                             อิตาลี, คนอิตาเลี่ยน
                                             ญี่ปุ่น, คนญี่ปุ่น
                                             จีน, คนจีน




 าม เพื่อบอกให้ทราบปริมาณของสิ่งเหล่านั้นว่า มีมากหรือน้อย (แต่ไม่บอกจำานวนแน่นอน)ได้แก่




 ขยายนาม เมือบอกจำานวนแน่นอนของนามว่ามีเท่าไหร่ แบ่งเป็นชื่อย่อยได้ 3 ชนิด คือ
            ่
าดับที่ของนามนั้นๆ ได้แก่




ble, triple, fourfold




าที่ชี้เฉพาะให้กับนามใดนามหนึ่ง ได้แก่ this, that (ใช้กับนามเอกพจน์),




นามเพือให้เป็นคำาถามโดยจะวางไว้
      ่




าคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกความเป็นเจ้าของของนาม ได้แก่ my,our,your,his,her,itsและtheir
กนามออกจากกันเป็น อันหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งได้แก่ each(แต่ละ), every(ทุกๆ), either(ไม่อนใดก็อนหนึ่ง), neither(ไม่ทั้งสอง)
                                                                                    ั     ั




นามเพื่อเน้นความให้มีนำาหนักขึ้น ได้แก่ own(เอง),very(ที่แปลว่า นั้น,นั้นเอง,นั้นจริงๆ)




 ยเพื่อให้เป็นคำาอุทาน ได้แก่ what




ตามหลังและในขณะเดียวกันก็ยังทำาหน้าที่คล้ายส้นธาน




หลัง และในขณะเดียวกันก็ทำาหน้าที่เชื่อมประโยคหน้าและประโยคหลังให้กลมกลืนกันอีกด้วย
Adjective ตัวนั้นมี



ลี by mail today มาขยายตามหลัง


 ลี for his position มาขยายตามหลัง


 มายถึง Adjecive ทั่วไปเท่านั้น แต่ถ้าเป็นAdjective
ท่านั้น คือ ประกอบหน้านาม หรือเรียงหลังกริยา จะใช้ทั้ง




านามที่มนไปขยายนั้นทุกครั้งไป เช่น
        ั
มาใช้เป็น Adjective




รือสรรพนามได้ แต่วางไว้หลังนามที่มันขยายเสมอ เช่น




ยายทุกครั้ง เช่น




 บทต่อไปนี้เช่นกัน) นำามาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้และวางไว้หน้านามนั้นตลอดไป เช่น




นตำาแหน่งวางของวลีคุณศัพท์นั้นอยู่หน้านามก็มี อยู่หลังนามก็มี เช่น


 n ที่อยู่ข้างหน้า


 se ที่อยู่ข้างหน้า

ละให้วางไว้หลังนามที่ไปขยายทุกครั้ง เช่น


ประโยค) มาทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนามhouse ที่วางอยู่ข้างหน้า


เภทคุณานุประโยค) มาทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนามMr.Clinton ซึ่งวางอยู่ข้างหน้า
กลับไปยังหน้าเดิม
                                                                             Adverbs กริ ย าวิ เ ศษณ์
                    Adverbs of Frequency                              Adverbs of Manner
                    Adverbs of Place                                  Adverbs of Degree

                    คำากริยาวิเศษณ์ทำาหน้าที่ขยายคำาคุณศัพท์ ขยายคำากริยาหรือ
                    ขยายคำากริยาวิเศษณ์ด้วยกันซึ่งแบ่งออกเป็นชนิดต่างดังต่อไปนี้

                    Adverbs of Frequency

                    คือ adverb ที่บอกความถี่ว่าทำาสิ่งนี้สิ่งนั้นบ่อยหรือถี่มากน้อยแค่ไหนได้แก่คำาว่า

                       always                                         สมำ่าเสมอ เป็นประจำา
                       often                                          บ่อยๆ
                       frequency                                      บ่อย ถี่
                       usually                                        ตามปกติ
                       sometimes                                      บางครั้งบางครา
                       generally                                      โดยทั่วๆไป
                       seldom                                         ไม่ค่อยจะ
                       hardly ever                                    แทบจะไม่
                       never                                          ไม่เคยเลย

                    การวางตำ า แหน่ ง Adverbs of Frequency
                    1.ถ้าประโยคนั้นมี verb to be หรือ verb to have ให้วางไว้หลัง verb to be หรือ verb to have
                        She is always late.
                        He has never traveled by train.
                    2. วางไว้หน้าคำากริยาแท้เช่น
                        Don often goes to the park.

                    Adverbs of Manner

                    คือ adverb ที่บอกอาการ หรือท่าทาง สถานะ คุณภาพเช่น

                       happily                                        อย่างมีความสุข
                       quickly                                        อย่างอย่างรวดเร็ว
                       beautifully                                    อย่างสวยงาม
                       late                                           ล่าช้า
                       well                                           ดี
                       carefully                                      อย่างระมัดระวัง
                       fast                                           เร็ว

                       She walks slowly.
                       The children sing beautifully.
                       It is important to write carefully.

                    Adverbs of Time

                    คือ adverb ที่บอกเวลา ได้แก่คำาว่า

                       today                                          วันนี้
                       tonight                                        คืนนี้
                       yesterday                                      เมื่อวาน
                       finally                                        ในที่สุด
                       last                                           ครั้งสุดท้าย
already                                       เรียบร้อยแล้ว
   soon                                          ในเร็วๆนี้
   before                                        ก่อน
   still                                         ยังคง
   every week                                    ทุกๆสัปดาห์

   We'll soon be home.
   When did you last see your family?

Adverbs of Place

คือ adverb ที่บอกสถานที่ ได้แก่คำาว่า

   here                                          ที่นี่
   around                                        รอบๆ
   there                                         ที่นั่น
   somewhere                                     ที่ไหนสักแห่ง
   near                                          ใกล้ๆ

   We are playing here.
   The boy is sitting there.

Adverbs of Degree

คือ adverb ที่บอกปริมาณจะวางไว้หน้าคำา adj., adv. หรือกริยาที่มันขยาย ได้แก่คำาว่า

   very                                          มาก
   too                                           มาก(เกินไป)
   quite                                         มาก(ทีเดียว)
   almost                                        เกือบจะ

   He is too big to run.
   The bag is very heavy.
   I am almost finished.

Note:
1.ในกรณีที่ประโยคหนึ่งมีคำากริยาวิเศษณ์อยู่หลายชนิดให้เรียงลำาดับดังนี้ manner, place, time
   The kids go to bed early.
   He works hard every week.
   He sang beautifully at the concert last night.

2. คำาที่มีรูปเหมือนกันเป็นได้ทั้งคำาคุณศัพท์และคำากริยาวิเศษณ์ ได้แก่คำาว่า

   fast                                          เร็ว
   hard                                          ยาก แข็ง
   far                                           ไกล
   pretty                                        มาก ทีเดียว
   early                                         เช้า เร็ว แต่เช้า

   He runs fast.
   He is a fast runner.
   She works hard.
   She is a hard worker.

คำากริยาวิเศษณ์ ส่วนใหญ่มาจากคำาคุณศัพท์โดยการเติม ly ท้ายคำาโดยมีหลักการทำาดังนี้
1. เอาคำาคุณศัพท์มาเติม ly ได้เลย เช่น

   beautiful                                      beautifully
   quiet                                          quietly
   wonderful                                      wonderfully

2. คำาคุณศัพท์ที่ลงท้ายด้วย e ให้ตัด e ออก แล้วเติม ly

   true                                           truly

3. คำาคุณศัพท์ที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม ly เช่น

   happy                                          happily
   angry                                          angrily

4. คำาคุณศัพท์ที่ลงท้ายด้วย le ให้ตัด e ออก แล้วเติม y

   simple                                         simply
   possible                                       possibly

Note: คำาที่ลงท้ายด้วย lyอยู่แล้วแต่เป็นคำาคุณศัพท์ได้แก่คำาว่า
  friendly เป็นมิตร
  lovely น่ารัก
  lonely โด่ดเดี่ยว
  ugly น่าเกียด
  silly งี่เง่า



กลับไปยังหน้าเดิม



ADVERBS

        Adverbs คือ "กริยาวิเศษณ์"(บางตำาราเรียd"คำากริยาวิเศษณ์"เฉยๆก็ได้)มีไว้
สำาหรับ"ใช้ทำาหน้าที่ขยายกริยา,ขยายคุณศัพท์,ขยายกริยาวิเศษณ์(ด้วยกันเอง),
ขยายประโยคและขยายสรรพนาม บุรพบทวลีและจำานวนนับ"ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ขยายกริยาเช่น
        My mother works hard every day.
        (แม่ของฉันทำางานหนั ก ทุกๆวัน)
ข้ อ สั ง เกต:hardเป็นAdverbขยายกริยาworks
ขยายคุณศัพท์เช่น
        These students are very intelligent.
        (นักศึกษาเหล่านี้เฉลียวฉลาดมาก)
ข้ อ สั ง เกต:veryเป็นAdverbขยายคุณศัพท์intelligent
ขยายกริยาวิเศษณ์เช่น
        She drives very carefully.
        (ลินดาขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง)
ข้ อ สั ง เกต:veryเป็นAdverbขยายAdverb"carefully"
ขยายทั้งประโยคเช่น
        Foutunately,no one complained of me.
        (โชคดีจริงๆไม่มีใครร้องเรียน(หรือบ่น)ฉันเลย)
ข้ อ สั ง เกต:fortunatelyเป็นAdverbทำาหน้าที่ขยายทั้งประโยคที่ตามหลัง
ขยายสรรพนามเช่น
        What else can I say.
(แล้วฉันจะพูดอะไรได้อีก)
ข้ อ สั ง เกต:elesเป็นAdverbมาขยายสรรพนามwhat
ขยายบรุพบทวลีเช่น
        You ought to go right to the end of the road.
        (คุณควรจะไปจนสุดถนนสายนี้)
ข้ อ สั ง เกต:rightเป็นAdverbมาขยายบรุพบทวลีto the end of the road
ขยายจำานวนนับเช่น
        We go to the movie almost every Sunday.
        (เราไปดูหนังสือเกือบทุกวันอาฑิตย์)
ข้อสังเกต:almostเป็นAdverbมาขยายจำานวนนับevery


Adjtive and Adverb

HOW TO LEARN ?

  a little a few, little, few
  adjetive adverb
  much many
  some any
  tool
  as well , too
  fairly , rather
  already , yet


A little, A few; Little, Few

(a) litte ใช้กับนามที่นับไม่ได้ (uncountable noun) ซึ่งย่อมต้องเป็นเอกพจน์เสมอ เช่น (a) little water, (a) little snow

(b) few ใช้กับนามที่นับได้ (countable noun) ซึ่งต้องเป็นพหูพจน์เสมอ เช่น (a) few books, (a) few people

ข้ อ แตกต่ า งระหว่าง a little (มี a) กับ little (ไม่มี a) a few (มี a) กับ few (ไม่มี a)

เมื่อมี a นำาหน้า little หรือ few มีความหมายในทางรับ คือรับว่ามีอยู่บ้าง แม้จะน้อยก็ตาม เช่น

There is alittle milk in that bottle.

There are a few people in the room.

ถ้าไม่มี a นำาหน้า แสดงความหมายในทางปฎิเสธ คือบ่งว่า แทบจะไม่มี เช่น

There is little money left.

(แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย)

การจะใช้ a นำาหน้า little หรือ few นั้น ขึ้นอยู่ที่ใจของผู้พูด

ถ้าผู้พูดนึกว่าแทบไม่มีเลย เขาก็ไม่ใช้ a ถ้าเขานึกว่ายังมีอยู่บ้าง เขา ก็ใช้ a นำาหน้า (โดยทั่วๆไปประโยคภาษาอังกฤษมักจะมี



     ADJECTIVES & ADVERBS

การใช้ ค ำ า adjective คำา adjective อาจใช้ได้ 2 วิธี คือ :
ใช้ประกอบหน้านาม ( attributive use ) เช่น

He is agood student.

ใช้หลังกริยา ( predicative use ) เช่น

That student is good.

ตำ า เเหน่ ง ( position ) ของคำ า adjective

1.โดยปกติ adjective อยู่หน้าคำานาม เช่น

a big town, a blue car, an interesting movie.

2.เมื่อมี adjective 2 คำาประกอบคำานามคำานามคำาเดียวโดยปกติไม่นิยมใช้เชื่อม เช่น

a tall young man, six red roses

3.นิยมใช้ comma คั่นระหว่าง adjective เมื่อเป็นคำาประเภทเดียวกัน เช่น

a big, square box ; amodern, small car

4.เเต่ถ้าคำา adjective 2 คำานันเป็นadjective บอกสีทงคู่ให้ใช้ and เช่น
                              ้                    ั้

a black and white cat


  Much, Many ,Very, A lot of, lots of

much ใช้ประกอบนามนั บไม่ได้ (uncountable) เช่น much water

many ใช้ประกอบนามท่ีนับได้ (countable) ดังนั ้นนามหลัง many จึงเป็ นนามพหูพจน์เสมอ เช่น

a lot of หรือ lots of ใช้ได้เหมือนกัน ใช้ประกอบได้ทังนามนั บได้เเละนั บไม่ได้ในประโยคบอกเล่า ถ้าเป็ นคำาถามหรือปฏิเสธนิ ย
                                                    ้

much time = a lot of time = lots of time

many people = lots of people = a lot of people

ในภาษาพูด (spoken English)คำาเเสดงความมากยังมีคำาอ่ ืนๆอีก เช่น

plenty(of), a great deal(of), a large number(of), a large amount(of), a large quantity(of)

very (มาก) เป็ นคำา adverd จึงไม่ใช้ประกอบนาม เเต่ใช้ขยาย adjective หรือ adverd เช่น very much, very old



Some&Any

Some,someใช้ในประโยคบอกเล่า(affirmative)

Any,any ใช้ในประโยคคำาถาม(interrogative) และปฏิเสธ (nagative)

  ทันนี้ รวมทังคำาประสม (compound) ของ some และ any ด้วย เช่นsomebody,anybody,something,anythingsome
    ้         ้
Too&Enough

To เม่ ือใช้เป็ นคำา adverb ประกอบคำา adjective หรือ adveb อ่ ืนๆมีความหมายว่า มากเกินไปมักตามหลังด้วย
This tea is too hot to drink.
ประโยคข้างบนนี้ มีความหมายว่า ชานี้ ร้อนเกินไปท่ีจะด่ ืม ปั ญหาจึงอาจเกิดว่าร้อนมากเกินไปสำาหรับใคร อีกคนหน่ึ งอาจว่าไม่ร้อน
ดังนั ้นจึงนิ ยมใช้ for สำาหรับบอกว่า เกินไปสำาหรับใคร เช่น
This tea is too hot for me to drink.
= This tea is very hot; I can't drink it.



as well ใช้ในภาษาพูดเหมือนกัน และเป็ นคำาที่นิยมมากกว่า too (วางไว้ท้ายประโยคอย่าง too

- He also went there yesterday

=He went there yesterday,too.

= He went there yesterday as well.




Nearly, Almost

nearly= เกือบ, เกือบถึง (ในการบอกปริมาณและ อ่ ืนๆ)

Almost= เกือบจะ (ในการกระทำา) คือการกระทำาที่ไม่สำาเร็จ แต่เกือบจะสำาเร็จ เช่น

-- Tom is nearly five feet tall.

(ทอมสูงเกือบ 5 ฟุต)

-- John almost succeeded in cilmbing that tall tree.

(จอหนเกือบจะปี นต้นไม้สูงได้สำาเร็จ)
     ์
ศษณ์
             Adverbs of Time




รือ verb to have
คำาว่า




 , place, time




ดังนี้
อย่างสวยงาม
อย่างเงียบๆ
อย่างยอดเยี่ยม



อย่างแท้จริง



อย่างมีความสุข
อย่างฉุนเฉียว



ง่ายๆ ชัดเจน
เป็นไปได้
มอ เช่น (a) little water, (a) little snow

) few books, (a) few people




(โดยทั่วๆไปประโยคภาษาอังกฤษมักจะมี a นำาหน้า little และ few เสมอ) แบบฝึกหัดต่อไปนี้ พิจารณาความหมายให้ดีเพื่อจะสามารถใช้ a หรือ ไม่ใช้
พหูพจน์เสมอ เช่น many books, many people, many cars

นประโยคบอกเล่า ถ้าเป็ นคำาถามหรือปฏิเสธนิ ยมใช้ much หรือ many เช่น




 large quantity(of)

dverd เช่น very much, very old




ody,anybody,something,anythingsomeและany ใช้ประกอบได้ทังนามนั บได้และนามนั บไม่ได้ ถ้าประกอบนามนั บได้ นามนั ้นจะต้องเป็ นพหูพจน์ เช่น
                                                       ้
ว่า มากเกินไปมักตามหลังด้วยto-infinitive (=to+กริยาช่องท่ี 1) เช่น

มากเกินไปสำาหรับใคร อีกคนหน่ึ งอาจว่าไม่ร้อนก็ได้




ะโยคอย่าง too ก็ได้ หรือจะวางไว้อย่าง also ก็ได้) เช่น
มารถใช้ a หรือ ไม่ใช้ a ได้อย่างถูกต้อง
มนั ้นจะต้องเป็ นพหูพจน์ เช่น some rice, some books,any bnooks ,any sugar
กลับไปยังหน้าเดิม
                                                                       Verbs คำ า กริ ย า

                    คือคำาที่แสดงการกระทำาหรือถูกกระทำามีดังต่อไปนี้

                    อกรรมกริยา (Intransitive verb) เป็นกริยาที่มีความสมบูรณ์ในตัวมันเอง
                    ไม่ต้องมีกรรมมารองรับ

                       smile                      ยิ้ม
                       cry                        ร้องไห้
                       run                        วิ่ง
                       speak                      พูด
                       go                         ไป
                       come                       มา
                       sit                        นั่ง
                       sleep                      นอน
                       walk                       เดิน

                       I like to smile.
                       My dog runs quickly.

                    สกรรมกริยา (Transitive verb) เป็นกริยาที่ยังไม่สมบูรณ์ต้องมีกรรมมารอง
                    รับจึงจะทำาให้ประโยคสมบูรณ์

                       write                      เขียน
                       give                       ให้
                       buy                        ซื้อ
                       look                       มอง
                       close                      ปิด
                       kick                       เตะ

                       He writes novels.
                       I bought a car.

                    กริยารูปธรรมดา (Regular verb) คือเมื่อเปลี่ยนเป็นช่องที่สองกับ
                    ช่องที่สามเพียงแค่เติม d หรือ ed ท้ายคำา

                       walk                       walked                        walked
                       like                       liked                         liked
                       play                       played                        played
                       love                       loved                         loved

                    กริยารูปพิเศษ (Irregular verb) เมื่อเปลี่ยนเป็นช่องที่สอง (Past tense) ช่องที่สาม (Past Participle)
                    จะมีรูปที่เหมือนกันและรูปที่แตกต่างกัน คลิกดูกริยารูปพิเศษเพิ่ม

                    1 มีรูปเหมือนกันทั้งสามช่อง

                       cut                        cut                           cut
                       read                       read                          read
                       hit                        hit                           hit
                       hurt                       hurt                          hurt
put                         put                             put

2. มีรูปที่แตกต่างกัน

   eat                         ate                             eaten
   fly                         flew                            flown
   break                       broke                           broken
   build                       built                           built
   come                        came                            come
   do                          did                             done
   make                        made                            made
   pay                         paid                            paid
   steal                       stole                           stolen
   think                       thought                         thought

Infinitives

Infinitive ตามด้วย to คือกริยาช่องที่ 1ที่ต้องมี to นำาหน้ามีลักษณะการใช้คือ

1.ใชัเป็นประธาน
   It is not difficult to learn English.

2. ใช้ตามหลังคำากริยา
    It's starting to rain.

กริยาที่ตามด้วย Infinitive ตามด้วย to ได้แก่คำาว่า

   hope                        หวัง
   need                        ต้องการ
   prepare                     เตรียม
   except                      ยอมรับ
   decide                      ตัดสินใจ
   appear                      ปรากฎ
   ask                         ขอร้อง
   plan                        วางแผน
   mean                        ตั้งใจ
   remind                      เตือน
   swear                       สาบาน
   pretend                     เสแสร้ง
   want                        ต้องการ
   promise                     สัญญา
   neglect                     เพิกเฉย
   learn                       เรียนรู้
   deserve                     สมควรได้รับ
   manage                      จัดการ

3.ใช้ในรูป verb + object+infinitive
   She didn't ask him to go.

4.ใช้ตามหลังคำาคุณศัพท์ (adjective) Infinitive ถูกใช้ตามหลังคำาคุณศัพท์บางคำา
   I'm glad to know you.
She was surprised to hear that.

5. ใช้ตามหลังคำานาม (noun) เราสามารถใช้ Infinitive ตามหลังคำานามบางตัว
    I told him about my decision to divorce.

6.ใช้ตามหลัง who, what, how etc.
ในประโยค reported speech เราสามารถใช้ infinitive ตามหลัง who, what, where,when etc (
ที่พูดเกี่ยวกับคำาถามและตอบคำาถาม

verb +question-word +Infinitive

   I don't know how to make a cake.

Infinitive ไม่มี to คือกริยาช่องที่ 1 ที่ไม่ต้องมี to นำาหน้ามีลักษณะการใช้ดังนี้

1. Modal auxiliary verbs(กริยาช่วย)
เราใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลังกริยาช่วย will, shall, would, should, can, could
   may, might, had better
   We must clean the room.

2.ใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลังคำากริยาที่แสดงการรับรู้และสังเกตเห็นได้แก่คำาว่า
   let อนุญาต
   make ทำา
   see เห็น
   hear ได้ยิน
   feel รู้สึก
   watch ดู เฝ้าดู
   notice สังเกต
   I saw a boy steal a car.

3.ใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลัง why (not) ที่หมายถึงสิ่งที่ไม่จำาเป็นหรือการ
ทำาในสิ่งโง่ๆ เช่น
    Why did you do that? It's the stupidest thing I've ever seen.

4.ใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลัง and, or, except, but, than
เราสามารถนำาคำา infinitive มาใช้ร่วมกันด้วย and, or, except, but, than แต่ว่า
infinitive ตัวที่สองไม่ต้องมี to
    Do you want to go out
or stay home?


กลับไปยังหน้าเดิม




Verb

Verb คือ "กริยา" ได้แก่ "คำาทีใช้แสดงถึงการกระทำา หรือการถูกกระทำาของคำาที่เป็นประธาน หรือเป็นคำาสอดแทรกเข้ามาทำาหน้าที่ช่วยก
                              ่
เพื่อบอกถึงมาลา ( mood ) วาจก ( Voice ) และกาล ( Tense )"
ในภาษาอังกฤษแบ่ง verb ออกเป็น 5 ชนิดด้วยกัน
Transitive Verb ( สกรรมกริยา )
                              Intransitive Verb ( อกรรมกริยา )
                              Finite Verb ( กริยาแท้ )
                              Non - Finite Verb ( กริยาไม่แท้ )
                              Auxiliary Verb ( กริยานุเคราะห์ , กริยาช่วย )
                              Exercise ( แบบฝึกหัด )


Transitive Verb

Transitive Verb คือ "สกรรมกริยา" หมายถึง "กริยาที่ต้องมีกรรมมารองรับ หรือมีกรรมมาขยายตามหลัง เพื่อให้เนื้อความของกริยาตัว
give , buy , bring , write , speak , hit , see , look at , order , open , close , wash, clean , etc.

ตั ว อย่ า ง :
My father bought meat and eggs yesterday.
( คุณพ่อของฉันซื้อเนื้อและไข่มาเมื่อวานนี้ )
คำาที่จะนำามาใช้เป็นกรรมของสกรรมกริยา ( Object of a transitive Verb ) ได้นั้น ได้แก่คำาต่อไปนี้ คือ

1. นามทุกชนิด ( All kinds of Nouns ) เช่น
Kenya needs the growth and development.
( ประเทศเคนยาต้องการความเจริญก้าวหน้าและการพัฒนา )
ข้อสังเกต : growth and development เป็นกรรมของ needs

2. สรรพนาม ( Pronoun ) เช่น
I told him that he could pass his examination.
( ฉันบอกเขาว่า เขาสอบไล่ได้ )
ข้อสังเกต : him เป็น Pronoun มาทำาหน้าที่เป็นกรรมของ told

3. กริยาสภาวมาลา ( ได้แก่ Infinitive ) เช่น
These students want to continue their studies in the U.S.A.
( นักศึกษาเหล่านี้ต้องการศึกษาต่อในประเทศสหรัฐฯ )
ข้อสังเกต : to continue เป็นกริยาสภาวมาลา ทำาหน้าที่เป็นกรรมของ want

4. คำากริยาที่เติม ing ( Gerund ) แล้วนำามาใช้อย่างนาม เช่น
Ever since John has got bad health, he stops smoking.
( ตั้งแต่จอห์นไม่สบายนี้ เขาเลิกสูบบุหรี่แล้ว )
ข้อสังเกต : smoking เป็น Gerund ทำาหน้าที่เป็นกรรมของ stops

5. วลีทุกชนิด ( Phrases ) เช่น
Helen doesn't know what to do will her son.
( เฮเลนไม่รู้ว่าจะทำาอย่างไรกับลูกชายของหล่อนดี )
ข้อสังเกต : What to do เป็นวลี ทำาหน้าที่เป็นกรรมของ know

6. อนุประโยค ( Subordinate Clause ) เช่น
I know what he is going to do there.
( ผมรู้ว่าเขาจะไปทำาอะไรอยู่ที่นั่น )
ข้อสังเกต : what he is going to do there เป็นอนุประโยคทำาหน้าที่เป็นกรรมของกริยา
know


Intransitive Verb
Intransitive Verb คือ "อกรรมกริยา" ได้แก่ "กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมตามมา หรือมีกรรมมารองรับ เพราะมีเนือความสมบูรณ์อยูในตัวอย
                                                                                                   ้              ่

go ไป
stay พัก,อยู่
regret เสียใจ

ตั ว อย่ า งเช่ น :
Who comes?
( ใครมา )
ข้อสังเกต : หลัง comes ไม่ต้องมีกรรมมารับ เพราะได้เนื้อความสมบูรณ์
My sister dances very well.
( พี่/น้องสาวของฉันเต้นรำาได้ดีมาก )
ข้อสังเกต : หลัง dances ไม่ต้องมีกรรมมารับ เพราะได้เนื้อความสมบูรณ์แล้ว ส่วน very well ที่ตามหลังอยู่นั้น ไม่ใช่กรรม แต่เป็น
การกรรมมารับโดยตรง แต่ก็ยังต้องพึ่งหรืออาศัย คำาหรือกลุ่มคำาอื่นช่วยขยาย เพื่อให้เนื

get = เป็น , มี
grow = เจริญ , มี , เป็น
feel = รู้สึก
look = ดูเหมือน , ดูท่า


ตั ว อย่ า งเช่ น :
Helen looks unhappy.
( เฮเลนดูท่าไม่สบาย )
His plan proved useless.
( แผนการของเขาใช้ไม่ได้เลย )
ตัวดำาดูเหมือนทำาหน้าที่เป็น object แต่ไม่ใช่ แท้ที่จริงแล้วมันก็ทำาหน้าที่เป็น Subjective Complement



Finite Verb

Finite Verb คือ "กริยาแท้" หมายถึง "กริยาที่นำามาใช้เป็นส่วนสำาคัญของประโยค อาจกล่าวได้ว่า ทุกข้อความที่เราพูดหรือเขียนออกไป
แล้วข้อความนั้นจะเป็นประโยคขึ้นมาไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะฉะนั้นกริยาแท้จึงเป็นหัวใจหรือส่วน

Who comes?
( ใครมา )
The girls are coming early.
( พวกเด็กหญิงก็มาแต่เช้า )
ข้ อ สั ง เกต : ซึ่งเป็นกริยาในประโยคข้างบนนี้ จะเห็นว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตาม Tense และประธานของประโยคนั้น ๆ ทั้งนี้ก็เพร



Non - Finite Verb

Non - Finite Verb คือ "กริยาไม่แท้" หมายถึง "คำากริยาที่มิได้นำามาใช้อย่างกริยาแท้ แต่ถูกนำามาใช้ทำาหน้าที่เป็นอย่างอื่น เช่น เป็น
หรือเป็นอื่นใดได้ทั้งนั้น " ในภาษาอังกฤษแบ่งกริยาไม่แท้ ( Non - Finite Verb ) ออก

1. Infinitive = กริยาที่มี To นำาหน้า ( To + Verb 1 ) เช่น to walk

2. Gerund = กริยาที่เติม ing ( Verb + ing ) เช่น walking , sleeping , smoking
3. Participle = กริยาที่เติม ing เช่น eating , coming , etc.
หรือเป็นกริยาช่อง 3 เช่น
eaten , came , cleaned , spoken

ลั ก ษณะของกริ ย าตั ว ใดเป็ น กริ ย าแท้ ( Finite Verb ) หรื อ กริ ย าไม่ แ ท้ ( Non - Fininte Verb )
กริยาตัวที่วางอยู่หน้าสุดจะเป็นกริยาแท้ ส่วนกริยาตัวที่วางเป็นอันที่สองต่อไปเรื่อย ๆ จะเป็นกริยาไม่แท้ เช่น
     We want to develop our company in many ways.
     ( เราต้องการพัฒนาบริษัทของเราในทุกกรณี )
     ข้ อ สั ง เกต : want เป็นกริยาแท้ to develop เป็น Infinitive กริยาไม่แท้


Auxiliary Verb

Auxiliary Verb คือ "กริยานุเคราะห์" ( บางครั้งก็เรียกกริยาช่วย ( Helping Verb ) บ้าง , กริยาพิเศษ
Auxiliary Verb มีอยู่ทั้งหมด 24 ตัว คือ

Verb to be = is , am , are , was , were
Verb to have = has , have , had
Verb to do = do , does , did
Verb to do = will , would
Verb to do= shall , should
Verb to do= can , could
Verb to do= have to ( ที่มีความหมายเท่ากับ must )

1. หน้ า ที ่ ข อง Verb to be ใช้ ท ำ า หน้ า ที ่ ช ่ ว ยกริ ย าตั ว อื ่ น ได้ ด ั ง ต่ อ ไปนี ้
1.1 วางไว้หน้ากริยาตัวที่เติม ing ทำาให้ประโยคนั้นเป็น Continuous Tense ซึ่งแปลว่า "กำาลัง"
We are learning English
( เรากำาลังเรียนภาษาอังกฤษ )

1.2 วางไว้หน้ากริยาช่อง 3 ( เฉพาะสกรรมกริยา ) ทำาให้ประโยคนั้นเป็นกรรมวาจก ( Passive Voice )
John was punished by the teacher yesterday.
( จอห์นถูกทำาโทษโดยคุณครูเมื่อวานนี้ )

1.3 วางไว้หน้ากริยาสภาวมาลา ( Infinitive ) มีสำาเนียงแปลว่า "จะ , จะต้อง" แสดงถึงหน้าทีที่ต้องกระทำา
                                                                                       ่
He is to stay here till I come back.
( เขาจะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าฉันจะกลับมา )

1.4 ประโยคคำาสั่ง , อวยพร , ที่นำาหน้าประโยคด้วย Adjective ( คุณศัพท์ ) ต้องใช้ Be นำาหน้าเสมอ เช่น
Be quite. The baby is sleeping.
( เงียบหน่อย ทารกกำาลังนอกหลับอยู่ )

1.5 ใช้นำาหน้าสำานวน about to + Verb ช่อง 1 มีสำาเนียงแปลว่า "กำาลังจะ" แสดงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้เช่น
They are about to start their jouney this week.
( พวกเขากำาลังจะออกเดินทางกันสัปดาห์นี้ )

1.6 ใช้ทำาหน้าที่เป็นกริยาหลัก ( Principal Verb ) ในประโยคได้กรณีนี้ในประโยคนั้นจะไม่มี Verb
Jean is always a good girl.
( จีนเป็นเด็กหญิงดีเสมอ )

การใช้ have to , have got to , had better
have to แปลว่า "ต้อง , จำาเป็นต้อง" ( = must ) ใช้แสดงถึงพันธะหน้าที่ภารกิจจำาเป็นที่ต้องกระทำา หลัง
I have to leave now.
( ฉันจำาเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้ )
George has to go to school from Monday to Friday.
( จอร์จจะต้องไปเรียนหนังสือตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ )
อนึ่ง ประโยคบอกเล่าที่มี have to เมื่อทำาเป็นคำาถามหรือปฏิเสธต้องใช้ Verb to do เข้ามาช่วย จะเอา
ตัวอย่างเช่น :
ถูก : Do I have to leave now?
( ผมจำาเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้หรือ )
ผิด : Have I to leave now?
ถูก : I don't have to leave now.
( ผมไม่จำาเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้ )
ผิด : I haven't leave now.
ถูก : Does he have to go to work?
( เขาจะต้องไปทำางานหรือ? )
ผิด : Has he to go to work?
หมายเหตุ : have to ใช้ได้กับเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบนและอนาคตรูปอดีตของ have to คือ had to
                                                    ั
Have got to คำาแปลเช่นเดียวกับ have to นำามาใช้ในภาษาพูดแทน have to คือ had to หรือ
ตัวอย่างเช่น :
Affirmative ( บอกเล่า )
He's got to go.
I've got to do.
Negative ( ปฏิเสธ )
He hasn't got to go.
I haven't got to do.
Interrogative ( คำาถาม )
Has he got to go?
Have I got to do?
had better ( ให้รวมถึง had rather, had sooner ) แปลว่า "ควรจะ...ดีกว่า" หลัง had better
ตัวอย่างเช่น :
You had better start your trip tomorrow.
( = You'd better start your trip tomorrow. )
( คุณควรจะเริ่มการเดินทางของคุณวันพรุ่งนี้ดีกว่า )
I had better go home now.
( = I'd better to go home now. )
( ฉันควรจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ดีกว่า )
ข้อสังเกต : start และ go เป็น Infinitive Without "to"
ประโยคบอกเล่าที่มี had better นั้นเมื่อทำาเป็นปฏิเสธให้เติม not หลัง better เท่านั้น อย่าวางหลัง
ตัวอย่างเช่น :
ประโยคบอกเล่า
ถูก : She had better stay home alone.
( หล่อนควรจะพักอยู่ที่บ้านตามลำาพัง )
ประโยคปฏิเสธ
ถูก : She had had not stay home alone.
( หล่อนไม่ควรพักอยู่ที่บ้านตามลำาพัง )
ผิด : She had not better stay home alone.
ประโยคคำาถาม
ถูก : Had she better stay home alone?
( หล่อนควรจะพักอยู่ที่บ้านตามลำาพังหรือ? )
ผิด : Did she have better stay home alone?
3. หน้าที่ของ Verb to do Verb to do ได้แก่ do , does , did เมื่อนำามาใช้เป็นกริยาช่วย ( Helping - Verb )
3.1 ช่วยทำาประโยคบอกเล่า ( Affirmative ) ให้เป็นประโยคคำาถาม ( Interrogative ) หรือประโยคปฏิเสธ
Verb to have ไม่มี
Verb to be ไม่อยู่
Verb to do มาช่วย
หรือมี will , would , shall , should , can , could , may , might , must อยู่แล้วก็ไม่ต้องใช้
Verb to do มี 3 ตัว จะนำามาใช้ต่างกัน เช่น
เอกพจน์ ใช้ does
พหูพจน์ ใช้ do
I , They , We , You ใช้ do เหมือนกัน
กริยาสำาคัญไม่ต้องเติม s ( ed , ing )
ตัวอย่างใช้ do มาช่วย
ประโยคบอกเล่า :
You speak Japanese to your friend.
( คุณพูดภาษาญี่ปุ่นกับเพื่อนของคุณ )
ประโยคคำาถาม :
ถูก : Do you speak Japanese to your friend?
( คุณพูดภาษาญี่ปุ่นกับเพื่อนของคุณหรือ? )
ผิด : Are you speak Japanese to your friend?
ตัวอย่างใช้ does มาช่วย
ประโยคบอกเล่า :
He opens the door by himself.
( เขาเปิดประตูด้วยตนเอง )
ประโยคคำาถาม :
ถูก : Does he open the door by himself?
( เขาเปิดประตูด้วยตัวเขาเองหรือ? )
ผิด : Is he opens the door by himself?
ประโยคปฏิเสธ :
ถูก : He doesn't ( หรือ does not ) open the door by himself.
( เขาไม่ได้เปิดประตูด้วยตัวเอง )
ผิด : He is not opens the door by himself.
ตัวอย่างใช้ did มาช่วย
ประโยคบอกเล่า :
She went to Hong Kong last week.
( หล่อนไปฮ่องกงสัปดาห์ที่แล้ว )
ประโยคคำาถาม :
ถูก : Did she go to Hong Kong last week?
( หล่อนไปฮ่องกงสัปดาห์ที่ผ่านมาหรือ? )
ผิด : Was she went to Hong Kong last week?
ประโยคปฏิเสธ :
ถูก : She didn't ( หรือ did not ) go to Hong Kong.
( หล่อนไม่ได้ไปฮ่องกง )
ผิด : She wasn't went to Hong Kong.
3.2 ใช้แทนกริยาตัวอื่นที่อยู่ในประโยคเดียวกัน เพื่อต้องการมิให้กริยาตัวเดิมนั้นซำ้า ๆ ซาก ๆ เช่น
Billy likes badminton and so does Tim.
( บิลลี่ชอบแบดมินตันและทิมก็ชอบเหมือนกัน )
You speak Thai and I do too.
( คุณพูดไทยและฉันก็เช่นกัน )
Linda worked yesterday but I didn't.
( ลินดาทำางานเมื่อวานนี้ แต่ฉันไม่ทำา )
ข้อสังเกต : does , do didn't ทั้ง 3 คำาไปแทนกริยา likes, speak และ worked ตามลำาดับ ทั้งนี้เพื่อต้องการมิให้ใช้กริยา
3.3 ใช้สนับสนุนกริยาตัวอื่น เพื่อให้เกิดความสำาคัญกับกริยาตัวนั้นว่า จะต้องทำาเช่นนั้นจริง ๆ หรือเกิดขึ้นจริง ๆ โดยให้เรียงไว้หน้ากร
I do go and see you tomorrow.
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2
Teng English2

More Related Content

Similar to Teng English2 (12)

โครงงาน เพลง 2.pps
โครงงาน เพลง 2.ppsโครงงาน เพลง 2.pps
โครงงาน เพลง 2.pps
 
Beautiful bridges with_music
Beautiful bridges with_musicBeautiful bridges with_music
Beautiful bridges with_music
 
Verbs1
Verbs1Verbs1
Verbs1
 
Verbs1
Verbs1Verbs1
Verbs1
 
Twitter english by andrews biggs
Twitter english by andrews biggsTwitter english by andrews biggs
Twitter english by andrews biggs
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
 
Use ful english new
Use          ful     english  newUse          ful     english  new
Use ful english new
 
Idioms start with not
Idioms start with notIdioms start with not
Idioms start with not
 
Friend
FriendFriend
Friend
 
1276933222 morpheme
1276933222 morpheme1276933222 morpheme
1276933222 morpheme
 
ภาษาจีนง่ายนิดเดียว
ภาษาจีนง่ายนิดเดียวภาษาจีนง่ายนิดเดียว
ภาษาจีนง่ายนิดเดียว
 
Unit 1 nouns & articles
Unit 1   nouns & articlesUnit 1   nouns & articles
Unit 1 nouns & articles
 

Teng English2

  • 1. English Grammar ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Yindii English Grammar ซึ่งทางเราจะได้ทำาการ update เพิ่มเนื้อหา และแบบทดสอบในส่วนต่างๆต่อไปอีกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณคงจะได้รับประโยชน์จากส่วนนี้ รวมแบบทดสอบในแต่ละ section Introduction คำานำา Adjectives คำาคุณศัพท์ Adverbs คำากริยาวิเศษณ์ Verbs คำากริยา Tenses กาล Prepositions คำาบุพบท Pronouns คำาสรรพนาม Nouns คำานาม Gerunds กริยาที่เติม ing Articles คำานำาหน้านาม Auxiliary verbs กริยาช่วย Comparisons การเปรียบเทียบ Conjunctions คำาสันธาน Punctuation เครื่องหมายวรรคตอน Irregular Verbs กริยารูปพิเศษ Graphics 1 The Tenses The simple Tenses 1. Present Simple S + V 1 (s, es) 2. Past Simple S + V2 3. Future Simple S + will, shall + V1 The Continuous (Progressive) Tenses 1.Present Continuous S + is, am, are + Ving Graphics 2 2.Past Continuous (Progressive) S + was, were + Ving 3.Future Continuous (Progressive) S + will, shall + be + Ving The Perfect Tenses 1.Present Perfect S + has, have + V3 2.Past Perfect S + had + V3 3.Future Perfect S + will, shall + have + V3 The Perfect Continuous Tenses 1.Present Perfect Continuous S + has, have + been + Ving 2.Past Perfect Continuous S + had + been + Ving 3.Future Perfect Contunuous S + will, shall + have been + Ving www.chrisdelivery.com Isan_Poem Chris Delivery Episode 3 Isan_Poem_1 Chris Delivery Episode 4 Isan_Poem_2
  • 2. Chris Delivery Episode 5 Isan_Poem_3 Chris Delivery Episode 6 Isan_Poem_4 Chris Delivery Episode 7 Chris Delivery Episode 8 Chris Delivery Episode 9 Chris Delivery Episode 10 Chris Delivery Episode 11 Chris Delivery Episode 12 Chris Delivery Episode 13 Chris Delivery Episode 14 Chris Delivery Episode 15 Chris Delivery Episode 16
  • 3. I love you. ฉันรักคุณ I really love you. ฉันรักคุณจริงๆ I love you with all my heart. ฉันรักคุณหมดหัวใจ I miss you. ฉันคิดถึงคุณ I feel so lonely. ฉันเหงามาก I’m so lonely without you. ไม่มีคุณ ฉันเหงามาก I don’t want to be here without you. ฉันไม่อยากอยู่ที่นี้ ถ้าไม่มีคุณ Can you be my boy / girlfriend? คุณเป็นแฟนฉันได้ไหม I am single. ฉันเป็นโสด I don’t have anyone in my heart. ไม่มีใคร อยู่ในหัวใจ I want to be with you. ฉันอยากอยู่กับคุณ I want to be with you all the time. ฉันอยากอยู่กับคุณ ตลอดเวลา I want to be with you forever. ฉันอยากอยู่กับคุณตลอดไป Why do you love me? ทำาไมคุณถึงรักฉัน Because you are……… เพราะว่าคุณ……….. I can’t forget you. ฉันลืมคุณไม่ได้ I dream about you all the time. ฉันฝันถึงคุณ ตลอดเวลา I will dream about you every night. ฉันจะฝันถึงคุณ ทุกคืน I will dream about you tonight คืนนี้ ฉันจะฝันถึงคุณ You’re the woman of my dreams. คุณคือผู้ชายในฝัน I want to know all about you. ฉันอยากรู้เรื่องของคุณ This is my first love. นี่เป็นรักครั้งแรกของผม Graphics 1 You are very beautiful. คุณสวยมาก You are very handsome. คุณหล่อมาก You are very charming. คุณมีเสน่ห์มาก You are very cute. คุณน่ารักมาก You are very beautiful eyes. ตาของคุณสวยมาก You have a cute nose. จมูกของคุณน่ารักมาก I like your smile. ฉันชอบยิ้มของคุณ I like your outfit. ฉันชอบชุดที่คุณใส่ I like looking at you. ฉันชอบมองคุณ Graphics 2 I want to share my life with you. ฉันอยากใช้ชีวิตกับคุณ Love at first sight. รักแรกพบ I’ve never met a man like you. ฉันไม่เคยเจอผู้ชายอย่างคุณ I’ve never met a woman like you. ฉันไม่เคยเจอผู้หญิงอย่างคุณ I’ve never loved anybody like this before. ฉันไม่เคยรักใครอย่างนี้มาก่อน I’m serious about you. ฉันจริงใจกับคุณ I’m crazy about you. ฉันคลั่งไคล้คุณ I love you, not your money. ฉันรักคุณ ไม่ใช่เงินของคุณ I don’t care how much money you have. ฉันไม่สนใจหรอกว่าคุณมีเงินเท่าไหร่ I’m so happy being around you. ฉันมีความสุขที่อยู่ใกล้คุณ Are you really serious about me? คุณจริงจังกับฉันจริงหรือเปล่า * Really จริงๆ * Yes, I’m serious and sincere. ฉันทังจริงจังและจริงใจ ้ * I like you as a friend. ฉันชอบคุณแบบเพื่อน * I don’t know yet. ฉันยังไม่รู้ My heart is all yours. หัวใจของฉันเป็นของคุณ
  • 4. You mean everything to me. คุณคือทุกสิ่งทุกอย่างสำาหรับฉัน You are my precious thing. คุณเป็นสิ่งมีค่าของฉัน I love you only. ฉันรักคุณคนเดียว I’m so happy being around you. ฉันมีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้คุณ I will always love you. ฉันจะรักคุณตลอดไป I can’t love anyone else. ฉันรักใครไม่ได้อีกแล้ว I can’t wait to see you again. ฉันอยากจะเจอคุณเร็วๆ I want to see you as soon as possible. ฉันอยากเจอคุณ ให้เร็วที่สุด I don’t want to leave you. ฉันไม่อยากไปจากคุณ You can trust me. ขอให้เชื่อใจฉัน I will be faithful to you. ฉันจะซื่อสัตย์ต่อคุณ I will never cheat on you. ฉันจะไม่นอกใจคุณ I still remember the moment we met. ยังจำาได้ตอนที่เราเจอกัน I have fallen in love with you รักคุณเข้าแล้ว I love you with all my heart. รักคุณหมดใจ You’re mine. คุณเป็นของฉัน It’s hard to say how I feel. ยากที่จะบอกความรู้สึก Think about me sometimes. คิดถึงฉันบ้าง You are my sweetheart. คุณคือสุดที่รัก ของฉัน Don’t forget me. อย่าลืมฉัน
  • 5. กลับไปยังหน้าเดิม Introduction What is a sentence? ความหมายของประโยค ประโยคคือกลุ่มของคำาที่มีประธานและส่วนขยาย What are the parts of speech? ชนิดของคำา แบ่งออกได้เป็น 8 ชนิดคือ คำานาม คำากริยา คำาสรรพนาม คำากริยาวิเศษณ์ คำาคุณศัพท์ คำาบุพบท คำาสันธานและคำาอุทาน verbs คำากริยา nouns คำานาม pronouns คำาสรรพนาม adverbs คำากริยาวิเศษณ์ adjectives คำาคุณศัพท์ prepositions คำาบุพบท conjunctions คำาสันธาน interjections คำาอุทาน กลับไปยังหน้าเดิม
  • 6. กลับไปยังหน้าเดิม Adjectives คำ า คุ ณ ศั พ ท์ Descriptive adjectives Demonstrative adjectives Proper Adjectives Numeral Adjectives Possessive Adjectives Quantitative Adjectives คำาคุณศัพท์คือคำาที่ทำาหน้าที่ขยายคำานามหรือคำาสรรพนาม ที่สำาคัญมีดังนี้ Descriptive adjectives คือคำาคุณศัพท์ที่บอกลักษณะ คุณภาพ ขนาด สี รูปร่าง ของคำานามที่มันประกอบเช่น beautiful สวยงาม ugly ขี้เหล่ new ใหม่ old เก่า big ใหญ่ small เล็ก clean สะอาด dirty สกปรก good ดี bad เลว She is beatiful. Daeng's room is dirty. Tammy is a good tennis player. 1. การเรียงลำาดับคำาคุณศัพท์ที่มีอยู่ในประโยคเรียงได้ตามนี้ คำาคุณศัพท์ที่บอกสี ที่มา(มาจากไหน) วัสดุ(ทำาจากอะไร) blue American leather red Thai silk 2. ถ้ามีคำาคุณศัพท์ที่บอกขนาด ความสูง ความยาวจะวางไว้ข้างหน้าจากข้อหนึ่ง a small blue car a thick glass bottle 3. ถ้ามีคำาว่า first, last และ next จะวางไว้หน้าจำานวนนับ the first two weeks the next three men Demonstrative adjectives คือคุณศัพท์ชี้เฉพาะได้แก่ This, That, These, Those This ใช้กับคำานามเอกพจน์ที่อยู่ใกล้ (นี้) That ใช้กับคำานามเอกพจน์ที่อยู่ไกล (นั้น) These ใชักับคำานามพหูพจน์ที่อยู่ใกล้(เหล่านี้) Those ใชักับคำานามพหูพจน์(เหล่านั้น) This is my pen.
  • 7. That is my motorcycle. These books are theirs. Proper Adjectives คือคำาคุณศัพท์ที่เกี่ยวกับเชื้อชาติเป็นคำาศัพท์ที่มีรูปมา จากชื่อของประเทศเช่น Thailand Thai คนไทย Canada Canadian คนแคนาดา U.S.A. American คนอเมริกัน China Chinese คนจีน Switzerland Swiss คนสวิส Numeral Adjectives คือคุณศัพท์ที่บอกจำานวนนับ ลำาดับที่และจำานวนที่ไม่แน่นอน จำานวนนับได้แก่ one,two, three, four,five,six,seven,eight, nine,ten...... ลำาดับที่ได้แก่ first,second,third,fourth, fifth, sixth, seventh, eighth, nineth,tenth..... บอกจำานวนที่ไม่แน่นอนได้แก่คำาว่า many มาก much มาก double ทั้งสอง few /a few น้อย จำานวนน้อย สองสาม several หลาย a little/little เล็กน้อย all ทั้งหมด no ไม่มี some มีบ้าง enough. เพียงพอ I have three dogs. That's his second wife. I will be away several weeks. Possessive Adjectives คือคำาคุณศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของ my ของฉัน her ของเธอ his ของเขา its ของมัน your ของคุณ our ของพวกเรา their ของพวกเขา My book is on the table. I lost her coat. May I borrow your pen? Quantitative Adjectives
  • 8. คือคุณศัพท์ที่แสดงปริมาณบอกถึงความมากน้อยของสิ่งนับไม่ได้ได้แก่คำาว่า some บ้าง much มาก little น้อย enough เพียงพอ all ทั้งหมด no ไม่มี any บ้าง whole ทั้งหมด Give me some food. I do not have enough water. Do you have any money? กลับไปยังหน้าเดิม Adjectives Adjectives คือ คุณศัพท์ หมายถึง คำาที่ไปทำาหน้าที่ขยายนามหรือสรรพนาม (ขยายสรรพนามต้องอยู่หลังตลอดไป หรือคุณสมบัติของนามหรือสรรพนามนั้นว่า เป็นอย่างไร? ได้แก่คำาว่า good ดี bad เลว tall สูง dirty สกปรก wise ฉลาด red แดง fat อ้วน thin ผอม this นี้ those เหล่านั้น short สั้น white ขาว ชนิ ด ของ Adjective Adjective ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 11 ชนิด คือ 1. Descriptive Adjective คุณศัพท์บอกลักษณะ 2. Proper Adjective คุณศัพท์บอกสัญชาติ 3. Quantitative Adjective คุณศัพท์บอกปริมาณ 4. Numbearl Adjective คุณศัพท์บอกจำานวนแน่นอน 5. Demonstrative Adjective คุณศัพท์ชี้เฉพาะ 6. Interrogative Adjective คุณศัพท์บอกคำาถาม 7. Possessive Adjective คุณศัพท์บอกเจ้าของ 8. Distributive Adjective คุณศัพท์แบ่งแยก 9. Emphaszing Adjective คุณศัพท์เน้นความ
  • 9. 10. Exclamatory Adjective คุณศัพท์บอกอุทาน 11. Relative Adjective คุณศัพท์สัมพันธ์ 1. Descriptive Adjective คือ "คำาคุณศัพท์บอกลักษณะ" หมายถึง คำาที่ใช้ลักษณะหรือคุณภาพของคนสัตว์ สิ่งของและสถานที่เพื่อให้ร good, bad, tall, shot, black, fat, thin, fat, thin, clever, foolish, poor, rich, brave, cowardly, pretty, agly, happy, sor ตัวอย่างเช่น : The rich man lives in the big house. (คนรวยอาศัยอยู่บ้านหลังใหญ่) A clever pupil can answer the difficult problem. (นักเรียนที่ฉลาดสามารถตอบปัญหายากได้ The black cat cuagh a smail bird. (แมวดำาตัวนั้นจับนกได้) ข้อสังเกต : rich, big, clever, difficult, black และ small เป็นคุณศัพท์บอกลักษณะ 2. Proper Adjective คือ "คุณศัพท์บอกสัญชาติ" หมายถึง คำาที่ไปขยายนามเพื่อบอกสัญชาติ ซึ่งอันที่จริงมีรูปเปลี่ยนมาจาก Proper Noun Proper Adjective (เป็นนามเฉพาะ) (เป็นคุณศัพท์บอกสัญชาติ) England English America American Thailand Thai India Indian Germany German Italy Italian Japan Japanese China Chinese ตัวอย่างเช่น : John employs a chinese cook. (จอห์นจ้างพ่อครัวชาวจีนคนหนึ่ง) Do you learn French literature? (คุณเรียนวรรณคดีฝรั่งเศสหรือ) The English language is used by every nation. (ภาษาอังกฤษใช้ในทุกประเทศ) ข้อสังเกต : Chinese, French, English เป็นคำาคุณศัพท์บอกสัญชาติ 3. Quantitive Adjective คือ "คำาคุณศัพท์บอกปริมาณ" หมายถึง คำาที่ไปขยายนาม เพื่อบอกให้ทราบปริมาณของสิ่งเหล่านั้นว่า มีมาก much, many, little, some, any, enough, half, great, all, whole, sufficent, etc. He ate much rice at school yesterday. (เขากินข้าวมากที่โรงเรียนเมื่อวานนี้) Linda did not give any money to her younger brother. (ลินดาไม่ได้ให้เงินแก่น้องชายของหล่อน) Take great care of your health. (เอาใจใส่ต่อสุขภาพของคุณให้มากหน่อย) ข้อสังเกต : much, any, great ในประโยชน์ทั้ง 3 เป็นคำาคุณศัพท์บอกปริมาณ ตัวอย่างเช่น : 4. Numberal Adjective คือ "คำาคุณศัพท์บอกจำานวนแน่นอน" หมายถึง คำาที่ไปขยายนาม เมื่อบอกจำานวนแน่นอนของนามว่ามีเท่าไห 4.1 Cardinal Numberal Adjective คือ คุณศัพท์ที่ใช้บอกจำานวนนับที่แน่นอนของนาม ได้แก่ one, two, three, four, five, six, seven, etc. ตัวอย่างเช่น : She gave me two apples and three organes. (หล่อนให้แอปเปิ้ลสองผล และส้มสามผลแก่ฉัน) Bill wants to buy seven pens. (บิลต้องการซื้อปากกาเจ็ดด้าม) ข้อสังเกต : two, three, seven เป็นคุณศัพท์บอกจำานวนแน่นอนวางไว้หน้านาม
  • 10. 4.2 Ordinanal Numberal Adjective คือ "คำาคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกลำาดับที่ของนามนั้นๆ ได้แก first, second, third, fifth, sixt, seventh, etc. ตัวอย่างเช่น : Tom is the first boy to be rewarded in this school. (ทอมเป็นเด็กคนแรกที่ได้รับรางวัลในโรงเรียนนี) ้ Sam won the third prize last month and the second one last week. (แซมได้รับรางวัลที่ 3 เมื่อเดือนที่แล้ว และสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับรางวัลที่ 2) I am the seventh son of my family. (ฉันเป็นลูกคนที่ 7 ของครอบครัว) ข้อสังเกต : first, third, second, seventh เป็นคุณศัพท์บอกลำาดับที่วางไว้หน้านาม 4.3 Mutiplicative Adjective คือ "คุณศัพท์บอกจำานวนทวีของนาม" ได้แก่ double, triple, fourfold ตัวอย่างเช่น : Some roses are double. (ดอกกุหลาบบางดอกก็มีกลีบ 2 ชั้น) Buddha, Dhamma, and Sangha are triple gems. (พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ คือแก้ว 3 ประการ) ข้อสังเกต : double, triple, เป็นคำาคุณศัพท์บอกจำานวนทวีของนาม 5. Demonstrative adjective คือ คุณศัพท์ชี้เฉพาะหรือนิยมคุณศัพท์หมายถึง คำาที่ชี้เฉพาะให้กับนามใดนามหนึ่ง ได้แก่ these ,those (ใช้กับนามพหูพจน์) such, same ตัวอย่างเช่น: I invited that man to come in. (ฉันได้เชิญผู้ชายคนนั้นให้เข้ามาข้างใน) Jan hated such things because they made her ill. (แจนเกลียดสิ่งเหล่านั้นเพราะมันทำาให้เธอไม่สบาย) They said the same thing two or three times. (พวกเขาพูดถึงสิ่งเดียวกันนี้2หรือ3ครั้งแล้ว) ข้อสังเกต: that,such,same เป็นคุณศัพท์ชี้เฉพาะวางไว้หน้านาม 6.interrogative adjective คือ คุณศัพท์บอกคำาถามหมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อให้เป็นคำาถามโดยจะวางไว้ ต้นประโยคและมีนามตามหลังเสมอ ได้แก่ what, which, whose ตัวอย่างเช่น: What book is he reading in the room? (เขากำาลังอ่านหนังสืออะไรอยู่ในห้อง) Which way shall we go? (เราจะไปทางไหนกันนี่?) Whose shoes are these? (รองเท้านี้เป็นของใคร) ข้อสังเกต: what,which,whose เป็นคุณศัพท์บอกคำาถามอยู่หน้าประโยค 7. Possessive adjective คือ คุณศัพท์บอกเจ้าของหรือสามีคุณศัพท์ หมายถึง คำาคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกความเป็นเจ้าของขอ ตัวอย่างเช่น : This is my table. (นี่คือโต๊ะของฉัน) Her pen is on my desk. (ปากกาของหล่อนอยู่บนโต๊ะฉัน) Our nation needs solidarity. (ชาติของเราต้องการความสามัคคี) Their parents work hard every day. (พ่อแม่ของพวกเขาทำางานหนักทุกวัน)
  • 11. ข้อสังเกต : my, her, our, their เป็นคุณศัพท์บอกเจ้าของวางไว้หน้านาม 8. Distributive คือ คุณศัพท์แบ่งแยก หมายถึง คำาคุณศัพท์ที่ไปขยายนาม เพื่อแยกนามออกจากกันเป็น อันหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งได้แก่ ตัวอย่างเช่น : The two men had each a gun. (ชายสองคนนี้มีปืนคนละกระบอก) Every soldier is punctually in his place. (ทหารทุกคนเข้าประจำาที่ของตัวตรงเวลาดี) Either side is a narrow lane. (ไม่ข้างใดก็ข้างหนึ่งเป็นซอยแคบ) Neither accusation is true. (ข้อกล่าวหาทั้งสองข้อไม่เป็นความจริง) ข้อสังเกต: each,every,either,neither เป็นคุณศัพท์แบ่งแยกมาขยายนาม 9. Emphasizing Adjective คือ คุณศัพท์เน้นความ หมายถึงคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อเน้นความให้มีนำาหนักขึ้น ได้แก่ ตัวอย่างเช่น: Linda said that she had seen it with her own eyes. (ลินดาพูดว่าหล่อนได้เห็นมันมากับตาเธอเอง) He is the very man who stole my wrist watch last night. (เขาคือชายคนนั้นผู้ซึ่งได้ขโมยนาฬิกาข้อมือของฉันไปเมื่อคืนนี) ้ Jean is my own girl-friend. (จีนคือแฟนผมเอง) ข้อสังเกต : own,very เป็นคุณศัพท์เน้นความขยายนามที่ตามหลังให้มีนำาหนักขึ้น 10. Exclamatory Adjective คือ คุณศัพท์บอกอุทาน หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายเพื่อให้เป็นคำาอุทาน ได้แก่ ตัวอย่างเช่น: What a man he is! (เขาเป็นผู้ชายอะไรนะเนี่ย!) What an idea it is! (มันเป็นความคิดอะไรกันหนอ!) What a piece of work he does! (เขาทำางานได้เยี่ยมจริงๆ!) ข้อสังเกต : what ทั้ง 3 คำา ในประโยคเหล่านี้เป็นคุณศัพท์บอกอุทาน 11. Relative Adjective คือ คุณศัพท์สัมพันธ์ หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามที่ตามหลังและในขณะเดียวกันก็ยังทำาหน้าที่คล้ายส้นธา เชื่อมความในประโยคของตัวเองกับประโยคข้างหน้าให้สัมพันธ์กันอีกด้วย ได้แก่ what(อะไรก็ได้),whichever(อันไหนก็ได้) ตัวอย่างเช่น: Give me what money you have. (จงให้เงินเท่าที่คุณมีอยู่แก่ฉัน) I will take whichever horse you don t want. (ฉันจะนำาเอาม้าตัวที่คุณไม่ต้องการ) He will read what book he wishes. [ แซมจะอ่านหนังสืออะไรก็ได้ที่เขาปราถนา (จะอ่าน) ] ข้อสังเกต : What, Whichever เป็นคุณศัพท์สัมพันธ์ ไปขยายนามที่ตามหลัง และในขณะเดียวกันก็ทำาหน้าที่เชื่อมประโยคหน้า Adjective เวลานำาไปพูดหรือเขียนมีวิธีใช้อยู่ 4 อย่างคือ 1. เรียงไว้หน้าคำานามที่คุณศัพท์นั้นไปขยายโดยตรงได้ เช่น * The thin man can run very quickly. (คนผอมสามารถวิ่งได้เร็วมาก) * A wise boy is able to answer a difficult problem.
  • 12. (เด็กฉลาดสามารถตอบปัญหาที่ยากได้) * The beautiful girl is wanted by a young boy. (สาวสวยย่อมเป็นที่หมายตาของเด็กหนุ่ม) ข้อสังเกต : thin , wise , difficult , beautiful ,young เป็น คุณศัพท์เรียงขยายไว้หน้านามโดยตรง 2. เรียงไว้หลัง Verb to be, look feel,seem,get,taste,smell, turn,go,appear,keep,become,sound,grow,etc. ก็ได้ Adjective ที่เรียงตามกริยาเหล่านี้ ถือว่าขยายประธาน แต่วางตามหลังกริยา เพราะฉะนั้นจึงมีชื่อเรียกได้อีกอย่างหนึงว่า Subjective Complement เช่น * I'm feeling a bit hungry. (ฉันรู้สึกหิวนิดๆ) * Sugar tastes sweet. (นำ้าตาลมีรสหวาน) ข้อสังเกต: hungry และ sweet เป็น Adjective เรียงไว้หลัง กริยา feeling และ tastes ทั้งนั้น 3. เรียงคำานามที่ไปทำาหน้าที่เป็นกรรม (Object) ได้ ทั้งนี้เพื่อ ช่วยขยายเนื้อความของกรรมนั้นให้สมบรูณ์ขึ้น Adjiective ที่ใช้ใน ลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็น Objiective Complement เช่น * Sam made his wife happy. (แซมทำาภรรยาของเขาให้มีความสุข) * I consider that man mad. (ฉันพิจารนาดูแล้วว่า ชายคนนั้นเป็นบ้า) *This matter made me foolish. (เรื่องนี้ทำาให้ฉันโกรธไปได้) ข้อสังเกต: happy,mad และ foolish เป็น Adjective ให้เรียง หลังนาม และสรรพนามที่เป็น Object คือ wife,man,me 4. เรียง Adjective ไว้หลังคำานามได้ ไม่ว่านามนั้นจะทำาหน้าที่เป็นอะไรก็ตาม ถ้า Adjective ตัวนั้นมี บุพบทวลี (Perpositional Phrase)มาขยายนามตามหลัง เช่น * A parcel posted by mail today will reach him tomorrow. (พัสดุที่ส่งทางไปรษณีย์วันนี้จะถึงเขาวันพรุ่งนี) ้ ข้อสังเกต: posted เป็น Adjective เรียงตามหลังนาม parcal ได้เพราะมีบุพบทวลี by mail today * I have known the manager suitable for his position. (ฉันได้รู้จักผู้จัดการซึ่งก็มีความเหมาะสมสำาหรับตำาแหน่งของเขา) ข้อสังเกต: suitable เป็นคุณศัพท์ เรียงไว้หลังนาม manager ได้เพราะมีบุพบท วลี for his position * ข้อยกเว้น ในการใช้ Adjecive บางตัวเมื่อไปขยายนาม การใช้ Adjecive ไปขยายนามหรือประกอบนามตามแบบตั้งแต่ ข้อ 1 ถึง 4 นั้น หมายถึง Adjecive ที่จะกล่าวต่อไปนี้แล้วให้มีวิธีใช้ขยายนามหรือประกอบนาม ได้เพียงข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น คือ ประกอบหน้านาม หรือเรียงหลังกริยา จะใช 2 อย่างไม่ได้ นั้นคือ ( มีต่อค่ะ ) Adjective - Equivalent คือ "คำาที่ใช้เสมือนเป็นคุณศัพท์" ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า คำาที่จะนำามาใช้เสมือนหนึ่ง เป็นคุณศัพท์ที่จะกล่าวต่อไปนี้ 1. คำานาม (Noun) นำามาใช้เป็น Adjective ขยายนามด้วยกันได้ แต่ให้วางไว้หน้านามที่มันไปขยายนั้นทุกครั้งไป เช่น Yale University is the place for political studies. (มหาวิทยาลัยเยลเป็นสถานที่สำาหรับการศึกษาวิชาการเมือง)
  • 13. ข้อสังเกต : Yale เป็นนามนำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยาย university ซึ่งเป็นนามด้วยกัน My younger brother wishes to study at Suan Dusit College. (น้องชายของฉันประสงค์จะเรียนที่วิทยาลัยสวนดุสิต) ข้อสังเกต : Suan Dusit เป็นนาม แต่นำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนาม college ได้ They have worked in New York City for two years. (พวกเขาได้ทำางานอยู่ที่เมืองนิวยอร์คเป็นเวลา 2 ปีแล้ว) ข้อสังเกต : New York เป็นนามนำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามที่ตามหลัง คือ City 2. คำานามที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ โดยมี Apostrophe ( 's ) มาใช้ควบนั้น นำามาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้ และให้เรียงไว้หน้านามตัวนั้นตลอดไป เช่น John's house was built in Denver five years ago. (บ้านของจอห์นได้สร้างไว้ที่เดนเวอร์ เมื่อ 5 ปีมาแล้ว) ข้อสังเกต : เป็นคำานามที่นำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนาม house ได้ The teacher's table is larger than the students. (โต๊ะของครูมีขนาดใหญ่) ข้อสังเกต : teacher's เป็นนาม นำามาใช้บยายนาม table ทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์ได้ 3. Infinitive (กริยาสภาวมาลา ได้แก่ to + V.1) นำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามหรือสรรพนามได้ แต่วางไว้หลังนามที่มันขยายเสมอ เช He has no money to give me for buying a pen. (เขาไม่มีเงินที่จะให้ฉันซื้อปากกา) ข้อสังเกต : to give เป็น Infinitive นำามาใช้เป็น Adjective ขยายนาม money ได้ This book is good for you to read. (หนังสือเล่มนี้ดีสำาหรับคุณที่จะอ่าน) ข้อสังเกต : to read เป็น Infinitive นำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายสรรพนาม you ได้ 4. Participle นำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามได้ และให้วางไว้หน้านามที่มันไปขยายทุกครั้ง เช่น The standing boy is afraid of the running dog. (เด็กชายที่ยืนอยู่กลัวสุนัขที่วิ่งมา) ข้อสังเกต : standing, running เป็น Participle นำามาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามได้ 5. Gerund (กริยานาม คือ Verb เติม ing แล้วนำามาใช้อย่างนามซึ่งจะได้กล่าวในบทต่อไปนี้เช่นกัน Now he is waiting for you in the meeting room. (เดี๋ยวนี้เขากำาลังรอคุณอยู่ที่ห้องประชุม) ข้อสังเกต : meeting เป็น gerund นำามาใช้ทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม room 6. Phrase (วลีทุกชนิด) นำามาใช้เป็น Adjective ขยายนามหรือสรรพนามได้ ส่วนตำาแหน่งวางของวลีคุณศัพท์นั้นอยู่หน้านามก็มี อยู่ห The man in this room is our guest. (ผู้ชายที่อยู่ในห้องนี้เป็ฯแขกของเรา) ข้อสังเกต : in this room เป็นวลีมาทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์มาขยายนาม man ที่อยู่ข้างหน้า He wants to buy the corner. (เขาต้องการซื้อบ้านที่อยู่มุมถนนนั้น) ข้อสังเกต : on the corner เป็นวลีมาทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม house ที่อยู่ข้างหน้า 7. Subordinate Clause (อนุประโยค) นำามาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้ และให้วางไว้หลังนามที่ไปขยายทุกครั้ง เช่น This is the house that Jack built. (นี้คือบ้านที่แจ๊คสร้างเอาไว้) ข้อสังเกต : that Jack built เป็น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค) มาทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม I know Mr. Clinton whom you want to see. (ฉันรู้จัก มิสเตอร์คลินตัน ผู้ซึ่งคุณต้องการพบ) ข้อสังเกต : whom you want to see เป็น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค
  • 14.
  • 15. ำ า คุ ณ ศั พ ท์ จุดประสงค์(เพื่ออะไร) คำานาม sport shoes business tie
  • 18. ณะหรือคุณภาพของคนสัตว์ สิ่งของและสถานทีเพื่อให้รว่า นามนั้นมีลักษณะอย่างไร ได้แก่คำาว่า ่ ู้ ch, brave, cowardly, pretty, agly, happy, sorry, etc. สามารถตอบปัญหายากได้) บอกสัญชาติ ซึ่งอันที่จริงมีรูปเปลี่ยนมาจาก Proper noun นั่นเอง ได้แก่ คำาแปล อังกฤษ, คนอังกฤษ อเมริกา, คนอเมริกัน ไทย, คนไทย อินเดีย, คนอินเดีย เยอรมัน, คนเยอรมัน อิตาลี, คนอิตาเลี่ยน ญี่ปุ่น, คนญี่ปุ่น จีน, คนจีน าม เพื่อบอกให้ทราบปริมาณของสิ่งเหล่านั้นว่า มีมากหรือน้อย (แต่ไม่บอกจำานวนแน่นอน)ได้แก่ ขยายนาม เมือบอกจำานวนแน่นอนของนามว่ามีเท่าไหร่ แบ่งเป็นชื่อย่อยได้ 3 ชนิด คือ ่
  • 19. าดับที่ของนามนั้นๆ ได้แก่ ble, triple, fourfold าที่ชี้เฉพาะให้กับนามใดนามหนึ่ง ได้แก่ this, that (ใช้กับนามเอกพจน์), นามเพือให้เป็นคำาถามโดยจะวางไว้ ่ าคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกความเป็นเจ้าของของนาม ได้แก่ my,our,your,his,her,itsและtheir
  • 20. กนามออกจากกันเป็น อันหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งได้แก่ each(แต่ละ), every(ทุกๆ), either(ไม่อนใดก็อนหนึ่ง), neither(ไม่ทั้งสอง) ั ั นามเพื่อเน้นความให้มีนำาหนักขึ้น ได้แก่ own(เอง),very(ที่แปลว่า นั้น,นั้นเอง,นั้นจริงๆ) ยเพื่อให้เป็นคำาอุทาน ได้แก่ what ตามหลังและในขณะเดียวกันก็ยังทำาหน้าที่คล้ายส้นธาน หลัง และในขณะเดียวกันก็ทำาหน้าที่เชื่อมประโยคหน้าและประโยคหลังให้กลมกลืนกันอีกด้วย
  • 21. Adjective ตัวนั้นมี ลี by mail today มาขยายตามหลัง ลี for his position มาขยายตามหลัง มายถึง Adjecive ทั่วไปเท่านั้น แต่ถ้าเป็นAdjective ท่านั้น คือ ประกอบหน้านาม หรือเรียงหลังกริยา จะใช้ทั้ง านามที่มนไปขยายนั้นทุกครั้งไป เช่น ั
  • 22. มาใช้เป็น Adjective รือสรรพนามได้ แต่วางไว้หลังนามที่มันขยายเสมอ เช่น ยายทุกครั้ง เช่น บทต่อไปนี้เช่นกัน) นำามาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้และวางไว้หน้านามนั้นตลอดไป เช่น นตำาแหน่งวางของวลีคุณศัพท์นั้นอยู่หน้านามก็มี อยู่หลังนามก็มี เช่น n ที่อยู่ข้างหน้า se ที่อยู่ข้างหน้า ละให้วางไว้หลังนามที่ไปขยายทุกครั้ง เช่น ประโยค) มาทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนามhouse ที่วางอยู่ข้างหน้า เภทคุณานุประโยค) มาทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนามMr.Clinton ซึ่งวางอยู่ข้างหน้า
  • 23.
  • 24. กลับไปยังหน้าเดิม Adverbs กริ ย าวิ เ ศษณ์ Adverbs of Frequency Adverbs of Manner Adverbs of Place Adverbs of Degree คำากริยาวิเศษณ์ทำาหน้าที่ขยายคำาคุณศัพท์ ขยายคำากริยาหรือ ขยายคำากริยาวิเศษณ์ด้วยกันซึ่งแบ่งออกเป็นชนิดต่างดังต่อไปนี้ Adverbs of Frequency คือ adverb ที่บอกความถี่ว่าทำาสิ่งนี้สิ่งนั้นบ่อยหรือถี่มากน้อยแค่ไหนได้แก่คำาว่า always สมำ่าเสมอ เป็นประจำา often บ่อยๆ frequency บ่อย ถี่ usually ตามปกติ sometimes บางครั้งบางครา generally โดยทั่วๆไป seldom ไม่ค่อยจะ hardly ever แทบจะไม่ never ไม่เคยเลย การวางตำ า แหน่ ง Adverbs of Frequency 1.ถ้าประโยคนั้นมี verb to be หรือ verb to have ให้วางไว้หลัง verb to be หรือ verb to have She is always late. He has never traveled by train. 2. วางไว้หน้าคำากริยาแท้เช่น Don often goes to the park. Adverbs of Manner คือ adverb ที่บอกอาการ หรือท่าทาง สถานะ คุณภาพเช่น happily อย่างมีความสุข quickly อย่างอย่างรวดเร็ว beautifully อย่างสวยงาม late ล่าช้า well ดี carefully อย่างระมัดระวัง fast เร็ว She walks slowly. The children sing beautifully. It is important to write carefully. Adverbs of Time คือ adverb ที่บอกเวลา ได้แก่คำาว่า today วันนี้ tonight คืนนี้ yesterday เมื่อวาน finally ในที่สุด last ครั้งสุดท้าย
  • 25. already เรียบร้อยแล้ว soon ในเร็วๆนี้ before ก่อน still ยังคง every week ทุกๆสัปดาห์ We'll soon be home. When did you last see your family? Adverbs of Place คือ adverb ที่บอกสถานที่ ได้แก่คำาว่า here ที่นี่ around รอบๆ there ที่นั่น somewhere ที่ไหนสักแห่ง near ใกล้ๆ We are playing here. The boy is sitting there. Adverbs of Degree คือ adverb ที่บอกปริมาณจะวางไว้หน้าคำา adj., adv. หรือกริยาที่มันขยาย ได้แก่คำาว่า very มาก too มาก(เกินไป) quite มาก(ทีเดียว) almost เกือบจะ He is too big to run. The bag is very heavy. I am almost finished. Note: 1.ในกรณีที่ประโยคหนึ่งมีคำากริยาวิเศษณ์อยู่หลายชนิดให้เรียงลำาดับดังนี้ manner, place, time The kids go to bed early. He works hard every week. He sang beautifully at the concert last night. 2. คำาที่มีรูปเหมือนกันเป็นได้ทั้งคำาคุณศัพท์และคำากริยาวิเศษณ์ ได้แก่คำาว่า fast เร็ว hard ยาก แข็ง far ไกล pretty มาก ทีเดียว early เช้า เร็ว แต่เช้า He runs fast. He is a fast runner. She works hard. She is a hard worker. คำากริยาวิเศษณ์ ส่วนใหญ่มาจากคำาคุณศัพท์โดยการเติม ly ท้ายคำาโดยมีหลักการทำาดังนี้
  • 26. 1. เอาคำาคุณศัพท์มาเติม ly ได้เลย เช่น beautiful beautifully quiet quietly wonderful wonderfully 2. คำาคุณศัพท์ที่ลงท้ายด้วย e ให้ตัด e ออก แล้วเติม ly true truly 3. คำาคุณศัพท์ที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม ly เช่น happy happily angry angrily 4. คำาคุณศัพท์ที่ลงท้ายด้วย le ให้ตัด e ออก แล้วเติม y simple simply possible possibly Note: คำาที่ลงท้ายด้วย lyอยู่แล้วแต่เป็นคำาคุณศัพท์ได้แก่คำาว่า friendly เป็นมิตร lovely น่ารัก lonely โด่ดเดี่ยว ugly น่าเกียด silly งี่เง่า กลับไปยังหน้าเดิม ADVERBS Adverbs คือ "กริยาวิเศษณ์"(บางตำาราเรียd"คำากริยาวิเศษณ์"เฉยๆก็ได้)มีไว้ สำาหรับ"ใช้ทำาหน้าที่ขยายกริยา,ขยายคุณศัพท์,ขยายกริยาวิเศษณ์(ด้วยกันเอง), ขยายประโยคและขยายสรรพนาม บุรพบทวลีและจำานวนนับ"ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ขยายกริยาเช่น My mother works hard every day. (แม่ของฉันทำางานหนั ก ทุกๆวัน) ข้ อ สั ง เกต:hardเป็นAdverbขยายกริยาworks ขยายคุณศัพท์เช่น These students are very intelligent. (นักศึกษาเหล่านี้เฉลียวฉลาดมาก) ข้ อ สั ง เกต:veryเป็นAdverbขยายคุณศัพท์intelligent ขยายกริยาวิเศษณ์เช่น She drives very carefully. (ลินดาขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง) ข้ อ สั ง เกต:veryเป็นAdverbขยายAdverb"carefully" ขยายทั้งประโยคเช่น Foutunately,no one complained of me. (โชคดีจริงๆไม่มีใครร้องเรียน(หรือบ่น)ฉันเลย) ข้ อ สั ง เกต:fortunatelyเป็นAdverbทำาหน้าที่ขยายทั้งประโยคที่ตามหลัง ขยายสรรพนามเช่น What else can I say.
  • 27. (แล้วฉันจะพูดอะไรได้อีก) ข้ อ สั ง เกต:elesเป็นAdverbมาขยายสรรพนามwhat ขยายบรุพบทวลีเช่น You ought to go right to the end of the road. (คุณควรจะไปจนสุดถนนสายนี้) ข้ อ สั ง เกต:rightเป็นAdverbมาขยายบรุพบทวลีto the end of the road ขยายจำานวนนับเช่น We go to the movie almost every Sunday. (เราไปดูหนังสือเกือบทุกวันอาฑิตย์) ข้อสังเกต:almostเป็นAdverbมาขยายจำานวนนับevery Adjtive and Adverb HOW TO LEARN ? a little a few, little, few adjetive adverb much many some any tool as well , too fairly , rather already , yet A little, A few; Little, Few (a) litte ใช้กับนามที่นับไม่ได้ (uncountable noun) ซึ่งย่อมต้องเป็นเอกพจน์เสมอ เช่น (a) little water, (a) little snow (b) few ใช้กับนามที่นับได้ (countable noun) ซึ่งต้องเป็นพหูพจน์เสมอ เช่น (a) few books, (a) few people ข้ อ แตกต่ า งระหว่าง a little (มี a) กับ little (ไม่มี a) a few (มี a) กับ few (ไม่มี a) เมื่อมี a นำาหน้า little หรือ few มีความหมายในทางรับ คือรับว่ามีอยู่บ้าง แม้จะน้อยก็ตาม เช่น There is alittle milk in that bottle. There are a few people in the room. ถ้าไม่มี a นำาหน้า แสดงความหมายในทางปฎิเสธ คือบ่งว่า แทบจะไม่มี เช่น There is little money left. (แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย) การจะใช้ a นำาหน้า little หรือ few นั้น ขึ้นอยู่ที่ใจของผู้พูด ถ้าผู้พูดนึกว่าแทบไม่มีเลย เขาก็ไม่ใช้ a ถ้าเขานึกว่ายังมีอยู่บ้าง เขา ก็ใช้ a นำาหน้า (โดยทั่วๆไปประโยคภาษาอังกฤษมักจะมี ADJECTIVES & ADVERBS การใช้ ค ำ า adjective คำา adjective อาจใช้ได้ 2 วิธี คือ :
  • 28. ใช้ประกอบหน้านาม ( attributive use ) เช่น He is agood student. ใช้หลังกริยา ( predicative use ) เช่น That student is good. ตำ า เเหน่ ง ( position ) ของคำ า adjective 1.โดยปกติ adjective อยู่หน้าคำานาม เช่น a big town, a blue car, an interesting movie. 2.เมื่อมี adjective 2 คำาประกอบคำานามคำานามคำาเดียวโดยปกติไม่นิยมใช้เชื่อม เช่น a tall young man, six red roses 3.นิยมใช้ comma คั่นระหว่าง adjective เมื่อเป็นคำาประเภทเดียวกัน เช่น a big, square box ; amodern, small car 4.เเต่ถ้าคำา adjective 2 คำานันเป็นadjective บอกสีทงคู่ให้ใช้ and เช่น ้ ั้ a black and white cat Much, Many ,Very, A lot of, lots of much ใช้ประกอบนามนั บไม่ได้ (uncountable) เช่น much water many ใช้ประกอบนามท่ีนับได้ (countable) ดังนั ้นนามหลัง many จึงเป็ นนามพหูพจน์เสมอ เช่น a lot of หรือ lots of ใช้ได้เหมือนกัน ใช้ประกอบได้ทังนามนั บได้เเละนั บไม่ได้ในประโยคบอกเล่า ถ้าเป็ นคำาถามหรือปฏิเสธนิ ย ้ much time = a lot of time = lots of time many people = lots of people = a lot of people ในภาษาพูด (spoken English)คำาเเสดงความมากยังมีคำาอ่ ืนๆอีก เช่น plenty(of), a great deal(of), a large number(of), a large amount(of), a large quantity(of) very (มาก) เป็ นคำา adverd จึงไม่ใช้ประกอบนาม เเต่ใช้ขยาย adjective หรือ adverd เช่น very much, very old Some&Any Some,someใช้ในประโยคบอกเล่า(affirmative) Any,any ใช้ในประโยคคำาถาม(interrogative) และปฏิเสธ (nagative) ทันนี้ รวมทังคำาประสม (compound) ของ some และ any ด้วย เช่นsomebody,anybody,something,anythingsome ้ ้
  • 29. Too&Enough To เม่ ือใช้เป็ นคำา adverb ประกอบคำา adjective หรือ adveb อ่ ืนๆมีความหมายว่า มากเกินไปมักตามหลังด้วย This tea is too hot to drink. ประโยคข้างบนนี้ มีความหมายว่า ชานี้ ร้อนเกินไปท่ีจะด่ ืม ปั ญหาจึงอาจเกิดว่าร้อนมากเกินไปสำาหรับใคร อีกคนหน่ึ งอาจว่าไม่ร้อน ดังนั ้นจึงนิ ยมใช้ for สำาหรับบอกว่า เกินไปสำาหรับใคร เช่น This tea is too hot for me to drink. = This tea is very hot; I can't drink it. as well ใช้ในภาษาพูดเหมือนกัน และเป็ นคำาที่นิยมมากกว่า too (วางไว้ท้ายประโยคอย่าง too - He also went there yesterday =He went there yesterday,too. = He went there yesterday as well. Nearly, Almost nearly= เกือบ, เกือบถึง (ในการบอกปริมาณและ อ่ ืนๆ) Almost= เกือบจะ (ในการกระทำา) คือการกระทำาที่ไม่สำาเร็จ แต่เกือบจะสำาเร็จ เช่น -- Tom is nearly five feet tall. (ทอมสูงเกือบ 5 ฟุต) -- John almost succeeded in cilmbing that tall tree. (จอหนเกือบจะปี นต้นไม้สูงได้สำาเร็จ) ์
  • 30. ศษณ์ Adverbs of Time รือ verb to have
  • 31. คำาว่า , place, time ดังนี้
  • 33. มอ เช่น (a) little water, (a) little snow ) few books, (a) few people (โดยทั่วๆไปประโยคภาษาอังกฤษมักจะมี a นำาหน้า little และ few เสมอ) แบบฝึกหัดต่อไปนี้ พิจารณาความหมายให้ดีเพื่อจะสามารถใช้ a หรือ ไม่ใช้
  • 34. พหูพจน์เสมอ เช่น many books, many people, many cars นประโยคบอกเล่า ถ้าเป็ นคำาถามหรือปฏิเสธนิ ยมใช้ much หรือ many เช่น large quantity(of) dverd เช่น very much, very old ody,anybody,something,anythingsomeและany ใช้ประกอบได้ทังนามนั บได้และนามนั บไม่ได้ ถ้าประกอบนามนั บได้ นามนั ้นจะต้องเป็ นพหูพจน์ เช่น ้
  • 35. ว่า มากเกินไปมักตามหลังด้วยto-infinitive (=to+กริยาช่องท่ี 1) เช่น มากเกินไปสำาหรับใคร อีกคนหน่ึ งอาจว่าไม่ร้อนก็ได้ ะโยคอย่าง too ก็ได้ หรือจะวางไว้อย่าง also ก็ได้) เช่น
  • 36.
  • 37.
  • 38.
  • 39. มารถใช้ a หรือ ไม่ใช้ a ได้อย่างถูกต้อง
  • 40. มนั ้นจะต้องเป็ นพหูพจน์ เช่น some rice, some books,any bnooks ,any sugar
  • 41.
  • 42. กลับไปยังหน้าเดิม Verbs คำ า กริ ย า คือคำาที่แสดงการกระทำาหรือถูกกระทำามีดังต่อไปนี้ อกรรมกริยา (Intransitive verb) เป็นกริยาที่มีความสมบูรณ์ในตัวมันเอง ไม่ต้องมีกรรมมารองรับ smile ยิ้ม cry ร้องไห้ run วิ่ง speak พูด go ไป come มา sit นั่ง sleep นอน walk เดิน I like to smile. My dog runs quickly. สกรรมกริยา (Transitive verb) เป็นกริยาที่ยังไม่สมบูรณ์ต้องมีกรรมมารอง รับจึงจะทำาให้ประโยคสมบูรณ์ write เขียน give ให้ buy ซื้อ look มอง close ปิด kick เตะ He writes novels. I bought a car. กริยารูปธรรมดา (Regular verb) คือเมื่อเปลี่ยนเป็นช่องที่สองกับ ช่องที่สามเพียงแค่เติม d หรือ ed ท้ายคำา walk walked walked like liked liked play played played love loved loved กริยารูปพิเศษ (Irregular verb) เมื่อเปลี่ยนเป็นช่องที่สอง (Past tense) ช่องที่สาม (Past Participle) จะมีรูปที่เหมือนกันและรูปที่แตกต่างกัน คลิกดูกริยารูปพิเศษเพิ่ม 1 มีรูปเหมือนกันทั้งสามช่อง cut cut cut read read read hit hit hit hurt hurt hurt
  • 43. put put put 2. มีรูปที่แตกต่างกัน eat ate eaten fly flew flown break broke broken build built built come came come do did done make made made pay paid paid steal stole stolen think thought thought Infinitives Infinitive ตามด้วย to คือกริยาช่องที่ 1ที่ต้องมี to นำาหน้ามีลักษณะการใช้คือ 1.ใชัเป็นประธาน It is not difficult to learn English. 2. ใช้ตามหลังคำากริยา It's starting to rain. กริยาที่ตามด้วย Infinitive ตามด้วย to ได้แก่คำาว่า hope หวัง need ต้องการ prepare เตรียม except ยอมรับ decide ตัดสินใจ appear ปรากฎ ask ขอร้อง plan วางแผน mean ตั้งใจ remind เตือน swear สาบาน pretend เสแสร้ง want ต้องการ promise สัญญา neglect เพิกเฉย learn เรียนรู้ deserve สมควรได้รับ manage จัดการ 3.ใช้ในรูป verb + object+infinitive She didn't ask him to go. 4.ใช้ตามหลังคำาคุณศัพท์ (adjective) Infinitive ถูกใช้ตามหลังคำาคุณศัพท์บางคำา I'm glad to know you.
  • 44. She was surprised to hear that. 5. ใช้ตามหลังคำานาม (noun) เราสามารถใช้ Infinitive ตามหลังคำานามบางตัว I told him about my decision to divorce. 6.ใช้ตามหลัง who, what, how etc. ในประโยค reported speech เราสามารถใช้ infinitive ตามหลัง who, what, where,when etc ( ที่พูดเกี่ยวกับคำาถามและตอบคำาถาม verb +question-word +Infinitive I don't know how to make a cake. Infinitive ไม่มี to คือกริยาช่องที่ 1 ที่ไม่ต้องมี to นำาหน้ามีลักษณะการใช้ดังนี้ 1. Modal auxiliary verbs(กริยาช่วย) เราใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลังกริยาช่วย will, shall, would, should, can, could may, might, had better We must clean the room. 2.ใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลังคำากริยาที่แสดงการรับรู้และสังเกตเห็นได้แก่คำาว่า let อนุญาต make ทำา see เห็น hear ได้ยิน feel รู้สึก watch ดู เฝ้าดู notice สังเกต I saw a boy steal a car. 3.ใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลัง why (not) ที่หมายถึงสิ่งที่ไม่จำาเป็นหรือการ ทำาในสิ่งโง่ๆ เช่น Why did you do that? It's the stupidest thing I've ever seen. 4.ใช้ infinitive ไม่มี to ตามหลัง and, or, except, but, than เราสามารถนำาคำา infinitive มาใช้ร่วมกันด้วย and, or, except, but, than แต่ว่า infinitive ตัวที่สองไม่ต้องมี to Do you want to go out or stay home? กลับไปยังหน้าเดิม Verb Verb คือ "กริยา" ได้แก่ "คำาทีใช้แสดงถึงการกระทำา หรือการถูกกระทำาของคำาที่เป็นประธาน หรือเป็นคำาสอดแทรกเข้ามาทำาหน้าที่ช่วยก ่ เพื่อบอกถึงมาลา ( mood ) วาจก ( Voice ) และกาล ( Tense )" ในภาษาอังกฤษแบ่ง verb ออกเป็น 5 ชนิดด้วยกัน
  • 45. Transitive Verb ( สกรรมกริยา ) Intransitive Verb ( อกรรมกริยา ) Finite Verb ( กริยาแท้ ) Non - Finite Verb ( กริยาไม่แท้ ) Auxiliary Verb ( กริยานุเคราะห์ , กริยาช่วย ) Exercise ( แบบฝึกหัด ) Transitive Verb Transitive Verb คือ "สกรรมกริยา" หมายถึง "กริยาที่ต้องมีกรรมมารองรับ หรือมีกรรมมาขยายตามหลัง เพื่อให้เนื้อความของกริยาตัว give , buy , bring , write , speak , hit , see , look at , order , open , close , wash, clean , etc. ตั ว อย่ า ง : My father bought meat and eggs yesterday. ( คุณพ่อของฉันซื้อเนื้อและไข่มาเมื่อวานนี้ ) คำาที่จะนำามาใช้เป็นกรรมของสกรรมกริยา ( Object of a transitive Verb ) ได้นั้น ได้แก่คำาต่อไปนี้ คือ 1. นามทุกชนิด ( All kinds of Nouns ) เช่น Kenya needs the growth and development. ( ประเทศเคนยาต้องการความเจริญก้าวหน้าและการพัฒนา ) ข้อสังเกต : growth and development เป็นกรรมของ needs 2. สรรพนาม ( Pronoun ) เช่น I told him that he could pass his examination. ( ฉันบอกเขาว่า เขาสอบไล่ได้ ) ข้อสังเกต : him เป็น Pronoun มาทำาหน้าที่เป็นกรรมของ told 3. กริยาสภาวมาลา ( ได้แก่ Infinitive ) เช่น These students want to continue their studies in the U.S.A. ( นักศึกษาเหล่านี้ต้องการศึกษาต่อในประเทศสหรัฐฯ ) ข้อสังเกต : to continue เป็นกริยาสภาวมาลา ทำาหน้าที่เป็นกรรมของ want 4. คำากริยาที่เติม ing ( Gerund ) แล้วนำามาใช้อย่างนาม เช่น Ever since John has got bad health, he stops smoking. ( ตั้งแต่จอห์นไม่สบายนี้ เขาเลิกสูบบุหรี่แล้ว ) ข้อสังเกต : smoking เป็น Gerund ทำาหน้าที่เป็นกรรมของ stops 5. วลีทุกชนิด ( Phrases ) เช่น Helen doesn't know what to do will her son. ( เฮเลนไม่รู้ว่าจะทำาอย่างไรกับลูกชายของหล่อนดี ) ข้อสังเกต : What to do เป็นวลี ทำาหน้าที่เป็นกรรมของ know 6. อนุประโยค ( Subordinate Clause ) เช่น I know what he is going to do there. ( ผมรู้ว่าเขาจะไปทำาอะไรอยู่ที่นั่น ) ข้อสังเกต : what he is going to do there เป็นอนุประโยคทำาหน้าที่เป็นกรรมของกริยา know Intransitive Verb
  • 46. Intransitive Verb คือ "อกรรมกริยา" ได้แก่ "กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมตามมา หรือมีกรรมมารองรับ เพราะมีเนือความสมบูรณ์อยูในตัวอย ้ ่ go ไป stay พัก,อยู่ regret เสียใจ ตั ว อย่ า งเช่ น : Who comes? ( ใครมา ) ข้อสังเกต : หลัง comes ไม่ต้องมีกรรมมารับ เพราะได้เนื้อความสมบูรณ์ My sister dances very well. ( พี่/น้องสาวของฉันเต้นรำาได้ดีมาก ) ข้อสังเกต : หลัง dances ไม่ต้องมีกรรมมารับ เพราะได้เนื้อความสมบูรณ์แล้ว ส่วน very well ที่ตามหลังอยู่นั้น ไม่ใช่กรรม แต่เป็น การกรรมมารับโดยตรง แต่ก็ยังต้องพึ่งหรืออาศัย คำาหรือกลุ่มคำาอื่นช่วยขยาย เพื่อให้เนื get = เป็น , มี grow = เจริญ , มี , เป็น feel = รู้สึก look = ดูเหมือน , ดูท่า ตั ว อย่ า งเช่ น : Helen looks unhappy. ( เฮเลนดูท่าไม่สบาย ) His plan proved useless. ( แผนการของเขาใช้ไม่ได้เลย ) ตัวดำาดูเหมือนทำาหน้าที่เป็น object แต่ไม่ใช่ แท้ที่จริงแล้วมันก็ทำาหน้าที่เป็น Subjective Complement Finite Verb Finite Verb คือ "กริยาแท้" หมายถึง "กริยาที่นำามาใช้เป็นส่วนสำาคัญของประโยค อาจกล่าวได้ว่า ทุกข้อความที่เราพูดหรือเขียนออกไป แล้วข้อความนั้นจะเป็นประโยคขึ้นมาไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะฉะนั้นกริยาแท้จึงเป็นหัวใจหรือส่วน Who comes? ( ใครมา ) The girls are coming early. ( พวกเด็กหญิงก็มาแต่เช้า ) ข้ อ สั ง เกต : ซึ่งเป็นกริยาในประโยคข้างบนนี้ จะเห็นว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตาม Tense และประธานของประโยคนั้น ๆ ทั้งนี้ก็เพร Non - Finite Verb Non - Finite Verb คือ "กริยาไม่แท้" หมายถึง "คำากริยาที่มิได้นำามาใช้อย่างกริยาแท้ แต่ถูกนำามาใช้ทำาหน้าที่เป็นอย่างอื่น เช่น เป็น หรือเป็นอื่นใดได้ทั้งนั้น " ในภาษาอังกฤษแบ่งกริยาไม่แท้ ( Non - Finite Verb ) ออก 1. Infinitive = กริยาที่มี To นำาหน้า ( To + Verb 1 ) เช่น to walk 2. Gerund = กริยาที่เติม ing ( Verb + ing ) เช่น walking , sleeping , smoking
  • 47. 3. Participle = กริยาที่เติม ing เช่น eating , coming , etc. หรือเป็นกริยาช่อง 3 เช่น eaten , came , cleaned , spoken ลั ก ษณะของกริ ย าตั ว ใดเป็ น กริ ย าแท้ ( Finite Verb ) หรื อ กริ ย าไม่ แ ท้ ( Non - Fininte Verb ) กริยาตัวที่วางอยู่หน้าสุดจะเป็นกริยาแท้ ส่วนกริยาตัวที่วางเป็นอันที่สองต่อไปเรื่อย ๆ จะเป็นกริยาไม่แท้ เช่น We want to develop our company in many ways. ( เราต้องการพัฒนาบริษัทของเราในทุกกรณี ) ข้ อ สั ง เกต : want เป็นกริยาแท้ to develop เป็น Infinitive กริยาไม่แท้ Auxiliary Verb Auxiliary Verb คือ "กริยานุเคราะห์" ( บางครั้งก็เรียกกริยาช่วย ( Helping Verb ) บ้าง , กริยาพิเศษ Auxiliary Verb มีอยู่ทั้งหมด 24 ตัว คือ Verb to be = is , am , are , was , were Verb to have = has , have , had Verb to do = do , does , did Verb to do = will , would Verb to do= shall , should Verb to do= can , could Verb to do= have to ( ที่มีความหมายเท่ากับ must ) 1. หน้ า ที ่ ข อง Verb to be ใช้ ท ำ า หน้ า ที ่ ช ่ ว ยกริ ย าตั ว อื ่ น ได้ ด ั ง ต่ อ ไปนี ้ 1.1 วางไว้หน้ากริยาตัวที่เติม ing ทำาให้ประโยคนั้นเป็น Continuous Tense ซึ่งแปลว่า "กำาลัง" We are learning English ( เรากำาลังเรียนภาษาอังกฤษ ) 1.2 วางไว้หน้ากริยาช่อง 3 ( เฉพาะสกรรมกริยา ) ทำาให้ประโยคนั้นเป็นกรรมวาจก ( Passive Voice ) John was punished by the teacher yesterday. ( จอห์นถูกทำาโทษโดยคุณครูเมื่อวานนี้ ) 1.3 วางไว้หน้ากริยาสภาวมาลา ( Infinitive ) มีสำาเนียงแปลว่า "จะ , จะต้อง" แสดงถึงหน้าทีที่ต้องกระทำา ่ He is to stay here till I come back. ( เขาจะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าฉันจะกลับมา ) 1.4 ประโยคคำาสั่ง , อวยพร , ที่นำาหน้าประโยคด้วย Adjective ( คุณศัพท์ ) ต้องใช้ Be นำาหน้าเสมอ เช่น Be quite. The baby is sleeping. ( เงียบหน่อย ทารกกำาลังนอกหลับอยู่ ) 1.5 ใช้นำาหน้าสำานวน about to + Verb ช่อง 1 มีสำาเนียงแปลว่า "กำาลังจะ" แสดงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้เช่น They are about to start their jouney this week. ( พวกเขากำาลังจะออกเดินทางกันสัปดาห์นี้ ) 1.6 ใช้ทำาหน้าที่เป็นกริยาหลัก ( Principal Verb ) ในประโยคได้กรณีนี้ในประโยคนั้นจะไม่มี Verb Jean is always a good girl. ( จีนเป็นเด็กหญิงดีเสมอ ) การใช้ have to , have got to , had better
  • 48. have to แปลว่า "ต้อง , จำาเป็นต้อง" ( = must ) ใช้แสดงถึงพันธะหน้าที่ภารกิจจำาเป็นที่ต้องกระทำา หลัง I have to leave now. ( ฉันจำาเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้ ) George has to go to school from Monday to Friday. ( จอร์จจะต้องไปเรียนหนังสือตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ) อนึ่ง ประโยคบอกเล่าที่มี have to เมื่อทำาเป็นคำาถามหรือปฏิเสธต้องใช้ Verb to do เข้ามาช่วย จะเอา ตัวอย่างเช่น : ถูก : Do I have to leave now? ( ผมจำาเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้หรือ ) ผิด : Have I to leave now? ถูก : I don't have to leave now. ( ผมไม่จำาเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้ ) ผิด : I haven't leave now. ถูก : Does he have to go to work? ( เขาจะต้องไปทำางานหรือ? ) ผิด : Has he to go to work? หมายเหตุ : have to ใช้ได้กับเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบนและอนาคตรูปอดีตของ have to คือ had to ั Have got to คำาแปลเช่นเดียวกับ have to นำามาใช้ในภาษาพูดแทน have to คือ had to หรือ ตัวอย่างเช่น : Affirmative ( บอกเล่า ) He's got to go. I've got to do. Negative ( ปฏิเสธ ) He hasn't got to go. I haven't got to do. Interrogative ( คำาถาม ) Has he got to go? Have I got to do? had better ( ให้รวมถึง had rather, had sooner ) แปลว่า "ควรจะ...ดีกว่า" หลัง had better ตัวอย่างเช่น : You had better start your trip tomorrow. ( = You'd better start your trip tomorrow. ) ( คุณควรจะเริ่มการเดินทางของคุณวันพรุ่งนี้ดีกว่า ) I had better go home now. ( = I'd better to go home now. ) ( ฉันควรจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ดีกว่า ) ข้อสังเกต : start และ go เป็น Infinitive Without "to" ประโยคบอกเล่าที่มี had better นั้นเมื่อทำาเป็นปฏิเสธให้เติม not หลัง better เท่านั้น อย่าวางหลัง ตัวอย่างเช่น : ประโยคบอกเล่า ถูก : She had better stay home alone. ( หล่อนควรจะพักอยู่ที่บ้านตามลำาพัง ) ประโยคปฏิเสธ ถูก : She had had not stay home alone. ( หล่อนไม่ควรพักอยู่ที่บ้านตามลำาพัง ) ผิด : She had not better stay home alone. ประโยคคำาถาม ถูก : Had she better stay home alone? ( หล่อนควรจะพักอยู่ที่บ้านตามลำาพังหรือ? ) ผิด : Did she have better stay home alone? 3. หน้าที่ของ Verb to do Verb to do ได้แก่ do , does , did เมื่อนำามาใช้เป็นกริยาช่วย ( Helping - Verb ) 3.1 ช่วยทำาประโยคบอกเล่า ( Affirmative ) ให้เป็นประโยคคำาถาม ( Interrogative ) หรือประโยคปฏิเสธ
  • 49. Verb to have ไม่มี Verb to be ไม่อยู่ Verb to do มาช่วย หรือมี will , would , shall , should , can , could , may , might , must อยู่แล้วก็ไม่ต้องใช้ Verb to do มี 3 ตัว จะนำามาใช้ต่างกัน เช่น เอกพจน์ ใช้ does พหูพจน์ ใช้ do I , They , We , You ใช้ do เหมือนกัน กริยาสำาคัญไม่ต้องเติม s ( ed , ing ) ตัวอย่างใช้ do มาช่วย ประโยคบอกเล่า : You speak Japanese to your friend. ( คุณพูดภาษาญี่ปุ่นกับเพื่อนของคุณ ) ประโยคคำาถาม : ถูก : Do you speak Japanese to your friend? ( คุณพูดภาษาญี่ปุ่นกับเพื่อนของคุณหรือ? ) ผิด : Are you speak Japanese to your friend? ตัวอย่างใช้ does มาช่วย ประโยคบอกเล่า : He opens the door by himself. ( เขาเปิดประตูด้วยตนเอง ) ประโยคคำาถาม : ถูก : Does he open the door by himself? ( เขาเปิดประตูด้วยตัวเขาเองหรือ? ) ผิด : Is he opens the door by himself? ประโยคปฏิเสธ : ถูก : He doesn't ( หรือ does not ) open the door by himself. ( เขาไม่ได้เปิดประตูด้วยตัวเอง ) ผิด : He is not opens the door by himself. ตัวอย่างใช้ did มาช่วย ประโยคบอกเล่า : She went to Hong Kong last week. ( หล่อนไปฮ่องกงสัปดาห์ที่แล้ว ) ประโยคคำาถาม : ถูก : Did she go to Hong Kong last week? ( หล่อนไปฮ่องกงสัปดาห์ที่ผ่านมาหรือ? ) ผิด : Was she went to Hong Kong last week? ประโยคปฏิเสธ : ถูก : She didn't ( หรือ did not ) go to Hong Kong. ( หล่อนไม่ได้ไปฮ่องกง ) ผิด : She wasn't went to Hong Kong. 3.2 ใช้แทนกริยาตัวอื่นที่อยู่ในประโยคเดียวกัน เพื่อต้องการมิให้กริยาตัวเดิมนั้นซำ้า ๆ ซาก ๆ เช่น Billy likes badminton and so does Tim. ( บิลลี่ชอบแบดมินตันและทิมก็ชอบเหมือนกัน ) You speak Thai and I do too. ( คุณพูดไทยและฉันก็เช่นกัน ) Linda worked yesterday but I didn't. ( ลินดาทำางานเมื่อวานนี้ แต่ฉันไม่ทำา ) ข้อสังเกต : does , do didn't ทั้ง 3 คำาไปแทนกริยา likes, speak และ worked ตามลำาดับ ทั้งนี้เพื่อต้องการมิให้ใช้กริยา 3.3 ใช้สนับสนุนกริยาตัวอื่น เพื่อให้เกิดความสำาคัญกับกริยาตัวนั้นว่า จะต้องทำาเช่นนั้นจริง ๆ หรือเกิดขึ้นจริง ๆ โดยให้เรียงไว้หน้ากร I do go and see you tomorrow.