More Related Content
Similar to ทร พย ส_นทางป_ญญา
Similar to ทร พย ส_นทางป_ญญา (20)
More from Iam Champooh (7)
ทร พย ส_นทางป_ญญา
- 4. ลิขสิทธิ์ เป็นทรัพย์สินทางปัญญาอย่างหนึ่ง ที่กฎหมายให้ความคุ้มครองโดยให้เจ้าของลิขสิทธิ์ถือสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะ กระทา
การใดๆ เกี่ยวกับงานสร้างสรรค์ที่ตนได้กระทาขึ้น
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
กฎหมายลิขสิทธิ์มีวัตถุประสงค์ให้ความคุ้มครองป้องกันผลประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและทางศีลธรรม ซึ่งบุคคลพึง
ได้รับจากผลงานสร้างสรรค์อันเกิดจากความนึกคิดและสติปัญญาของตน นอกจากนี้ยังมุ่งที่จะสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดการ
สร้างสรรค์ผลงานกล่าวคือ เมื่อผู้สร้างสรรค์ได้รับผลตอบแทนจากหยาดเหงื่อแรงกายและสติปัญญาของตน ก็ย่อมจะเกิดกาลังใจ
ที่จะคิดค้นสร้างสรรค์และเผยแพร่ผลงานให้แพร่หลายออกไปมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา ประเทศชาติทั้งด้าน
เศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี การกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาสติปัญญาเป็นปัจจัยสาคัญที่จะนาไปสู่ การพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต
- 5. การละเมิดลิขสิทธิ์
- การละเมิดลิขสิทธิ์โดยตรง : คือ การทาซ้า ดัดแปลง เผยแพร่โปรแกรมคอมพิวเตอร์แก่สาธารณชนรวมทั้งการนา
ต้นฉบับ หรือสาเนางานดังกล่าวออกให้เช่า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
- การละเมิดลิขสิทธิ์โดยอ้อม : คือ การกระทาทางการค้า หรือการกระทาที่มีส่วนสนับสนุนให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์
ดังกล่าว ข้างต้น โดยผู้กระทารู้อยู่แล้วว่างานใดได้ทาขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น แต่ก็ยังกระทาเพื่อหากาไรจากงาน
นั้น ได้แก่ การขาย มีไว้เพื่อขาย ให้เช่า เสนอให้เช่า ให้เช่าซื้อ เสนอให้เช่าซื้อ
- 6. ประเภทของสิทธิบัตร รูปแบบหรือประเภทของสิทธิบัตรตาม พ.ร.บ. สิทธิบัตร
1.สิทธิบัตรการประดิษฐ์ หมายถึง การคิดค้นเกี่ยวกับ กลไก โครงสร้าง ส่วนประกอบ ของสิ่งของเครื่องใช้ เช่น กลไก
ของกล้องถ่ายรูป, กลไกของเครื่องยนต์, ยารักษาโรค เป็นต้น หรือการคิดค้นกรรมวิธีในการผลิตสิ่งของ เช่น วิธีการในการผลิตสินค้า,
วิธีการในการเก็บรักษาพืชผักผลไม้ไม่ให้เน่าเสียเร็วเกินไป เป็นต้น
2.สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ หมายถึง การออกแบบรูปร่าง ลวดลาย หรือสีสัน ที่มองเห็นได้จากภายนอก เช่น
การออกแบบแก้วน้าให้มีรูปร่างเหมือนรองเท้า เป็นต้น
3.อนุสิทธิบัตร (Petty patent) เป็นการให้ความคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์คิดค้น เช่นเดียวกับสิทธิบัตรการประดิษฐ์
แต่แตกต่างกันตรงที่การประดิษฐ์ที่จะขอรับอนุสิทธิบัตร เป็นการประดิษฐ์ที่มีเป็นการปรับปรุงเพียงเล็กน้อย และมีประโยชน์ใช้สอย
มากขึ้น
- 7. เงื่อนไขในการขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ /อนุสิทธิบัตร
การประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตรได้กฎหมายกาหนดว่า จะต้องมีคุณสมบัติครบทั้ง3 อย่าง ดังต่อไปนี้
1.เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ คือ ยังไม่เคยมีจาหน่ายหรือขายมาก่อน หรือยังไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดของสิ่งประดิษฐ์ในเอกสาร
สิ่งพิมพ์ใดๆ ในทีวี หรือในวิทยุ มาก่อน
2.มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้นคือ ไม่เป็นสิ่งการประดิษฐ์ที่สามารถทาได้ง่าย โดยผู้มีความรู้ในระดับธรรมดาหรืออาจพูดได้ว่า มี
การแก้ไขปัญหาทางเทคนิคของสิ่งประดิษฐ์ที่มีมาก่อน และ
3.สามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการผลิตทางอุตสาหกรรม หัตถกรรม เกษตรกรรม และพาณิชยกรรมได้
การประดิษฐ์ที่ขอรับอนุสิทธิบัตรได้ กฎหมายกาหนดว่า จะต้องมีคุณสมบัติครบทั้ง 2 อย่าง ดังต่อไปนี้
1.เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ คือ ยังไม่เคยมีจาหน่ายหรือขายมาก่อน หรือยังไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดของสิ่งประดิษฐ์ในเอกสาร
สิ่งพิมพ์ใดๆ ในทีวี หรือวิทยุมาก่อน และ
2.สามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการผลิตทางอุตสาหกรรม หัตถกรรม เกษตรกรรม พาณิชยกรรมได้
- 8. การประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตรไม่ได้
1.จุลชีพและส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของจุลชีพที่มีอยู่ตามธรรมชาติ สัตว์พืช หรือสารสกัดจากสัตว์หรือพืช เช่น แบคทีเรียที่
มีอยู่ตามธรรมชาติ,พืชสมุนไพร,ยารักษาโรคที่สกัดจากสมุนไพรเป็นต้น
2.กฎเกณฑ์และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เช่น สูตรคูณ เป็นต้น
3.ระบบข้อมูลสาหรับการทางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
4.วิธีการวินิจฉัย บาบัด หรือรักษาโรคมนุษย์หรือสัตว์
5.การประดิษฐ์ ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี อนามัย หรือ สวัสดิภาพของประชาชน เช่น การคิดสูตรยาบ้า เป็นต้น
เงื่อนไขในการขอรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ขอรับสิทธิบัตรได้ กฎหมายกาหนดว่า จะต้องมี
คุณสมบัติครบทั้ง 2 อย่าง ดังต่อไปนี้
1.เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่เคยมีหรือขายมาก่อน หรือยังไม่เคยเปิดเผยในเอกสารสิ่งพิมพ์
ใดๆ ในทีวี หรือในวิทยุมาก่อน และ
2.สามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการผลิตทางอุตสาหกรรม หรือหัตถกรรมได้
- 9. เครื่องหมายการค้า หมายถึง เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์หรือตราที่ใช้กับสินค้าหรือบริการ ซึ่งเครื่องหมายที่ให้ความ
คุ้มครองตาม พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2543 มี
4 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. เครื่องหมายการค้า (Trade Mark) คือเครื่องหมายที่ใช้เป็นที่หมายเกี่ยวข้องกับสินค้าเพื่อแสดงว่าสินค้าที่ ใช้เครื่องหมายนั้น
แตกต่างกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นเช่น บรีส มาม่า กระทิงแดง เป็นต้น
2. เครื่องหมายบริการ (Service Mark) คือ เครื่องหมายที่ใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับบริการ เพื่อแสดงว่าบริการที่ใช้เครื่องหมาย
นั้นแตกต่างกับบริการที่ใช้เครื่องหมาย บริการของบุคคลอื่น เช่น เครื่องหมายของสายการบิน ธนาคาร โรงแรม เป็นต้น
3. เครื่องหมายรับรอง (CertificationMark) คือ เครื่องหมายที่เจ้าของเครื่องหมายรับรองใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับ สินค้าและ
บริการของบุคคลอื่น เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพของสินค้า หรือบริการนั้น เช่น เชลล์ชวนชิม แม่ช้อยนางรา ฮาลาล (Halal) เป็นต้น
4. เครื่องหมายร่วม (CollectiveMark) คือ เครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายบริการที่ใช้โดยบริษัทหรือวิสาหกิจในกลุ่ม เดียวกัน
หรือโดยสมาชิกของสมาคมกลุ่มบุคคล หรือองค์กรอื่นใดของรัฐหรือเอกชน เช่น ตราช้างของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จากัด เป็นต้น
- 10. ประเทศไทยกับการพัฒนากฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทยเริ่มวันที่ 15 ธันวาคม 2541 โดยคณะ กรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ
เรียก (กทสช) ได้ทาการศึกษาและยกร่างกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ 6 ฉบับ ได้แก่
1. กฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transactions Law)
เพื่อรับรองสถานะทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้เสมอด้วยกระดาษ อันเป็นการรองรับนิติสัมพันธ์ต่าง ๆ ซึ่งแต่เดิมอาจจะ
จัดทาขึ้นในรูปแบบของหนังสือให้เท่าเทียมกับนิติสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่จัดทาขึ้นให้อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ รวมตลอด
ทั้งการลงลายมือชื่อในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และการรับฟังพยานหลักฐานที่อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์Text Box: 6-2
- 11. 2. กฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signatures Law)
เพื่อรับรองการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วยกระบวนการใด ๆ ทางเทคโนโลยีให้เสมอด้วยการลงลายมือชื่อธรรมดา อันส่งผลต่อ
ความเชื่อมั่นมากขึ้นในการทาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และกาหนดให้มีการกากับดูแลการให้บริการ เกี่ยวกับลายมือชื่อ
อิเล็กทรอนิกส์ตลอดจนการให้ บริการอื่น ที่เกี่ยวข้องกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
3. กฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศให้ทั่วถึง และเท่าเทียมกัน(National Information
Infrastructure Law)
เพื่อก่อให้เกิดการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศอันได้แก่ โครงข่ายโทรคมนาคม
เทคโนโลยีสารสนเทศ สารสนเทศทรัพยากรมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศสาคัญอื่นๆ อันเป็นปัจจัยพื้นฐาน สาคัญในการ
พัฒนาสังคม และชุมชนโดยอาศัยกลไกของรัฐ ซึ่งรองรับเจตนารมณ์สาคัญประการหนึ่งของแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตาม
รัฐธรรมนูญ มาตรา 78 ในการกระจายสารสนเทศให้ทั่วถึง และเท่าเทียมกัน และนับเป็นกลไกสาคัญในการช่วยลดความเหลื่อมล้าของ
สังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีศักยภาพในการปกครองตนเองพัฒนาเศรษฐกิจภายในชุมชน และนาไปสู่สังคม
แห่งปัญญา และการเรียนรู้
- 12. 4. กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data ProtectionLaw)
เพื่อก่อให้เกิดการรับรองสิทธิและให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจถูกประมวลผล เปิดเผยหรือเผยแพร่ถึงบุคคลจานวนมากได้
ในระยะเวลาอันรวดเร็วโดยอาศัยพัฒนาการทางเทคโนโลยี จนอาจก่อให้เกิดการนาข้อมูลนั้นไปใช้ในทางมิชอบอันเป็นการละเมิดต่อ
เจ้าของข้อมูล ทั้งนี้ โดยคานึงถึงการรักษาดุลยภาพระหว่างสิทธิขั้นพื้นฐานในความเป็นส่วนตัวเสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร และความ
มั่นคงของรัฐ
5. กฎหมายเกี่ยวกับการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Law)
เพื่อกาหนดมาตรการทางอาญาในการลงโทษผู้กระทาผิดต่อระบบการทางานของคอมพิวเตอร์ ระบบข้อมูล และระบบเครือข่าย ทั้งนี้
เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองการอยู่ร่วมกันของสังคม
6. กฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (ElectronicFunds Transfer Law)
เพื่อกาหนดกลไกสาคัญทางกฎหมายในการรองรับระบบการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งที่เป็นการโอนเงินระหว่างสถาบันการเงิน
และระบบการชาระเงินรูปแบบใหม่ในรูปของเงินอิเล็กทรอนิกส์ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อระบบการทาธุรกรรมทางการเงิน และการทา
ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น
- 14. นายจิตติ ชุมเชียงลา เลขที่ 1
นายชัยวัฒน์ พลอยงาม เลขที่ 2
นายบุญวิเศษ แซ่ฮ้อ เลขที่ 3
นางสาวไอรินทร์ นิธิภัทร์พรปัญญา เลขที่ 14
นางสาวปณิดา ธนกิจ เลขที่ 15
นางสาวลาภิศ อุทาทิพย์ เลขที่ 18
นางสาวสุปราณี บุญมี เลขที่ 19