SlideShare a Scribd company logo
1 of 142
Download to read offline
1
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนย
三生三世枕上书
แต่งโดย ถังชีกงจื่อ (唐七公子)
แปลโดย หลินโหม่ว
2
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนย
โดย...ถังชีกงจื่อ
เล่ม 1
บทนา
เดือนสามยอดหญ ้าสูงงาม เดือนสี่กระจิบน้อยโผบิน เบื้องนอกถิ่นฐานทะเลบูรพา ณ ป่ า
ท ้อสิบหลี่มวลหมู่มาลีผลิบานพิลาสล้าซ ้อนสลับนับพันชั้น
ครั้นผ่านการครุ่นคิดไตร่ตรองอันเนิ่นนานอย่างพยายามเตะถ่วงยืดเวลาวันแล ้ววันเล่าของ
ประมุขทั้งสองเผ่า จวบจนจาเนียรกาลแห่งการร่วมหารืออย่างลาบากยากเข็ญล่วงเลยมาได ้สอง
ร ้อยยี่สิบสามปี ในที่สุดงานอภิเษกสมรสเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างเผ่าสวรรค์แห่งสวรรค์เก ้าชั้น
ฟ้าและเผ่าจิ้งจอกขาวเก ้าหางแห่งชิงชิว จึงค่อยกาหนดมั่นเหมาะได ้ในต ้นปีนี้
มีการเลือกเฟ้นฤกษ์มงคลอย่างพิถีพิถัน คือปลายฤดูวสันต์ซึ่งดอกท ้อบานสะพรั่งพอดิบ
พอดี
สองบ่าวสาวผู้เคราะห์ร ้ายถูกเตะถ่วงเลื่อนเวลาออกไปถึงสองร ้อยกว่าปีจึงค่อยสมรสกันได ้
อย่างราบรื่น ก็คือไท่จื่อแห่งสวรรค์เก ้าชั้นฟ้า เยี่ยหัวจวิน และองค์หญิงแห่งแคว ้นชิงชิว ป๋ าย
เฉี่ยนซ่างเสิน นั่นเอง
ทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนล ้วนแต่รอคอยพิธีอภิเษกสมรสครั้งนี้มาเนิ่นนาน เทพเซียนใหญ่
น้อยต่างคาดการณ์กันมาหลายเพลา ว่าในเมื่อเป็นวันมงคลสมรสของบ่าวสาวสองท่านนั้น ด ้วย
อุปนิสัยของเทียนจวินผู้เฒ่าบนสวรรค์ท่านนั้น ขบวนแห่จะต ้องจัดอย่างใหญ่โตมโหฬารเป็น
ที่สุด งานเลี้ยงเองก็ต ้องจัดอย่างใหญ่โตเอิกเกริกเป็นที่สุดแน่แท ้ เนื่องด ้วยนอกจากนี้แล ้ว เทพ
เซียนทุกคนต่างนึกไม่ออกว่าเทียนจวินผู้เฒ่ายังจะสามารถกระทาการอื่นใดเพื่อแสดงถึงอานาจ
บารมีแห่งประมุขเผ่าสวรรค์ของตนได ้อีก
3
ถึงกระนั้น ยามเมื่อขบวนแห่รับเจ ้าสาวอันเดินทางมาจากสวรรค์เบื้องบน เคลื่อนขบวน
เลี้ยวเข ้าสู่ชิงชิวอย่างเอิกเกริกอลังการ และเผยปรากฏขึ้นที่ริมทะเลสู่กาเนิด[1]บนบรรพตบึง
พิรุณ หมีกู่เซียนจวินที่กอดผ ้าขนหนูผืนหนึ่งยืนรอท่าอยู่บนฝั่งทะเลฟากตรงข ้ามยังคงเห็นว่า
บางทีเขาอาจจะประเมินเทียนจวินต่าเกินไปอยู่ดี
ขบวนแห่รับเจ ้าสาวขบวนนี้ ไม่เพียงใหญ่โตอลังการ...แต่อภิมหาใหญ่โตอลังการ
หมีกู่เซียนจวินคอยติดตามรับใช ้
อยู่ข ้างกายป๋ ายเฉี่ยนเสมอมา ถือเป็นผู้มีอาวุโสเปี่ยม
ประสบการณ์มิใช่น้อยในชิงชิว เป็นเซียนดินมาเนิ่นนาน ย่อมจะรอบรู้กว ้างขวางอยู่บ ้าง
กฎธรรมเนียมบนสวรรค์นั้น ไม่มีการให ้เจ ้าบ่าวมารับเจ ้าสาว ตามประเพณีที่กระทาสืบต่อ
กันมา จะให ้พี่ชายคนโตรับหน้าที่นี้แทน
หมีกู่ครุ่นคิดไตร่ตรองดู ม่อเยวียนถือเป็นพี่ชายของเยี่ยหัว เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เทพเคารพ
ของเผ่าปรากฏกายในขบวนแห่รับน้องสะใภ ้จึงนับว่าสมเหตุสมผลอยู่
ยามเทพเคารพเสด็จ จะต ้องมีเทพเซียนระดับสูง แต่ต ้องไม่สูงมากจนเกินไปคอยติดตาม
รับใช ้ เมื่อดูจากการนี้ การที่ดาวเทพลิขิตชะตาผู้หาเลี้ยงชีพด ้วยพู่กันและน้าหมึกคอยลิขิตชะตา
ชีวิตของมนุษย์โลก เทพเซียนใต ้สังกัดของมหาเทพอายุวัฒนะแห่งขั้วโลกใต ้จะเฝ้าติดตามมา
ตลอดทาง ก็นับว่าสมเหตุสมผลเช่นกัน
ส่วนผู้ที่อยู่ข ้างหน้าดาวเทพลิขิตชะตา เหลียนซ่งเสินจวิน โอรสคนที่สามผู้เป็นประดุจเทพ
มังกรเห็นหัวไม่เห็นหางอยู่ชั่วนาตาปีของเทียนจวิน เขาเป็นท่านอาสามของไท่จื่อเยี่ยหัว ถึงแม ้
ดูเหมือนงานนี้จะไม่มีกิจธุระของเขาก็จริง กระนั้นการที่เขาจะมาร่วมมุงดู ก็พอจะได ้อยู่ดอก
หมีกู่ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จนสามารถหาเหตุผลได ้ว่าเทพเซียนผู้ซึ่งปราณมงคลลอยตลบ
สามท่านนี้มาอยู่ในขบวนแห่ด ้วยเหตุผลอันใด
แต่ทว่าผู้ที่อยู่ข ้างกายของม่อเยวียน...มหาเทพตงหัวผู้ทรงอาภรณ์ม่วงเกศาขาวผู้นั้น...ซึ่ง
เล่าลือกันว่าปลีกตัวจากโลกหล ้ามาแสนกว่าปี หากไม่ถึงคราวจาเป็นที่สุดจะไม่ยุรยาตรออกจาก
สวรรค์เก ้าชั้นฟ้าโดยง่ายดาย และปรากฏกายแต่เพียงในภาพเขียนหรือในงานเลี้ยงที่ใหญ่โต
อลังการยิ่งบนสวรรค์เก ้าชั้นฟ้านานๆ ครั้งเท่านั้น เพื่อให ้เทพเซียนรุ่นหลังได ้น้อมระลึกถึง เหตุ
ไฉนจึงปรากฏกายในขบวนแห่รับเจ ้าสาวนี้ด ้วยเล่า?
หมีกู่เค ้นสมองคิดจนสุดปัญญา ก็ยังคิดไม่ออกว่าเป็นด ้วยสาเหตุใด
เนื่องจากคั่นกลางด ้วยทะเลสู่กาเนิดซึ่งเกลียวคลื่นสีมรกตซัดซ่า แม ้หมีกู่จะสายตาดี
เท่าไร ก็มิอาจมองเห็นชัดเจนมากไปกว่านี้
4
ขบวนแห่เป็นๆ เคลื่อนขบวนท่ามกลางปราณมงคลลอยตลบนับพันสายจนบรรลุถึงริมอ่าว
จันทร์เสี้ยว แล ้วกลับมิได ้มีทีท่าว่าจะข ้ามทะเลมาในทันที ทว่าหยุดยั้งลงที่ริมทะเล บรรดาเทพ
เซียนน้อยท ้ายขบวนเคลื่อนตามมาสมทบอย่างเป็นระเบียบ ตระเตรียมโต๊ะเก ้าอี้สาหรับนั่งจิบชา
และถ ้วยชากาน้าชา ให ้เทพเคารพทุกท่านได ้พักผ่อนสักครู่
ทะเลสู่กาเนิดสีฟ้าครามลมสงบแผ่วพัดผ่าน ดอกพิรุณกาลที่ขึ้นล ้อมครึ่งฟากฝั่งทะเล
ไขว่คว ้ากลิ่นอายสุดท ้ายแห่งปลายวสันต์ไว ้ได ้ค่อยๆ ผลิดอกตูมสีเขียวหม่นอย่างแช่มช ้า
เหลียนซ่งจวิน...องค์ชายสามแห่งสวรรค์เก ้าชั้นฟ้า ท่านอาสามของเจ ้าบ่าวกุมฝาถ ้วยชา
อย่างเบื่อหน่าย ขยับปัดไอร ้อนที่ลอยกรุ่นของน้าชา กล่าวลอยๆ กับดาวเทพลิขิตชะตาที่ยืนอยู่
ข ้างๆ อย่างชวนคุยว่า
“ก่อนจะออกเดินทางมา เปิ่นจวินได ้ยินว่า เดิมทีชิงชิวมีเจ ้าหญิงอยู่สองนาง นอกจากป๋ าย
เฉี่ยนที่กาลังจะแต่งกับเยี่ยหัวผู้นี้แล ้ว ดูเหมือนจะยังมีรุ่นเยาว์กว่าอีกหนึ่งนาง?”
ตัวเทพชะตานั้น แม ้ว่าศักดิ์ฐานะจะต่าต ้อยด ้อยกว่ามหาเทพตงหัวตั้งไม่รู้เท่าไร แต่ก็มีบุญ
ได ้รับขนานนามร่วมกับมหาเทพตงหัวว่าเป็นสองสารานุกรมเดินได ้แห่งสวรรค์เก ้าชั้นฟ้า เพียง
แต่...มหาเทพตงหัวคือสารานุกรมคัมภีร์พระธรรมเดินได ้ ส่วนเทพชะตาคือสารานุกรมเรื่องเล่า
นินทาเดินได ้ โดยขึ้นชื่อลือเลื่องในด ้านรอบรู้เรื่องราวลับเร ้นของบรรพบุรุษสามรุ่นของชาวบ ้าน
ชาวช่องที่มิได ้เกี่ยวข ้องกับตนอย่างกระจ่างแจ ้ง
สารานุกรมเรื่องเล่านินทาเดินได ้ต ้องทนอึดอัดกับบรรยากาศเคร่งขรึมของขบวนแห่
เจ ้าสาวยาวสิบหลี่ขบวนนี้มาตลอดช่วงเช ้า ยามนี้ ในที่สุดก็ได ้โอกาสเอ่ยปากเสียที แม ้ในใจจะ
อดใจรอไม่ไหวแล ้ว สีหน้าท่าทีก็ยังคงปั้นแต่งแสดงออกอย่างสุขุม ยกมือขึ้นประสานคารวะ ทา
ตามธรรมเนียมเต็มพิธีการ ค่อยกล่าวแช่มช ้
าว่า
“ที่ฝ่ าบาทสามกล่าวมาหาผิดไม่ ชิงชิวมีเจ ้าหญิงอยู่สองนางจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงรุ่น
เยาว์ผู้นั้น คือรุ่นหลานเพียงผู้เดียวของตระกูลป๋ าย กล่าวกันว่าคือเลือดผสมระหว่างจิ้งจอกขาว
และจิ้งจอกแดง คือจิ้งจอกแดงเก ้าหางเพียงตนเดียวในสี่ทะเลแปดดินแดน มีนามว่าองค์หญิง
เฟิ่งจิ่วพ่ะย่ะค่ะ เผ่าสวรรค์มีห ้าทิศาห ้ากษัตริย์ แคว ้นชิงชิวก็มีห ้าดินแดนห ้ากษัตริย์เช่นกัน เนื่อง
จากป๋ ายเฉี่ยนซ่างเสินจะแต่งเข ้าสู่เผ่าสวรรค์ในไม่ช ้าไม่นาน ตั้งแต่เมื่อสองร ้อยปีก่อน นางจึงได ้
มอบตาแหน่งกษัตรีย์ของนางที่ชิงชิวให ้ฝ่ าบาทเฟิ่งจิ่วสืบทอด ตอนที่สืบทอดตาแหน่ง องค์
หญิงน้อยท่านนั้นเพิ่งจะอายุเพียงสามหมื่นสองพันปีเท่านั้น และมหาเทพป๋ ายจื่อยังประสงค์จะ
ให ้นางสืบทอดแคว ้นชิงชิวอีกด ้วย อายุยังน้อยก็มีศักดิ์ตาแหน่งสูงส่งกุมอานาจยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
แต่...ก็น่าประหลาดอยู่บ ้างพ่ะย่ะค่ะ”
เทพธิดาน้อยเข ้ามารินเติมน้าชาให ้ เทพชะตาหยุดพูด ฉวยจังหวะช่วงที่ไอน้าชากรุ่นลอย
ขึ้น ทาทีคล ้ายกับเหลือบมองผ่านม่านไอร ้อนสลัวรางไปทางมหาเทพตงหัวซึ่งนั่งนิ่งเงียบใช ้ฝา
ถ ้วยชาปาดผิวน้าชาเบาๆ อยู่ด ้านข ้าง
เหลียนซ่งดูจะถูกกระตุ้นจนนึกสนใจยิ่ง นั่งเอนกายในเก ้าอี้หิน ยกมือขึ้นเชิญ ดวงตาทอ
ประกายยิ้มละไม
“เจ ้าพูดต่อเถิด”
5
เทพชะตาพยักหน้า นิ่งคิดอยู่ชั่วแล่น ค่อยกล่าวต่อว่า
“ความจริงเสี่ยวเซียนรู้จักฝ่ าบาทเฟิ่งจิ่วมานานแล ้วพ่ะย่ะค่ะ ยามนั้นฝ่ าบาทเฟิ่งจิ่วเพิ่งจะ
อายุเพียงสองหมื่นกว่าปี ติดตามอยู่ข ้างกายท่านมหาเทพป๋ ายจื่อ เนื่องจากเป็นหลานสาวเพียง
คนเดียว จึงได ้รับความรักใคร่เอ็นดูเป็นอย่างสูง นิสัยจึงพลอยบ่มเพาะจนร่าเริงซุกซน จับปลา
ชนไก่ไม่ต ้องเอ่ยถึง ทั้งยังชอบแกล ้งคนเล่นอีกด ้วย กระทั่งเสี่ยวเซียนเองก็เคยถูกแกล ้งมา ๒-๓
ครั้ง กระนั้น...” หยุดเว ้นจังหวะเล็กน้อย “เมื่อสองร ้อยปีก่อนฝ่ าบาทเฟิ่งจิ่วได ้ลงไปโลกมนุษย์
หนึ่งครั้ง ครั้งนั้นลงไปนานถึงหลายสิบปี หลังจากกลับมาไม่ทราบเพราะเหตุใด อุปนิสัยของนาง
สุขุมเยือกเย็นขึ้นมาก ฟังว่าวันที่กลับมาจากโลกมนุษย์ ฝ่ าบาทเฟิ่งจิ่วสวมชุดไว ้ทุกข์ทั้งชุด
ล่วงเลยมาสองร ้อยกว่าปี เห็นว่านางเองก็เติบใหญ่แล ้ว เนื่องจากเลี้ยงอบรมนางในฐานะรัช
ทายาท คาดว่าคงกังวลว่าจะไม่มีผู้คอยช่วยเหลือผลักดันอยู่เช่นกัน ร ้อยปีมานี้ท่านมหาเทพป๋ า
ยจื่อจึงทาการเลือกเฟ้นเขยขวัญให ้นางเป็นหลายคน แต่นางกลับ...”
เหลียนซ่งถามว่า “นางกลับอะไรรึ?”
เทพชะตาส่ายหน้า สายตาเหลือบมองไปทางมหาเทพตงหัวที่ด ้านข ้างเหมือนไม่ได ้ตั้งใจ
อีกครั้ง กล่าวด ้วยรอยยิ้มที่แผ่ไปไม่ถึงดวงตาว่า
“ก็ไม่มีอะไรดอกพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่นางยืนกรานว่านางแต่งงานแล ้ว แม ้สวามีจะสิ้นไปแล ้ว
กระนั้นนางก็ไม่อาจสมรสใหม่ได ้อีก ทั้งยังได ้ยินว่าสองร ้อยกว่าปีมานี้ นางไม่เคยปลดจานฮัว
ขาว[2]บนผมลงมาแม ้แต่วันเดียว และไม่เคยถอดชุดไว ้ทุกข์แม ้เพียงชั่วขณะเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
เหลียนซ่งเอามือเท ้าคางวางศอกบนที่เท ้าแขนเก ้าอี้หิน เอ่ยว่า
“ได ้ฟังเจ ้าพูดเช่นนี้ ข ้าก็นึกขึ้นได ้ว่าเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนดูเหมือนจะเกิดเรื่องหนึ่งขึ้น ฟัง
ว่าชางอี๋เสินจวิน[3]แห่งเขาจือเยว่ซานแต่งภรรยา ดูเหมือนจะเกี่ยวข ้องกับชิงชิวอยู่เล็กน้อย”
เทพชะตานิ่งขบคิด ทาท่าจะกล่าวตอบ ม่อเยวียนซ่างเสินซึ่งนั่งเงียบงันอยู่ด ้านข ้างมาได ้
พักใหญ่กลับเป็นฝ่ ายเอ่ยปากขึ้นเสียก่อน น้าเสียงราบเรียบเฉยชา
“ก็แค่...ป๋ ายจื่อให ้เฟิ่งจิ่วแต่งงานกับชาง...”
เทพชะตาช่วยกล่าวเตือนอยู่ข ้างๆ “ชางอี๋พ่ะย่ะค่ะ”
ม่อเยวียนกล่าวต่อ “แต่งงานกับชางอี๋ จับเฟิ่งจิ่วมัดเอาขึ้นเกี้ยว เฟิ่งจิ่วไม่ค่อยยินดีนัก คืน
นั้นจึงได ้รื้อทาลายตาหนักเทพบนเขาจือเยว่หลังนั้นเสียเท่านั้นเอง”
คา “เท่านั้นเอง” ของม่อเยวียนกล่าวอย่างราบเรียบไร ้ความสาคัญยิ่ง เทพชะตากลับฟัง
แล ้วอกสั่นขวัญแขวนยิ่ง เรื่องราวช่วงนี้ตัวเขายังไม่ทราบจริงแท ้ และเห็นว่าควรจะกล่าวต่อคา
หลังจากขบคิดร ้อยพันตลบ กลับหลุดออกมาได ้เพียงถ ้อยคาลากยาวว่า
“หาาา...”
เหลียนซ่งกุมพัดคลี่ยิ้ม ยืดกายนั่งตรงอย่างสารวม กล่าวกับม่อเยวียนว่า
“ท่านว่าเช่นนี้ก็ใช่แล ้วละ ข ้าจาได ้ว่าเคยมีใครสักคนบอกข ้าว่า ดูเหมือนปีนั้นท่านจะเป็ นผู ้
จัดพิธีสมรส เล่าลือกันว่าชางอี๋เสินจวินกลับมีใจชอบพออย่างจริงใจต่อภรรยาที่ยังมิได ้เข ้าพิธี
วิวาห์ ผู้ซึ่งจัดการรื้อทาลายตาหนักเทพอันสร ้างด ้วยมือมนุษย์ของเขาเป็นเสี่ยงๆ ผู้นี้ จนบัดนี้
6
ภายในตาหนักเทพที่สร ้างขึ้นใหม่ยังแขวนภาพเหมือนของเฟิ่งจิ่วไว ้หลายภาพเสียด ้วยซ้า เฝ้า
มองของคะนึงถึงคนอยู่ทุกวี่วัน”
ม่อเยวียนไม่ได ้เอ่ยอะไรอีก เทพชะตากลับถอนหายใจเบาๆ
“แต่ชอบหรือไม่ชอบเป็นเรื่องหนึ่ง รับมาได ้หรือไม่กลับเป็นอีกเรื่อง เสี่ยวเซียนยังได ้ยินมา
อีกด ้วยว่า ฉินจีแห่งเขาจงหู[4]มีใจต่อป๋ ายเจิน พี่สี่ของป๋ ายเฉี่ยนซ่างเสิน แต่...จะมีขวัญสักกี่
ดวงหาญกล ้าไปแย่งตัวเขากับเจ๋อเหยียนซ๋างเสินเล่า”
สายลมพลิ้วพัดผ่าน ดอกพิรุณกาลโยกไหวมิได ้หยุด เทพเคารพ ๒-๓ ท่านนี้กล่าวนินทา
ผู้อื่นลับหลังด ้วยสีหน้ากิริยาเคร่งขรึมสารวมจบความ ก็ต่างคนต่างกลับไปนั่งที่ ที่พักผ่อน
หลับตาก็พักผ่อนหลับตา ที่ดื่มน้าชาก็ดื่มน้าชา ที่ทัศนาทิวทัศน์ก็ทัศนาทิวทัศน์ บรรดาเทพ
เซียนน้อยซึ่งติดตามรับใช ้กลับสุดจะสามารถรักษาท่าทีสุขุมเยือกเย็นเอาไว ้ได ้ ได ้ฟังเรื่องลับถึง
เพียงนี้ แต่ละคนต่างตื่นเต ้นคึกคักจนหน้าแดงก่าไปถึงหู ทว่ามิกล ้าบุ่มบ่ามทาการใด ได ้แต่พา
กันส่งสายตาสื่อความในใจ ชั่วขณะนั้นริมทะเลสู่กาเนิดล ้วนปรากฏแต่สายตาเร่าร ้อนรัญจวน
ทั้งสิ้น
เทพเซียนน้อยผู้หนึ่งส่งน้าชาถ ้วยหนึ่งให ้เทพชะตาได ้ดื่มดับกระหายอย่างรู้ใจ ดาวเทพ
ลิขิตชะตาใช ้ฝาถ ้วยปาดใบชาอ่อนเล็กๆ สองใบบนผิวน้าชาออก สายตากวาดอ ้อมผ่านหลาย
โค ้งแล ้วเลี้ยวมายังมหาเทพตงหัวอีกครั้ง ขมวดคิ้วบางๆ ท่าทางครุ่นคิด
เหลียนซ่งหมุนถ ้วยชาพลางเอ่ยยิ้มๆ
“เทพชะตา วันนี้ตาเจ ้าเป็นตะคริวหรือ ไฉนเอาแต่มองไปที่ตงหัวเล่า?”
มหาเทพตงหัวซึ่งนั่งห่างออกไปประมาณสองจ ้างวางถ ้วยน้าชาลง เหลือบสายตาขึ้น
เล็กน้อย เทพชะตาวางหน้าไม่ถูก หัวเราะแก ้เกี้ยวสองคาทาท่าจะเอ่ยปากแถแก ้ตัว เสียง “ซ่า”
พลันดังขึ้น ทะเลเบื้องหน้าม ้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นยักษ์กะทันหัน
เกลียวคลื่นสูงสิบจ ้างได ้แยกตัวออก ภายใต ้แสงอรุณอันเจิดจ ้า เบื้องหน้าอ่าวจันทร์เสี้ยว
ได ้ปรากฏหญิงงามในชุดเสื้อกระโปรงสีขาวขึ้นหนึ่งนาง
บนท่อนแขนขาวผ่องของหญิงงามพันแพผมยาวสลวยดาขลับ บนเรือนผมประดับจานฮัว
ขาวดอกหนึ่ง ดูเหมือนเนื้อผ ้าจะป้องกันน้าได ้ ด ้วยบนกายนางไม่ปรากฏหยดน้าแปดเปื้อนแม ้
เพียงหยดเดียว ทั้งยังพลิ้วสะบัดไหวดั่งร่ายราตามแรงลมแห่งรุ่งอรุณ ทว่าเรือนผมดาขลับกลับ
เปียกชุ่ม ลูกผมบนหน้าผากเปียกลีบแนบสนิทบนแก ้มนวล ให ้ความรู้สึกเย็นเฉียบ กระนั้นดวงตา
กลับวาดโค ้งทอประกายอบอุ่น ทอดมองด ้วยสายตาคล ้ายจะยิ้มไปยังดาวเทพลิขิตชะตาผู ้ซึ่ง
เมื่อครู่ก่อนกล่าวถ ้อยคานินทาอย่างคึกคักยิ่ง
เทพชะตารีบร ้อนลนลานคว ้าถ ้วยน้าชาขึ้นมาบังใบหน้าไว ้ครึ่งซีก เหลียนซ่งส่งพัดในมือไป
ให ้อีกฝ่ าย “หน้าเจ ้าใหญ่เกินไป ถ ้วยชาบังไม่มิด ใช ้นี่ดีกว่า”
เทพชะตาทาหน้าอมทุกข์ ทาท่าจะคุกเข่าลง ฝืนฉีกยิ้มปั้นยากที่ดูทุกข์ทรมานแสนสาหัส
“ไม่ทราบว่าฝ่ าบาทเฟิ่งจิ่วว่ายน้าเล่นอยู่ที่นี่ เมื่อครู่นี้เสี่ยวเซียนบุ่มบ่ามล่วงเกิน ขอฝ่ าบาท
เห็นแก่ที่เสี่ยวเซียนกับฝ่ าบาทรู้จักกันมานาน โปรดอภัยด ้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อเยวียนมองดูเฟิ่งจิ่ว “เจ ้าซ่อนตัวอยู่ใต ้ทะเลสู่กาเนิด ทาอะไรรึ?”
7
เฟิ่งจิ่วในชุดเสื้อขาวกระโปรงขาวยืนอยู่เหนือผิวน้าสงบนิ่ง กล่าวด ้วยกิริยาสารวม
“ฝึกฝนร่างกาย”
ม่อเยวียนกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นที่เจ ้าขึ้นมาคิดจะทาอะไรงั้นรึ? เพื่อให ้เทพชะตาตกใจ
โดยเฉพาะ?”
เฟิ่งจิ่วนิ่งเว ้นจังหวะ แล ้วหันไปกล่าวกับเทพชะตาซึ่งคุกเข่าอยู่กับพื้นด ้วยสีหน้าทุกข์
ทรมาน
“เมื่อครู่นี้เจ ้าบอกว่า ฉินจีอะไรบนเขาจงหูนั่น ชอบเสี่ยวซู[5]ของข ้าจริงๆ หรือ?”
“......”
<>::<>::<>::<>::<>::<>
[1]???????
[2]???(zan hua) ดอกไม้ประดับผม
[3]??????
[4]??????
[5] เสี่ยวซู (??) อาผู้ชายคนเล็ก
8
ภาค 1
โพธิญาณสู่กาเนิด
บทที่ 1
หลังจากนั้นมามีอยู่วันหนึ่ง ยามเมื่อดอกโพธิญาณสู่กาเนิดในวังไท่เฉินกง[1]ผลิบานทั่ว
ทั้งเขตวัง และมวลดอกไม ้ที่ห ้อมล ้อมเป็นประดุจกลุ่มเมฆาปีนข ้ามรั้วกาแพง ตงหัวจึงนึกถึงครั้ง
แรกที่ได ้พบเฟิ่งจิ่ว
ยามนั้น เขาจานางไม่ใคร่ได ้ เทพเคารพผู้ปลีกตัวจากโลกอยู่ในวังไท่เฉินกงมานานนับ
หมื่นปี เรื่องที่สามารถทาให ้เขาสังเกตสนใจได ้บ ้างเล็กน้อย มีเพียงการดาเนินผิดกาลของฤดูทั้ง
สี่ สุริยันจันทราสลับงาน และด่านเคราะห์แห่งโชคชะตาเท่านั้น
แม ้จะถูกเทียนจวินเร่งรัดเชื้อเชิญให ้ออกจากวังไท่เฉินกงไปร่วมขบวนแห่รับเจ ้าสาวให ้แก่
ไท่จื่อเยี่ยหัว แต่ความจริงแล ้ว เขาหาได ้สนใจใดๆ ต่อเรื่องนี้มากนัก แน่นอนว่าเขาย่อมจะจา
ดรุณีผู้ลอยมาเหนือคลื่นริมทะเลสู่กาเนิด และเสียงอันใสเสนาะน่าฟังดั่งสายฝนพราแรกวสันต์
ของนางไม่ใคร่ได ้นักเช่นกัน และจาไม่ใคร่ได ้ว่าเจ ้าของเสียงใสเสนาะน่าฟังนั้นพยายามฝืนยิ้ม
เต็มที่ ถามเทพชะตาว่า
“เมื่อครู่นี้เจ ้าบอกว่า ฉินจีอะไรบนเขาจงหูนั่น ชอบเสี่ยวซูของข ้าจริงๆ หรือ?”
ตงหัวจาเฟิ่งจิ่วได ้บ ้างจริงๆ เป็นครั้งแรก ก็ในงานเลี้ยงสมรสของเยี่ยหัว
งานอภิเษกสมรสของไท่จื่อแห่งเผ่าสวรรค์ ทั้งยังแต่งกับป๋ ายเฉี่ยนซ่างเสินผู้ซึ่งทั่วทั้งสี่
ทะเลแปดดินแดนต่างต ้องเรียกขานอย่างยกย่องว่า “กูกู” ย่อมต ้องเหนือกว่าผู้อื่นเป็นธรรมดา
เทพเซียนบนสวรรค์แบ่งเป็นเก ้าขั้น นอกจากคนของเผ่าสวรรค์แล ้ว ผู้ที่มีบุญได ้เข ้าร่วมในงาน
เลี้ยง มีเพียงเจินหวง เจินเหริน[2]สิบกว่าท่าน ตลอดจนหลิงเซียน 20-30 กว่าท่านที่อยู่ขั้นห ้า
ขึ้นไปเท่านั้น
ภายในตาหนักจื่อชิง แสงอัสดงส่องสว่าง งานเลี้ยงดาเนินมาได ้กว่าครึ่งแล ้ว
เทียนจวินรุ่นนี้นิยมวางมาด ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงประเภทใด หลังดื่มไปสามรอบ เป็นต ้อง
ยกข ้ออ ้างว่าทานฤทธิ์สุราไม่ไหวปลีกตัวออกจากงานเลี้ยงทุกครั้ง แม ้จะเป็นงานสมรสของ
หลานชายแท ้ๆ ก็มิได ้ละเว ้นกฎเก่าก่อนข ้อนี้
9
และเยี่ยหัวจวินในชุดเจ ้าบ่าวนั้นคออ่อนมาแต่ไหนแต่ไร ในวันนี้คอยิ่งอ่อนเป็นพิเศษ ยั่งร่า
ดื่มได ้เพียงไม่ถึงสามรอบ ก็ถูกเซียนน้อยประคองกลับวังสี่อู๋อย่างกินแรงเสียแล ้ว ถึงแม ้ตงหัว
มองเห็นว่า ไท่จื่อซึ่งดูเหมือนในอึดใจถัดไปก็จะเมามายสิ้นสติสมประดีผู้นี้ จังหวะฝีเท ้ายามก ้าว
ย่างกลับยังคงมีระเบียบดีอยู่มาก
ปู่ หลานสองท่านนั้นเพิ่งจะย่างเท ้าออกจากตาหนักจื่อชิงได ้เพียงไม่นาน เหล่าเจินหวงใน
งานก็ทยอยกันเสาะหาข ้ออ ้างเผ่นกลับไปทีละคนๆ แค่ครู่เดียว บรรยากาศสารวมในงานได ้ร่าเริง
ปล่อยกายขึ้นไม่น้อย ตงหัวหมุนคลึงจอกสุราที่ว่างเปล่าไปแล ้ว คิดจะออกจากงานเลี้ยงเช่นกัน
จะได ้ให ้บรรดาเทพเซียนน้อยเบื้องล่างซึ่งนั่งตัวตรงระแวดระวังได ้โล่งใจ เริงสาราญอย่างอิสระ
ขณะจะวางจอกลงขยับลุก เมื่อเหลือบสายตาขึ้นกลับเห็นตรงประตูตาหนักไม่ทราบปรากฏ
ดอกกุสุมา[3]หนึ่งกระถางตั้งแต่เมื่อไร เบื้องหลังช่อดอกไม ้สีเหลืองอ่อน มีดรุณีชุดขาวหลบ
ซ่อนอยู่ราไร กาลังก ้มศีรษะงอเอวทาท่าย่อง มือหนึ่งหิ้วชายกระโปรง อีกมือหิ้วกระถางดอกไม ้
เดินกระย่องกระแย่งเลียบชิดกาแพงต ้นเสา หมายมาดไม่กระตุ้นความสนใจของใครทั้งสิ้น ค่อยๆ
เขยิบไปทางโต๊ะของผู้มาส่งเจ ้าสาว 2-3 โต๊ะนั้นทีละนิดๆ
ตงหัวพิงเท ้าแขนเก ้าอี้ หาท่าที่สบายยิ่งขึ้น นั่งกลับลงไปบนเก ้าอี้ทองม่วงอีกครั้ง
นางราบนเวทีราจบไปหนึ่งเพลง ดรุณีชุดขาวเดินชยโน่นชนนี่ไปตลอดทาง ในที่สุดก็ขยับ
ไปถึงที่นั่งว่างของโต๊ะผู้มาส่งเจ ้าสาว ชะโงกศีรษะออกมามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ครั้น
เห็นแน่ชัดว่าไร ้ผู้สังเกต ก็รีบมุดออกมาจากด ้านหลังกระถางดอกกุสุมาอย่างเร็วรี่ ฉวยจังหวะใน
ระหว่างที่ทุกคนต่างมองไปยังเวทีเมฆและโห่ร ้องชมเชย นั่งลงอย่างสงบเยือกเย็นปรบมือร ้อง
ชมอย่างไม่รู้ไม่ชี้พลางงอขาไปเกี่ยวกระถางดอกกุสุมาที่ด ้านหลังล ้มลง เตะๆ เข ้าไปใต ้โต๊ะยาว
ซ่อนไม่มิด เตะๆ อีกครั้ง
ก็ยังซ่อนไม่มิดอยู่ดี เตะๆ อีกรอบ
ครั้งสุดท ้ายเตะแรงเกินไป ดอกกุสุมาที่เคราะห์ร ้ายพร ้อมด ้วยกระถาง พุ่งเฉียดขาโต๊ะบิน
หวือตรงดิ่งออกไป ตรงเข ้าใส่ศีรษะของตงหัวผู้ซึ่งเปลี่ยนใจชั่ววูบไม่ทันได ้ลุกออกจากงาน
เหล่าเทพเซียนต่างร ้องโพล่งอุทานอย่างตกใจ กระถางดอกไม ้หยุดลงตรงตาแหน่งห่าง
จากหน้าผากของตงหัวสามชุ่น
ตงหัวเอามือเท ้าคางยื่นมือออกไปข ้างหนึ่ง กุมกระถางดอกไม ้ที่กลางอากาศไว ้ เหลือบ
สายตาลงมอง “ผู้ก่อเรื่อง”
สายตาของเทพเซียนทุกคนพลอยแห่กันเบนไปจ ้องมองตามตงหัว
“ผู้ก่อเรื่อง” ตกตะลึงไปชั่ววูบ แล ้วหันหน้าไปอีกทางอย่างว่องไว เอ่ยถามเทพเซียนชาย
ในชุดสีน้าตาลที่ข ้างกายด ้วยน้าเสียงจริงใจหากมิพร่องความเข ้มงวดว่า
“หมีกู่ ไยเจ ้าจึงซุกซนเช่นนี้ ไปซี้ซั้วเตะกระถางดอกไม ้ใส่หน้าผากคนอื่นเขาได ้อย่างไร?”
10
หลังงานเลี้ยง เซียนผู้คอยติดตามรับใช ้
ข ้างกายของตงหัวบอกเขาว่า ดรุณีชุดขาวผู้ประดับ
จานฮัวขาวบนศีรษะนางนี้มีนามว่า “เฟิ่งจิ่ว” คือองค์หญิงผู้สืบทอดตาแหน่งกษัตรีย์ทั้งที่อายุยัง
เยาว์ของชิงชิวท่านนั้นเอง
งานสมรสของเยี่ยหัวคึกคักครึกครื้นรวมเบ็ดเสร็จเจ็ดทิวา
เจ็ดทิวาให ้หลัง ก็เป็นการเปิดงานมหาพิธีพันบุปผชาติที่หกสิบปีจะจัดสักครั้งซึ่งเหลียนซ่ง
จวินลงมือดาเนินการจัดงานด ้วยตัวเอง ด ้วยเหตุนี้ เทพเซียนซึ่งเดิมทีได ้รับเชิญขึ้นสู่สวรรค์ชั้น
ฟ้าเพื่อร่วมในงานเลี้ยงวิวาห์จึงพากันรั้งอยู่ชั่วคราวเสียเลยโดยมิได ้จรลา
ชั่วขณะนั้นสวรรค์เก ้าชั้นฟ้าอันได ้ชื่อว่าสะอาดบริสุทธิ์สูงส่งศักดิ์สิทธิ์แทบมิเหลือพื้นที่
สะอาดบริสุทธิ์สงบเงียบสักกี่ที่ สระโบกขรณีแห่งสวรรค์ชั้นสิบสามนับเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ใน
บรรดาไม่กี่สถานที่ที่หลงเหลือนี้ คาดว่าคงเป็นเพราะสระแห่งนี้สร ้างอยู่ริมตาหนักบรรทมของตง
หัว...วังไท่เฉินกง ไม่มีเทพเซียนสักกี่คนหาญกล ้าเข ้าไปรบกวน
ในคากล่าวที่ว่า “ไม่มีเทพเซียนสักกี่คน” นี้ หานับรวมป๋ ายเฉี่ยนซ่างเสินซึ่งเพิ่งจะสมรสขึ้น
สู่แดนสวรรค์ไม่
สิบเจ็ดค่าเดือนสี่ ลมสวรรค์พัดรวยรื่น งานเลี้ยงดูตัวเล็กๆ สองงานที่ป๋ ายเฉี่ยนซ่างเสินจัด
ให ้แก่เฟิ่งจิ่วหลานสาว จัดขึ้นที่ริมสระโบกขรณีแห่งนี้นั่นเอง
ป๋ ายเฉี่ยนแต่งให ้กับเยี่ยหัวยามนางสูงวัยถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นปี และเข ้าใจเอาเองเสมอมาว่า
ตนสมรสได ้เหมาะสมแก่ช่วงอายุเป็นที่สุด จึงอดนามาตรฐานของตัวเองไปวัดผู้อื่นอยู่เนืองๆ
ไม่ได ้ เมื่อเทียบกันแล ้ว ก็เห็นว่าเฟิ่งจิ่วที่อายุเพียงสามหมื่นกว่าปีนั้นช่างละอ่อนนัก ไม่เหมาะจะ
เอ่ยถึงเรื่องตบแต่งอย่างยิ่ง แต่เพราะได ้รับการไหว ้วานจากท่านพ่อของเฟิ่งจิ่ว...ป๋ ายอี้พี่ชาย
ของนาง และไม่สะดวกใจจะบ่ายเบี่ยง จึงได ้แต่ฝืนต่อมโนธรรมจัดงานเลี้ยงดูตัวให ้แก่เฟิ่งจิ่ว
ไม่กี่วันมานี้บนสวรรค์คึกคักนัก ไม่ค่อยมีที่ทางซึ่งบรรยากาศเหมาะเจาะจะจัดงานเลี้ยงดู
ตัวเรียบๆ ฟังว่ามหาเทพตงหัวพานักอยู่วังไท่เฉินกงมาเนิ่นนาน ปกติยากนักจะออกจากประตูวัง
สักหน ต่อให ้ฆ่าคนวางเพลิงที่หน้าวังไท่เฉินกงก็ไม่มีใครหน้าไหนมาสนใจยุ่งเกี่ยว ป๋ ายเฉี่ยนขบ
คิดใคร่ครวญอยู่ครึ่งวัน ก็กาหนดให ้จัดงานเลี้ยงดูตัวที่ริมสระโบกขรณีข ้างๆ วังไท่เฉินกงอย่าง
ปลอดโปร่งสบายใจ
ทั้งยังมีผู้ดูตัวถึงสองราย ก่อนหลังรวมสองงาน
แต่วันนี้ทุกคนต่างคานวณผิดพลาด ตงหัวไม่เพียงออกจากวัง ทั้งยังออกมาในระยะ
ค่อนข ้างใกล ้อีกด ้วย อยู่ห่างจากตาแหน่งที่จัดงานเลี้ยงดูตัวห ้าสิบก ้าวนี่เอง ถูกม่านใบที่ห ้อย
ย ้อยของต ้นหลิวต ้นหนึ่งบดบัง ใต ้เท ้าวางเบ็ดตกปลาไผ่ม่วง[4] คัมภีร์เล่มหนึ่งกางปิดบนใบหน้า
นอนเอนหลังบนเก ้าอี้ไม ้ไผ่อย่างสบายอารมณ์ ตกปลาไปพลางหลับตาพักผ่อนไปพลาง
11
เฟิ่งจิ่วรับประทานอาหารเช ้าเสร็จ ดื่มน้าชายามเช ้า แล ้วเดินอิดออดตลอดทางมาจนถึง
สวรรค์ชั้นสิบสาม
บัวเผื่อนดอกแล ้วดอกเล่าลอยโผล่เหนือท ้องน้าสีมรกตของสระ กอปทุมเชื่อมต่อทอดยาว
ไปไกลไร ้ที่สิ้นสุด ดุจดั่งลอบปักลวดลายมวลอุบลบนปุยเมฆขาวสะอาด
ในงานเลี้ยง เสินจวินชุดเขียวผู้หนึ่งนั่งโบกพัดจีบอย่างสบายอารมณ์อยู่แล ้ว ครั้นเห็นเฟิ่ง
จิ่วทอดฝีเท ้าเดินเข ้ามา ก็หุบพัดจีบดังฟุ่บ โค ้งนัยน์ตาคลี่ยิ้ม
ความจริงเฟิ่งจิ่วไม่ใคร่รู้จักเสินจวินผู ้นี้นัก ทราบเพียงว่าเป็นนายน้อยของตระกูลรองสาย
ใดสักสายของเผ่าสวรรค์ บาเพ็ญตบะอยู่ที่ภูเขาเซียนใดสักลูกในโลกมนุษย์แห่งไหนสักแห่ง
อุปนิสัยเปิดเผยใจกว ้าง สุภาพอ่อนโยน หากจะบอกว่ามีข ้อบกพร่องใด ก็คือค่อนข ้างรักสะอาด
อยู่บ ้าง ทั้งยังทนเห็นใครไม่รู้มารยาท ไม่รักษาเวลาไม่ได ้ เพื่อการนี้ นางจงใจมาสายอย่างน้อย
หนึ่งชั่วยามครึ่ง[5]
งานเลี้ยงเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ มิได ้พิถีพิถันเกินจาเป็น หลังจากทั้งสองกล่าวทักทายกันแล ้ว
ก็นั่งลง
ตงหัวถูกเสียงกล่าวทักทายเบาๆ ไม่กี่คานั้นรบกวนความสงบ ยกมือหยิบคัมภีร์ที่กางปิด
บนใบหน้าขึ้น มองผ่านเงาร่องของดอกใบ เห็นห่างออกไปห ้าสิบก ้าว เฟิ่งจิ่วกาลังเอียงศีรษะ
น้อยๆ ขมวดคิ้วจ ้องมองถาดไม ้มะค่ารูปพัดตรงหน้า
ภายในถาดจัดวางแน่นขนัด มีกาสุราหยกตงหลิ่งหนึ่งใบและอาหารสีสันฉูดฉาด 2-3 จาน
นับตั้งแต่บนสวรรค์มีกฎระเบียบเรื่องงานเลี้ยงขนาดเล็ก ก็กาหนดมาแต่ไหนแต่ไรให ้หนึ่ง
คนต่อหนึ่งถาด จัดวางอาหารชุดเดียวกัน และจัดชนิดของสุราให ้แตกต่างกันไปตามระดับขั้น
ตาแหน่ง
เสินจวินชุดเขียวหุบพัดจีบแล ้วก็เอ่ยชวนคุยว่า
“ช่างบังเอิญนัก ในยุคบรรพกาลตระกูลของเสี่ยวเซียนควบคุมดูแลเรื่องตรากฎระเบียบ
ของเผ่าสวรรค์นี่เอง ก่อนนี้ได ้ฟังป๋ ายเฉี่ยนซ่างเสินเอ่ยถึงว่า ระดับความรู้ในเรื่องมารยาทธรรม
เนียมของฝ่ าบาทเฟิ่งจิ่วเองก็...”
ถ ้อยคา “สูงส่งถึงขีดสุด” ยังคงอยู่แค่ปลายลิ้นไม่ทันได ้ล่วงพ ้นออกมา เฟิ่งจิ่วที่นั่งอยู่ตรง
ข ้ามก็จัดแจงสวาปามขาหมูน้าแดงทั้งจานปานพายุหมุนสูบเมฆาจนเรียบวุธเสร็จสิ้น แล ้วใช ้
ตะเกียบไม ้ไผ่กวาดเศษน้าแดงหย่อมสุดท ้ายภายในจานพลางเรอออกมา เอ่ยถามว่า “ก็อะไร
หรือ?”
มุมปากยังมีเศษน้าแดงติดอยู่เล็กน้อย
เสินจวินชุดเขียวผู้มีมารยาทตกตะลึงมองหน้านาง
12
เฟิ่งจิ่วล ้วงกระจกใบเล็กออกมาจากในแขนเสื้อ เปิดกระจกพลางพึมพากับตัวเอง “บนหน้า
ข ้ามีอะไรติดอยู่หรือ?”
นางนิ่งไปเล็กน้อย “โอ๊ะ มีอะไรติดอยู่จริงๆ ด ้วย”
นางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดมุมปากทันทีอย่างไม่มีลังเล ไม่ถึงอึดใจ รอยน้ามันได ้ประทับอย่าง
เด่นชัดลงบนแขนเสื้อสีขาว
ใบหน้าของเสินจวินผู้ค่อนข ้างรักสะอาด...เริ่มปรากฏสีเขียวจางๆ
เฟิ่งจิ่วยกกระจกส่องอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากส่องเสร็จก็ซุกเก็บกระจกกลับเข ้าไปใน
แขนเสื้อหน้าตาเฉย อาจจะเพราะเดิมทีมือเปื้อนคราบมันอยู่เล็กน้อย จึงทิ้งรอยนิ้วเปื้อนน้ามัน
หลายรอยบนกรอบกระจกไม ้จันทน์ม่วง
ใบหน้าของเสินจวินชุดเขียว...เขียวเข ้มใกล ้ม่วงแล ้ว
น้าขาหมูสองหยดหยดจากตะเกียบลงบนโต๊ะหินในจังหวะนี้พอดี
เฟิ่งจิ่วกัดตะเกียบยื่นนิ้วไปใช ้เล็บไปขูด ขูดไม่สะอาด รูดแขนเสื้อขึ้นเช็ด สะอาดแล ้ว
มือที่ยื่นผ ้าเช็ดหน้าของเสินจวินชุดเขียวแข็งค ้างอยู่กลางอากาศ
สองคนมองหน้ากันอึดใจใหญ่ เสินจวินชุดเขียวที่ใบหน้าดาคล้ากล่าวเสียงแหบพร่า
“ฝ่ าบาทเชิญรับประทานตามสบาย เสี่ยวเซียนมีธุระสาคัญ ต ้องขอล่วงหน้าไปก่อน วัน
หน้าค่อยสนทนากับฝ่ าบาทอีกครั้ง” เพิ่งจะกล่าวจบคาก็รีบร ้อนจากไป...แทบจะเป็นเผ่นแนบ
ตงหัวเลื่อนคัมภีร์บนใบหน้าออก มองเห็นเฟิ่งจิ่วโบกตะเกียบกล่าวลาอย่างอาลัยอาวรณ์
ในดวงตาเปล่งประกายสดใสกลับไร ้วี่แววอาลัยอาวรณ์แม ้ส่วนเสี้ยว หนาซ้ายังแฝงแววหัวเราะ
น้าเสียงหวานหยดย ้อยแทบจะราวกับบีบคอเค ้นออกมา
“อย่างนั้นวันหน้าค่อยสนทนากัน อย่าปล่อยให ้คนเขารอนานเกินไปนะ...”
จวบจนเสินจวินชุดเขียวลับหายไปจากสายตา จึงค่อยอมยิ้ม นวยนาดหยิบผ ้าเช็ดหน้าสี
ขาวปักลายบุปผาฤดูฝนออกมา เช็ดมืออย่างใจเย็น แล ้วลูบจัดแขนเสื้อที่เมื่อครู่นี้ถูกับโต๊ะหินจน
กดเป็นรอยยับ
อาจเป็นเพราะสองร ้อยปีมานี้ได ้ประสบพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มามากมาย ยามฝ่ าบาท
เฟิ่งจิ่วแห่งชิงชิวอัปเปหิใคร จึงกล่าวได ้ว่าคล่องแคล่วลื่นไหลเชี่ยวชาญฉับไว เสินจวินผู้มาดูตัว
รายที่สองก็ขามากระตือรือร ้นคึกคัก ขากลับตาลีตาเหลือกเผ่นแนบกลับเช่นกัน หลงเหลือเพียง
ถ ้วยชามจอกสุราระเนระนาดบนโต๊ะหิน สาดสะท ้อนแสงอาทิตย์ เป็นประกายมันย่อง
เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม รับประทานขาหมูน้าแดงลงไปติดกันสองจานใหญ่ เฟิ่งจิ่วค่อนข ้าง
จุกอยู่บ ้าง กุมถ ้วยน้าชาหันหลังให ้สระโบกขรณี ชื่นชมความโอ่อ่าน่าเกรงขามของวังไท่เฉินกง
13
ไปพลางรอให ้อาหารย่อยไปพลาง ทางด ้านตงหัวมีปลาน้อยสองตัวมาติดเบ็ด คัมภีร์ในมือก็พลิก
อ่านไปจนถึงหน้าสุดท ้ายแล ้ว เหลือบสายตาขึ้นเห็นแสงแดดชักจะแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเก็บ
คัมภีร์ลุกขึ้นกลับวัง และเดินผ่านงานเลี้ยงริมสระโดยปริยาย
เฟิ่งจิ่วกาลังกุมถ ้วยชานั่งเหม่อเหมือนหญิงชรา ได ้ยินเสียงฝีเท ้าแผ่วเบาเนิบช ้าที่ด ้านหลัง
ก็นึกว่าผู้มาคือหมีกู่ที่ระยะนี้ทาตัวเป็นคุณแม่มากขึ้นทุกที จึงหยุดเหม่อชวนคุยว่า
“ไยจึงมาเร็วปานนี้เล่า เป็นห่วงว่าข ้าจะวางมวยกับพวกเขาหรือไร?” เขยิบไปด ้านข ้างเว ้น
ที่ให ้ “พักนี้รสนิยมของกูกูชักจะพิสดารมากขึ้นทุกที สองรายนี้ที่เลือกมาดูขี้โรคจะแย่ ข ้าน่ะทา
ใจใช ้หมัดอัดเขาสองคนไม่ลงด ้วยซ้า จึงแค่แสดงละครหลอกให ้ท่านเทพผู้บอบบางทั้งสองเผ่น
หนีไปเท่านั้น ทาเอาข ้าเหนื่อยไม่เบา” กุมถ ้วยชาหยุดเว ้นจังหวะ “เจ ้านั่งเป็นเพื่อนข ้าก่อนละ
ไม่ได ้ดูตะวันขึ้นและตกที่นี่มาตั้งนาน ออกจะคิดถึงอยู่เหมือนกัน”
ตงหัวชะงักเท ้า นั่งลงข ้างหลังนางตามคาเชิญ เลือกกาน้าชาหนึ่งในสองกาที่ยังไม่ถูกเก็บ
ไปบนโต๊ะหิน รินน้าชาเย็นชืดถ ้วยหนึ่งดับกระหาย
เฟิ่งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถูกบัวขาวครึ่งสระกระตุ้นอารมณ์สะท ้อนใจเล็กน้อย หมุนคลึง
ถ ้วยชากล่าวอย่างสะทกสะท ้อน “พวกเขาบอกว่า บัวขาวภายในสระโบกขรณีแห่งนี้ล ้วนจาแลง
มาจากหัวใจคนทั้งสิ้น ในบรรดาผู้คนที่พวกเรารู้จัก แม ้จะมีมนุษย์สามัญอยู่เพียงไม่กี่คน แต่นี่
แน่ะหมีกู่ เจ ้าว่าคนอย่างชิงถี[6]นั่น จะมีดอกบัวขาวของตัวเองหรือไม่?” ราวกับหยุดคิดชั่วแล่น
“หากว่ามีละก็ เจ ้าว่าจะเป็นดอกไหนหนอ?” แล ้วถอนหายใจราวกับคนแก่ “คนอย่างเขานั่นน่ะ”
คู่กับเสียงถอนหายใจนี้ ก็ดื่มน้าชาไปหนึ่งคา
ตงหัวก็ก ้มหน้าดื่มน้าชาไปหนึ่งคาเช่นกัน หมีกู่ผู ้นี้เขาพอจะจาได ้รางๆ ดูเหมือนจะเป็น
เซียนดินที่คอยติดตามรับใช ้ข ้างกายเฟิ่งจิ่ว ดูท่าทางนางจะจาผิดคนเสียแล ้ว ส่วน “ชิงถี” คือ
ใคร กลับไม่เคยได ้ยินมาก่อน
เงาไม ้ทอดลงมา สองขาของเฟิ่งจิ่ววางอยู่บนตลิ่ง กล่าวเสียงอู้อี้
“เมื่อครึ่งเดือนก่อน ซูม่อเยี่ยแห่งทะเลประจิมเชิญเสี่ยวซูไปดื่มเหล ้า ข ้าหน้าด ้านตามไป
ด ้วย ระหว่างที่ขี่เมฆเหาะผ่านโลกมนุษย์แห่งนั้นพอดี” หยุดไปอึดใจ ค่อยกล่าวต่อว่า “ที่แท ้
ราชวงศ์จิ้น[7]ล่มสลายไปนานแล ้ว ในปีที่เจ็ดหลังชิงถีตายจากไป” หยุดเว ้นจังหวะ แล ้วเสริมว่า
“ข ้านึกมานานแล ้วว่าอายุของราชวงศ์นี้ไม่มีทางยืนนานนัก” ทอดถอนอย่างสะท ้อนใจแล ้วหัน
กลับมาเติมน้าชา ปากยังบ่นอุบอิบว่า “จะว่าไปชาที่ซูม่อเยี่ยทาขึ้นใหม่นั่น ชื่ออะไรแล ้วนะ อ ้อ
ปี้ฝูชุน[8] ไม่เลวเลยจริงๆ ไว ้ประเดี๋ยวเจ ้าทาเข่งไม ้ไผ่สานให ้ข ้าสักใบ ครั้งหน้าตอนไปทะเล
ประจิมอีกครั้งข ้า...” เงยหน้าขึ้น ถ ้อยคาต่อจากนั้นถูกกลืนลงคอไปทั้งหมด กลืนเสียแรงนัก ทา
เอาสาลักกระอักกระไอจนฟ้าดินพลิกตลบ ไอเสร็จแล ้วยังคงนิ่งค ้างอยู่ในท่าจะรินเติมน้าชา พูด
อะไรไม่ออกไปอึดใจใหญ่
นิ้วมือเรียวยาวของตงหัววางอยู่บนฝาถ ้วยน้าชากระเบื้องเคลือบสีเขียวอ่อน ภายใต ้
แสงแดดสว่างเจิดจ ้า แม ้แต่ปลายเล็บยังเปล่งแสงอยู่เรืองๆ สายตาไร ้อารมณ์ใดๆ คล ้ายจะทอด
ลงจับยังแขนเสื้อเปื้อนน้าขาหมูเกือบจะทั่วของนาง แล ้วค่อยๆ ไล่ขึ้นไปช ้าๆ เห็นใบหน้าอมชมพู
ของนางยามนี้สาลักกระอักกระไอจนแดงก่า แทบจะเป็นสีเดียวกับต ้นใบไม ้แดงบนแดนสวรรค์สี่
ซ่าน[9]
อาจเป็นเพราะตั้งสติได ้ ใบหน้าของเฟิ่งจิ่วจึงค่อยๆ คลี่ยิ้ม แม ้จะดูฝืนธรรมชาติอยู่บ ้าง แต่
ก็เป็นรอยยิ้มอย่างแท ้จริง ก่อนจะเอ่ยปากอย่างห่างเหินเกรงใจ กล่าวถวายบังคมอย่างห่างเหิน
เกรงใจ
14
“ไม่ทราบว่าตี้จวินอยู่ที่นี่ เชือนแชยิ่งนัก เฟิ่งจิ่วแห่งชิงชิว น้อมพบตี้จวินเพคะ”
ตงหัวได ้ฟังถ ้อยคาถวายบังคมนี้ของนาง ก็เหลือบตาขึ้นพินิจมองนาง กล่าวสั้นๆ ว่า
“นั่ง”
ครั้นนางก ้มศีรษะเดินเข ้ามานั่งลงแล ้ว จึงค่อยใช ้ฝาถ ้วยชาปาดใบชาในถ ้วยที่ถืออยู่ กล่าว
เนิบช ้าว่า
“เจ ้าเห็นข ้าแล ้ว ตกใจมาก?”
เมื่อครู่นี้ตอนที่นางเดินเข ้ามานั่งยังนับได ้ว่ามีกิริยามารยาทเหมาะสม มาบัดนี้กลับเหมือน
ตกใจอย่างมากจริงๆ เงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจยิ่ง ขยับริมฝีปาก ยังคงเป็นรอยยิ้มห่างเหิน
เกรงใจเช่นเดิม
“ได ้เข ้าเฝ้าตี้จวินเป็นครั้งแรก ปลาบปลื้มเป็นที่สุด กลับทาให ้ตี้จวินต ้องขบขันแล ้ว”
ตงหัวพยักหน้า ถือว่ารับถ ้อยคานี้ของนาง ถึงแม ้ผู้มีสายตาคมกล ้าล ้วนมองออกว่า ใน
รอยยิ้มแข็งทื่อของนางมองหาวี่แวว “ปลาบปลื้มเป็นที่สุด” ได ้ยากเย็นยิ่งโดยแท ้ ตงหัวยกมือ
ขึ้นเติมน้าชาเย็นชืดให ้นาง
ทั้งสองนั่งกันอยู่เช่นนี้ มองหน้ากันโดยไร ้วาจา ช่างกระอักกระอ่วนจริงแท ้ ครู่หนึ่ง เฟิ่งจิ่ว
ดื่มน้าชาจนถึงก ้นถ ้วย ยื่นมือไปกุมหูกาน้าชา แสดงกิริยาจะรินเติมน้าชาให ้ตัวเองเช่นปกติ ตง
หัวเหลือบสายตาขึ้นมอง ได ้เห็นไม่ทราบเพราะอะไรถ ้วยชาจึงเอียงวูบเข ้พอดี น้าชาร ้อนที่เพิ่ง
จะรินเติมเต็มถ ้วยสาดลงใส่ตัวเสื้อสีขาวของนางอย่างจัง นาบประทับเป็นรอยใหญ่ประมาณเกี๊ยว
ทอดหนึ่งรอย
นิ้วของตงหัววางอยู่บนโต๊ะหิน สายตาจ ้องมองนางไม่กะพริบ
เดิมทีเขาเพียงแต่นึกสนุก เห็นนางนั่งอยู่ตรงนี้อย่างเอื่อยเฉื่อยสบายอารมณ์มองดูตะวัน
ขึ้นของสวรรค์ชั้นสิบสามอย่างออกรสออกชาติ จึงหลงนึกว่าตาแหน่งนี้จะทาให ้รู้สึกถึงทิวทัศน์ที่
แตกต่างออกไป ทั้งยังได ้ยินนางเชิญให ้เขานั่ง ด ้วยเหตุนี้จึงได ้นั่งลงเช่นนี้เอง มาบัดนี้กลับรู้สึก
สนุกขึ้นมาจริงๆ อย่างปุบปับ นึกในใจว่านางช่างเข ้าใจแสดงละครนัก บางทีอาจจะนึกว่าเขาก็มา
ดูตัวเช่นกันกระมัง แต่ติดขัดที่ศักดิ์ฐานะของเขา ไม่สามารถอัปเปหิไปง่ายๆ เช่นสองรายก่อน
หน้านี้ได ้ ดังนั้นจึงอวดฉลาดใช ้แผนทรมานสังขาร[10]เช่นนี้ออกมา ไม่เสียดายต่อการสาด
ตัวเองให ้เปียกหาข ้ออ ้างเผ่นหนี น้าชาที่สาดใส่บนตัวเสื้อของนางนั่นยังมีควันร ้อนลอยกรุ่นด ้วย
ซ้า เห็นได ้ชัดว่าร ้อนจัด นางช่างอุตส่าห์ยอมตัดใจทุ่มทุนอย่างสุดตัวแท ้ๆ
ชายหนุ่มเอามือเท ้าคาง ครุ่นคิดว่าก ้าวต่อไปนางตั้งใจจะเผ่นหนีใช่หรือไม่ ก็เห็นนาง
ทาท่าปัดรอยเปื้อนน้าบนตัวเสื้อรอยนั้นจริงๆ และปัดไม่ออกดังที่คาด จึงกล่าวคาขอตัวกับเขา
ด ้วยทีท่าออกจะลาบากใจ...พินอบพิเทา...อ่อนน้อมถ่อมตน...ห่างเหินเกรงใจแต่ยากจะปิดบัง
ความยินดีปรีดาว่า
“อุ๊ย มือเผลอลื่นไปนิด ชุดไม่เรียบร ้อยเสียแล ้ว โปรดอนุญาตให ้เฟิ่งจิ่วขอตัวไปก่อนนะเพ
คะ ไว ้วันหน้าค่อยมาขอคาชี้แนะหลักธรรมพุทธและเต๋าจากตี้จวินอีกครั้ง”
กลิ่นหอมเย็นของดอกบัวขาวระเรื่อยมาตามลม ชายหนุ่มเหลือบสายตาขึ้น ยื่นกากระเบื้อง
เคลือบใหญ่มหึมาไปให ้พูดเรียบเรื่อย
15
“น้าชาแค่แก ้วเดียวจะนับอะไรได ้ ใช ้อันนี้ เมื่อกี้ตอนผ่านมือข ้า ได ้ทาให ้น้าเย็นแล ้ว เทลง
ใส่ตัวอีกครั้ง ถึงจะถือได ้ว่า ‘ชุดไม่เรียบร ้อย’ จริงๆ”
“......”
มหาเทพตงหัวปลีกตัวจากโลกอยู่ที่วังไท่เฉินกงมาเนิ่นนานเกินไป เทพเซียนรุ่นเยาว์จึงไม่
มีโอกาสวาสนารับทราบลิ้นอันคมกริบของท่าน แต่บรรดาเทพเซียนรุ่นอาวุโสกลับแทบไม่มีคน
ใดหาญกล ้าลืมเลือน แม ้ตี้จวินจะพูดน้อยเสมอมา แต่วาจาที่กล่าวมีระดับความคมกริบแทบไม่
แตกต่างจากคมกระบี่ในมือท่าน
เล่าลือกันมาว่านายน้อยของเผ่ามารดื้อรั้นนัก ได ้ยินได ้ฟังวีรกรรมด ้านการศึกของตงหัว
จากคัมภีร์ประวัติศาสตร์ยุคบรรพกาล ในปีนั้นจึงบุกฝ่ าสวรรค์เก ้าชั้นฟ้าอย่างอาจหาญหมายมาด
จะท ้าดวลกับตงหัว ผลคือเพิ่งจะแฝงกายเข ้าไปในวังไท่เฉินกง ก็ถูกผู้ติดตามรับใช ้
ที่ดักซุ่มอยู่
ทั่วสี่ทิศแปดทางจับตัวได ้
เวลานั้นตงหัวกาลังเล่นหมากล ้อมกับตัวเองอยู่ที่สระบัวไม่ไกลออกไปนัก
หนุ่มน้อยเยาว์วัยเลือดร ้อน ถูกคุมตัวให ้หมอบอยู่กับพื้นยังคงแผดด่าเป็นการใหญ่ หมาย
ใช ้แผนกระตุ้นขุนพล[11]
ตงหัวเก็บกระดานหมากเดินผ่าน หนุ่มน้อยยิ่งแผดด่าหนักข ้อกว่าเดิม ตะคอกว่าได ้ยินว่า
เผ่าสวรรค์ขึ้นชื่อเรื่องถือคุณธรรมเสมอมา ไม่นึกว่าได ้มาเห็นในวันนี้กลับกระทาเช่นนี้ หากตงหัว
ยังคงมีคุณธรรมมโนธรรมอยู่บ ้างก็จงก ้าวออกมาดวลตัวต่อตัวกับเขาสักตั้ง มิใช่ปล่อยให ้บริวาร
ใช ้คนมากรังแกคนน้อย...
ตงหัวประคองกล่องหมากล ้อม เดินผ่านไปแล ้วถอยย ้อนกลับมาสองก ้าว เอ่ยถามหนุ่ม
น้อยบนพื้น
“เจ ้าพูดว่า คุณ...อะไรนะ?”
หนุ่มน้อยกัดฟัน “คุณธรรม!” แล ้วเน้นคาหนักๆ “ข ้าบอกว่า ‘คุณธรรม’!”
ตงหัวย่างเท ้าเดินต่อไปข ้างหน้า “มันอะไร ไม่เห็นจะเคยได ้ยิน”
หนุ่มน้อยจุกอกหายใจไม่ออก เป็นลมหมดสติคาที่
เฟิ่งจิ่วมานึกเหตุการณ์ตัวอย่างนี้ออกในสามวันให ้หลัง เวลานั้นนางกาลังนั่งอยู่ในตาหนัก
ชิ่งอวิ๋น มองดูว่ากูกูของนางอบรมสั่งสอนบุตรชายอย่างไร
ผู้ที่พานักในตาหนักชิ่งอวิ๋นคือแก ้วตาดวงใจของป๋ ายเฉี่ยนกับเยี่ยหัว...เทียนซุนน้อยอาหลี
ที่ผู้คนต่างเรียกขานกันว่าก ้อนแป้งข ้าวเหนียว
เทียนซุนน้อยในชุดสีเหลืองสดนั่งอยู่ตรงหน้าท่านแม่ของตนนี่เอง ได ้เห็นพวกผู้ใหญ่นั่ง
เก ้าอี้ต่างสามารถสองเท ้าแตะถึงพื้นอย่างมั่นคง ส่วนเขากลับได ้แต่ห ้อยเท ้าอยู่กลางอากาศ จึง
16
รวบรวมกาลังหมายจะยืดเท ้าให ้ถึงพื้น แต่เพราะตัวเล็กเกินไป เก ้าอี้ก็สูงเกินไป แยกเขี้ยว
พยายามอยู่เป็นนาน กระทั่งปลายเท ้าก็ยังแตะไม่ถึง จึงเลิกล ้มอย่างเจ็บใจ และก ้มศีรษะเล็กๆ
ในอาการคอตกอย่างท ้อแท ้ฟังท่านแม่ของตนเทศนา
ป๋ ายเฉี่ยนทาหน้าเคร่งขรึมจริงจัง กล่าวอย่างห่วงใยจริงใจ
“เหนียงชินได ้ยินว่าฟู่ จวินของเจ ้าอายุสิบกว่าขวบก็ท่อง???????????ได ้แล ้ว ทั้งยัง
ท่อง??????????กับ??????????????????ได ้ด ้วย แต่ไฉนจึงตามใจเจ ้าจนกลายเป็นอย่างนี้
อายุตั้งห ้าร ้อยกว่าขวบแล ้ว กระทั่ง??????ก็ยังท่องไม่ได ้ แน่นอน...ท่องไม่ได ้ก็มิใช่เรื่องใหญ่
อะไร แต่ยังไงเจ ้าก็ห ้ามทาให ้เหนียงชินกับฟู
่ จวินเสียหน้าสิ”
ก ้อนแป้งข ้าวเหนียวทาแก ้มป่องเถียงกลับอย่างมีเหตุผลยิ่ง
“อาหลีก็ไม่อยากเหมือนกันนะ แต่สติปัญญาของอาหลีสืบทอดจากเหนียงชินไม่ใช่ฟู่จวิน
นี่นา!”
เฟิ่งจิ่วพ่นน้าชาพรวดออกมา ป๋ ายเฉี่ยนหรี่ตามองหลานสาวอย่างแฝงนัย เฟิ่งจิ่วพยายาม
กลั้นหัวเราะอย่างยากเย็นพลางรีบโบกมืออธิบายเป็นพัลวัน
“ไม่ได ้มีความหมายอื่นดอก พักนี้ระบบย่อยอาหารไม่ค่อยดีน่ะ พวกท่านพูดกันต่อเถิด...
พูดกันต่อเถิด”
ครั้นป๋ ายเฉี่ยนเบนสายตามาคิดบัญชีกับก ้อนแป้งข ้าวเหนียว ไม่ทราบอย่างไร เฟิ่งจิ่วพลัน
นึกขึ้นได ้กะทันหันถึงเรื่องเล่าขานที่ตงหัวทาให ้นายน้อยเผามารโมโหจนเป็นลมไป หญิงสาว
ประคองถ ้วยชาดื่มน้าชาอีกหนึ่งคา ดวงตาทอประกายยิ้มละไมอย่างลืมตัว ก ้มหน้าลงดูชุดขาวที่
สวมอยู่ รอยยิ้มจางลง ยกมือขึ้นปัดเส ้นผมเส ้นหนึ่งที่ร่วงลงบนแขนเสื้อ
ความทุกข์ในชีวิตมีมากมายสุดคณานับเหมือนเส ้นผมบนศีรษะ หากไปเก็บมาใส่ใจเสียทุก
เรื่องก็มิใช่วิสัยของนาง หญิงสาวย ้อนคิดไปเรื่อยเปื่อยอย่างไร ้จุดหมาย นับดูแล ้วเวลาดุจวารี
ผ่านพ ้นมาได ้สองพันเจ็ดร ้อยปี ระหว่างนี้เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมากมายเกินไป หลายเรื่องจาได ้
หลายเรื่องที่เมื่อก่อนจาได ้ กลับไม่ค่อยยินยอมไปนึกถึง ไปๆ มาๆ เช่นนี้ เรื่องที่จาได ้ก็
เปลี่ยนเป็นจาไม่ได ้ไปโดยปริยาย สองร ้อยกว่าปีที่ปลีกตัวจากโลกอยู่ชิงชิวไม่อาจนับได ้ว่าเงียบ
สงบอะไร แต่ในช่วงเวลาสองร ้อยปีนี้กลับน้อยนักจะคิดถึงตงหัวอีก มาถึงสวรรค์เก ้าชั้นฟ้า กลับ
พบเจอกันบ่อยครั้ง ดูท่าทางตงหัวจะจานางไม่ได ้ นางรู้สึกอย่างจริงใจว่าเช่นนี้แหละดีแล ้ว นาง
กับตงหัว เป็นเช่นพุทธวจนะประโยคนั้น พูดไม่ได ้...พูดมากคือความผิด...กล่าวมากคือด่านกรรม
วันนี้เป็นวันสุดท ้ายของงานมหาพิธีพันบุปผชาติซึ่งเหลียนซ่งจวินลงมือดาเนินการจัดงาน
ด ้วยตัวเอง ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ก็คือวันที่พันบุปผาบานสะพรั่งแย่งชิงตาแหน่งราชินีบุปผากัน
อย่างถึงพริกถึงขิงที่สุดนั่นเอง เล่าลือกันว่าเหล่าพระพุทธเจ ้าโบราณแห่งสวรรค์ประจิมก็เร่ง
เดินทางนับพันหลี่มาร่วมในงานเลี้ยงนี้เช่นกัน พร ้อมนาพายอดมาลีพิสดารจากเขาคิชฌกูฏซึ่ง
ปกติยากยิ่งจะได ้ยลสักครั้งมาด ้วยจานวนหนึ่ง ระยะนี้สวรรค์เก ้าชั้นฟ้าจึงผู้คนล ้นหลาม เทพ
เซียนที่มียศมีขั้นล ้วนแต่แห่กันไปร่วมงาน
17
เฟิ่งจิ่วมิได ้กระตือรือร ้นสนใจพวกดอกไม ้ใบหญ ้าสักเท่าไรมาแต่ไหนแต่ไร ที่บังเอิญคือ
เพื่อเป็นการฉลองอวยพรการอภิเษกสมรสของไท่จื่อแห่งเผ่าสวรรค์ บรรพตเซียนแห่งใดสักแห่ง
ในพิภพเบื้องล่างได ้ถวายนักร ้องนางราที่แสดงงิ้วเป็นหลายนางขึ้นมาให ้เป็นการเฉพาะเมื่อไม่กี่
วันก่อน เวลานี้หมีกู่กาลังนานักร ้องนางราเหล่านี้ แสดงงิ้วฉากแม่ทัพ-หญิงงามที่แท่นแบกฟ้า
[12]แห่งสวรรค์ชั้นเจ็ดพอดี
เฟิ่งจิ่วถือเมล็ดแตงหนึ่งห่อ หิ้ว “ขวดถ่วงน้ามัน” หนึ่งขวด ก ้าวข ้ามประตูสวรรค์ชั้นเจ็ดไป
ดูงิ้ว
ขวดถ่วงน้ามันขาวผ่องอ่อนเยาว์ ก็คือเปี่ยวตี้เพียงผู้เดียวของนาง...ก ้อนแป้งข ้าวเหนียวอา
หลีนั่นเอง
ประตูสวรรค์ชั้นเจ็ดสูงลิบ ใต ้ร่มเงาเข ้มทึบพาดลงบัง มหาเทพตงหัวผู้โผล่หน้าแค่แวบ
เดียวในงานมหาพิธีพันบุปผชาติแล ้วจรลากาลังนั่งต ้มชาอ่านหนังสือเพียงลาพังที่เบื้องหน้าคัน
ฉ่องกาลพิสดาร[13]
คันฉ่องกาลพิสดารคือหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสวรรค์ชั้นเจ็ด เรียกขานว่า “คันฉ่อง”
แท ้จริงแล ้วคือน้าตกแห่งหนึ่ง สามพันมหาสหัสภพมีโลกมนุษย์พันกว่าล ้านใบ หากว่ามีพลังฤทธิ์
มากพอ จะสามารถมองเห็นการหมุนเวียนสับเปลี่ยนรุ่งเรืองและร่วงโรยของโลกมนุษย์โลกใด
โลกหนึ่งในพันกว่าล ้านโลกจากบนคันฉ่องได ้
เนื่องจากปราณทิพย์ของน้าตกเข ้มข ้นเกินไป เทพเซียนธรรมดาไม่มีสักกี่คนทนรับได ้ไหว
กระทั่งเจินหวงไม่กี่ท่านนั้นรั้งอยู่นานเข ้ายังต ้องเวียนศีรษะ ด ้วยเหตุนี้หลายปีมานี้ ผู้ซึ่งใช ้สถาน
ที่นี้เป็ นที่พักผ่อน อ่านหนังสือ ตกปลา จึงมีตงหัวเพียงคนเดียว
เฟิ่งจิ่วพาก ้อนแป้งข ้าวเหนียวเดินผ่านประตูสวรรค์ชั้นเจ็ด กาชับก ้อนแป้งว่า
“เข ้ามาชิดทางนี้หน่อย อย่าเข ้าไปใกล ้ด ้านคันฉ่องกาลพิสดารมากเกินไป ระวังจะถูก
ปราณทิพย์ลวกทาร ้ายเอา”
ก ้อนแป้งข ้าวเหนียวเขยิบเข ้ามาเล็กน้อยอย่างว่าง่ายพลางเตะก ้อนหินบ่นกระปอดกระแปด
อย่างโมโห
“ฟู่ จวินแย่ที่สุดเลย ข ้าจาได ้ชัดๆ ว่าเมื่อคืนนี้ข ้านอนที่ตาหนักฉางเซิงของเหนียงชิน เช ้านี้
ตื่นมากลับอยู่ที่ตาหนักชิ่งอวิ๋นของข ้า ฟู่ จวินโกหกข ้าว่า ข ้าละเมอเดิกลับไปเอง” แล ้วแบสองมือ
ทาท่าจนใจ “เขาคิดจะยึดครองเหนียงชินไว ้คนเดียวเลยฉวยโอกาสที่ข ้าหลับอุ้มข ้ากลับไปชัดๆ
ถึงกับโกหกกระทั่งลูกชายแท ้ๆ ของตัวเอง ช่างไม่เลือกวิธีการแท ้ๆ”
เฟิ่วจิ่วโยนห่อเมล็ดแตงในมือ “อย่างนั้นเมื่อเจ ้าตื่นแล ้วไม่ได ้แล่นไปที่ตาหนักฉางเซิงข่วน
ประตูร ้องไห ้โฮให ้พวกเขาดูในทันทีดอกหรือ? เจ ้าสะเพร่าเกินไปแล ้ว”
ก ้อนแป้งข ้าวเหนียวตกใจอย่างยิ่ง “ข ้าได ้ยินมาว่ามีแต่ผู้หญิงที่จะหนึ่งร ้องไห ้สอง
อาละวาดสามผูกคอตาย” ตะกุกตะกักว่า “ท...ที่แท ้เด็กผู้ชายก็ทาได ้ด ้วยหรือ?”
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf
สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf

More Related Content

What's hot

ศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบthnaporn999
 
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊สการคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊สThanyamon Chat.
 
แผ่นพับ "พระไชยสุริยา เจ้าพาราสาวัตถี"
แผ่นพับ "พระไชยสุริยา เจ้าพาราสาวัตถี"แผ่นพับ "พระไชยสุริยา เจ้าพาราสาวัตถี"
แผ่นพับ "พระไชยสุริยา เจ้าพาราสาวัตถี"Pawarit Phomma
 
ศาสนาเชน
ศาสนาเชนศาสนาเชน
ศาสนาเชนPadvee Academy
 
พระบรมราโชวาท
พระบรมราโชวาทพระบรมราโชวาท
พระบรมราโชวาทพัน พัน
 
บทอาขยาน ภาษาไทย ม.๓
บทอาขยาน ภาษาไทย ม.๓บทอาขยาน ภาษาไทย ม.๓
บทอาขยาน ภาษาไทย ม.๓kruthai40
 
สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1
สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1
สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1krubuatoom
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์sw110
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์Sirisak Promtip
 
นาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติ
นาโนเทคโนโลยีในธรรมชาตินาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติ
นาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติlamphoei
 
โคลงสุภาษิต พระราชนิพนธ์
โคลงสุภาษิต พระราชนิพนธ์โคลงสุภาษิต พระราชนิพนธ์
โคลงสุภาษิต พระราชนิพนธ์supaporn2516mw
 
2.2 อารยธรรมอินเดีย
2.2 อารยธรรมอินเดีย2.2 อารยธรรมอินเดีย
2.2 อารยธรรมอินเดียJitjaree Lertwilaiwittaya
 
พันธุกรรม ประถม
พันธุกรรม ประถมพันธุกรรม ประถม
พันธุกรรม ประถมTa Lattapol
 
คู่มือพระวิทยากร
คู่มือพระวิทยากรคู่มือพระวิทยากร
คู่มือพระวิทยากรniralai
 
ไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วงไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วงพัน พัน
 
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิแบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิSurapong Klamboot
 
สามัคคีเภทคำฉันท์ (อินทรวิเชียร)2
สามัคคีเภทคำฉันท์ (อินทรวิเชียร)2สามัคคีเภทคำฉันท์ (อินทรวิเชียร)2
สามัคคีเภทคำฉันท์ (อินทรวิเชียร)2B'Ben Rattanarat
 

What's hot (20)

ศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบ
 
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊สการคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
 
แผ่นพับ "พระไชยสุริยา เจ้าพาราสาวัตถี"
แผ่นพับ "พระไชยสุริยา เจ้าพาราสาวัตถี"แผ่นพับ "พระไชยสุริยา เจ้าพาราสาวัตถี"
แผ่นพับ "พระไชยสุริยา เจ้าพาราสาวัตถี"
 
ศาสนาเชน
ศาสนาเชนศาสนาเชน
ศาสนาเชน
 
พระบรมราโชวาท
พระบรมราโชวาทพระบรมราโชวาท
พระบรมราโชวาท
 
บทอาขยาน ภาษาไทย ม.๓
บทอาขยาน ภาษาไทย ม.๓บทอาขยาน ภาษาไทย ม.๓
บทอาขยาน ภาษาไทย ม.๓
 
ของเล่นทำให้เกิดเสียง
ของเล่นทำให้เกิดเสียงของเล่นทำให้เกิดเสียง
ของเล่นทำให้เกิดเสียง
 
สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1
สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1
สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์
 
นาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติ
นาโนเทคโนโลยีในธรรมชาตินาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติ
นาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติ
 
โคลงสุภาษิต พระราชนิพนธ์
โคลงสุภาษิต พระราชนิพนธ์โคลงสุภาษิต พระราชนิพนธ์
โคลงสุภาษิต พระราชนิพนธ์
 
แบบตั้งฉายาพระ.pdf
แบบตั้งฉายาพระ.pdfแบบตั้งฉายาพระ.pdf
แบบตั้งฉายาพระ.pdf
 
2.2 อารยธรรมอินเดีย
2.2 อารยธรรมอินเดีย2.2 อารยธรรมอินเดีย
2.2 อารยธรรมอินเดีย
 
พันธุกรรม ประถม
พันธุกรรม ประถมพันธุกรรม ประถม
พันธุกรรม ประถม
 
คู่มือพระวิทยากร
คู่มือพระวิทยากรคู่มือพระวิทยากร
คู่มือพระวิทยากร
 
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นเอก พ.ศ. ๒๕๔๔ - ๒๕๖๔.pdf
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นเอก  พ.ศ. ๒๕๔๔ - ๒๕๖๔.pdfประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นเอก  พ.ศ. ๒๕๔๔ - ๒๕๖๔.pdf
ประมวลปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นเอก พ.ศ. ๒๕๔๔ - ๒๕๖๔.pdf
 
ไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วงไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วง
 
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิแบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
แบบฝึกทักษะเรื่องคำสมาสสนธิ
 
สามัคคีเภทคำฉันท์ (อินทรวิเชียร)2
สามัคคีเภทคำฉันท์ (อินทรวิเชียร)2สามัคคีเภทคำฉันท์ (อินทรวิเชียร)2
สามัคคีเภทคำฉันท์ (อินทรวิเชียร)2
 

สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนยk1.pdf

  • 2. 2 สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนย โดย...ถังชีกงจื่อ เล่ม 1 บทนา เดือนสามยอดหญ ้าสูงงาม เดือนสี่กระจิบน้อยโผบิน เบื้องนอกถิ่นฐานทะเลบูรพา ณ ป่ า ท ้อสิบหลี่มวลหมู่มาลีผลิบานพิลาสล้าซ ้อนสลับนับพันชั้น ครั้นผ่านการครุ่นคิดไตร่ตรองอันเนิ่นนานอย่างพยายามเตะถ่วงยืดเวลาวันแล ้ววันเล่าของ ประมุขทั้งสองเผ่า จวบจนจาเนียรกาลแห่งการร่วมหารืออย่างลาบากยากเข็ญล่วงเลยมาได ้สอง ร ้อยยี่สิบสามปี ในที่สุดงานอภิเษกสมรสเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างเผ่าสวรรค์แห่งสวรรค์เก ้าชั้น ฟ้าและเผ่าจิ้งจอกขาวเก ้าหางแห่งชิงชิว จึงค่อยกาหนดมั่นเหมาะได ้ในต ้นปีนี้ มีการเลือกเฟ้นฤกษ์มงคลอย่างพิถีพิถัน คือปลายฤดูวสันต์ซึ่งดอกท ้อบานสะพรั่งพอดิบ พอดี สองบ่าวสาวผู้เคราะห์ร ้ายถูกเตะถ่วงเลื่อนเวลาออกไปถึงสองร ้อยกว่าปีจึงค่อยสมรสกันได ้ อย่างราบรื่น ก็คือไท่จื่อแห่งสวรรค์เก ้าชั้นฟ้า เยี่ยหัวจวิน และองค์หญิงแห่งแคว ้นชิงชิว ป๋ าย เฉี่ยนซ่างเสิน นั่นเอง ทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนล ้วนแต่รอคอยพิธีอภิเษกสมรสครั้งนี้มาเนิ่นนาน เทพเซียนใหญ่ น้อยต่างคาดการณ์กันมาหลายเพลา ว่าในเมื่อเป็นวันมงคลสมรสของบ่าวสาวสองท่านนั้น ด ้วย อุปนิสัยของเทียนจวินผู้เฒ่าบนสวรรค์ท่านนั้น ขบวนแห่จะต ้องจัดอย่างใหญ่โตมโหฬารเป็น ที่สุด งานเลี้ยงเองก็ต ้องจัดอย่างใหญ่โตเอิกเกริกเป็นที่สุดแน่แท ้ เนื่องด ้วยนอกจากนี้แล ้ว เทพ เซียนทุกคนต่างนึกไม่ออกว่าเทียนจวินผู้เฒ่ายังจะสามารถกระทาการอื่นใดเพื่อแสดงถึงอานาจ บารมีแห่งประมุขเผ่าสวรรค์ของตนได ้อีก
  • 3. 3 ถึงกระนั้น ยามเมื่อขบวนแห่รับเจ ้าสาวอันเดินทางมาจากสวรรค์เบื้องบน เคลื่อนขบวน เลี้ยวเข ้าสู่ชิงชิวอย่างเอิกเกริกอลังการ และเผยปรากฏขึ้นที่ริมทะเลสู่กาเนิด[1]บนบรรพตบึง พิรุณ หมีกู่เซียนจวินที่กอดผ ้าขนหนูผืนหนึ่งยืนรอท่าอยู่บนฝั่งทะเลฟากตรงข ้ามยังคงเห็นว่า บางทีเขาอาจจะประเมินเทียนจวินต่าเกินไปอยู่ดี ขบวนแห่รับเจ ้าสาวขบวนนี้ ไม่เพียงใหญ่โตอลังการ...แต่อภิมหาใหญ่โตอลังการ หมีกู่เซียนจวินคอยติดตามรับใช ้ อยู่ข ้างกายป๋ ายเฉี่ยนเสมอมา ถือเป็นผู้มีอาวุโสเปี่ยม ประสบการณ์มิใช่น้อยในชิงชิว เป็นเซียนดินมาเนิ่นนาน ย่อมจะรอบรู้กว ้างขวางอยู่บ ้าง กฎธรรมเนียมบนสวรรค์นั้น ไม่มีการให ้เจ ้าบ่าวมารับเจ ้าสาว ตามประเพณีที่กระทาสืบต่อ กันมา จะให ้พี่ชายคนโตรับหน้าที่นี้แทน หมีกู่ครุ่นคิดไตร่ตรองดู ม่อเยวียนถือเป็นพี่ชายของเยี่ยหัว เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เทพเคารพ ของเผ่าปรากฏกายในขบวนแห่รับน้องสะใภ ้จึงนับว่าสมเหตุสมผลอยู่ ยามเทพเคารพเสด็จ จะต ้องมีเทพเซียนระดับสูง แต่ต ้องไม่สูงมากจนเกินไปคอยติดตาม รับใช ้ เมื่อดูจากการนี้ การที่ดาวเทพลิขิตชะตาผู้หาเลี้ยงชีพด ้วยพู่กันและน้าหมึกคอยลิขิตชะตา ชีวิตของมนุษย์โลก เทพเซียนใต ้สังกัดของมหาเทพอายุวัฒนะแห่งขั้วโลกใต ้จะเฝ้าติดตามมา ตลอดทาง ก็นับว่าสมเหตุสมผลเช่นกัน ส่วนผู้ที่อยู่ข ้างหน้าดาวเทพลิขิตชะตา เหลียนซ่งเสินจวิน โอรสคนที่สามผู้เป็นประดุจเทพ มังกรเห็นหัวไม่เห็นหางอยู่ชั่วนาตาปีของเทียนจวิน เขาเป็นท่านอาสามของไท่จื่อเยี่ยหัว ถึงแม ้ ดูเหมือนงานนี้จะไม่มีกิจธุระของเขาก็จริง กระนั้นการที่เขาจะมาร่วมมุงดู ก็พอจะได ้อยู่ดอก หมีกู่ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จนสามารถหาเหตุผลได ้ว่าเทพเซียนผู้ซึ่งปราณมงคลลอยตลบ สามท่านนี้มาอยู่ในขบวนแห่ด ้วยเหตุผลอันใด แต่ทว่าผู้ที่อยู่ข ้างกายของม่อเยวียน...มหาเทพตงหัวผู้ทรงอาภรณ์ม่วงเกศาขาวผู้นั้น...ซึ่ง เล่าลือกันว่าปลีกตัวจากโลกหล ้ามาแสนกว่าปี หากไม่ถึงคราวจาเป็นที่สุดจะไม่ยุรยาตรออกจาก สวรรค์เก ้าชั้นฟ้าโดยง่ายดาย และปรากฏกายแต่เพียงในภาพเขียนหรือในงานเลี้ยงที่ใหญ่โต อลังการยิ่งบนสวรรค์เก ้าชั้นฟ้านานๆ ครั้งเท่านั้น เพื่อให ้เทพเซียนรุ่นหลังได ้น้อมระลึกถึง เหตุ ไฉนจึงปรากฏกายในขบวนแห่รับเจ ้าสาวนี้ด ้วยเล่า? หมีกู่เค ้นสมองคิดจนสุดปัญญา ก็ยังคิดไม่ออกว่าเป็นด ้วยสาเหตุใด เนื่องจากคั่นกลางด ้วยทะเลสู่กาเนิดซึ่งเกลียวคลื่นสีมรกตซัดซ่า แม ้หมีกู่จะสายตาดี เท่าไร ก็มิอาจมองเห็นชัดเจนมากไปกว่านี้
  • 4. 4 ขบวนแห่เป็นๆ เคลื่อนขบวนท่ามกลางปราณมงคลลอยตลบนับพันสายจนบรรลุถึงริมอ่าว จันทร์เสี้ยว แล ้วกลับมิได ้มีทีท่าว่าจะข ้ามทะเลมาในทันที ทว่าหยุดยั้งลงที่ริมทะเล บรรดาเทพ เซียนน้อยท ้ายขบวนเคลื่อนตามมาสมทบอย่างเป็นระเบียบ ตระเตรียมโต๊ะเก ้าอี้สาหรับนั่งจิบชา และถ ้วยชากาน้าชา ให ้เทพเคารพทุกท่านได ้พักผ่อนสักครู่ ทะเลสู่กาเนิดสีฟ้าครามลมสงบแผ่วพัดผ่าน ดอกพิรุณกาลที่ขึ้นล ้อมครึ่งฟากฝั่งทะเล ไขว่คว ้ากลิ่นอายสุดท ้ายแห่งปลายวสันต์ไว ้ได ้ค่อยๆ ผลิดอกตูมสีเขียวหม่นอย่างแช่มช ้า เหลียนซ่งจวิน...องค์ชายสามแห่งสวรรค์เก ้าชั้นฟ้า ท่านอาสามของเจ ้าบ่าวกุมฝาถ ้วยชา อย่างเบื่อหน่าย ขยับปัดไอร ้อนที่ลอยกรุ่นของน้าชา กล่าวลอยๆ กับดาวเทพลิขิตชะตาที่ยืนอยู่ ข ้างๆ อย่างชวนคุยว่า “ก่อนจะออกเดินทางมา เปิ่นจวินได ้ยินว่า เดิมทีชิงชิวมีเจ ้าหญิงอยู่สองนาง นอกจากป๋ าย เฉี่ยนที่กาลังจะแต่งกับเยี่ยหัวผู้นี้แล ้ว ดูเหมือนจะยังมีรุ่นเยาว์กว่าอีกหนึ่งนาง?” ตัวเทพชะตานั้น แม ้ว่าศักดิ์ฐานะจะต่าต ้อยด ้อยกว่ามหาเทพตงหัวตั้งไม่รู้เท่าไร แต่ก็มีบุญ ได ้รับขนานนามร่วมกับมหาเทพตงหัวว่าเป็นสองสารานุกรมเดินได ้แห่งสวรรค์เก ้าชั้นฟ้า เพียง แต่...มหาเทพตงหัวคือสารานุกรมคัมภีร์พระธรรมเดินได ้ ส่วนเทพชะตาคือสารานุกรมเรื่องเล่า นินทาเดินได ้ โดยขึ้นชื่อลือเลื่องในด ้านรอบรู้เรื่องราวลับเร ้นของบรรพบุรุษสามรุ่นของชาวบ ้าน ชาวช่องที่มิได ้เกี่ยวข ้องกับตนอย่างกระจ่างแจ ้ง สารานุกรมเรื่องเล่านินทาเดินได ้ต ้องทนอึดอัดกับบรรยากาศเคร่งขรึมของขบวนแห่ เจ ้าสาวยาวสิบหลี่ขบวนนี้มาตลอดช่วงเช ้า ยามนี้ ในที่สุดก็ได ้โอกาสเอ่ยปากเสียที แม ้ในใจจะ อดใจรอไม่ไหวแล ้ว สีหน้าท่าทีก็ยังคงปั้นแต่งแสดงออกอย่างสุขุม ยกมือขึ้นประสานคารวะ ทา ตามธรรมเนียมเต็มพิธีการ ค่อยกล่าวแช่มช ้ าว่า “ที่ฝ่ าบาทสามกล่าวมาหาผิดไม่ ชิงชิวมีเจ ้าหญิงอยู่สองนางจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงรุ่น เยาว์ผู้นั้น คือรุ่นหลานเพียงผู้เดียวของตระกูลป๋ าย กล่าวกันว่าคือเลือดผสมระหว่างจิ้งจอกขาว และจิ้งจอกแดง คือจิ้งจอกแดงเก ้าหางเพียงตนเดียวในสี่ทะเลแปดดินแดน มีนามว่าองค์หญิง เฟิ่งจิ่วพ่ะย่ะค่ะ เผ่าสวรรค์มีห ้าทิศาห ้ากษัตริย์ แคว ้นชิงชิวก็มีห ้าดินแดนห ้ากษัตริย์เช่นกัน เนื่อง จากป๋ ายเฉี่ยนซ่างเสินจะแต่งเข ้าสู่เผ่าสวรรค์ในไม่ช ้าไม่นาน ตั้งแต่เมื่อสองร ้อยปีก่อน นางจึงได ้ มอบตาแหน่งกษัตรีย์ของนางที่ชิงชิวให ้ฝ่ าบาทเฟิ่งจิ่วสืบทอด ตอนที่สืบทอดตาแหน่ง องค์ หญิงน้อยท่านนั้นเพิ่งจะอายุเพียงสามหมื่นสองพันปีเท่านั้น และมหาเทพป๋ ายจื่อยังประสงค์จะ ให ้นางสืบทอดแคว ้นชิงชิวอีกด ้วย อายุยังน้อยก็มีศักดิ์ตาแหน่งสูงส่งกุมอานาจยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่...ก็น่าประหลาดอยู่บ ้างพ่ะย่ะค่ะ” เทพธิดาน้อยเข ้ามารินเติมน้าชาให ้ เทพชะตาหยุดพูด ฉวยจังหวะช่วงที่ไอน้าชากรุ่นลอย ขึ้น ทาทีคล ้ายกับเหลือบมองผ่านม่านไอร ้อนสลัวรางไปทางมหาเทพตงหัวซึ่งนั่งนิ่งเงียบใช ้ฝา ถ ้วยชาปาดผิวน้าชาเบาๆ อยู่ด ้านข ้าง เหลียนซ่งดูจะถูกกระตุ้นจนนึกสนใจยิ่ง นั่งเอนกายในเก ้าอี้หิน ยกมือขึ้นเชิญ ดวงตาทอ ประกายยิ้มละไม “เจ ้าพูดต่อเถิด”
  • 5. 5 เทพชะตาพยักหน้า นิ่งคิดอยู่ชั่วแล่น ค่อยกล่าวต่อว่า “ความจริงเสี่ยวเซียนรู้จักฝ่ าบาทเฟิ่งจิ่วมานานแล ้วพ่ะย่ะค่ะ ยามนั้นฝ่ าบาทเฟิ่งจิ่วเพิ่งจะ อายุเพียงสองหมื่นกว่าปี ติดตามอยู่ข ้างกายท่านมหาเทพป๋ ายจื่อ เนื่องจากเป็นหลานสาวเพียง คนเดียว จึงได ้รับความรักใคร่เอ็นดูเป็นอย่างสูง นิสัยจึงพลอยบ่มเพาะจนร่าเริงซุกซน จับปลา ชนไก่ไม่ต ้องเอ่ยถึง ทั้งยังชอบแกล ้งคนเล่นอีกด ้วย กระทั่งเสี่ยวเซียนเองก็เคยถูกแกล ้งมา ๒-๓ ครั้ง กระนั้น...” หยุดเว ้นจังหวะเล็กน้อย “เมื่อสองร ้อยปีก่อนฝ่ าบาทเฟิ่งจิ่วได ้ลงไปโลกมนุษย์ หนึ่งครั้ง ครั้งนั้นลงไปนานถึงหลายสิบปี หลังจากกลับมาไม่ทราบเพราะเหตุใด อุปนิสัยของนาง สุขุมเยือกเย็นขึ้นมาก ฟังว่าวันที่กลับมาจากโลกมนุษย์ ฝ่ าบาทเฟิ่งจิ่วสวมชุดไว ้ทุกข์ทั้งชุด ล่วงเลยมาสองร ้อยกว่าปี เห็นว่านางเองก็เติบใหญ่แล ้ว เนื่องจากเลี้ยงอบรมนางในฐานะรัช ทายาท คาดว่าคงกังวลว่าจะไม่มีผู้คอยช่วยเหลือผลักดันอยู่เช่นกัน ร ้อยปีมานี้ท่านมหาเทพป๋ า ยจื่อจึงทาการเลือกเฟ้นเขยขวัญให ้นางเป็นหลายคน แต่นางกลับ...” เหลียนซ่งถามว่า “นางกลับอะไรรึ?” เทพชะตาส่ายหน้า สายตาเหลือบมองไปทางมหาเทพตงหัวที่ด ้านข ้างเหมือนไม่ได ้ตั้งใจ อีกครั้ง กล่าวด ้วยรอยยิ้มที่แผ่ไปไม่ถึงดวงตาว่า “ก็ไม่มีอะไรดอกพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่นางยืนกรานว่านางแต่งงานแล ้ว แม ้สวามีจะสิ้นไปแล ้ว กระนั้นนางก็ไม่อาจสมรสใหม่ได ้อีก ทั้งยังได ้ยินว่าสองร ้อยกว่าปีมานี้ นางไม่เคยปลดจานฮัว ขาว[2]บนผมลงมาแม ้แต่วันเดียว และไม่เคยถอดชุดไว ้ทุกข์แม ้เพียงชั่วขณะเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” เหลียนซ่งเอามือเท ้าคางวางศอกบนที่เท ้าแขนเก ้าอี้หิน เอ่ยว่า “ได ้ฟังเจ ้าพูดเช่นนี้ ข ้าก็นึกขึ้นได ้ว่าเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนดูเหมือนจะเกิดเรื่องหนึ่งขึ้น ฟัง ว่าชางอี๋เสินจวิน[3]แห่งเขาจือเยว่ซานแต่งภรรยา ดูเหมือนจะเกี่ยวข ้องกับชิงชิวอยู่เล็กน้อย” เทพชะตานิ่งขบคิด ทาท่าจะกล่าวตอบ ม่อเยวียนซ่างเสินซึ่งนั่งเงียบงันอยู่ด ้านข ้างมาได ้ พักใหญ่กลับเป็นฝ่ ายเอ่ยปากขึ้นเสียก่อน น้าเสียงราบเรียบเฉยชา “ก็แค่...ป๋ ายจื่อให ้เฟิ่งจิ่วแต่งงานกับชาง...” เทพชะตาช่วยกล่าวเตือนอยู่ข ้างๆ “ชางอี๋พ่ะย่ะค่ะ” ม่อเยวียนกล่าวต่อ “แต่งงานกับชางอี๋ จับเฟิ่งจิ่วมัดเอาขึ้นเกี้ยว เฟิ่งจิ่วไม่ค่อยยินดีนัก คืน นั้นจึงได ้รื้อทาลายตาหนักเทพบนเขาจือเยว่หลังนั้นเสียเท่านั้นเอง” คา “เท่านั้นเอง” ของม่อเยวียนกล่าวอย่างราบเรียบไร ้ความสาคัญยิ่ง เทพชะตากลับฟัง แล ้วอกสั่นขวัญแขวนยิ่ง เรื่องราวช่วงนี้ตัวเขายังไม่ทราบจริงแท ้ และเห็นว่าควรจะกล่าวต่อคา หลังจากขบคิดร ้อยพันตลบ กลับหลุดออกมาได ้เพียงถ ้อยคาลากยาวว่า “หาาา...” เหลียนซ่งกุมพัดคลี่ยิ้ม ยืดกายนั่งตรงอย่างสารวม กล่าวกับม่อเยวียนว่า “ท่านว่าเช่นนี้ก็ใช่แล ้วละ ข ้าจาได ้ว่าเคยมีใครสักคนบอกข ้าว่า ดูเหมือนปีนั้นท่านจะเป็ นผู ้ จัดพิธีสมรส เล่าลือกันว่าชางอี๋เสินจวินกลับมีใจชอบพออย่างจริงใจต่อภรรยาที่ยังมิได ้เข ้าพิธี วิวาห์ ผู้ซึ่งจัดการรื้อทาลายตาหนักเทพอันสร ้างด ้วยมือมนุษย์ของเขาเป็นเสี่ยงๆ ผู้นี้ จนบัดนี้
  • 6. 6 ภายในตาหนักเทพที่สร ้างขึ้นใหม่ยังแขวนภาพเหมือนของเฟิ่งจิ่วไว ้หลายภาพเสียด ้วยซ้า เฝ้า มองของคะนึงถึงคนอยู่ทุกวี่วัน” ม่อเยวียนไม่ได ้เอ่ยอะไรอีก เทพชะตากลับถอนหายใจเบาๆ “แต่ชอบหรือไม่ชอบเป็นเรื่องหนึ่ง รับมาได ้หรือไม่กลับเป็นอีกเรื่อง เสี่ยวเซียนยังได ้ยินมา อีกด ้วยว่า ฉินจีแห่งเขาจงหู[4]มีใจต่อป๋ ายเจิน พี่สี่ของป๋ ายเฉี่ยนซ่างเสิน แต่...จะมีขวัญสักกี่ ดวงหาญกล ้าไปแย่งตัวเขากับเจ๋อเหยียนซ๋างเสินเล่า” สายลมพลิ้วพัดผ่าน ดอกพิรุณกาลโยกไหวมิได ้หยุด เทพเคารพ ๒-๓ ท่านนี้กล่าวนินทา ผู้อื่นลับหลังด ้วยสีหน้ากิริยาเคร่งขรึมสารวมจบความ ก็ต่างคนต่างกลับไปนั่งที่ ที่พักผ่อน หลับตาก็พักผ่อนหลับตา ที่ดื่มน้าชาก็ดื่มน้าชา ที่ทัศนาทิวทัศน์ก็ทัศนาทิวทัศน์ บรรดาเทพ เซียนน้อยซึ่งติดตามรับใช ้กลับสุดจะสามารถรักษาท่าทีสุขุมเยือกเย็นเอาไว ้ได ้ ได ้ฟังเรื่องลับถึง เพียงนี้ แต่ละคนต่างตื่นเต ้นคึกคักจนหน้าแดงก่าไปถึงหู ทว่ามิกล ้าบุ่มบ่ามทาการใด ได ้แต่พา กันส่งสายตาสื่อความในใจ ชั่วขณะนั้นริมทะเลสู่กาเนิดล ้วนปรากฏแต่สายตาเร่าร ้อนรัญจวน ทั้งสิ้น เทพเซียนน้อยผู้หนึ่งส่งน้าชาถ ้วยหนึ่งให ้เทพชะตาได ้ดื่มดับกระหายอย่างรู้ใจ ดาวเทพ ลิขิตชะตาใช ้ฝาถ ้วยปาดใบชาอ่อนเล็กๆ สองใบบนผิวน้าชาออก สายตากวาดอ ้อมผ่านหลาย โค ้งแล ้วเลี้ยวมายังมหาเทพตงหัวอีกครั้ง ขมวดคิ้วบางๆ ท่าทางครุ่นคิด เหลียนซ่งหมุนถ ้วยชาพลางเอ่ยยิ้มๆ “เทพชะตา วันนี้ตาเจ ้าเป็นตะคริวหรือ ไฉนเอาแต่มองไปที่ตงหัวเล่า?” มหาเทพตงหัวซึ่งนั่งห่างออกไปประมาณสองจ ้างวางถ ้วยน้าชาลง เหลือบสายตาขึ้น เล็กน้อย เทพชะตาวางหน้าไม่ถูก หัวเราะแก ้เกี้ยวสองคาทาท่าจะเอ่ยปากแถแก ้ตัว เสียง “ซ่า” พลันดังขึ้น ทะเลเบื้องหน้าม ้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นยักษ์กะทันหัน เกลียวคลื่นสูงสิบจ ้างได ้แยกตัวออก ภายใต ้แสงอรุณอันเจิดจ ้า เบื้องหน้าอ่าวจันทร์เสี้ยว ได ้ปรากฏหญิงงามในชุดเสื้อกระโปรงสีขาวขึ้นหนึ่งนาง บนท่อนแขนขาวผ่องของหญิงงามพันแพผมยาวสลวยดาขลับ บนเรือนผมประดับจานฮัว ขาวดอกหนึ่ง ดูเหมือนเนื้อผ ้าจะป้องกันน้าได ้ ด ้วยบนกายนางไม่ปรากฏหยดน้าแปดเปื้อนแม ้ เพียงหยดเดียว ทั้งยังพลิ้วสะบัดไหวดั่งร่ายราตามแรงลมแห่งรุ่งอรุณ ทว่าเรือนผมดาขลับกลับ เปียกชุ่ม ลูกผมบนหน้าผากเปียกลีบแนบสนิทบนแก ้มนวล ให ้ความรู้สึกเย็นเฉียบ กระนั้นดวงตา กลับวาดโค ้งทอประกายอบอุ่น ทอดมองด ้วยสายตาคล ้ายจะยิ้มไปยังดาวเทพลิขิตชะตาผู ้ซึ่ง เมื่อครู่ก่อนกล่าวถ ้อยคานินทาอย่างคึกคักยิ่ง เทพชะตารีบร ้อนลนลานคว ้าถ ้วยน้าชาขึ้นมาบังใบหน้าไว ้ครึ่งซีก เหลียนซ่งส่งพัดในมือไป ให ้อีกฝ่ าย “หน้าเจ ้าใหญ่เกินไป ถ ้วยชาบังไม่มิด ใช ้นี่ดีกว่า” เทพชะตาทาหน้าอมทุกข์ ทาท่าจะคุกเข่าลง ฝืนฉีกยิ้มปั้นยากที่ดูทุกข์ทรมานแสนสาหัส “ไม่ทราบว่าฝ่ าบาทเฟิ่งจิ่วว่ายน้าเล่นอยู่ที่นี่ เมื่อครู่นี้เสี่ยวเซียนบุ่มบ่ามล่วงเกิน ขอฝ่ าบาท เห็นแก่ที่เสี่ยวเซียนกับฝ่ าบาทรู้จักกันมานาน โปรดอภัยด ้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ม่อเยวียนมองดูเฟิ่งจิ่ว “เจ ้าซ่อนตัวอยู่ใต ้ทะเลสู่กาเนิด ทาอะไรรึ?”
  • 7. 7 เฟิ่งจิ่วในชุดเสื้อขาวกระโปรงขาวยืนอยู่เหนือผิวน้าสงบนิ่ง กล่าวด ้วยกิริยาสารวม “ฝึกฝนร่างกาย” ม่อเยวียนกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นที่เจ ้าขึ้นมาคิดจะทาอะไรงั้นรึ? เพื่อให ้เทพชะตาตกใจ โดยเฉพาะ?” เฟิ่งจิ่วนิ่งเว ้นจังหวะ แล ้วหันไปกล่าวกับเทพชะตาซึ่งคุกเข่าอยู่กับพื้นด ้วยสีหน้าทุกข์ ทรมาน “เมื่อครู่นี้เจ ้าบอกว่า ฉินจีอะไรบนเขาจงหูนั่น ชอบเสี่ยวซู[5]ของข ้าจริงๆ หรือ?” “......” <>::<>::<>::<>::<>::<> [1]??????? [2]???(zan hua) ดอกไม้ประดับผม [3]?????? [4]?????? [5] เสี่ยวซู (??) อาผู้ชายคนเล็ก
  • 8. 8 ภาค 1 โพธิญาณสู่กาเนิด บทที่ 1 หลังจากนั้นมามีอยู่วันหนึ่ง ยามเมื่อดอกโพธิญาณสู่กาเนิดในวังไท่เฉินกง[1]ผลิบานทั่ว ทั้งเขตวัง และมวลดอกไม ้ที่ห ้อมล ้อมเป็นประดุจกลุ่มเมฆาปีนข ้ามรั้วกาแพง ตงหัวจึงนึกถึงครั้ง แรกที่ได ้พบเฟิ่งจิ่ว ยามนั้น เขาจานางไม่ใคร่ได ้ เทพเคารพผู้ปลีกตัวจากโลกอยู่ในวังไท่เฉินกงมานานนับ หมื่นปี เรื่องที่สามารถทาให ้เขาสังเกตสนใจได ้บ ้างเล็กน้อย มีเพียงการดาเนินผิดกาลของฤดูทั้ง สี่ สุริยันจันทราสลับงาน และด่านเคราะห์แห่งโชคชะตาเท่านั้น แม ้จะถูกเทียนจวินเร่งรัดเชื้อเชิญให ้ออกจากวังไท่เฉินกงไปร่วมขบวนแห่รับเจ ้าสาวให ้แก่ ไท่จื่อเยี่ยหัว แต่ความจริงแล ้ว เขาหาได ้สนใจใดๆ ต่อเรื่องนี้มากนัก แน่นอนว่าเขาย่อมจะจา ดรุณีผู้ลอยมาเหนือคลื่นริมทะเลสู่กาเนิด และเสียงอันใสเสนาะน่าฟังดั่งสายฝนพราแรกวสันต์ ของนางไม่ใคร่ได ้นักเช่นกัน และจาไม่ใคร่ได ้ว่าเจ ้าของเสียงใสเสนาะน่าฟังนั้นพยายามฝืนยิ้ม เต็มที่ ถามเทพชะตาว่า “เมื่อครู่นี้เจ ้าบอกว่า ฉินจีอะไรบนเขาจงหูนั่น ชอบเสี่ยวซูของข ้าจริงๆ หรือ?” ตงหัวจาเฟิ่งจิ่วได ้บ ้างจริงๆ เป็นครั้งแรก ก็ในงานเลี้ยงสมรสของเยี่ยหัว งานอภิเษกสมรสของไท่จื่อแห่งเผ่าสวรรค์ ทั้งยังแต่งกับป๋ ายเฉี่ยนซ่างเสินผู้ซึ่งทั่วทั้งสี่ ทะเลแปดดินแดนต่างต ้องเรียกขานอย่างยกย่องว่า “กูกู” ย่อมต ้องเหนือกว่าผู้อื่นเป็นธรรมดา เทพเซียนบนสวรรค์แบ่งเป็นเก ้าขั้น นอกจากคนของเผ่าสวรรค์แล ้ว ผู้ที่มีบุญได ้เข ้าร่วมในงาน เลี้ยง มีเพียงเจินหวง เจินเหริน[2]สิบกว่าท่าน ตลอดจนหลิงเซียน 20-30 กว่าท่านที่อยู่ขั้นห ้า ขึ้นไปเท่านั้น ภายในตาหนักจื่อชิง แสงอัสดงส่องสว่าง งานเลี้ยงดาเนินมาได ้กว่าครึ่งแล ้ว เทียนจวินรุ่นนี้นิยมวางมาด ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงประเภทใด หลังดื่มไปสามรอบ เป็นต ้อง ยกข ้ออ ้างว่าทานฤทธิ์สุราไม่ไหวปลีกตัวออกจากงานเลี้ยงทุกครั้ง แม ้จะเป็นงานสมรสของ หลานชายแท ้ๆ ก็มิได ้ละเว ้นกฎเก่าก่อนข ้อนี้
  • 9. 9 และเยี่ยหัวจวินในชุดเจ ้าบ่าวนั้นคออ่อนมาแต่ไหนแต่ไร ในวันนี้คอยิ่งอ่อนเป็นพิเศษ ยั่งร่า ดื่มได ้เพียงไม่ถึงสามรอบ ก็ถูกเซียนน้อยประคองกลับวังสี่อู๋อย่างกินแรงเสียแล ้ว ถึงแม ้ตงหัว มองเห็นว่า ไท่จื่อซึ่งดูเหมือนในอึดใจถัดไปก็จะเมามายสิ้นสติสมประดีผู้นี้ จังหวะฝีเท ้ายามก ้าว ย่างกลับยังคงมีระเบียบดีอยู่มาก ปู่ หลานสองท่านนั้นเพิ่งจะย่างเท ้าออกจากตาหนักจื่อชิงได ้เพียงไม่นาน เหล่าเจินหวงใน งานก็ทยอยกันเสาะหาข ้ออ ้างเผ่นกลับไปทีละคนๆ แค่ครู่เดียว บรรยากาศสารวมในงานได ้ร่าเริง ปล่อยกายขึ้นไม่น้อย ตงหัวหมุนคลึงจอกสุราที่ว่างเปล่าไปแล ้ว คิดจะออกจากงานเลี้ยงเช่นกัน จะได ้ให ้บรรดาเทพเซียนน้อยเบื้องล่างซึ่งนั่งตัวตรงระแวดระวังได ้โล่งใจ เริงสาราญอย่างอิสระ ขณะจะวางจอกลงขยับลุก เมื่อเหลือบสายตาขึ้นกลับเห็นตรงประตูตาหนักไม่ทราบปรากฏ ดอกกุสุมา[3]หนึ่งกระถางตั้งแต่เมื่อไร เบื้องหลังช่อดอกไม ้สีเหลืองอ่อน มีดรุณีชุดขาวหลบ ซ่อนอยู่ราไร กาลังก ้มศีรษะงอเอวทาท่าย่อง มือหนึ่งหิ้วชายกระโปรง อีกมือหิ้วกระถางดอกไม ้ เดินกระย่องกระแย่งเลียบชิดกาแพงต ้นเสา หมายมาดไม่กระตุ้นความสนใจของใครทั้งสิ้น ค่อยๆ เขยิบไปทางโต๊ะของผู้มาส่งเจ ้าสาว 2-3 โต๊ะนั้นทีละนิดๆ ตงหัวพิงเท ้าแขนเก ้าอี้ หาท่าที่สบายยิ่งขึ้น นั่งกลับลงไปบนเก ้าอี้ทองม่วงอีกครั้ง นางราบนเวทีราจบไปหนึ่งเพลง ดรุณีชุดขาวเดินชยโน่นชนนี่ไปตลอดทาง ในที่สุดก็ขยับ ไปถึงที่นั่งว่างของโต๊ะผู้มาส่งเจ ้าสาว ชะโงกศีรษะออกมามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ครั้น เห็นแน่ชัดว่าไร ้ผู้สังเกต ก็รีบมุดออกมาจากด ้านหลังกระถางดอกกุสุมาอย่างเร็วรี่ ฉวยจังหวะใน ระหว่างที่ทุกคนต่างมองไปยังเวทีเมฆและโห่ร ้องชมเชย นั่งลงอย่างสงบเยือกเย็นปรบมือร ้อง ชมอย่างไม่รู้ไม่ชี้พลางงอขาไปเกี่ยวกระถางดอกกุสุมาที่ด ้านหลังล ้มลง เตะๆ เข ้าไปใต ้โต๊ะยาว ซ่อนไม่มิด เตะๆ อีกครั้ง ก็ยังซ่อนไม่มิดอยู่ดี เตะๆ อีกรอบ ครั้งสุดท ้ายเตะแรงเกินไป ดอกกุสุมาที่เคราะห์ร ้ายพร ้อมด ้วยกระถาง พุ่งเฉียดขาโต๊ะบิน หวือตรงดิ่งออกไป ตรงเข ้าใส่ศีรษะของตงหัวผู้ซึ่งเปลี่ยนใจชั่ววูบไม่ทันได ้ลุกออกจากงาน เหล่าเทพเซียนต่างร ้องโพล่งอุทานอย่างตกใจ กระถางดอกไม ้หยุดลงตรงตาแหน่งห่าง จากหน้าผากของตงหัวสามชุ่น ตงหัวเอามือเท ้าคางยื่นมือออกไปข ้างหนึ่ง กุมกระถางดอกไม ้ที่กลางอากาศไว ้ เหลือบ สายตาลงมอง “ผู้ก่อเรื่อง” สายตาของเทพเซียนทุกคนพลอยแห่กันเบนไปจ ้องมองตามตงหัว “ผู้ก่อเรื่อง” ตกตะลึงไปชั่ววูบ แล ้วหันหน้าไปอีกทางอย่างว่องไว เอ่ยถามเทพเซียนชาย ในชุดสีน้าตาลที่ข ้างกายด ้วยน้าเสียงจริงใจหากมิพร่องความเข ้มงวดว่า “หมีกู่ ไยเจ ้าจึงซุกซนเช่นนี้ ไปซี้ซั้วเตะกระถางดอกไม ้ใส่หน้าผากคนอื่นเขาได ้อย่างไร?”
  • 10. 10 หลังงานเลี้ยง เซียนผู้คอยติดตามรับใช ้ ข ้างกายของตงหัวบอกเขาว่า ดรุณีชุดขาวผู้ประดับ จานฮัวขาวบนศีรษะนางนี้มีนามว่า “เฟิ่งจิ่ว” คือองค์หญิงผู้สืบทอดตาแหน่งกษัตรีย์ทั้งที่อายุยัง เยาว์ของชิงชิวท่านนั้นเอง งานสมรสของเยี่ยหัวคึกคักครึกครื้นรวมเบ็ดเสร็จเจ็ดทิวา เจ็ดทิวาให ้หลัง ก็เป็นการเปิดงานมหาพิธีพันบุปผชาติที่หกสิบปีจะจัดสักครั้งซึ่งเหลียนซ่ง จวินลงมือดาเนินการจัดงานด ้วยตัวเอง ด ้วยเหตุนี้ เทพเซียนซึ่งเดิมทีได ้รับเชิญขึ้นสู่สวรรค์ชั้น ฟ้าเพื่อร่วมในงานเลี้ยงวิวาห์จึงพากันรั้งอยู่ชั่วคราวเสียเลยโดยมิได ้จรลา ชั่วขณะนั้นสวรรค์เก ้าชั้นฟ้าอันได ้ชื่อว่าสะอาดบริสุทธิ์สูงส่งศักดิ์สิทธิ์แทบมิเหลือพื้นที่ สะอาดบริสุทธิ์สงบเงียบสักกี่ที่ สระโบกขรณีแห่งสวรรค์ชั้นสิบสามนับเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ใน บรรดาไม่กี่สถานที่ที่หลงเหลือนี้ คาดว่าคงเป็นเพราะสระแห่งนี้สร ้างอยู่ริมตาหนักบรรทมของตง หัว...วังไท่เฉินกง ไม่มีเทพเซียนสักกี่คนหาญกล ้าเข ้าไปรบกวน ในคากล่าวที่ว่า “ไม่มีเทพเซียนสักกี่คน” นี้ หานับรวมป๋ ายเฉี่ยนซ่างเสินซึ่งเพิ่งจะสมรสขึ้น สู่แดนสวรรค์ไม่ สิบเจ็ดค่าเดือนสี่ ลมสวรรค์พัดรวยรื่น งานเลี้ยงดูตัวเล็กๆ สองงานที่ป๋ ายเฉี่ยนซ่างเสินจัด ให ้แก่เฟิ่งจิ่วหลานสาว จัดขึ้นที่ริมสระโบกขรณีแห่งนี้นั่นเอง ป๋ ายเฉี่ยนแต่งให ้กับเยี่ยหัวยามนางสูงวัยถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นปี และเข ้าใจเอาเองเสมอมาว่า ตนสมรสได ้เหมาะสมแก่ช่วงอายุเป็นที่สุด จึงอดนามาตรฐานของตัวเองไปวัดผู้อื่นอยู่เนืองๆ ไม่ได ้ เมื่อเทียบกันแล ้ว ก็เห็นว่าเฟิ่งจิ่วที่อายุเพียงสามหมื่นกว่าปีนั้นช่างละอ่อนนัก ไม่เหมาะจะ เอ่ยถึงเรื่องตบแต่งอย่างยิ่ง แต่เพราะได ้รับการไหว ้วานจากท่านพ่อของเฟิ่งจิ่ว...ป๋ ายอี้พี่ชาย ของนาง และไม่สะดวกใจจะบ่ายเบี่ยง จึงได ้แต่ฝืนต่อมโนธรรมจัดงานเลี้ยงดูตัวให ้แก่เฟิ่งจิ่ว ไม่กี่วันมานี้บนสวรรค์คึกคักนัก ไม่ค่อยมีที่ทางซึ่งบรรยากาศเหมาะเจาะจะจัดงานเลี้ยงดู ตัวเรียบๆ ฟังว่ามหาเทพตงหัวพานักอยู่วังไท่เฉินกงมาเนิ่นนาน ปกติยากนักจะออกจากประตูวัง สักหน ต่อให ้ฆ่าคนวางเพลิงที่หน้าวังไท่เฉินกงก็ไม่มีใครหน้าไหนมาสนใจยุ่งเกี่ยว ป๋ ายเฉี่ยนขบ คิดใคร่ครวญอยู่ครึ่งวัน ก็กาหนดให ้จัดงานเลี้ยงดูตัวที่ริมสระโบกขรณีข ้างๆ วังไท่เฉินกงอย่าง ปลอดโปร่งสบายใจ ทั้งยังมีผู้ดูตัวถึงสองราย ก่อนหลังรวมสองงาน แต่วันนี้ทุกคนต่างคานวณผิดพลาด ตงหัวไม่เพียงออกจากวัง ทั้งยังออกมาในระยะ ค่อนข ้างใกล ้อีกด ้วย อยู่ห่างจากตาแหน่งที่จัดงานเลี้ยงดูตัวห ้าสิบก ้าวนี่เอง ถูกม่านใบที่ห ้อย ย ้อยของต ้นหลิวต ้นหนึ่งบดบัง ใต ้เท ้าวางเบ็ดตกปลาไผ่ม่วง[4] คัมภีร์เล่มหนึ่งกางปิดบนใบหน้า นอนเอนหลังบนเก ้าอี้ไม ้ไผ่อย่างสบายอารมณ์ ตกปลาไปพลางหลับตาพักผ่อนไปพลาง
  • 11. 11 เฟิ่งจิ่วรับประทานอาหารเช ้าเสร็จ ดื่มน้าชายามเช ้า แล ้วเดินอิดออดตลอดทางมาจนถึง สวรรค์ชั้นสิบสาม บัวเผื่อนดอกแล ้วดอกเล่าลอยโผล่เหนือท ้องน้าสีมรกตของสระ กอปทุมเชื่อมต่อทอดยาว ไปไกลไร ้ที่สิ้นสุด ดุจดั่งลอบปักลวดลายมวลอุบลบนปุยเมฆขาวสะอาด ในงานเลี้ยง เสินจวินชุดเขียวผู้หนึ่งนั่งโบกพัดจีบอย่างสบายอารมณ์อยู่แล ้ว ครั้นเห็นเฟิ่ง จิ่วทอดฝีเท ้าเดินเข ้ามา ก็หุบพัดจีบดังฟุ่บ โค ้งนัยน์ตาคลี่ยิ้ม ความจริงเฟิ่งจิ่วไม่ใคร่รู้จักเสินจวินผู ้นี้นัก ทราบเพียงว่าเป็นนายน้อยของตระกูลรองสาย ใดสักสายของเผ่าสวรรค์ บาเพ็ญตบะอยู่ที่ภูเขาเซียนใดสักลูกในโลกมนุษย์แห่งไหนสักแห่ง อุปนิสัยเปิดเผยใจกว ้าง สุภาพอ่อนโยน หากจะบอกว่ามีข ้อบกพร่องใด ก็คือค่อนข ้างรักสะอาด อยู่บ ้าง ทั้งยังทนเห็นใครไม่รู้มารยาท ไม่รักษาเวลาไม่ได ้ เพื่อการนี้ นางจงใจมาสายอย่างน้อย หนึ่งชั่วยามครึ่ง[5] งานเลี้ยงเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ มิได ้พิถีพิถันเกินจาเป็น หลังจากทั้งสองกล่าวทักทายกันแล ้ว ก็นั่งลง ตงหัวถูกเสียงกล่าวทักทายเบาๆ ไม่กี่คานั้นรบกวนความสงบ ยกมือหยิบคัมภีร์ที่กางปิด บนใบหน้าขึ้น มองผ่านเงาร่องของดอกใบ เห็นห่างออกไปห ้าสิบก ้าว เฟิ่งจิ่วกาลังเอียงศีรษะ น้อยๆ ขมวดคิ้วจ ้องมองถาดไม ้มะค่ารูปพัดตรงหน้า ภายในถาดจัดวางแน่นขนัด มีกาสุราหยกตงหลิ่งหนึ่งใบและอาหารสีสันฉูดฉาด 2-3 จาน นับตั้งแต่บนสวรรค์มีกฎระเบียบเรื่องงานเลี้ยงขนาดเล็ก ก็กาหนดมาแต่ไหนแต่ไรให ้หนึ่ง คนต่อหนึ่งถาด จัดวางอาหารชุดเดียวกัน และจัดชนิดของสุราให ้แตกต่างกันไปตามระดับขั้น ตาแหน่ง เสินจวินชุดเขียวหุบพัดจีบแล ้วก็เอ่ยชวนคุยว่า “ช่างบังเอิญนัก ในยุคบรรพกาลตระกูลของเสี่ยวเซียนควบคุมดูแลเรื่องตรากฎระเบียบ ของเผ่าสวรรค์นี่เอง ก่อนนี้ได ้ฟังป๋ ายเฉี่ยนซ่างเสินเอ่ยถึงว่า ระดับความรู้ในเรื่องมารยาทธรรม เนียมของฝ่ าบาทเฟิ่งจิ่วเองก็...” ถ ้อยคา “สูงส่งถึงขีดสุด” ยังคงอยู่แค่ปลายลิ้นไม่ทันได ้ล่วงพ ้นออกมา เฟิ่งจิ่วที่นั่งอยู่ตรง ข ้ามก็จัดแจงสวาปามขาหมูน้าแดงทั้งจานปานพายุหมุนสูบเมฆาจนเรียบวุธเสร็จสิ้น แล ้วใช ้ ตะเกียบไม ้ไผ่กวาดเศษน้าแดงหย่อมสุดท ้ายภายในจานพลางเรอออกมา เอ่ยถามว่า “ก็อะไร หรือ?” มุมปากยังมีเศษน้าแดงติดอยู่เล็กน้อย เสินจวินชุดเขียวผู้มีมารยาทตกตะลึงมองหน้านาง
  • 12. 12 เฟิ่งจิ่วล ้วงกระจกใบเล็กออกมาจากในแขนเสื้อ เปิดกระจกพลางพึมพากับตัวเอง “บนหน้า ข ้ามีอะไรติดอยู่หรือ?” นางนิ่งไปเล็กน้อย “โอ๊ะ มีอะไรติดอยู่จริงๆ ด ้วย” นางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดมุมปากทันทีอย่างไม่มีลังเล ไม่ถึงอึดใจ รอยน้ามันได ้ประทับอย่าง เด่นชัดลงบนแขนเสื้อสีขาว ใบหน้าของเสินจวินผู้ค่อนข ้างรักสะอาด...เริ่มปรากฏสีเขียวจางๆ เฟิ่งจิ่วยกกระจกส่องอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากส่องเสร็จก็ซุกเก็บกระจกกลับเข ้าไปใน แขนเสื้อหน้าตาเฉย อาจจะเพราะเดิมทีมือเปื้อนคราบมันอยู่เล็กน้อย จึงทิ้งรอยนิ้วเปื้อนน้ามัน หลายรอยบนกรอบกระจกไม ้จันทน์ม่วง ใบหน้าของเสินจวินชุดเขียว...เขียวเข ้มใกล ้ม่วงแล ้ว น้าขาหมูสองหยดหยดจากตะเกียบลงบนโต๊ะหินในจังหวะนี้พอดี เฟิ่งจิ่วกัดตะเกียบยื่นนิ้วไปใช ้เล็บไปขูด ขูดไม่สะอาด รูดแขนเสื้อขึ้นเช็ด สะอาดแล ้ว มือที่ยื่นผ ้าเช็ดหน้าของเสินจวินชุดเขียวแข็งค ้างอยู่กลางอากาศ สองคนมองหน้ากันอึดใจใหญ่ เสินจวินชุดเขียวที่ใบหน้าดาคล้ากล่าวเสียงแหบพร่า “ฝ่ าบาทเชิญรับประทานตามสบาย เสี่ยวเซียนมีธุระสาคัญ ต ้องขอล่วงหน้าไปก่อน วัน หน้าค่อยสนทนากับฝ่ าบาทอีกครั้ง” เพิ่งจะกล่าวจบคาก็รีบร ้อนจากไป...แทบจะเป็นเผ่นแนบ ตงหัวเลื่อนคัมภีร์บนใบหน้าออก มองเห็นเฟิ่งจิ่วโบกตะเกียบกล่าวลาอย่างอาลัยอาวรณ์ ในดวงตาเปล่งประกายสดใสกลับไร ้วี่แววอาลัยอาวรณ์แม ้ส่วนเสี้ยว หนาซ้ายังแฝงแววหัวเราะ น้าเสียงหวานหยดย ้อยแทบจะราวกับบีบคอเค ้นออกมา “อย่างนั้นวันหน้าค่อยสนทนากัน อย่าปล่อยให ้คนเขารอนานเกินไปนะ...” จวบจนเสินจวินชุดเขียวลับหายไปจากสายตา จึงค่อยอมยิ้ม นวยนาดหยิบผ ้าเช็ดหน้าสี ขาวปักลายบุปผาฤดูฝนออกมา เช็ดมืออย่างใจเย็น แล ้วลูบจัดแขนเสื้อที่เมื่อครู่นี้ถูกับโต๊ะหินจน กดเป็นรอยยับ อาจเป็นเพราะสองร ้อยปีมานี้ได ้ประสบพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มามากมาย ยามฝ่ าบาท เฟิ่งจิ่วแห่งชิงชิวอัปเปหิใคร จึงกล่าวได ้ว่าคล่องแคล่วลื่นไหลเชี่ยวชาญฉับไว เสินจวินผู้มาดูตัว รายที่สองก็ขามากระตือรือร ้นคึกคัก ขากลับตาลีตาเหลือกเผ่นแนบกลับเช่นกัน หลงเหลือเพียง ถ ้วยชามจอกสุราระเนระนาดบนโต๊ะหิน สาดสะท ้อนแสงอาทิตย์ เป็นประกายมันย่อง เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม รับประทานขาหมูน้าแดงลงไปติดกันสองจานใหญ่ เฟิ่งจิ่วค่อนข ้าง จุกอยู่บ ้าง กุมถ ้วยน้าชาหันหลังให ้สระโบกขรณี ชื่นชมความโอ่อ่าน่าเกรงขามของวังไท่เฉินกง
  • 13. 13 ไปพลางรอให ้อาหารย่อยไปพลาง ทางด ้านตงหัวมีปลาน้อยสองตัวมาติดเบ็ด คัมภีร์ในมือก็พลิก อ่านไปจนถึงหน้าสุดท ้ายแล ้ว เหลือบสายตาขึ้นเห็นแสงแดดชักจะแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเก็บ คัมภีร์ลุกขึ้นกลับวัง และเดินผ่านงานเลี้ยงริมสระโดยปริยาย เฟิ่งจิ่วกาลังกุมถ ้วยชานั่งเหม่อเหมือนหญิงชรา ได ้ยินเสียงฝีเท ้าแผ่วเบาเนิบช ้าที่ด ้านหลัง ก็นึกว่าผู้มาคือหมีกู่ที่ระยะนี้ทาตัวเป็นคุณแม่มากขึ้นทุกที จึงหยุดเหม่อชวนคุยว่า “ไยจึงมาเร็วปานนี้เล่า เป็นห่วงว่าข ้าจะวางมวยกับพวกเขาหรือไร?” เขยิบไปด ้านข ้างเว ้น ที่ให ้ “พักนี้รสนิยมของกูกูชักจะพิสดารมากขึ้นทุกที สองรายนี้ที่เลือกมาดูขี้โรคจะแย่ ข ้าน่ะทา ใจใช ้หมัดอัดเขาสองคนไม่ลงด ้วยซ้า จึงแค่แสดงละครหลอกให ้ท่านเทพผู้บอบบางทั้งสองเผ่น หนีไปเท่านั้น ทาเอาข ้าเหนื่อยไม่เบา” กุมถ ้วยชาหยุดเว ้นจังหวะ “เจ ้านั่งเป็นเพื่อนข ้าก่อนละ ไม่ได ้ดูตะวันขึ้นและตกที่นี่มาตั้งนาน ออกจะคิดถึงอยู่เหมือนกัน” ตงหัวชะงักเท ้า นั่งลงข ้างหลังนางตามคาเชิญ เลือกกาน้าชาหนึ่งในสองกาที่ยังไม่ถูกเก็บ ไปบนโต๊ะหิน รินน้าชาเย็นชืดถ ้วยหนึ่งดับกระหาย เฟิ่งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถูกบัวขาวครึ่งสระกระตุ้นอารมณ์สะท ้อนใจเล็กน้อย หมุนคลึง ถ ้วยชากล่าวอย่างสะทกสะท ้อน “พวกเขาบอกว่า บัวขาวภายในสระโบกขรณีแห่งนี้ล ้วนจาแลง มาจากหัวใจคนทั้งสิ้น ในบรรดาผู้คนที่พวกเรารู้จัก แม ้จะมีมนุษย์สามัญอยู่เพียงไม่กี่คน แต่นี่ แน่ะหมีกู่ เจ ้าว่าคนอย่างชิงถี[6]นั่น จะมีดอกบัวขาวของตัวเองหรือไม่?” ราวกับหยุดคิดชั่วแล่น “หากว่ามีละก็ เจ ้าว่าจะเป็นดอกไหนหนอ?” แล ้วถอนหายใจราวกับคนแก่ “คนอย่างเขานั่นน่ะ” คู่กับเสียงถอนหายใจนี้ ก็ดื่มน้าชาไปหนึ่งคา ตงหัวก็ก ้มหน้าดื่มน้าชาไปหนึ่งคาเช่นกัน หมีกู่ผู ้นี้เขาพอจะจาได ้รางๆ ดูเหมือนจะเป็น เซียนดินที่คอยติดตามรับใช ้ข ้างกายเฟิ่งจิ่ว ดูท่าทางนางจะจาผิดคนเสียแล ้ว ส่วน “ชิงถี” คือ ใคร กลับไม่เคยได ้ยินมาก่อน เงาไม ้ทอดลงมา สองขาของเฟิ่งจิ่ววางอยู่บนตลิ่ง กล่าวเสียงอู้อี้ “เมื่อครึ่งเดือนก่อน ซูม่อเยี่ยแห่งทะเลประจิมเชิญเสี่ยวซูไปดื่มเหล ้า ข ้าหน้าด ้านตามไป ด ้วย ระหว่างที่ขี่เมฆเหาะผ่านโลกมนุษย์แห่งนั้นพอดี” หยุดไปอึดใจ ค่อยกล่าวต่อว่า “ที่แท ้ ราชวงศ์จิ้น[7]ล่มสลายไปนานแล ้ว ในปีที่เจ็ดหลังชิงถีตายจากไป” หยุดเว ้นจังหวะ แล ้วเสริมว่า “ข ้านึกมานานแล ้วว่าอายุของราชวงศ์นี้ไม่มีทางยืนนานนัก” ทอดถอนอย่างสะท ้อนใจแล ้วหัน กลับมาเติมน้าชา ปากยังบ่นอุบอิบว่า “จะว่าไปชาที่ซูม่อเยี่ยทาขึ้นใหม่นั่น ชื่ออะไรแล ้วนะ อ ้อ ปี้ฝูชุน[8] ไม่เลวเลยจริงๆ ไว ้ประเดี๋ยวเจ ้าทาเข่งไม ้ไผ่สานให ้ข ้าสักใบ ครั้งหน้าตอนไปทะเล ประจิมอีกครั้งข ้า...” เงยหน้าขึ้น ถ ้อยคาต่อจากนั้นถูกกลืนลงคอไปทั้งหมด กลืนเสียแรงนัก ทา เอาสาลักกระอักกระไอจนฟ้าดินพลิกตลบ ไอเสร็จแล ้วยังคงนิ่งค ้างอยู่ในท่าจะรินเติมน้าชา พูด อะไรไม่ออกไปอึดใจใหญ่ นิ้วมือเรียวยาวของตงหัววางอยู่บนฝาถ ้วยน้าชากระเบื้องเคลือบสีเขียวอ่อน ภายใต ้ แสงแดดสว่างเจิดจ ้า แม ้แต่ปลายเล็บยังเปล่งแสงอยู่เรืองๆ สายตาไร ้อารมณ์ใดๆ คล ้ายจะทอด ลงจับยังแขนเสื้อเปื้อนน้าขาหมูเกือบจะทั่วของนาง แล ้วค่อยๆ ไล่ขึ้นไปช ้าๆ เห็นใบหน้าอมชมพู ของนางยามนี้สาลักกระอักกระไอจนแดงก่า แทบจะเป็นสีเดียวกับต ้นใบไม ้แดงบนแดนสวรรค์สี่ ซ่าน[9] อาจเป็นเพราะตั้งสติได ้ ใบหน้าของเฟิ่งจิ่วจึงค่อยๆ คลี่ยิ้ม แม ้จะดูฝืนธรรมชาติอยู่บ ้าง แต่ ก็เป็นรอยยิ้มอย่างแท ้จริง ก่อนจะเอ่ยปากอย่างห่างเหินเกรงใจ กล่าวถวายบังคมอย่างห่างเหิน เกรงใจ
  • 14. 14 “ไม่ทราบว่าตี้จวินอยู่ที่นี่ เชือนแชยิ่งนัก เฟิ่งจิ่วแห่งชิงชิว น้อมพบตี้จวินเพคะ” ตงหัวได ้ฟังถ ้อยคาถวายบังคมนี้ของนาง ก็เหลือบตาขึ้นพินิจมองนาง กล่าวสั้นๆ ว่า “นั่ง” ครั้นนางก ้มศีรษะเดินเข ้ามานั่งลงแล ้ว จึงค่อยใช ้ฝาถ ้วยชาปาดใบชาในถ ้วยที่ถืออยู่ กล่าว เนิบช ้าว่า “เจ ้าเห็นข ้าแล ้ว ตกใจมาก?” เมื่อครู่นี้ตอนที่นางเดินเข ้ามานั่งยังนับได ้ว่ามีกิริยามารยาทเหมาะสม มาบัดนี้กลับเหมือน ตกใจอย่างมากจริงๆ เงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจยิ่ง ขยับริมฝีปาก ยังคงเป็นรอยยิ้มห่างเหิน เกรงใจเช่นเดิม “ได ้เข ้าเฝ้าตี้จวินเป็นครั้งแรก ปลาบปลื้มเป็นที่สุด กลับทาให ้ตี้จวินต ้องขบขันแล ้ว” ตงหัวพยักหน้า ถือว่ารับถ ้อยคานี้ของนาง ถึงแม ้ผู้มีสายตาคมกล ้าล ้วนมองออกว่า ใน รอยยิ้มแข็งทื่อของนางมองหาวี่แวว “ปลาบปลื้มเป็นที่สุด” ได ้ยากเย็นยิ่งโดยแท ้ ตงหัวยกมือ ขึ้นเติมน้าชาเย็นชืดให ้นาง ทั้งสองนั่งกันอยู่เช่นนี้ มองหน้ากันโดยไร ้วาจา ช่างกระอักกระอ่วนจริงแท ้ ครู่หนึ่ง เฟิ่งจิ่ว ดื่มน้าชาจนถึงก ้นถ ้วย ยื่นมือไปกุมหูกาน้าชา แสดงกิริยาจะรินเติมน้าชาให ้ตัวเองเช่นปกติ ตง หัวเหลือบสายตาขึ้นมอง ได ้เห็นไม่ทราบเพราะอะไรถ ้วยชาจึงเอียงวูบเข ้พอดี น้าชาร ้อนที่เพิ่ง จะรินเติมเต็มถ ้วยสาดลงใส่ตัวเสื้อสีขาวของนางอย่างจัง นาบประทับเป็นรอยใหญ่ประมาณเกี๊ยว ทอดหนึ่งรอย นิ้วของตงหัววางอยู่บนโต๊ะหิน สายตาจ ้องมองนางไม่กะพริบ เดิมทีเขาเพียงแต่นึกสนุก เห็นนางนั่งอยู่ตรงนี้อย่างเอื่อยเฉื่อยสบายอารมณ์มองดูตะวัน ขึ้นของสวรรค์ชั้นสิบสามอย่างออกรสออกชาติ จึงหลงนึกว่าตาแหน่งนี้จะทาให ้รู้สึกถึงทิวทัศน์ที่ แตกต่างออกไป ทั้งยังได ้ยินนางเชิญให ้เขานั่ง ด ้วยเหตุนี้จึงได ้นั่งลงเช่นนี้เอง มาบัดนี้กลับรู้สึก สนุกขึ้นมาจริงๆ อย่างปุบปับ นึกในใจว่านางช่างเข ้าใจแสดงละครนัก บางทีอาจจะนึกว่าเขาก็มา ดูตัวเช่นกันกระมัง แต่ติดขัดที่ศักดิ์ฐานะของเขา ไม่สามารถอัปเปหิไปง่ายๆ เช่นสองรายก่อน หน้านี้ได ้ ดังนั้นจึงอวดฉลาดใช ้แผนทรมานสังขาร[10]เช่นนี้ออกมา ไม่เสียดายต่อการสาด ตัวเองให ้เปียกหาข ้ออ ้างเผ่นหนี น้าชาที่สาดใส่บนตัวเสื้อของนางนั่นยังมีควันร ้อนลอยกรุ่นด ้วย ซ้า เห็นได ้ชัดว่าร ้อนจัด นางช่างอุตส่าห์ยอมตัดใจทุ่มทุนอย่างสุดตัวแท ้ๆ ชายหนุ่มเอามือเท ้าคาง ครุ่นคิดว่าก ้าวต่อไปนางตั้งใจจะเผ่นหนีใช่หรือไม่ ก็เห็นนาง ทาท่าปัดรอยเปื้อนน้าบนตัวเสื้อรอยนั้นจริงๆ และปัดไม่ออกดังที่คาด จึงกล่าวคาขอตัวกับเขา ด ้วยทีท่าออกจะลาบากใจ...พินอบพิเทา...อ่อนน้อมถ่อมตน...ห่างเหินเกรงใจแต่ยากจะปิดบัง ความยินดีปรีดาว่า “อุ๊ย มือเผลอลื่นไปนิด ชุดไม่เรียบร ้อยเสียแล ้ว โปรดอนุญาตให ้เฟิ่งจิ่วขอตัวไปก่อนนะเพ คะ ไว ้วันหน้าค่อยมาขอคาชี้แนะหลักธรรมพุทธและเต๋าจากตี้จวินอีกครั้ง” กลิ่นหอมเย็นของดอกบัวขาวระเรื่อยมาตามลม ชายหนุ่มเหลือบสายตาขึ้น ยื่นกากระเบื้อง เคลือบใหญ่มหึมาไปให ้พูดเรียบเรื่อย
  • 15. 15 “น้าชาแค่แก ้วเดียวจะนับอะไรได ้ ใช ้อันนี้ เมื่อกี้ตอนผ่านมือข ้า ได ้ทาให ้น้าเย็นแล ้ว เทลง ใส่ตัวอีกครั้ง ถึงจะถือได ้ว่า ‘ชุดไม่เรียบร ้อย’ จริงๆ” “......” มหาเทพตงหัวปลีกตัวจากโลกอยู่ที่วังไท่เฉินกงมาเนิ่นนานเกินไป เทพเซียนรุ่นเยาว์จึงไม่ มีโอกาสวาสนารับทราบลิ้นอันคมกริบของท่าน แต่บรรดาเทพเซียนรุ่นอาวุโสกลับแทบไม่มีคน ใดหาญกล ้าลืมเลือน แม ้ตี้จวินจะพูดน้อยเสมอมา แต่วาจาที่กล่าวมีระดับความคมกริบแทบไม่ แตกต่างจากคมกระบี่ในมือท่าน เล่าลือกันมาว่านายน้อยของเผ่ามารดื้อรั้นนัก ได ้ยินได ้ฟังวีรกรรมด ้านการศึกของตงหัว จากคัมภีร์ประวัติศาสตร์ยุคบรรพกาล ในปีนั้นจึงบุกฝ่ าสวรรค์เก ้าชั้นฟ้าอย่างอาจหาญหมายมาด จะท ้าดวลกับตงหัว ผลคือเพิ่งจะแฝงกายเข ้าไปในวังไท่เฉินกง ก็ถูกผู้ติดตามรับใช ้ ที่ดักซุ่มอยู่ ทั่วสี่ทิศแปดทางจับตัวได ้ เวลานั้นตงหัวกาลังเล่นหมากล ้อมกับตัวเองอยู่ที่สระบัวไม่ไกลออกไปนัก หนุ่มน้อยเยาว์วัยเลือดร ้อน ถูกคุมตัวให ้หมอบอยู่กับพื้นยังคงแผดด่าเป็นการใหญ่ หมาย ใช ้แผนกระตุ้นขุนพล[11] ตงหัวเก็บกระดานหมากเดินผ่าน หนุ่มน้อยยิ่งแผดด่าหนักข ้อกว่าเดิม ตะคอกว่าได ้ยินว่า เผ่าสวรรค์ขึ้นชื่อเรื่องถือคุณธรรมเสมอมา ไม่นึกว่าได ้มาเห็นในวันนี้กลับกระทาเช่นนี้ หากตงหัว ยังคงมีคุณธรรมมโนธรรมอยู่บ ้างก็จงก ้าวออกมาดวลตัวต่อตัวกับเขาสักตั้ง มิใช่ปล่อยให ้บริวาร ใช ้คนมากรังแกคนน้อย... ตงหัวประคองกล่องหมากล ้อม เดินผ่านไปแล ้วถอยย ้อนกลับมาสองก ้าว เอ่ยถามหนุ่ม น้อยบนพื้น “เจ ้าพูดว่า คุณ...อะไรนะ?” หนุ่มน้อยกัดฟัน “คุณธรรม!” แล ้วเน้นคาหนักๆ “ข ้าบอกว่า ‘คุณธรรม’!” ตงหัวย่างเท ้าเดินต่อไปข ้างหน้า “มันอะไร ไม่เห็นจะเคยได ้ยิน” หนุ่มน้อยจุกอกหายใจไม่ออก เป็นลมหมดสติคาที่ เฟิ่งจิ่วมานึกเหตุการณ์ตัวอย่างนี้ออกในสามวันให ้หลัง เวลานั้นนางกาลังนั่งอยู่ในตาหนัก ชิ่งอวิ๋น มองดูว่ากูกูของนางอบรมสั่งสอนบุตรชายอย่างไร ผู้ที่พานักในตาหนักชิ่งอวิ๋นคือแก ้วตาดวงใจของป๋ ายเฉี่ยนกับเยี่ยหัว...เทียนซุนน้อยอาหลี ที่ผู้คนต่างเรียกขานกันว่าก ้อนแป้งข ้าวเหนียว เทียนซุนน้อยในชุดสีเหลืองสดนั่งอยู่ตรงหน้าท่านแม่ของตนนี่เอง ได ้เห็นพวกผู้ใหญ่นั่ง เก ้าอี้ต่างสามารถสองเท ้าแตะถึงพื้นอย่างมั่นคง ส่วนเขากลับได ้แต่ห ้อยเท ้าอยู่กลางอากาศ จึง
  • 16. 16 รวบรวมกาลังหมายจะยืดเท ้าให ้ถึงพื้น แต่เพราะตัวเล็กเกินไป เก ้าอี้ก็สูงเกินไป แยกเขี้ยว พยายามอยู่เป็นนาน กระทั่งปลายเท ้าก็ยังแตะไม่ถึง จึงเลิกล ้มอย่างเจ็บใจ และก ้มศีรษะเล็กๆ ในอาการคอตกอย่างท ้อแท ้ฟังท่านแม่ของตนเทศนา ป๋ ายเฉี่ยนทาหน้าเคร่งขรึมจริงจัง กล่าวอย่างห่วงใยจริงใจ “เหนียงชินได ้ยินว่าฟู่ จวินของเจ ้าอายุสิบกว่าขวบก็ท่อง???????????ได ้แล ้ว ทั้งยัง ท่อง??????????กับ??????????????????ได ้ด ้วย แต่ไฉนจึงตามใจเจ ้าจนกลายเป็นอย่างนี้ อายุตั้งห ้าร ้อยกว่าขวบแล ้ว กระทั่ง??????ก็ยังท่องไม่ได ้ แน่นอน...ท่องไม่ได ้ก็มิใช่เรื่องใหญ่ อะไร แต่ยังไงเจ ้าก็ห ้ามทาให ้เหนียงชินกับฟู ่ จวินเสียหน้าสิ” ก ้อนแป้งข ้าวเหนียวทาแก ้มป่องเถียงกลับอย่างมีเหตุผลยิ่ง “อาหลีก็ไม่อยากเหมือนกันนะ แต่สติปัญญาของอาหลีสืบทอดจากเหนียงชินไม่ใช่ฟู่จวิน นี่นา!” เฟิ่งจิ่วพ่นน้าชาพรวดออกมา ป๋ ายเฉี่ยนหรี่ตามองหลานสาวอย่างแฝงนัย เฟิ่งจิ่วพยายาม กลั้นหัวเราะอย่างยากเย็นพลางรีบโบกมืออธิบายเป็นพัลวัน “ไม่ได ้มีความหมายอื่นดอก พักนี้ระบบย่อยอาหารไม่ค่อยดีน่ะ พวกท่านพูดกันต่อเถิด... พูดกันต่อเถิด” ครั้นป๋ ายเฉี่ยนเบนสายตามาคิดบัญชีกับก ้อนแป้งข ้าวเหนียว ไม่ทราบอย่างไร เฟิ่งจิ่วพลัน นึกขึ้นได ้กะทันหันถึงเรื่องเล่าขานที่ตงหัวทาให ้นายน้อยเผามารโมโหจนเป็นลมไป หญิงสาว ประคองถ ้วยชาดื่มน้าชาอีกหนึ่งคา ดวงตาทอประกายยิ้มละไมอย่างลืมตัว ก ้มหน้าลงดูชุดขาวที่ สวมอยู่ รอยยิ้มจางลง ยกมือขึ้นปัดเส ้นผมเส ้นหนึ่งที่ร่วงลงบนแขนเสื้อ ความทุกข์ในชีวิตมีมากมายสุดคณานับเหมือนเส ้นผมบนศีรษะ หากไปเก็บมาใส่ใจเสียทุก เรื่องก็มิใช่วิสัยของนาง หญิงสาวย ้อนคิดไปเรื่อยเปื่อยอย่างไร ้จุดหมาย นับดูแล ้วเวลาดุจวารี ผ่านพ ้นมาได ้สองพันเจ็ดร ้อยปี ระหว่างนี้เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมากมายเกินไป หลายเรื่องจาได ้ หลายเรื่องที่เมื่อก่อนจาได ้ กลับไม่ค่อยยินยอมไปนึกถึง ไปๆ มาๆ เช่นนี้ เรื่องที่จาได ้ก็ เปลี่ยนเป็นจาไม่ได ้ไปโดยปริยาย สองร ้อยกว่าปีที่ปลีกตัวจากโลกอยู่ชิงชิวไม่อาจนับได ้ว่าเงียบ สงบอะไร แต่ในช่วงเวลาสองร ้อยปีนี้กลับน้อยนักจะคิดถึงตงหัวอีก มาถึงสวรรค์เก ้าชั้นฟ้า กลับ พบเจอกันบ่อยครั้ง ดูท่าทางตงหัวจะจานางไม่ได ้ นางรู้สึกอย่างจริงใจว่าเช่นนี้แหละดีแล ้ว นาง กับตงหัว เป็นเช่นพุทธวจนะประโยคนั้น พูดไม่ได ้...พูดมากคือความผิด...กล่าวมากคือด่านกรรม วันนี้เป็นวันสุดท ้ายของงานมหาพิธีพันบุปผชาติซึ่งเหลียนซ่งจวินลงมือดาเนินการจัดงาน ด ้วยตัวเอง ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ก็คือวันที่พันบุปผาบานสะพรั่งแย่งชิงตาแหน่งราชินีบุปผากัน อย่างถึงพริกถึงขิงที่สุดนั่นเอง เล่าลือกันว่าเหล่าพระพุทธเจ ้าโบราณแห่งสวรรค์ประจิมก็เร่ง เดินทางนับพันหลี่มาร่วมในงานเลี้ยงนี้เช่นกัน พร ้อมนาพายอดมาลีพิสดารจากเขาคิชฌกูฏซึ่ง ปกติยากยิ่งจะได ้ยลสักครั้งมาด ้วยจานวนหนึ่ง ระยะนี้สวรรค์เก ้าชั้นฟ้าจึงผู้คนล ้นหลาม เทพ เซียนที่มียศมีขั้นล ้วนแต่แห่กันไปร่วมงาน
  • 17. 17 เฟิ่งจิ่วมิได ้กระตือรือร ้นสนใจพวกดอกไม ้ใบหญ ้าสักเท่าไรมาแต่ไหนแต่ไร ที่บังเอิญคือ เพื่อเป็นการฉลองอวยพรการอภิเษกสมรสของไท่จื่อแห่งเผ่าสวรรค์ บรรพตเซียนแห่งใดสักแห่ง ในพิภพเบื้องล่างได ้ถวายนักร ้องนางราที่แสดงงิ้วเป็นหลายนางขึ้นมาให ้เป็นการเฉพาะเมื่อไม่กี่ วันก่อน เวลานี้หมีกู่กาลังนานักร ้องนางราเหล่านี้ แสดงงิ้วฉากแม่ทัพ-หญิงงามที่แท่นแบกฟ้า [12]แห่งสวรรค์ชั้นเจ็ดพอดี เฟิ่งจิ่วถือเมล็ดแตงหนึ่งห่อ หิ้ว “ขวดถ่วงน้ามัน” หนึ่งขวด ก ้าวข ้ามประตูสวรรค์ชั้นเจ็ดไป ดูงิ้ว ขวดถ่วงน้ามันขาวผ่องอ่อนเยาว์ ก็คือเปี่ยวตี้เพียงผู้เดียวของนาง...ก ้อนแป้งข ้าวเหนียวอา หลีนั่นเอง ประตูสวรรค์ชั้นเจ็ดสูงลิบ ใต ้ร่มเงาเข ้มทึบพาดลงบัง มหาเทพตงหัวผู้โผล่หน้าแค่แวบ เดียวในงานมหาพิธีพันบุปผชาติแล ้วจรลากาลังนั่งต ้มชาอ่านหนังสือเพียงลาพังที่เบื้องหน้าคัน ฉ่องกาลพิสดาร[13] คันฉ่องกาลพิสดารคือหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสวรรค์ชั้นเจ็ด เรียกขานว่า “คันฉ่อง” แท ้จริงแล ้วคือน้าตกแห่งหนึ่ง สามพันมหาสหัสภพมีโลกมนุษย์พันกว่าล ้านใบ หากว่ามีพลังฤทธิ์ มากพอ จะสามารถมองเห็นการหมุนเวียนสับเปลี่ยนรุ่งเรืองและร่วงโรยของโลกมนุษย์โลกใด โลกหนึ่งในพันกว่าล ้านโลกจากบนคันฉ่องได ้ เนื่องจากปราณทิพย์ของน้าตกเข ้มข ้นเกินไป เทพเซียนธรรมดาไม่มีสักกี่คนทนรับได ้ไหว กระทั่งเจินหวงไม่กี่ท่านนั้นรั้งอยู่นานเข ้ายังต ้องเวียนศีรษะ ด ้วยเหตุนี้หลายปีมานี้ ผู้ซึ่งใช ้สถาน ที่นี้เป็ นที่พักผ่อน อ่านหนังสือ ตกปลา จึงมีตงหัวเพียงคนเดียว เฟิ่งจิ่วพาก ้อนแป้งข ้าวเหนียวเดินผ่านประตูสวรรค์ชั้นเจ็ด กาชับก ้อนแป้งว่า “เข ้ามาชิดทางนี้หน่อย อย่าเข ้าไปใกล ้ด ้านคันฉ่องกาลพิสดารมากเกินไป ระวังจะถูก ปราณทิพย์ลวกทาร ้ายเอา” ก ้อนแป้งข ้าวเหนียวเขยิบเข ้ามาเล็กน้อยอย่างว่าง่ายพลางเตะก ้อนหินบ่นกระปอดกระแปด อย่างโมโห “ฟู่ จวินแย่ที่สุดเลย ข ้าจาได ้ชัดๆ ว่าเมื่อคืนนี้ข ้านอนที่ตาหนักฉางเซิงของเหนียงชิน เช ้านี้ ตื่นมากลับอยู่ที่ตาหนักชิ่งอวิ๋นของข ้า ฟู่ จวินโกหกข ้าว่า ข ้าละเมอเดิกลับไปเอง” แล ้วแบสองมือ ทาท่าจนใจ “เขาคิดจะยึดครองเหนียงชินไว ้คนเดียวเลยฉวยโอกาสที่ข ้าหลับอุ้มข ้ากลับไปชัดๆ ถึงกับโกหกกระทั่งลูกชายแท ้ๆ ของตัวเอง ช่างไม่เลือกวิธีการแท ้ๆ” เฟิ่วจิ่วโยนห่อเมล็ดแตงในมือ “อย่างนั้นเมื่อเจ ้าตื่นแล ้วไม่ได ้แล่นไปที่ตาหนักฉางเซิงข่วน ประตูร ้องไห ้โฮให ้พวกเขาดูในทันทีดอกหรือ? เจ ้าสะเพร่าเกินไปแล ้ว” ก ้อนแป้งข ้าวเหนียวตกใจอย่างยิ่ง “ข ้าได ้ยินมาว่ามีแต่ผู้หญิงที่จะหนึ่งร ้องไห ้สอง อาละวาดสามผูกคอตาย” ตะกุกตะกักว่า “ท...ที่แท ้เด็กผู้ชายก็ทาได ้ด ้วยหรือ?”