TEST-Jenkins ci
- 2. ก่อนแรกมาทาความรู้จักกับ CI ก่อนนะครับ
CI (Continuous Integration) คือแนวคิด ทัศนะคติ รวมไป
ถึงวัฒนธรรมของทีมและองค์กร
สิ่งที่ทีมพัฒนาควรจะตกลงร่วมกันในการพัฒนา
1. เมื่อมีเราทาการดึง code จาก repository ล่าสุดลงมาแล้ว จะต้อง
สามารถ build และทดสอบผ่านทั้งหมดอยู่เสมอ
2. ทุกๆ คนจะต้องทาการ check-in code ไปยัง repository ทุกๆ
ชั่วโมง หรือ ทุกๆ การเปลี่ยนแปลง ยิ่งทาบ่อยยิ่งดี เพราะว่าการ check-in มัน
จะทาให้เกิดการพูดคุยภายในทีมอยู่เสมอ
- 3. จากข้อตกลงข้างต้นนั้น
เราจะทาให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะ?
1. ก่อนที่จะทาการ Check-in code ของคุณไปยัง repository นั้น
จะต้องทาการ build และต้องทดสอบผ่านทั้งหมด
2. แจ้งหรือตะโกนบอกให้ทีมรู้ว่า เราทาการแก้ไข code แล้วนะ เพื่อให้แต่ละคนทาการดึง
code ล่าสุดลงมา เพื่อทาให้มั่นใจว่าการ integrate มันผ่านและทางานได้จริงๆ
นะ
3. ทาการ Check-in code ไปยัง repository
4. จะต้องมีเครื่อง server หรือเครื่องแยกออกมา ทาการดึง code ล่าสุดจาก
repository ลงมา แล้วทาการ build และ ทดสอบทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจ
ว่าทุกๆ อย่างผ่านนะ และในขั้นตอนนี้จะทาให้ไม่เกิดคาพูดที่ว่า มันสามารถทางานได้บน
เครื่องผม/หนู นะ!! ดังนั้นถ้าเกิดปัญหาหรือข้อผิดพลาดขึ้นมาก็กลับไปแก้ไขใหม่หรือ
rollback กลับไป และกลับไปทาข้อ 1 อีกครั้ง
5. เมื่อข้อ 4 ผ่านแล้ว ให้บอกทุกๆ คนในทีมทาการดึง code ชุดล่าสุดจาก
repository ลงมาอีกครั้งหนึ่ง
- 5. กับมาที่ Jenkins มันคืออะไร?
Jenkins ก็คือ open source continuous integration
tools เขียนโดย java และยัง support พวก source code
management อย่าง git, svn, cvs อีกด้วย
สรุปก็คือ Jenkins จะเข้ามาช่วยทา CI และ Jenkins ยังสามารถเฝ้า
repository ใดๆก็ได้เมื่อเกิดการ commit ขึ้น jenkins จะทาการ
build version นั้นให้ทันที แล้วเราสามารถกาหนดได้ว่า หาก build สาเร็จให้
ลองรัน test case ก็ได้หรือจะให้ทาอะไร อื่นๆ ต่อไปได้
หลักการของ Jenkins คือเราจะต้องสร้าง Job ขึ้นมาก่อน แล้วกาหนดว่า Job นี้
จะใช้อะไรในการ Build หลังจาก Build สาเร็จแล้วให้ทาอะไร เมื่อได้ Job แล้วเรา
ก็สามารถควบคุม Job นี้อีกทีได้เช่นตั้งเวลาการทางาน หรือจะสั่ง build โดยตรงเลย
ก็ได้