More Related Content
Similar to จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร
Similar to จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร (9)
More from Thongkum Virut (20)
จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร
- 3. องค์คุณเอกภาพ3 ประการของประเทศไทยคือชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์
ได้รับการเชิดชูขึ้นเป็นพิเศษโดยล้นเกล้าฯรัชกาลที่6พร้อมๆกับทรงเปลี่ยนธงชาติจากธงแดงรูปช้างสีขาวเป็นธง3 สี คือ
แดง ขาวน้าเงิน เรียกว่า“ธงไตรรงค์”
ธงไตรรงค์คือสัญลักษณ์ขององค์คุณเอกภาพ3ประการสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของชาติ
สีขาวเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาสีน้าเงินเป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์
ชาติ หมายความถึงชนชาติไทยและประชาชาติสยามรวมกัน(ประชาชาติสยาม
เปลี่ยนเป็นประชาชาติไทยโดยรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.2482ว่าด้วยนามประเทศ
เมื่อเปลี่ยนนามประเทศจากประเทศสยามเป็นประเทศไทยประชาชาติสยามก็เปลี่ยนเป็นประชาชาติไทย
และสยามรัฐก็เปลี่ยนเป็นรัฐไทย)
ศาสนาหมายความถึงศาสนาทุกศาสนาในประเทศไทยโดยเฉพาะหมายความถึงพุทธศาสนา
ซึ่งเป็นศาสนาที่สอดคล้อง
กับลักษณะของชนชาติไทยและชนชาติไทยรับเอาเป็นศาสนาของตนมาแต่โบราณกาล
พระมหากษัตริย์หมายความถึงประมุขแห่งรัฐว่าประเทศไทยทุกยุคทุกสมัยแต่โบราณมา
มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ
ไม่ว่าสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมของประเทศไทยจะพัฒนาไปอย่างไร
พระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐคู่กับชนชาติไทยเสมอไป
องค์คุณ 3 ประการนี้เป็นเอกภาพกันแยกกันไม่ออกชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เหมือนกับสีแดง สีขาวสีน้าเงินทั้ง 3 สี รวมกันอยู่อย่างแยกกันไม่ได้ในธงไตรรงค์ผืนเดียวกัน
ต่อมา เมื่อมีการปฏิวัติประชาธิปไตยเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อพ.ศ.2475
รัฐบาลของระบอบประชาธิปไตยได้เพิ่มองค์คุณเข้าไปอีกองค์หนึ่งคือรัฐธรรมนูญองค์คุณเอกภาพ3
ประการจึงเปลี่ยนเป็นองค์คุณเอกภาพ4ประการคือชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และรัฐธรรมนูญ
การที่รัฐบาลสมัยนั้นเพิ่มรัฐธรรมนูญเข้าไปก็เพราะเข้าใจผิดที่ยกความสาคัญของรัฐธรรมนูญจนเกินไป
ซึ่งความจริงรัฐธรรมนูญ
หาได้มีฐานะสูงส่งเสมอด้วยชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์ไม่
ถ้ารัฐบาลสมัยนั้นจะยกองค์คุณใดขึ้นมาเสมอด้วยองค์คุณ3ประการดังกล่าวองค์คุณนั้นควรเป็นระบอบประชาธิปไตย
ฉะนั้นถ้าจะเปลี่ยนองค์คุณเอกภาพ3ประการเป็นองค์คุณเอกภาพ4ประการตามดาริของรัฐบาลสมัยนั้นแล้วองคุณ4
ประการควรเป็นชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และระบอบประชาธิปไตย
- 4. เมื่อการเพิ่มรัฐธรรมนูญเข้าไปอีกองค์คุณหนึ่งเกิดจากความเข้าใจผิดที่ยกความสาคัญของรัฐธรรมนูญสูงเกินไป
ต่อมาองคุณรัฐธรรมนูญจึงหายไปเองคงเหลือองค์คุณ3ประการคือชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์
ตามพระราชดาริอันถูกต้องของล้นเกล้าฯรัชกาลที่6มาจนถึงทุกวันนี้
และในปัจจุบัน กล่าวถึงองค์คุณเอกภาพ3ประการนี้นิยมกล่าวในฐานะเป็นสถาบันคือสถาบันชาติ
สถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ คนไทยพากันรู้สึกว่าสถาบันเอกภาพทั้ง3นี้
เริ่มได้รับความกระทบกระเทือนเมื่อมหาอานาจเจ้าอาณานิคมทาการคุกคามต่อประเทศหนักยิ่งขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินท
ร์ โดยมหาอานาจมุ่งจะทาลายเอกราชของประชาชาติสยามถ้าเอกราชของประชาชาติสยามถูกทาลายลงในครั้งนั้น
จะเป็นภัยคุกคามอย่างรุนแรงต่อสถาบันพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์
...ด้วยพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ภัยคุกคามจากมหาอานาจต่อเอกราชของประชาชาติสยามถูกขจัดโดยพื้นฐานแต่ก็ยังไม่อาจไว้วางใจได้
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงส่งเสริมความรักชาติ(Patriotism) และลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นด้วยการเชิดชูองค์คุณ3ประการคือชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ขึ้นเป็นพิเศษเป็นสาคัญประการหนึ่ง
ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
มหาอานาจสังคมนิยมเข้มแข็งขึ้นอย่างรวดเร็วคู่ขนานกับมหาอานาจเสรีนิยมภัยคุกคามต่อประเทศไทยด้วยรูปแบบต่างๆ
ก็ทวียิ่งขึ้นจึงจาเป็นต้องใช้มาตรการสูงสุดในการรับมือภัยคุกคามนั่นคือการปฏิวัติประชาธิปไตย
การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อพ.ศ.2475
แต่ระบอบประชาธิปไตยประสบความล้มเหลว
เป็นเหตุสาคัญให้ภัยคุกคามทวีขึ้นเป็นลาดับและเลวร้ายมากในปัจจุบันคุณบุญชูโรจนเสถียร
กล่าวคาบรรยายที่กรมยุทธศึกษาทหารบกเมื่อวันที่3 กรกฎาคม2524ตอนหนึ่งว่า
“ผมเห็นจะต้องเอ่ยถึงสถานการณ์ที่เห็นกันอยู่คือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศเราในช่วงเวลาไม่นานมานี้
กาลังแผ่เงาดาครอบคลุมไปทั่วประเทศถ้าเราไม่คิดหลอกตัวเองกันเราก็ต้องยอมรับกันว่า
ทุกคนกาลังมีความกังวลห่วงใยบ้านเมืองของเราห่วงใยสถาบันต่างๆที่เราเคารพบูชาว่าตกอยู่ในสถานะที่อันตรายมาก
แต่จะเป็นด้วยเหตุใดก็ตามพวกเรามักเก็บไว้ในใจไม่พูดถึงกันอย่างไรก็ตามวันนี้ผมอยากระบายแทนเพราะเห็นว่า
ถ้าเราประสงค์จะอยู่รอดตลอดไปเราต้องหันหน้าเข้าสู้กับความจริง
ไม่ว่าความเป็นจริงนั้นจะลาบากยากเข็ญที่จะแก้เพียงใดหรือน่ากลัวเพียงใด
เราก็ต้องพร้อมใจกันฝ่ าฟันแก้ไขอย่างกล้าหาญไม่ย่อท้อแม้แต่น้อย”(จาก“ตะวันใหม่”ฉบับที่ 175)
คาของคุณบุญชู ที่กล่าวว่า“ทุกคนกาลังมีความกังวลห่วงใยบ้านเมืองของเราห่วงใยสถาบันต่างๆ
ที่เราเคารพบูชาว่าตกอยู่ในฐานะที่อันตรายมาก”นั้นเป็นการสะท้อนสภาพความเป็นจริงอย่างถูกต้องที่สุด
- 5. และคุณบุญชูกล่าวว่า“แต่จะเป็นด้วยเหตุใดก็ตามพวกเรามักจะเก็บไว้ในใจไม่พูดถึงกัน...วันนี้ผมจะขอระบายแทน”นั้น
เรา“ตะวันใหม่” ขอรับรองให้คุณบุญชูระบายแทนเพราะรู้สึกว่าคุณบุญชูสามารถใช้คาพูดสั้นๆ
วาดมโนภาพเข้าไปถึงส่วนลึกที่สุดในหัวใจของประชาชนชาวไทยรวมทั้งของ “ตะวันใหม่”
เกินกว่าความสามารถที่เราจะระบายเองได้ โดยเฉพาะที่คุณบุญชูกล่าวว่าทุกคนกาลังห่วงใยต่อสถาบันต่างๆ
ที่เราเคารพบูชาก็คือสถาบันชาติสถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นเอง
อย่างไรก็ดีเราเห็นว่าความสามารถของคุณบุญชู
มีเพียงแต่ระบายความในใจแทนคนไทยที่มีความห่วงใยสถาบันอันเป็นที่เคารพบูชาเท่านั้น
แต่ในปัจจุบันปัญหาไม่ได้มีเพียงการระบายความห่วงใยปัญหาสาคัญที่สุดในปัจจุบันคือ
ทาอย่างไรจึงจะแก้ให้สถาบันที่เราเคารพบูชาพ้นจากสภาพที่“ตกอยู่ในฐานะที่อันตรายมาก”
ที่คุณบุญชูระบายออกมาอย่างตรงกับความเป็นจริงที่สุดนั้นได้
ความห่วงใยสถาบันที่เราเคารพบูชาว่าตกอยู่ในฐานะที่อันตรายมากคือทุกข์แต่จะรู้ทุกข์เพียงอย่างเดียวมิได้
จะต้องรู้เหตุแห่งทุกข์และรู้หนทางแห่งความพ้นทุกข์ด้วย
เรารู้ทุกข์กันมามากแล้วเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เพียงแต่จะราพันถึงทุกข์
บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องแก้ทุกข์และพ้นทุกข์การที่จะพ้นทุกข์ได้นั้นจะต้องมีหนทางแก้ทุกข์อย่างถูกต้อง
ถ้ามีหนทางแก้ทุกข์ไม่ถูกต้องก็แก้ทุกข์ไม่ได้ ไม่พ้นทุกข์แต่กลับจะทุกข์หนักยิ่งขึ้นก็เป็นไปได้
ความจริงคุณบุญชูไม่ได้ระบายทุกข์อย่างเดียวคุณบุญชูได้เสนอหนทางแก้ทุกข์ด้วยเหมือนกัน
เช่นเดียวกับหลายคนที่ไม่เพียงแต่ระบายความห่วงใยต่อชาติบ้านเมืองเท่านั้น
หากยังเสนอวิธีแก้ปัญหาของประเทศชาติอีกด้วย แต่วิธีแก้ปัญหานั้นมีทั้งถูกต้องและผิดพลาด
วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องเท่านั้นจึงจะแก้ปัญหาได้ วิธีการแก้ปัญหาที่ผิดพลาดไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาไม่ได้
หากยังจะทาให้ปัญหาร้ายแรงยิ่งขึ้นก็เป็นไปได้
สมัยก่อนพุทธกาลมีศาสดาเป็นอันมากสอนหนทางพ้นทุกข์แต่ไม่สามารถจะพ้นทุกข์
ก็เพราะหนทางเหล่านั้นเป็นหนทางที่ผิดพลาดการที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกคือ
การเกิดขึ้นของหนทางพ้นทุกข์ที่ถูกต้องเรียกว่าสัมมามรรคซึ่งปฏิเสธมิจฉามรรคของศาสนาอื่นสมัยนั้น
กล่าวโดยอนุโลมกับการเมืองสัมมามรรคก็คือนโยบายที่ถูกต้อง และมิจฉามรรคก็คือนโยบายที่ผิดพลาด เพราะ
“ตะวันใหม่” เห็นตรงกับคุณบุญชูและคนอื่นว่าสถาบันต่างๆที่เราเคารพบูชาตกอยู่ในอันตรายมาก
จาเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องแก้ไขโดยด่วนที่สุดแต่การที่แก้ไขได้นั้นไม่เพียงแต่จะ “ต้องหันหน้าเข้าสู่ความเป็นจริง
ไม่ว่าความเป็นจริงนั้นจะลาบากยากเข็ญที่จะแก้สักเพียงใดหรือน่ากลัวเพียงใด
เราจะต้องพร้อมใจกันฟันฝ่ าแก้ไขอย่างกล้าหาญไม่ย่อท้อแม้แต่น้อย”อย่างคุณบุญชูว่าเท่านั้น
ข้อสาคัญที่สุดจะต้องมีนโยบายที่ถูกต้องในการแก้ไขด้วยจึงจะแก้ไขได้
- 13. ต่อไปนี้มาดูการปฏิวัติประชาธิปไตยซึ่งกระทาโดยข้าราชการระดับล่างและพ่อค้าประชาชน
ครั้งแรกคือการปฏิวัติประชาธิปไตยซึ่งนาโดยคณะรศ.130มี ร.อ.ขุนทวนหาญพิทักษ์(หมอเหล็ง ศรีจันทร์)เป็นหัวหน้า
ผู้นาคนสาคัญๆของคณะเช่น ร.ต.เนตรพูนวิวัฒน์ร.ต.จรูญ ษตะเมตร.ต.หม่อมราชวงศ์ แซ่ รัชนิกรนาย อุทัย
เทพหัสดินนายเซี้ยงสุวงศ์นายบุญเอก ตันสถิตฯลฯคณะ ร.ศ.130 เป็นคนหนุ่ม อายุถัวเฉลี่ย20ปี หัวหน้าคือ
ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์อายุ28 ปี ร.ต.เหรียญศรีจันทร์ อายุเพียง18 ปี
นายทหารของคณะร.ศ.130 เกือบจะทุกคนเป็นมหาดเล็กในกรมหลวงพิษณุโลก
นอกนั้นเป็นมหาดเล็กในกรมหลวงนครสวรรค์กรมหลวงราชบุรี กรมหลวงนครชัยศรี บางคนเป็นเชื้อพระวงศ์
บางคนเป็นข้าหลวงเดิมหรือมหาดเล็กในรัชกาลที่6และกรมหลวงพิษณุโลกทรงระแคะระคายอยู่แล้ว
ถึงการเคลื่อนไหวของคณะนี้เพราะเป็นข่าวที่ไม่เป็นความลับอีกต่อไป
แต่พระองค์ทรงถือว่าเป็นเรื่องของคนหนุ่มหัวก้าวหน้าและพระองค์ท่านก็ทรงมีพระทัยใฝ่ทางก้าวหน้าอยู่เหมือนกัน
ความมุ่งหมายของคณะร.ศ.130 คือ
ยกเลิกระบอบพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์และเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งค
รั้งนั้นหมายถึงระบอบประชาธิปไตย
คณะร.ศ.130 ไม่มีความมุ่งหมายที่ยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์
สิ่งที่คาดคิดอยู่บ้างก็คือถ้าหากมีความจาเป็นอย่างที่สุดก็เปลี่ยนแปลงเพียงองค์พระประมุขเท่านั้น
มิใช่เปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันประธานาธิบดีแต่คณะร.ศ.130
ก็ไม่เชื่อว่าต้องถึงกับเปลี่ยนแปลงองค์พระประมุขดังบันทึกของร.ต.เหรียญและร.ต.เนตร ผู้นาคนสาคัญของคณะ
ร.ศ.130 กล่าวไว้ว่า
“ ไม่เชื่อว่าจะต้องเปลี่ยนองค์พระประมุขของชาติ
เพราะคณะมีเหตุผลอย่างสมบูรณ์ที่ทาให้ถวายความเชื่อในพระเกียรติยศแห่งองค์พระประมุขว่า
พระองค์ทรงสืบสายโลหิตมาแต่ตระกูลขัตติยะและทรงศึกษามาจากสานักที่ทรงเกียรติอันสูงส่งณประเทศอังกฤษ
ซึ่งเป็นมารดาแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย..หากคณะจักมีความจาเป็นที่สุดที่จะเดินหน้าจนถึงกับจะต้องเปลี่ยน
องค์พระประมุขแห่งชาติแล้วไซร้...เช่นที่เคยมีการปรึกษาหารือกันภายในของแต่ละกลุ่มสมาชิกไว้ดังนี้
ฝ่ ายทหารบกจะทูลเชิญทูลกระหม่อมจักรพงศ์ฝ่ ายทหารเรือจะทูลเชิญทูลกระหม่อมบริพัตร
และฝ่ ายกฎหมายกับพลเรือนจะทูลเชิญในกรมหลวงราชบุรี ”
และวิธีการของการปฏิวัติประชาธิปไตยครั้งนั้นคณะร.ศ.130 ได้กาหนดไว้ว่าจะปฏิบัติการโดยสงบ
มิให้มีการต่อสู้กันด้วยกาลังโดยคณะปฏิวัติจะเข้าเฝ้ าทูลเกล้าฯถวายหนังสือแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ณ วัดพระศรีรัตนศาสดารามในวันถือน้าพระพิพัฒน์สัตยา 1เมษายน2455 ดังบันทึกของ ร.ต.เนตร และ ร.ต.เหรียญ
กล่าวไว้ว่า
- 14. “ ยังเหลือเวลาประมาณ50
วันเท่านั้นก็จะถึงวาระสาคัญของคณะปฏิวัติที่จะเบิกโรงดาเนินการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายหนังสืออันเป็นประวัติศาส
ตร์ของชาติไทยแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระประมุขแห่งชาติด้วยคารวะอย่างสูง
โดยหัวหน้าคณะปฏิวัติณภายในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามท่ามกลางพระบรมวงศานุวงศ์
และมวลอามาตย์ข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ในพระราชพิธีศรีสัจจปานกาลคือถือน้าพระพิพัฒน์สัตยาในต้นเดือนเมษายน
ร.ศ.130 (พ.ศ.2455) อันเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยสมัยนั้นโดยมีกาลังทหารทุกเหล่าในพระนครพร้อมด้วยอาวุธ
ซึ่งปกติทุกปีมาเคยตั้งแถวเป็นเกียรติยศรับเสด็จพระราชดาเนินณสนามหญ้าหลังวัดพระแก้วโดยพร้อมสรรพ
และเฉพาะปีนี้ก็พร้อมที่จะฟังคาสั่งของคณะปฏิวัติอยู่รอบด้านอีกด้วยเพราะทหารทุกคนณ
ที่นั้นเป็นทหารของคณะปฏิวัติแล้วเกือบสิ้นเชิง........
แม้แต่ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์และทหารราบที่11 รักษาพระองค์
ที่ถือปืนสวมดาบปลายปืนยามรักษาพระองค์อยู่หน้าประตูโบสถ์ก็คือทหารคณะปฏิวัตินั่นเองตามแผนของคณะฯ
จักไม่มีการต่อสู้กันเลยจากทหารที่ถืออาวุธในพระนคร
เพราะหน่วยกาลังที่จะช่วงใช้เพื่อรบราฆ่าฟันกันเองจะมีขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด
แม้นายทัพนายกองชั้นสูงคนใดจะออกคาสั่งก็หาเป็นผลประการใดไม่ ค่าที่หน่วย กาลังอันแท้จริงของกองกาลังนั้น
ได้ตกอยู่ในกามือของพรรคปฏิวัติดังกล่าวนับแต่ชั้นพลทหารและนายสิบขึ้นไปจนถึงนายทหารผู้บังคับบัญชา
โดยตรงคือชั้นประจากองโดยคณะปฏิวัติจาต้องจัดหน่วยกล้าตายออกคุมจุดสาคัญๆ
ในพระนครพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงกระหึ่มของปืนใหญ่อาณัติสัญญาณลั่นขึ้นในพระนครสองสามแห่งและพร้อมกันนั้นต้อ
งใช้กาลังเข้าขอร้องเชิงบังคับให้นายทหารชั้นผู้ใหญ่บางคนที่เห็นสมควร
และชี้ตัวไว้แล้วมาดาเนินการร่วมด้วยกับคณะในบางตาแหน่งโดยขอให้พิจารณาตัดสินใจทันทีเพื่อความเจริญของชาติไท
ยในสมัยอารยนิยม ”
เมื่อตรวจสอบเจตนาและพฤติกรรมของคณะร.ศ.130 โดยละเอียดแล้วจะไม่พบเลยว่าคณะร.ศ.130
มีความมุ่งหมายจะยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์
และนาเอาสถาบันประธานาธิบดีหรือสถาบันอื่นมาเป็นประมุขของประเทศแทนตรงกันข้าม
จะพบแต่การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์
ทั้งต้องการจะเชิดชูองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวให้สูงส่งยิ่งขึ้นด้วย
โดยปรารถนาที่จะให้พระองค์ท่านทรงร่วมมือกับคณะโดยดารงฐานะพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ซึ่งเวลานั้นเรียกว่า“ลิมิเต็ดมอนากี”ดังคาให้การของร.อ.ขุนทวยหาญฯหัวหน้าคณะต่อศาลทหารว่า
“ เพียงแต่มีการหารือกันเพื่อทาหนังสือทูลเกล้าฯถวายในอันจะขอพระมหากรุณาธิคุณให้องค์พระมหากษัตริย์
ทรงปรับปรุงการปกครองให้สอดคล้องกับกาลสมัยโดยเปลี่ยนการปกครองเป็นลิมิเต็ดมอนากี นอกจากนั้น
สมาชิกของคณะร.ศ.130 บางคนเข้าร่วมการปฏิวัติประชาธิปไตย