SlideShare a Scribd company logo
1 of 28
Download to read offline
Blog คืออะไร ?
Blog คืออะไร
Blog มาจากศัพท์คาว่า WeBBlog บางคนอ่านคา ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้
ทั้งนั้น ทั้งสองคาบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)
ความหมายของคาว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์
โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง
ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทาให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ
ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเองใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลใน
การโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่น
กลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่
ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่
การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ
เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยัง
สามารถแตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ที่เจ้าของบล็อกจะเป็นคนที่ถนัดในด้านไหน
ก็มักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น
และจุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเอง
ระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทาง
ระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง
ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทากันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบัน
นี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้น
ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์
นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจากการเขียนเป็นงานอดิเรกของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ
แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสาคัญให้กับหนังสือพิมพ์หรือสานักข่าวชั้นนา จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็
ได้รับการยอมรับจากสื่อและสานักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูลตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนกระทั่ง
เรื่องราวของการประชุมระดับชาติ
และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์
หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ที่สาคัญอย่างแท้จริง
สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ที่มีรูปแบบเนื้อหาเป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วน
ของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
โครงสร้างของ Blog
มาดูเรื่องกายวิภาคของ Blog กันดีกว่า ว่า blog นั้นมีส่วนประกอบที่สาคัญอะไรบ้าง จะได้รู้ว่าเราจะใช้
ประโยชน์จากส่วนต่าง ๆ ของ blog นั้นได้อย่างเต็มที่
1. ชื่อบล็อก (Blog Title) ส่วนของ Blog Title นี้ก็จะเป็นชื่อบล็อกนั้น ๆ ครับ
2. แท็กไลน์ (Subtitle หรือ Tag line) ตรงส่วนนี้จะเป็นคาจากัดความของเว็บ หรือสโลแกนเก๋ ๆ ที่
ใช้อธิบายถึงตัวบล็อกโดยรวม โดยตัวแท็กไลน์นี้ จะมีก็ได้ หรือไม่มีก็ได้ เพราะมันไม่สาคัญเท่ากับชื่อบล็อกครับ
3. วันที่และเวลา (Date & Time Stamp) เป็นวันที่ และบางทีอาจมีเวลากากับอยู่ด้วย ตัววันที่และ
เวลานี้ จะเป็นตัวบอกว่าบทความในบล็อกนั้นเขียนขึ้นมาเมื่อไหร่ บางครั้งอาจมีวันที่ระบุอยู่ในส่วน
ของ comment ด้วย ซึ่งจะเป็นการบ่งบอกว่า comment นั้นเขียนเข้ามาเมื่อไหร่เช่นกัน
4. ชื่อบทความ (Entry Title)ชื่อเรื่องของบทความที่เขียนในบล็อก
5. ตัวเนื้อหาบทความ (Entry’s Main Body)อาจเป็นตัวหนังสือ หรืออาจเป็นรูปภาพ วีดีโอ หรืออนิ
เมชั่น เป็นต้น โดยส่วนประกอบเหล่านี้จะรวมเป็นส่วนเนื้อหาของบทความ
6. ชื่อผู้เขียน (Blog Author)บางบล็อก อาจมีการระบุชื่อผู้เขียนไว้ในบล็อกด้วยครับ โดยตาแหน่งที่จะ
ใส่ชื่อผู้เขียนนั้น สามารถไว้ที่ตาแหน่งใดก็ได้ เช่นด้านข้าง (sidebar) หรืออยู่ในตัวบทความก็ได้
7. คอมเม้นต์ (Comment tag)เป็นลิงค์ที่ให้ผู้อ่านคลิกไปเพื่อกรอกคอมเม้นต์ให้กับบล็อกนั้น ๆ ได้
8. ลิงค์ถาวร (Permalink) เรียกชื่อไทยแล้วเขิ้นเขิน เราสามารถเรียกทับศัพท์ก็ได้ครับว่า เพอร์มาลิ้งค์
เจ้าลิงค์ตัวนี้คือลิงค์ที่ไปหา url ของบทความนั้น ๆ โดยตรงครับ มีประโยชน์สาหรับ blogger คนอื่น ๆ ที่
อยากจะทาลิงค์หาบทความของเราโดยตรง ก็จะสามารถหา permalink ได้อย่างง่ายดายครับ
โดย url ของ permalink นี้จะไม่เปลี่ยนไปตามวันและเวลาเหมือน link ของหน้าแรกของบล็อกที่บทความจะ
เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ครับ นี่แหละครับที่เค้าเรียกว่า ลิงค์ถาวร
9. ปฎิทิน (Calendar)บล็อกบางแห่งอาจมีปฎิทินอยู่ด้วย โดยในปฎิทินนั้นสามารกคลิกตามวันที่ เพื่อ
อ่านบทความของวันที่นั้น ๆ ได้สะดวกครับ
10. บทความย้อนหลัง (Archives)บทความเก่า หรือบทความย้อนหลัง อาจมีการจัดเตรียมไว้โดย
เจ้าของบล็อก โดยบล็อกแต่ละแห่งอาจจัดเรียงบทความย้อนหลัง ไม่เหมือนกัน เช่นจัดเรียงรายเดือน รายสัปดาห์
รายวัน หรือจะ list บทความทั้งหมดออกมาเลยก็ได้
11. ลิงค์ไปยังเว็บอื่น (Links)เป็นจุดเด่นและความสนุกของบล็อกอีกอย่างหนึ่งเลยทีเดียวครับ โดยบล็อก
แต่ละแห่ง อาจมีลิงค์ไปยังเว็บอื่นหลากหลายเว็บ บางครั้งเราสามารถเรียก link พวกนี้ว่า blogroll ก็ได้ครับ
12. RSS หรือ XMLตัว RSS นี้อาจมีเตรียมไว้ให้เราโดยอัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับ Blogware หรือ Blog
Host ที่เราเลือกใช้ เช่น WordPress หรือ MovableType นั้นจะมี RSS ลิงค์ไว้ให้เราโดยอัตโนมัติ โดย
เจ้า RSS Feed นี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงบทความของเราได้ง่ายขึ้น โดยการใช้โปรแกรมช่วยอ่าน Feed ได้ด้วย
บางครั้งนักเขียน Blog คนอื่น ก็อาจใช้ RSS Feed นี้เพื่อประโยชน์ในการดึงข้อมูลไปแสดงในเว็บ หรือบล็อก
ของตนได้
7 เทคนิคของการสร้าง Blog
ถ้าต้องการสร้างบล็อกให้เป็นอย่างมืออาชีพ คุณต้องไม่ลืมที่จะใส่ใจในสิ่งเหล่านี้
1. ใส่ใจกับรูปแบบดีไซน์ของ blogลองสังเกตดูง่าย ๆ สาหรับบล็อกชั้นนาของโลก ต่างก็ไม่ได้
ใช้ template แจกฟรีที่มีกันทั่วไป แต่บล็อกชั้นนาเหล่านี้ ต่างก็ออกแบบดีไซน์ของบล็อกขึ้นมาเองทั้งหมด ทาให้
บล็อกนั้นดูมีความแตกต่าง และมีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น
2. ใส่ใจกับเนื้อหาของบล็อกก่อนที่คุณจะสร้างบล็อกขึ้นมาซักแห่งหนึ่ง ลองวางแนวทางของเนื้อหาใน
บล็อกดูก่อน ว่าเราต้องการจะนาเสนอบทความรูปแบบไหน เราจะมีวิธีนาเสนอไปในทางใด สิ่งเหล่านี้ จะทาให้
คุณไม่หลุดประเด็น จากที่คุณตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก เช่น บล็อกของ keng.com ต้องการจะเป็น บล็อกที่นาเสนอ
ข้อมูลด้านการทาบล็อก ดังนั้นควรวางแนวทางไว้ว่า ต้องมีข่าวสารวงการบล็อกทั่วโลก มาให้ผู้อ่านได้อ่านกัน และ
ยังต้องมีเทคนิคการทาบล็อกสาหรับมือใหม่ เช่นบทความเรื่อง “blog คืออะไร?” และมีเทคนิคสาหรับขั้น
ผู้เชี่ยวชาญ เช่นการใส่ Tag หรือการ Ping ไปยัง blog search engine เป็นต้น ตัวอย่างข้างต้น ดังเช่น
ตัวอย่างบทความ ที่ได้เขียนขึ้นมาเหล่านี้ เป็นแนวทาง ในการกาหนดทิศทางของบล็อก
3. ใส่ใจผู้อ่าน มากกว่าใส่ใจตัวเอง เนื้อหาของบล็อกเป็นสิ่งที่ผู้อ่านใส่ใจใคร่รู้ ไม่ใช่ป้ายโฆษณาที่เรา
วางระเกะระกะในเว็บไซต์แต่อย่างใด ดังนั้นการจัดรูปแบบโฆษณา ต้องคานึงถึงจิตใจผู้อ่านด้วย ว่าถ้าเป็นเราเอง
ไปอ่านบล็อกคนอื่น แล้วมีโฆษณามาเกะกะในตัวบทความ เราชอบหรือไม่ โดยทั่วไปแล้ว ถ้าบทความของเราเขียน
ได้ดี ผู้อ่านก็จะมาอ่านซ้าแล้วซ้าอีก และอาจมีผู้อ่านมากขึ้นทุก ๆ วัน หลังจากนั้นแล้ว รายได้จากค่าโฆษณาจะ
ตามมาเอง โดยที่เราไม่ต้องไปใส่โฆษณา แทรกลงไปในตัวบทความอีกด้วย
4. ใส่ใจ comment ที่มีเข้ามาบล็อกสามารถใช้ประโยชน์ของการสื่อสาร ได้ด้วยระบบ comment ใน
ตัวเอง ซึ่งโปรแกรมสร้างบล็อก (Blogware) ส่วนใหญ่ มีระบบ comment ติดมาให้ด้วยอยู่แล้ว ลองใช้ระบบ
นี้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน comment การตอบ comment ต่าง ๆ บางครั้งเราอาจได้ประโยชน์จาก
การดึงประเด็นเด็ด ๆ จาก comment มาใช้เขียนบทความก็เป็นได้ ดังนั้น ทุก ๆ วันควรที่จะตรวจสอบว่า
มี comment ใดเข้ามาบ้าง เพื่อที่จะได้ตอบได้ทันท่วงที เมื่อเราตอบได้เร็ว ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมในการสื่อสาร ทั้ง
สองฝ่ายก็แฮปปี้ และจุดสาคัญอีกอย่างหนึ่งถ้าเราตรวจสอบ comment ทุกวันก็คือ เราสามารถลบพวก spam
comment ออกได้อย่างทันควันไงครับ
5. ใส่ใจในมาตรฐานของเว็บไซต์ ไม่มีใครรู้ว่าบล็อกของเราจะมีคนเข้ามาอ่านมากแค่ไหน บางครั้งเราอาจ
ต้องมีการปรับปรุงเว็บไซต์ หรือบางครั้งเราอาจต้องมีการปรับแต่งดีไซน์ เพื่อรองรับการขยายตัวอย่างที่เราไม่คาด
ฝัน ลองมองไปถึงการดีไซน์บล็อกด้วย มาตรฐานของเว็บไซต์ (Web Standard) ซึ่งจะสามารถทาให้บล็อกของ
เรา แสดงผลได้ดีในทุก ๆ browser และลองพยายามใช้ css ในทุก ๆ ส่วนที่คุณทาได้ เพราะตัว css นี้มี
ความยืดหยุ่นสูง ถ้าเราต้องมีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ต่าง ๆ เราจะได้ปรับเฉพาะแค่ไฟล์ css แทนที่จะไป
แก้ html ในแต่ละหน้า ลองนึกดูว่า ถ้าวันใดที่มีบทความประมาณ 1,000 บทความ แต่ต้องมานั่งแก้สีของกรอบ
รูปภาพ ที่เคยเขียนโค๊ดใส่ border เข้าไปที่โค๊ดของรูปภาพโดยตรง แทนที่จะแก้ไขที่ไฟล์ css แค่บรรทัดเดียว
6. จัดตารางเวลาในการเขียนให้เหมาะสม เมื่อตอนเริ่มเขียนบล็อก อาจใช้เวลาไม่มากนักในการเขียน
บทความ แต่เมื่อเขียนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี แน่นอนว่าคงต้องมีการกระทบกับเวลาการ
ทางานอื่น ๆ เช่นกัน ดังนั้นลองจัดสรรเวลาสาหรับเขียนบล็อก อาจจะตื่นเช้าสักหน่อย ใช้เวลาในช่วงเช้าก่อนไป
ทางาน เขียนบทความสักหนึ่งตอน หรือจะเขียนบทความในช่วงดึก ๆ ก่อนนอนก็ได้ ตรงนี้แล้วแต่คน ว่าจะ
สะดวกแบบไหน หรือมีเวลาว่างในตอนอื่น ๆ ลองปรับให้เหมาะสมกับตัวเอง
7. ใส่ใจเรื่องขนาดของภาพประกอบบทความไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งฉันท์ใด บล็อกย่อมงาม
เพราะดีไซน์และภาพประกอบ ลองทาความรู้จักกับรูปแบบของไฟล์ภาพชนิดต่าง ๆ เช่นไฟล์ที่มีนามสกุล
เป็น .gif นั้น สามารถแสดงผลได้สูงสุด 256 สี แต่ไฟล์ภาพที่เป็นนามสกุล .jpg นั้นสามารถแสดงผลได้
สูงสุด 16 ล้านสี ดังนั้นการเลือกที่จะเซฟภาพเป็นไฟล์นามสกุลอะไรนั้น เป็นสิ่งจาเป็นอย่างมาก เพราะหากเลือก
ชนิดไฟล์ผิด ภาพที่ออกมาจะไม่สวย และไฟล์อาจมีขนาดใหญ่ผิดปกติ นั่นจะเป็นสิ่งที่กินทรัพยากรของระบบ
และบล็อกมากขึ้นไปอีก เพราะถ้ามีผู้อ่านเยอะ แต่ต้องรอโหลดภาพที่ใหญ่ผิดปกติ ผู้อ่านบางท่านอาจจะเลิกรอ
เลย วิธีง่าย ๆ ในการเซฟภาพมีดังนี้ หากเป็นภาพถ่าย แนะนาให้ใช้เป็น jpg ส่วนถ้าเป็นไฟล์โลโก้ หรือภาพ
ที่มีจานวนสีน้อย ๆ ลองใช้เป็น gif ดู
ทาไมBlogถึงได้รับความนิยม
ความสะดวกและง่ายดายของการเขียนบล็อก หรือสร้างบล็อกขึ้นมาสักหนึ่งแห่ง ทาให้ผู้คนนับล้าน ได้ทา
การเขียนและเผยแพร่ความคิดของตนได้ง่าย และนอกเหนือจากนั้นยังมีความคิดเห็น อีกนับล้านจากคนอ่านที่เข้า
มา Comment หรือตอบกลับในบล็อกเหล่านั้น ทาให้มีการโต้ตอบกันทางความคิด (interactive) ซึ่งตอบโจทย์
เรื่องการสื่อสารระหว่างคนเขียนและคนอ่านได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น Blog จึงเปรียบเสมือนเป็นสื่ออีกชนิดหนึ่ง กลายเป็นแหล่งข้อมูลสาคัญที่เราไม่สามารถมองข้าม
มันได้ ด้วยความฉับไวของข้อมูลใน Blog อีกทั้งยังเป็นข้อมูลที่ใหม่สด บางครั้ง ข้อมูลจาก Blog เป็นข้อมูลที่
ไม่เคยปรากฎที่ไหนมาก่อนอีกด้วย
ที่สาคัญที่สุดคือ Blog ทาให้ผู้คนสามารถมีสิทธิ์มีเสียง และเขียนถึงเรื่องราวและบทความต่าง ๆ ได้ง่าย
ดังใจนึก
ประโยชน์ของBlogกับธุรกิจ
ปัจจุบันนี้ บริษัทชั้นนาต่าง ๆ ของโลก ได้หันมาจับตามอง Blog ซึ่งเป็นรูปแบบของ
การ Marketing แบบใหม่ เนื่องจาก Blogger จะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้อ่าน Blog สูงมาก เนื่องจากทั้ง
สองฝ่ายสามารถโต้ตอบกันได้โดยตรง
การที่ใช้ Blog มาเป็นเครื่องมือทางการตลาดนั้น อาจเรียกได้ว่าเป็น Buzz Marketing บางบริษัทอาจ
เลือกเจ้าของ Blog ให้เป็น presenter ให้กับผลิตภัณฑ์ของตนเอง เช่นเสนอสินค้า ให้เจ้าของ Blog นาไป
เขียนวิจารณ์หรือเขียนถึงใน Blog ของตนเป็นต้น
บางบริษัทใช้ Blog เพื่อเป็นเครื่องมือสื่อสาร หรือ PR ข่าวสารขององค์กร โดยการใช้ Blog เพื่อ
ประกาศข่าวสารนั้น จะดูมีความเป็นกันเองและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างเป็นมิตร เพราะเนื่องจากลูกค้าสามารถ
ฝาก comment หรือสื่อสารกับเจ้าของ Blog ได้ทันที ทาให้บริษัทเอง จะได้ประโยชน์จากคาแนะนาที่
ตรงไปตรงมาของลูกค้าอีกด้วย บริษัทชั้นนาต่างเลือกที่จะใช้ Blog มาเป็นเครื่องมือทางการตลาดกันแล้ว โดยบาง
แห่งใช้ทั้ง Blog อย่างเป็นทางการของบริษัท แถมยังเปิดให้พนักงานได้เขียน Blog ของตนเองอีกด้วย โดย
วิธีการนี้นับเป็นการทาการตลาดโดยการสร้างการรับรู้ตราสินค้า (Brand) โดยทางอ้อมอีกด้วย
นอกเหนือจากองค์กรธุรกิจแล้ว บุคคลที่ทางานคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม สามารถใช้ Blog เพื่อเป็นการเผยแพร่
ผลงาน หรือขายสินค้าของตนได้อีกด้วยเช่น ช่างภาพ, ศิลปิน, นักออกแบบ, นักเขียน, นักวาด
การ์ตูน , ร้านค้า , ฯลฯ
อยากมี Blog ต้องทาอย่างไร
การที่เราจะมี blog ได้นั้น เราควรจะรู้จักกันก่อนว่า การทา blog มีผู้ให้บริการให้เราสามารถสร้าง blog ได้
หลายรูปแบบ โดยในแต่ละแบบนั้น มีความต้องการรู้ทางด้านการทาเว็บแตกต่างกันไป ว่ากันถึงแบบหลัก ๆ ก่อน
ดีกว่า
1. ผู้ให้บริการ Blog (Blog Hosting , Blog Provider)
หากคุณไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการทาเว็บ หรือไม่รู้จัก blog มาก่อน ก็สามารถมี blog เป็นของตัวเองได้ง่าย ๆ
ครับ โดยผู้ให้บริการ blog จะมีการเตรียมระบบรองรับให้เราเรียบร้อยแล้ว โดยสิ่งที่ผู้ให้บริการ blog เตรียม
ให้เราก็คือ
- ชื่อโดเมน ที่ใช้เป็นที่อยู่ของ blog เรา โดยส่วนใหญ่จะเป็นชื่อแบบ sub domain คือเป็นชื่อใน
รูปแบบ myname.blogprovider.com เป็นต้น โดยคาว่า myname นั้นก็จะแทนที่ด้วยชื่อที่เราเลือกไว้ครับ
ส่วนตรง blogprovider.com นั้นก็คือชื่อโดเมนของผู้ให้บริการ blog ของเรา
- ระบบ blog management สิ่งต่อมาที่ผู้ให้บริการ blog เตรียมไว้ให้คือ โปรแกรมการ update
blog ต่าง ๆ ไงครับ เราไม่ต้องเขียนโปรแกรมการ update blog ด้วยตัวเอง แต่ทางผู้ให้บริการ จะมีระบบนี้
เตรียมไว้ให้เราเลยครับ รวมทั้งพวกเทมเพลท หรือรูปแบบดีไซน์ของ blog ที่เตรียมไว้ให้เราใช้ได้เลย ไม่
เสียเวลาออกแบบ
- พื้นที่เก็บ Blog โดยจานวนพื้นที่ที่ผู้ให้บริการเตรียมไว้ให้เรานั้น มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละ
ราย
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของการทา blog กับ ผู้ให้บริการ blog นั้น แตกต่างกันไปตามแต่ผู้ให้บริการ บาง
แห่งฟรี บางแห่งเก็บค่าบริการรายเดือน ผู้ให้บริการเหล่านี้ก็มี
ตัวอย่างเช่น Blogger.com , LiveJournal.com , TypePad.com เป็นต้น หากเป็นของไทย ก็ลองไป
ที่ BlogRevo หรือ exteen.com ดูได้
2. ใช้ Blog Software ติดตั้งใช้เอง
การใช้ Blog Software มาติดตั้งใช้เองนั้น ต้องการความรู้ทางด้านการเขียนโปรแกรม หรือติดตั้งโปรแกรมบ้าง
แถมยังต้องมีพื้นฐานทางด้านการทาเว็บอีกด้วย เพราะเราอาจต้องทาการติดตั้ง หรือปรับแต่งดีไซน์ด้วยตัวเอง โดย
ข้อดีของการใช้ Blog Software มาติดตั้งเองคือ เราสามารถควบคุมการใช้บล็อกของเราได้เอง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่
เขียนบล็อก ก็มีได้มากตามที่เราต้องการ หรือตามพื้นที่ของ web hosting ที่เราเช่าใช้อยู่
หากเราต้องการใช้ Blog Software เราจะต้องมีสิ่งเหล่านี้อยู่ล่วงหน้าแล้ว นั่นคือ
- ชื่อโดเมนเนม อาจจะเป็นชื่อโดเมนที่เราจดทะเบียนโดเมนเนมไว้ หรือใช้ sub domain จากเว็บของเราที่มีอยู่
แล้ว หากคุณยังไม่เคยมีเว็บมาก่อน ก็ต้องจดทะเบียนโดเมนเนมเป็นของตัวเองก่อน
- พื้นที่เว็บโฮสติ้ง คุณต้องเช่าพื้นที่เว็บโฮสติ้งไว้ให้พร้อมครับ โดยดูให้ตรงกับความต้องการของโปรแกรม blog
software ที่เราจะใช้ เช่น php, cgi หรือ asp
- โปรแกรม Blog Software โปรแกรมเหล่านี้ มีทั้งแบบเสียสตางค์ซื้อมา เช่น MovableType หรือ หรือบาง
โปรแกรมก็ให้ใช้ได้ฟรี เช่น WordPress เป็นต้น
การใช้ Blog กับองค์กรธุรกิจ
มีมากมายหลายเหตุผลที่ Blog จะก้าวเข้าสู่องค์กรของคุณ โดยใช้ Blog เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์
และเป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่าง องค์กรของคุณและกลุ่มเป้าหมาย หรือกลุ่มลูกค้าที่สนใจในผลิตภัณฑ์ บริการ
หรือธุรกิจของคุณ
และนี่คือตัวอย่างของการใช้ Blog ให้เป็นประโยชน์กับธุรกิจของคุณ
 Blog ช่วยให้คุณก้าวมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานนั้น ๆ
โดยคุณสามารถวาง Positioning ตัวเอง หรือบริษัทของคุณให้เป็นผู้นาในสายงานธุรกิจของคุณ
 ใช้ Blog เป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างบริษัทของคุณและลูกค้า
เว็บบอร์ด อาจไม่ใช่ช่องทางที่ดีที่สุดแล้ว เมื่อ Blog ก้าวเข้ามาแทนที่โดย ให้ความรู้สึกแบบเป็นส่วนตัว
และเป็นมิตรกับลูกค้าได้มากกว่า และ Blog นี่เองที่เป็นช่องทางที่รวดเร็วที่สุด ที่คุณจะสามารถสื่อสาร
และโต้ตอบหรือคุยกับลูกค้าได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถใช้ Blog เพื่อนาเสนอเทคนิคการใช้งานผลิตภัณฑ์
ของคุณ หรือแม้กระทั่งใช้เป็นช่องทางในการรับ feedback จากลูกค้า
 ใช้ Blog เป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างบริษัทของคุณ กับสื่อต่าง ๆ
เรียกได้ว่าเป็นความฝันของ PR Agency ต่าง ๆ เลยทีเดียวในการสร้างช่องทางหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้สื่อ
ต่าง ๆ เช่นหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ ได้เข้ามาใน Blog ขององค์กร เพื่อเช็คดูว่าคุณมีข่าวใหม่
ๆ อะไรบ้าง เพราะจากเดิมที่สื่อต่าง ๆ จะรอคอยข่าว Press Release จากบริษัทของคุณ อาจจะมีบาง
สื่อที่ต้องการหาข่าวที่แตกต่างจากสานักข่าวอื่น ๆ โดยการเข้ามาหาข่าวจาก Blog ของคุณ
 การใช้ Blog เพื่อประสานงานภายในองค์กร
ใช้ Blog เป็นที่ทางานร่วมกันแบบออนไลน์ เช่นใช้เป็นพื้นที่ให้ทีมงานแต่ละคนของ Project นั้น ๆ
เข้ามาทา Brain Storming หรือ update ความคืบหน้าของโปรเจคท์ โดยไม่ต้องเสียเวลามานั่ง
ทา report ต่าง ๆ อย่างเป็นทางการ แทนการประสานงานต่าง ๆ ด้วยวิธีส่งอีเมล์หากัน ซึ่งการ
ใช้ Blog มาแทนที่การใช้อีเมล์ ทาให้ไม่ต้องมานั่งค้นหาเมล์เก่า ๆ จากในโปรแกรมอย่าง outlook
express เพราะ Blog สามารถอ่านบทความย้อนหลังได้ง่าย และสามารถแยกเป็นหมวดหมู่ได้อย่าง
ชัดเจน
 ใช้ Blog เพื่อบริหารจัดการข้อมูลความรู้ต่าง ๆ
Blog มีประโยชน์ในทั้งสองทางคือทั้งผู้อ่าน Blog และผู้เขียน Blog โดยปกติแล้ว Blog เป็นช่องทาง
ให้ผู้อ่านสามารถหาข้อมูลต่าง ๆ จาก Blog ของเราได้ง่าย โดยสามารถใช้เป็น knowledge
base ภายในองค์กรต่าง ๆ ได้ แต่ในทางกลับกัน ผู้เขียน Blog หรือ Blogger ก็ต้องคอยหาข้อมูล
มาเขียน ดังนั้น Blog จึงเปรียบเสมือนเป็นช่องทางการเรียนรู้ ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
 ใช้ Blog เป็นช่องทางในการหาบุคลากรมาร่วมทางานด้วย (Recruitment)
ถ้าคุณวางภาพลักษณ์บริษัทของคุณว่าเป็นผู้นาทางด้านธุรกิจแล้ว ผู้คนที่อยู่ในสายงานธุรกิจเดียวกันกับ
คุณก็จะให้ความสนใจใน Blog ของคุณด้วย เพราะคนเหล่านั้นก็ต้องการ update ข่าวสารในวงการ
ให้กับตัวเองเหมือนกัน หากคนเหล่านี้เข้ามาโต้ตอบหรือพูดคุยกันใน Blog ของคุณ คุณอาจจะเห็นแวว
ของบุคลากรที่น่าสนใจ และชักชวนเขาเพื่อเข้ามาเสริมศักยภาพให้กับองค์กรของคุณก็เป็นได้
 ใช้ Blog เพื่อทดสอบผลิตภัณฑ์ หรือไอเดียใหม่ๆ
ด้วยความที่ Blog ดูเป็นกันเอง จึงให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นทางการออกมาได้อย่างไม่ขัดเขิน ดังนั้นบริษัท
ของคุณสามารถเอา feedback ต่าง ๆ ที่กลุ่มเป้าหมาย หรือลูกค้าของคุณ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
เช่น คุณสามารถลองนาเสนอไอเดียใหม่ ๆ ลงไปใน Blog แล้วดูว่าจะมีผู้คนสนใจมาน้อยแค่ไหน หรือ
ว่าให้ feedback กลับมายังไงบ้าง
 Blog ช่วยให้เว็บของคุณอยู่อันดับต้น ๆ ใน Search Engine ได้
Google และ Search Engine อื่น ๆ จะให้ความสาคัญกับเว็บไซต์ที่มีการ update ข้อมูลบ่อย ๆ
รวมถึงเว็บที่มีการทา link ไปหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง หรือเว็บที่มี link เข้ามาหามาก ๆ ทั้งหมดที่กล่าว
มานั้น คือสิ่งที่ Blog ช่วยคุณได้ เพราะ Blog ทาให้คุณ update ได้ง่ายแบบทุกวัน และยัง
ทา link ไปหาเว็บอื่นได้ง่าย และหาก Blog ของคุณน่าสนใจ ก็จะมีคนอ้างถึง Blog ของคุณ หรือ
ทา link เข้ามาหา Blog คุณได้ ลองพิจารณาถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ดูครับ แล้วเว็บ หรือ Blog ของคุณ
จะมีโอกาสได้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของ Search Engine ได้ไม่ยาก
- บล็อก (Blog) คือเว็บไซด์รูปแบบหนึ่ง ที่มีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายๆกับการเขียนไดอารี่ หรือ บันทึก
ส่วนตัว ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
- คาว่า "Blog" มาจากคาเต็มว่า "Weblog" (ตัด We ทิ้ง คงเหลือแต่ blog) ซึ่งโดยนัยแล้วหมายถึง การ
บันทึกข้อมูล(Log) บน เว็บ(Web) นั่นเอง
- โดยผู้ที่เขียนบล๊อกเป็นอาชีพ จะถูกเรียกกันว่า "บล็อกเกอร์" (Blogger)
- จุดเด่นที่สาคัญของ Blog คือ จะมีระบบที่ผู้อ่านและผู้เขียนสามารถแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันได้ โดย
ผ่านทางระบบ Comment ของบล๊อก
Blog ใช้ทาอะไรได้บ้าง?
- ทาBlog เป็นเว็บไซด์ส่วนตัว เพื่อแชร์ข้อมูลส่วนตัวให้กับผู้อื่นๆ เช่น บันทึกไดอารี่
- เขียนBlog เพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ นาเสนอสิ่งที่ตนเองรู้ หรือสิ่งที่ตนเองสนใจ เพื่อแบ่งปันให้กับผู้อื่น
- สร้างBlog ทาเป็นเว็บไซด์เพื่อใช้ในการโปรโมทธุรกิจ ร้านค้า บริการต่างๆ
- ใช้Blog ในการทาธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ (E-Commerce)
- นอกจากนี้ Blog ยังเป็นช่องทางหนึ่งที่นิยมใช้กับเพื่อหารายได้จาก Internet Marketing
Blog กับ Website ต่างกันอย่างไร?
- เว็บไซด์ทั่วๆไปนั้น จาเป็นต้องมี Server, มี Host มี Domain Name เป็นของตนเอง ซึ่งจะต้องเสีย
ค่าใช้จ่าย แต่ในส่วนของ Blog นั้นเราสามารถสมัครใช้บริการได้แบบฟรี เพียงแต่เราต้องใช้ชื่อ Domain ของผู้
ให้บริการนั้นๆ เช่นของ Google คือ Blogger.com - โดเมนเนม ก็จะเป็น "ชื่อBlogของคุณ" ต่อท้ายด้วย
"blogspot.com" เช่น JoJho-Problog.blogspot.com
- เว็บไซด์ทั่วไปจะมีความยืดหยุ่นสูงในการออกแบบ ดีไซน์ เพราะเราต้องสร้างเองทั้งหมด (ดังนั้นจะเลือกดีไซน์
ยังไงก็ได้)
- แต่ Blog จะมีการดีไซน์ในรูปแบบเฉพาะเรียกว่า Blog Template ซึ่งมีให้เลือกมากมาย แต่ยังคงมีลักษณะ
โครงสร้างที่ค่อนข้างตายตัว ไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้มากตามใจชอบอย่างเว็บไซด์
- การสร้างเว็บไซด์ จาเป็นต้องมีทักษะความรู้ด้านคอมพิวเตอร์มากพอสมควร ทั้งในส่วนของภาษาคอมพิวเตอร์,
โปรแกรมคอมติวเตอร์ต่างๆ ความรู้เบื้องต้นในเรื่องของ Network เป็นต้น แต่ Blog สมารถสร้างและใช้ได้ง่าย
กว่า
Blog กับ เว็บไซด์สาเร็จรูป ต่างกันอย่างไร?
- Blog และ เว็บไซด์สาเร็จรูป (Instant Website) เป็นเว็บไซด์ที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน ที่เรียกว่า เว็บไซด์
ในรูปแบบ CMS (Content Management System) คือจะเน้นการจัดการเนื้อหาเป็นหลัก ซึ่งเราไม่
จาเป็นต้องมีความรู้ในการเขียนโปรแกรมเลย ก็สามารถ สร้างBlog ขึ้นได้โดยวิธีการเข้าใจได้ไม่ยาก
- เว็บไซด์สาเร็จรูป มีทั้งแบบ เราสร้างเว็บเอง หรือ ไปขอใช้บริการแบบที่เค้าสร้างให้เสร็จแล้ว ซึ่งในที่นี้ผมจะขอ
กล่าวถึงแต่ เว็บไซด์สาเร็จที่เค้าสร้างให้เสร็จแล้ว เพราะจะใกล้เคียงกับบริการของ Blog
- เว็บไซด์สาเร็จรูป ที่นิยม จะเป็นในรูปแบบเปิดร้านค้าออนไลน์ (Online Shopping, Instant Online
Store) ซึ่งจะมีระบบที่สนับสนุนกับการทา E-Commerce รองรับในตัว เช่น ตะกร้าสินค้า, เว็บบอร์ด ในขณะ
ที่ Blog จะไม่มี
- ดังนั้นในการเปิดร้านค้าออนไลน์นั้น เว็บไซด์สาเร็จรูปจะเหมาะสาหรับ ร้านที่มีสินค้าขายเป็น ชิ้นๆ ซึ่งมีจานวน
มากพอสมควรในระดับหนึ่ง ... ในขณะที่ Blog จะเหมาะสาหรับร้านที่มีสินค้าตั้งขายจานวนน้อย
- Blog จะเหมาะสาหรับธุรกิจที่เน้นให้บริการเป็นหลัก หรือธุรกิจแบบมีร้านค้าจริงๆ เพื่อแนะนาร้านสถานที่ตั้ง
ร้าน นาเสนอและโปรโมทสินค้าบริการต่างๆ เป็นต้น ในขณะที่เว็บไซด์สาเร็จรูปแบบร้านค้าออนไลน์นั้นจะเหมาะ
สาหรับธุรกิจที่ขายสินค้าเป็นผลิตภัณฑ์ (Products) ต่างๆมากกว่า Blog
ข้อดีและข้อเสียของ Blog :
ข้อดี
- มีอิสระที่จะนาเสนอสิ่งต่างๆ (ที่ไม่ไปก้าวล่วงบุคคลอื่น และไม่ผิดกฎกติกาของผู้ให้บริการ Blog)
- เปิดโอกาสให้เจ้าของ Blog ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าชมและโต้ตอบกลับได้อย่างอิสระ
- ไม่จาเป็นต้องมีความรู้ในด้านภาษาโปรแกรมต่างๆ
- หากพอมีความรู้ด้านภาษาเว็บพื้นฐาน (HTML) จะสามารถช่วยทาให้เข้าไปแก้ไข Source Code ได้
เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบ Template ของ Blog ตามต้องการ
- สามารถใช้ Blog ในการทาธุรกิจหารายได้ จากการโปรโมทสินค้าหรือบริการ
- สามารถใช้สร้างเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้
- ไม่เสียค่าใช้จ่าย (ยกเว้นต้องการจด Domain Name เป็น .com .net .org .info)
- มี Template ให้เลือกใช้มากมาย (ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน)
- Server มีความเสถียรสูง ปัญหาในด้านความช้า หรือ Server ล่ม พบน้อยมาก
ข้อเสีย
- ฟังก์ชั่นและลูกเล่นต่างๆ ยังมีน้อยหากเทียบกับเว็บไซด์ที่สร้างเองหรือเว็บไซด์สาเร็จรูป
- แม้มีรูปแบบ Template ให้เลือกใช้มากมายแต่โครงสร้างเว็บก็ยังคงค่อนข้างตายตัว
- เนื่องจากเป็นบริการให้ใช้ฟรี หากเราทาผิดกฎของผู้ให้บริการ Blog เราจะถูกแบน และมีโอกาส
ถูกลบ Blog ได้ (แต่ถ้าไม่ได้ทาผิดกฎอะไร ก็อยู่ได้อย่างยาวนานจนกว่าผู้บริการจะเลิกให้บริการ)
Cr.http://www.jojho.com/2013/05/what-is-blog.html
วิธีใส่เพลงใน Blogger
ขั้นตอนที่ 1.
ให้เข้าไปที่เว็บไซต์ www.youtube.com จากนั้นเลือกเพลงตามต้องการครับ
ขั้นตอนที่ 2. คลิกคาว่า Share
cr. 3.bp.blogspot.com/
ขั้นตอนที่ 3. คลิกคาว่า Embed
ขั้นตอนที่ 4. คัดลอกโค้ดดังกล่าว หรือ คลิกขวา แล้วกด คัดลอก (Copy)
cr. 3.bp.blogspot.com
ขั้นตอนที่ 5. เข้ามาที่บล็อกของเรา ไปที่ รูปแบบ >> เพิ่ม Gedget >> HTML ดังรูป
cr. 4.bp.blogspot.com
ขั้นตอนที่ 6. ทาการวางโค้ดที่คัดลอกมา แล้ว พิมคาว่า
;autoplay=1 ต่อท้ายคาว่า ?rel=0 ถ้าหากคาว่า ?rel=0
ไม่มี ก็ให้ทาการเลื่อนไปข้างหน้า (หรือต่อท้ายชื่ออ้างอิงนั่นเอง)
จากนั้นทาการปรับความกว้าง (width) และความสูง (height) ให้
เหมาะสม ดังรูป... ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะแสดงเพลงแบบอัตโนมัติครับ
cr. 3.bp.blogspot.com/
ขอขอบคุณ
http://nattagan2.blogspot.com
วิธีการใส่ปฏิทิน
1.เปิด แดชบอร์ด ไปที่ Setting หรือส่วนการตั้งค่า
2.เลือกรายการ Layout หรือ รูปแบบ ที่ฝั่งซ้าย ดังภาพด้านล่าง เมื่อได้ Layout Page มาแล้ว ให้กาหนด
ตาแหน่งที่ท่านจะวาง ส่วนที่ใช้วาง code script
cr. https://1.bp.blogspot.com/7cCqRTOo3tE/VOCPVl-_OxI/AAAAAAAADcE/zxO3DpOdYYQ/s1600/47-45.gif
3. เมื่อกาหนดบริเวณได้แล้ว ให้คลิกเลือกรายการ Add a Gadget หรือ เพิ่ม Gadget ที่อยู่ในบริเวณนั้น ซึ่ง
จะเกิดหน้าต่าง Add a Gadget เลือกหารายการ ที่ชื่อว่า HTML/Java Script คลิกเลือกที่เครื่องหมาย +
cr. https://3.bp.blogspot.com/-tW_HOYCfnB0/VsRsrkQAf2I/AAAAAAAAE4w/3YqpteikT6A/s1600/2016-02-17_19-49-
29.jpg
4. จะเกิดกรอบหน้าต่างสาหรับวาง code script ดังภาพ
cr. https://2.bp.blogspot.com/-HIwaelMYRSg/VsRuOWxMVpI/AAAAAAAAE44/P-etDLQFJ8s/s1600/2016-02-17_19-54-
52.jpg
5. ทาการตั้งชื่อ และนา code ที่ต้องการวางลงในพื้นที่เขียน script
6. คลิกปุ่ม บันทึก แล้วปิดหน้าต่างได้
7. ตรงตาแหน่งที่กาหนดไว้ ก็จะมีนาฬิการ หรือ ปฎิทิน แสดงผล ตามที่กาหนดไว้
หมายเหตุ : หากต้องการแสดงผล ให้อยู่ตรงกลาง ให้เพิ่ม คาสั่ง Tag Center ลงไป
<center> ..........ส่วนที่เป็น codescript..........</center>
ขอขอบคุณ
mediathailand
วิธีเปลี่ยนรูปเมาส์ในบล็อก
1.ขั้นแรกก็ให้เข้าไปที่เว็บ http://www.cursors-4u.com เข้าไปเลยครับ
cr. http://4.bp.blogspot.com/-0UBrWcnlkIQ/T9l1iiX4KlI/AAAAAAAAARI/V4U1yoJVti4/s1600/201.jpg
2. เลือกแบบเมาส์ที่ต้องการ โดยเมนูจะอยู่ด้านซ้ายมือนะครับ เลือกหมวดที่ใช่ ชนิดที่ชอบได้
cr. http://2.bp.blogspot.com/-kZkDmFCoimY/T9l19rgp3QI/AAAAAAAAARQ/tq35YItKniI/s1600/202.jpg
3. เราก็จะมาพบกับโฆษณาแฝงครับ ไม่ต้องตกใจ กด skip this ads ตัวเล็กๆ ด้านบนได้เลยครับ
cr. http://1.bp.blogspot.com/-qrokhvJNrVI/T9l2zKsqSaI/AAAAAAAAARY/vPielxAKd6w/s1600/203.jpg
4. ต่อมาก็จะมีหมวดย่อยให้เลือกครับ เลือกเลย
cr. http://2.bp.blogspot.com/-o6hejgtKV0Q/T9l4C5uy5LI/AAAAAAAAARo/6Nu9aM6iZTc/s1600/205.jpg
5. หลังจากเลือกหมวดย่อยแล้ว เราก็จะได้เลือกรูปแบบของเมาส์กันสักทีนะครับ
6. สังเกตในรูปนะครับ อันไหนที่เขียนว่า cursor set อย่าไปเอานะครับ เพราะมันมาเป็นเซ็ต ใช้ในบล็อกไม่ได้
cr. http://4.bp.blogspot.com/-pwLhafw_PGs/T9l4547LgfI/AAAAAAAAARw/CP8xVKICpvw/s1600/206.jpg
7. เมื่อได้แบบของเมาส์ที่ต้องการแล้วก็คลิกเข้าไปเลยครับ
8. ไม่ต้องกดดาวน์โหลดนะครับ ให้หาแท๊บที่เขียนว่า blogger/blogspot แบบในรูป แล้วคลิกเข้าไป
cr. http://4.bp.blogspot.com/-XyLgxebIciU/T9l68lVtCMI/AAAAAAAAAR4/59U2pDnDLjM/s1600/207.jpg
9. เนื่องจากเราใช้บล็อกรูปแบบใหม่ ดังนั้นให้ copy โค้ดจากช่องล่างที่เขียนว่า new blogger/blogspot
interface ตามรูปเลยครับ
cr. http://4.bp.blogspot.com/-5Y6NfcaFvzM/T9l8wyq156I/AAAAAAAAASE/2hxIXLiFuMU/s1600/208.jpg
10. ขั้นต่อไปก็ไปที่ blogger.com ล็อกอินเข้าหน้าแดชบอร์ด
cr. http://3.bp.blogspot.com/-3fi9VE6eRwo/T815cYZsUII/AAAAAAAAAMY/TA-nEy5cIOs/s1600/1.png
11. เลือกบล็อกที่เราจะเปลี่ยนรูปเมาส์ครับ แล้วกดลูกศรชี้ลงที่หมายเลข 4 ตามรูป
cr. http://1.bp.blogspot.com/-nl5PqAGK4_E/T815gmqbO8I/AAAAAAAAAM8/AIjsAt3i4ys/s1600/6.jpg
12. เลือกแม่แบบครับ เมื่อได้หน้าจอดังรูปข้างล่างแล้ว ก็กดตรง "แก้ไขHTML"
cr. http://4.bp.blogspot.com/-ZkEwBhCPzKA/T9rA7oJRxPI/AAAAAAAAASQ/xNyKwB6fmjE/s1600/209.jpg
13. ก็จะเข้าสู้หน้าจอเตือนการแก้ไข HTML ครับ หน้าจอนี้จะแจ้งเตือนทุกครั้ง ที่เราจะเข้าไปแก้ไข HTML ซึ่งเป็น
ภาษาที่ใช้สาหรับเขียนเว็บ หากทาสุ่มสี่สุ่มห้าไป อาจทาให้เกิดความเสียหายต่อหน้าเว็บบล็อกของเราได้ เขาเลย
ต้องเตือนไว้ก่อน แต่ไม่ต้องกลัวครับ ถ้าไม่ทาเกินที่ผมบอก รับรองไม่เป็นไร ก็เลือก "ดาเนินการ" ได้เลย
cr. http://3.bp.blogspot.com/-
j74Nbm3tAxU/T9rB0R78nZI/AAAAAAAAASY/BBEsDi60kHQ/s1600/210.jpg
14. พอเข้ามาแล้วก็เจอตัวยึกยือ ยึกยือเต็มไปหมดใช่ใหม่ครับ นี่แหละภาษา HTML บวกด้วย Java อย่าไปใส่
ใจครับมองหาบรรทัดที่ 14 ที่จะเขียนว่า
<title><.....................></title> (ตรงจุดๆนั่นอาจจะไม่เหมือนกันครับ แต่ให้หาที่มี title ก็
พอ
สังเกตในรูปนะครับ ใต้บรรทัดที่ 14 จะมีบรรทัดว่างอยู่ 1 บรรทัด ให้เอาโค้ดที่เรา copy มา Paste ลงตรง
นั้นเลยครับ จากนั้นก็กดบันทึกเทมเพลต แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย
cr. http://3.bp.blogspot.com/-3N-xusFLpn8/T9rCteA-QjI/AAAAAAAAASg/uaZVifVFM0E/s1600/211.jpg
ขอบคุณขอมูลดีๆจาก
newpublog
เปลี่ยนพื้นหลังบล็อก
พื้นหลังของบล็อกเป็นสิ่งสาคัญ ควรเลือกพื้นหลังให้เหมาะสมกับบล็อก ดูองค์ประกอบบล็อกที่สาคัญที่สุดควร
ดูที่บทความว่าถ้าเปลี่ยนพื้นหลังนี้จะสามารถอ่านบทความได้อย่างสบายตาหรือไม่ ดังนั้นพื้นหลังก็ควรเป็นสี
อ่อนๆดูแล้วสบายตา ว่าแล้วเราก็มาเปลี่ยนรูปภาพพื้นหลังให้บล็อกกันดีกว่า
ก่อนอื่นก็ลงชื่อเข้าสู่ระบบของบล็อกก่อน
cr. http://4.bp.blogspot.com/-
V2CA8VqcR6w/UMVmtsLgzmI/AAAAAAAAF5s/3XbbnaTTLis/s1600/Screen+Shot+2012-12-10+at+11.22.29+AM.png
1. ไปที่หน้าแดชบอร์ดของบล็อกเกอร์เลือก "แม่แบบ"
cr. http://3.bp.blogspot.com/-
ypQbSfR3ddk/UMVmvClvifI/AAAAAAAAF50/y3uJg1No4KE/s1600/Screen+Shot+2012-12-10+at+11.22.38+AM.png
2. ในที่นี้คุณจะไปที่หน้าของแม่แบบบล็อกเกอร์
3. เลือก "กาหนดค่า" เพื่อไปที่หน้าเครื่องมือออกแบบเทมเพลตบล็อกเกอร์
cr. http://1.bp.blogspot.com/-dH2o4bdnI3M/UMVmwpziIwI/AAAAAAAAF58/i7Cv0ELdiwo/s1600/Screen+Shot+2012-12-
10+at+11.23.25+AM.png
4. เลือก "พื้นหลัง" เพื่อทาการปรับแต่งพื้นหลังของบล็อกเกอร์
5. คลิกที่ "ภาพพื้นหลัง"
6. สามารถเลือกรูปภาพจากบล็อกเกอร์หรืออัปโหลดจากคอมพิวเตอร์ของคุณ
7. เลือกรูปภาพของคุณ
8. เมื่อเลือกรูปภาพแล้วคลิกที่ "เสร็จสิ้น"
9. เลือก "ใช้กับบล็อก" เพียงเท่านี้ก็สามารถเปลี่ยนภาพพื้นหลังให้บล็อกได้แล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
pakamasblog

More Related Content

Viewers also liked

Viewers also liked (20)

Fotos 11092013
Fotos 11092013Fotos 11092013
Fotos 11092013
 
Slideshare
SlideshareSlideshare
Slideshare
 
Inspiring Communication (English)
Inspiring Communication (English)Inspiring Communication (English)
Inspiring Communication (English)
 
Alejandro marin valdez
Alejandro marin valdezAlejandro marin valdez
Alejandro marin valdez
 
3 ousodatecnologiacomofacilitador
3 ousodatecnologiacomofacilitador3 ousodatecnologiacomofacilitador
3 ousodatecnologiacomofacilitador
 
Technology valley startup guide
Technology valley startup guideTechnology valley startup guide
Technology valley startup guide
 
E mktg clase3_paginas_web
E mktg clase3_paginas_webE mktg clase3_paginas_web
E mktg clase3_paginas_web
 
Manual do pedal Line 6 JM4 (PORTUGUÊS)
Manual do pedal Line 6 JM4 (PORTUGUÊS)Manual do pedal Line 6 JM4 (PORTUGUÊS)
Manual do pedal Line 6 JM4 (PORTUGUÊS)
 
Brief sustancia
Brief sustanciaBrief sustancia
Brief sustancia
 
Lessons learned boot camp 3
Lessons learned boot camp 3Lessons learned boot camp 3
Lessons learned boot camp 3
 
Atividades no l. i . 2013
Atividades no l. i . 2013Atividades no l. i . 2013
Atividades no l. i . 2013
 
Semilleroodontologia
SemilleroodontologiaSemilleroodontologia
Semilleroodontologia
 
Trocadilho.1º.dia
Trocadilho.1º.diaTrocadilho.1º.dia
Trocadilho.1º.dia
 
Click1 guia didactica
Click1 guia didacticaClick1 guia didactica
Click1 guia didactica
 
Muebles de salones CREA
Muebles de salones CREAMuebles de salones CREA
Muebles de salones CREA
 
Brincadeirasinfantis 100513064527-phpapp02
Brincadeirasinfantis 100513064527-phpapp02Brincadeirasinfantis 100513064527-phpapp02
Brincadeirasinfantis 100513064527-phpapp02
 
Plano Diretor do Campus Central
Plano Diretor do Campus CentralPlano Diretor do Campus Central
Plano Diretor do Campus Central
 
Apostila custos
Apostila custosApostila custos
Apostila custos
 
paralelo jose humberto 10
paralelo jose humberto 10paralelo jose humberto 10
paralelo jose humberto 10
 
Agricultura Celeste 2011
Agricultura Celeste 2011Agricultura Celeste 2011
Agricultura Celeste 2011
 

Similar to Blog คืออะไร

Blog
BlogBlog
BlogImSP
 
Blog
BlogBlog
BlogImSP
 
ความรู้เรื่อง บล็อก
ความรู้เรื่อง บล็อกความรู้เรื่อง บล็อก
ความรู้เรื่อง บล็อกmeuankusalin
 
บล็อกคืออะไร
บล็อกคืออะไรบล็อกคืออะไร
บล็อกคืออะไรSupaporn Jittrong
 
บล็อก (Blog)
บล็อก (Blog)บล็อก (Blog)
บล็อก (Blog)KrooIndy Csaru
 
บล็อกคืออะไร
บล็อกคืออะไรบล็อกคืออะไร
บล็อกคืออะไรSupaporn Jittrong
 
ความหมาย Blog
ความหมาย Blogความหมาย Blog
ความหมาย Blogvorravan
 
บล็อกคืออะไร
บล็อกคืออะไรบล็อกคืออะไร
บล็อกคืออะไรSupaporn Jittrong
 
ใบงานที่ 2-blog (1)
ใบงานที่ 2-blog (1)ใบงานที่ 2-blog (1)
ใบงานที่ 2-blog (1)Gunyanut Chairum
 

Similar to Blog คืออะไร (20)

Blog
BlogBlog
Blog
 
Blog
BlogBlog
Blog
 
Blog
BlogBlog
Blog
 
Blog
BlogBlog
Blog
 
ความรู้เรื่อง Blog
ความรู้เรื่อง Blogความรู้เรื่อง Blog
ความรู้เรื่อง Blog
 
ความรู้เรื่อง บล็อก
ความรู้เรื่อง บล็อกความรู้เรื่อง บล็อก
ความรู้เรื่อง บล็อก
 
บล็อกคืออะไร
บล็อกคืออะไรบล็อกคืออะไร
บล็อกคืออะไร
 
ความรู้เรื่อง Blog
ความรู้เรื่อง Blogความรู้เรื่อง Blog
ความรู้เรื่อง Blog
 
บล็อก (Blog)
บล็อก (Blog)บล็อก (Blog)
บล็อก (Blog)
 
Blog
BlogBlog
Blog
 
บล็อกคืออะไร
บล็อกคืออะไรบล็อกคืออะไร
บล็อกคืออะไร
 
ความหมาย Blog
ความหมาย Blogความหมาย Blog
ความหมาย Blog
 
Blog คืออะไร
Blog คืออะไรBlog คืออะไร
Blog คืออะไร
 
Work2
Work2Work2
Work2
 
บล็อกคืออะไร
บล็อกคืออะไรบล็อกคืออะไร
บล็อกคืออะไร
 
ใบงานที่ 2-blog (1)
ใบงานที่ 2-blog (1)ใบงานที่ 2-blog (1)
ใบงานที่ 2-blog (1)
 
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
Work3 605 11
Work3 605 11Work3 605 11
Work3 605 11
 
Pittakamon 605 11
Pittakamon 605 11Pittakamon 605 11
Pittakamon 605 11
 
Comsoee
ComsoeeComsoee
Comsoee
 

Blog คืออะไร

  • 1. Blog คืออะไร ? Blog คืออะไร Blog มาจากศัพท์คาว่า WeBBlog บางคนอ่านคา ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ทั้งสองคาบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog) ความหมายของคาว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทาให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเองใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลใน การโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่น กลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่ การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยัง สามารถแตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ที่เจ้าของบล็อกจะเป็นคนที่ถนัดในด้านไหน ก็มักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น และจุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเอง ระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทาง ระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทากันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบัน นี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้น
  • 2. ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจากการเขียนเป็นงานอดิเรกของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสาคัญให้กับหนังสือพิมพ์หรือสานักข่าวชั้นนา จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ ได้รับการยอมรับจากสื่อและสานักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูลตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนกระทั่ง เรื่องราวของการประชุมระดับชาติ และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ที่สาคัญอย่างแท้จริง สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ที่มีรูปแบบเนื้อหาเป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วน ของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย โครงสร้างของ Blog มาดูเรื่องกายวิภาคของ Blog กันดีกว่า ว่า blog นั้นมีส่วนประกอบที่สาคัญอะไรบ้าง จะได้รู้ว่าเราจะใช้ ประโยชน์จากส่วนต่าง ๆ ของ blog นั้นได้อย่างเต็มที่ 1. ชื่อบล็อก (Blog Title) ส่วนของ Blog Title นี้ก็จะเป็นชื่อบล็อกนั้น ๆ ครับ 2. แท็กไลน์ (Subtitle หรือ Tag line) ตรงส่วนนี้จะเป็นคาจากัดความของเว็บ หรือสโลแกนเก๋ ๆ ที่ ใช้อธิบายถึงตัวบล็อกโดยรวม โดยตัวแท็กไลน์นี้ จะมีก็ได้ หรือไม่มีก็ได้ เพราะมันไม่สาคัญเท่ากับชื่อบล็อกครับ 3. วันที่และเวลา (Date & Time Stamp) เป็นวันที่ และบางทีอาจมีเวลากากับอยู่ด้วย ตัววันที่และ เวลานี้ จะเป็นตัวบอกว่าบทความในบล็อกนั้นเขียนขึ้นมาเมื่อไหร่ บางครั้งอาจมีวันที่ระบุอยู่ในส่วน ของ comment ด้วย ซึ่งจะเป็นการบ่งบอกว่า comment นั้นเขียนเข้ามาเมื่อไหร่เช่นกัน 4. ชื่อบทความ (Entry Title)ชื่อเรื่องของบทความที่เขียนในบล็อก 5. ตัวเนื้อหาบทความ (Entry’s Main Body)อาจเป็นตัวหนังสือ หรืออาจเป็นรูปภาพ วีดีโอ หรืออนิ เมชั่น เป็นต้น โดยส่วนประกอบเหล่านี้จะรวมเป็นส่วนเนื้อหาของบทความ 6. ชื่อผู้เขียน (Blog Author)บางบล็อก อาจมีการระบุชื่อผู้เขียนไว้ในบล็อกด้วยครับ โดยตาแหน่งที่จะ ใส่ชื่อผู้เขียนนั้น สามารถไว้ที่ตาแหน่งใดก็ได้ เช่นด้านข้าง (sidebar) หรืออยู่ในตัวบทความก็ได้ 7. คอมเม้นต์ (Comment tag)เป็นลิงค์ที่ให้ผู้อ่านคลิกไปเพื่อกรอกคอมเม้นต์ให้กับบล็อกนั้น ๆ ได้ 8. ลิงค์ถาวร (Permalink) เรียกชื่อไทยแล้วเขิ้นเขิน เราสามารถเรียกทับศัพท์ก็ได้ครับว่า เพอร์มาลิ้งค์ เจ้าลิงค์ตัวนี้คือลิงค์ที่ไปหา url ของบทความนั้น ๆ โดยตรงครับ มีประโยชน์สาหรับ blogger คนอื่น ๆ ที่ อยากจะทาลิงค์หาบทความของเราโดยตรง ก็จะสามารถหา permalink ได้อย่างง่ายดายครับ โดย url ของ permalink นี้จะไม่เปลี่ยนไปตามวันและเวลาเหมือน link ของหน้าแรกของบล็อกที่บทความจะ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ครับ นี่แหละครับที่เค้าเรียกว่า ลิงค์ถาวร 9. ปฎิทิน (Calendar)บล็อกบางแห่งอาจมีปฎิทินอยู่ด้วย โดยในปฎิทินนั้นสามารกคลิกตามวันที่ เพื่อ อ่านบทความของวันที่นั้น ๆ ได้สะดวกครับ
  • 3. 10. บทความย้อนหลัง (Archives)บทความเก่า หรือบทความย้อนหลัง อาจมีการจัดเตรียมไว้โดย เจ้าของบล็อก โดยบล็อกแต่ละแห่งอาจจัดเรียงบทความย้อนหลัง ไม่เหมือนกัน เช่นจัดเรียงรายเดือน รายสัปดาห์ รายวัน หรือจะ list บทความทั้งหมดออกมาเลยก็ได้ 11. ลิงค์ไปยังเว็บอื่น (Links)เป็นจุดเด่นและความสนุกของบล็อกอีกอย่างหนึ่งเลยทีเดียวครับ โดยบล็อก แต่ละแห่ง อาจมีลิงค์ไปยังเว็บอื่นหลากหลายเว็บ บางครั้งเราสามารถเรียก link พวกนี้ว่า blogroll ก็ได้ครับ 12. RSS หรือ XMLตัว RSS นี้อาจมีเตรียมไว้ให้เราโดยอัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับ Blogware หรือ Blog Host ที่เราเลือกใช้ เช่น WordPress หรือ MovableType นั้นจะมี RSS ลิงค์ไว้ให้เราโดยอัตโนมัติ โดย เจ้า RSS Feed นี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงบทความของเราได้ง่ายขึ้น โดยการใช้โปรแกรมช่วยอ่าน Feed ได้ด้วย บางครั้งนักเขียน Blog คนอื่น ก็อาจใช้ RSS Feed นี้เพื่อประโยชน์ในการดึงข้อมูลไปแสดงในเว็บ หรือบล็อก ของตนได้ 7 เทคนิคของการสร้าง Blog ถ้าต้องการสร้างบล็อกให้เป็นอย่างมืออาชีพ คุณต้องไม่ลืมที่จะใส่ใจในสิ่งเหล่านี้ 1. ใส่ใจกับรูปแบบดีไซน์ของ blogลองสังเกตดูง่าย ๆ สาหรับบล็อกชั้นนาของโลก ต่างก็ไม่ได้ ใช้ template แจกฟรีที่มีกันทั่วไป แต่บล็อกชั้นนาเหล่านี้ ต่างก็ออกแบบดีไซน์ของบล็อกขึ้นมาเองทั้งหมด ทาให้ บล็อกนั้นดูมีความแตกต่าง และมีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น 2. ใส่ใจกับเนื้อหาของบล็อกก่อนที่คุณจะสร้างบล็อกขึ้นมาซักแห่งหนึ่ง ลองวางแนวทางของเนื้อหาใน บล็อกดูก่อน ว่าเราต้องการจะนาเสนอบทความรูปแบบไหน เราจะมีวิธีนาเสนอไปในทางใด สิ่งเหล่านี้ จะทาให้ คุณไม่หลุดประเด็น จากที่คุณตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก เช่น บล็อกของ keng.com ต้องการจะเป็น บล็อกที่นาเสนอ ข้อมูลด้านการทาบล็อก ดังนั้นควรวางแนวทางไว้ว่า ต้องมีข่าวสารวงการบล็อกทั่วโลก มาให้ผู้อ่านได้อ่านกัน และ ยังต้องมีเทคนิคการทาบล็อกสาหรับมือใหม่ เช่นบทความเรื่อง “blog คืออะไร?” และมีเทคนิคสาหรับขั้น ผู้เชี่ยวชาญ เช่นการใส่ Tag หรือการ Ping ไปยัง blog search engine เป็นต้น ตัวอย่างข้างต้น ดังเช่น ตัวอย่างบทความ ที่ได้เขียนขึ้นมาเหล่านี้ เป็นแนวทาง ในการกาหนดทิศทางของบล็อก 3. ใส่ใจผู้อ่าน มากกว่าใส่ใจตัวเอง เนื้อหาของบล็อกเป็นสิ่งที่ผู้อ่านใส่ใจใคร่รู้ ไม่ใช่ป้ายโฆษณาที่เรา วางระเกะระกะในเว็บไซต์แต่อย่างใด ดังนั้นการจัดรูปแบบโฆษณา ต้องคานึงถึงจิตใจผู้อ่านด้วย ว่าถ้าเป็นเราเอง ไปอ่านบล็อกคนอื่น แล้วมีโฆษณามาเกะกะในตัวบทความ เราชอบหรือไม่ โดยทั่วไปแล้ว ถ้าบทความของเราเขียน ได้ดี ผู้อ่านก็จะมาอ่านซ้าแล้วซ้าอีก และอาจมีผู้อ่านมากขึ้นทุก ๆ วัน หลังจากนั้นแล้ว รายได้จากค่าโฆษณาจะ ตามมาเอง โดยที่เราไม่ต้องไปใส่โฆษณา แทรกลงไปในตัวบทความอีกด้วย 4. ใส่ใจ comment ที่มีเข้ามาบล็อกสามารถใช้ประโยชน์ของการสื่อสาร ได้ด้วยระบบ comment ใน ตัวเอง ซึ่งโปรแกรมสร้างบล็อก (Blogware) ส่วนใหญ่ มีระบบ comment ติดมาให้ด้วยอยู่แล้ว ลองใช้ระบบ นี้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน comment การตอบ comment ต่าง ๆ บางครั้งเราอาจได้ประโยชน์จาก การดึงประเด็นเด็ด ๆ จาก comment มาใช้เขียนบทความก็เป็นได้ ดังนั้น ทุก ๆ วันควรที่จะตรวจสอบว่า มี comment ใดเข้ามาบ้าง เพื่อที่จะได้ตอบได้ทันท่วงที เมื่อเราตอบได้เร็ว ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมในการสื่อสาร ทั้ง สองฝ่ายก็แฮปปี้ และจุดสาคัญอีกอย่างหนึ่งถ้าเราตรวจสอบ comment ทุกวันก็คือ เราสามารถลบพวก spam
  • 4. comment ออกได้อย่างทันควันไงครับ 5. ใส่ใจในมาตรฐานของเว็บไซต์ ไม่มีใครรู้ว่าบล็อกของเราจะมีคนเข้ามาอ่านมากแค่ไหน บางครั้งเราอาจ ต้องมีการปรับปรุงเว็บไซต์ หรือบางครั้งเราอาจต้องมีการปรับแต่งดีไซน์ เพื่อรองรับการขยายตัวอย่างที่เราไม่คาด ฝัน ลองมองไปถึงการดีไซน์บล็อกด้วย มาตรฐานของเว็บไซต์ (Web Standard) ซึ่งจะสามารถทาให้บล็อกของ เรา แสดงผลได้ดีในทุก ๆ browser และลองพยายามใช้ css ในทุก ๆ ส่วนที่คุณทาได้ เพราะตัว css นี้มี ความยืดหยุ่นสูง ถ้าเราต้องมีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ต่าง ๆ เราจะได้ปรับเฉพาะแค่ไฟล์ css แทนที่จะไป แก้ html ในแต่ละหน้า ลองนึกดูว่า ถ้าวันใดที่มีบทความประมาณ 1,000 บทความ แต่ต้องมานั่งแก้สีของกรอบ รูปภาพ ที่เคยเขียนโค๊ดใส่ border เข้าไปที่โค๊ดของรูปภาพโดยตรง แทนที่จะแก้ไขที่ไฟล์ css แค่บรรทัดเดียว 6. จัดตารางเวลาในการเขียนให้เหมาะสม เมื่อตอนเริ่มเขียนบล็อก อาจใช้เวลาไม่มากนักในการเขียน บทความ แต่เมื่อเขียนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี แน่นอนว่าคงต้องมีการกระทบกับเวลาการ ทางานอื่น ๆ เช่นกัน ดังนั้นลองจัดสรรเวลาสาหรับเขียนบล็อก อาจจะตื่นเช้าสักหน่อย ใช้เวลาในช่วงเช้าก่อนไป ทางาน เขียนบทความสักหนึ่งตอน หรือจะเขียนบทความในช่วงดึก ๆ ก่อนนอนก็ได้ ตรงนี้แล้วแต่คน ว่าจะ สะดวกแบบไหน หรือมีเวลาว่างในตอนอื่น ๆ ลองปรับให้เหมาะสมกับตัวเอง 7. ใส่ใจเรื่องขนาดของภาพประกอบบทความไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งฉันท์ใด บล็อกย่อมงาม เพราะดีไซน์และภาพประกอบ ลองทาความรู้จักกับรูปแบบของไฟล์ภาพชนิดต่าง ๆ เช่นไฟล์ที่มีนามสกุล เป็น .gif นั้น สามารถแสดงผลได้สูงสุด 256 สี แต่ไฟล์ภาพที่เป็นนามสกุล .jpg นั้นสามารถแสดงผลได้ สูงสุด 16 ล้านสี ดังนั้นการเลือกที่จะเซฟภาพเป็นไฟล์นามสกุลอะไรนั้น เป็นสิ่งจาเป็นอย่างมาก เพราะหากเลือก ชนิดไฟล์ผิด ภาพที่ออกมาจะไม่สวย และไฟล์อาจมีขนาดใหญ่ผิดปกติ นั่นจะเป็นสิ่งที่กินทรัพยากรของระบบ และบล็อกมากขึ้นไปอีก เพราะถ้ามีผู้อ่านเยอะ แต่ต้องรอโหลดภาพที่ใหญ่ผิดปกติ ผู้อ่านบางท่านอาจจะเลิกรอ เลย วิธีง่าย ๆ ในการเซฟภาพมีดังนี้ หากเป็นภาพถ่าย แนะนาให้ใช้เป็น jpg ส่วนถ้าเป็นไฟล์โลโก้ หรือภาพ ที่มีจานวนสีน้อย ๆ ลองใช้เป็น gif ดู ทาไมBlogถึงได้รับความนิยม ความสะดวกและง่ายดายของการเขียนบล็อก หรือสร้างบล็อกขึ้นมาสักหนึ่งแห่ง ทาให้ผู้คนนับล้าน ได้ทา การเขียนและเผยแพร่ความคิดของตนได้ง่าย และนอกเหนือจากนั้นยังมีความคิดเห็น อีกนับล้านจากคนอ่านที่เข้า มา Comment หรือตอบกลับในบล็อกเหล่านั้น ทาให้มีการโต้ตอบกันทางความคิด (interactive) ซึ่งตอบโจทย์ เรื่องการสื่อสารระหว่างคนเขียนและคนอ่านได้เป็นอย่างดี ดังนั้น Blog จึงเปรียบเสมือนเป็นสื่ออีกชนิดหนึ่ง กลายเป็นแหล่งข้อมูลสาคัญที่เราไม่สามารถมองข้าม มันได้ ด้วยความฉับไวของข้อมูลใน Blog อีกทั้งยังเป็นข้อมูลที่ใหม่สด บางครั้ง ข้อมูลจาก Blog เป็นข้อมูลที่ ไม่เคยปรากฎที่ไหนมาก่อนอีกด้วย ที่สาคัญที่สุดคือ Blog ทาให้ผู้คนสามารถมีสิทธิ์มีเสียง และเขียนถึงเรื่องราวและบทความต่าง ๆ ได้ง่าย ดังใจนึก ประโยชน์ของBlogกับธุรกิจ
  • 5. ปัจจุบันนี้ บริษัทชั้นนาต่าง ๆ ของโลก ได้หันมาจับตามอง Blog ซึ่งเป็นรูปแบบของ การ Marketing แบบใหม่ เนื่องจาก Blogger จะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้อ่าน Blog สูงมาก เนื่องจากทั้ง สองฝ่ายสามารถโต้ตอบกันได้โดยตรง การที่ใช้ Blog มาเป็นเครื่องมือทางการตลาดนั้น อาจเรียกได้ว่าเป็น Buzz Marketing บางบริษัทอาจ เลือกเจ้าของ Blog ให้เป็น presenter ให้กับผลิตภัณฑ์ของตนเอง เช่นเสนอสินค้า ให้เจ้าของ Blog นาไป เขียนวิจารณ์หรือเขียนถึงใน Blog ของตนเป็นต้น บางบริษัทใช้ Blog เพื่อเป็นเครื่องมือสื่อสาร หรือ PR ข่าวสารขององค์กร โดยการใช้ Blog เพื่อ ประกาศข่าวสารนั้น จะดูมีความเป็นกันเองและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างเป็นมิตร เพราะเนื่องจากลูกค้าสามารถ ฝาก comment หรือสื่อสารกับเจ้าของ Blog ได้ทันที ทาให้บริษัทเอง จะได้ประโยชน์จากคาแนะนาที่ ตรงไปตรงมาของลูกค้าอีกด้วย บริษัทชั้นนาต่างเลือกที่จะใช้ Blog มาเป็นเครื่องมือทางการตลาดกันแล้ว โดยบาง แห่งใช้ทั้ง Blog อย่างเป็นทางการของบริษัท แถมยังเปิดให้พนักงานได้เขียน Blog ของตนเองอีกด้วย โดย วิธีการนี้นับเป็นการทาการตลาดโดยการสร้างการรับรู้ตราสินค้า (Brand) โดยทางอ้อมอีกด้วย นอกเหนือจากองค์กรธุรกิจแล้ว บุคคลที่ทางานคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม สามารถใช้ Blog เพื่อเป็นการเผยแพร่ ผลงาน หรือขายสินค้าของตนได้อีกด้วยเช่น ช่างภาพ, ศิลปิน, นักออกแบบ, นักเขียน, นักวาด การ์ตูน , ร้านค้า , ฯลฯ อยากมี Blog ต้องทาอย่างไร การที่เราจะมี blog ได้นั้น เราควรจะรู้จักกันก่อนว่า การทา blog มีผู้ให้บริการให้เราสามารถสร้าง blog ได้ หลายรูปแบบ โดยในแต่ละแบบนั้น มีความต้องการรู้ทางด้านการทาเว็บแตกต่างกันไป ว่ากันถึงแบบหลัก ๆ ก่อน ดีกว่า 1. ผู้ให้บริการ Blog (Blog Hosting , Blog Provider) หากคุณไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการทาเว็บ หรือไม่รู้จัก blog มาก่อน ก็สามารถมี blog เป็นของตัวเองได้ง่าย ๆ ครับ โดยผู้ให้บริการ blog จะมีการเตรียมระบบรองรับให้เราเรียบร้อยแล้ว โดยสิ่งที่ผู้ให้บริการ blog เตรียม ให้เราก็คือ - ชื่อโดเมน ที่ใช้เป็นที่อยู่ของ blog เรา โดยส่วนใหญ่จะเป็นชื่อแบบ sub domain คือเป็นชื่อใน รูปแบบ myname.blogprovider.com เป็นต้น โดยคาว่า myname นั้นก็จะแทนที่ด้วยชื่อที่เราเลือกไว้ครับ ส่วนตรง blogprovider.com นั้นก็คือชื่อโดเมนของผู้ให้บริการ blog ของเรา - ระบบ blog management สิ่งต่อมาที่ผู้ให้บริการ blog เตรียมไว้ให้คือ โปรแกรมการ update blog ต่าง ๆ ไงครับ เราไม่ต้องเขียนโปรแกรมการ update blog ด้วยตัวเอง แต่ทางผู้ให้บริการ จะมีระบบนี้ เตรียมไว้ให้เราเลยครับ รวมทั้งพวกเทมเพลท หรือรูปแบบดีไซน์ของ blog ที่เตรียมไว้ให้เราใช้ได้เลย ไม่ เสียเวลาออกแบบ - พื้นที่เก็บ Blog โดยจานวนพื้นที่ที่ผู้ให้บริการเตรียมไว้ให้เรานั้น มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละ
  • 6. ราย ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของการทา blog กับ ผู้ให้บริการ blog นั้น แตกต่างกันไปตามแต่ผู้ให้บริการ บาง แห่งฟรี บางแห่งเก็บค่าบริการรายเดือน ผู้ให้บริการเหล่านี้ก็มี ตัวอย่างเช่น Blogger.com , LiveJournal.com , TypePad.com เป็นต้น หากเป็นของไทย ก็ลองไป ที่ BlogRevo หรือ exteen.com ดูได้ 2. ใช้ Blog Software ติดตั้งใช้เอง การใช้ Blog Software มาติดตั้งใช้เองนั้น ต้องการความรู้ทางด้านการเขียนโปรแกรม หรือติดตั้งโปรแกรมบ้าง แถมยังต้องมีพื้นฐานทางด้านการทาเว็บอีกด้วย เพราะเราอาจต้องทาการติดตั้ง หรือปรับแต่งดีไซน์ด้วยตัวเอง โดย ข้อดีของการใช้ Blog Software มาติดตั้งเองคือ เราสามารถควบคุมการใช้บล็อกของเราได้เอง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ เขียนบล็อก ก็มีได้มากตามที่เราต้องการ หรือตามพื้นที่ของ web hosting ที่เราเช่าใช้อยู่ หากเราต้องการใช้ Blog Software เราจะต้องมีสิ่งเหล่านี้อยู่ล่วงหน้าแล้ว นั่นคือ - ชื่อโดเมนเนม อาจจะเป็นชื่อโดเมนที่เราจดทะเบียนโดเมนเนมไว้ หรือใช้ sub domain จากเว็บของเราที่มีอยู่ แล้ว หากคุณยังไม่เคยมีเว็บมาก่อน ก็ต้องจดทะเบียนโดเมนเนมเป็นของตัวเองก่อน - พื้นที่เว็บโฮสติ้ง คุณต้องเช่าพื้นที่เว็บโฮสติ้งไว้ให้พร้อมครับ โดยดูให้ตรงกับความต้องการของโปรแกรม blog software ที่เราจะใช้ เช่น php, cgi หรือ asp - โปรแกรม Blog Software โปรแกรมเหล่านี้ มีทั้งแบบเสียสตางค์ซื้อมา เช่น MovableType หรือ หรือบาง โปรแกรมก็ให้ใช้ได้ฟรี เช่น WordPress เป็นต้น การใช้ Blog กับองค์กรธุรกิจ มีมากมายหลายเหตุผลที่ Blog จะก้าวเข้าสู่องค์กรของคุณ โดยใช้ Blog เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ และเป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่าง องค์กรของคุณและกลุ่มเป้าหมาย หรือกลุ่มลูกค้าที่สนใจในผลิตภัณฑ์ บริการ หรือธุรกิจของคุณ และนี่คือตัวอย่างของการใช้ Blog ให้เป็นประโยชน์กับธุรกิจของคุณ  Blog ช่วยให้คุณก้าวมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานนั้น ๆ โดยคุณสามารถวาง Positioning ตัวเอง หรือบริษัทของคุณให้เป็นผู้นาในสายงานธุรกิจของคุณ  ใช้ Blog เป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างบริษัทของคุณและลูกค้า เว็บบอร์ด อาจไม่ใช่ช่องทางที่ดีที่สุดแล้ว เมื่อ Blog ก้าวเข้ามาแทนที่โดย ให้ความรู้สึกแบบเป็นส่วนตัว และเป็นมิตรกับลูกค้าได้มากกว่า และ Blog นี่เองที่เป็นช่องทางที่รวดเร็วที่สุด ที่คุณจะสามารถสื่อสาร และโต้ตอบหรือคุยกับลูกค้าได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถใช้ Blog เพื่อนาเสนอเทคนิคการใช้งานผลิตภัณฑ์ ของคุณ หรือแม้กระทั่งใช้เป็นช่องทางในการรับ feedback จากลูกค้า  ใช้ Blog เป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างบริษัทของคุณ กับสื่อต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นความฝันของ PR Agency ต่าง ๆ เลยทีเดียวในการสร้างช่องทางหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้สื่อ ต่าง ๆ เช่นหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ ได้เข้ามาใน Blog ขององค์กร เพื่อเช็คดูว่าคุณมีข่าวใหม่
  • 7. ๆ อะไรบ้าง เพราะจากเดิมที่สื่อต่าง ๆ จะรอคอยข่าว Press Release จากบริษัทของคุณ อาจจะมีบาง สื่อที่ต้องการหาข่าวที่แตกต่างจากสานักข่าวอื่น ๆ โดยการเข้ามาหาข่าวจาก Blog ของคุณ  การใช้ Blog เพื่อประสานงานภายในองค์กร ใช้ Blog เป็นที่ทางานร่วมกันแบบออนไลน์ เช่นใช้เป็นพื้นที่ให้ทีมงานแต่ละคนของ Project นั้น ๆ เข้ามาทา Brain Storming หรือ update ความคืบหน้าของโปรเจคท์ โดยไม่ต้องเสียเวลามานั่ง ทา report ต่าง ๆ อย่างเป็นทางการ แทนการประสานงานต่าง ๆ ด้วยวิธีส่งอีเมล์หากัน ซึ่งการ ใช้ Blog มาแทนที่การใช้อีเมล์ ทาให้ไม่ต้องมานั่งค้นหาเมล์เก่า ๆ จากในโปรแกรมอย่าง outlook express เพราะ Blog สามารถอ่านบทความย้อนหลังได้ง่าย และสามารถแยกเป็นหมวดหมู่ได้อย่าง ชัดเจน  ใช้ Blog เพื่อบริหารจัดการข้อมูลความรู้ต่าง ๆ Blog มีประโยชน์ในทั้งสองทางคือทั้งผู้อ่าน Blog และผู้เขียน Blog โดยปกติแล้ว Blog เป็นช่องทาง ให้ผู้อ่านสามารถหาข้อมูลต่าง ๆ จาก Blog ของเราได้ง่าย โดยสามารถใช้เป็น knowledge base ภายในองค์กรต่าง ๆ ได้ แต่ในทางกลับกัน ผู้เขียน Blog หรือ Blogger ก็ต้องคอยหาข้อมูล มาเขียน ดังนั้น Blog จึงเปรียบเสมือนเป็นช่องทางการเรียนรู้ ที่ไม่มีวันสิ้นสุด  ใช้ Blog เป็นช่องทางในการหาบุคลากรมาร่วมทางานด้วย (Recruitment) ถ้าคุณวางภาพลักษณ์บริษัทของคุณว่าเป็นผู้นาทางด้านธุรกิจแล้ว ผู้คนที่อยู่ในสายงานธุรกิจเดียวกันกับ คุณก็จะให้ความสนใจใน Blog ของคุณด้วย เพราะคนเหล่านั้นก็ต้องการ update ข่าวสารในวงการ ให้กับตัวเองเหมือนกัน หากคนเหล่านี้เข้ามาโต้ตอบหรือพูดคุยกันใน Blog ของคุณ คุณอาจจะเห็นแวว ของบุคลากรที่น่าสนใจ และชักชวนเขาเพื่อเข้ามาเสริมศักยภาพให้กับองค์กรของคุณก็เป็นได้  ใช้ Blog เพื่อทดสอบผลิตภัณฑ์ หรือไอเดียใหม่ๆ ด้วยความที่ Blog ดูเป็นกันเอง จึงให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นทางการออกมาได้อย่างไม่ขัดเขิน ดังนั้นบริษัท ของคุณสามารถเอา feedback ต่าง ๆ ที่กลุ่มเป้าหมาย หรือลูกค้าของคุณ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ เช่น คุณสามารถลองนาเสนอไอเดียใหม่ ๆ ลงไปใน Blog แล้วดูว่าจะมีผู้คนสนใจมาน้อยแค่ไหน หรือ ว่าให้ feedback กลับมายังไงบ้าง  Blog ช่วยให้เว็บของคุณอยู่อันดับต้น ๆ ใน Search Engine ได้ Google และ Search Engine อื่น ๆ จะให้ความสาคัญกับเว็บไซต์ที่มีการ update ข้อมูลบ่อย ๆ รวมถึงเว็บที่มีการทา link ไปหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง หรือเว็บที่มี link เข้ามาหามาก ๆ ทั้งหมดที่กล่าว มานั้น คือสิ่งที่ Blog ช่วยคุณได้ เพราะ Blog ทาให้คุณ update ได้ง่ายแบบทุกวัน และยัง ทา link ไปหาเว็บอื่นได้ง่าย และหาก Blog ของคุณน่าสนใจ ก็จะมีคนอ้างถึง Blog ของคุณ หรือ ทา link เข้ามาหา Blog คุณได้ ลองพิจารณาถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ดูครับ แล้วเว็บ หรือ Blog ของคุณ จะมีโอกาสได้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของ Search Engine ได้ไม่ยาก - บล็อก (Blog) คือเว็บไซด์รูปแบบหนึ่ง ที่มีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายๆกับการเขียนไดอารี่ หรือ บันทึก ส่วนตัว ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ - คาว่า "Blog" มาจากคาเต็มว่า "Weblog" (ตัด We ทิ้ง คงเหลือแต่ blog) ซึ่งโดยนัยแล้วหมายถึง การ
  • 8. บันทึกข้อมูล(Log) บน เว็บ(Web) นั่นเอง - โดยผู้ที่เขียนบล๊อกเป็นอาชีพ จะถูกเรียกกันว่า "บล็อกเกอร์" (Blogger) - จุดเด่นที่สาคัญของ Blog คือ จะมีระบบที่ผู้อ่านและผู้เขียนสามารถแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันได้ โดย ผ่านทางระบบ Comment ของบล๊อก Blog ใช้ทาอะไรได้บ้าง? - ทาBlog เป็นเว็บไซด์ส่วนตัว เพื่อแชร์ข้อมูลส่วนตัวให้กับผู้อื่นๆ เช่น บันทึกไดอารี่ - เขียนBlog เพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ นาเสนอสิ่งที่ตนเองรู้ หรือสิ่งที่ตนเองสนใจ เพื่อแบ่งปันให้กับผู้อื่น - สร้างBlog ทาเป็นเว็บไซด์เพื่อใช้ในการโปรโมทธุรกิจ ร้านค้า บริการต่างๆ - ใช้Blog ในการทาธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ (E-Commerce) - นอกจากนี้ Blog ยังเป็นช่องทางหนึ่งที่นิยมใช้กับเพื่อหารายได้จาก Internet Marketing Blog กับ Website ต่างกันอย่างไร? - เว็บไซด์ทั่วๆไปนั้น จาเป็นต้องมี Server, มี Host มี Domain Name เป็นของตนเอง ซึ่งจะต้องเสีย ค่าใช้จ่าย แต่ในส่วนของ Blog นั้นเราสามารถสมัครใช้บริการได้แบบฟรี เพียงแต่เราต้องใช้ชื่อ Domain ของผู้ ให้บริการนั้นๆ เช่นของ Google คือ Blogger.com - โดเมนเนม ก็จะเป็น "ชื่อBlogของคุณ" ต่อท้ายด้วย "blogspot.com" เช่น JoJho-Problog.blogspot.com - เว็บไซด์ทั่วไปจะมีความยืดหยุ่นสูงในการออกแบบ ดีไซน์ เพราะเราต้องสร้างเองทั้งหมด (ดังนั้นจะเลือกดีไซน์ ยังไงก็ได้) - แต่ Blog จะมีการดีไซน์ในรูปแบบเฉพาะเรียกว่า Blog Template ซึ่งมีให้เลือกมากมาย แต่ยังคงมีลักษณะ โครงสร้างที่ค่อนข้างตายตัว ไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้มากตามใจชอบอย่างเว็บไซด์ - การสร้างเว็บไซด์ จาเป็นต้องมีทักษะความรู้ด้านคอมพิวเตอร์มากพอสมควร ทั้งในส่วนของภาษาคอมพิวเตอร์, โปรแกรมคอมติวเตอร์ต่างๆ ความรู้เบื้องต้นในเรื่องของ Network เป็นต้น แต่ Blog สมารถสร้างและใช้ได้ง่าย กว่า Blog กับ เว็บไซด์สาเร็จรูป ต่างกันอย่างไร? - Blog และ เว็บไซด์สาเร็จรูป (Instant Website) เป็นเว็บไซด์ที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน ที่เรียกว่า เว็บไซด์ ในรูปแบบ CMS (Content Management System) คือจะเน้นการจัดการเนื้อหาเป็นหลัก ซึ่งเราไม่ จาเป็นต้องมีความรู้ในการเขียนโปรแกรมเลย ก็สามารถ สร้างBlog ขึ้นได้โดยวิธีการเข้าใจได้ไม่ยาก - เว็บไซด์สาเร็จรูป มีทั้งแบบ เราสร้างเว็บเอง หรือ ไปขอใช้บริการแบบที่เค้าสร้างให้เสร็จแล้ว ซึ่งในที่นี้ผมจะขอ
  • 9. กล่าวถึงแต่ เว็บไซด์สาเร็จที่เค้าสร้างให้เสร็จแล้ว เพราะจะใกล้เคียงกับบริการของ Blog - เว็บไซด์สาเร็จรูป ที่นิยม จะเป็นในรูปแบบเปิดร้านค้าออนไลน์ (Online Shopping, Instant Online Store) ซึ่งจะมีระบบที่สนับสนุนกับการทา E-Commerce รองรับในตัว เช่น ตะกร้าสินค้า, เว็บบอร์ด ในขณะ ที่ Blog จะไม่มี - ดังนั้นในการเปิดร้านค้าออนไลน์นั้น เว็บไซด์สาเร็จรูปจะเหมาะสาหรับ ร้านที่มีสินค้าขายเป็น ชิ้นๆ ซึ่งมีจานวน มากพอสมควรในระดับหนึ่ง ... ในขณะที่ Blog จะเหมาะสาหรับร้านที่มีสินค้าตั้งขายจานวนน้อย - Blog จะเหมาะสาหรับธุรกิจที่เน้นให้บริการเป็นหลัก หรือธุรกิจแบบมีร้านค้าจริงๆ เพื่อแนะนาร้านสถานที่ตั้ง ร้าน นาเสนอและโปรโมทสินค้าบริการต่างๆ เป็นต้น ในขณะที่เว็บไซด์สาเร็จรูปแบบร้านค้าออนไลน์นั้นจะเหมาะ สาหรับธุรกิจที่ขายสินค้าเป็นผลิตภัณฑ์ (Products) ต่างๆมากกว่า Blog ข้อดีและข้อเสียของ Blog : ข้อดี - มีอิสระที่จะนาเสนอสิ่งต่างๆ (ที่ไม่ไปก้าวล่วงบุคคลอื่น และไม่ผิดกฎกติกาของผู้ให้บริการ Blog) - เปิดโอกาสให้เจ้าของ Blog ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าชมและโต้ตอบกลับได้อย่างอิสระ - ไม่จาเป็นต้องมีความรู้ในด้านภาษาโปรแกรมต่างๆ - หากพอมีความรู้ด้านภาษาเว็บพื้นฐาน (HTML) จะสามารถช่วยทาให้เข้าไปแก้ไข Source Code ได้ เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบ Template ของ Blog ตามต้องการ - สามารถใช้ Blog ในการทาธุรกิจหารายได้ จากการโปรโมทสินค้าหรือบริการ - สามารถใช้สร้างเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ - ไม่เสียค่าใช้จ่าย (ยกเว้นต้องการจด Domain Name เป็น .com .net .org .info) - มี Template ให้เลือกใช้มากมาย (ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน) - Server มีความเสถียรสูง ปัญหาในด้านความช้า หรือ Server ล่ม พบน้อยมาก ข้อเสีย - ฟังก์ชั่นและลูกเล่นต่างๆ ยังมีน้อยหากเทียบกับเว็บไซด์ที่สร้างเองหรือเว็บไซด์สาเร็จรูป - แม้มีรูปแบบ Template ให้เลือกใช้มากมายแต่โครงสร้างเว็บก็ยังคงค่อนข้างตายตัว - เนื่องจากเป็นบริการให้ใช้ฟรี หากเราทาผิดกฎของผู้ให้บริการ Blog เราจะถูกแบน และมีโอกาส ถูกลบ Blog ได้ (แต่ถ้าไม่ได้ทาผิดกฎอะไร ก็อยู่ได้อย่างยาวนานจนกว่าผู้บริการจะเลิกให้บริการ)
  • 10. Cr.http://www.jojho.com/2013/05/what-is-blog.html วิธีใส่เพลงใน Blogger ขั้นตอนที่ 1. ให้เข้าไปที่เว็บไซต์ www.youtube.com จากนั้นเลือกเพลงตามต้องการครับ ขั้นตอนที่ 2. คลิกคาว่า Share cr. 3.bp.blogspot.com/ ขั้นตอนที่ 3. คลิกคาว่า Embed ขั้นตอนที่ 4. คัดลอกโค้ดดังกล่าว หรือ คลิกขวา แล้วกด คัดลอก (Copy)
  • 11. cr. 3.bp.blogspot.com ขั้นตอนที่ 5. เข้ามาที่บล็อกของเรา ไปที่ รูปแบบ >> เพิ่ม Gedget >> HTML ดังรูป cr. 4.bp.blogspot.com ขั้นตอนที่ 6. ทาการวางโค้ดที่คัดลอกมา แล้ว พิมคาว่า
  • 12. ;autoplay=1 ต่อท้ายคาว่า ?rel=0 ถ้าหากคาว่า ?rel=0 ไม่มี ก็ให้ทาการเลื่อนไปข้างหน้า (หรือต่อท้ายชื่ออ้างอิงนั่นเอง) จากนั้นทาการปรับความกว้าง (width) และความสูง (height) ให้ เหมาะสม ดังรูป... ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะแสดงเพลงแบบอัตโนมัติครับ cr. 3.bp.blogspot.com/ ขอขอบคุณ http://nattagan2.blogspot.com
  • 13. วิธีการใส่ปฏิทิน 1.เปิด แดชบอร์ด ไปที่ Setting หรือส่วนการตั้งค่า 2.เลือกรายการ Layout หรือ รูปแบบ ที่ฝั่งซ้าย ดังภาพด้านล่าง เมื่อได้ Layout Page มาแล้ว ให้กาหนด ตาแหน่งที่ท่านจะวาง ส่วนที่ใช้วาง code script cr. https://1.bp.blogspot.com/7cCqRTOo3tE/VOCPVl-_OxI/AAAAAAAADcE/zxO3DpOdYYQ/s1600/47-45.gif 3. เมื่อกาหนดบริเวณได้แล้ว ให้คลิกเลือกรายการ Add a Gadget หรือ เพิ่ม Gadget ที่อยู่ในบริเวณนั้น ซึ่ง จะเกิดหน้าต่าง Add a Gadget เลือกหารายการ ที่ชื่อว่า HTML/Java Script คลิกเลือกที่เครื่องหมาย +
  • 15. 4. จะเกิดกรอบหน้าต่างสาหรับวาง code script ดังภาพ cr. https://2.bp.blogspot.com/-HIwaelMYRSg/VsRuOWxMVpI/AAAAAAAAE44/P-etDLQFJ8s/s1600/2016-02-17_19-54- 52.jpg 5. ทาการตั้งชื่อ และนา code ที่ต้องการวางลงในพื้นที่เขียน script 6. คลิกปุ่ม บันทึก แล้วปิดหน้าต่างได้ 7. ตรงตาแหน่งที่กาหนดไว้ ก็จะมีนาฬิการ หรือ ปฎิทิน แสดงผล ตามที่กาหนดไว้ หมายเหตุ : หากต้องการแสดงผล ให้อยู่ตรงกลาง ให้เพิ่ม คาสั่ง Tag Center ลงไป <center> ..........ส่วนที่เป็น codescript..........</center> ขอขอบคุณ mediathailand
  • 16. วิธีเปลี่ยนรูปเมาส์ในบล็อก 1.ขั้นแรกก็ให้เข้าไปที่เว็บ http://www.cursors-4u.com เข้าไปเลยครับ cr. http://4.bp.blogspot.com/-0UBrWcnlkIQ/T9l1iiX4KlI/AAAAAAAAARI/V4U1yoJVti4/s1600/201.jpg 2. เลือกแบบเมาส์ที่ต้องการ โดยเมนูจะอยู่ด้านซ้ายมือนะครับ เลือกหมวดที่ใช่ ชนิดที่ชอบได้
  • 17. cr. http://2.bp.blogspot.com/-kZkDmFCoimY/T9l19rgp3QI/AAAAAAAAARQ/tq35YItKniI/s1600/202.jpg 3. เราก็จะมาพบกับโฆษณาแฝงครับ ไม่ต้องตกใจ กด skip this ads ตัวเล็กๆ ด้านบนได้เลยครับ
  • 18. cr. http://1.bp.blogspot.com/-qrokhvJNrVI/T9l2zKsqSaI/AAAAAAAAARY/vPielxAKd6w/s1600/203.jpg 4. ต่อมาก็จะมีหมวดย่อยให้เลือกครับ เลือกเลย cr. http://2.bp.blogspot.com/-o6hejgtKV0Q/T9l4C5uy5LI/AAAAAAAAARo/6Nu9aM6iZTc/s1600/205.jpg 5. หลังจากเลือกหมวดย่อยแล้ว เราก็จะได้เลือกรูปแบบของเมาส์กันสักทีนะครับ 6. สังเกตในรูปนะครับ อันไหนที่เขียนว่า cursor set อย่าไปเอานะครับ เพราะมันมาเป็นเซ็ต ใช้ในบล็อกไม่ได้
  • 19. cr. http://4.bp.blogspot.com/-pwLhafw_PGs/T9l4547LgfI/AAAAAAAAARw/CP8xVKICpvw/s1600/206.jpg 7. เมื่อได้แบบของเมาส์ที่ต้องการแล้วก็คลิกเข้าไปเลยครับ 8. ไม่ต้องกดดาวน์โหลดนะครับ ให้หาแท๊บที่เขียนว่า blogger/blogspot แบบในรูป แล้วคลิกเข้าไป
  • 20. cr. http://4.bp.blogspot.com/-XyLgxebIciU/T9l68lVtCMI/AAAAAAAAAR4/59U2pDnDLjM/s1600/207.jpg 9. เนื่องจากเราใช้บล็อกรูปแบบใหม่ ดังนั้นให้ copy โค้ดจากช่องล่างที่เขียนว่า new blogger/blogspot interface ตามรูปเลยครับ
  • 22. cr. http://3.bp.blogspot.com/-3fi9VE6eRwo/T815cYZsUII/AAAAAAAAAMY/TA-nEy5cIOs/s1600/1.png 11. เลือกบล็อกที่เราจะเปลี่ยนรูปเมาส์ครับ แล้วกดลูกศรชี้ลงที่หมายเลข 4 ตามรูป cr. http://1.bp.blogspot.com/-nl5PqAGK4_E/T815gmqbO8I/AAAAAAAAAM8/AIjsAt3i4ys/s1600/6.jpg 12. เลือกแม่แบบครับ เมื่อได้หน้าจอดังรูปข้างล่างแล้ว ก็กดตรง "แก้ไขHTML"
  • 23. cr. http://4.bp.blogspot.com/-ZkEwBhCPzKA/T9rA7oJRxPI/AAAAAAAAASQ/xNyKwB6fmjE/s1600/209.jpg 13. ก็จะเข้าสู้หน้าจอเตือนการแก้ไข HTML ครับ หน้าจอนี้จะแจ้งเตือนทุกครั้ง ที่เราจะเข้าไปแก้ไข HTML ซึ่งเป็น ภาษาที่ใช้สาหรับเขียนเว็บ หากทาสุ่มสี่สุ่มห้าไป อาจทาให้เกิดความเสียหายต่อหน้าเว็บบล็อกของเราได้ เขาเลย ต้องเตือนไว้ก่อน แต่ไม่ต้องกลัวครับ ถ้าไม่ทาเกินที่ผมบอก รับรองไม่เป็นไร ก็เลือก "ดาเนินการ" ได้เลย
  • 24. cr. http://3.bp.blogspot.com/- j74Nbm3tAxU/T9rB0R78nZI/AAAAAAAAASY/BBEsDi60kHQ/s1600/210.jpg 14. พอเข้ามาแล้วก็เจอตัวยึกยือ ยึกยือเต็มไปหมดใช่ใหม่ครับ นี่แหละภาษา HTML บวกด้วย Java อย่าไปใส่ ใจครับมองหาบรรทัดที่ 14 ที่จะเขียนว่า <title><.....................></title> (ตรงจุดๆนั่นอาจจะไม่เหมือนกันครับ แต่ให้หาที่มี title ก็ พอ สังเกตในรูปนะครับ ใต้บรรทัดที่ 14 จะมีบรรทัดว่างอยู่ 1 บรรทัด ให้เอาโค้ดที่เรา copy มา Paste ลงตรง นั้นเลยครับ จากนั้นก็กดบันทึกเทมเพลต แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย
  • 26. เปลี่ยนพื้นหลังบล็อก พื้นหลังของบล็อกเป็นสิ่งสาคัญ ควรเลือกพื้นหลังให้เหมาะสมกับบล็อก ดูองค์ประกอบบล็อกที่สาคัญที่สุดควร ดูที่บทความว่าถ้าเปลี่ยนพื้นหลังนี้จะสามารถอ่านบทความได้อย่างสบายตาหรือไม่ ดังนั้นพื้นหลังก็ควรเป็นสี อ่อนๆดูแล้วสบายตา ว่าแล้วเราก็มาเปลี่ยนรูปภาพพื้นหลังให้บล็อกกันดีกว่า ก่อนอื่นก็ลงชื่อเข้าสู่ระบบของบล็อกก่อน cr. http://4.bp.blogspot.com/- V2CA8VqcR6w/UMVmtsLgzmI/AAAAAAAAF5s/3XbbnaTTLis/s1600/Screen+Shot+2012-12-10+at+11.22.29+AM.png
  • 27. 1. ไปที่หน้าแดชบอร์ดของบล็อกเกอร์เลือก "แม่แบบ" cr. http://3.bp.blogspot.com/- ypQbSfR3ddk/UMVmvClvifI/AAAAAAAAF50/y3uJg1No4KE/s1600/Screen+Shot+2012-12-10+at+11.22.38+AM.png 2. ในที่นี้คุณจะไปที่หน้าของแม่แบบบล็อกเกอร์ 3. เลือก "กาหนดค่า" เพื่อไปที่หน้าเครื่องมือออกแบบเทมเพลตบล็อกเกอร์ cr. http://1.bp.blogspot.com/-dH2o4bdnI3M/UMVmwpziIwI/AAAAAAAAF58/i7Cv0ELdiwo/s1600/Screen+Shot+2012-12- 10+at+11.23.25+AM.png 4. เลือก "พื้นหลัง" เพื่อทาการปรับแต่งพื้นหลังของบล็อกเกอร์ 5. คลิกที่ "ภาพพื้นหลัง"
  • 28. 6. สามารถเลือกรูปภาพจากบล็อกเกอร์หรืออัปโหลดจากคอมพิวเตอร์ของคุณ 7. เลือกรูปภาพของคุณ 8. เมื่อเลือกรูปภาพแล้วคลิกที่ "เสร็จสิ้น" 9. เลือก "ใช้กับบล็อก" เพียงเท่านี้ก็สามารถเปลี่ยนภาพพื้นหลังให้บล็อกได้แล้ว ขอขอบคุณข้อมูลจาก pakamasblog