More Related Content
More from Phitchaya Sangphairot (11)
Com
- 2. ที่มาและความสาคัญ
เนื่องจากปัจจุบันอัตราการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือโรคที่เกี่ยวกับสมองเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าอดีต ซึ่งเกิดจาก
หลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดจากการรับประทานอาหาร พันธุกรรม หรือเเม้กระทั่งการไม่ยอมตรวจร่างกายตั้งแต่เเรก
ทาให้อาการเริ่มหนักเเละรักษาได้ยาก ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจหาความผิดปกติของร่างกายนั้นก็คือ เครื่อง MRI ที่
สามารถตรวจได้ทุกส่วนของร่างกายเพื่อตรวจหาความผิดปกติ ซึ่งถ้าเราตรวจตั้งเเต่เนิ่นๆ ก็ยิ่งเป็นผลดีในการรักษาซึ่งมี
โอกาสสูงมากที่จะรักษาให้หายขาดได้
ดังนั้นโครงงานจึงจัดขึ้นเพื่อศึกษาการทางานของเครื่อง MRI นี้ว่ามีการทางานอย่างไร มีข้อดี ข้อเสีย อะไรบ้าง
ถึงสามารถตรวจวินิจฉัย ผู้ป่วยว่ามีความผิดปกติอย่างไร เเล้วมีความเเม่นยาสูงมาก ที่สาคัญสามารถตรวจได้ทั่วร่างกาย
และผลที่ออกมาค่อนข้างละเอียด และช่วยทาให้ลดอัตราการเกิดโรคดังกล่าวได้เพราะ เรารู้ว่าเราเป็นโรคนี้ตั้งเเต่เนิ่นๆ
จากการตรวจร่างกาย จึงสามารถช่วยลดสิ่งนี้ได้ ทาให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
- 4. ประวัติของเครื่อง MRI
ในปี 1971 บลอช (Bloch) และ พัลเซล (Purcell) ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกันในการพัฒนาในเรื่องการ เรโซแนสของ
นิวเคลียสด้วยแม่เหล็ก NMR (Nuclear magnetic resonance) โดย NMR เป็นหลักการทางฟิสิกส์ที่อยู่เบื้องหลัง MRI ซึ่ง
แมนส์ฟิล (Mansfield) และลัวเตอร์เบอร์ (Lauterbur) ได้พัฒนาเครื่อง NMR จนสามารถสร้างภาพร่างกายมนุษย์จากสัญญาณ
ที่ได้จาก NMR MRI ชื่อเดิมคือ การสร้างภาพจากการเรโซแนสของนิวเคลียสด้วยแม่เหล็ก (Nuclear Magnetic Resonance
Imaging) แต่ต้องมาเปลี่ยนชื่อมาเป็น Magnetic Resonance Imaging (MRI) เนื่องจากเกรงว่าคนทั่วไปจะเข้าใจผิดว่าใช้รังสี
ซึ่งในความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เครื่อง MRI ถูกนามาใช้ในทางการแพทย์อย่างแพร่หลายและรวดเร็วมาก
- 5. MRI คือ อะไร?
เอ็มอาร์ไอ (MRI : Magnetic Resonance Imaging)
เป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะต่างๆในร่างกาย โดยใช้สนามแม่เหล็กความเข้มสูงและ
คลื่นความถี่ในย่านความถี่วิทยุ มาใช้ในการสร้างภาพตัดขวางและภาพในแนวระนาบต่างๆ ซึ่งทาให้แพทย์สามารถ
วินิจฉัยโรคได้อย่างละเอียด และแม่นยามากยิ่งขึ้น โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย หรือ ความเจ็บปวดใดๆแก่ผู้ป่วยและ
ไม่มีรังสีเอกซเรย์
- 6. ข้อบ่งชี้ในการตรวจ MRI SCAN
MRI Scan เป็นวิธีในการตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะเกือบทั่วร่างกายที่ค่อนข้างแม่นยา
และมักจะใช้ยืนยันผลวินิจฉัยหลังจากการทดสอบให้ข้อมูลได้ไม่เพียงพอ
โดยการตรวจ MRI Scan ในแต่ละส่วนในร่างกายอาจมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น
ศีรษะ เป็นการตรวจหาความผิดปกติของสมองและเส้นประสาทในสมองที่เชื่อมกับอวัยวะ
หน้าอก เป็นการตรวจดูความผิดปกติบริเวณหน้าอกและหัวใจ
หน้าท้องและกระดูกเชิงกราน เป็นการตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะและโครงสร้างภายในช่องท้อง
เส้นเลือด เป็นการตรวจดูเส้นเลือดและการไหลเวียนของเลือด
ไขสันหลัง ตรวจเช็คหมอนกระดูกและเส้นประสาทไขสันหลังในบาง
กระดูกและข้อต่อ ตรวจดูความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับกระดูกและข้อต่อ
- 8. ข้อพึงระวังในการตรวจด้วยเครื่อง MRI
เนื่องจากห้องตรวจเอ็มอาร์ไอ จะมีสนามแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูงตลอดเวลา ซึ่งมีผลต่อการการทางานของเครื่องมือที่
ไวต่อแม่เหล็ก และดึงดูดวัตถุที่เป็นโลหะทุกชนิด จึงมีข้อพึงระวังก่อนเข้ารับการตรวจด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ ดังนี้
➢ ห้ามตรวจในผู้ที่มีการฝังโลหะในร่างกาย เช่น ผู้ป่วยที่ผ่าตัดติดคลิปอุดหลอดเลือดในเส้นเลือดโป่ งพอง ผู้ป่วยใส่ลิ้นหัวใจ
เทียม หรือข้อเทียม ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ ผู้ป่วยที่ผ่าตัดใส่อวัยวะเทียมภายในหู เป็นต้น
➢ ควรหลีกเลี่ยงการตรวจ เอ็มอาร์ไอ ในผู้ป่วยที่กลัวที่แคบ (Claustrophobic) เพราะเครื่อง เอ็มอาร์ไอ มีลักษณะเป็น
โพรงให้เตียงผู้ป่วยเคลื่อนเข้าไปได้
➢ ผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจ เอ็มอาร์ไอ จะต้องนาโลหะต่างๆออกจากตัว เช่น ที่หนีบผม ฟันปลอม ต่างหู เครื่องประดับ
บัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเครดิต กุญแจ หรือ นาฬิกา เป็นต้น
- 9. หลักการทางานของเครื่อง เอ็มอาร์ไอ
MRI คือเครื่องตรวจร่างกายด้วยการสร้างภาพเหมือนจริงของส่วนต่างๆของร่างกาย โดยใช้สนามแม่เหล็กความเข้มสูง เมื่อ
ใส่สนามแม่เหล็กให้กับร่างกาย นิวเคลียสของอะตอมในร่างกายจะเข้าสู่สถานะถูกกระตุ้น และเมื่อหยุดให้สนามแม่เหล็ก
นิวเคลียสของอะตอมจะเกิดการปลดปล่อยพลังงานเพื่อกลับคืนสู่สถานะปกติ เมื่อรับคลื่นความถี่ที่ปล่อยออกมา แล้วนาไป
ประมวลผลและสร้างเป็นภาพด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถให้รายละเอียดและความคมชัดเหมือนการตัดร่างกายออกเป็น
แผ่นๆทาให้แพทย์สามารถมองจุดที่ผิดปกติในร่างกายคนเราได้อย่างละเอียด โดยที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้รับการตรวจ
- 10. เครื่อง MRI มีส่วนประกอบที่สาคัญคือ แม่เหล็กที่มีกาลังสูงมากซึ่งใช้ในการเปลี่ยนการเอียงตัวของสปินของ
นิวเคลียสให้มีการเอียงตัวตามทิศของสนามแม่เหล็กที่ให้ แล้วหลังจากนั้นก็หยุดให้สนามแม่เหล็กเพื่อให้นิวเคลียส
เกิดการคายพลังงานเพื่อกลับสู่ตาแหน่งเดิม จับสัญญาณการคายพลังงานที่ได้ แล้วนามาสังเคราะห์ภาพก็จะได้
ภาพต่างๆในบริเวณที่ทาการศึกษาดังนั้นสนามแม่เหล็กที่ใช้จึงจะต้องมีความเข้มสูงมากและต้องใช้เวลาสั้นมากๆ
เพื่อให้มีผลกระทบต่อการวัดน้อยที่สุด