Recommended
Recommended
More Related Content
Featured
Featured (20)
ADM3306 : ADVERTISING VALUE REVIEW
- 4. ADVERTISING IN THAILAND คุณค่าของ โฆษณา ในทุกยุคทักสมัยที่เกิดขึ้น ยังทรงคุณค่าตามลักษะของการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงไป ควบคู่กับการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ เจริญเติบโต อย่างมั่นคงในภาคเศรษฐกิจของไทย งานโฆษณาชิ้นของไทยในยุคแรกเป็นไปในลักษณะ ของรูปแบบการพิมพ์ ในการประกาศแจ้งความ บอกเล่า ว่าใคร กล่าวถึง ทาอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ โฆษณาสมัยแรก นั่นก็คือ โฆษณาขายยาควินิน ที่ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์เดอร์ ส่วน โฆษณาที่มีการจัดเป็นโฆษณาที่มีการจ่ายเงินครั้งแรก ได้แก่ “อู่ต่อเรือบางกอกด๊อก”
- 5. The Bangkok Recorder หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของเมืองไทย ชื่อ The Bangkok Recorder หรือหนังสือจดหมายเหตุฯ วางจาหน่ายครั้งแรก เมื่อวันที่ 4 กรกฏาคม พ.ศ.2387 แต่เริ่มมีการโฆษณาครั้งแรก เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2408 โดยอู่ต่อเรือบางกอกด๊อก ที่มา: http://www.geocities.ws/kanitt_88/lesson1.htm
- 6. สิ่งพิมพ์โฆษณาที่มีการตีพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษร ปรากฎขึ้นครั้งแรกในหนังสือจดหมายเหตุ THE BANGKOK RECORDER ซึ่งจัดพิมพ์และเผยแพร่โดยมิชชันนารีชาวอเมริกัน ชื่อ หมอบรัดเลย์ (Dan Beach Bradley) ผู้โฆษณารายแรกนี้คือ โฆษณาขายยาควินินลง The Bangkok Recorder ที่มา: http://rescom.trf.or.th/display/keydefault.aspx?id_colum=2960
- 7. เจ้าของสินค้าจะคิดงานด้วยตัวเอง แล้วจึงไปจ้างช่างศิลป์วาดรูป จัดเรียง และตีพิมพ์ กระบวนการทางานเป็นไปแบบง่ายๆ ไม่ได้ผ่านบริษัทโฆษณาเหมือนในปัจจุบัน ขั้นตอนการทาโฆษณาในสมัยก่อน
- 9. วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 ได้มีการเปิดสถานีวิทยุกระจายเสียง ถาวรแห่งแรกของประเทศไทยขึ้น คือ สถานีวิทยุกรุงเทพที่พญาไท จึงนับเป็นสื่อหนึ่ง ที่ผลักดันให้ธุรกิจโฆษณาได้ขยายขอบข่าย ให้กว้างไกลออกไป ในปี พ.ศ. 2495 โครงการจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ได้เริ่มต้นขึ้น โดยมีการออกอากาศครั้งแรก ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2498 ใช้ชื่อสถานีว่า สถานีไทยโทรทัศน์ ช่อง 4 บางขุนพรหม
- 11. นับเป็นยุคเริ่มต้นของการทาธุรกิจโฆษณาอย่างจริงจังและเป็นยุคที่ สื่อโฆษณาที่สาคัญๆ ทุกชนิดเกิดขึ้น ดังนั้น การโฆษณาจึงได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ตลอดจนรูปแบบของการโฆษณา นับแต่นั้นเป็นต้นมา
- 13. ยุคที่ 3 BRAND IDEA ยุคที่ 2 ART DIRECTION ยุคที่ 1 INFORMATIVE BASED ยุคที่ 4 THAI DNA ยุคที่ 5 DIGITIZING ยุคที่ 6 SUSTAINABLE BRAND
- 15. จัดเป็นยุคเรียกได้ว่าเป็นช่วงของการตลาดลักษณะของ Product Centric คือ ให้ความสาคัญต่อการพัฒนา กรรมวิธีการผลิต เพื่อผลิตสินค้าได้มากๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ต่า ทาให้สินค้ามีราคาถูก โดยใช้รูปแบบของ Sale Oriented คือผลิตสินค้าออกมา แล้วใช้การขายเป็นตัวผลักดัน เน้นความสาคัญไปยังการค้นหาวิธีการ ขายที่จะทาให้ขายสินค้าให้ได้มากที่สุด โดยให้ความสาคัญกับผู้ขายมากกว่าความต้องการของผู้ซื้อ ในแวดวงโฆษณา ก็เป็นการถือกาเนิดบริษัทโฆษณาเต็มรูปแบบ ทั้งในไทย และต่างประเทศ โดยโฆษณาในสมัยนั้น จะเน้นสื่อสารผ่านข้อความเป็นหลัก
- 18. เป็นยุคทองของวงการโฆษณา บริษัทโฆษณาขยายความครบวงจรของการให้บริการ เช่น มีบริการเพิ่มขึ้นที่เรียกว่า Media Plan หรือการวางแผนสื่อ ลักษณะการพัฒนาของวงการโฆษณาทาออกมาเป็น Marketing Oriented เน้นดาเนินกิจกรรมทางการตลาด โดยให้บรรลุเป้าหมายความพึงพอใจของลูกค้าและยอดขายที่มีกาไร พิจารณาถึงความจาเป็นและความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก พัฒนาจาก Product Centric จากยุคก่อนสู่ Consumer Centric คือ การที่ทุกคนในองค์กรมองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โฆษณาในยุคนี้ เริ่มใช้คอมพิวเตอร์ กราฟฟิกเข้ามามีส่วนช่วยในการทาโฆษณา ทาให้สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทาโฆษณาได้มากขึ้น ต้นทุนต่าลง
- 21. วงการโฆษณาในประเทศไทยเริ่มจริงจังกับการสร้าง Big Idea สร้าง Brand โดยประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด ใช้ Idea ดึงดูดความสนใจ ไม่ทุ่มเงินทุนเยอะ เนื่องจากวิกฤตการ เศรษฐกิจ โฆษณาในยุคนี้ คือยุค Brand Centric ไม่ใช่แค่การโฆษณาประกาศขายสินค้าอย่างเดียว แต่ต้องเชื่อมโยงกับแก่นของ Brand ด้วย มีการนาเสนอจุดเด่นของสินค้า ความแตกต่าง เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความจงรักภักดีต่อ Brand รวมถึงมีการ ใช้เครื่องมือ IMC เข้ามาผนึกกาลัง
- 22. ตัวอย่าง การตลาดที่โด่งดังยุคนี้ คือ บรีส ที่จัดแคมเปญ “ซักง่าย สลายคราบฝังใจ” พร้อมทั้ง Create Content หนังกลางแปลงเรื่อง “ลบรอยที่เลอะใจ” ออกตระเวนฉายในต่างจังหวัดทั่วประเทศ เพราะลูกค้าเป็นกลุ่มแม่บ้าน การทาหนังจึงเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ง่าย
- 24. โฆษณาในแต่ละประเทศจะสะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละแห่งได้เป็นอย่างดี โฆษณาส่วน ใหญ่ในประเทศไทยมักจะเน้นไปที่ความสนุกสนาน ตลก เฮฮา รวยอารมณ์ขัน ซึ่งสะท้อนออกมาว่าคนไทยมีความสุข และอารมณ์ดี โดยอารมณ์ขัน ถูกนามาใช้ในงานโฆษณาอย่างชัดเจน ราวๆปี 2530-2535 และมาก ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2537 -2538 จนถึง 2540 เป็นช่วงที่พื้นที่โฆษณาบนหน้าจอทีวีไทย เต็มไปด้วยแนว Humor แต่สิ่งที่ปรากฎขึ้นในเวลาต่อมา คือ โฆษณาแนว Humor ที่เคยสร้างความแปลกใหม่ สร้างความแตกต่าง สร้างสีสันให้กับอุตสาหกรรมโฆษณา ไทยให้โกอินเตอร์ กลับเจอสภาพย่าแย่อยู่กับที่ นอกจากนั้นยังมีอีกแนวโฆษณาที่ เรียกอารมณ์คนดูไม่แพ้กัน นั่นคือ โฆษณาแนว ซึ้ง กินใจ หรือแนวดราม่า ซึ่งแนวโฆษณานี้สร้างความแปลกใหม่ และทาให้ โฆษณา ในประเทศไทยก้าวต่อไปนั่นเอง
- 27. เมื่อโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงจาก Analog สู่ Digital ทาให้ผู้บริโภคเปลี่ยนสถานะ จากการเป็นผู้บริโภคที่เป็นฝ่ายรับข้อมูลอย่างเดียว มาเป็น Prosumer นั่นก็คือ ผู้บริโภคที่มีความเป็นมืออาชีพ หมายถึง ผู้บริโภคที่มีอิสระในการรับรู้ใน ข้อมูลข่าวสารสามารถค้นหาข้อมูลต่างๆ มาประกอบการพิจารณาก่อนตัดสินใจ ซื้อสินค้า โดยไม่เชื่อแค่คาโฆษณาจากนักการตลาด นอกจากนั้นผู้บริโภคจึงเกิดแรงจูงใจในการสร้าง content ขึ้นมาเองอีกด้วย จึงทา ให้เกิดประสบการณ์การแลกเปลี่ยนระหว่างผู้บริโภคด้วยกันเองหรือที่เรียกว่า “User Generated Content”
- 28. User Generated Content ที่มา: https://twitter.com/hashtag/ขออนุญาตเจ้าของทวิตที่นามารีวิวเน้อ
- 30. กล่าวได้ว่าเป็นยุคที่มอง “มนุษยชาติเป็นศูนย์กลาง” (Human Centric) ซึ่งถือเป็น Marketing 3.0 ที่มองว่าองค์กรควรเข้าไปมีส่วนร่วมกับสังคม สะท้อนผ่านพันธกิจ วิสัยทัศน์ และค่านิยมของบริษัท ทาให้หลายองค์กรได้ปรับวิถีการดาเนินธุรกิจ ด้วยการหันมาตระหนัก และให้ความสาคัญกับการดาเนินธุรกิจ อย่างมีคุณค่าต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือการทา CSR
- 31. The Bangkok Recorder เนื่องจาก SCG เป็นบริษัทมหาชน บริษัทใหญ่ต้องทาเรื่องพวกนี้ นี่เป็นแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นกระแสของโลก” ที่มา: http://www.thailandexhibition.com/Event-77/4919
- 32. ความแตกต่างของแต่ละยุค ยุคที่ 1 Sales Oriented ให้ความสาคัญที่การขาย product centric ผลิตสินค้าให้ได้เยอะๆ เพื่อเน้นยอดขาย ยุคที่ 2 Marketing Oriented ให้ความสาคัญที่การตลาด Consumer Centric เน้นการตอบโจทย์ลูกค้า มีคอมพิวเตอร์ กราฟิก ยุคที่ 3 Emotional Value เน้นคุณค่าด้านอารมณ์ Brand Centric เน้นการเชื่อมโยงกับ Brand เริ่มมี IMC ยุคที่ 4 มีการเพิ่มความสนุกสนาน ความตลก ความเฮฮา ถูกนามาใช้ในงานโฆษณา อย่างชัดเจน ยุคที่ 5 เป็นยุคที่เปลี่ยนจาก Analog ไปสู่ยุค Digital ทาให้อานาจสื่อ อยู่ในมือผู้บริโภค ไม่ใช่อยู่ในมือเจ้าของ ยุคที่ 6 Human Centric ให้ความสาคัญกับการ มองลูกค้าเป็นมนุษย์ สื่อออกไปในในรูปแบบ เก่งและดี
- 34. Economic VALUE SOCIAL VALUE CULTURE VALUE SOCIAL CONTRIBUTION CODE OF ETHICS VIRAL MARKETING
- 36. โดยคุณค่าของงานโฆษณาที่สาคัญอย่างแรกก็คือ โฆษณาเปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึง content ที่มีคุณภาพได้แบบฟรีๆ หรือจ่ายน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะการได้มาซึ่ง content ที่ถูกหรือฟรีนั้น ก็เป็นเพราะว่ามีค่าโฆษณามาแบ่งเบาค่าใช้จ่ายนั่นเอง หากไม่มีโฆษณา ก็จะไม่มีทางเกิด Free media ขึ้นมา ในวงการสื่อสารมวลชนแน่นอน
- 37. คุณค่าของงานโฆษณาอย่างที่สองก็คือ โฆษณาทาให้เกิดการแข่งขัน ก่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจ นั่นก็เพราะว่า หน้าที่หลักของโฆษณา คือ การให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าแก่ผู้บริโภค เมื่อผู้บริโภคได้รับสารจากหลายช่องทาง ก็จะทาให้เกิดการเปรียบเทียบคุณภาพ ราคา และเมื่อเกิดการเปรียบเทียบ ก็จะเกิดการแข่งขันตามมา
- 38. อีกหนึ่งคุณค่าของโฆษณาก็คือ โฆษณาและสื่อสารการตลาด เป็นธุรกิจต้นน้า ที่กระจายรายได้ และสร้างงานให้กับอีกหลายธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องเป็นจานวนมาก เช่นในปัจจุบันบริษัท มักหยิบ IMC ขึ้นมาใช้ ไม่ได้ทาการตลาดโดยใช้แค่เพียงโฆษณาอย่างเดียว เมื่อวัตถุประสงค์ของธุรกิจใหญ่ขึ้น วิธีการสื่อสารก็จะขยับตามไปด้วย จึงก่อให้เกิดอุตสาหกรรมโฆษณาต่างๆ เช่น โฆษณา โปรดักชั่น ไปจนถึง ห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรือร้านจัดกิจกรรมแคมเปญการตลาด ดังนั้นธุรกิจ โฆษณาจึงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สาคัญและหล่อเลี้ยงธุรกิจรายน้อยอีกมากมาย
- 39. CULTURE VALUE คือ คุณค่าของโฆษณาที่ส่งผลต่อด้านวัฒนธรรม โดยโฆษณานั้นมีส่วนใน การพัฒนาความคิดและปรับทัศนคติของคนดู สร้างประสบการณ์ร่วมกับ ผู้ชมหรือให้เกิดอารมณ์ร่วมนั่นเอง จึงทาให้โฆษณาบางตัว สามารถให้ข้อคิด หรือทัศนคติทีดีให้กับผู้ชมได้อีกด้วย นอกจากนั้นโฆษณาหลายๆชิ้นยังมี ส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพสังคมและคุณภาพชีวิตด้วยเช่นกัน
- 40. ยกตัวอย่างเช่นหนังโฆษณา Soft sell ของเมืองไทยประกันชีวิต ชุด Peace Of Mind Peace Of Mind
- 41. SOCIAL VALUE คุณค่าด้านสังคมที่โฆษณาเข้ามามีบทบาท นอกจากคุณค่าทางเศรษฐกิจแล้ว พบว่าโฆษณาหลายๆชิ้น ยังมีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพสังคมและคุณภาพชีวิตด้วย แม้ว่าโฆษณาจะถูกขึ้นมาเพื่อโปรโมทสินค้าในเชิงธุรกิจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน ว่าโฆษณาส่วนใหญ่นั้น ก็เคลื่อตัวไปพร้อมๆกับสังคมตลอดเวลา เช่น โฆษณายาสีฟันคอลเกต ที่ย้าสังคมว่า ฟูลออไรด์ ช่วยป้องกันฟันผุอย่างได้ผล จนทาให้ผู้ผลิตสินค้าประเภทยาสีฟันยี่ห้ออื่นๆ ก็นาฟูลออไรด์มาใส่ในยาสีฟันตาม การแข่งขันก็เกิดขึ้นจากสินค้า niche ค่อยๆ ขยายไปสู่ตลาด mass ผลที่ตามมาก็คือ คนไทยฟันผุน้อยลงอย่างมาก
- 43. “ จน เครียด กินเหล้า ”
- 44. CODE OF ETHICS แต่ในทางตรงกันข้าม เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเนื้อหาที่ล่อแหลม ของโฆษณาบางชิ้น ก็มีส่วนในการก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมา ด้วยเหตุนี้ ผู้สร้างโฆษณาจึงต้อมี จรรยาบรรณในวิชาชีพ และต้องถูกควบคุมจาก 2 ช่องทางหลัก คือ การควบคุมจากภาครัฐ ผ่านกฏหมาย และ 2 การความคุมกันเองขององค์กรโฆษณา
- 45. โดยสามารถแบ่งประเภทของโฆษณาที่ล่อแหลม และสุ่มเสี่ยงต่อการถูกวิจารณ์ในสังคมได้ดังนี้ 1) โฆษณาที่บรรยายสรรพคุณเกินจริง 2) โฆษณาที่อาศัยพื้นที่สีเทา หรื่อช่องว่างทางกฏหมายมานาเสนอ 3) โฆษณาที่เปรียบเทียบ หรือเกทับคู่แข่ง 4) โฆษณาโดยไม่ระบุ Brand 5) โฆษณาที่นาเสนอเนื้อหาที่ขัดต่อหลักศีลธรรม
- 46. แต่ก็เป็นเรื่องดีที่ในปัจจุบัน ผู้บริโภคมีการพัฒนามากขึ้น ไม่เป็นคนฟังข่าวสารด้านเดียว ทาให้เมื่อเห็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง ก็จะโต้แย้ง หรื่อส่งต่อข้อมูลในโลกออนไลน์ หรือการนาไปประจาน ในเว็บบอร์ดต่างๆ แต่การช่วยกันตรวจสอบแนนี้ก็มีส่วนทาให้สังคมดีขึ้น และสามารถควบคุมงานโฆษณาไม่ให้แตกแถวได้อย่างดี
- 47. VIRAL MARKETING คือการทาการตลาดแบบปากต่อปาก โดยมุ่งหวังให้คนดูแชร์ภาพ หรือเหตุการณ์อะไรบางอย่าง ลงไปในโลกออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับ Brand โดยแบ่งออกได้เป็นสองกระแสคือ ด้านบวกกับด้านลบ
- 48. viral ด้านบวก ของแคมเปญโฆษณา ทรูมูฟ เอช การให้คือการสื่อสารที่ดีที่สุด การให้คือการสื่อสารที่ดีที่สุด
- 49. BURGER KING viral ด้านลบ ของเบอร์เกอร์คิง
- 50. สรุปได้ว่า การสร้างโฆษณานั้น สิ่งสาคัญอีกสิ่งก็คือ การคานึงถึงกฎหมาย และจรรยาบรรณของนักโฆษณานั่นเอง หากทาตามได้ ผลงานโฆษณาที่เราสร้างขึ้นมาก็จะมีคุณค่าในตัวของมัน ที่นอกเหนือจากการเป็นแค่การโปรโมทขายสินค้าเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีการทาโฆษณาลงในสื่อสังคมออนไลน์กันมากขึ้น ทาให้การตรวจสอบก็ยากขึ้นไปด้วย ดั่งมือแค่ข้างเดียวปิดท้องฟ้าไม่มิด หากเราทุกคนไม่ช่วยกันดูแลหรือตรวจสอบ ก็อาจจะทาให้มีโฆษณาที่ไม่ดี หลุดรอดออกไปสู่สายตาสาธาณะชนได้ ในฐานะของคนในวงการโฆษณา ก็ต้องช่วยกันดูแลในเรื่องนี้ และช่วยกันสร้างบคุณค่าให้กับอุตสาหกรรมโฆษณาต่อไป
- 52. เมื่อเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อสังคมมากเท่าไหร่ ย่อมส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณาที่ต้องปรับตัวตามไปด้วย นักการตลาด จึงต้องเริ่มเปลี่ยนแนวทางการเลือกสื่อต่างๆ ให้หลากหลายยิ่งขึ้น สู่การสื่อสารสองทางซึ่งทาหน้าที่ในการ "บริหารทัศนคติ" ของผู้บริโภคมากกว่า "การบริหารพฤติกรรม "ผู้บริโภค" "การสื่อสารไร้พรมแดนทาให้โลกแคบลง" แต่ในเวลาเดียวกัน ดีมานด์ของมนุษย์กลับสูงขึ้นๆ จึงส่งผลต่อการสื่อสารในทางลบ ส่งผลให้ความจงรักภักดีต่อ Brand ลดต่าลง
- 54. DIGITAL LIFE คือ วิถีชีวิตในยุค Digital ทาให้ธุรกิจและโฆษณาเชื่อมโยงกัน ด้วยเครือข่ายไร้สายมากขึ้น Digital ได้ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลง ผู้บริโภคทุกยุคสมัย ส่งผลให้เกิดรูปแบบธุรกิจที่ใช้ Internet เป็นพื้นฐาน นั่นจึงเป็นเหตุให้โฆษณาออนไลน์เติบโตมากยิ่งขึ้น โดยสามารถแบ่งลักษณะพัฒนาการออกเป็นยุคได้ดังนี้
- 55. ยุคที่ 1 (2001-2005) แนวคิดโฆษณาออนไลน์ในยุคนั้นจะเป็นโฆษณาผ่านเว็บไซต์ เช่น Brand ที่เป็นองค์กรใหญ่ๆ จะลงโฆษณาเพื่อดึงผู้บริโภคเข้าชมเว็บไซต์ ต่อมาเริ่มมีการเปลี่ยนแนวคิดว่า content ที่จะนาเสนอผู้บริโภค ไม่จาเป็นต้องเข้าสู่เว็บไซต์หลัก แต่ทางองค์กรเหล่านั้นจะเข้าไป เป็นสปอนเซอร์กับเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ยุคที่ 2 (2005-2007) เป็นยุคที่ Social Media เริ่มเข้ามามีบทบาทต่อโฆษณา เริ่มมีเทคโนโลยีการแชทผ่าน MSN ทาให้ MSN ได้ติดตั้งโฆษณาเข้าไปในเว็บไซต์ของตนเองที่ เรียกว่า Banner ทาให้สามารถเข้าถึงผู้คนได้เป็นวงกว้าง ทางด้านหนึ่งในช่วงเวลาใกล้กันได้มีการเกิด เทคโนโลยี Searching Web อย่าง Google ในฐานะทางเลือกใหม่ต่อผู้บริโภค การเกิดขึ้นของเว็บเหล่านั้น ทาให้เกิดการทาการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาบน Internet
- 56. ยุคที่ 3 (2008) เกิดยุค Social Media แบบเต็มรูปแบบหลังจาก Facebook เปิดให้บริการ ทาให้เกิดโฆษณาเข้าสู่ช่วง Content Marketing คือ ไม่จาเป็นต้องโฆษณาสินค้าอย่างเดียว แต่เป็นการให้ข้อมูลและสร้างฐานลูกค้าให้เข้ามาอยู่ในสังกัด ด้วยการกดไลค์ โดย Facebook เป็นเทคโนโลยีที่สร้างความแปลกใหม่ ให้กับตลาด เนื่องจากการแชร์ข้อมูลต่อๆ กัน ทาให้เกิดกระแสทั้งด้านบวก และด้านลบ นอกจากนั้นFacebook ยังเป็นตัวจุดประกายให้เกิดโฆษณา แบบ Viral Marketing ในเวลาต่อมา ด้วยเหตุผลเหล่านั้น Facebook จึงได้รายได้จากการลงทุนโฆษณาอย่างมหาศาล
- 57. ยุคที่ 4 (2009-2012) เป็นยุคที่เกิดการแข่งขันทางความเร็วของ Internet ผู้บริโภคบางส่วนเปลี่ยนพฤติกรรม จากการรับสื่อโทรทัศน์มาเป็นการรับผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น เริ่มมีการโฆษณาด้วย Webpisode คือการสร้างละครซีรี่ส์เพื่อออกอากาศบนเว็บไซต์ แทนที่จะเป็นภาพยนตร์ โฆษณาทางโทรทัศน์ โดยโฆษณาทางโทรทัศน์ทาหน้าที่สร้างการจดจา แต่ Webpisode ทาหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอย่างครบถ้วน ยุคที่ 5 (2013) โทรศัพท์มือถือเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อการโฆษณา เพราะถือว่าเป็นอีกช่องทางหนื่ง ที่เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ด้วยราคาที่ถูกแต่คุณภาพดี ส่วนการโฆษณาผ่านมือถือ ทาให้สื่อ Digital เติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน และยุคนี้ทาให้เกิด Mobisode หรือวิดีโอที่แบ่งฉายเป็น ตอน ทางโทรศัพท์มือถือ เพิ่มเติมจาก Webpisode ที่กล่าวไปก่อนหน้านี้
- 58. DIGITAL TREND เป็นส่วนสาคัญที่ทาให้นักการตลาด นักโฆษณา และองค์กรธุรกิจ เข้าใจถึงแนวโน้มของผู้บริโภค และโฆษณาในยุค Digital ที่กาลังจะ เกิดขึ้นในอนาคต
- 59. เทคโนโลยีที่ฉลาดมากขึ้นในปัจจุบัน ก่อให้เกิดโฆษณาออนไลน์ในรูปแบบใหม่ เช่น วิธี Retargeting คือการนาเสนอโฆษณา ที่ตรงความต้องการของผู้ใช้ Internet รายนั้น ๆ โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลจากการใช้งาน Internet ว่าประวัติการค้นหาข้อมูลของผู้ใช้งานสนใจในเรื่องใด ระบบจะนาโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับความต้องการ ความสนใจ ดังกล่าวมานาเสนอ
- 60. การทาโฆษณาแบบผสมผสาน ระหว่างสื่อเก่าและสื่อใหม่ เช่น การจัดอีเวนต์เพื่อดึงดูด ผู้บริโภค แล้วนาฟีดแบ็กที่ได้รับ มาเผยแพร่ลงในสื่อใหม่ เพื่อสร้าง กระแสให้ผู้บริโภคเกิดการบอกต่อ ส่งผลให้ Brand เป็นที่พูดถึง และถูกจดจา
- 61. การทางานของเอเจนซี่จะแตกต่างจากเดิม โดยเริ่มต้นจากการทาความเข้าใจกับเนื้อหา แล้วจึงเลือกใช้สื่อที่เหมาะสมกกับเป้าหมาย หรือนักโฆษณาที่ดีจาเป็นต้องรู้ให้ทันและก้าวให้ไว ต่อความต้องการของผู้บริโภค เรียกว่า ‘Media Art’ เป็นการผสมผสานสื่อ Digital และสื่ออื่นๆ ให้เข้ามามีบทบาท ซึ่งเริ่มจากการเปลี่ยนมุมมอง วิธีการดาเนินงานจาก Insight Out เป็น Outsight in
- 63. บทบาทของเอเจนซี่จึงไม่ใช่การขายโฆษณา แต่ว่าต้องขายIdea เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น Idea ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่สาคัญมากกว่าประเภทของสื่อ Content is King, Platform is Queen
- 64. The New Era เมื่อยุคของความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีในปัจจุบันมาถึง ทาให้เอเจนซี่ต้องปรับตัวแบบ 360 องศา นับตั้งแต่การปรับโครงสร้างธุรกิจที่มีการเพิ่มแผนก Digital ไว้รองรับความต้องการของลูกค้า ไม่เพียงแต่ครีเอทีฟเอเจนซี่เท่านั้น ทางด้านฝั่งมีเดียเอเจนซี่ ก็มีการปรับตัวคล้ายคลึงกัน คือ การเปิดแผนกสื่อ Digital เข้ามารองรับ เพื่อวางแผนโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เสพสื่อต่างจากคนรุ่นเก่า เนื่องจากการเกิดขึ้นของโฆษณาออนไลน์ ทาให้สื่อแตกแขนงออกเป็น 3 ส่วน
- 65. Paid Media สื่อที่ต้องจ่ายเงิน Owned Media คือสื่อที่เจ้าของ Brand สร้างขึ้นเอง Earned Media สื่อที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ แต่จะเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าพูดถึงสินค้า หรือบอกต่อเกี่ยวกับ Brand
- 66. การแชร์ข้อมูลในโลกออนไลน์ของผู้บริโภคด้วยตนเอง จะได้รับความสนใจและมีการตัดสินใจเลือกซื้อ ได้มากกว่าการที่ Brand เหล่านั้นเป็นคนนาเสนอด้วยตนเอง มีเดียเอเจนซี่ต้องฉลาดพอที่จะใช้สื่อให้ตรงกับความต้องการ ของกลุ่มเป้าหมาย และยังต้องเลือก copy ad ให้แตกต่างกัน เพื่อให้ตรงกับความสนใจของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม
- 67. ผู้ชมสามารถเลือกกที่จะรับชมสื่อได้ เอเจนซี่จึงต้องดึงความสนใจ ให้ผู้บริโภคเข้าถึงคอนเทนต์ด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภครับคอนเทนต์ที่เราจะสื่อออกไป นอกจากจะต้องแข่งขันกับสื่อที่มีอยู่ โฆษณาออนไลน์ยังต้องแข่งกับความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ของผู้บริโภคด้วยกันเอง THE NEW CHALLENGE ความท้าทายใหม่ในยุค Digital นั่นคือการต้องคานึงถึงแนวคิดสองประการ 1 2
- 68. หลักธรรมาภิบาลกลายเป็นกระแสที่เกิดขึ้นมาพักหนึ่งแล้ว ทาธุรกิจใดๆ ควรคืนกาไรให้กับสังคม และยังเป็นส่วนช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ให้กับ Brand จึงเป็นเหตุผลที่ทาให้หลายบริษัทนากลยุทธ์ CSR มาใช้สื่อสาร ให้กับ Brand ของตัวเอง ตัวอย่างเช่น โฆษณาของบริษัทไทยประกันชีวิต แต่ละเรื่องพยายามสื่อสารให้เห็นถึงคุณค่าของชีวิต Sustainable Brand
- 69. ปัจจุบัน เอเยนซีโฆษณาได้ปรับเปลี่ยนวิถีการดาเนินธุรกิจ ตามยุคสมัย ตั้งแต่การเกิดโฆษณามากระทั่งการโฆษณาในยุค Digital หนังสือเล่มนี้ ได้บันทึกมูลค่าเพิ่มที่สาคัญของวงการโฆษณา ที่ส่งผลโดยตรงกับผู้ประกอบวิชาชีพสาขาโฆษณา ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการทาให้เศรษฐกิจ ของประเทศเติบโต การยกมาตรฐานการโฆษณาในประเทศไทย ให้เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก การสร้างธุรกิจต่อเนื่องในลักษณะ ที่เป็นห่วงโซ่อุปทาน หรือการจ้างงานเพิ่มขึ้น
- 71. THANK YOU