More Related Content
Similar to การคิดแต่ละประเภท ความสำคัญ และการนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ (20)
การคิดแต่ละประเภท ความสำคัญ และการนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้
- 3. *ความหมาย
เป็นกระบวนการคิดที่ใช้เหตุผล มีการศึกษา ข้อเท็จจริงหลักฐานและ
ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ แล้วนามาพิจารณา วิเคราะห์
อย่างสมเหตุสมผล ก่อนตัดสินใจว่าสิ่ง ใดควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ ผู้ที่มี
ความคิดอย่างมีวิจารณญาณ จะเป็นผู้ที่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
อย่างมีเหตุผลไม่ยึดถือความคิดเห็นของตนเอง ก่อนที่จะตัดสินใจใน
เรื่องใดก็จะต้องมีข้อมูลหลักฐานเพียงพอและสามารถเปลี่ยนความ
คิดเห็นของตนเองให้เข้ากับความคิดเห็นของผู้อื่นได้
*การนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน
จะต้องมีการสร้างความความกระตือรือร้น สร้างความอยากรู้อยากเห็นให้กับผู้เรียนโดยการ ใช้สื่อ
หรือคาถาม ฝึกให้ผู้เรียนกล้าที่จะคิดแตกต่าง คิดสร้างสิ่งใหม่ ๆ โดยการใช้สถานการณ์ยั่วยุให้
คาดการณ์สิ่งต่าง ๆ หลากหลายแนวทางมีความซับซ้อนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาความคิด
ระดับสูงได้ ต้องพัฒนาจากง่ายไปหายากและให้สอดคล้องกับผู้เรียนแต่ละคน ต้องกระตุ้นให้ผู้เรียน
เกิดจินตนาการ สร้างสรรค์ที่หลากหลาย ฝึกฝนให้ผู้เรียนเป็นคนใจกว้าง ควรให้ผู้เรียนได้ทางาน
เป็นกลุ่มมีการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ยอมรับในเหตุผลของผู้อื่นที่มีดีกว่า และสร้างความมั่นใจ
ในตัวเองให้กับผู้เรียน ผู้เรียนจะได้มี พัฒนาการการคิด และกล้าแสดงออกซึ่งความคิด การ
เลือกสรรกิจกรรมที่หลากหลาย และเหมาะสม จะทาให้ผู้เรียนกล้าแสดงออกมากขึ้น
*ความสาคัญ
1. การคิดอย่างมีวิจารณญาณสามารถทาให้เรามีความ
มั่นใจในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ถูกทาง
2. ตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างสมเหตุสม
3. ทาให้เป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ดีเป็นคนที่มีความ
รอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจทาเรื่องใดจะต้องมีหลักฐาน
ประกอบ ในการวิเคราะห์ตัดสินใจ
4. ทาให้ประสบความสาเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างมี
คุณภาพเพราะมีการคิดอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน
5. มีทักษะในการสื่อสารกับผู้อื่นได้ดีในทุกด้าน
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ(2)
(Critical Thinking)
- 4. *ความหมาย(3)
ความคิดเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง ความสามารถในการมองเห็น
ความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ การขยายขอบเขตความคิดออกไปจากกรอบ
ความคิดเดิมที่มีอยู่สู่ความคิดใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อค้นหาคาตอบ
ที่ดีที่สุดให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่แตกต่างไป
จากเดิม เป็นความคิดที่หลากหลาย คิดได้กว้างไกล หลายแง่หลายมุม
เน้นทั้งปริมาณและคุณภาพ
*การนาการคิดสร้างสรรค์ปใช้ในการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน (5)
1. ขั้นสร้างความตระหนัก กระตุ้นให้ผู้เรียนเข้าสู่เรื่องที่จะเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเกิดความคิดจินตนาการ
2. ขั้นระดมพลังความคิด เป็นการดึงศักยภาพของผู้เรียนให้ค้นหาคาตอบ มีส่วนร่วม โดยผู้สอนทาหน้าที่
เหมือนผู้อานวยความสะดวกทุกขั้นตอน
3. ขั้นสร้างสรรค์ชิ้นงาน ผู้เรียนได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้คิดหาคาตอบได้แล้ว เกิดจินตนาการในการ
สร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบต่าง ๆ
4. ขั้นนาสนอผลงาน นาเสนอผลงาน วิจารณ์ชิ้นงาน มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานที่เพื่อน ๆ มา
นาเสนอในแง่มุมต่าง ๆ ฝึกให้รู้จักการยอมรับ การมีเหตุผล
5. ขั้นวัดและประเมินผล เป็นการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง โดยใช้เครื่องมือที่หลากหลาย บนพื้นฐาน
ของความถูกต้อง
6. ขั้นเผยแพร่ผลงาน ได้นาไปเผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ
*ความสาคัญ(4)
1. ทาให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ทาให้เกิดแนวทางใหม่ ๆ ในการ
ดาเนินชีวิตและหนทางใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาชีวิตและการทางาน
2. ก่อให้เกิดความสนุก เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องค้นหาวิธีการ
คิดใหม่ ๆ ขึ้นมาทดแทนความคิดเก่า ๆ
3. พัฒนาสมองของคนให้มีความฉลาดเฉียบจะทาให้เกิดความเฉียบ
แหลมในการคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ เพิ่มขึ้น
4. สร้างความเชื่อมั่น ความน่านับถือและความพอใจในตัวเองขึ้นมา
5. ช่วยยกระดับความสามารถ ความอดทนและความคิดริเริ่มให้เพิ่ม
มากขึ้นและยังเป็นการพัฒนาความสนใจในงาน พัฒนาการใช้เวลา
ว่างให้เป็นประโยชน์และพัฒนาชีวิตให้ทันสมัยมากขึ้น
การคิดสร้างสรรค์
(Creative Thinking)
- 5. *ความหมาย(6)
การคิดแก้ปัญหา หมายถึง วิธีคิดแบบหนึ่งที่ต้องอาศัยความรู้
ความคิดรวบยอด และประสบการณ์เดิมที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้
ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นปัญหา เพื่อให้ได้
คาตอบและแก้ไขปัญหาอย่างมีขั้นตอน
*ความสาคัญ(7)
1. การคิดแก้ปัญหาถือว่าเป็นพื้นฐานที่สาคัญที่สุดของการคิดทั้งมวล
2. การคิดแก้ปัญหาเป็นสิ่งสาคัญต่อวิถีการดาเนินชีวิตในสังคมของมนุษย์
ซึ่งจะต้องใช้การคิดเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
3. ทักษะการคิดแก้ปัญหาเป็นทักษะที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์ต่อการดารงชีวิตที่วุ่นวาย
สับสนได้เป็นอย่างดี ผู้ที่มีทักษะการคิดแก้ปัญหาจะสามารถเผชิญกับภาวะสังคมที่
เคร่งเครียดได้อย่างเข้มแข็ง
4. ทักษะที่สามารถพัฒนาทัศนคติ วิธีคิด ค่านิยมความรู้ ความเข้าใจในสภาพการณ์ของ
สังคมได้ดีอีกด้วย
*การนาการคิดแก้ปัญหาไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน(7)
จอห์น ดิวอี้ เป็นผู้คิดวิธีสอนแก้ปัญหานี้ขึ้น มีดังนี้
ขั้นที่1 กาหนดปัญหา เป็นขั้นที่ครู นักเรียน หรือครูกับนักเรียนกาหนดปัญหา ขึ้นโดย
วิธีการต่าง ๆ
ขั้นที่ 2 ขั้นวิเคราะห์ปัญหา เมื่อได้ปัญหาจากขั้นที่ 1 มาแล้ว ครูจะนานักเรียนให้คิด
พิจารณาปัญหา จากนั้นก็จะแบ่งกลุ่ม เพื่อรับผิดชอบในการแก้ปัญหาแต่ละข้อ
ขั้นที่ 3 ตั้งสมมุติฐาน เป็นขั้นที่นักเรียนคาดเดาว่าปัญหานั้น ๆ มีสาเหตุมาจากอะไร
หรือวิธีการแก้ปัญหานั้นน่าจะแก้ไขโดยวิธีใด หรือปัญหานั้นควรมีคาตอบว่าอย่างไร
ขั้นที่ 4 เก็บรวบรวมข้อมูล นักเรียนแต่ละกลุ่มจะไปศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพื่อ
แก้ปัญหาด้วยการทากิจกรรมต่างตามที่ว่างแผนไว้ในขั้นที่ 2
ขั้นที่ 5 วิเคราะห์ข้อมูล เป็นขั้นตอนแต่ละกลุ่มร่วมกันนาข้อมูลที่ไปค้นคว้าหรือ
ทดลองมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ หาคาตอบที่ต้องการ หรือพิสูจน์ว่าสมมุติฐานที่ตั้ง
ไว้นั้น ถูกต้องหรือไม่ คาตอบที่ถูกคืออะไร
ขั้นที่ 6 สรุปผล เป็นขั้นที่นักเรียนสรุปผลการเรียนรู้และหลักการที่ได้จากการศึกษา
หาปัญหานี้
การคิดแก้ปัญหา
(Problem Solving Thinking)
- 6. *ความหมาย
กระบวนการแก้ปัญหาในหลากหลายลักษณะ ไปทีละขั้นทีละ
ตอน (หรือที่เรียกว่าอัลกอริทึ่ม) รวมทั้งการย่อยปัญหาที่ช่วย
ให้รับมือกับปัญหาที่ซับซ้อนหรือมีลักษณะเป็นคาถาม
ปลายเปิดได้ ขณะเดียวกัน วิธีคิดนี้ยังช่วยแก้ปัญหาในวิชา
ต่าง ๆ ได้ด้วย
*ความสาคัญ
การคิดเชิงคานวณ เป็น “วิธีคิด” ให้เข้าใจกระบวนการแก้ปัญหา
สามารถวิเคราะห์และคิดอย่างมีตรรกะ เป็นระบบและ
สร้างสรรค์ รวมทั้งสามาถนาวิธีคิดเชิงคานวณไปปรับใช้แก้ไข
ปัญหาในสาขาวิชาต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง เป็นประโยชน์ใน
การต่อยอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ไปตลอดชั่วชีวิต
*การนาการคิดเชิงคานวณไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน
1. Tinkering (สร้างความชานาญ) เป็นการฝึกทักษะผ่านการเล่น การสารวจ โดยไม่ได้มี
เป้าหมายแน่ชัด เหมือนเป็นการทดลองสิ่งใหม่ ๆ โดยเด็กจะฝีกความชานาญผ่านการ
ทาซ้า ๆ หรือลองวิธีการใหม่ๆ ในแต่ละสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ
2. Collaborating (สร้างความสามัคคี , ทางานร่วมกัน) เป็นการทางานร่วมกับผู้อื่น ไม่
ว่าจะเป็นกิจกรรมใด ๆ หรืองานอดิเรกในยามว่าง เป็นการร่วมมือกันเพื่อให้งานนั้น ๆ ได้
ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
3. Creating (สร้างความคิดสร้างสรรค์) เป็นการคิดค้นสิ่งที่เป็นต้นแบบ หรือสร้างสรรค์
คุณค่าให้กับกิจกรรมใด ๆ เปิดโอกาสให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการออกแบบและสร้างสิ่งต่าง
ๆ แทนที่จะแค่ฟัง สังเกต และลงมือใช้ ตามที่ครูสอน
4. Debugging (สร้างวิธีการแก้ไขจุดบกพร่อง) เป็นการเรียนรู้ที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องทาแบบเป็นขั้นเป็นตอน เมื่อเจอจุดที่
ผิดพลาด ต้องคิดวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล เพื่อแก้ไขและไม่ให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นอีก
5. Persevering (สร้างความอดทน , ความพยายาม) เป็นการเผชิญหน้ากับความท้าทาย
ในการทากิจกรรมที่ยากและซับซ้อน แม้จะล้มเหลวแต่ต้องไม่ล้มเลิก ต้องใช้ความ
พากเพียรในการทางานชิ้นนั้น ๆ แม้จะต้องรับมือกับสิ่งที่ยากและสร้างความสับสนให้ใน
บางครั้ง แต่ต้องมีความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีตามที่ต้องการ
การคิดเชิงคานวณ
(Computational Thinking) (8)