ประวัติ
- 1. สารบัญ<br />เรื่อง หน้า<br />การปฏิวัติทางภูมิปัญญา ใน คริสต์ศตวรรษที่ 18 1-2<br />นักปรัชญาการเมืองแนวประชาธิปไตย <br />- โทมัส ฮอปส์ 3<br />- จอห์น ล็อค 4<br />- มองเตสกิเออ 5 <br />- รุสโซ 6<br />บรรณณานุกรม 7<br />การปฏิวัติทางภูมิปัญญา ใน คริสต์ศตวรรษที่ 18<br /> นับตั้งแต่สังคมยุโรปก้าวเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการเป็นต้นมา ได้ปรากฏให้เห็นความเปลี่ยนแปลงอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการก่อตัวของรัฐสมัยใหม่ การขยายตัวทางการค้าและชนชั้นกลางที่สัมพันธ์กับการค้า รวมถึงความก้าวหน้าทางความคิดแบบเหตุผลนิยม มนุษย์นิยม ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้นมิได้หยุดนิ่ง หากแต่มีพัฒนาการหรือทวีความเข้มข้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความเจริญก้าวหน้าทางความคิดและวิทยาศาสตร์ อันนำมาสู่การขยายตัวของการแสวงหาความจริงด้วยเหตุผลและการแสวงหาความรู้จากการสังเกตและประสบการณ์ ตัวอย่างของความเจริญทางปัญญาสะท้อนเด่นชัดผ่านคำกล่าวของนิวตันที่ว่า “ความจริงเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถค้นหาได้ โดยอาศัยที่รู้จักคิด” ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจแต่ประการใดที่จะมีการเรียกขานศตวรรษที่ 18 – 19 ว่าเป็น “ยุคภูมิธรรม” หรือ “ยุครู้แจ้ง” (Enlightenment) พร้อมกับความก้าวหน้าทางความคิด ระบบเศรษฐกิจยังเจริญรุดหน้าไม่หยุดยั้งหลังจากมีการค้นพบโลกใหม่ ศูนย์กลางการค้าในยุโรปช่วงเวลานี้มิได้จำกัดตัวอยู่เฉพาะบริเวณแหลมอิตาลีเท่านั้น แต่เริ่มขยายตัวเข้าสู่ยุโรปตะวันตก เช่น ประเทศฮอลันดา อังกฤษและฝรั่งเศส สินค้าต่าง ๆ จากตะวันออกและโลกใหม่ ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของชาวตะวันตกพากันหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดในยุโรป การค้าที่เติบโตขึ้น ด้านหนึ่งส่งผลให้เริ่มมีการคิดทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ก้าวหน้าและได้ผลประโยชน์สูง เช่น การเริ่มสร้างระบบธนาคารเงินกู้และสินเชื่อ อีกด้านหนึ่งการขยายตัวทางการค้าก็มีส่วนให้ชนชั้นกลางในยุโรปทวีจำนวนมากขึ้นเป็นเงาตามตัว<br /> ความก้าวหน้าทางความคิด ความจำเริญเติบโตของการค้าและชนชั้นกลางดังกล่าว ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ทำให้เกิดผลกระทบอื่น ๆ ตามมาอย่างเป็นพลวัต ผลกระทบที่สืบเนื่องซึ่งมีความโดดเด่นและกลายเป็นแรงขับดันที่พลิกโฉมประเทศต่าง ๆ ในโลกตะวันตกให้กลายเป็นมหาอำนาจครอบงำโลกจวบจนปัจจุบัน คือ การปฏิวัติทางการเมืองและการปฏิวัติอุตสาหกรรม ดังนั้นในส่วนนี้จะพิจารณาถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในแต่ละมิติ <br /> <br />การปฏิวัติทางการเมืองการปกครอง <br /> มิติการเมืองการปกครอง อิทธิพลของแนวคิดแบบเหตุผลนิยมที่ยกย่องความสามารถของมนุษย์ว่าเป็นผู้มีเหตุผล ทำให้ชาวตะวันตกเห็นคุณค่าและความสำคัญของมนุษย์ ไม่งมงายต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างปราศจากเหตุผล ปรารถนาที่จะเรียนรู้ คิด ก้าวหน้าและเริ่มเรียนรู้ที่จะประนีประนอมกับแนวคิดที่แตกต่างจากตน ประกอบกับการเติบโตของชนชั้นกลางจากการค้าและอุตสาหกรรม (จะกล่าวถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมข้างหน้า) ที่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครอง ได้ผลักดันให้เกิดความพยายามที่จะต่อสู้ เรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองในราวศตวรรษที่ 18 โดยเริ่มจากการนำเสนอทฤษฎีการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นในโลกตะวันตก <br />นักปรัชญาการเมืองแนวประชาธิปไตย<br />โทมัส ฮอปส์<br /> ทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) (5 เมษายน พ.ศ. 2131 (ค.ศ. 1588) - 4 ธันวาคม พ.ศ. 2222 (ค.ศ. 1679)) เป็นนักปรัชญาการเมือง ชาวอังกฤษ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากผลงานที่สำคัญคือหนังสือชื่อ Leviathan ที่เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2194 หนังสือเล่มนี้กลายเป็นฐานประเด็นในแนวปรัชญาการเมืองตะวันตกในสมัยต่อมาในเกือบทุกแนว<br /> ถึงแม้ว่าทุกคนได้รู้จักโทมัส ฮอบส์จากงานเขียนกี่ยวกับปรัชญาการเมืองตะวันตกก็จริง แต่ที่จริงแล้วฮอบส์ได้สร้างผลงานที่เป็นประโยชน์ไว้อีกหลายด้าน เช่น ประวัติศาสตร์ เรขาคณิต เทววิทยา จริยธรรม รวมทั้งด้านปรัชญาทั่วๆ ไปอีกหลายเรื่อง และที่เป็นที่รู้จักในปัจจุบันว่า รัฐศาสตร์ (political science) นอกจากนี้สิ่งที่ฮอบบส์เชื่อที่ว่า quot;
มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติมีการร่วมมือกันก็โดยมุ่งผลประโยชน์ส่วนตัวquot;
ซึ่งข้อคิดนี้ได้รับการพิสูจน์ในทฤษฎีของ ปรัชญามานุษยวิทยาต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน<br />แนวคิด : 1. เสนอว่าอำนาจการปกครองต้องรวมอยู่ที่บุคคลคนเดียวเพื่อมิให้มนุษย์กลับไปสู่สภาพธรรมชาติของตนที่เลวร้าย กษัตริย์มีอำนาจการปกครองสูงสุด มนุษย์ต้องเชื่อฟังกฎหมายที่กษัตริย์บัญญัติขึ้น2. เน้นว่าอำนาจของกษัตริย์มาจากความยินยอมของประขาชนมิได้มาจาสกลัทธิเทวสิทธิ์3. เสนอว่ามนุษย์ควรเชื่อด้วยเหตุผลและวิธีทางวิทยาศาสตร์ เขายอมรับพระเจ้าแต่ปฏิเสธพิธีกรรมและผู้นำทางศาสนา<br />ผลงาน : Leviathan <br />จอห์น ล็อค<br /> จอห์น ล็อก (อังกฤษ: John Locke; 29 สิงหาคม พ.ศ. 2175-28 ตุลาคม พ.ศ. 2247) เป็นนักปรัชญา ชาวอังกฤษ ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 17 ความสนใจหลักของเขาคือสังคมและทฤษฎีของความรู้<br /> แนวคิด : ของล็อกที่เกี่ยวกับ quot;
ผู้ปกครองที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใต้ปกครองquot;
และสิทธิธรรมชาติของมนุษย์ ที่เขาอธิบายว่าประกอบไปด้วย ชีวิต, เสรีภาพ, และทรัพย์สิน นั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการทางปรัชญาการเมือง แนวคิดของเขาเป็นพื้นฐานของกฎหมายและรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งผู้บุกเบิกได้ใช้มันเป็นเหตุผลของการปฏิวัติ<br />แนวคิด : 1. ประชาชนทุกคนมีสิทธิตามธรรมชาติ คือ สิทธิในชีวิตเสรีภาพ และทรัพย์สิน2. ไม่เห็นด้วยกับโทมัส ฮอบส์ที่ว่าให้รวมอำนาจปกครองไว้ที่บุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้น3. มนุษย์เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลถ้ารัฐบาลทำผิดสัญญาประชาคม ประชาชนมีสิทธิ์ล้มรัฐบาลได้4. เป็นผู้ริเริ่มแนวคิดแบ่งแยกอำนาจ5. เห็นว่ารัฐเป็นเพียงกลไกที่มนุษย์พร้อมใจกันสร้างขึ้นเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของตนอำนาจอธิปไตยยังเป็นของประชาชนส่วนใหญ่อำนาจทางการเมืองที่แท้จริงมาจากประชาชน ทุกคนมีความเสมอภาคทางงกฎหมายรัฐมีหน้าที่หลักคือรักษาสิทธิขั้นมูลฐานของมนุษย์6. แนวคิดของเขาเป็นทั้งทฤษฎีประชาธิปไตยและทฤษฎีการปฏิวัติและมีอิทธิพลอย่างมากต่อนักปฏิวัติชาวอเมริกันและชาวฝรั่งเศส<br />ผลงาน : Two Treaties of Government, A Letter Concerning Toreration <br />มองเตสกิเออ<br />1981200263525<br /> มองเตสกิเออหรือ ชารล์ หลุยส์ เดอ เซก้องม บารอน เดอ ลา เบร์ด เอ็ท เดอ มองเตสกิเออร์ (Charles Louis de Secondat, baron de la Brede et de Montesquieu)เกิด: ใกล้ บอกด์โดซ์ ในปี ค.ศ. 1689<br /> ความสนใจในแนวคิดเสรีนิยมโดยเฉพาะเป็นเครื่องเน้นย้ำให้เห็นถึงเสรีภาพทางการเมือง หลายคนมองว่าผลงานเรื่อง“Spirit of the Laws” ของเขานั้นเป็นการเริ่มต้นอย่างชาญฉลาดของแนวคิดการเมืองเสรีนิยมและให้ความสำคัญกับอิทธิพลของมองเตสกิเออร์ที่มีต่อหลักการของการตรวจสอบและคานอำนาจในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา<br />แนวคิด : 1. ทฤษฎีแบ่งอำนาจการเมือง 3 ฝ่ายคือ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ2. ระบบการปกครองต้องสอดคล้องกับลักษณะภูมิประเทศและประวัติศาสต์ของแต่ละสังคม3. การปกครองที่ดีที่สุดคือให้กษัตริย์ยู่ใต้รัฐธรรมนูญ<br />ผลงาน : The Spirit of Laws <br />รุสโซ<br /> ฌ็อง-ฌัก รูโซ (ฝรั่งเศส: Jean-Jacques Rousseau; 28 มิถุนายน พ.ศ. 2255 - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2321) เป็นนักปรัชญา นักเขียน นักทฤษฎีการเมือง และนักประพันธ์เพลงที่ฝึกหัดด้วยตนเองแห่งยุคแสงสว่าง<br /> ปรัชญาของรูโซ : คำสอนของเขาสอนให้คนหันกลับไปหาธรรมชาติ (back to nature) เป็นการยกย่องคุณค่าของคนว่า quot;
ธรรมชาติของคนดีอยู่แล้วแต่สังคมทำให้คนไม่เสมอภาคกันquot;
เขาบอกว่า quot;
เหตุผลมีประโยชน์ แต่มิใช่คำตอบของชีวิต ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งความรู้สึก สัญชาตญาณและอารมณ์ของเราเอง ให้มากกว่าเหตุผล<br />แนวคิด : 1. เจ้าทฤษฎี”อำนาจอธิปไตยของประชาชน” 2. เน้นเรื่อง”เจตจำนงร่วมของประชาชน” (General Will) คืออำนาจสูงสุดในการปกครอง3. เสนอว่ามนุษย์มาอยู่รวมกันเป็น”องค์อธิปัตย์”คือองกรที่มีอำนาจสูงสุดดังนั้นรัฐบาลต้องยอมรับเจตจำนงทั่วไปของประขาขนรัฐบาลต้องสร้างความเสมอภาคให้การศึกษาจัดระบบกิจการคลังที่ดี มีระบบการเก็บภาษีมรดกและสิ่งฟุ่มเฟือย4. มนุษย์เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาสลถ้ารัฐบาลทำผิดสัญญาประชาคมประชาชนมีสิทธิ์ล้มรัฐบาลได้5. มีผลต่อการปฏิวัติฝรั่งเศส”เสรีภาพ เสมอภาพ ภารดรภาพ” 6.“มนุษย์เกิดมาอิสระแต่ทุกหนทุกแห่งเขาตกอยู่ในพันธนาการ”<br />ผลงาน : Social Contract (สัญญาประชาคม) <br />บรรณณานุกรม<br />http://www.thaigoodview.com/node/20031<br />