More Related Content
Similar to มังคลัตถวิภาวินี ไขสงสัยให้นักเรียน ป.ธ.๕.pdf (20)
More from สุเมธี ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral) (20)
มังคลัตถวิภาวินี ไขสงสัยให้นักเรียน ป.ธ.๕.pdf
- 3. มังคลัตถวิภาวินี : ไขสงสัยใหนักเรียน ป.ธ. ๕
© พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย)
ISBN 978-616-382-960-3
พิมพครั้งที่ ๑ - มิถุนายน ๒๕๕๘ ๔๐๐ เลม
เผยแพรออนไลน ทาง facebook, สิงหาคม ๒๕๖๕
- ตนฉบับ พิมพครั้งที่ ๑ สูญหาย คงเหลือแตสวนเนื้อหา
ไดพิมพทดแทนสวนที่สูญหายไปในคราวเผยแพรออนไลน
ผูออกแบบปก : Phu-Best-Design.com
พิสูจนอักษร : พระมหาสงวน สุทฺธิาโณ
จัดทำโดย : พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย)
โรงพิมพ์ : บริษัท พิมพสวย จำกัด
๕/๕ ถ. เทศบาลรังสฤษฎเหนือ แขวงลาดยาว
เขตจตุจักร กทม. ๑๐๙๐๐ โทร. ๐ ๒๙๕๓ ๙๖๐๐
ทีติดต่อ : คณะ ๗ วัดอรุณราชวราราม
แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ
กทม. ๑๐๖๐๐ โทร. ๐ ๙๕๑๓๙ ๙๓๓๒
- 4. อนุโมทนา
พลเรือเอกชัยณรงค เจริญรักษ และคุณฐิติมา วิทยานนทเอกทวี
โดยการดำริและประสานงานของคุณภาณุวัฒณ มีสัตย ไดแจงความ
ประสงคขอเปนเจาภาพพิมพหนังสือ มังคลัตถวิภาวินี : ไขสงสัยใหนักเรียน
ป.ธ.๕ เพื่อถวายแดนักเรียน กับทั้งเพื่อเปนการบำเพ็ญธรรมวิทยาทาน
ใหกวางขวางยิ่งขึ้นไป
การพิมพหนังสือเลมนี้ สืบเนื่องกับหนังสือเลมกอน คือในคราวพิมพ
มงคลวิเสสกถาปกาสินี (พิมพครั้งที่ ๓) ผูเขียนนี้กำชับวา ใหพิมพจำนวน
จำกัดแค ๓๐๐ เลมก็พอ เพราะตองการแกไข/เพิ่มเติมอีก
ในคราวนั้น ทราบวา มีโยมจำนวนหนึ่งพลาดโอกาสเปนเจาภาพ
เพราะไดจำนวนเลมหนังสือเต็มอัตราที่กำหนดแลว และโยมดังกลาวนั้น
ก็ถามถึงหนังสือที่กำลังรอพิมพ พรอมแจงความประสงคเปนเจาภาพไว
ประจวบกับเวลานั้นหนังสือ มังคลัตถวิภาวินี กำลังเริ่มตนขึ้น
จึงแจงไปยังคุณภาณุวัฒน ขอใหโยมรอพิมพหนังสือเลมนี้เปนลำดับตอไป
และทางฝายอาตมภาพเองก็ขอเวลาจัดทำตนฉบับใหสำเร็จ
เวลาลวงเลยมาจนกระทั่งบัดนี้ เปดภาคการศึกษาใหมแลว ตนฉบับ
หนังสือจึงสำเร็จ พรอมจะเขาโรงพิมพใหเสร็จออกมาดวยทุนพิมพหนังสือ
ที่คุณภาณุวัฒน รวบรวมมาไวพรอมแลว (๒๒,๐๐๐ บาท)
ขออนุโมทนาคณะผูศรัทธาในธรรมทุกทาน ที่สนับสนุนการศึกษา
พระปริยัติธรรมแผนกบาลีในครั้งนี้ ดวยอำนาจบุญจริยาที่รวมกันบำเพ็ญ
แลว จงเปนปจจัยเพื่อความเจริญในกุศลธรรม และเพื่อความตั้งมั่นแหง
พระสัทธรรมตลอดกาลนาน
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย)
๕ มิ.ย. ๒๕๕๘
- 5. คำนำ
ในตอนตนหนังสือ มังคลัตถทีปนี ทานวา พระสูตรทั้งหลายเกิดขึ้น
เพราะเหตุ ๔ ประการ ไดแก (๑) เกิดเพราะความประสงคจะทรงแสดง
ธรรมตามอัธยาศัยของพระพุทธเจาเอง (๒) เกิดเพราะอัธยาศัยของผูอื่น
(๓) เกิดเพราะคำถา และ (๔) เกิดเพราะมีเหตุการณปรากฏขึ้น
บรรดาเหตุ ๔ ประการนี้ มงคลสูตร ซึ่งเปนที่มาของหนังสือ
มังคลัตถทีปนี นั้น เกิดเพราะคำถาม แมหนังสือ มังคลัตถวิภาวินี : ไขสงสัย
ใหนักเรียน ป.ธ.๕ นี้ก็เกิดขึ้นเพราะคำถามเชนกัน ดังจะเลาตอไป
ในระหวางการเรียนการสอน วิชา แปลมคธเปนไทย ชั้นประโยค
ป.ธ.๕ ป พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ที่สำนักเรียนวัดอรุณราชวราราม นักเรียน
มีขอสงสัยตรงไหน ก็นำขอสงสัยนั้นมาถามอาจารย
ฝายอาจารยเมื่อไดรับคำถามแลว ก็ตอบไปตามกำลัง หรือขอโอกาส
เก็บไวตอบในภายหลัง และหลังจากตอบคำถามนั้นแลว ก็มักจะนำมาจด
บันทึกไว พรอมคนควาหาคำตอบเพิ่มเติมจากคัมภีรตางๆ จนถึงสิ้นป
การศึกษา คำถามและคำตอบ ก็มีจำนวนมากพอสำหรับพิมพเปนเลม
หนังสือ ดังที่ปรากฏนี้เอง
เนื้อหาในหนังสือเลมนี้ นอกจากจะมุงตอบคำถามใหนักเรียน
มีความรูเพียงพอสำหรับสอบบาลีสนามหลวง คือมุงอธิบายหลักบาลี
ไวยากรณ เปนตนแลว ยังมุงใหนักเรียนมีความรูทั่วถึง สมภูมิชั้น ป.ธ.๕
ฉะนั้น เนื้อหาบางตอนจึงเปนความรูใหมสำหรับนักเรียน เชน
สังขยา ๕ ประเภท ชื่อชนบทนิยมเปนพหุวจนะ บทวา มหา เปน ๓ ลิงค
เปนตน และขอใหนักเรียนศึกษาไวเปนความรูพิเศษ ซึ่งจะชวยเสริมให
เขาใจบทเรียนมากขึ้น
พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย)
๕ มิ.ย. ๒๕๕๘
- 6. สารบัญ
เรื่อง หนา
อนุโมทนา ก
คำนำ ข
สารบัญ ค
อักษรยอชื่อคัมภีร ฏ
ปฺจมคาถายตฺถวณฺณนา ๑
ทานกถา ๑
ทปฺปนฺติ ๑
วิกฺขาเลตฺวา ๑
กปฺเปตา ๒
ปฏิ ๒
สงฺเฆ ทินฺนทกฺขิณาป ๓
สนฺโต ๔
ยทิ ศัพทใชเปน วิกปฺปตฺถ ๖
ยสสฺส [ยโส-อสฺส] ๗
วิคาหติ ๗
วิเนยฺย ๙
ทีฆรตฺตํ ๙
สหพฺเยติ ๙
อาณาเปสิ ๙
ปติปตามหาทีหิ ๑๐
อภิฺเยฺยา, ปริฺเญยฺยา ๑๑
อานิสํโส มหา ๑๒
- 7. เจตสา มนสา ๑๒
ยตสฺสา วิมุตฺตายตนภาโว ๑๓
ธมฺมจริยากถา ๑๖
ติวิธํ : วิภัตติและวจนะวิปลาส ๑๖
เถยฺยสงฺขาตํ ใชในอรรถกรณะ ๑๖
โปรี ๑๗
ยิฏํ : ต ปจจัยใชเปนนามนาม ๑๗
อภิฺา สจฺฉิกตฺวา : วัณณสนธิ ๑๘
ปจฺจตฺตวจนํ : ชื่อพิเศษของวิภัตติทั้ง ๗ ๑๙
อิตฺถนฺนามํ ๒๐
สุกุมารา แปลวา ออนโยน ๒๐
ปุถุวจน = พหุวจนะ ๒๑
ภาวนปุสกนิทฺเทโส = กิริยาวิเสสนะ ๒๑
ชาต ศัพท เปนตน ใชเปน วจนสิลิฏก, สกตฺถ ๒๒
วิภาเวนฺติยา ๒๓
เกวล ศัพท ๒๓
อโหปุริสิกา ๒๕
วาทสฺส ตัดบทเปน วาโท+อสฺส, ภวสาโร ๒๕
โคพลิพัททนัย ๒๖
าตกสงฺคหกถา ๒๗
ปตามโห ลง อามห ปจจัย ๒๗
ปตา จ...เตสํ ยุโค ปตามหยุโค ๒๗
ปุริสคฺคหณฺเจตฺถ...สมตฺถิตํ โหติ ๒๗
ปตา จ...ปตามหทฺวนฺทาติ ๒๘
โกเลยฺยกา ๒๘
- 8. ทฺวิชสงฺฆา, ทิโช ๒๘
อนวชฺชกมฺมกถา ๒๙
อนสนสงฺขาโต อุปวาโส ๒๙
ปสนฺนมานโส ๒๙
มหาชนปทานํ : ชื่อแควน นิยมเปนพหุวจนะ ๓๐
เสยฺยถีทํ ๓๒
กุ ในคำวา กุราชภาเวน ๓๒
ปฺจงฺคิกํ ตุริยํ = ดนตรีมีองค ๕ ๓๔
มรุกนฺตาร = ทะเลทราย ๓๔
กามทุโห ๓๕
อจฺฉสิ ๓๕
วิมลาทีสุ ๓๕
ฉคาถายตฺถวณฺณนา ๓๖
ปาปวิรติมชฺชปานสํยมกถา ๓๖
อวฺหย=ชื่อ ๓๖
ยโต : โต ปจจัยเปนเครื่องหมาย ๕ วิภัตติ ๓๖
วชฺช=คำพูด ๓๗
อโวจ ๓๗
ตชฺชํ ๓๗
อนุวิธิยนาสุ ๓๘
วิลียติ ๓๙
สปตฺตา ๓๙
เผณุทฺเทหกํ ๔๐
เยสํ โน = เย มยํ ๔๐
มาริส ๔๑
- 9. นาวหเร, ภเณ=น อวหรติ, ภรติ ๔๒
อุปนาเมสิ ๔๒
ลทฺธาน ๔๓
เสหิ ๔๓
วารุณี : ษีเมาน้ำดอง ๔๓
อปฺปมาทกถา ๔๔
โยณฺณวา : สังเกตสังขยา ๔๕
สังขยา ๕, ๖ และ ๗ ประเภท ๔๗
สตฺตมคาถายตฺถวณฺณนา ๕๒
คารวกถา ๕๒
ปณฺฑุปลาส ๕๒
วตฺตํ/วฏฏํ แปลวา คาใชสอย ๕๒
ธมฺมสฺส โกวิทา : หักฉัฏฐีเปนสัตตมี ๕๔
นิวาตกถา ๕๕
เกสรสีหา : ในราชสีห ๔ ประเภท ๕๕
สนฺตุิกถา ๕๖
อิติ มาสฑฺฒ...วิตกฺกสนฺโตโส นาม ๕๖
หายติ ๕๖
ปฺาเปสิ : เปนทั้ง กัตตุ. และ เหตุ.กัต.? ๕๘
ปริสฺสยานํ สหิตา ๕๙
กปฺป ศัพท : ใชในอรรถเปรียบเทียบ ๕๙
นิทฺธเม=นิทฺธเมยฺย ๕๙
กตฺุตากถา ๖๐
ทเท=ททามิ, มฺุเจ=มฺุจามิ ๖๑
- 10. คตโยพฺพนา ๖๑
อนฺธการํ วิย ๖๑
อนฺธการาวตฺถํ ๖๑
ตโตเยว ใชในอรรถเหตุ ๖๒
อมฺพณก=เรือโกลน ๖๒
สหตฺถา : ศัพทที่แปลงเปน ส ๖๓
อภิราธเย ๖๔
ทชฺชา ๖๔
ธมฺมสฺสวนกถา ๖๕
อหนิ=ในวัน ๖๕
อุปฺปชฺชนฺตาป...วุจฺจนฺติ ๖๕
กุสโล เภริสทฺทสฺส, กุสโล สงฺขสทฺทสฺส ๖๖
ปุตฺตกํ : ก ปจจัยแปลไดหลายอยาง ๖๖
มา กโรสิ : วิธีการใช มา ปฏิเสธ ๖๖
มํ น ปฏิภาติ : หักทุติยาเปนจตุตถีและฉัฏฐีวิภัตติ ๖๘
กานนํ = ดง ปา หมูไม ๗๐
ปาทป=ตนไม ๗๐
ปริปูเรนฺติ ๗๐
ทริโต ๗๑
อมคาถายตฺถวณฺณนา ๗๒
ขนฺติกถา ๗๒
ทสหิ อกฺโกสวตฺถูหิ : อักโกสวัตถุ ๑๐ ๗๒
พหุ อตีตมทฺธาเน : พหุ ควรเปน อหุ ๗๓
ยสฺสทานิ=ยสฺส อิทานิ ๗๓
ทุรุตฺตํ=คำพูดชั่ว ๗๓
- 11. อวีจิมหานิรยํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา: อักษรหาย ความหมายเปลี่ยน ๗๔
วโจ : แปลง อํ ทุติยาวิภัตติ เปน โอ ๗๘
ตสฺสา อตฺถิตายาติ ๗๘
ขตฺติยวคฺคฏีกา ๗๙
จกฺกาทิติกํ ๘๐
ตสฺเสว เตน ปาปโย ๘๐
ปาปกตรสฺส ๘๑
ตตฺถิโตเยว ๘๓
เวเทหิกา ๘๓
คหปตานี ๘๓
อผาสุ, อผาสุกํ ๘๔
อยฺเย ในคำวา ปสฺสถยฺเย ๘๔
ยโต=ยทา ๘๕
โสรโต ๘๕
กุรุรา/กุรูรา ๘๕
โสวจสฺสตากถา ๘๖
สุวโจ ๘๖
โสวจสฺสํ ๘๖
โสวจสฺสตา ๘๖
ปุรกฺขิตฺวา ๘๖
วิปฺปจฺจนีกสาเต : ทันตเฉทนนัย/ทันตโสธนนัย ๘๖
อนุโลมสาเต ๘๗
ขโม ๘๘
ขนฺตา ๘๘
ปฏานิภาเวน ๘๘
- 12. วิเสสาธิคมสฺส ทูเร/อทูเร ๘๘
กตฺวา เปนกิริยาปธานนัย ๙๐
อกโรนฺตา จตสฺโส ปริสา: อกโรนฺตา/อกโรนฺตี ? ๙๐
จตูสุ อปาเยสุ [อบาย ๔] ๙๑
ปฺจวิธพนฺธนกมฺมกรณานาทีสุ ๙๒
กาหนฺติ ๙๒
สมณทสฺสนกถา ๙๓
ตถาสมาหิตํ ๙๓
อชฺฌุเปกฺขิตา ๙๓
นิสินฺนสฺส ๙๓
ตตฺถาป ตโต ๙๓
สตสหสฺสมตฺตา ๙๓
มหินฺท...ปพฺพชนฺติ นาม ๙๔
ปาตุกมฺมาย ๙๔
อตีวมหา : บทวา มหา เปนได ๓ ลิงค ๙๕
อฑฺฒรตนํ ๙๖
นาค ศัพทเดียว แปลไดหลายอยาง ๙๖
วิธีแปล ขมนียํ/ยาปนียํ ๙๗
นิทฺทํ อุปคตสฺส ๙๗
ฑยฺหามิ ๙๘
ธมฺมสากจฺฉากถา ๙๘
นวมคาถายตฺถวณฺณนา ๙๙
ตปกถา ๙๙
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา : วิเสสลาภี ๙๙
ตีติกฺขา ๙๙
- 13. มหาหํสชาตก ๙๙
ยตฺวาธิกรณเมนํ ๑๐๐
หตฺถปาทสิตหสิตกถิตวิโลกิตาทิเภทํ: ต ปจจัย ๔ สาธนะ ๑๐๑
หิ ศัพท ๑๐๒
ยถา=ยสฺมา ๑๐๓
อกมฺมฺโ ๑๐๔
มฺเ=วิย ๑๐๔
พฺรหฺมจริยกถา ๑๐๕
อหฺจ ภริยา จ : ปโรปุริส ๑๐๕
อริยสจฺจทสฺสนกถา ๑๐๖
ทุกฺขํ อริยสจฺจํ : วิเสสลาภี ๑๐๖
ภวา ๑๐๖
นิพฺพานสจฺฉิกิริยากถา ๑๐๗
กฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ : แปลแลวยกขึ้นตั้งอรรถ ๑๐๗
อาลมฺเพติ ๑๐๘
อาโท ลง สฺมึ สัตตมีวิภัตติ ๑๐๘
ทสมคาถายตฺถวณฺณนา ๑๐๙
อกมฺปตจิตฺตกถา ๑๐๙
อุปายาเสหิ : อุปายาส คืออะไร ๑๐๙
อโสกจิตฺตกถา ๑๑๑
อนฺโต ลงแลวลบวิภัตติ ๑๑๑
ฌาเปสิ ๑๑๒
อาคา ๑๑๓
กาลกเต ๑๑๓
- 14. ตสฺส [ตํ อสฺส] ๑๑๓
ปริณเต ๑๑๔
วิรชจิตฺตกถา ๑๑๕
ภยมนฺตรโต ๑๑๕
เขมจิตฺตกถา ๑๑๖
ราชฺโ ๑๑๖
อิยตมกิเอสานมนฺตสฺสโร ๑๑๖
เอกาทสมคาถายตฺถวณฺณนา ๑๒๑
คจฺเฉ ๑๒๑
อุรุ ศัพท ในคำวา สิรฺยาทิมงฺคลภิธานยุโตรุเถโร ๑๒๑
บันทึกทายเลม ๑๒๒
บรรณานุกรม ๑๒๓
หนังสือที่พิมพเปนทาน ๑๒๗
รายนามผูรวมพิมพหนังสือ ๑๒๘
- 15. ปญฺจมคาถายตฺถวณฺณนา
ทานกถา
-๐-
ทปฺปนฺติ (มงฺคล. ๒/๔/๓)๑
ทปฺปนฺติ ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๔ หนา ๓ แปลวา
งมงาย ใชในอรรถเดียวกันกับ มุยฺหนฺติ (ลุมหลง)
ทปฺปนฺติ [ทปู+ย+อนฺติ] ยอมงมงาย ประกอบดวย ทปู ธาตุในความ
หัวเราะ, กระดาง, โออวด (หาสคพฺพเน)๒ ย ปจจัยในกัตตุวาจก หมวด ทิว
ธาตุ อนฺติ วัตตมานาวิภัตติ, บางอาจารยวา ทปฺ ธาตุ แปลง ปฺย เปน ปฺป๓
วิกฺขาเลตฺวา (มงฺคล. ๒/๑๕/๙)
นักเรียนสงสัยวา วิกฺขาเลตฺวา ในมังคลัตถทีปนี ภาค ๒ ขอ ๑๕ หนา
๙ เปนวาจกอะไร
วิกฺขาเลตฺวา ในที่ดังกลาว เปน เหตุกัตตุวาจก, ความจริง มีผูอธิบาย
วิกฺขาเลตฺวา วาเปนไดทั้ง กัตตุวาจก และเหตุกัตตุวาจก
วิกฺขาเลตฺวา [วิ+ขลฺ+เณ+ตฺวา] ที่เปนเหตุกัตตุวาจก แปลวา
ยัง...ใหบวนแลว ประกอบดวย วิ บทหนา ขล ธาตุในความชำระ๔ ดวย
อำนาจ วิ อุปสัคอยูหนา แปลวา บวน เณ ปจจัยในเหตุกัตตุวาจก ตฺวา
๑ ในวงเล็บ=(หนังสือมังคลัตถทีปนี พิมพครั้งที่ ๑๕ พ.ศ. ๒๕๔๙, ภาคที่ ๒/ขอ/หนา)
๒ พระวิสุทธาจารมหาเถระ รจนาที่พมา, พระราชปริยัติโมลี (อุปสโม) และคณะ
ปริวรรต, ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, (กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕),
คาถา ๑๘๐ หนา ๑๘๔.
๓ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรมกิริยาอาขยาต ฉบับธรรมเจดีย, (กรุงเทพฯ:
เรืองปญญา, ๒๕๔๕), หนา ๑๓๐.
๔ ขล โสธนมฺหิ, ดู ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๗๙ หนา ๗๗.
- 16. มังคลัตถวิภาวินี
๒
ปจจัย ดวยอำนาจ เณ ปจจัย ทีฆะ อ ตนธาตุเปน อา ลบ ณ เหลือไวแต เอ
สำเร็จรูปเปน วิกฺขาเลตฺวา
สวนที่เปน กัตตุวาจก นั้นมีองคประกอบเหมือน เหตุกัตตุวาจก แปลก
แต ลง เณ ปจจัยในกัตตุวาจก เทานั้น๑
กปฺเปตา (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๓)
กปฺเปตา ศัพทเดิมเปน กปฺเปตุ (ผูสำเร็จ) แจกแบบ สตฺถุ เอา อุ
การันต กับ สิ เปน อา๒
เพราะอำนาจ สิ วิภัตติ จึงแปลงสระทายเปน อา และลบ สิ วิภัตติ
ดวยสูตรวา สตฺถุปตาทีนมา สิสฺมึ สิโลโป จ๓, ศัพทวา อาทาตา, สนฺธาตา,
อนุปฺปทาตา เปนตน (มงฺคล.๒/๕๕/๔๗-๔๘) ก็พึงทราบโดยนัยนี้
ปฏิ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๕)
ปฏิ ในขอวา ปฏิ ปจฺเจโก ปุคฺคโล ปฏิปุคฺคโล เปนอัพยยศัพท จึงไม
เปลี่ยนรูปไปตามวิภัตติ
ในที่นี้ตองการใช ปฏิ ศัพท ขยาย ปุคฺคโล (พึงสังเกตทานไขความวา
ปจฺเจโก) จึงลง สิ ปฐมาวิภัตติแลวลบเสีย ทั้งนี้มีหลักการทั่วไปวา ใหลบ
วิภัตติหลังอุปสัคและนิบาต๔
๑ บุญสืบ อินสาร, พจนานุกรมบาลี-ไทย ธรรมบทภาค ๑-๔, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิ
สงเสริมสามเณร ในพระสังฆราชูปถัมภ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก, ๒๕๕๕), หนา ๖๙๗.
๒ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ วจีวิภาค ภาคที่
๒ นามและอัพยยศัพท, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑), หนา ๖๑.
๓ พระคันธสาราภิวงศ แปลและอธิบาย, ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑ , (นครปฐม:
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๗), หนา
๕๑๕.
๔ กจฺจายน. สูตร ๒๒๑, รูปสิทฺธิ. สูตร ๒๘๒, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๔๘.
- 17. พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๓
สงฺเฆ ทินฺนทกฺขิณาปิ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖)
สัตตมีวิภัตติที่สัมพันธเขากับ ทา ธาตุ ใหใชในอรรถสัมปทาน คือหัก
สัตตมีวิภัตติเปนจตุตถีวิภัตติ แปลวา แก๑
หลักการลงสัตตมีวิภัตติในอรรถสัมปทานนี้ ปรากฏใชในที่
ประกอบดวย ทา ธาตุเทานั้น เพราะ ทา ธาตุ เปนธาตุที่มองหาสัมปทาน๒
ฉะนั้น สัตตมีวิภัตติดังจะแสดงตอไปนี้จึงลงในอรรถจตุตถีวิภัตติ แปลวา แก
ปฏิปนฺเน ทินฺนทานสฺส (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๓)
ทานที่ทายกให แกบุคคลผูปฏิบัติ
โสตาปนฺนาทีสุ ทินฺนทานสฺส (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๓)
ทานที่ทายกถวาย แกพระโสดาบัน เปนตน
ตตฺถ ทินฺนํ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๔,๑๕)
ทานที่ทายกถวาย แกปฏิคาหกนั้น
ตตฺถ ตตฺถ ทินฺนสฺส (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๕)
ทานที่ทายกถวายแกปฏิคาหกนั้นๆ
สงฺเฆ ทินฺนทกฺขิณาป (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖)
แมทักษิณาที่ทายกถวาย แกสงฆ
ปุถุชฺชนสมเณ ทินฺนํ มหปฺผลตรํ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖, ๑๗)
ทานที่ทายกถวาย แกสมณะผูเปนปุถุชน มีผลมากกวา
ขีณาสเว ทินฺนทานโต (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖, ๑๗)
กวาทานที่ทายกถวาย แกพระขีณาสพ
ทุสฺสีเลป ทินฺนํ มหปฺผลตรํ (มงฺคล. ๒/๒๑/๑๖, ๑๗)
ทานที่ทายกถวาย แมแกสมณะผูทุศีล
๑ กจฺจายน.สูตร ๓๑๑, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๖๔๒, รูปสิทฺธิ. สูตร ๓๒๕.
๒ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๑๑๓๐.
- 18. มังคลัตถวิภาวินี
๔
สนฺโต (มงฺคล. ๒/๒๓/๑๘)
สนฺโต ในมังคลัตถทีปนี ภาค ๒ ขอ ๒๓ หนา ๑๘ เปนพหุวจนะ ถา
นักเรียนไมศึกษาใหทั่วตลอดหรือผูสอนไมแนะนำ อาจจะเขาใจผิดคิดวาเปน
เอกวจนะ เพราะเทียบกับแบบแจก อ การันตในปุงลิงค
ที่จริง สนฺโต ในที่นี้เปน พหุวจนะ ใชเปน วิเสสนะ ของ สปฺปุริสา มี
แบบแจกเฉพาะที่นักเรียนไมคุนเคย จึงนำมาแสดงไว ดังนี้
สนฺต ศัพท แจกอยางนี้
สนฺตสทฺทปทมาลา๑
วิภัตติ เอกวจนะ พหุวจนะ
ป. สํ (สนฺโต)๒ สนฺโต สนฺตา
ทุ. สํ สนฺตํ สนฺเต
ต. สตา สนฺเตน สนฺเตหิ สนฺเตภิ สพฺภิ
จ. สโต สนฺตสฺส สนฺตานํ สตํ สตานํ
ปฺ สตา สนฺตา สนฺตสฺมา สนฺตมฺหา สนฺเตหิ สนฺเตภิ สพฺภิ
ฉ. สโต สนฺตสฺส สนฺตานํ สตํ สตานํ
ส. สติ สนฺเต สนฺตสฺมึ สนฺตมฺหิ สนฺเตสุ
อา. โภ สนฺต ภวนฺโต สนฺโต
๑ พระอัครวังสเถระ รจนา, พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และจำรูญ ธรรมดา แปล,
สัททนีติปทมาลา, (นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาี-
ศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๖), หนา ๕๖๘.
๒ อาจารยบางทานกลาววา สนฺโต ไมควรเปนเอกวจนะ เพราะทานอธิบายไวใน
คัมภีรสัททนีติปทมาลา (ฉบับแปล หนา ๕๗๐) วา บทวา สนฺโต อสนฺโต ใชเปนพหุพจน
เทานั้น ไมมีใชเปนเอกพจนแมสักแหง
- 19. พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๕
ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ที่อางถึงนี้ ปรากฏ สนฺต ศัพทในขอความวา
ปุน จปรํ สีห ทายกํ ทานปตึ สนฺโต สปฺปุริสา ภชนฺติ ยมฺป สีห ทายกํ....
ภชนฺติ อิทมฺป สีห สนฺทิ€ิกํ ทานผลํ ฯ
[สีหะ ขออื่นยังมีอีก สัตบุรุษทั้งหลายผูสงบระงับ ยอมคบทายก
ทานบดี, สีหะ ขอที่สัตบุรุษทั้งหลายผูสงบระงับคบทายกทานบดี แมนี้ เปน
ผลแหงทานที่เห็นไดเอง]
สนฺต ศัพท ในที่นี้แปลวา ผูสงบระงับ ซึ่งเปนเพียงความหมายหนึ่งใน
หลายความหมาย ที่จริง สนฺต ศัพท มีความหมายมากถึง ๗ อยาง ไดแก
อจฺจิเต วิชฺชมาเน จ ปสตฺเถ สจฺจสาธุสุ
ขินฺเน จ สมิเต เจว สนฺโตภิเธยฺยลิงฺคิโก ฯ๑
สนฺต ศัพท ที่เปนอภิเธยยลิงคคือเปนไดทั้ง ๓ ลิงค มีอรรถ ๗ อยาง คือ
๑) อจฺจิต การบูชา
๒) วิชฺชมาน ความมีอยู
๓) ปสตฺถ การสรรเสริญ
๔) สจฺจ ความจริง
๕) สาธุ คนดี
๖) ขินฺน ความลำบากหรือความเหน็ดเหนื่อย
๗) สมิต ความสงบจากกิเลส
สนฺต ศัพท ที่แปลวา ผูสงบ นี้วิเคราะหวา กิเลเส สเมตีติ สนฺโต (สมุ
อุปสเม+ต) ผูระงับกิเลส ชื่อวา สันตะ (อาเทศ มฺ เปน นฺ)
๑ พระมหาสมปอง มุทิโต, อภิธานวรรณนา, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: บริษัท
ประยูรวงศพริ้นทติ้ง, ๒๕๔๗), คาถา ๘๔๑, ๒๒๘ หนา ๙๘๙, ๓๑๐.
- 20. มังคลัตถวิภาวินี
๖
ยทิ ศัพทใชเปน วิกปฺปตฺถ (มงฺคล.๒/๒๓/๑๘)
นักเรียนคอนขางคุนเคย ยทิ ศัพท ที่เปนนิบาตบอกปริกัป
(คาดคะเน) ลงในอรรถ ปริกปฺปตฺถ ที่แปลวา ผิวา, ถาวา, หากวา ที่จริง
ยทิ ศัพทลงในอรรถอื่นก็ได
ในที่บางแหง ยทิ ศัพทลงในอรรถแหง วา ศัพท คือลงในอรรถที่เปน
วิกปฺปน (วิกปฺปตฺถ)๑ แปลวา ก็ดี, ก็ตาม, หรือ เชน ยทิ ศัพท ในมังคลัตถ-
ทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๓ หนา ๑๘ ไมไดลงในอรรถ ปริกปฺปตฺถ ไมควรแปลวา
ผิวา แตลงในอรรถแหง วา ศัพท ตองแปลวา ก็ดี, ก็ตาม, หรือ; ขอความ
ดังกลาวเปนพุทธพจนมาในสีหสูตรนำมาแสดงไวดังนี้วา
»Ø¹ ¨»Ã™ ÊÕË ทายโก ทานปติ ÂÚà·Ç »ÃÔÊ™ ÍػʧڡÁµÔ ·Ô
¢µÚµÔ»ÃÔÊ™ Â·Ô ¾ÚÃÒËÚÁ³»ÃÔÊ™ Â·Ô ¤Ë»µÔ»ÃÔÊ™ Â·Ô ÊÁ³»ÃÔÊ™ ÇÔÊÒÃâ·
ÍػʧڡÁµÔ ÍÁ§Ú¡ØÀÙâµ...Ï
[สีหะ ขออื่นยังมีอีก ทายกทานบดีจะเขาไปยังบริษัทใดๆ จะเปน
กษัตริยก็ตาม พราหมณก็ตาม คฤหบดีก็ตาม สมณะก็ตาม เปนผูแกลวกลา
ไมเกอเขิน เขาไปยังบริษัทนั้น]
สวนคำวา ÂÚà·Ç นั้น ตัดบทเปน ยํ-ยํ-เอว แปลงนิคหิต (ตัวหนา)
กับ ย (ตัวหลัง) เปน ฺ แลวซอน ò เปน ÂÚí-àÍÇ, แลวแปลง นิคหิต
เปน ท เปน ÂÚà·Ç
๑ ดูใน จตุปทวิภาค สทฺทนีติ สุตฺตมาลา ทานวา ยทิอิติ กตฺถจิ วาสทฺทตฺเถ,
(พระอัคควังสมหาเถระ รจนา, พระมหาประนอม ธมฺมาลงฺกาโร ปริวรรต, สทฺทนีติ สุตฺต-
มาลา, กรุงเทพฯ: ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๙, หนา ๓๘๙) ฉบับแปลดูที่
พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) ตรวจชำระ, สัททนีติสุตตมาลา, นครปฐม: มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕, หนา ๑๒๗๙), ใน
เชิงอรรถฉบับแปลที่อางทานวา ยทิ ที่ลงในอรรถ วา ศัพท คือลงในอรรถ วิกปฺปน
๒ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๒๖๗.
- 21. พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๗
ยสสฺส [ยโส-อสฺส] (มงฺคล.๒/๒๓/๑๘)
ในคาถา ขอ ๒๓ วา ยสสฺส วฑฺฒติ [ยศของทายกนั้นยอมเจริญ]
ยสสฺส ตัดบทเปน ยโส อสฺส จัดเปนโลปสระสนธิ สระอยูหลัง ลบ
สระหนา ตอบทเปน ยสสฺส เชน กุโต+เอตฺถ=กุเตตฺถ๑
สอดคลองกับที่ทานอธิบายไวในอรรถกถาเถรคาถาวา
ยสสฺส วฑฺฒตีติ สมฺมุเข คุณาภิตฺถวสงฺขาโต ปริวารสมฺปทาสงฺขาโต
จ ยโส อสฺส ปริพฺรูหติ ฯ๒
[บทวา ยสสฺส วฑฺฒติ ความวา ยศกลาวคือความยกยองสรรเสริญคุณ
ในที่ตอหนา และยศกลาวคือความถึงพรอมดวยบริวารยอมเพิ่มพูนแกผูนั้น]
การตัดและตอบทดวยวิธีนี้ มีปรากฏในขอตอๆ ไป เชน
ยตสฺสา [ยโต อสฺสา] (มงฺคล.๒/๕๒/๔๕)
วาทสฺส [วาโท อสฺส] (มงฺคล.๒/๘๑/๗๑)
ปาปกตรสฺส [ปาปกตโร อสฺส] (มงฺคล.๒/๔๓๑/๓๓๗)
วิคาหติ (มงฺคล. ๒/๒๓/๑๙)
ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๓ หนา ๑๘-๑๙ วา อมงฺกุภูโต ปริสํ
วิคาหติ (ในคาถา)
ในหนังสือเรียนบางเลมทานแปล วิคาหติ วา ไมเบียดเบียน สวนอีก
เลม ทานแปล วิคาหติ วา เขาไป, นักเรียนสงสัยวา ควรแปลอยางไรดี
ในคำแปลทั้งสองนั้น คำแปลวา เขาไป มีผูคนควาแลวพบขอมูล
สนับสนุน สวนคำแปลวา ไมเบียดเบียน นั้น ยังหาขอมูลสนับสนุนไมพบ จึง
ฝากใหนักศึกษาคนควากันตอไป; ขอมูลที่พบนั้น มีดังนี้
๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๓๐ หนา ๔๑.
๒ เถร.อ. ๒๑๒.
- 22. มังคลัตถวิภาวินี
๘
๑. ในพจนานุกรมบาลี-อังกฤษ ฉบับสมาคมบาลีปกรณ (Pali Text
Society) วา วิคาหติ แปลวา หยั่งลง, เขาไป (to plunge into, to enter)๑ และ
พจนานุกรมบาลี-ไทยก็วา วิคาหติ ก. หยั่งลง๒
๒. ในอรรถกถา ทานอธิบายศัพทใกลเคียงกับ วิคาหติ ไว เทาที่พบ ๒
แหง คือ
๒.๑) วิคาหิยาติ อนุปวิสิตฺวา ฯ๓ วิคาหิย แปลวา เขาไป ฯ
๒.๒) วิคาหิสุนฺติ...ปกฺขนฺทึสุ ฯ๔ ÇÔ¤ÒËÔÊØ™ แปลวา แลนไป ฯ
ในขั้นนี้จึงยุติไดวา ขอใหนักเรียนแปล วิคาหติ วา เขาไป และขอ
ระงับคำแปลวา ไมเบียดเบียน นั้นไวกอนจนกวาจะพบขอมูลอางอิง
วิเนยฺย (มงฺคล. ๒/๒๓/๑๙)
วิเนยฺย [วิ+นี+ตูนาทิ] ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๓ หนา ๑๙
เปนกิริยากิตก แปลวา นำออกแลว
วิเนยฺย ประกอบดวย วิ บทหนา นี ธาตุในความนำไป (นี นย-
ปาปุเณ)๕ แปลง อี เปน เอ แปลง ตูนาทิ ปจจัย เปน ย ซอน ย๖
๑ T. W. Rhys Davids and William Stede, The Pali text Society Pali-
English Dictionary, (London: The Pali Text Society, 2004) p. 615.
๒ พระอุดรคณาธิการ (ชวินทร สระคำ), ศ.พิเศษ ดร.จำลอง สารพัดนึก,
พจนานุกรม บาลี-ไทย สำหรับนักศึกษา ฉบับปรับปรุงใหม, พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพฯ:
บริษัท ธรรมสาร จำกัด, ๒๕๕๒), หนา ๔๑๘.
๓ สํ.อ. ๑/๓๖๑.
๔ ชา.อ. ๘/๒๘๖.
๕ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๑๕ หนา ๒๒๕.
๖ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรมกิริยากิตตฉบับธรรมเจดีย, (กรุงเทพฯ: เรือง-
ปญญา, ม.ป.ป.), หนา ๓๑๑.
- 23. พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๙
ทีฆรตฺตํ (เชน มงฺคล. ๒/๒๓/๑๙)
นักเรียนสงสัยวา ทำไมทานใชศัพทวา ทีฆรตฺตํ ไมใช ทีฆรตฺตึ, ผูเขียนนี้
จึงตอบวา ที่ทานใชศัพทวา ทีฆรตฺตํ เพราะมีหลักการดังตอไปนี้
รตฺติ ศัพท เมื่อนำไปสมาสกับศัพทอื่นที่บอกจำนวนหรือบอก
ระยะเวลา เชน ทีฆ, อโห, วสฺส ใหลง อ ปจจัยที่สุดสมาสนั้น๑ รตฺติ จึง
กลายเปน รตฺต เชน ทีฆรตฺต
ในที่นี้ประกอบ อํ ทุติยาวิภัตติ จึงไดรูปเปน ทีฆรตฺตํ (ตลอดคืน
ยาวนาน), คำวา อโหรตฺตํ ก็พึงทราบดวยหลักการเดียวกันนี้, (อห เปน
มโนคณะ เมื่อสมาสเขาแลว ลบวิภัตติ เอาสระที่สุดของตนเปน โอ)๒
สหพฺเยติ (มงฺคล.๒/๒๖/๒๑)
สหพฺเยติ=ยอมเปนไป, [สห+พฺเย ปวตฺติยํ+เอ+ติ], เชนวา สหพฺเยติ
คจฺฉตีติ สหพฺโย ปรากฏในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๒๖ หนา ๒๑
สหพฺเยติ แปลวา ยอมเปนไป ประกอบดวย สห บทหนา พฺเย ธาตุใน
ความเปนไป (ปวตฺติยํ) หมวด ภู ธาตุ เอ ปจจัยในกัตตุวาจก ติ วัตตมานา-
วิภัตติ๓
อาณาเปสิ (เชน มงฺคล. ๒/๓๒/๒๘)
อาจารยในปจจุบันนิยมใหนักเรียนแปล อาณาเปสิ ที่เปนกัตตุวาจก
วา สั่งบังคับแลว เพราะถือตามเฉลยขอสอบ วิชา สัมพันธไทย พ.ศ. ๒๕๔๐
๑ โมคฺ. สูตร ๓.๔๕.
๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๓๗๕ หนา ๒๖๘.
๓ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๖๒, หนา ๒๘๐ ; และดูใน พระอัครวังสเถระ
รจนา พระธรรมโมลี ตรวจชำระ, สัททนีติธาตุมาลา, (นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง-
กรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๖), หนา ๓๗๕.
- 24. มังคลัตถวิภาวินี
๑๐
ตรวจแกโดยกองบาลีสนามหลวง, แตถึงอยางไรก็ตาม มีอาจารยอธิบาย
อาณาเปสิ ที่เปนกัตตุวาจกไวอยางนอย ๒ นัย ไดแก
๑. อาณาเปสิ อาณ ธาตุ ในความใช-สั่งบังคับ (เปสเน)+ณาเป ปจจัย
ในกัตตุวาจก (นอกแบบ)+อี อัชชัตตนีวิภัตติ ลง ส อาคม รัสสะ อี เปน อิ๑
๒. อาณาเปสิ อา บทหนา+ณาป ธาตุในความใช (เปสเน)+เณ ปจจัย
ในหมวด จุร ธาตุ+อี อัชชัตตนีวิภัตติ ลง ส อาคม รัสสะ อี เปน อิ๒
ปิติปิตามหาทีหิ(มงฺคล.๒/๓๘/๓๕)
ปติปตามหาทีหิ [ปตุ+ปตามห+อาทิ+หิ ตติยาวิภัตติ] แปลวา (อัน
ญาติทั้งหลาย) มีบิดาและปูเปนตน, ปติ ในที่นี้ไมไดแปลวา ปติ แตแปลวา
บิดา ศัพทเดิมก็คือ ปตุ นั่นเอง แตเอาสระ อุ ที่ปตุ เปน อิ
วิ. ปตุ ปตา ปตามโห
บิดาของบิดา ชื่อวา ปตามหะ (ปู)
ลง อามห ปจจัยในตัทธิต๓
วิ. ปตา จ ปตามโห จ ปติปตามหา
บิดาดวย ปูดวย ชื่อวา ปติปตามหะ (เอา อุ ที่ ปตุ เปน อิ)
เปน อสมาหารทวันทวสมาส
วิ. »ÔµÔ»ÔµÒÁËÒ ÍÒ·â àÂÊí ൠ»ÔµÒÁËÒÍÒ·â ҵ¡Ò
บิดาและปู เปนตน แหงญาติเหลาใด
ญาติเหลานั้นจึงชื่อวา มีบิดาและปูเปนตน
เปน ฉัฏฐีพหุพพิหิสมาส
๑ บุญสืบ อินสาร, พจนานุกรมบาลี-ไทย ธรรมบทภาค ๑-๔, ๒๕๕๕, หนา ๑๒๙.
๒ นิรุตติทีปนี, หนา ๕๔๘, อางถึงใน พระมหานิมิตร ธมฺมสาโร และคณะ, วิชา
สัมพันธไทย ธรรมบทภาคที่ ๕ ฉบับแกไข/ปรับปรุง, (กรุงเทพฯ: ประยูรสาสนไทย
การพิมพ, ๒๕๕๒), หนา ๗.
๓ โมคฺ. สูตร ๔.๓๘.
- 25. พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๑
จุดที่ควรทำความเขาใจเปนพิเศษ อยูที่ ปติ เพราะมีหลักการวา สระ
ที่สุดแหง มาตุ ศัพทเปนตน เปน อิ ได เมื่อ โต หรือ ภร ศัพท เปนตน
อยูหลัง๑ เชน มาติโต, ปติโต, ธีติโต, มาตาเปตฺติภโร, มาติปกฺโข เปนตน
คำวา ปติมตฺตํ, มาติมตฺตํ, ภาติมตฺตํ ในขอ ๖๑ หนา ๕๕ ก็พึงทราบ
วา แปลง อุ เปน อิ โดยนัยนี้เหมือนกัน
อภิญฺเยฺยา, ปริญฺเญยฺยา (มงฺคล.๒/๔๑/๓๖)
นักเรียนเห็น ÍÀÔÚàÂÚÂÒ, »ÃÔÚàÂÚÂÒ ในขอวา ÍÔàÁ ¸ÁÚÁÒ
ÍÀÔÚàÂÚÂÒ ÍÔàÁ »ÃÔÚàÂÚÂÒ [ธรรมเหลานี้พึงรูยิ่ง ธรรมเหลานี้พึง
กำหนดรู] ก็เขาใจผิดคิดวา ลง อนีย ปจจัย เพราะทานใชเสมือนเปนกิริยา
คุมพากย
ความจริง สองศัพทนี้ ลง ณฺย ปจจัยในนามกิตก ใชเสมือนกิริยากิตก
เชน เต จ ภิกฺขู คารยฺหา๒
ÍÀÔÚàÂÚÂÒ [ÍÀÔ+Ò+³ÚÂ+âÂ] (¸ÁÚÁÒ) ธรรมอันบุคคลพึงรูยิ่ง,
วิเคราะหวา ÍÀÔÚÒµ¾Ú¾ÒµÔ ÍÀÔÚàÂÚÂÒ (ธมฺมา) [ธรรมเหลาใด อัน
บุคคลพึงรูยิ่ง เหตุนั้นธรรมเหลานั้น จึงชื่อวา ธรรมอันบุคคลพึงรูยิ่ง] อภิ
บทหนา Ò ธาตุในความรู แปลง ณฺย กับ อา ที่สุดธาตุ เปน เอยฺย๓ ซอน
ฺ (ณฺย ปจจัยในนามกิตก เปนกัมมรูป กัมมสาธนะ)
»ÃÔÚàÂÚÂÒ [»ÃÔ+Ò+³ÚÂ+âÂ] (ธมฺมา) ธรรมอันบุคคลพึงกำหนดรู,
วิเคราะหและทำตัวเหมือน ÍÀÔÚàÂÚÂÒ แปลกแต ปริ บทหนา
๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๔๒๗ หนา ๒๙๙.
๒ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, บาลีไวยากรณ วจีวิภาค ภาคที่
๒ อาขยาตและกิตก, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒), หนา ๑๙๗.
๓ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๑๒๙ หนา ๑๐๓๙.
- 26. มังคลัตถวิภาวินี
๑๒
อานิสํโส มหา(มงฺคล.๒/๔๓/๓๘)
มหา ในที่นี้ใชเปนคุณนาม, มหา ศัพทเดิมเปน มหนฺต ตามมติที่ทาน
แสดงไวในคัมภีรสัททนีติปทมาลา ทานอาศัยตัวอยางจากพระบาลี จึงแจก
มหนฺต ศัพทไดรูปเปน มหา ครบทั้ง ๓ ลิงค๑, ดู อตีวมหา
เจตสา มนสา (มงฺคล.๒/๔๘/๔๒)
นาศึกษาวา เจตสา และ มนสา ใชตางกันอยางไร เพราะในที่บาง
แหงทานใชทั้ง เจตสา และ มนสา จึงสันนิษฐานวาใชตางกันแน เพราะถาทั้ง
๒ บทใชไดเหมือนกันทุกกรณี ทานก็คงไมจำเปนตองเรียงไวใกลกัน ๒ บท
เชน ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๔๘ หนา ๔๒ ซึ่งทานนำขอความมาจาก
ปญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย๒ วา
ปุน จปรํ ภิกฺขเว ภิกฺขู ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํ น เจตสา
อนุวิตกฺเกนฺติ อนุวิจาเรนฺติ มนสา อนุเปกฺขนฺติ...๓
[ภิกษุทั้งหลาย ขออื่นยังมีอยูอีก ภิกษุทั้งหลาย ไมตรึกตรองไมพิจารณา
ธรรมตามที่ไดฟงไดเรียนมาดวยใจ ไมเพงดวยใจ...]
นาสังเกตวา ถา เจตสา และ มนสา ใชแทนกันไดในทุกกรณี ในที่นี้
พระองคคงจะไมตรัส มนสา ไวอีก เพราะพิจารณาในแงสัมพันธ เจตสา ก็
สามารถสัมพันธเขากับ อนุวิตกฺเกนฺติ อนุวิจาเรนฺติ อนุเปกฺขนฺติ ไดเลย
แตในที่นี้ เจตสา เปนกรณะใน อนุวิตกฺเกนฺติ และ อนุวิจาเรนฺติ สวน
มนสา เปนกรณะเปน อนุเปกฺขนฺติ
ถาพิจารณาในแงรากศัพท ทั้งสองตางกันแนนอน อยางที่เห็นปรากฏ
ชัดแลว แตทั้งสองศัพทเหมือนกันก็ตรงที่เปนมโนคณะ
๑ สัททนีติปทมาลา, หนา ๕๘๗-๕๘๘.
๒ องฺ.ปฺจก. ๒๒/๑๕๕/๑๙๘.
๓ นี้พิมพตามที่ปรากฏในมังคลัตถทีปนี สวนในพระไตรปฎก ว่า มนสานุเปกฺขนฺติ
- 27. พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๓
ในระหวางที่รอผูรูชี้แนะ ผูเขียนนี้ไดคนควาแลว พบวา ในกรณีที่ทาน
ใชศัพทในความหมายวา เพงพินิจ (คือที่ประกอบดวย อิกฺข ธาตุ) มักจะใชคู
กับ มนสา ไมใช เจตสา เชน มนสา อนุเปกฺขนฺติ หรือ มนสานุเปกฺขนฺติ๑,
มนสานุเปกฺขิตา๒ และ มนสา นั้นอรรถกถาก็แกเปน จิตฺเตน เชน
มนสานุเปกฺขิตาติ จิตฺเตน อนุเปกฺขิตา [บทวา มนสานุเปกฺขิตา
ความวา พิจารณาดวยจิต]๓ ไมพบวาทานใช เจตสา อนุเปกฺขติ
แตในที่ทั่วไป ที่ไมใช อิกฺข ธาตุ ทานใช มนสา และ เจตสา เปน
คำอธิบายของกันและกัน เชน
มนสา ทฬฺเหนาติ ทฬฺเหน มนสา ถิรสมาธิยุตฺเตน เจตสาติ อตฺโถ๔
มนสาติ อนุทฺธเตน เจตสา๕
จากขอมูลที่นำมาแสดงนี้ สรุปไดวา ทานนิยมใช มนสา แตไมนิยมใช
เจตสา ในที่ประกอบดวย อิกฺข ธาตุ แตในที่อื่นทั้ง เจตสา และ มนสา เปน
คำอธิบายของกันและกัน
ยตสฺสา วิมุตฺตายตนภาโว (มงฺคล. ๒/๕๒/๔๕)
ยตสฺสา [ยโต อสฺสา]; นักเรียนสงสัยวาทำไมทานแปล ยตสฺสา วา
เพราะ, จึงไดคนควาแลวบันทึกไวดังนี้
ในหนังสือหนังสือมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๕๒ หนา ๔๕ ปรากฏ
ขอความวา
๑ องฺ.ปฺจก. ๒๒/๑๕๕/๑๙๘.
๒ ม.มู. ๑๒/๓๗๐/๓๙๖; ม.อ. ๒/๔๑๙.
๓ ม.อ. ๒/๔๑๙.
๔ ขุทฺทก.อ. ๑/๒๔๕.
๕ องฺ.อ. ๒/๓๑๐.
- 28. มังคลัตถวิภาวินี
๑๔
อยฺหีติอาทิ ตสฺส เทสนาย ตาทิสสฺส ปุคฺคลสฺส ยถาวุตฺตสมาธิปฺปฏิ-
ลาภสฺส การณภาววิภาวนํ ยตสฺสา วิมุตฺตายตนภาโว ฯ
ขอความนี้ทานนำมาจากฎีกาวิมุตติสูตร จึงควรตามไปดูคัมภีรฎีกาที่
ทานอางวาตรงกันหรือแตกตางกันอยางไร
หลังจากไปคนดูฎีกาวิมุตติสูตร ฉบับที่ มจร. พิมพใชกันในปจจุบัน
พบวาขอความแตกตางกับที่ปรากฏในมังคลัตถทีปนี ขอความในฎีกาวา
อยํ หีติอาทิ ตสฺสํ เทสนายํ ตาทิสสฺส ปุคฺคลสฺส ยถาวุตฺตสมาธิปฏิ-
ลาภสฺส การณภาววิภาวนํ ยํ ตถา วิมุตฺตายตนภาโว ฯ๑
นาสังเกตวา ขอความในมังคลัตถทีปนีกับในฎีกาวิมุตติสูตรฉบับ มจร.
ที่ทานอางถึง ไมตรงกัน อยางนอย ๒ แหง คือ
๑. มังคลัตถทีปนีวา ตสฺส เทสนาย/ ฎีกาวา ตสฺสํ เทสนายํ
๒. มังคลัตถทีปนีวา ยตสฺสา/ ฎีกาวา ยํ ตถา
แตในหลักสูตรบาลีสนามหลวงทานมุงใหนักเรียนแปลเฉพาะใน
หนังสือเรียน จึงมุงไปที่ขอความในหนังสือเรียนนั้นเลย โดยไมตองกังวล
ขอความในฎีกา, ขอนำขอความในมังคลัตถทีปนีดังกลาว มาแสดงซ้ำอีก
และทานแปลวา
อยฺหีติอาทิ ตสฺส เทสนาย ตาทิสสฺส ปุคฺคลสฺส ยถาวุตฺตสมาธิปฺปฏิ-
ลาภสฺส การณภาววิภาวนํ ยตสฺสา วิมุตฺตายตนภาโว ฯ
[คำวา อยฺหิ ดังนี้เปนตน เปนเครื่องประกาศความที่เทศนาของภิกษุ
นั้นเปนเหตุใหบุคคลเชนนั้นไดสมาธิตามที่กลาวแลว เพราะเทศนานั้นเปน
เหตุแหงวิมุติ]
๑ องฺ.ฏี. ๓/๑๓ (สารตฺถมฺชุสา); พระสูตรนี้มาใน ปาฎิกวรรค ทีฆนิกาย อีกแหง;
ฎีกาทีฆนิกาย (ที.ฏี.๓/๓๑๖) นั้นวา อยฺหีติอาทิ ตสฺสา เทสนาย ตาทิสสฺส ปุคฺคลสฺส
ยถาวุตฺตสมาธิ ปฏิลาภสฺส การณภาววิภาวนํ. ตสฺส วิมุตฺตายตนภาโว.
- 29. พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๕
ยตสฺสา ทานแปลวา เพราะ (เทศนานั้น), ผูเขียนนี้ ไดคนควาแลว
สันนิษฐานวา ยตสฺสา มีความหมายเทากับคำวา ยโต อสฺสา, ที่สันนิษฐาน
เชนนี้ เพราะขอความลักษณะเดียวกันทานแสดงไวในอรรถกถาวินัย คือ
คัมภีรสมันตปาสาทิกา ภาคที่ ๒ หนา ๒๐๕ วา
ยตสฺส จีวรเจตาปนํ อาภฏนฺติ ยโต ราชโต วา ราชโภคฺคโต วา
อสฺส ภิกฺขุโน จีวรเจตาปนํ อานีตํ ฯ
[ขอวา ยตสฺส จีวรเจตาปนํ อาภฏํ มีความวา ทรัพยสำหรับจายจีวร
ที่เขานำมาเพื่อภิกษุนั้น จากพระราชา หรือจากราชอำมาตยใด]
พึงสังเกตวา ทานอธิบาย ยตสฺส เปน ยโต อสฺส ฉะนั้น ในอรรถโยชนา
วินัย ภาคที่ ๑ หนา ๕๔๗ ทานจึงอธิบายไววา
ยตสฺสาติ ยโต อสฺส ฯ ปฺจมฺยตฺเถ โตปจฺจโยติ อาจริยา กเถนฺติ ฯ๑
[คำวา ยตสฺส ตัดบทเปน ยโต อสฺส ฯ อาจารยทั้งหลายบอกวา ลง โต ปจจัย
ในอรรถปญจมีวิภัตติ]
สอดคลองกับคัมภีรอภิธานวรรณนา คาถาที่ ๑๑๔๕ วา ยโต เปน
นิบาต ใชในอรรถการณะ๒
ขอสันนิษฐานที่วา ยตสฺสา ตัดบทเปน ยโต อสฺสา จึงไมผิดแน และ
ยโต ลงในอรรถปญจมีวิภัตติ คือลงในอรรถเหตุ หรือ การณะ เมื่อแปลลม
มาที่ประโยค ย จึงแปล ยโต วา เพราะ (ลม ย-ต จึงไมแปลวา ใด-นั้น)
ฉะนั้น จึงแนใจวา คำวา ยตสฺสา วิมุตฺตายตนภาโว มีรูปประโยคเปน
ยโต (คือ ยสฺมา) อสฺสา เทสนาย วิมุตฺตายตนภาโว แปลวา “เพราะเทศนา
นั้นเปนเหตุแหงวิมุติ” ผูศึกษาพึงพิจารณาดูเถิด
๑ วินย.อ. ๒/๒๐๕; วินย. โย. ๑/๕๔๗.
๒ พระมหาสมปอง มุทิโต, อภิธานวรรณนา, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: บริษัท
ประยูรวงศพริ้นทติ้ง, ๒๕๔๗), หนา ๑๐๗๐.
- 30. มังคลัตถวิภาวินี
๑๖
ธมฺมจริยากถา
-๐-
ติวิธํ : วิภัตติและวจนะวิปลาส (มงฺคล. ๒/๕๕/๔๖)
ในขอความวา µÔÇÔ¸™ ⢠¤Ë»µâ ¡Ò๠¸ÁÚÁ¨ÃÔÂÊÁ¨ÃÔÂÒ â˵Ô
[ดูกอนพราหมณและคฤหบดีทั้งหลาย ธรรมจริยสมจริยาทางกายมี ๓ อยาง]
ทานอธิบายไวในขอ ๗๐ หนา ๖๑ วา ติวิธํ ศัพทนี้ มีวิภัตติและวจนะ
วิปลาส เปนปฐมาวิภัตติ เอกวจนะ แตวาโดยความหมาย เปนตติยาวิภัตติ
พหุวจนะ และ วิธ ใชในอรรถวา สวน จึงแปลวา มี ๓ อยาง (๓ สวน)
วิธ ศัพท มีความหมาย ๓ อยาง ไดแก มานะ ความถือตัว ปการะ
ประการหรือรูปพรรณสัณฐาน และ โกฏฐาสะ สวน๑
เถยฺยสงฺขาตํ ใช้ในอรรถกรณะ (มงฺคล.๒/๕๕/๔๗)
เถยฺยสงฺขาตํ เปนปฐมาวิภัตติ ใชในอรรถตติยาวิภัตติ แปลวา “ดวย
สวนจิตคิดขโมย” หรือ “ดวยสวนจิตเปนเหตุขโมย”
ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๕๕ หนา ๔๗ ทานนำขอความใน
สาเลยยกสูตรมาแสดงวา
Â¹Úµí »ÃÊÚÊ »ÃÇÔµÚµÙ»¡Ã³í ¤ÒÁ¤µí ÇÒ ÍÃÚ¤µí ÇÒ ¹ µí
Í·Ô¹Ú¹í à¶ÂÚÂʧڢҵí ÍÒ·ÒµÒ â˵Ô๒
[ทรัพยเปนอุปกรณเครื่องปลื้มใจของบุคคลอื่นนั้นใด ที่อยูในบานหรือ
ในปา ยอมเปนผูไมถือเอาทรัพยนั้นที่เขาไมใหแลว ดวยสวนจิตคิดขโมย
(หรือดวยสวนจิตเปนเหตุขโมย)]
นักศึกษาพึงดูคำอธิบาย ที่พระอรรถกถาจารยอธิบายไว ในหนังสือ
มังคลัตถทีปนีนี้ ขอ ๕๘ หนา ๕๑ วา
๑ อภิธานวรรณนา, คาถา ๘๔๖ หนา ๙๙๓.
๒ ม.มู. ๑๒/๔๘๔/๕๑๙.
- 31. พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๗
กรณตฺเถ เจตํ ปจฺจตฺตวจนํ ตสฺมา เถยฺยสงฺขาเตนาติ อตฺถโต
·¯Ú€¾Ú¾í [คำวา เถยฺยสงฺขาตํ นั่น เปนปฐมาวิภัตติ ใชในอรรถกรณะ ฉะนั้น
โดยใจความ นักศึกษาพึงเห็นวา ดวยสวนจิตเปนเหตุขโมย]
สงฺขาต ศัพทในที่นี้ มีความหมายเทากับคำวา ⡯ڀÒÊ จึงแปลวา
“สวน” ไมควรแปลวา “กลาวคือ”
ฉะนั้น จึงตองแปล เถยฺยสงฺขาตํ วา ดวยสวนจิตเปนเหตุขโมย ไมควร
แปลวา กลาวคือความเปนขโมย
โปรี (มงฺคล. ๒/๕๕/๔๘)
โปรี ทานวิเคราะหไวในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๖๑ หนา ๕๕ วา
¤Ø³»ÃԻسڳµÒ »Øàà ÀÇÒµÔ â»ÃÕ Ï »Øàà ʙDZڲ¹ÒÃÕ ÇÔ ÊØ¡ØÁÒÃÒµÔ»Ô
â»ÃÕ Ï »ØÃÊÚÊ àÍÊÒµÔ»Ô â»ÃÕ ฯ๑
โปรี ลง อี ปจจัย (ในตัทธิต) หลัง ปุร ศัพท แทนเนื้อความวา เปนอยู
มีอยูในที่นั้น เปนตน๒
ยิฏํ : ต ปัจจัยใช้เป็นนามนาม (มงฺคล. ๒/๕๕/๔๘)
ÂÔ¯Ú€í [ยชฺ+ต+สิ] การบูชา, วัตถุอันเขาบูชาแลว (เอา ชฺ กับ ต เปน
, อ ที่ ย เปน อิ)๓ ต ปจจัยในที่นี้ใชเปนภาวสาธนะ เปนนามนาม
จึงแปลวา การบูชา เชน คมนํ คตํ การไป
แมคำวา หุตํ-การบวงสรวง (หุ ธาตุในการเซนไหว) ก็พึงทราบวา ลง
ต ปจจัยใชเปนภาวสาธนะ (มงฺคล.๒/๕๕/๔๘)
๑ ที.อ. ๑/๑๑๘.
๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๗๘๔ หนา ๗๘๑.
๓ กจฺจายน. สูตร ๕๗๓, ๖๑๐, สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๑๗๖, ๑๒๑๕.
- 32. มังคลัตถวิภาวินี
๑๘
อภิญฺา สจฺฉิกตฺวา: วัณณสนธิ (มงฺคล.๒/๕๕/๔๘)
ÍÀÔÚÒ ในขอวา ÊÂí ÍÀÔÚÒ Ê¨Ú©Ô¡µÚÇÒ »àÇà·¹ÚµÔ เปน
ตติยาวิภัตติ แปลวา ดวยปญญาอันยิ่ง, ลบ ย ที่ ÍÀÔÚÒÂ ดังที่ทานแสดง
ไวในสัททนีติสุตตมาลา วา ในพระบาลีมีการลบอักษรและเปลี่ยนอักษรไป
จากเดิม เพื่อใหออกเสียงไดงาย๑
ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๕๕ หนา ๔๘ ทานนำขอความ
ในสาเลยยกสูตรมาแสดงวา
อตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฏิปนฺนา เย
อิมฺจ โลกํ ปรฺจ โลกํ สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺติ๒
[สมณพราหมณผูดำเนินไปดีแลว ผูปฏิบัติชอบ ผูประกาศ
ทำใหแจงซึ่งโลกนี้และโลกหนาดวยปญญาอันยิ่งเองมีอยูในโลก]
คำวา ÍÀÔÚÒ ในที่นี้ใชในอรรถตติยาวิภัตติ นักศึกษาควรดูขอความ
ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๖๖ ในที่นั้น ทานแก ÍÀÔÚÒ วา »ÚÒÂ
ดังขอความวา
สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวาติ เย อิมฺจ โลกํ ปรฺจ โลกํ
อภิวิสิาย ปฺาย สพฺพํ ปจฺจกฺขํ กตฺวา ปเวเทนฺติ เต นตฺถิ
สวนในอรรถกถาวินัยทานอธิบายขอความนี้ไวชัดเจนทีเดียววา
สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทตีติ เอตฺถ ปน...อภิฺาติ
อภิฺาย อธิเกน าเณน ตฺวาติ อตฺโถ ฯ๓
[สวนในขอวา สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ นี้มีวินิจฉัยวา
...คำวาอภิฺา ความวา รูดวยปญญาอันยิ่ง คือ ดวยญาณอันยิ่ง]
๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๑๖๐ หนา ๑๓๕.
๒ ม.มู. ๑๒/๔๘๔/๕๒๐.
๓ วินย.อ. ๑/๑๓๔.
- 33. พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๑๙
ฉะนั้น อภิฺา ในที่นี้ นักเรียนควรแปลวา “ดวยปญญาอันยิ่ง”
เพราะ อภิฺา ใชในอรรถแหงตติยาวิภัตติ โดยมีความหมายเทากับคำวา
อภิฺาย ปฺาย และ าเณน
นักเรียนพึงทราบวา การลบหรือเปลี่ยนอักษรในบทหนาโดยไมเชื่อม
บทหนาใหเปนบทเดียวกับบทหลัง เรียกวา วัณณสนธิ เชน
สาธุ ทสฺสนํ - สาหุ ทสฺสนํ
โส สีลวา - ส สีลวา
ปฏิสงฺขาย โยนิโส - ปฏิสงฺขา โยนิโส
อสฺสวนตาย ธมฺมสฺส - อสฺสวนตา ธมฺมสฺส๑
ปจฺจตฺตวจนํ : ชื่อพิเศษของวิภัตติทั้ง ๗ (มงฺคล.๒/๕๘/๕๑)
ปจฺจตฺตวจนํ เปนศัพทเรียก ปฐมาวิภัตติ, ในคัมภีรทั้งหลายทานมี
ศัพทเรียกวิภัตติ ครบทั้ง ๗ (รวมอาลปนะดวยเปน ๘) ดังนี้
๑. ปจฺจตฺตวจนํ = ปฐมาวิภัตติ
๒. อุปโยควจนํ = ทุติยาวิภัตติ
๓. กรณวจนํ = ตติยาวิภัตติ
๔. สมฺปทานวจนํ = จตุตถีวิภัตติ
๕. นิสฺสกฺกวจนํ = ปญจมีวิภัตติ
๖. สามิวจนํ = ฉัฏฐีวิภัตติ
๗. ภุมฺมวจนํ = สัตตมีวิภัตติ๒
ชื่อวิภัตติชุด ปฐมาวิภัตติ เปนตนนี้ นิยมใชในไวยากรณสันสกฤต แต
ในคัมภีรฝายพุทธศาสนา เชน อรรถกถา นิยมใชชุด ปจฺจตฺตวจนํ เปนตน๓
๑ พระคันธสาราภิวงศ เรียบเรียง, พระธรรมโมลี และเวทย บรรณกรกุล ชำระ,
สังวรรณนามัญชรี และ สังวรรณนานิยาม, นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช-
วิทยาลัย วิทยาเขตบาีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕, หนา ๗.
๒ สังวรรณนามัญชรี และ สังวรรณนานิยาม, หนา ๓๗.
๓ ปทรูปสิทธิมัญชรี เลม ๑, หนา ๑๑๔๑.
- 34. มังคลัตถวิภาวินี
๒๐
ในการกกัณฑ แหง ปทรูปสิทฺธิ สูตรที่ ๓๒๙ ทานวา
ปจฺจตฺตมุปโยคฺจ กรณํ สมฺปทานิยํ
นิสฺสกฺกํ สามิวจนํ ภุมฺมาลปนมมนฺติ ฯ๑
ศัพทเหลานี้ ในมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ก็มีใช เชน (ขอ/หนา)
ปจฺจตฺตวจนํ (๕๘/๕๑; ๓๖๕/๒๗๘)
อุปโยควจนํ (๓๖๕/๒๗๘; ๖๑๙/๔๗๔; ๖๒๐/๔๗๔)
กรณวจนํ (๗๐/๖๒; ๓๖๕/๒๗๘; ๖๑๙/๔๗๔ ฯลฯ)
สามิวจนํ (๗๒/๖๕)
ภุมฺมวจนํ (๕๘๙/๔๕๔)
อิตฺถนฺนามํ (มงฺคล. ๒/๕๘/๕๒)
อิตฺถนฺนามํ [อิทํ+นาม+อํ ทุติยาวิภัตติ], นาม ศัพทอยูทาย แปลง อิทํ
ในสมาส เปน อิตฺถํ๒
สุกุมารา แปลวา อ่อนโยน(มงฺคล. ๒/๖๑/๕๕)
สุกุมารา ในขอวา ปุเร สํวฑฺฒนารี วิย สุกุมาราติปิ โปรี แหงหนังสือ
มังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๖๑ หนา ๕๕ เปนคุณนาม ไมใชนามนาม จึง
ควรแปล สุกุมารา วา ออนโยน, สละสลวย ไมควรแปลวา กุมารผูดี
ที่แนะใหแปลอยางนี้ เพราะในฎีกาจูฬหัตถิปโทปมสูตร เปนตน ทาน
อธิบายวา สุกุมาราติ อผรุสตาย มุทุกา ฯ [บทวา สุกุมารา อธิบายวา ชื่อวา
เปนวาจาออนโยน เพราะเปนวาจาไมหยาบ](ดู มงฺคล. ๒/๗๗/๖๗)
๑ พระพุทธัปปยเถระ แหงชมพูทวีปตอนใต รจนา, ปทรูปสิทฺธิ, (กรุงเทพฯ: ชมรม
นิรุตติศึกษา, ๒๕๔๓), สูตร ๓๒๙ หนา ๒๑๔.
๒ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๕๒๑ หนา ๓๖๘.
- 35. พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๒๑
ปุถุวจน= พหุวจนะ(มงฺคล. ๒/๗๐/๖๑, ๖๔)
ปุถุวจนํ ใหแปลวา พหุวจนะ เชน ในหนังสือเรียน ขอ ๗๐ หนา ๖๑
ในคำวา ͵Úⶠ»¹ ¡Ã³»Ø¶ØǨ¹Çàʹ ·¯Ú€¾Úâ¾...ฯ [สวนเนื้อความบัณฑิต
พึงเห็นวาเปนตติยาวิภัตติ พหุวจนะ]
ภาวนปุสกนิทฺเทโส= กิริยาวิเสสนะ (มงฺคล. ๒/๗๐/๖๒)
ในหนังสือมังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๒ ขอ ๗๐ หนา ๖๒ ทานวา
สมนฺติ ภาวนปุสกนิทฺเทโส
[ศัพทวา สมํ เปนศัพทแสดงภาวนปุงสกลิงค]
นักเรียนสงสัยวา ภาวนปุงสกลิงค หมายถึงอะไร, ผูเขียนนี้จึงได
คนควาและบันทึกไวดังนี้
คำวา ภาวนปุสก ใชในความหมายวา กิริยาวิเสสนะ ฉะนั้น วาโดย
ความหมายทางออมนักเรียนจะแปล ภาวนปุสก วา กิริยาวิเสสนะ ก็ได
ในคัมภีรฝายศาสนานิยมใชคำวา ภาวนปุสก สวนในคัมภีรไวยากรณ
สันสกฤต นิยมใชคำวา กิริยาวิเสสนะ๑ หรือ ธาตุวิเสสนะ๒
เมื่อจะประกอบนามศัพทใหเปนกิริยาวิเสสนะนั้น ตองลงทุติยาวิภัตติ
เอกวจนะ นปุงสกลิงค เชน ใน หนังสือเรียน ขอ ๕๖ และ ขอ ๗๐ วา
สมํ จริยา สมสฺส วา กมฺมสฺส จริยาติ สมจริยา
[ความประพฤติสม่ำเสมอ หรือความประพฤติกรรมอันชอบ เพราะ
เหตุนั้น จึงชื่อวา สมจริยา]
สมนฺติ ภาวนปุสกนิทฺเทโส
[ศัพทวา สมํ เปนศัพทแสดงภาวนปุงสกลิงค (คือ กิริยาวิเสสนะ)]
๑ สัททนีติสุตตมาลา, สูตร ๕๙๐ หนา ๔๘๕.
๒ สทฺทสารตฺถชาลินี, คาถา ๗๑. พิมพรวมใน เอกตฺตึส จูฬสทฺทปฺปกรณานิ,
(กรุงเทพฯ: บริษัท ซีเอไอ เซ็นเตอร จำกัด, ๒๕๕๑), หนา ๗๔.
- 36. มังคลัตถวิภาวินี
๒๒
ชาต ศัพท์ เป็นต้น ใช้เป็น วจนสิลิฏก, สกตฺถ (มงฺคล. ๒/๗๔/๖๖)
ชาต ศัพท เปน วจนสิลิฏฐกะ คือลงไปเพื่อทำถอยคำใหไพเราะ จึงไม
จำเปนตองแปลออกศัพท เชน ในมังคลัตถทีปนี ภาค ๒ หนา ๖๖ วา
อามิสชาตํ ก็คงมีความหมายเทากับ คำวา อามิส เพราะศัพทนี้ลงทายศัพท
ใด ก็ไมทำความหมายของศัพทนั้นตางไป คือมีความหมายเทาเดิมนั่นเอง
(ลงในอรรถสกัตถะ)
ในคัมภีรนิรุตติทีปนี ทานเรียกวา อาคม๑ คือลงอักษรไปทายบท เพื่อ
ความสละสลวยของคำ (วจนสิลิก) ศัพท อักษร หรือปจจัยที่ทำหนาที่
ลักษณะนี้ เชน คต, ชาต, อนฺต, ก และ ตา๒ ปจจัย สวน ภูต นิยมลงทาย
บทเพื่อใหนามนามกลายเปนคุณนาม ทั้งหมดนี้เมื่อลงไปแลวทำใหลิงคของ
ศัพทนั้นเปลี่ยนไปบางก็มี เชน
คต ทิฏคตํ มีความหมายเทากับ ทิ
ชาต ธมฺมชาตํ ” ธมฺโม
อนฺต สุตฺตนฺโต ” สุตฺตํ
ก หีนโก ” หีโน
ตา เทวตา ” เทโว
ภูต เหตุภูตํ ” เหตุ
ตอไปนี้จะนำตัวอยางปจจัยที่ลงในอรรถสกัตถะ มาแสดงไวเปน
ความรูประกอบ
ตฺต เอกตฺตํ มีความหมายเทากับ เอโก๓
๑ พระญาณธชเถระ รจนา, สมควร ถวนนอก ปริวรรต, นิรุตติทีปนี คัมภีรวาดวย
หลักไวยากรณสายโมคคัลลานะ, (กรุงเทพฯ: ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๘), หนา ๔๔-๔๕,
และขอ ๑๘๔, ๘๓๕.
๒ เชน ปาตพฺยํ เอว ปาตพฺยตา สกตฺเถ ตาปจฺจโยฯ (วินย.โย. ๒/๒๐)
๓ ปฏิสํ.อ. ๑/๔๔๑.
- 37. พระมหานพพร อริยาโณ (สีเนย์) ๒๓
ณิก ติลสงฺกุลิกา มีความหมายเทากับ ติลสงฺกุลา๑
อิก อนนฺตรายิโก ” อนนฺตราโย๒
ณฺย กิจฺจยํ ” กิจฺจํ๓
ย ปาจิตฺติยํ ” ปาจิตฺติ๔
มย วจีมโย ” วจี๕
วิภาเวนฺติยา (มงฺคล. ๒/๗๙/๖๙)
คำวา วิภาเวนฺติยา ในที่นี้ ทานแปลวา (ดวยถอยคำ) อันจะยังผูฟงให
แจมแจง ประกอบดวย วิ บทหนา ภู ธาตุ เณ ปจจัย และ อนฺต ปจจัย
ภู ธาตุในที่นี้ ไมใช ภู ธาตุในหมวด ภู ธาตุที่แปลวา มี วาเปน แตเปน
ภู ธาตุในหมวด จุร ธาตุ แปลวา ประกาศ, ทำใหแจมแจง มีหลักทั่วไปวา ภู
ธาตุที่มี วิ เปนบทหนา ใชในอรรถวา ทำใหแจมแจง๖
เกวล ศัพท์ (มงฺคล. ๒/๘๑/๗๑)
นักเรียนคอนขางคุนเคยกับ เกวล ศัพท ที่ทานประกอบดวยทุติยา-
วิภัตติเปน เกวลํ ใชเปนกิริยาวิเสสนะ พอมาพบ เกวโล ในมังคลัตถทีปนี
ภาคที่ ๒ ขอ ๘๒ หนา ๗๑ ก็รูสึกแปลกตา, ที่จริง เกวล ศัพท เปนไดทั้ง
คุณนามและนามนาม แตในที่นี้ทานใชเปนคุณนาม
๑ วินย.โย. ๒/๓๗๕.
๒ วินย.โย. ๒/๓๙๓.
๓ วินย.โย. ๒/๔๑๗.
๔ วินย.โย. ๒/๕๘๗.
๕ ปฺจิกา.โย. ๓/๔๔๓.
๖ ธาตวัตถสังคหปาฐนิสสยะ, คาถา ๒๗๓ หนา ๒๙๕.
- 38. มังคลัตถวิภาวินี
๒๔
ในคัมภีรอภิธานวรรณนา คาถาที่ ๗๘๖ ทานวา เกวล ศัพทใชใน
อรรถ ๖ อยาง คือ (๑) เยภุยฺยตา มาก (๒) อัพยามิสสะ ไมปนกัน (๓) วิสัง-
โยคะ แยกกัน (๔) ทัฬหะ มั่นคง (๕) อนติเรกะ ไมเกินประมาณ (๖) อนวเสสะ
ทั้งหมด
เกวล ศัพท ที่เปนคุณนาม แจกดวยวิภัตตินามได จึงเห็น เกวล ศัพท
ในรูปตางๆ เชน เกวโล, เกวลํ, เกวเลน, เกวลสฺส, เกวลานํ
ตัวอยาง เกวล ศัพท ที่เปนคุณนาม เชน เกวโล อพฺยามิสฺโส สกโล
ปริปุณฺโณ ภิกฺขุธมฺโม กถิโต๑
ในตัวอยางดังกลาวนี้ เกวล ศัพทแปลวา ไมปนกัน, ทั้งหมด, บริบูรณ
สวนในคัมภีรอรรถโยชนา ชื่ออภิธัมมัตถวิภาวินีปญจิกา ที่นักเรียนมัก
เรียกวา โยชนาอภิธรรม ภาคที่ ๑ วา เกวล ประกอบดวย เกว ธาตุ (ชนเน)
และ อล ปจจัย๒
ขอนำขอความในโยชนาอภิธรรมดังกลาวนั้นมาเสนอตอผูรูใหรวมกัน
พิจารณาวา เกว ชนเน วชาทีหิ ปพฺพชาทโย๓ นิปจฺจนฺเตติ อโล แปลเทาที่
เห็นศัพทวา เกว ธาตุ ในความเกิด อล ปจจัย (โดยทำตามวิธีแหงกัจจายน-
สูตรที่ ๖๓๘ และปทรูปสิทธิ สูตรที่ ๖๖๐ วา) ศัพทวา ปพฺพชา เปนตน
ทานใหสำเร็จดวย วช ธาตุ เปนตน
สวน เกวล ศัพท ที่เปนนามนาม เปนชื่อหนึ่งของพระนิพพาน เปน
นปุงสกลิงค (ดู อภิธานวรรณนา คาถาที่ ๘) บางอาจารยอธิบายวา สํสาเรหิ
๑ สุตฺต.อ. ๒/๒๖๔.
๒ พระญาณกิตติเถระ แหงเชียงใหม, อภิธมฺมตฺถวิภาวินิยา ปฺจิกา นาม อตฺถ-
โยชนา, (พิมพครั้งที่ ๗, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หนา ๒๖๗.
๓ ในกัจจายนสูตรและปทรูปสิทธิ ที่อางถึง เปน ปพฺพชฺชาทโย (ซอน ชฺ)