ต้นสัก
- 1. ต้นสัก
สัก เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ผลัดใบในฤดูร้อน ลาต้นเปลาตรงเปลือกเรียบหรือแตกเป็นร่อง
เล็ก ๆ สีเทา โคนเป็นพูพอนต่า ๆ เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกลมค่อนข้างทึบ เปลือกสีเทา
เรียบ หรือแตกเป็นร่องตื้นตามความยาวลาต้น ขึ้นเป็นหมู่ในป่าเบญจพรรณทาง
ภาคเหนือ บางส่วนในภาคกลางและภาคตะวันตก มีอยู่บ้างทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
สักมักจะได้รับความเข้าใจผิดเสมอว่าเป็นไม้เนื้อแข็งเนื่องจากว่ามันมีลักษณะพิเศษที่เป็น
ไม้เนื้ออ่อนที่มีความทนทานกว่าไม้เนื้อแข็งหลาย ๆ ชนิด
- 2. ไม้สักนิยมใช้ก่อสร้างอาคารบ้านเรือนมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะทนต่อปลวกและมอดได้ดี เนื่องจากเนื้อ
ไม้สักมีสารเคมีชนิดพิเศษที่เรียกว่า O-cresyl methyl ether ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ของกรมป่า
ไม้ได้ศึกษาพบว่า หากนาสารชนิดดังกล่าวมาทาหรืออาบไม้ จะช่วยทาให้ไม้คงทนต่อ ปลวก แมลง เห็ดรา
ได้อย่างดียิ่งขึ้น
กรมป่าไม้จัดกลุ่มไม้สักอยู่ในประเภทไม้เนื้อแข็ง เพราะไม้สักนั้นมีความแข็งแรงมากว่า 1,000 กิโลกรัม/
ตารางเซนติเมตร และมีความทนทานตามธรรมชาติ จากการทดลองนาส่วนที่เป็นแก่นของไม้สักไป
ทดลองปักดิน ปรากฏว่า มีความทนทานตามธรรมชาติเกินกว่า 10 ปี (ระหว่าง 11-18 ปี)
คุณสมบัติเด่นของไม้สัก
- 3. การเพาะเมล็ด
นาเมล็ดแช่น้า 2 วัน สลับผึ่งแดด 1 วัน รวม 15 วัน แล้วหว่านในแปลงเพาะให้กระจัดกระจายทั่วกัน
กลบด้วยวัสดุเพาะชา สูงประมาณ 3-5 มิลลิเมตร หรืออาจทาร่องแล้วหว่านลงในร่องจะสะดวกในการกลบ
และเมล็ดจะงอกอย่างเป็นระเบียบ แปลงเพาะควรอยู่กลางแจ้ง เมล็ดสักจะงอกไม่พร้อมกัน บางเมล็ดงอก
ภายใน 3 สัปดาห์ บางเมล็ด 2 ปีจึงงอก
การปักชา
เลือกไม้สายพันธุ์ดีที่ต้องการขยายพันธุ์ (ต้นแม่พันธุ์) เลือกตัดชิ้นส่วนของไม้ที่พัฒนาเป็นกล้าไม้ได้ง่าย
นาไปกระตุ้นการออกรากและลาต้นด้วยสารเคมี (สารเคมีมีขายตามท้องตลาด)
นาส่วนของพืชที่ได้รับการกระตุ้นแล้วไปไว้ในโรงเรือนที่สามารถควบคุมความชื้นและอุณหภูมิได้ และดูแล
จนกว่าส่วนของพืชที่นามาปักชาจะสร้างรากและลาต้น นากล้าไม้ที่ออกรากและลาต้นไปอนุบาลจนกล้าไม้
เริ่มแข็งแรง นากล้าไม้ออกไปกลางแจ้งเพื่อให้กล้าไม้ปรับตัวและแข็งแรงพอที่จะนาไปปลูกได้
การขยายพันธุ์
- 4. มล็ดไม้สักจะนามาเตรียมเพาะกล้าเพื่อปลูกสร้างสวนป่า ควรเลือกเก็บจากแหล่งไม้สักที่มีลักษณะดีในป่าธรรมธรรมชาติ หรือ
จากสวนผลิตเมล็ตพันธุ์ไม้สักที่จัดทาขึ้นเท่านั้น ไม้สักที่ควรเก็บเมล็ดมาใช้เพาะเพื่อเตรียมกล้าไม้ควรมีอายุตั้งแต่ 15 ปี และมี
ความโตทางเส้นรอบวงตั้งแต่ 100 เซนติเมตรขึ้นไป
การเก็บเมล็ดไม้สักจากต้นสักในป่าธรรมชาติทั่ว ๆไป โดยไม่มีการคิดเลือกอาจจะทาให้ได้พันธุ์ไม่ดีมาปลูก ทาให้การปลุก
สร้างสวนป่าไม่ประสมผลสาเร็จเท่าที่ควร คือ ต้นไม้โตช้า รูปทรงไม่ดี แตกกิ่งก้านมาก เป็นต้น โดยทั่วไปผลไม้สักจะแก่ราว
เดือนพฤษจิกายน-มกราคม และร่วงหล่นไปตลอดฤดูแล้ง ดังนี้ การเก็บเมล็ดสักจึงสามารถดาเนินการได้ในช่วงเวลาดังกล่าว
โดยเก็บตามโคนต้น หรือปีนขึ้นไปเก็บผลที่แก่แล้วบนต้น
การเก็บเมล็ดไม้สัก
- 5. การเพาะเมล็ดไม้สักจานวนมาก ๆ ต้องทาแปลงเพาะขนาดมาตรฐาน ควรมีความกว้าง 1.10 เมตร ความยาวตามความ
เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ แต่ถ้าเป็นการเพาะกล้าไม้จานวนน้อยจะเพาะในกระบะก่อน แล้วจึงย้ายลงในแปลงเพาะในภายหลังก็ได้
ดินในแปลงเพาะควรเป็นดินร่วนปนทราย และเนื่องจากเมล็ดไม้สักอยู่ในผลที่มีเปลือกหนาและแข็งมาก ทาให้ใช้เวลาการงอก
ช้ามาก การนาเมล็ดแช่น้านาน 72 ชั่วโมงก่อนนาไปเพาะจะช่วยให้งอกเร็วขึ้น
ควรทาแนวลึกลงบนแปลงเพาะตามความยาวแปลงเพาะ แต่ละแนวห่างกันประมาณ 10 เซนติเมตร แล้วโรยเมล็ดสักลงตาม
แนว กลบเมล็ดด้วยดินร่วน ทรายหยาบ หรือ ทรายผสมขี้เลื่อยหนาไม่เกิน 2 เซนติเมตร รดน้าทุกวันในช่วงที่ฝนไม่ตก
หลังจากนาเมล็ดสักลงเพาะในแปลงเพาะประมาณ 10-15 วัน กล้าไม้ก็จะงอกงาม
ควรจะมีการป้ องกันกาจัดไม่ให้วัชพืชขึ้นคลุม หรือแย่งอาหารในดินจากกล้าไม้สักที่กาลังงอก โดยปกติ จะทาหลังจากการรดน้า
กล้าไม้เสร็จใหม่ ๆ เพราะดินในแปลงเพาะยังอ่อนอยู่จะทาให้ถอนวัชพืชง่ายขึ้น หากพบว่ามีโรคและแมลงรบกวน โดยเฉพาะ
หนอนผีเสื้อกัดกินใบสัก และหนอนผีเสื้อกินผิวใบสัก ต้องรีบป้ องกันและกาจัดโดยใช้ยาฆ่าแมลงพ่นทาลายเสีย และในระหว่าง
การเจริญเติบโต ถ้าสังเกตุเห็นว่ากล้าไม้สักโตไม่ได้ขนาดปลูก ก็ใช้ปุ๋ยช่วยเร่งทางใบและทางราก
การเพาะเมล็ดไม้สัก
- 6. ลาต้น : เป็นเปลาตรงเปลือกเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็ก ๆ สีเทา โคนเป็นพูพอนต่า ๆ
ใบ : เป็นใบเดี่ยวใหญ่มาก ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ปลายใบแหลมโคนมน ยาว 25 - 30
เซนติเมตร กว้างเกือบเท่ายาว ใบของต้นอ่อนจะใหญ่กว่า นี้มาก ผิวใบขนสากคายสีเขียวเข้ม
ขยี้ใบสดจะมีสีแดงเหมือนเลือด
ดอก : มีขนาดเล็ก สีขาวนวลออกเป็นช่อตาม ปลายกิ่ง ออกดอกและเป็นผลเดือน มิถุนายน
- ตุลาคม
ผล : เป็นผลแห้งค่อนข้างกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร เปลือกแข็ง ภายในมี
1 - 3 เมล็ด
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- 7. ในด้านการใช้ประโยชน์จากไม้สัก จะมีการแบ่งคุณลักษณะของไม้สักโดยพิจารณาจากสีของเนื้อไม้ ความแข็ง ความ
เหนียว และการตกแต่งของเนื้อไม้ ออกเป็น 5 ชนิด ได้แก่[2]
ไม้สักทอง – เนื้อไม้เป็นสีน้าตาลทอง เสี้ยนไม้ตรง ตกแต่งได้ง่าย[2]
ไม้สักหิน – เนื้อไม้เป็นสีน้าตาลหรือสีจาง ตกแต่งได้ง่าย[2]
ไม้สักหยวก – เนื้อไม้เป็นสีน้าตาลอ่อนหรือสีจาง ตกแต่งได้ง่าย[2]
ไม้สักไข่ – เนื้อไม้เป็นสีน้าตาลเข้มปนสีเหลืองและมีไขปนอยู่ ตกแต่งและทาสีได้ยาก[2]
ไม้สักขี้ควาย – เนื้อไม้เป็นสีเขียวปนสีน้าตาล น้าตาลดาดูเป็นสีเลอะ ๆ[2]
สาหรับไม้สักที่นามาใช้ทาเฟอร์นิเจอร์จะแบ่งเป็น 3 เกรด คือ
ไม้สักเกรดเอ หรือ ไม้เรือนเก่า – ไม้สักเกรดนี้จะได้มาจากการรื้อถอนจากบ้านเก่า มีราคาสูง ความชื้นต่า เพราะ
เนื้อไม้แห้ง สีค่อนข้างสวย ไม้จะหดตัวได้น้อยมาก และเนื้อไม้จะเป็นสีน้าตาลทองเข้ม
ไม้สักเกรดบี หรือ ไม้ออป. หรือ ไม้สักสวนป่า (“ออป.” ย่อมาจาก องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้) – จัดเป็นไม้สัก
ที่มีคุณภาพดีพอสมควรเพราะปลูกในพื้นที่ภูเขา การหดตัวมีน้อย แก่นไม้เยอะกว่าไม้นส. สีเนื้อไม้เข้มกว่าไม้นส.
ไม้สักเกรดซี หรือ ไม้นส. (“นส.” ย่อมาจาก หนังสือแสดงสิทธิทากิน (นส.3)) – เป็นไม้สักที่มีปลูกในพื้นที่ของ
เอกชนหรือประชาชนทั่วไป ไม้มีคุณภาพปานกลาง มีกาดหดตัวมากกว่าไม้ออป. สีเนื้อไม้อ่อนออกเหลืองนวล และ
แก่นไม้มีน้อยกว่าไม้ออป.
ชนิดของไม้สัก
- 8. 1. ใบนามาต้มกับน้ารับประทานเป็นยาลดระดับน้าตาลในเลือด (ใบ)[3]
2. เนื้อไม้และใบมีรสเผ็ดเล็กน้อย สรรพคุณเป็นยาบารุงโลหิต (เนื้อไม้,ใบ)[3]
3. ใบมีรสเผ็ดเล็กน้อย มีสรรพคุณเป็นยาแก้พิษโลหิต (ใบ)[3]
4. ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย (เนื้อไม้)[3]
5. เปลือกไม้มีสรรพคุณแก้อาการปวดศีรษะ (เปลือกไม้)[1]
6. เมล็ดใช้เป็นยารักษาโรคตา (เมล็ด)[1]
7. ใบใช้ทาเป็นยาอมแก้เจ็บคอ (ใบ)[3]
8. ช่วยแก้ไข้คุมธาตุในร่างกาย (เนื้อไม้)[3]
9. เนื้อไม้ใช้รับประทานเป็นยาขับลมได้ดีมาก ส่วนใบก็มีสรรพคุณเป็นยาขับลมเช่นกัน (เนื้อไม้,ใบ)[3]
10.เนื้อไม้มีสรรพคุณเป็นยาขับพยาธิ (เนื้อไม้)[3]
11.เนื้อไม้ ใบ และดอกมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ (เนื้อไม้,ใบ,ดอก)[3]
12.ใบใช้เป็นยาแก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ (ใบ)[3]
13.ช่วยรักษาประจาเดือนไม่ปกติ (ใบ)[3]
14.ช่วยรักษาโรคผิวหนัง (เนื้อไม้)[3]
15.เปลือกมีสรรพคุณเป็นยาฝาดสมาน (เปลือก)[3]
16.เปลือกไม้มีสรรพคุช่วยบรรเทาอาการบวม (เปลือกไม้)[1] ส่วนเนื้อไม้มีสรรพคุณเป็นยาแก้บวม (เนื้อไม้)[3]
17.ช่วยแก้ลมในกระดูก (เนื้อไม้)[3]
สรรพคุณของสัก
- 9. ไม้สัก มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Teak และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tectona grandis อยู่ในวงค์
Verbenaceae มีถิ่นกาเนิดอยู่ในตอนใต้ของประเทศอินเดีย พม่า ไทย อินโดนีเซีย และหมู่เกาะอินเดีย
ตะวันออก
ไม้สัก เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ขึ้นเป็นหมู่ในป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือของประเทศไทย รวมถึงบางส่วนของภาค
กลางและตะวันตก คือ ในท้องที่จังหวัดแพร่ น่าน ตาก กาแพงเพชร สาปาง ย เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุ
โขทั แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ สาพูน เชียงราย และพิจิตรและมีบ้างเล็กน้อยในจังหวัด อุทัยธานี นครสวรรค์ และ
กาญจนบุรี
ไม้สัก ชอบขึ้นตามพื้นที่ที่เป็นภูเขา แต่ในพื้นที่ราบก็มีข้อมูลการเจริญเติบโดของไม้สักดีเช่นเดียวกัน ในพื้นที่ที่เป็น
ดินปนทรายแต่น้าไม่ขัง ไม้สักมักขึ้นเป็นหมู่ไม้สักล้วน ๆ และมีไม้ขนาดใหญ่ ไม้สักชอบพื้นที่ที่มีชั้นดินลึก ไม่ชอบ
ดินแข็งและน้าท่วมขัง กล่าวคือต้องมีการระบายน้าที่ดีด้วย
ไม้สัก ขึ้นได้ดีในดินที่เกิดจากหินหลายชนิด แต่ว่าสิ่งที่ทาให้มีการเจริญงอกงามแตกต่างกันคือความลึก การระบาย
น้า ความชื้น และความอุดมสมบูรณ์ ของดินนั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ที่มีดินที่เกิดจากหินปูนซึ่งแตกแยก
ผุผังจนกลายเป็นดินร่วนที่ลึก ต้นไม้เหล่านี้จะชอบมากและเจริญเติบโตได้อย่างเร็วและสมบูรณ์ ไม้สักชอบดินที่มี
ความเป็นกลางและด่างเล็กน้อย หรือให้เปรียบเป็นค่า pH ระหว่าง 6.5-7.5 ก็จะเป็นช่วงที่ดีที่สุด ปริมาณน้าฝนที่
ไม้สักต้องการ ระหว่าง 1,200-2,000มม. ต่อปี ซึ่งถือว่าไม่น้อยไม่เยอะสาหรับไม้ยืนต้นเลย ความสูงจาก
ระดับน้าทะเลวัดจากระดับปานกลางไม่เกิน 0.7 กิโลเมตร และมีฤดูแล้งแยกจากฤดูฝนชัดเจนประมาณ 1 -2 เดือน
จะทาให้ไม้สักมีลวดลายสวยงามเหมาะแก่การนาไปแปรรูปทาเฟอร์นิเจอร์ต่อไป
ถิ่นกาเนิดของไม้สัก
- 10. 1.การแผ้วถางวัชพืช ควรกาจัดวัชพืชให้โล่งเตียนตลอดเวลา เพื่อลดการแก่งแย่งธาตุอาหารในดิน และ
เบียดบังแสงแดดซึ่งจาเป็นต่อการเจริญเติบโต และยังช่วยป้ องกันไฟป่ าอันอาจจะเกิดขึ้นในูดลแล้งได้ด้วย
2.การใส่ปุ๋ ย ในพื้นที่ที่มีดินเลวควรใส่ปุ๋ ยเพื่อเร่งการเจริญเติบโตในระยะแรก ๆ โดยใส่ปุ๋ ยสลตร 15-15-
15 หรือ 22-11-11 ใส่ต้นไม้ปีละ 1-2 ครั้ง โดยปีแรกใส่ครั้งละ 25 กรัม ต่อต้น ปีที่ 2 ใส่ 50 กรัม ต่อ
ต้น ปีที่ 3 ใส่ 75 กรัม ต่อต้น ปีที่ 4-5 ใส่ประมาณ 100 กรัม ต่อต้น หากใช้ปุ๋ ยเคมีร่วมกับปุ๋ ยคอกหรือ
ปุ๋ ยหมักด้วย ก็จะทาให้โครงสร้างของดินดีขึ้น
3.การป้ องกันไฟป่ า โดยทาทางตรวจการและแนวป้ องกันไฟรอบ ๆ แปลง และควบคุมวัชพืช ซึ่งเป็น
เชื้อเพลิงในบริเวณสวนให้เตียนตลอดูดลแล้ง เพราะหากเกิดไฟป่ าในสวนสักจะทาให้ต้นไม้ที่ยังเล็กอยล่
ได้รับความเสียหายได้
4.การป้ องกันโรคและแมลง โรคที่พบส่วนใหญ่ในต้นสักขนาดเล็ก คือ โรคเน่าคอดิน ซึ่งทาให้ต้นตายได้
เกิดจากดินมีความชื้นสลงเกินไป หรือน้าท่วมขัง การแก้ไขโดยขจัดระบบการระบายน้าให้ดีหรือหลีกเลี่ยง
การปลลกบริเวณที่ลุ่ม น้าท่วมขังได้ง่าย
5.เมื่อต้นไม้มีอายุมากขึ้นและขนาดโตขึ้น ควรมีการผลิตและตกแต่งกิ่งเพื่อให้ลาต้นสวยงาม การตัดสาง
ขยายระยะเพื่อเปิดโอกาสให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้เต็มที่
การบารุงรักษาต้นสัก