SlideShare a Scribd company logo
1 of 69
สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่เป็นเอกลักษณ์เด่นของชาติในประเทศมาเลเซีย
1. อุทยานแห่งชาติกูนุงมูลู 
(Gunung Mulu National Park)
คงไม่เกินจริงเลยสักนิด หากจะบอกว่าอุทยานแห่งชาติกุนุงมูลูรัฐซาราวัก คือหนึ่ง 
ในสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่งดงามที่สุดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
ด้วยหินปูนที่เรียงรายเป็นรูปแปลกตาสวยงามราวกับงานศิลปะ ทว่าเกิดขึ้นมาจากฝีมือ 
ของธรรมชาติล้วน ๆ รวมทั้งถ้า ซาราวัก ถ้า ใต้ดินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 
ซึ่งใหญ่พอจะสามารถใช้จุเครื่องบินโบอิ้ง747 จา นวน 40 ลา ได้สบาย ๆ
2. ลังกาวี (LANGKAWI ) 
ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศมาเลเซีย บริเวณทะเลอันดามัน คือ ที่ตั้ง 
ของหมู่เกาะลังกาวี ที่ประกอบไปด้วยเกาะมากถึง 99 เกาะ ซึ่งอวดโฉมความงดงาม 
ตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นชายหาด ป่าฝน ป่าชายเลน และภูเขา โดยปัจจุบันมีสิ่ง 
อา นวยความสะดวกสา หรับนักท่องเที่ยว เช่น โรงแรมและร้านอาหารไปเปิดมากขึ้น 
แล้ว ช่วยให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวครบวงโคจรเลยทีเดียว
3. ทามาน เนการา (Taman Negara) 
ที่แห่งนีไ้ด้ชื่อว่าเป็นป่าฝนเขตร้อนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ดังนัน้ 
เรื่องความอุดมสมบูรณ์ที่ได้รับการดูแลมาเป็นเวลาช้านานคงเชื่อถือได้แน่ ๆ 
ทาให้ที่นี่ เต็มไปด้วยพืชหายากนานาพันธ์ุและสัตว์ป่ามากมายหลายชนิด รวมไปถึง 
เสือมาลายัน ช้างเอเชีย และกระซู่ ทาให้ ทามาน เนการา เป็นสถานที่โปรดของคนรักการ 
ผจญภัยใกล้ชิดกับสัตว์ป่า
4. กัวลาลัมเปอร์ (KUALA LUMPUR ) 
• ไม่ต่า กว่า 200 ปีก่อน กัวลาลัมเปอร์เคยเป็นแค่เมืองขุดเหมืองของมาเลเซียเท่านั้น 
มันเป็นเมืองที่เงียบเหงา ผิดกับปัจจุบันที่มีผู้คนพลุกพล่านเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยว 
ทันสมัย ที่คนรักการสังสรรค์ต้องมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการช้อป ทานของอร่อย หรือ 
ชมวิวสูงบนตึกระฟ้า เชื่อเถอะว่าที่นี่ตอบโจทย์ของคุณได้หมดแน่นอน
5. ปีนัง (PENANG ) 
เกาะปีนังบริเวณช่องแคบมะละกา ทางตอนใต้ของชายฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือประเทศ 
มาเลเซีย คือ หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เนื่องจากเมืองจอร์จทาวน์บน 
เกาะแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน เป็นแหล่ง 
ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งก็ว่าได้ แถมจากการที่มันเป็นแหล่งขนส่งติดต่อกับ 
ชาวต่างชาติ ยังทา ให้ปีนังเต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลายอีกต่างหาก
6. กูชิง (Kuching) 
• เมืองที่ใหญ่ที่สุดในเกาะบอร์เนียว เป็นที่พักที่ดีที่สุดสา หรับนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจจะอยู่ 
ระยะยาว และเที่ยวชมมาเลเซียให้ทั่วสักหน่อย คุณสามารถแวะชมสถานที่ท่องเที่ยว 
เก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ เช่น วัดโทวเปกกง วัดจีนที่ขึ้นชื่อว่าเก่าแก่ที่สุด หรือ เดวาน อัน 
ดันกัน เนเกรี อาคารราชการที่มีรูปทรงโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
7. โคตา คินาบาลู(Kota Kinabalu) 
• บริเวณเมืองหลวงของรัฐซาบาห์นี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อมากมาย โดยเฉพาะ 
อุทยานสัตว์ป่า ลอค คาวี และอุทยานแห่งชาติคินาบาลูซึ่งมีสัตว์ป่าอย่างลิงจมูกยาว, 
ลิงอุรังอุตัง, เสือ และช้าง นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสไตล์เอาท์ดอร์ให้ทา มากมาย อาทิ 
การตั้งแคมป์, เดินป่า, ปีนเขา หรือล่องเรือก็มีครบหมด
8. คาเมรอน ไฮแลนด์ (Cameron Highlands) 
• หลบหนีจากความร้อนแล้วมาสูดอากาศบริสุทธ์ิให้เย็นชื่นใจ ที่ คาเมรอน ไฮแลนด์ บนภูเขา 
ติติวังซา ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเก่าแก่ของที่นี่ และมีบรรยากาศสวยตรึงตาตรึงใจสม 
กับที่ผู้คนชื่นชอบกันจริง ๆ โดยมีทั้งสวนดอกไม้, ไร่ชา และสวนผักผลไม้ซึ่งเปิดให้ 
นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ตามใจชอบ นอกจากนี้ การแวะชมพิพิธภัณฑ์ ไทม์ทันเนล 
เพื่อดูประวัติความเป็นมาของที่นี่ก็น่าจะช่วยให้ทริปของคุณพิเศษยิ่งขึ้น
9. มะละกา (Melaka) 
• ด้วยความที่มันมีบทบาทสา คัญในการเดินเรือระหว่างอินเดียและจีน ทา ให้มันได้รับ 
อิทธิพลจากวัฒนธรรมที่หลากหลาย จนมีสิ่งก่อสร้างจากศิลปะที่แตกต่างปะปนอยู่ 
ด้วยกัน กลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่งดงาม ทั้งวัดจีนเก่าแก่ เช็งฮุนเต็ง 
และสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของชาวดัตช์
10. โกตาบารู (Kota Bharu) 
• นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาที่นี่ไม่ขาดสายทุกปี ซึ่งโกตาบารูอยู่ใกล้เขตชายแดนบ้านเรา 
นี่เอง และสถานที่พลาดไม่ได้ของที่นี่ ก็คือ พิพิธภัณฑ์ Museum of Royal 
Traditions and Ceremonies ที่แค่ไปเห็นปราสาทไม้รวมทั้ง 
สถาปัตยกรรมเก่าแก่ของราชวงศ์ก็คุ้มค่าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตลาดกลางขนาดใหญ่ของ 
ที่นี่ยังขึ้นชื่อ น่าซื้อของกินให้จุใจอีกด้วยนะ
ตึกแฝดเปโตรนาส
ตึกแฝดเปโตรนาส เคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกสร้างโดย บริษัท 
ปิโตรเลียม เนชั่นแนล เบอร์ฮาด (Petroliam Nasional 
Berhad) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ปิโตรนาส (Petronas) เป็นบริษัท 
ผลิตและจา หน่ายน้า มันของมาเลเซีย เราสามารถยืนชมความงามของตึก 
ได้ภายนอกโดยยืนอยู่ฟากที่น้า พุกา ลังเริงระบา และสามารถเข้าไปในตึก 
เพื่อชมทิวทัศน์ของ กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur – KL) จาก 
สกายบริดจ์ (Sky Bridge) ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมระหว่างชั้นที่41 โดย 
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
อนุสาวรีย์แห่งชาติมาเลเซีย
อนุสาวรีย์แห่งชาติมาเลเซีย หรืออนุสาวรีย์ทหารอาสา สร้างขึ้นเพื่อราลึกถึง 
ทหารหาญที่เสียชีวิตจากสงครามในอดีตได้แก่สงครามโลกครั้งที่1 
(คศ.1914-1918) สงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945) ญี่ปุ่นบุกยึดมาเลเซีย และ 
การต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ (1948-1960) อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางกรุง 
กัวลาลัมเปอร์ ซึ่งตกแต่งให้เป็นสวนสาธารณะและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ 
ทั้งชาวมาเลเซียและชาวต่างชาติเดินทางมาชมกันเป็นจา นวนมาก
จตุรัสเมอร์เดกา
จัตุรัสเมอร์เดกา ตั้งอยู่ ณ จุดบรรจบของแม่น้า คลางกับแม่น้า กอมบัก เป็นสถานที่แห่ง 
ประวัติศาสตร์ที่ซึ่งธงชาติอังกฤษถูกปลดลงแล้วแทนที่ด้วยธงชาติมาเลเซีย คา ว่า “เมอร์เดกา” 
หมายถึงเอกราช จุดเด่นอยู่ที่เสาธงขนาดใหญ่สูงถึง 100 เมตร และเต็มไปด้วยอาคารในยุคอาณา 
นิคมและกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมอังกฤษ จตุรัสเมอร์เดกา เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ใครมา 
เที่ยวกรุงกัวลาลัมเปอร์ ก็ต้องมาเดินที่จตุรัสกลางเมืองหลวงของมาเลเซีย อันเป็นสถานที่มี 
ความหมายทางประวัติศาสตร์ของชาติ และของประชาชนชาวมาเลเซีย เพราะเป็นสถานที่จัดพิธี 
คืนความเป็นเอกราชให้กับเจ้าของประเทศ หลังจากตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกนานถึง 446 
ปี (พ.ศ 2054 – 2500 ) เริ่มจากประเทศโปรตุเกส ที่บุกมาทางเรือและเข้ายึด เมืองมะละกา อัน 
เป็นเมืองท่า จากนั้นก็อยู่ภายใต้การปกครองของชาวดัทช์และอังกฤษในเวลาต่อมา จนมาถึง 
วันที่ 31 สิงหาคม 2500 มาเลเซียก็ได้อธิปไตยกลับคืนมาจากประเทศอังกฤษ พร้อมกับมีการชัก 
ธงชาติของมาเลเซียขึ้นสู่ยอดเสาเป็นครั้งแรก ณ บริเวณจตุรัสแห่งนี้ และ ในวันที่ 31 สิงหาคม 
ของทุกปีจะมีพิธีสวนสนามและเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ มีประชาชนชาวมาเลเซียร่วมในพิธีหลาย 
หมื่นคน
อาคารสุลต่านอับดุลซามัด
อาคารสุลต่านอับดุลซามัด สร้างขึน้ในปีพ.ศ. 2440 ตัง้ชื่อตามพระนามของสุลต่าน 
แห่งสลังงอร์โดยใช้เป็นที่ทาการของหน่วยงานราชการในยุคที่อังกฤษเข้ามา 
ปกครอง ปัจจุบันเป็นอาคารสานักงานของศาลฎีกา อาคารสุลต่านอับดุลซามัค 
และ หอนาฬิกาสูง 40 เมตร เป็นตัวอาคารเก่าแถบ Merdeka Square ซึ่ง 
เป็น สถาปัตยกรรมแบบมัวร์(Moorish) ส่วนที่เป็นหอนาฬิกาสูง 40 เมตรท 
มักจะเรียกกันว่าเป็น บิ๊กเบนของมาเลเซีย ส่วนด้านบนจะเป็นโดมขนาดใหญ่สีทอง 
อาคารนีส้ร้างเมื่อเป็นเมืองขึน้ของอังกฤษ เพื่อใช้เป็นศูนย์บริหารอาณานิคมของ 
อังกฤษ ปัจจุบันใช้อาคารที่ทาการของรัฐบาล
พระราชวังอิสตาน่า ไนการ่า
พระราชวังอิสตาน่าไนการ่า พระราชวังแห่งชาติ สถานที่ประทับของ 
สมเด็จพระราชาธิบดีหรือยังดีเปอร์ตวนอากง พระราชวังแห่งนี้จะเป็น 
กลุ่มอาคารรูปทรงโดมเชื่อมกับทางหลวงไปยังตัวเมือง และมีถนน 
ทางเข้าพิเศษหลายเส้นทางพระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 100,000 
ตารางเมตร ซึ่งมีการครอบครองมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 และกลายเป็น 
เขตพระราชฐานนับตั้งแต่นั้น
ห้างซูเรีย 
ห้างซูเรีย เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย กลางกรุงกัวลาลัมเปอร์
ภาพในมุมมองอื่นๆ
ปุตราจายา 
ปุตราจายา อยู่ห่างจากตัวเมืองกัวลาลัมเปอร์ประมาณ 50 นาที ห่างจากสนามบินนานาชาติไปไม่ 
ไกลนัก บนพื้นที่กว้างใหญ่มหาศาลครอบคลุมพื้นที่เขาทั้งลูก ถูกสร้างขึ้นให้เป็นเมืองใหม่เป็นที่ 
อยู่ของหน่วยราชการ ทุกกกระทรวง ทบวง กรม รวมทั้งรัฐสภา และบ้านของนายกฯ โดยรอบปุ 
ตราจายาจะเป็นพื้นที่บ้านจัดสรรที่สวยงามและคอนโดมีเนียมที่เป็นตึกสูง
เกนติ้ง ไฮแลนด์ 
เกนติ้ง ไฮแลนด์ เมืองที่ได้รับสมญานามว่า “เมืองแห่งความบันเทิง” นับเป็นเมืองที่เหมาะกับทุก 
ครอบครัว และทุกงบประมาณการท่องเที่ยว ยอดเขาเกนติ้ง ไฮแลนด์ อยู่สูงจากระดับน้า ทะเลถึง 
6,000 ฟุต จึงมีอากาศเย็นสบาย บรรยากาศสดชื่น พร้อมทิวทัศน์ของเทือกเขาเขียวขจีที่สวยงาม 
ราวกับภาพวาด
แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกในมาเลเซีย
มะละกา 
• ถ้าจะพูดถึงแหล่งกา เนิดประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย ก็ต้องเริ่มต้นกันที่รัฐมะ 
ละกา รัฐที่จัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1396 หรือ หกร้อยกว่าปีก่อน และถือว่าเป็น 
เมืองท่าสา คัญ ที่ดึงดูดเรือและพ่อค้าจากดินแดตนต่างๆ ในสมัยนั้นได้อย่าง 
กว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย อาหรับ และยุโรปอีกหลายประเทศ ใน 
ค.ศ.1511 รัฐมะละกาต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของต่างชาติ
โดยเริ่มต้นจากโปรตุเกส และชาวดัชท์ในปี ค.ศ.1641 หลังจากผ่านการรบอย่างดุเดือด 
กับอังกฤษ ในปี 1795 ดัชท์ก็เสียอา นาจการปกครองให้อังกฤษ และอีก 23 ปีต่อมา มะ 
ละกาก็ต้องเปลี่ยนมาอยู่ในมือของดัชท์อีกคา รบหนึ่ง ตามสนธิสัญญาเวียนนา ในปี 
ค.ศ.1826 อังกฤษเอา เบนโคลีน อาณานิคมแห่งหนึ่งที่อยู่บนเกาะสุมาตราไปแลก ทา 
ให้มะละกาต้องตกอยู่ในการปกครองของอังกฤษนับแต่นั้น โดยอังกฤษให้บริษัทอัสท์ 
อินเดีย ในกัลกัตตา เข้าบริหารงาน จวบจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
มาเลเซียภายใต้การนาของ ตุนกูอับดุล รามัน 
บุตรา ฮัล-ฮัจ นายกรัฐมนตรีคนแรก ได้ประกาศ 
เอกราช ณ.สนามปะห์ลาวัน บันดาร์ฮีลีร์มะละ 
กา ในวันที่ 20 ก.พ.ค.ศ.1956 รวมอยู่ภานใต้การ 
ปกครองของชาติยุโรป ถึง 445 ปี จึงเป็นเหตุให้ 
มะละกามั่งคั่งด้วยความรุ่งเรื่องด้าน 
ประวัติศาสตร์ และเต็มไปด้วยปูชณียสถาน ที่น่า 
ตื่นตาตื่นใจ ที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายไม่สมควร 
พลาดที่จะไปเที่ยวชม และนั้นคือประวัติคราวๆ 
ของเมืองมรดกโลกแห่งนี้
"Melaka Taming Sari Bebhad" 
หอคอยมะละกา สามารถชมวิวได้ 360 องศา
สาหรับ “ตะลอนเที่ยว” การมามะละกาในครั้งนี้ นอกจากเราจะตามรอย 
มารับรู้เรื่องราวพอสังเขปของตา นานมะละกอที่เดินทางมาในบ้านเราแล้ว 
เป้าหมายหลักของเราในครั้งนี้ก็คือการออกเที่ยวยลเสน่ห์เมืองมะละกาที่โดด 
เด่นไปด้วยประวัติศาสตร์และงานสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์จนมะละกา 
ได้รับการประกาศให้เป็น"มรดกโลก" ในปี ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) 
จากกรุงเทพฯ เราบินลัดฟ้าด้วย "สายการบินแอร์เอเชีย" (ดอนเมือง-KL) 
ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงสู่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย จากนั้น 
จึงนั่งรถต่อไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึงยังเมืองมะละกา อันน่าตื่นตาตื่นใจ
ตึกอนุสรณ์ประกาศอิสรภาพ
“มะละกา” เป็นเมืองหลวงรัฐมะละกา ซึ่งเป็น 1 ใน 13 รัฐของประเทศ 
มาเลเซีย มีชื่อเรียกมาจาก "ต้นมะขามป้อม" หรือที่ชาวมะละกา 
เรียกว่า “Malacca Tree” ซึ่งเป็นต้นไม้ประจา เมืองมะละกา ไม่ 
เกี่ยวเนื่องกับมะละกอแต่อย่างใด 
แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทา ให้การมาเยือนเมืองมะละกาของเราในครั้งนี้ 
มีความน่าสนใจน้อยลงเลยสักนิด เพราะมะละกายังมีเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่ 
เสื่อมคลาย โดยในตา นานการก่อสร้างเมืองมะละกามีอยู่ว่า เจ้าชาย 
ปรเมศวร (Parameswara) ทรงลี้ภัยมาจากเกาะสุมาตรา ได้มา 
ค้นพบที่ตั้งเมืองแห่งนี้ โดยขณะที่เจ้าชายกา ลังขึ้นฝั่งพักผ่อน ได้เห็น 
กระจงถูกฝูงหมาป่ารุมไล่ทา ร้าย กระจงเมื่อจวนตัวจึงหันมาสู้กับหมาป่า 
จนตัวตาย เมื่อเจ้าชายเห็นดังนั้นก็เกิดความประทับใจในความกล้าหาญ 
ของกระจง และเกิดความคิดว่าควรสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่นี่ ในบริเวณที่ 
กระจงตายอยู่ใกล้ต้นมะละกา
ตึกแถวสีแดงเรียงรายตลอดสองข้างทาง 
• สมัยก่อนเราคงเคยได้ยินชื่อช่องแคบมะละกากันอยู่บ่อยๆ ซึ่งช่องแคบมะละกานั้น เป็น 
ช่องแคบที่อยู่ระหว่างแหลมมลายูกับเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย ที่มีความยาว 
กว่า 800 กิโลเมตร ส่วนที่แคบที่สุดมีความกว้าง 1.5 ไมล์ เป็นยุทธศาสตร์ทางการ 
เดินเรือที่สา คัญของดินแดนสุวรรณภูมิซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของมะละกา และด้วยความ 
แคบที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของมะละกานี้ จึงทา ให้เป็นที่มาของคา ว่า ช่องแคบมะละกา
ป้อม “A’Famosa” 
• อีกจุดหนึ่งที่โดดเด่นที่ไม่ว่าใครที่มาเมืองมะละกาก็ต้องแวะ 
ชม “A’Famosa” ป้อมแห่งนี้ตั้งที่อยู่เชิงเขาเล็กๆ ชื่อว่าเขา St. Paul hill 
เป็นป้อมปืนที่โปรตุเกสสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1511 ปัจจุบันคงเหลืออยู่เพียงป้อมเดียว 
ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของมะละกาที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนกัน
รูปปั้นของนักบุญ Francis Xavier ด้านหน้า St. Paul Church 
• ถัดจากป้อมปืนโปรตุเกสเราเดินขึ้นเขากันนิด บนยอดเขา St. Paul hill เป็นที่ตั้งของ "โบสถ์เซนต์ปอล 
(St. Paul Church)" เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ.1753 ภายในเป็นสุสานของนักบุญ Francis 
Xavier ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นของนักบุญ Francis Xavier (ข้อมือขวาขาด) ตั้งโดดเด่นอยู่ สา หรับ 
การเดินขึ้นไปยังโบสถ์เซนต์ปอลนั้นมีสองเส้นทาง คือขึ้นจากทางป้อม A’Famosa หรือจะเลือกขึ้นทาง 
อาคารสตัดธิวท์ก็ได้ ด้านบนสามารถมองมาเห็นทะเลและทัศนียภาพด้านล่างได้ เมื่อชมกันพอหอมปากหอม 
คอแล้ว จากนั้นเดินลงเขา St.Paul จะพบกับต้นมะละกาหรือต้นมะขามป้อม ต้นไม้ประจา เมืองมะละกา 
อีกด้วย
พิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์มะละกา (Maritime Museum) เป็นรูปเรือสำเภา 
• นอกจากป้อมเก่าแก่แล้ว ในละแวกนี้ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ 
สมุทรศาสตร์มะละกา (Maritime Museum) เป็นลักษณะของเรือสา เภาจา ลองของชาว 
โปรตุเกส ที่มีชื่อว่า Flora de La Mar ภายในจัดเก็บเรื่องราวของเรือสาเภาในอดีต ตึก 
อนุสรณ์ประกาศอิสรภาพ ภายในจัดเก็บข้อมูลเหตุการณ์การประกาศอิสรภาพของชาวมาเลเซีย 
พระราชวังวังสุลต่านแห่งมะละกา (จา ลอง) ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรม เป็นต้น
โบสถ์คริสต์ (Christ Church)
• ส่วนจุดที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของเมืองมะละกาก็คือ “เรด สแควร์” (Red 
Square) หรือจัตุรัสแดง หรือที่รู้จักกันในชื่อ “จัตุรัสดัตช์” ที่นี่เคยเป็น 
ศูนย์กลางชุมชนดัตช์ในสมัยที่เข้ามาปกครองมลายู อาคารต่างๆ ที่ล้อมรอบ 
จัตุรัสเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ใจกลางจตุรัสเป็นลานน้า พุแบบ 
อังกฤษที่สร้างถวายแด่พระราชินีวิกตอเรียใน ค.ศ. 1904 ส่วนรอบๆ ลาน 
น้า พุคือหอนาฬิกา โบสถ์คริสต์ (Christ Church) ศิลปกรรมดัตช์ 
ประยุกต์ ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1753 และอาคารสตัดธิวท์(Stadhuys) ที่ 
สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1650 เป็นอาคารดัตช์เก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย ปัจจุบัน 
อาคารสตัดธิวท์กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีและ 
วรรณคดีของมะละกา อาคารทั้งสามต่างทาด้วยสีแดงเข้ม จนกลายเป็นชื่อ 
เรียกจัตุรัสแดง
หุบเขาเล็งก็อง 
• “แหล่งโบราณคดีหุบเขาเล็งกอง” (Archaeological Heritage of the 
Lenggong Valley) มรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งล่าสุดของมาเลเซีย 
ปี2555/2012 แหล่งโบราณคดีหุบเขาเล็งกอง ตั้งอยู่ในหุบเขาเล็งกองอันเขียวชอุ่ม 
รวมแหล่งโบราณคดี4 แห่งในสองกลุ่ม ซึ่งมีอายุเวลายาวเกือบสองล้านปีเข้า 
ด้วยกัน โดยแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ ถือเป็นหนึ่งในแหล่งที่มีการบันทึกเรื่องราว 
ของมนุษย์ยุดต้นในสถานที่เดียว ที่ยาวนานที่สุดและเก่าแก่ที่สุดนอกทวีปแอฟริกา 
มีลักษณะเป็นแหล่งในที่โล่งและถ้า ที่เป็นพื้นที่ผลิตเครื่องมือหิน อันเป็นหลักฐาน 
ทางเทคโนโลยีสมัยแรก จา นวนของแหล่งที่พบในพื้นที่ที่มีขอบเขตสัมพันธ์กัน 
ของพื้นที่ทั้ง 4 แห่งนี้ ทา ให้สามารถคาดคะเนปรากฏการก่อตัวขึ้นของประชากร 
ขนาดใหญ่ กึ่งเร่ร่อน กึ่งตั้งหลักปักฐานกับวัฒนธรรมที่เหลือให้เห็นอยู่ของสมัยหิน 
เก่า หินใหม่ และยุคโลหะ
อุทยานแห่งชาติกีนาบาลู 
อุทยานแห่งชาติกีนาบาลูหรือที่เรียกในภาษามาเลย์ว่า Taman Negara Kinabalu เป็น 
อุทยานแห่งชาติแห่งแรกๆในมาเลเซีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2507 และเป็นสถานที่แห่งแรกใน 
มาเลเซียที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2543 เนื่องจากถือว่าเป็น 
สถานที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ 
ชายฝั่งด้านตะวันตกของรัฐซาบาห์บนเกาะบอร์เนียว ทางตะวันออกของมาเลเซีย มี 
พื้นที่754 ตารางกิโลเมตร อยู่รอบๆภูเขาคินาบาลซูึ่งสูง 4,095.2 เมตร และเป็นภูเขาที่สูง 
ที่สุดบนเกาะบอร์เนียวภายในอุทยานเป็นแหล่งที่อยู่ของพันธุ์พืชและสัตว์หลากหลายชนิด 
โดยแบ่งเขตแหล่งที่อยู่ออกตามสภาพทางภูมิศาสตร์ออกได้เป็น 4 เขต ได้แก่ 
ป่า lowland dipterocarp ป่าสนเขา ทุ่งหญ้าบนที่สูง และพุ่มไม้บนยอดเขา บริเวณ 
ภูเขาเป็นแหล่งที่พบกล้วยไม้และพืชกินแมลงหลายสายพันธุ์ ที่มีชื่อเสียงคือสาย 
พันธุ์Nepenthes rajah และยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ประจา ถิ่นอีกมากมาย เช่น ปลิง 
แดงยักษ์คินาบาลูไส้เดือนยักษ์คินาบาลูนกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าคินาบาลู
ภาพตัวอย่าง
เมืองประวัติศาสตร์มะละกาและจอร์จทาวน์ 
• มะละกา (อังกฤษ:Malacca; มาเลย์:Melaka) เป็นเมืองเอกของรัฐมะ 
ละกา ประเทศมาเลเซีย ในอดีตที่นี่เป็นเมืองท่าสา คัญที่เติบโตจนกลายเป็น 
ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นเส้นทางเดินเรือค้าขายระหว่างชาติ 
ตะวันตกและตะวันออกต่อมา มะละกาได้ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก 
ทั้งโปรตุเกส, เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ อาคารในมะละกาจึงมีลักษณะของ 
สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างศิลปกรรมท้องถิ่น กับเจ้าอาณานิคมนั้น ๆ 
ซึ่งในปัจจุบันได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ 
• เมื่อวันที่7 กรกฎาคม ค.ศ. 2008 มะละกาและจอร์จทาวน์ถูก ขึ้นทะเบียนเป็น 
มรดกโลกอย่างเป็นทางการ เนื่องจากมีภูมิสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่ไม่ 
ซ้า ใครทั้งในตะวันออกกลางและ เอเชียตะวันออกเฉียง
ภาพตัวอย่าง
งานสังคม มาเลเซีย

More Related Content

Similar to งานสังคม มาเลเซีย

New microsoft-power point-presentation
New microsoft-power point-presentationNew microsoft-power point-presentation
New microsoft-power point-presentationGnaf Oak
 
10 อันดับทะเลปอโอ
10 อันดับทะเลปอโอ10 อันดับทะเลปอโอ
10 อันดับทะเลปอโอOporfunJubJub
 
10 อันดับทะเลปอโอ
10 อันดับทะเลปอโอ10 อันดับทะเลปอโอ
10 อันดับทะเลปอโอOporfunJubJub
 
ด.ช. ภูริปีญญา โสริเวณ แก้0 (2)
ด.ช. ภูริปีญญา โสริเวณ แก้0 (2)ด.ช. ภูริปีญญา โสริเวณ แก้0 (2)
ด.ช. ภูริปีญญา โสริเวณ แก้0 (2)phu ri
 
Asean travel 10 country
Asean travel  10 countryAsean travel  10 country
Asean travel 10 countryrleebaba
 
ท่องเที่ยวประเทศมาเลเซีย
ท่องเที่ยวประเทศมาเลเซียท่องเที่ยวประเทศมาเลเซีย
ท่องเที่ยวประเทศมาเลเซียPremika Thepnarong
 
ติดกระแสโรงแรมสมัยใหม่
ติดกระแสโรงแรมสมัยใหม่ติดกระแสโรงแรมสมัยใหม่
ติดกระแสโรงแรมสมัยใหม่praphol
 

Similar to งานสังคม มาเลเซีย (11)

New microsoft-power point-presentation
New microsoft-power point-presentationNew microsoft-power point-presentation
New microsoft-power point-presentation
 
Aaa
AaaAaa
Aaa
 
10 อันดับทะเลปอโอ
10 อันดับทะเลปอโอ10 อันดับทะเลปอโอ
10 อันดับทะเลปอโอ
 
10 อันดับทะเลปอโอ
10 อันดับทะเลปอโอ10 อันดับทะเลปอโอ
10 อันดับทะเลปอโอ
 
ทิคาล
ทิคาลทิคาล
ทิคาล
 
ด.ช. ภูริปีญญา โสริเวณ แก้0 (2)
ด.ช. ภูริปีญญา โสริเวณ แก้0 (2)ด.ช. ภูริปีญญา โสริเวณ แก้0 (2)
ด.ช. ภูริปีญญา โสริเวณ แก้0 (2)
 
Asean travel 10 country
Asean travel  10 countryAsean travel  10 country
Asean travel 10 country
 
ท่องเที่ยวประเทศมาเลเซีย
ท่องเที่ยวประเทศมาเลเซียท่องเที่ยวประเทศมาเลเซีย
ท่องเที่ยวประเทศมาเลเซีย
 
งาน Blogger
งาน Bloggerงาน Blogger
งาน Blogger
 
Inside tokyo-6 d-4n-by-jf
Inside tokyo-6 d-4n-by-jfInside tokyo-6 d-4n-by-jf
Inside tokyo-6 d-4n-by-jf
 
ติดกระแสโรงแรมสมัยใหม่
ติดกระแสโรงแรมสมัยใหม่ติดกระแสโรงแรมสมัยใหม่
ติดกระแสโรงแรมสมัยใหม่
 

More from Khanpetz'Kao Boreds

More from Khanpetz'Kao Boreds (8)

Db chapter3
Db chapter3Db chapter3
Db chapter3
 
งาน Ppt 6401
งาน Ppt 6401 งาน Ppt 6401
งาน Ppt 6401
 
งาน ppt 6401
งาน ppt 6401งาน ppt 6401
งาน ppt 6401
 
Power Point
Power PointPower Point
Power Point
 
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
 
99
9999
99
 
งานย่อยที่ 1
งานย่อยที่ 1งานย่อยที่ 1
งานย่อยที่ 1
 
งานย่อยที่ 1
งานย่อยที่ 1งานย่อยที่ 1
งานย่อยที่ 1
 

งานสังคม มาเลเซีย

  • 3. คงไม่เกินจริงเลยสักนิด หากจะบอกว่าอุทยานแห่งชาติกุนุงมูลูรัฐซาราวัก คือหนึ่ง ในสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่งดงามที่สุดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยหินปูนที่เรียงรายเป็นรูปแปลกตาสวยงามราวกับงานศิลปะ ทว่าเกิดขึ้นมาจากฝีมือ ของธรรมชาติล้วน ๆ รวมทั้งถ้า ซาราวัก ถ้า ใต้ดินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งใหญ่พอจะสามารถใช้จุเครื่องบินโบอิ้ง747 จา นวน 40 ลา ได้สบาย ๆ
  • 4.
  • 5. 2. ลังกาวี (LANGKAWI ) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศมาเลเซีย บริเวณทะเลอันดามัน คือ ที่ตั้ง ของหมู่เกาะลังกาวี ที่ประกอบไปด้วยเกาะมากถึง 99 เกาะ ซึ่งอวดโฉมความงดงาม ตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นชายหาด ป่าฝน ป่าชายเลน และภูเขา โดยปัจจุบันมีสิ่ง อา นวยความสะดวกสา หรับนักท่องเที่ยว เช่น โรงแรมและร้านอาหารไปเปิดมากขึ้น แล้ว ช่วยให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวครบวงโคจรเลยทีเดียว
  • 6.
  • 7.
  • 8.
  • 9. 3. ทามาน เนการา (Taman Negara) ที่แห่งนีไ้ด้ชื่อว่าเป็นป่าฝนเขตร้อนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ดังนัน้ เรื่องความอุดมสมบูรณ์ที่ได้รับการดูแลมาเป็นเวลาช้านานคงเชื่อถือได้แน่ ๆ ทาให้ที่นี่ เต็มไปด้วยพืชหายากนานาพันธ์ุและสัตว์ป่ามากมายหลายชนิด รวมไปถึง เสือมาลายัน ช้างเอเชีย และกระซู่ ทาให้ ทามาน เนการา เป็นสถานที่โปรดของคนรักการ ผจญภัยใกล้ชิดกับสัตว์ป่า
  • 10.
  • 11. 4. กัวลาลัมเปอร์ (KUALA LUMPUR ) • ไม่ต่า กว่า 200 ปีก่อน กัวลาลัมเปอร์เคยเป็นแค่เมืองขุดเหมืองของมาเลเซียเท่านั้น มันเป็นเมืองที่เงียบเหงา ผิดกับปัจจุบันที่มีผู้คนพลุกพล่านเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยว ทันสมัย ที่คนรักการสังสรรค์ต้องมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการช้อป ทานของอร่อย หรือ ชมวิวสูงบนตึกระฟ้า เชื่อเถอะว่าที่นี่ตอบโจทย์ของคุณได้หมดแน่นอน
  • 12.
  • 13.
  • 14. 5. ปีนัง (PENANG ) เกาะปีนังบริเวณช่องแคบมะละกา ทางตอนใต้ของชายฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือประเทศ มาเลเซีย คือ หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เนื่องจากเมืองจอร์จทาวน์บน เกาะแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน เป็นแหล่ง ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งก็ว่าได้ แถมจากการที่มันเป็นแหล่งขนส่งติดต่อกับ ชาวต่างชาติ ยังทา ให้ปีนังเต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลายอีกต่างหาก
  • 15. 6. กูชิง (Kuching) • เมืองที่ใหญ่ที่สุดในเกาะบอร์เนียว เป็นที่พักที่ดีที่สุดสา หรับนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจจะอยู่ ระยะยาว และเที่ยวชมมาเลเซียให้ทั่วสักหน่อย คุณสามารถแวะชมสถานที่ท่องเที่ยว เก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ เช่น วัดโทวเปกกง วัดจีนที่ขึ้นชื่อว่าเก่าแก่ที่สุด หรือ เดวาน อัน ดันกัน เนเกรี อาคารราชการที่มีรูปทรงโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
  • 16.
  • 17.
  • 18. 7. โคตา คินาบาลู(Kota Kinabalu) • บริเวณเมืองหลวงของรัฐซาบาห์นี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อมากมาย โดยเฉพาะ อุทยานสัตว์ป่า ลอค คาวี และอุทยานแห่งชาติคินาบาลูซึ่งมีสัตว์ป่าอย่างลิงจมูกยาว, ลิงอุรังอุตัง, เสือ และช้าง นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสไตล์เอาท์ดอร์ให้ทา มากมาย อาทิ การตั้งแคมป์, เดินป่า, ปีนเขา หรือล่องเรือก็มีครบหมด
  • 19. 8. คาเมรอน ไฮแลนด์ (Cameron Highlands) • หลบหนีจากความร้อนแล้วมาสูดอากาศบริสุทธ์ิให้เย็นชื่นใจ ที่ คาเมรอน ไฮแลนด์ บนภูเขา ติติวังซา ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเก่าแก่ของที่นี่ และมีบรรยากาศสวยตรึงตาตรึงใจสม กับที่ผู้คนชื่นชอบกันจริง ๆ โดยมีทั้งสวนดอกไม้, ไร่ชา และสวนผักผลไม้ซึ่งเปิดให้ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ตามใจชอบ นอกจากนี้ การแวะชมพิพิธภัณฑ์ ไทม์ทันเนล เพื่อดูประวัติความเป็นมาของที่นี่ก็น่าจะช่วยให้ทริปของคุณพิเศษยิ่งขึ้น
  • 20.
  • 21.
  • 22. 9. มะละกา (Melaka) • ด้วยความที่มันมีบทบาทสา คัญในการเดินเรือระหว่างอินเดียและจีน ทา ให้มันได้รับ อิทธิพลจากวัฒนธรรมที่หลากหลาย จนมีสิ่งก่อสร้างจากศิลปะที่แตกต่างปะปนอยู่ ด้วยกัน กลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่งดงาม ทั้งวัดจีนเก่าแก่ เช็งฮุนเต็ง และสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของชาวดัตช์
  • 23.
  • 24.
  • 25.
  • 26.
  • 27.
  • 28. 10. โกตาบารู (Kota Bharu) • นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาที่นี่ไม่ขาดสายทุกปี ซึ่งโกตาบารูอยู่ใกล้เขตชายแดนบ้านเรา นี่เอง และสถานที่พลาดไม่ได้ของที่นี่ ก็คือ พิพิธภัณฑ์ Museum of Royal Traditions and Ceremonies ที่แค่ไปเห็นปราสาทไม้รวมทั้ง สถาปัตยกรรมเก่าแก่ของราชวงศ์ก็คุ้มค่าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตลาดกลางขนาดใหญ่ของ ที่นี่ยังขึ้นชื่อ น่าซื้อของกินให้จุใจอีกด้วยนะ
  • 30. ตึกแฝดเปโตรนาส เคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกสร้างโดย บริษัท ปิโตรเลียม เนชั่นแนล เบอร์ฮาด (Petroliam Nasional Berhad) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ปิโตรนาส (Petronas) เป็นบริษัท ผลิตและจา หน่ายน้า มันของมาเลเซีย เราสามารถยืนชมความงามของตึก ได้ภายนอกโดยยืนอยู่ฟากที่น้า พุกา ลังเริงระบา และสามารถเข้าไปในตึก เพื่อชมทิวทัศน์ของ กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur – KL) จาก สกายบริดจ์ (Sky Bridge) ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมระหว่างชั้นที่41 โดย ไม่เสียค่าใช้จ่าย
  • 32. อนุสาวรีย์แห่งชาติมาเลเซีย หรืออนุสาวรีย์ทหารอาสา สร้างขึ้นเพื่อราลึกถึง ทหารหาญที่เสียชีวิตจากสงครามในอดีตได้แก่สงครามโลกครั้งที่1 (คศ.1914-1918) สงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945) ญี่ปุ่นบุกยึดมาเลเซีย และ การต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ (1948-1960) อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางกรุง กัวลาลัมเปอร์ ซึ่งตกแต่งให้เป็นสวนสาธารณะและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ ทั้งชาวมาเลเซียและชาวต่างชาติเดินทางมาชมกันเป็นจา นวนมาก
  • 34. จัตุรัสเมอร์เดกา ตั้งอยู่ ณ จุดบรรจบของแม่น้า คลางกับแม่น้า กอมบัก เป็นสถานที่แห่ง ประวัติศาสตร์ที่ซึ่งธงชาติอังกฤษถูกปลดลงแล้วแทนที่ด้วยธงชาติมาเลเซีย คา ว่า “เมอร์เดกา” หมายถึงเอกราช จุดเด่นอยู่ที่เสาธงขนาดใหญ่สูงถึง 100 เมตร และเต็มไปด้วยอาคารในยุคอาณา นิคมและกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมอังกฤษ จตุรัสเมอร์เดกา เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ใครมา เที่ยวกรุงกัวลาลัมเปอร์ ก็ต้องมาเดินที่จตุรัสกลางเมืองหลวงของมาเลเซีย อันเป็นสถานที่มี ความหมายทางประวัติศาสตร์ของชาติ และของประชาชนชาวมาเลเซีย เพราะเป็นสถานที่จัดพิธี คืนความเป็นเอกราชให้กับเจ้าของประเทศ หลังจากตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกนานถึง 446 ปี (พ.ศ 2054 – 2500 ) เริ่มจากประเทศโปรตุเกส ที่บุกมาทางเรือและเข้ายึด เมืองมะละกา อัน เป็นเมืองท่า จากนั้นก็อยู่ภายใต้การปกครองของชาวดัทช์และอังกฤษในเวลาต่อมา จนมาถึง วันที่ 31 สิงหาคม 2500 มาเลเซียก็ได้อธิปไตยกลับคืนมาจากประเทศอังกฤษ พร้อมกับมีการชัก ธงชาติของมาเลเซียขึ้นสู่ยอดเสาเป็นครั้งแรก ณ บริเวณจตุรัสแห่งนี้ และ ในวันที่ 31 สิงหาคม ของทุกปีจะมีพิธีสวนสนามและเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ มีประชาชนชาวมาเลเซียร่วมในพิธีหลาย หมื่นคน
  • 36. อาคารสุลต่านอับดุลซามัด สร้างขึน้ในปีพ.ศ. 2440 ตัง้ชื่อตามพระนามของสุลต่าน แห่งสลังงอร์โดยใช้เป็นที่ทาการของหน่วยงานราชการในยุคที่อังกฤษเข้ามา ปกครอง ปัจจุบันเป็นอาคารสานักงานของศาลฎีกา อาคารสุลต่านอับดุลซามัค และ หอนาฬิกาสูง 40 เมตร เป็นตัวอาคารเก่าแถบ Merdeka Square ซึ่ง เป็น สถาปัตยกรรมแบบมัวร์(Moorish) ส่วนที่เป็นหอนาฬิกาสูง 40 เมตรท มักจะเรียกกันว่าเป็น บิ๊กเบนของมาเลเซีย ส่วนด้านบนจะเป็นโดมขนาดใหญ่สีทอง อาคารนีส้ร้างเมื่อเป็นเมืองขึน้ของอังกฤษ เพื่อใช้เป็นศูนย์บริหารอาณานิคมของ อังกฤษ ปัจจุบันใช้อาคารที่ทาการของรัฐบาล
  • 38. พระราชวังอิสตาน่าไนการ่า พระราชวังแห่งชาติ สถานที่ประทับของ สมเด็จพระราชาธิบดีหรือยังดีเปอร์ตวนอากง พระราชวังแห่งนี้จะเป็น กลุ่มอาคารรูปทรงโดมเชื่อมกับทางหลวงไปยังตัวเมือง และมีถนน ทางเข้าพิเศษหลายเส้นทางพระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร ซึ่งมีการครอบครองมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 และกลายเป็น เขตพระราชฐานนับตั้งแต่นั้น
  • 41.
  • 42.
  • 43. ปุตราจายา ปุตราจายา อยู่ห่างจากตัวเมืองกัวลาลัมเปอร์ประมาณ 50 นาที ห่างจากสนามบินนานาชาติไปไม่ ไกลนัก บนพื้นที่กว้างใหญ่มหาศาลครอบคลุมพื้นที่เขาทั้งลูก ถูกสร้างขึ้นให้เป็นเมืองใหม่เป็นที่ อยู่ของหน่วยราชการ ทุกกกระทรวง ทบวง กรม รวมทั้งรัฐสภา และบ้านของนายกฯ โดยรอบปุ ตราจายาจะเป็นพื้นที่บ้านจัดสรรที่สวยงามและคอนโดมีเนียมที่เป็นตึกสูง
  • 44. เกนติ้ง ไฮแลนด์ เกนติ้ง ไฮแลนด์ เมืองที่ได้รับสมญานามว่า “เมืองแห่งความบันเทิง” นับเป็นเมืองที่เหมาะกับทุก ครอบครัว และทุกงบประมาณการท่องเที่ยว ยอดเขาเกนติ้ง ไฮแลนด์ อยู่สูงจากระดับน้า ทะเลถึง 6,000 ฟุต จึงมีอากาศเย็นสบาย บรรยากาศสดชื่น พร้อมทิวทัศน์ของเทือกเขาเขียวขจีที่สวยงาม ราวกับภาพวาด
  • 46. มะละกา • ถ้าจะพูดถึงแหล่งกา เนิดประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย ก็ต้องเริ่มต้นกันที่รัฐมะ ละกา รัฐที่จัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1396 หรือ หกร้อยกว่าปีก่อน และถือว่าเป็น เมืองท่าสา คัญ ที่ดึงดูดเรือและพ่อค้าจากดินแดตนต่างๆ ในสมัยนั้นได้อย่าง กว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย อาหรับ และยุโรปอีกหลายประเทศ ใน ค.ศ.1511 รัฐมะละกาต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของต่างชาติ
  • 47.
  • 48. โดยเริ่มต้นจากโปรตุเกส และชาวดัชท์ในปี ค.ศ.1641 หลังจากผ่านการรบอย่างดุเดือด กับอังกฤษ ในปี 1795 ดัชท์ก็เสียอา นาจการปกครองให้อังกฤษ และอีก 23 ปีต่อมา มะ ละกาก็ต้องเปลี่ยนมาอยู่ในมือของดัชท์อีกคา รบหนึ่ง ตามสนธิสัญญาเวียนนา ในปี ค.ศ.1826 อังกฤษเอา เบนโคลีน อาณานิคมแห่งหนึ่งที่อยู่บนเกาะสุมาตราไปแลก ทา ให้มะละกาต้องตกอยู่ในการปกครองของอังกฤษนับแต่นั้น โดยอังกฤษให้บริษัทอัสท์ อินเดีย ในกัลกัตตา เข้าบริหารงาน จวบจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
  • 49.
  • 50. มาเลเซียภายใต้การนาของ ตุนกูอับดุล รามัน บุตรา ฮัล-ฮัจ นายกรัฐมนตรีคนแรก ได้ประกาศ เอกราช ณ.สนามปะห์ลาวัน บันดาร์ฮีลีร์มะละ กา ในวันที่ 20 ก.พ.ค.ศ.1956 รวมอยู่ภานใต้การ ปกครองของชาติยุโรป ถึง 445 ปี จึงเป็นเหตุให้ มะละกามั่งคั่งด้วยความรุ่งเรื่องด้าน ประวัติศาสตร์ และเต็มไปด้วยปูชณียสถาน ที่น่า ตื่นตาตื่นใจ ที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายไม่สมควร พลาดที่จะไปเที่ยวชม และนั้นคือประวัติคราวๆ ของเมืองมรดกโลกแห่งนี้
  • 51.
  • 52. "Melaka Taming Sari Bebhad" หอคอยมะละกา สามารถชมวิวได้ 360 องศา
  • 53. สาหรับ “ตะลอนเที่ยว” การมามะละกาในครั้งนี้ นอกจากเราจะตามรอย มารับรู้เรื่องราวพอสังเขปของตา นานมะละกอที่เดินทางมาในบ้านเราแล้ว เป้าหมายหลักของเราในครั้งนี้ก็คือการออกเที่ยวยลเสน่ห์เมืองมะละกาที่โดด เด่นไปด้วยประวัติศาสตร์และงานสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์จนมะละกา ได้รับการประกาศให้เป็น"มรดกโลก" ในปี ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) จากกรุงเทพฯ เราบินลัดฟ้าด้วย "สายการบินแอร์เอเชีย" (ดอนเมือง-KL) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงสู่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย จากนั้น จึงนั่งรถต่อไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึงยังเมืองมะละกา อันน่าตื่นตาตื่นใจ
  • 55. “มะละกา” เป็นเมืองหลวงรัฐมะละกา ซึ่งเป็น 1 ใน 13 รัฐของประเทศ มาเลเซีย มีชื่อเรียกมาจาก "ต้นมะขามป้อม" หรือที่ชาวมะละกา เรียกว่า “Malacca Tree” ซึ่งเป็นต้นไม้ประจา เมืองมะละกา ไม่ เกี่ยวเนื่องกับมะละกอแต่อย่างใด แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทา ให้การมาเยือนเมืองมะละกาของเราในครั้งนี้ มีความน่าสนใจน้อยลงเลยสักนิด เพราะมะละกายังมีเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่ เสื่อมคลาย โดยในตา นานการก่อสร้างเมืองมะละกามีอยู่ว่า เจ้าชาย ปรเมศวร (Parameswara) ทรงลี้ภัยมาจากเกาะสุมาตรา ได้มา ค้นพบที่ตั้งเมืองแห่งนี้ โดยขณะที่เจ้าชายกา ลังขึ้นฝั่งพักผ่อน ได้เห็น กระจงถูกฝูงหมาป่ารุมไล่ทา ร้าย กระจงเมื่อจวนตัวจึงหันมาสู้กับหมาป่า จนตัวตาย เมื่อเจ้าชายเห็นดังนั้นก็เกิดความประทับใจในความกล้าหาญ ของกระจง และเกิดความคิดว่าควรสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่นี่ ในบริเวณที่ กระจงตายอยู่ใกล้ต้นมะละกา
  • 56. ตึกแถวสีแดงเรียงรายตลอดสองข้างทาง • สมัยก่อนเราคงเคยได้ยินชื่อช่องแคบมะละกากันอยู่บ่อยๆ ซึ่งช่องแคบมะละกานั้น เป็น ช่องแคบที่อยู่ระหว่างแหลมมลายูกับเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย ที่มีความยาว กว่า 800 กิโลเมตร ส่วนที่แคบที่สุดมีความกว้าง 1.5 ไมล์ เป็นยุทธศาสตร์ทางการ เดินเรือที่สา คัญของดินแดนสุวรรณภูมิซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของมะละกา และด้วยความ แคบที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของมะละกานี้ จึงทา ให้เป็นที่มาของคา ว่า ช่องแคบมะละกา
  • 57. ป้อม “A’Famosa” • อีกจุดหนึ่งที่โดดเด่นที่ไม่ว่าใครที่มาเมืองมะละกาก็ต้องแวะ ชม “A’Famosa” ป้อมแห่งนี้ตั้งที่อยู่เชิงเขาเล็กๆ ชื่อว่าเขา St. Paul hill เป็นป้อมปืนที่โปรตุเกสสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1511 ปัจจุบันคงเหลืออยู่เพียงป้อมเดียว ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของมะละกาที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนกัน
  • 58. รูปปั้นของนักบุญ Francis Xavier ด้านหน้า St. Paul Church • ถัดจากป้อมปืนโปรตุเกสเราเดินขึ้นเขากันนิด บนยอดเขา St. Paul hill เป็นที่ตั้งของ "โบสถ์เซนต์ปอล (St. Paul Church)" เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ.1753 ภายในเป็นสุสานของนักบุญ Francis Xavier ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นของนักบุญ Francis Xavier (ข้อมือขวาขาด) ตั้งโดดเด่นอยู่ สา หรับ การเดินขึ้นไปยังโบสถ์เซนต์ปอลนั้นมีสองเส้นทาง คือขึ้นจากทางป้อม A’Famosa หรือจะเลือกขึ้นทาง อาคารสตัดธิวท์ก็ได้ ด้านบนสามารถมองมาเห็นทะเลและทัศนียภาพด้านล่างได้ เมื่อชมกันพอหอมปากหอม คอแล้ว จากนั้นเดินลงเขา St.Paul จะพบกับต้นมะละกาหรือต้นมะขามป้อม ต้นไม้ประจา เมืองมะละกา อีกด้วย
  • 59. พิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์มะละกา (Maritime Museum) เป็นรูปเรือสำเภา • นอกจากป้อมเก่าแก่แล้ว ในละแวกนี้ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ สมุทรศาสตร์มะละกา (Maritime Museum) เป็นลักษณะของเรือสา เภาจา ลองของชาว โปรตุเกส ที่มีชื่อว่า Flora de La Mar ภายในจัดเก็บเรื่องราวของเรือสาเภาในอดีต ตึก อนุสรณ์ประกาศอิสรภาพ ภายในจัดเก็บข้อมูลเหตุการณ์การประกาศอิสรภาพของชาวมาเลเซีย พระราชวังวังสุลต่านแห่งมะละกา (จา ลอง) ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรม เป็นต้น
  • 61. • ส่วนจุดที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของเมืองมะละกาก็คือ “เรด สแควร์” (Red Square) หรือจัตุรัสแดง หรือที่รู้จักกันในชื่อ “จัตุรัสดัตช์” ที่นี่เคยเป็น ศูนย์กลางชุมชนดัตช์ในสมัยที่เข้ามาปกครองมลายู อาคารต่างๆ ที่ล้อมรอบ จัตุรัสเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ใจกลางจตุรัสเป็นลานน้า พุแบบ อังกฤษที่สร้างถวายแด่พระราชินีวิกตอเรียใน ค.ศ. 1904 ส่วนรอบๆ ลาน น้า พุคือหอนาฬิกา โบสถ์คริสต์ (Christ Church) ศิลปกรรมดัตช์ ประยุกต์ ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1753 และอาคารสตัดธิวท์(Stadhuys) ที่ สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1650 เป็นอาคารดัตช์เก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย ปัจจุบัน อาคารสตัดธิวท์กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีและ วรรณคดีของมะละกา อาคารทั้งสามต่างทาด้วยสีแดงเข้ม จนกลายเป็นชื่อ เรียกจัตุรัสแดง
  • 62. หุบเขาเล็งก็อง • “แหล่งโบราณคดีหุบเขาเล็งกอง” (Archaeological Heritage of the Lenggong Valley) มรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งล่าสุดของมาเลเซีย ปี2555/2012 แหล่งโบราณคดีหุบเขาเล็งกอง ตั้งอยู่ในหุบเขาเล็งกองอันเขียวชอุ่ม รวมแหล่งโบราณคดี4 แห่งในสองกลุ่ม ซึ่งมีอายุเวลายาวเกือบสองล้านปีเข้า ด้วยกัน โดยแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ ถือเป็นหนึ่งในแหล่งที่มีการบันทึกเรื่องราว ของมนุษย์ยุดต้นในสถานที่เดียว ที่ยาวนานที่สุดและเก่าแก่ที่สุดนอกทวีปแอฟริกา มีลักษณะเป็นแหล่งในที่โล่งและถ้า ที่เป็นพื้นที่ผลิตเครื่องมือหิน อันเป็นหลักฐาน ทางเทคโนโลยีสมัยแรก จา นวนของแหล่งที่พบในพื้นที่ที่มีขอบเขตสัมพันธ์กัน ของพื้นที่ทั้ง 4 แห่งนี้ ทา ให้สามารถคาดคะเนปรากฏการก่อตัวขึ้นของประชากร ขนาดใหญ่ กึ่งเร่ร่อน กึ่งตั้งหลักปักฐานกับวัฒนธรรมที่เหลือให้เห็นอยู่ของสมัยหิน เก่า หินใหม่ และยุคโลหะ
  • 63.
  • 64. อุทยานแห่งชาติกีนาบาลู อุทยานแห่งชาติกีนาบาลูหรือที่เรียกในภาษามาเลย์ว่า Taman Negara Kinabalu เป็น อุทยานแห่งชาติแห่งแรกๆในมาเลเซีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2507 และเป็นสถานที่แห่งแรกใน มาเลเซียที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2543 เนื่องจากถือว่าเป็น สถานที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ ชายฝั่งด้านตะวันตกของรัฐซาบาห์บนเกาะบอร์เนียว ทางตะวันออกของมาเลเซีย มี พื้นที่754 ตารางกิโลเมตร อยู่รอบๆภูเขาคินาบาลซูึ่งสูง 4,095.2 เมตร และเป็นภูเขาที่สูง ที่สุดบนเกาะบอร์เนียวภายในอุทยานเป็นแหล่งที่อยู่ของพันธุ์พืชและสัตว์หลากหลายชนิด โดยแบ่งเขตแหล่งที่อยู่ออกตามสภาพทางภูมิศาสตร์ออกได้เป็น 4 เขต ได้แก่ ป่า lowland dipterocarp ป่าสนเขา ทุ่งหญ้าบนที่สูง และพุ่มไม้บนยอดเขา บริเวณ ภูเขาเป็นแหล่งที่พบกล้วยไม้และพืชกินแมลงหลายสายพันธุ์ ที่มีชื่อเสียงคือสาย พันธุ์Nepenthes rajah และยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ประจา ถิ่นอีกมากมาย เช่น ปลิง แดงยักษ์คินาบาลูไส้เดือนยักษ์คินาบาลูนกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าคินาบาลู
  • 66.
  • 67. เมืองประวัติศาสตร์มะละกาและจอร์จทาวน์ • มะละกา (อังกฤษ:Malacca; มาเลย์:Melaka) เป็นเมืองเอกของรัฐมะ ละกา ประเทศมาเลเซีย ในอดีตที่นี่เป็นเมืองท่าสา คัญที่เติบโตจนกลายเป็น ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นเส้นทางเดินเรือค้าขายระหว่างชาติ ตะวันตกและตะวันออกต่อมา มะละกาได้ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก ทั้งโปรตุเกส, เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ อาคารในมะละกาจึงมีลักษณะของ สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างศิลปกรรมท้องถิ่น กับเจ้าอาณานิคมนั้น ๆ ซึ่งในปัจจุบันได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ • เมื่อวันที่7 กรกฎาคม ค.ศ. 2008 มะละกาและจอร์จทาวน์ถูก ขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกอย่างเป็นทางการ เนื่องจากมีภูมิสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่ไม่ ซ้า ใครทั้งในตะวันออกกลางและ เอเชียตะวันออกเฉียง