More Related Content
More from Taraya Srivilas
More from Taraya Srivilas (20)
สถิติเกี่ยวกับผู้หญิง
- 4. • เมื่อพิจารณาตามอุตสาหกรรม ผู้หญิงเกือบครึ่ง (ร้อยละ 44.14) ที่ทางานในภาคเกษตรกรรม
ทางานระหว่าง 40-49 ชั่วโมง และมากกว่า 1 ใน 3 (ร้อยละ 36.95) ทางานมากกว่า 50 ชั่วโมงขึ้น
ไป ขณะที่ผู้หญิงร้อยละ 40.11 ที่ทางานนอกภาคเกษตร ทางานสัปดาห์ละ 40-49 ชั่วโมง และ
ประมาณ 1 ใน 3 ทางานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (ร้อยละ 23.33)
- 6. เพศของหัวหน้าครัวเรือน จากการสารวจภาวะ การทางานของประชากร
พ.ศ. 2547 – 2550 พบว่าหัวหน้าครัวเรือนที่เป็นเพศชายนั้นมีอัตราลดลงอย่างต่อเนื่อง
คือ จากร้อยละ 72.1 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 69.0 ในปี 2550 แต่ในปัจจุบันนี้เพศหญิง
มีอัตราการเป็นหัวหน้าครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นจาก ร้อยละ 27.9 ในปี 2547 เป็นร้อยละ
31.0 ในปี 2550
72.1 69
27.9 31
2547 2550
เพศของหัวหน้าครัวเรือน
ชาย หญิง
- 7. ผู้หญิง 77.47% เป็นผู้ที่รับภาระหลักในการทางานบ้าน และมีไม่ถึง 1% ที่ผู้หญิงและ
ผู้ชายช่วยกันทางานบ้าน
ในด้านการเมืองและการบริหาร พบว่ามี ส.ส.หญิงเพียง 12% ผู้บริหารระดับสูงใน
ราชการ ปี 2549 มีผู้หญิง 25.69% ด้านสื่อสารมวลชน รายงานการจาแนกเพศของ
ประเทศไทย ปี 2551 ระบุว่ามีผู้หญิงในงานสื่อสารมวลชน 38.4%
* มูลนิธิผู้หญิง http://www.womenthai.org
- 8. “ คณะกรรมการที่เป็น ผู้หญิงสามารถลดความเสี่ยงจากการล้มละลายได้ถึง 20%
ขณะที่ 30% ของผู้หญิงที่เป็นกรรมการบริหารจะทาให้ผลประกอบการดีขึ้น และเมื่อ
เศรษฐกิจถดถอยผู้หญิงจะเป็นผู้นาที่ดีกว่าผู้ชาย ”
ผลการวิจัยในต่างประเทศ ที่เปิดเผยโดยศูนย์ศึกษาธุรกิจครอบครัวและ SMEs
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในงาน Mega Trends in Family Business “เจาะลึก
แนวโน้มธุรกิจครอบครัวไทยสู่อนาคต”
วันนี้ 25 - 30% ของธุรกิจครอบครัวทั่วโลก มีผู้หญิงเป็นผู้นา นอกจากนี้ สถิติจากปี
1997 จนถึงปัจจุบัน ยังพบว่า ผู้หญิงเป็นผู้นาในธุรกิจครอบครัวถึง5 เท่าตัว และ 1
ใน 3 ของผู้สืบทอดธุรกิจเป็นผู้หญิง นี่เป็นเทรนด์ที่กาลังเกิดขึ้นในโลก
- 9. ดร.ภูษิต วงศ์หล่อสายชล ตัวแทนจากศูนย์ศึกษาธุรกิจครอบครัวและ SMEs
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้กล่าวเกี่ยวกับจุดแข็งต่างของผู้หญิง ที่สะท้อนถึง ความ
น่าสนใจในการสืบทอดกิจการไว้ดังนี้
เริ่มต้นจาก ความต่างในการทางานของสมอง ที่ระบุออกมาว่า ผู้หญิงสามารถทาอะไร
หลายๆ อย่างได้พร้อมกัน จากทักษะที่หลากหลายกว่าผู้ชาย เช่น การเงิน บริหารคน
และการขาย ขณะที่ผู้ชายจะโฟกัสในเรื่องราวต่างๆ เป็นกลุ่มๆ (แยกส่วน) ต่างจาก
ผู้หญิงที่จะมองเป็นจิ๊กซอว์ทาให้สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ได้ดีกว่าผู้ชาย
- 10. ผู้หญิงยังมีความละเอียดอ่อน มีความคิดสร้างสรรค์และรับรู้ความรู้สึกได้เร็ว นั่นทา
ให้เมื่อธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลง ผู้หญิงจึงรับรู้ได้เร็วกว่าผู้ชาย
อีกจุดที่น่าสนใจสุด คือ การทางานในธุรกิจครอบครัวผู้หญิงมักจะ “ทุ่มเทด้วยหัวใจ”
เมื่อทาด้วยใจก็จะเกิด Passion ในการผลักดันความสาเร็จได้ดีกว่า
ผู้หญิงจะมีการบริหารจัดการ ละเอียดอ่อนกว่า คือ ช่างสรรหา ช่างเจรจา
ช่างประสานงาน และช่างติดตาม
- 11. ผลสารวจจากต่างประเทศที่เรียกว่า แกรนท์ ธอร์นตัน อินเตอร์เนชั่นแนล บิซิเนส รี
พอร์ท (Grant Thornton International Report) หรือ ไอบีอาร์ (IBR) จากผลการ
สารวจ 39 ประเทศทั่วโลก พบว่าประเทศไทยมีผู้หญิงดารงตาแหน่งระดับบริหาร
ในธุรกิจภาคเอกชนมากถึง 45% ของตาแหน่งบริหารทั้งหมด ถือ ว่ามีสัดส่วนที่สูง
เป็นอันดับหนึ่งของโลก
โดยมีจอร์เจีย ตามมาเป็นอันดับสอง 40 % รัสเซีย อันดับสาม 36 % ฮ่องกงและ
ฟิลิปปินส์ ตามมาในอันดับสี่ ประเทศละ 35 %
- 12. ส่วนตาแหน่งที่ผู้หญิงไทยสามารถเข้าไปอยู่ในระดับที่สูงนั้นได้แก่
◦ ตาแหน่งเจ้าหน้าที่ทางการเงิน เช่น ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการเงินหรือผู้อานวยการฝ่ายการเงิน (22%)
◦ รองลงมาเป็นตาแหน่งฝ่ายทรัพยากรบุคคล (20%)
◦ หรือบริหารสูงสุดฝ่ายการตลาด และผู้อานวยการฝ่ายการขาย (9% ทั้งสองตาแหน่ง)
สาเหตุ ที่ผู้หญิงสามารถดารงตาแหน่งผู้บริหารระดับสูงดังกล่าวนั้น เป็นเพราะผู้หญิงไทยนั้น
ค่อนข้างมีความละเอียดอ่อน รอบคอบและมีความอดทน สามารถทางานภายใต้สถานการณ์
ที่กดดันต่างๆ ได้ ประกอบกับตาแหน่งที่กล่าวมาเป็นงานที่ค่อนข้างต้องใช้ความละเอียด
รอบคอบและ ความอดทนเป็นหลัก เช่นงานด้านเงิน หรือฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่ต้องมีการ
ฝึกอบรมพนักงานอยู่เป็นประจา
ส่วนหน่วยงานหรือองค์กรที่ผู้หญิงสามารถเป็นผู้บริหารระดับสูงได้นั้น ส่วนมากจะเป็น
องค์กรเอกชน ส่วนหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานอื่นๆ ก็เริ่มที่จะเห็นผู้หญิงเข้ามามี
บทบาทตามมามากยิ่งขึ้น
- 13. ผลการสารวจกาลังคนภาครัฐประเภทข้าราชการพลเรือนสามัญล่าสุดในปี 2550 จากสานักงาน ก.พ. ระบุชัดว่า
ราว 5 ปีที่แล้วข้าราชการพลเรือนสามัญเป็นหญิงมากกว่าชาย โดยเป็นหญิงถึง 61.67% ส่วนผู้ชายอยู่ที่ 38.33%
ซึ่งผู้หญิงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยราว 0.20% จากปีก่อนหน้า
ในขณะที่ส่วนราชการที่มีข้าราชการพลเรือนสามัญหญิงมากกว่าชาย ตั้งแต่ 65% ขึ้นไป ได้แก่
◦ กระทรวงสาธารณสุข 77.59%
◦ กระทรวงศึกษาธิการ 73.44%
◦ กระทรวงแรงงาน 66.99%
◦ กระทรวงการคลัง 66.81% และ
◦ กระทรวงพาณิชย์65.73%
ซึ่งล้วนแต่เป็นกระทรวงสาคัญในการพัฒนาประเทศ ส่วนกระทรวงที่มีข้าราชการชายมากกว่าหญิง ได้แก่
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มีสัดส่วนชายสูงกว่าหญิงมากที่สุด 76.45% รองลงมาเป็น
กระทรวงยุติธรรม กระทรวงคมนาคม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ 67.76%, 61.98% และ 61.90%
ตามลาดับ
- 14. ข้าราชการในกลุ่มระดับ 1-5 เป็นหญิงมากกว่าชายเกือบ 2 เท่า คือ เป็นหญิง 65.57% ส่วนชาย 34.43
กลุ่มระดับ 6-8 เป็นหญิงมากกว่าชายเช่นกัน หญิง 59.83% ชาย 40.17%
ส่ วนกลุ่มระดับ 9-11 หญิงกลับมีน้อยกว่าชาย โดยเป็ นหญิงเพียง 27.40% เท่านั้ น
แม้ว่าในกลุ่มระดับ 9 ถึงระดับ 11 ชายมากกว่าหญิงในสัดส่วนที่แตกต่างกันพอสมควร แต่นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่สัดส่วน
ของข้าราชการหญิงในทุกระดับมีแนวโน้มเพิ่ม มากขึ้นในทุกปี
- 15. ไทยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อยู่สูงถึง 81 คน คิดเป็น 19.33% มากกว่าปี 2553 ที่มีอยู่
เพียง 11%
ส่วนสมาชิกวุฒิสภาหญิงมีทั้งสิ้น 25 คน คิดเป็น 20.16%
ปัจจุบันผู้หญิง ยังมีโอกาสในทางการเมืองน้อยกว่าผู้ชายมาก ในระหว่างปี 2550 ถึง 2556
สัดส่วนผู้หญิงที่ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นหญิงมีเพียงร้อยละ 12.67
ผู้หญิงเป็นตัวแทนในรัฐสภา และองค์กรปกครองท้องถิ่น น้อยกว่าผู้ชายมาก
- 16. ความรุนแรงที่เกิดกับผู้หญิง จากสถิติมักเกิดจากคนในครอบครัว หรือเป็นบุคคลที่
เรียกว่าสามี ตั้งแต่ปี 2550 – 2556 ไทยมีผู้หญิงและเด็กถูกกระทาความรุนแรงมากขึ้น
สูงถึง 87 รายต่อวัน ในจานวนนี้เป็นหญิงร้อยละ 40 และเด็กร้อยละ60
การกระทาความรุนแรงต่อ ผู้หญิงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการกระทา
ความรุนแรงของผู้ชาย ผู้หญิงที่ถูกกระทายังอายที่จะแสดงให้สังคมรับรู้ทาให้ไม่
สามารถแก้ปัญหา ตั้งแต่ต้นเหตุได้
(อ้างอิงจาก สานักข่าวอิศรา วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม 2556)
- 17. เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2556 องค์การอนามัยโลกเปิดเผยว่า มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้หญิงทั่วโลกตก
เป็นเหยื่อของความรุนแรงภายในครอบครัว โดยผู้หญิงในภูมิภาคเอเชีย และตะวันออกกลางตก
เป็นเหยื่อของความทุกข์ทรมานมากที่สุด
ผลการศึกษานาข้อมูลจาก 81 ประเทศพบว่า ระดับของการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงสูงสุดใน
เอเชีย โดยบังคลาเทศ ติมอร์ตะวันออก อินเดีย พม่า ศรีลังกา และประเทศไทย มีผู้หญิง 37.7
เปอร์เซ็นต์ได้รับผลกระทบส่วนที่ตอกย้าความรุนแรงของปัญหาให้ดูเลวร้ายยิ่งขึ้น คือ ใน
บรรดาผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของการฆาตกรรมทั่วโลก 38 เปอร์เซ็นต์เกิดจากน้ามือคู่ของตนเอง
จากข้อมูลของ UN WOMEN พบว่าประเทศไทยอยู่ในระดับ 7 จาก 71 ประเทศที่ใช้ความรุนแรง
ทางเพศกับคู่ของตนเอง ที่หนักไปกว่านี้ก็คือ เป็นลาดับที่ 2 ใน 49 ประเทศที่เชื่อว่าสามีที่ใช้กาลัง
กับภรรยาเป็นเรื่องที่ยอมรับได้
- 18. ศูนย์พึ่งได้กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่าระหว่างปี 2550 – 2554 เด็กและสตรีถูกกระทาด้วย
ความรุนแรง เข้ารับการรักษาพยาบาลกว่า 1 แสนราย เฉลี่ยปีละ 2 หมื่น 3 พันราย หรือเฉลี่ยมี
การก่อเหตุรุนแรงต่อสตรี และเด็กทุก 20 นาที ในขณะที่สานักงานตารวจแห่งชาติเคยรายงานคดี
ข่มขืนทั่งประเทศเกิดขึ้นชั่วโมง ละ 1 คน
ความรุนแรงทางเพศสะท้อนถึงโครงสร้างสังคมชายเป็ นใหญ่ การยอมรับความไม่
เท่าเทียมทางเพศ และการกดขี่สตรีเพศ เป็นความคิดความเชื่อตั้งแต่ระบบศักดินาในยุคโบราณที่
มีการปลูกฝัง และถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งมาโดยตลอด
ปัจจุบัน มีกฎหมายคุ้มครองสตรี คือ พรบ. คุ้มครองผู้ถูกกระทาด้วยความรุนแรงในครอบครัว
พ.ศ. 2550 ซึ่งมีความก้าวหน้าในมาตรการความช่วยเหลือ คุ้มครองผู้ถูกกระทา แต่ความรับรู้ยัง
ไม่มากพอ และหน่วยงานตารวจยังมีบุคคลากรไม่เพียงพอจะดาเนินคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- 19. การแก้ปัญหาในระดับกว้างรัฐควรจะจัดให้มีสวัสดิการสังคมเพื่อให้ผู้หญิงที่หย่าร้างจากความรุนแรง
ทางเพศ สามารถเลี้ยงดูบุตรได้ตามปกติสุข ให้กองทุนประกันสังคมขยายขอบเขตสิทธิประโยชน์การ
คลอดบุตร และการสงเคราะห์บุตรให้สูงขึ้น รวมทั้งจัดให้มีศูนย์เลี้ยงเด็กในที่ทางานหรือทุกชุมชน
อย่างเพียงพอ
กองทุนสตรีควรจะต้องมีนักสิทธิสตรี เข้ามาจัดทาหลักสูตรสาหรับการศึกษาในโรงเรียน และ
มหาวิทยาลัยอย่างจริงจัง สนับสนุนสตรีให้มีส่วนร่วมต่อการพัฒนาด้วยการกาหนดให้คณะกรรมการ
หรือองค์กรต่าง ๆ มีผู้หญิงเข้าร่วมด้วย เป็นสัดส่วนที่แน่นอน รวมทั้งส่งเสริมการรวมกลุ่มสตรีให้มี
อานาจต่อรองในสังคม สามารถจัดการกับปัญหาความรุนแรงทางเพศทุกรูปแบบ
หากดาเนินการอย่างจริงจังต่อเนื่องด้วยความแน่วแน่แล้วเชื่อว่าจะสามารถ ยุติความรุนแรงทางเพศ
และนามาสู่สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคได้ในที่สุด ด้วยความภาคภูมิใจของชาติไทยที่มี
นายกรัฐมนตรีผู้หญิงคนแรก
- 20. ดร.รัชดา ธนาดิเรก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่มี
โอกาสได้เข้าไปทาหน้าที่ผลักดันกฎหมายต่างๆ ในสภาฯ กล่าวว่า กว่าครึ่งหนึ่งของประชากร
บนโลกใบนี้เป็นผู้หญิง ซึ่งประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่มีประชากรที่เป็นผู้หญิงมากกว่าครึ่ง
และมีอายุที่ยืนกว่าผู้ชายอีกด้วย ทั้งนี้ยังมีประเด็นปัญหาเรื่องกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับความ
รุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงบางประการ ที่พบเห็นในปัจจุบัน