SlideShare a Scribd company logo
1 of 32
Download to read offline
หน้า | 0
ศิลปะ
สาหรับการมีชีวิตอยูในโลก
ท่านพุทธทาสภิกขุ
โดย: นกขมิ้นฟ้าไกล
หน้า | 1
ผู้เขียน ขอนาเสนอ การบรรยายธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุ
เรื่อง ศิลปะแห่งการครองชีวต
บางบทบางส่วนมานาเสนอเพื่อเป็นธรรมทาน.
หน้า | 2
พุทธบริษัท
พึงรู้ความหมายของศิลปะ
ท่านทั้งหลายเป็นอันมาก ไม่เคยฟังบรรยายตั้งแต่ต้นย่อมมีความ
สงสัยขึ้นในใจว่ามีศิลปะอะไรกันที่เกี่ยวกับธรรมะหรือว่าธรรมะจะมา
เป็นศิลปะในการมีชีวิตได้อย่างไร ?
คาว่า ศิลปะ คนพวกอื่นเข้าจะมีคาจากัดความหมายอย่างไรก็ตาม
ใจเขา สาหรับเราพวกพุทธบรัท จากัดความหมายของคาว่าศิลปะไว้ว่า
ความสาเร็จ ที่บวกกันเข้ากับ ความงดงาม และ บวกกันเข้ากับ
ความมีฝีมือในการประพฤติหรือกระทา ถ้ารวมกันได้ทั้ง ๓ อย่าง
แล้ว ก็เรียกว่าเป็น ศิลปะ .
พระพุทธองค์จึงทรงย้านักย้าหนาว่า “ เธอจงประกาศพรหมจรรย์
ให้มีความงดงามในเบื้องต้น ความงามในท่ามกลางและความงาม
ในเบื้องปลาย ” ถ้าท่านมอง พระพุทธองค์ ในแง่นี้ ก็จะเห็นได้ทันที
หน้า | 3
ว่าทรงเป็นศิลปินหรือมีวิญญาณแห่งศิลปิน และ มุ่งหมายให้พวกเรา
ใช้ความเป็นศิลปิน คือ มีประโยชน์จากศิลปะ
นี้ยังจะต้องบวกกับ ความมีฝีมือ หมายถึง มันกระทาได้โดยยาก
เป็นงานฝีมือที่ละเอียดอ่อนที่ทาได้โดยยาก
ความหมายของคาว่า ศิลปะ แปลว่า สาเร็จประโยชน์ บวกกันอยู่
กับ ความงดงาม และ ความมีฝีมือ.
ความงาม
- ความงามจูงจคนให้สนใจคนให้ทาตาม นี้เป็นความงาม
ในทางนามธรรม.
- ความงามทางธรรม ไม่ใช่งามด้วยเขียวๆ แดงๆ สีสัน
วรรณะลวดลาย แต่มันเป็นความงดงามของการ
ประพฤติ ของมายาท ของการกระทา เมื่อเขาเห็นแล้วก็
ยินดี พอใจ เลื่อมใส สมัครใจเอาอย่าง.
หน้า | 4
มีฝีมือ
- ฝีมือ คือกระทายาก ถ้ามันง่ายไปหมดหรือไม่ต้องการฝีมือ
ทุกคนก็เป็นศิลปินไปหมด ที่นี้มันจะทาได้แต่คนมีฝีมือ ซึ่ง
แสดงอยู่ในตัวแล้วว่าไม่ใช่คนโง่.
ระวังให้ดี คนโง่จะทาอะไรให้มีฝีมือไม่ได้ แล้วคนก็ยอมโง่ยอมไม่ทา
อะไรให้มีฝีมือ นี้มันก็มีอยู่มากในโลกนี้หรือจะเป็นธรรมดาไปเสียที่
เดียว.
หน้า | 5
ทบทวน
ศิลปะแห่งการครองชีวิต
ที่นี้ก็มาดูถึงหัวข้อที่ว่า “ ศิลปะสาหรับการมีชีวิตอยู่ในโลก ”
ก็คือ คนจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ขอให้อยู่อย่างมีศิลปะ.
ชีวิตในฐานะวัตถุแห่งศิลปะ ออกจะฟังยากสาหรับคนทั่วไป เพราะว่า
เขาเอาวัตถุจริงๆ กันเสียโดยมาก มาเป็นวัตถุแห่งศิลปะ คือ เป็นวัตถุ
สิ่งของ เป็นไม้เป็นไล่ เป็นโลหะ เป็นกระดาษ เป็นก้อนหิน เป็นอะไร
ก็ตาม เป็นวัตถุแห่งศิลปะ อย่างที่เราก็ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง อยู่ว่ามัน
เป็นวัตถุแห่งศิลปะแต่เดี๋ยวนี้ ตัวชีวิต โดยเฉพาะส่วนที่เป็นนามธรรม
เราสามารถที่จะเอามาเป็นวัตถุที่ตั้งแห่งศิลปะ ก็คือ ทาชีวิตนั้นให้
งดงาม
หน้า | 6
ศิลปะแห่งการมีชีวิตอยู่เหนือปัญญา หมายความว่า ชีวิตเต็มไป
ด้วยปัญหา นี้เป็นชีวิตธรรมดา ถ้าทาให้อยู่เหนือปัญหาได้ นั้นเป็นชีวิต
ที่มีศิลปะ
ศิลปะ หมายถึง วัตถุ, การกระทา, ความคิด และ การแสดงออก
ท่านก็พอจะเข้าใจได้ว่า คาว่า ศิลปะ นี้ ไม่ได้หมายความถึงเรื่องทาง
วัตถุอย่างเดียวเสียแล้ว นั้น หมายถึง การกระทา กริยาแห่งการ
กระทา หมายถึง ความคิด และ การแสดงออกแห่งความคิด.
หน้า | 7
ชีวิตต้องเนื่องอยู่กับศิลปะ
จึงจะงดงามน่าดู
ศิลปะสาหรับการมีชีวิต คือ การบอกให้รู้ว่า ชีวิตต้องเนื่องอยู่กับ
ศิลปะ มีความสงบสุข ชนิดที่มีความงดงาม
ท่านลองเป็นอยู่อย่างไม่มีศิลปะ ดูก็ได้ แล้วชีวิตของท่านมันก็จะ
กลายเป็นนรกไปทันที คือ มันกระทาไปในทางที่ไม่มีอะไรงดงามเลยใน
การกระทาทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางจิตใจก็ดี สติปัญญาความคิด
เห็ก็ดี มันจะผิดหมด ที่มันไม่งามนั้นคือผิด มันไม่สพเร็จประโยชน์
แล้วมันก็เป็นทุกข์และเดือดร้อน แล้วก็ทาได้ง่ายๆทาโดยไม่ต้องมี
ความรู้ความคิดความพยายามอะไร นี่คือ ชีวิตที่ไม่มีศิลปะ ก็จะ
กลายเป็นแหล่งแห่งความทุกข์ทรมานไปเสียเอง แล้วลองมองดูไปที่
ความทุกข์ ใครเห็นว่างามบ้าง ? แล้วความหมานของคาว่า “ ทุกข์ ”
นี้ แสดงอยู่ชัดแล้วว่า ดูแล้วน่ารังเกลียด
หน้า | 8
คาว่า “ ทุกข์” แปลว่า ดูแล้วน่าเกลียด แม้ว่าจะไม่มีชีวิตวิญญาณ
อะไร มันน่าเกลียดอยู่ที่มันมีความเปลี่ยนแปลง หลอกลวง จึงพูด
ได้ว่า ขึ้นชื่อว่าความทุกข์แล้ว ไม่ว่าในแง่ไหน มันน่าเกลียดไปเสีย
ทั้งนั้น ความทุกข์ที่เจ็บปวด ครวญครางร้องโอดโอยอยู่นี้มันก็เห็นชัด
แล้วว่าน่าเกลียดน่าชังไม่งาม คือไม่งาม ดูคนร้องไห้ ดูคนเป็นทุกข์
แล้วมันก็ไม่รู้สึกงาม
นี้แม้แต่ก้อนหิน ที่มันไม่มีชีวิตวิญญาณไม่ร้องครวญครางโอดโอย
อะไร แต่ถ้าดูแล้วมันก็มีลักษณะแห่งความทุกข์ คือเปลี่ยนแปลง
แล้วน่าเกลียด แล้วมันไม่งาม นี้หมายความว่า บุคคลนั้นดูด้วยสายตา
ที่ประกอบไปด้วยปัญญาตามทางธรรม ก็เห็นว่าสังขารทั้งปวง ที่มี
ชีวิตจิตใจหรือไม่มีชีวิตจิตใจ มันก็ ไม่น่าพอใจ ไม่น่างดงามอะไร
เพราะมันเปลี่ยนแปลงเรื่อย จึงเรียกว่า ทุกข์
สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ มันเป็นทุกข์ในความหมายนี้ คือในความหมาย
ดูแล้วมันไม่งาม
หน้า | 9
ฉะนั้นเราจึงถือเอาความหมายของคาว่า “ สุข ” ว่าตรงกันข้าม คือ
มันน่าดู หรือ มันงดงาม แล้วความสุขอันแท้จริงนั้น คือ ความสงบสุข
เป็นสันติก็ยิ่งงาม มีความหมายมากในทางธรรม
เราจงมีสติปัญญาอันละเอียดอ่อนกันเสียบ้างที่จะมีความรู้เรื่องอัน
ละเอียดอ่อนอีกเหมื่อนกัน คือ เรื่องของศิลปะ เรื่องที่ทาอะไรๆ ให้มัน
งดงาม อย่าสักแต่ว่ามีกินอิ่มปากอิ่มท้องแล้ว มันก็พอแล้ว มันต้องมี
การเป็นอยู่ที่งดงามด้วย แล้วก็ไม่ใช่งดงามแต่เพียงทางกายนอก ทาง
วัตถุ มีเครื่องแต่งตัวสวย มีบ้านสวย มีอะไรสวย แล้วมันจะพอ นั้น
มันไม่พอ มันต้องมีเจ้าของบ้านที่สวยด้วย เจ้าของบ้านที่มีความ
งดงามอยุ่ที่กาย วาจา ใจ ด้วย ทั้งหมดจึงจะเป็นชีวิตที่งดงาม
หรือที่ น่าดู
ถ้าอย่างสัตว์เดรัขฉานไม่มีความคิดนึกหรือความรู้สึกหรือ
มันสมอง ลึกขึ้นมาถึงความงดงามชนิดนี้มันจึงไม่มีความรู้สึกที่เป็น
ศิลปะ
หน้า | 10
แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นคน เป็นมนุษย์ แปลว่ามีใจสูง มันควรจะสูง
พอที่จะรู้จักความเป็นมนุษย์นั้น ว่ามันสูง ว่ามันสวย ว่ามันงาม คือ
ความที่ต้องมีศิลปะนั้นเอง.
หน้า | 11
ชีวิตอยู่ในโลกได้อย่างงดงาม
ต้องมีธรรมะ
ทีนี้ก็ตามหัวข้อที่ยกขึ้นไว้ข้างต้นนั้นว่า ศิลปะสาหรับการมีชีวิต
อยู่ในโลก ฉะนั้นฟังให้ดีว่า มีชีวิตอยู่ในโลกก็ต้องมีชีวิตอยู่ในโลกอย่าง
งดงาม ไม่ใช่อย่างที่จะปล่อยตามบุญตามกรรมได้ เราควรจะพิจารณา
ดูกันในเบื้องต้นเสมอว่า โลกนี้มันคืออะไร ?
คาว่า “ โลก” มันเลยไปถึง สัตย์โลก คือ สิ่งที่มีชีวิตที่มารวมๆ
เข้าด้วยกันทั้งหมดนั้นเอง บรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เอาชีวิตนี้มา
รวมๆกันเข้าแล้วก็คือ โลก
การดารงชีวิตอย่างไรจึงจะงดงาม คือจะเป็นสุขสบายไม่มีความ
ทุกข์นั้นคือปัญหา
หน้า | 12
ฉะนั้น โลก ก็คือ สิ่งที่มีปัญหา ว่าจะอยู่กันอย่างไรจึงจะงดงาม
มันไม่เพียงแต่ชีวิตที่มารวมๆกันอยู่เฉยๆเสียแล้ว มันได้สร้างปัญหา
ขึ้นมา เพราะการที่มาอยู่รวมๆกัน นี้มันไม่งดงาม ถ้าไม่มีธรรมะสาหรับ
การอยู่รวมๆกันอย่างถูกต้อง ฉะนั้นเราต้องมีธรรมะข้อนี้ ซึ่งเราเรียก
กันเสียใหม่ว่า ศิลปะสาหรับการดารงชีวิตอยุ่ในโลก.
หน้า | 13
ปัญหาของโลกมีทั้ง
ตามธรรมชาติและวิวัฒนาการ
โลกนี้มีปัญหาตามธรรมชาติ ชีวิตมีปัญหาอยู่ตามธรรมชาติมา
ครบถ้วน ขอให้มองดูกันในแง่นี้ก่อน ว่าโลกนี้มันมีปัญหาอยู่ตาม
ธรรมชาติ มากพออยู่แล้วเหมื่อนกัน คือว่าเราเกิดมานี้ มันต้องต่อสู้
อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ มันก็มีการดิ้นรนต่อสู้ คลอด
ออกมา ก็คือการดิ้นรนต่อสู้ ต้องต่อสู้กับดินฟ้าอากาศ ต้องต่อสู้กัน
กับทุกอย่างที่มาแวดล้อม ต้องต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ ตามปกติ
ธรรมดาเราก็ต้องกินอาหาร เราก็ต้องหาอาหาร เราต้องบริหาร
ร่างกายให้มันถูกต้อง มันจึงจะรอกชีวิตอยู่ได้ ฉะนั้นตามธรรมชาติมัน
ก็มีปัญหาอยู่แล้ว
ที่นี้พอเกิดมาแล้ว มาอยู่รวมกันเป็นโลก ปัญหาที่มากไปกว่า
ธรรมชาติมันก็เกิดขึ้น ที่เรียกว่า ปัญหาทางการเมือง หมายความว่า
หน้า | 14
เมื่อมาสัมพันธ์กันเข้า มีนมีปัญหาใหม่แปลกออกไป ที่เรียกว่า
วิวัฒนาการไปกว่าธรรมชาติ เดี๋ยวนี้มนุษย์เราในโลก มีวิวัฒนาการด้วย
สติปัญญา มีนั่นมีนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ จนเฟ้อ จนเกิน จนเกิดกิเลส
จะต้องต่อสู้กับกิเลสยากมากไปกว่าเดิม ซึ่งเพียงแต่ต่อสู้กับธรรมชาติ
เดี๋ยวนี้ต้องมาต่อสู้กับกิเลส คือ ความโง่ของมนุษย์ ที่ทาอะไรที่ไม่ควร
จะทาขึ้นมามากมาย ให้มีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย เกี่ยวกับการ
กินอาหาร เกี่ยวกับการนุ่งห่ม เกี่ยวกับการอยู่อาศัยใช้สอย เกี่ยวกับ
การบาบัดโรคภัยไข้เจ็บ นี้ปัญหามันก็มากกว่าแต่ก่อน.
หน้า | 15
ต้องดารงชีวิตอยู่ในโลก
โดยไม่เป็นอันตราย
โลก คือ กลุ่มแห่งปัญหาซับซ้อน ยุ่งเหยิงสางไม่ออก
เมื่อเรามีหน้าที่ที่จะต้องอยู่ในโลกนี้ จะต้องดารงชีวิตอยู่ในโลกนี้ ซึ่ง
เต็มไปด้วยปัญหา เราจะต้องอยู่ในท่ามกลางปัญหาโดยไม่ต้องเป็น
อันตราย ไม่ต้องถูกกระทบกระเทือนด้วยปัญหา จะเรียกว่าศิลปะหรือ
ไม ?
เมื่อโลกมันมีปัญหามาก มันก็เหมือนกับว่ามันระเกะระกะไปด้วย
หนาม หรือ ด้วยของแหลมขม ที่จะยอกจะตาคนที่อยู่ในโลก ลองคิดู
สักแวบหนึ่งก็พอจะเห็นได้ว่าเราจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นทุกที
ความปลอดภัยไม่รู้หายไปไหนหมด โดยเฉพาะในบ้านในเมืองที่เจริญ
เต็มไปด้วยอันตราย แม้กลางวันแสกๆบนถนนหนทางกระทั้งอยู่ใน
บ้านเรือนในห้องในหับของตน ก็ยังมีอันตราย
หน้า | 16
ที่นี้มันยังมีอันตรายชนิดอื่นที่มองไม่เห็นตัว เช่น โรคภัยไข้เจ็บ
ความหมดเปลือง ความวินาศฉิบหายวิบัติ อะไรต่างๆ นี้ อีกมากมาย
หลายอย่าง นี้เราเรียกว่า โลกสมันนี้มันเต็มไปด้วยอันตราย เราจะอยู่
โลกนี้โดยไม่ประสบอันตรายได้อย่างไรกัน เราต้องเก่งมาก เราต้อง
ฉลาดมาก จึงจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ชนิดที่ไม่ไปโดนกันเข้ากับหนามหรือ
อันตรายที่มีอยู่ทั่วโลก
หน้า | 17
อยู่ในโลกโดย
ไม่ถูกเขี้ยวของโลก
มีรูปภาพในตึกโรงมหรสพทางวิญญาณอยู่ภาพหนึ่งซึ่งมีความหมาย
มาก การอยู่ในโลกเหมื่อนกับลิ้นงูที่อยู่ในปากงู ไม่ถูกเขี้ยวงู มันเป็น
ภาพพจน์หรืออุปมา ที่ให้ความหมายดีมาก
ลิ้นงูมันอยู่ในปากงู คือ อยู่ระหว่างเขี้ยวงู แต่มันไม่เคยถูกกับ
เขี้ยวงู เพราะว่า อยู่อย่างมีศิลปะ จะโดยเจตนาหรือโดยไม่เจตนานั้น
เราไม่ต้องไปรู้ เรารู้แต่ว่าลิ้นงูไม่เคยถูกเขี้ยวงู ฉะนั้น เราจึงอยู่ในโลก
นี้ให้เหมือนลิ้นงู มันไม่ถูกเขี้ยวงู
เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยเขี้ยวของโลก พิษสงอันตรายของโลก
นี้เต็มไปหมด แล้วเราก็ไม่ถูกกับเขี้ยวของโลก นี้เรียกว่าเขี้ยวของโลก
อยู่ในระหว่างเขี้ยวของโลก โดยไม่ถูกเข้ากับเขี้ยวของโลกคนหนุ่มสาว
ระวังให้ดี มีโอกาสที่จะถูกกับเขี้ยวของโลกมากว่า จะต้องศึกษาให้
หน้า | 18
เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็อยู่อย่างเฉลียวฉลาด ไม่ถูกกันกับเขี้ยว
ของโลก ไม่ต้องมานั่งร้องไห้ ไม่ต้องไปกระโดนน้าตาย ไม่ต้อง
แขวนคอตาย ไม่ต้องยิงตัวตาย นี่ก็เรียกว่ามันอยู่ในโลกอย่างไม่
ถูกเขี้ยวของโลก ท่านไปคิดดูเถอะ จะเห็นได้ว่ามันยิ่งจาเป็นยิ่งขึ้น
ทุกที สาหรับโลกยุคปัจจุบันนี้ นี้ก็ข้อหนึ่งแล้ว เรามีชีวิตอยู่ในโลกโดย
ไม่ถูกเขี้ยวของโลก.
หน้า | 19
อยู่ในโลก
โดยกินเหยื่อแล้วไม่ติดเบ็ด
ที่นี้มองดูอีกแง่ถัดไป ข้อที่สอง อยู่ในโลกโดยการกินเหยื่อแล้วไม่
ติดเบ็ด
โลกนี้มันเต็มไปด้วยเหยื่อล่อให้เกิดความอร่อย ทางตาบ้าง
ทางหูบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางผิวหนังบ้าง ทางจิตใจบ้าง เต็มไป
ด้วยความเอร็ดอร่อยที่จะล่อ แล้วสัตย์เหล่านี้ก็ทนไม่ได้ ก็กินเข้าไป
แล้วก็ติดเบ็ด คือความทุกข์ เราจะทาอย่างไรที่จะเป็นเหมือนปลาที่มัน
ฉลาดเป็นพิเศษกินแต่เหยื่อแล้วไม่ติดเบ็ด.
เดี๋ยวนี้มันเป็นปลาโง่ ทั้งนั้นแหลพ ไปกินเหยื่อเหล่านั้นเข้าแล้วก็ติด
เบ็ด คือความทุกข์ ไม่มากก็น้อย ไม่ทางกายก็ทางจิต โดยมากก็คือ
ความทุกข์ เพราะไปเป็นทาสของเหยื่อคือติดเบ็ด
หน้า | 20
พึงรู้จักเหยื่อของโลก
โลกนี้มี ๓ เรื่อง ให้จากันไว้เป็นหลักง่ายๆว่า สาม ก.
ก. กิน , ก.กาม , ก.เกียรติ
เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ นี้เป็นเหยื่อของโลก ในโลกได้
ทั้งนั้น
เรื่องที่ ๑ เรื่องกิน ก็อย่าให้มันติดเบ็ด เกิดปัญหาขึ้นเพราะการกิน
วินาศไปเพราะการกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กินที่ไม่ต้องกิน เช่น กิน
เหล้า หรือ กินอะไรที่มันมากเกินความจาเป็น ที่มันไม่ต้องกิน แม้แต่
กินอาหารที่กินกันจนเกิน จนเสียนิสัยที่จะต้องกินเกิน กินแพงจน
เงินเดือนไม่พอใช้ นี้ก็อย่าให้มีลักษณะเหมือนกับติดเบ็ดในโลก
เกี่ยวกับการกิน
หน้า | 21
เรื่องที่ ๒ เรื่องกาม นี้มันไม่ใช่เรื่องจาเป็น แต่มันก็เกินกว่าที่มนุษย์
จะบังคับได้ เพราะธรรมชาติมันเป็นผู้กาหนดมา มันใส่อวัยวะภายใน
ของคนเราบางอย่างมา ต่อมแกลนด์ประเภทนั้น ซึ่งจะต้องเกิด
ความรู้สึกในทางกาม หรือ ทางวเพศขึ้นมา อย่างที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้
แล้วธรรมชาติอันสูงสุด หรือพระเจ้านี้ฉลาดเหนือมนุษย์ใส่รสอร่อย
สูงสุดในสิ่งที่เรียกว่ากาม เพื่อให้คนหลง แล้วก็ตกเป็นทาสของกาม
แล้วก็ทาหน้าที่ที่น่าเกลียดน่าชัง สกปรก เหน็ดเหนื่อยที่สุด คือการ
สืบพันธุ์
ถ้าไม่มีอะไรมาหลอกมาล่อกันขนดหนัก คือรสแห่งกามแล้วคนก็ไม่
สืบพันธุ์ พันธุ์มันก็สูญ ธรรมชาติไม่ต้องการให้สูญพันธุ์ หรือพระเจ้า
ไม่ต้องการให้สูญพันธุ์ก็ใส่เรื่องกามมาในชีวิตนี้อย่างเหนี่ยวแน่น อย่าง
ทุกคนก็ตกอยู่ใต้อานาจ ฉะนั้นถ้าเราไม่รู้เท่าทัน กินเหยื่อไม่ติดเบ็ด
บริโภคกามโดยไม่ต้องรับโทษทุกข์เพราะกาม ก็ดี ก็เรียกว่าความ
งดงามได้
หน้า | 22
เรื่องที่ ๓ คือ เรื่องเกียรติ คนเราหลงใหลในเกียรติ ถ้าเรื่องกินหมด
ไปแล้ว เรื่องกามหมดไปแล้ว ก็มาติดเรื่องเกียรติ หลงเกียรติ ยอม
ตายเพราะเกียรติ นี้มันก็ไม่งดงาม ถ้าจะมีเกียรติอย่างที่ไม่ต้องทุเรศ
ตา มันก็จะน่ากูและงดงาม
ฉะนั้น กินเหยื่อแล้วก็ไม่ติดเบ็ดของเรื่องกิน เรื่องกาม และ เรื่องเกียรติ
นี้เป็นศิลปะอย่างยิ่งในการที่จะมีชีวิตอย๔ในโลกนี้ นี้เป็นอีกแง่หนึ่งที่
ต้องมอง เพื่อดารงชีวิตอยู่ในโลกให้งดงาม.
หน้า | 23
อยู่ในโลก
โดยผู้ชนะโลก
ทีนี้แง่ถัดไป ข้อที่สาม อยากจะพูดว่าอยู่ในโลกโดยเป็นผู้ชนะโลก พูด
ได้ว่า คนในโลกทั้งหมดก็ว่าได้ อยู่ในโลกอย่างผู้พ่ายแพ้ พ่ายแพ้ต่อ
อานาจของโลก สิ่งหลอกลวงยั่วยวนของโลก ทนทุกข์งอมแงมกัน
ไปทั้งนั้น นี้เราจะมีศิลปะ อยู่ในโลกอย่างผู้ชนะเหนือโลกตลอกดเวล
ลา เราจะไม่พ่ายแพ้แก่โลก เราตัองหนีโลก
คาว่า หนีโลก นั้นเป็นคาพูดที่โง่เขลาที่สุด เช่นว่า บวชหนี
โลกนี้ เป็นไปไม่ได้ในทางพุทธศาสนา บวชนี้เพื่อเอาชนะโลก เพื่อหา
วิธีที่จะเอาชนะโลก ไม่ใช่บวชหนีโลก บวชหนีโลกนั้นคนโง่ พูดตาม
ความคิดของเขาเอง เดี๋ยวนี้อยู่ในโลกไม่ต้องหนีโลก เพราะว่าอยู่อย่าง
ผู้ชนะโลก มีชัยชนะเหนือโลกทุกอย่าง เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่อง
เกียรติ เรื่องเป็นอยู่ในแบบไหน เราก็เป็นผู้ชนะได้ โลกไม่มีบีบคั้นเรา
หน้า | 24
เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องหนีโลกไปบวชดอก ธรรมะมีไว้สาหรับให้คนอยู่
ในโลกอย่างผู้มีชัยชนะ อยู่ในโลกด้วยชัยชนะ
นี้คือธรรมะของพุทธเจ้า ธรรมะของพุทธเจ้ามีวัตถุประสงค์ ให้คนอยู่
ในโลกโดยมีชัยชนะอยู่เหนือโลก ฉะนั้นคนที่ไม่รู้จักมัน ใช่ไม่เป็น ก็พ่าย
แพ้ แล้วก็ว่าหนีโลกไปบวช ยี้ยิ่งโง่ ๒ – ๓ เท่า
ธรรมะต้องการให้อยู่ในโลกนี้ เอาชนะทุกอย่าง เรื่องกิน เรื่อง
กาม เรื่องเกียรติ เรื่องอะไรก็ตามที่มันมีอยู่ในโลก เราจะต้องอยุ่อ
ย่างชนะ ไม่ใช่ชนะอย่างบ้าบิ่น ชนะอย่างโง่เขลา อันนั้นมันก็ใช้ไม่ได้
มันต้องชนะจริงๆ คือ มันไม่สร้างปัญหาขึ้นมา อยู่ได้
สะดวกสบาย
ถ้าอยู่ในโลกด้วยความพ่ายแพ้ มันก็เหมือนตกนรกแหละ มันตก
นรกอยู่ที่ในโลก ซึ่งอยู่ด้วยความพ่ายแพ้ ถ้าว่าเราอยู่ในโลกด้วยชัย
ชนะ มีศิลปะ แล้วก็เหมือนอยู่ในสวรรค์ ได้เหมือนกัน มีวิธีกระทาให้
จิตใจอยู่ด้วยความพอใจ ความสุกสบาย เยือกเย็นเป็นผาสุก นี่ชนะ
โลก มีหลักธรรมะมากพอ ที่จะเอามาใช้ ให้เป็นผู้ชนะโลก อยู่ในโลก
หน้า | 25
สิ่งที่ทาให้อยู่ในโลก
ด้วยความพ่ายแพ้
ที่เราจะพ่ายแพ้ก็คือ สิ่งที่มันมีคุณค่าในทางหลอกลวง ยั่วยวน
ที่หลอกลวงนี้ก็มี และที่มีสภาวะตามธรรมชาติมันก็มี ท่านรู้ไว้เถิดว่า
มีอยู่ ๒ ฝ่ายที่เราจะแพ้มัน
ฝ่ายที่ ๑ ก็คือ ที่มนุษย์ หลงยึดถือปฏิบัติกันขึ้นมาเอง เขา
เรียกกันว่า โลกธรรม-ธรรมที่มีอยู่ในโลก คือสิ่งที่มีอยู่ในโลก
เรียกว่า โลกธรรม ยกตัวอย่างไว้เป็นเรื่อง ได้ลาภ แล้วก็ เสื่อมลาภ
ได้ยศได้เกียรติ แล้วก็ เสื่อมยศเสื่อมเกียรติ, ได้สรรเสริญ แล้วก็ ได้
นินทา, แล้วก็ ได้สุขได้ทุกข์, ก็แยกกันเป็น ๔ เรียกว่า โลกธรรม ๘
ใครบ้างที่ไม่กระทบกันเข้ากับโลกธรรม ถ้าเราอยู่ในโลกมันต้อง
กระทบกันเข้ากับโลกธรรม เพราะว่าในโลกมีสิ่งนี้เป็นลักษณะของมัน
หน้า | 26
เราได้ลาภแล้วเสื่อมลาภ คนโง่มันแพ้ทั้งขึ้นทั้งล่อง เมื่อได้ลาภ
มันก็เอามาสาหรับเป็นบ้าเป็นหลัง ไปยึดมั่นถือมั่น หึงหวง อิจฉา
ริษยาอะไร เพราะการได้ลาภ แล้วก็วิตกกังวลในลาภที่ได้มา แล้วมัน
ก็เป็นโรคประสาทเพราะลาภที่มันได้มานั้นเอง นี่มันพ่ายแพ้แก่การได้
ลาภ
ที่นี้พอเสียลาภมันก็มาร้องไห้ร้องห่ม ตีอกชกหัว เป็นทุกข์
ทรมานไปฆ่าตัวตายเพราะการเสียลาภก็มี เป็นทุกอย่างยิ่ง นี้มันก็แพ้
แก่โลกในการเสียลาภ ได้ลาภมาก็แพ้ เสียลาภไปก็แพ้ แพ้ทั้งขึ้นทั้ง
ล่องนี่เป็นเรื่องของคนโง่
ที่ได้ยศแล้วเสื่อมยศ มันก็เหมือนกันอีก ได้ยศสาหรับมาโง่มา
หลง มาเป็นสุนัขบ้า แล้วก็เสื่อมยศไป มันก็มาเป็นทุกข์ทรมานอยู่ นี้
เรียกว่าแพ้ทั้งขึ้นทั้งล่อง
นี้ได้สรรเสริญได้นินทา เขาสรรเสริญมันก็เหลองเจิ้ง โง่กว่าเดิม
เขานินทาว่าร้ายมันกฌโกรธแค้นและเป็นทุกข์ มันแพ้ทั้งขึ้นทั้งล่อง
หน้า | 27
ได้ความสุขความทุกข์ ได้สุขมาสาหรับโง่ ได้ความทุกข์มาสาหรับ
ทนทรมาน
ฉะนั้นเราจะรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด มามาทาให้เกิดแพ้ทั้งขึ้น
ทั้งล่องอย่างนี้ได้ อย่างนี้เรียกว่าเราชนะโลกในแง่ของการปรุงแต่งใน
โลก หรือ ที่มนุษย์ทาขึ้นมา สมมุติขึ้นมา อย่าไปแพ้มัน.
ฝ่านที่ ๒ ที่ว่าในแง่ของธรรมชาติ สภาวะธรรมตามธรรมชาตินี้
ก็อย่าไปแพ้มัน เช่นว่า ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อย่าง
นี้ อย่าต้องไปร้องไห้เป็นทุกข์เพราะเหตุนั้น มันจะโง่ มันเป็นของ
ธรรมดาที่ว่าจะต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย หรือ มีอะไร
แทรกอยู่ระหว่างนั้นอีกมากมาย อย่าไปแพ้มัน
วิชชาของพระพุทธเจ้าได้ทรงประทานมาให้ครบถ้วนแล้วสาหรับ
จะเอาชนะ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย คือ ข้อที่
พระพุทธองค์ทรงกาชับอย่างยิ่งว่า พวกเธอจงไปประกาศพรหมจรรย์
ให้มีความงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และ เบื้องปลาย นั้นแหละ
หน้า | 28
ถ้าภิกษุเหล่านั้นไปประกาศพรหมจรรย์ได้ตามนั้นจริงก็คือการไป
แจกยา หรือ เครื่องคุ้มกัน ให้มนุษย์ไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะ การเกิด
แก่ เจ็บ ตาย แล้วก็รับเอาพรหมจรรย์หรือยาอันวิเศษนี้ เอามาใช้
ประจาชีวิตของเรา เราก็ไม่ต้องแพ้แก่โลก ในสภาวะธรรมชาติ เช่น
การที่ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
เดี๋ยวนี้อะไรนิดหนึ่งก็เป็นทุกข์เดือดร้อน ร้องห่มร้องไห้ เพราะ
ความเจ็บไข้ แม้แต่เพราะความชรา ก็ดิ้นรนทรมานอยู่ ต่อสู้อย่างโง่
เขลา มันก็ยิ่งมีปัญหามาก แม้ความตายนี้ มันก็ไม่ควรจะมีปัญหา
มาก ให้เดือดร้อนกระวนกระวาย ควรจะตายอย่างมีศิลปะ คือ ตาย
อย่างชนิดที่ไม่มีความหมายอะไร มาขู่เข็ญจิตใจของเราให้เป็นทุกข์ เรา
สามารถจะหัวเราะเยาะความตายหรือพูดอีกทีหนึ่งก็ว่า กวักมือเข้ามา
ๆ ต่อสู้กัน นี่ตายอย่างมีศิลปะ
ถ้ามีธรรมะจริง มันตายเสร็จแล้วก่อนแต่ร่างกายตาย ตัวกู
ตัวตน นี้มันตายเสร็จแล้วก่อนแต่ร่างกายตาย นั้นคือผลปฏิบัติตาม
พระธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นความตายเลยไม่มี
หน้า | 29
ความหมายเอาชนะความตายได้ เอาชนะมัจจุราชได้ เพราะการปฏิบัติ
ธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือ เรื่อง สุญญตา เรื่องอนัตตา
นั่นเอง
ภาพเรื่อง หนวดเต่า เขากระต่าย
นอกบ แต่ว่าคนโง่ดูไม่รู้เรื่องแน่
เพราะคนโง่ไม่อยากจะดูเรื่องนี้ด้วย
พอได้ยินก็สั่นหัวเสียแล้ว เพราะเขา
ทาไว้ให้คนฉลาดดู ขอร้องให้ดูกัน
เสียใหม่อีกทีว่าเรื่อง หนวดเต่า
เขากระต่าย นอกบ นั้นมันเป็น
อย่างไร นั่นแหละคือเรื่องชนะความตาย เอาละ เป็นอันว่าเรา
ดารงชีวิตอยู่ในโลก โดยมีชัยชนะอยู่เหนือโลกตลอดเวลา ไม่ต้องแพ้
แก่โลก ไม่ต้องหนีโลก ซึ่งมันหนีไปไหนไม่ได้ มันพูดแต่ปาก ทั้งในแง่
ของการปรับปรุงแต่งโดยมนุษย์ กระทั้งในแง่ของการเป็นไปเองตาม
ธรรมชาติ ของสิ่งที่มันเป็นธรรมชาติ
หน้า | 30
นี้คือการดารงชีวิตในดลก ชนิดที่ไม่พ่ายแพ้แกโลก อยู่เหนือโลก
อยู่อย่างไม่ถูกเขี้ยวของโลก อยู่อย่างกินเหยื่อแล้วไม่ติดเบ็ด
อยู่อย่างชนะปัญหาทุกอย่างในโลก อย่างที่กล่าวมาแล้ว .
การบรรยายธรรมประจาวันเสาร์แห่งภาควิสาขบูชา ครั้งที่ ๔
ท่านพุทธทาสภิกขุ
สวนโมกขพลารา , ไชยา
หน้า | 31

More Related Content

Similar to อีบุ๊ค ศิลปะการมีชีวิตอยู่บนโลก

ความหมายของศิลปะและขอบข่ายงามศิลปะ
ความหมายของศิลปะและขอบข่ายงามศิลปะ ความหมายของศิลปะและขอบข่ายงามศิลปะ
ความหมายของศิลปะและขอบข่ายงามศิลปะ ครูหนุ่ม สอนศิลปะ
 
โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์YajokZ
 
Dhamma core
Dhamma coreDhamma core
Dhamma coreYajokZ
 
โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์guest3650b2
 
ผู้นำขี้โอ่...โอหัง
ผู้นำขี้โอ่...โอหังผู้นำขี้โอ่...โอหัง
ผู้นำขี้โอ่...โอหังWat Thai Washington, D.C.
 
องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์peter dontoom
 
องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์peter dontoom
 
องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์peter dontoom
 
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อ
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อวิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อ
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อPadvee Academy
 
Saeng Dhamma Vol. 37 No. 437 September 2011
Saeng Dhamma Vol. 37 No. 437 September 2011 Saeng Dhamma Vol. 37 No. 437 September 2011
Saeng Dhamma Vol. 37 No. 437 September 2011 Wat Thai Washington, D.C.
 
ปลายภาค ม3
ปลายภาค ม3ปลายภาค ม3
ปลายภาค ม3peter dontoom
 
สไลด์ ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-4page
สไลด์  ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-4pageสไลด์  ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-4page
สไลด์ ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-4pagePrachoom Rangkasikorn
 
สไลด์ ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-1page
สไลด์  ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-1pageสไลด์  ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-1page
สไลด์ ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-1pagePrachoom Rangkasikorn
 
ชีวิตใหม่
ชีวิตใหม่ชีวิตใหม่
ชีวิตใหม่Thamma Dlife
 
บุคคลต้นแบบ
บุคคลต้นแบบบุคคลต้นแบบ
บุคคลต้นแบบTeeraporn Pingkaew
 

Similar to อีบุ๊ค ศิลปะการมีชีวิตอยู่บนโลก (17)

ความหมายของศิลปะและขอบข่ายงามศิลปะ
ความหมายของศิลปะและขอบข่ายงามศิลปะ ความหมายของศิลปะและขอบข่ายงามศิลปะ
ความหมายของศิลปะและขอบข่ายงามศิลปะ
 
โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์
 
Dhamma core
Dhamma coreDhamma core
Dhamma core
 
โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์
 
ผู้นำขี้โอ่...โอหัง
ผู้นำขี้โอ่...โอหังผู้นำขี้โอ่...โอหัง
ผู้นำขี้โอ่...โอหัง
 
องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์
 
องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์
 
องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์องค์ประกอบศิลป์
องค์ประกอบศิลป์
 
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อ
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อวิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อ
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อ
 
Saeng Dhamma Vol. 37 No. 437 September 2011
Saeng Dhamma Vol. 37 No. 437 September 2011 Saeng Dhamma Vol. 37 No. 437 September 2011
Saeng Dhamma Vol. 37 No. 437 September 2011
 
ปลายภาค ม3
ปลายภาค ม3ปลายภาค ม3
ปลายภาค ม3
 
5-kamma.pdf
5-kamma.pdf5-kamma.pdf
5-kamma.pdf
 
สไลด์ ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-4page
สไลด์  ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-4pageสไลด์  ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-4page
สไลด์ ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-4page
 
สไลด์ ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-1page
สไลด์  ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-1pageสไลด์  ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-1page
สไลด์ ภูมิปัญญาไทย1+508+dltvsocp6+55t2soc p06 f13-1page
 
ชีวิตใหม่
ชีวิตใหม่ชีวิตใหม่
ชีวิตใหม่
 
บุคคลต้นแบบ
บุคคลต้นแบบบุคคลต้นแบบ
บุคคลต้นแบบ
 
Saeng Dhamma Vol. 30 No. 425 September 2010
Saeng Dhamma Vol. 30 No. 425 September 2010Saeng Dhamma Vol. 30 No. 425 September 2010
Saeng Dhamma Vol. 30 No. 425 September 2010
 

More from Panda Jing

จิตตนคร นครหลวงของโลก
จิตตนคร นครหลวงของโลกจิตตนคร นครหลวงของโลก
จิตตนคร นครหลวงของโลกPanda Jing
 
อีบุ๊ค หลักธรรม หลักทำ ตามรอยพระยุคลบาท
อีบุ๊ค หลักธรรม หลักทำ ตามรอยพระยุคลบาทอีบุ๊ค หลักธรรม หลักทำ ตามรอยพระยุคลบาท
อีบุ๊ค หลักธรรม หลักทำ ตามรอยพระยุคลบาทPanda Jing
 
File 633116b358da6b762609165edeaa0f3c
File 633116b358da6b762609165edeaa0f3cFile 633116b358da6b762609165edeaa0f3c
File 633116b358da6b762609165edeaa0f3cPanda Jing
 
Plook ฉบับเดือน เมษายน ปี 2011
Plook ฉบับเดือน เมษายน ปี 2011Plook ฉบับเดือน เมษายน ปี 2011
Plook ฉบับเดือน เมษายน ปี 2011Panda Jing
 
Plook ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2011
Plook ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2011Plook ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2011
Plook ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2011Panda Jing
 
Way toteacher001
Way toteacher001Way toteacher001
Way toteacher001Panda Jing
 
อีบูีค ๑๐๐ พระชันษา พระโอวาทธรรม
อีบูีค ๑๐๐ พระชันษา พระโอวาทธรรมอีบูีค ๑๐๐ พระชันษา พระโอวาทธรรม
อีบูีค ๑๐๐ พระชันษา พระโอวาทธรรมPanda Jing
 
อีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนัก
อีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนักอีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนัก
อีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนักPanda Jing
 
Plook ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2011
Plook ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2011Plook ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2011
Plook ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2011Panda Jing
 
Plook ฉบับเดือน มกราคม ปี 2011
Plook ฉบับเดือน มกราคม ปี 2011Plook ฉบับเดือน มกราคม ปี 2011
Plook ฉบับเดือน มกราคม ปี 2011Panda Jing
 
สาเหตุและวิธีการรักษาอาการนอนกรน
สาเหตุและวิธีการรักษาอาการนอนกรนสาเหตุและวิธีการรักษาอาการนอนกรน
สาเหตุและวิธีการรักษาอาการนอนกรนPanda Jing
 
อีบุ๊ค ใจความสำคัญแห่งพระพุทธศาสนา
อีบุ๊ค ใจความสำคัญแห่งพระพุทธศาสนาอีบุ๊ค ใจความสำคัญแห่งพระพุทธศาสนา
อีบุ๊ค ใจความสำคัญแห่งพระพุทธศาสนาPanda Jing
 
อีบุ๊ค ทำไมต้องค้านเขื่อนแม่วงก์
อีบุ๊ค ทำไมต้องค้านเขื่อนแม่วงก์อีบุ๊ค ทำไมต้องค้านเขื่อนแม่วงก์
อีบุ๊ค ทำไมต้องค้านเขื่อนแม่วงก์Panda Jing
 
ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัว
ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัวให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัว
ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัวPanda Jing
 
อีบุ๊ค คุณานุคุณไตรภาค
อีบุ๊ค คุณานุคุณไตรภาคอีบุ๊ค คุณานุคุณไตรภาค
อีบุ๊ค คุณานุคุณไตรภาคPanda Jing
 
อีบุ๊ค กองทัพทั้งสิบของมาร
อีบุ๊ค กองทัพทั้งสิบของมารอีบุ๊ค กองทัพทั้งสิบของมาร
อีบุ๊ค กองทัพทั้งสิบของมารPanda Jing
 
ศาสนาพุทธในประเทศไทย
ศาสนาพุทธในประเทศไทยศาสนาพุทธในประเทศไทย
ศาสนาพุทธในประเทศไทยPanda Jing
 
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (World war i)
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (World war i)สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (World war i)
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (World war i)Panda Jing
 
อีบุ๊ค Health ฉบับที่ 1
อีบุ๊ค Health ฉบับที่ 1อีบุ๊ค Health ฉบับที่ 1
อีบุ๊ค Health ฉบับที่ 1Panda Jing
 
พญานาค ตำนาน ความเชื่อ หรือความจริง
พญานาค ตำนาน ความเชื่อ หรือความจริงพญานาค ตำนาน ความเชื่อ หรือความจริง
พญานาค ตำนาน ความเชื่อ หรือความจริงPanda Jing
 

More from Panda Jing (20)

จิตตนคร นครหลวงของโลก
จิตตนคร นครหลวงของโลกจิตตนคร นครหลวงของโลก
จิตตนคร นครหลวงของโลก
 
อีบุ๊ค หลักธรรม หลักทำ ตามรอยพระยุคลบาท
อีบุ๊ค หลักธรรม หลักทำ ตามรอยพระยุคลบาทอีบุ๊ค หลักธรรม หลักทำ ตามรอยพระยุคลบาท
อีบุ๊ค หลักธรรม หลักทำ ตามรอยพระยุคลบาท
 
File 633116b358da6b762609165edeaa0f3c
File 633116b358da6b762609165edeaa0f3cFile 633116b358da6b762609165edeaa0f3c
File 633116b358da6b762609165edeaa0f3c
 
Plook ฉบับเดือน เมษายน ปี 2011
Plook ฉบับเดือน เมษายน ปี 2011Plook ฉบับเดือน เมษายน ปี 2011
Plook ฉบับเดือน เมษายน ปี 2011
 
Plook ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2011
Plook ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2011Plook ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2011
Plook ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2011
 
Way toteacher001
Way toteacher001Way toteacher001
Way toteacher001
 
อีบูีค ๑๐๐ พระชันษา พระโอวาทธรรม
อีบูีค ๑๐๐ พระชันษา พระโอวาทธรรมอีบูีค ๑๐๐ พระชันษา พระโอวาทธรรม
อีบูีค ๑๐๐ พระชันษา พระโอวาทธรรม
 
อีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนัก
อีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนักอีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนัก
อีบุ๊ค ชีวิตนี้น้อยนัก
 
Plook ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2011
Plook ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2011Plook ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2011
Plook ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2011
 
Plook ฉบับเดือน มกราคม ปี 2011
Plook ฉบับเดือน มกราคม ปี 2011Plook ฉบับเดือน มกราคม ปี 2011
Plook ฉบับเดือน มกราคม ปี 2011
 
สาเหตุและวิธีการรักษาอาการนอนกรน
สาเหตุและวิธีการรักษาอาการนอนกรนสาเหตุและวิธีการรักษาอาการนอนกรน
สาเหตุและวิธีการรักษาอาการนอนกรน
 
อีบุ๊ค ใจความสำคัญแห่งพระพุทธศาสนา
อีบุ๊ค ใจความสำคัญแห่งพระพุทธศาสนาอีบุ๊ค ใจความสำคัญแห่งพระพุทธศาสนา
อีบุ๊ค ใจความสำคัญแห่งพระพุทธศาสนา
 
อีบุ๊ค ทำไมต้องค้านเขื่อนแม่วงก์
อีบุ๊ค ทำไมต้องค้านเขื่อนแม่วงก์อีบุ๊ค ทำไมต้องค้านเขื่อนแม่วงก์
อีบุ๊ค ทำไมต้องค้านเขื่อนแม่วงก์
 
ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัว
ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัวให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัว
ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัว
 
อีบุ๊ค คุณานุคุณไตรภาค
อีบุ๊ค คุณานุคุณไตรภาคอีบุ๊ค คุณานุคุณไตรภาค
อีบุ๊ค คุณานุคุณไตรภาค
 
อีบุ๊ค กองทัพทั้งสิบของมาร
อีบุ๊ค กองทัพทั้งสิบของมารอีบุ๊ค กองทัพทั้งสิบของมาร
อีบุ๊ค กองทัพทั้งสิบของมาร
 
ศาสนาพุทธในประเทศไทย
ศาสนาพุทธในประเทศไทยศาสนาพุทธในประเทศไทย
ศาสนาพุทธในประเทศไทย
 
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (World war i)
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (World war i)สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (World war i)
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (World war i)
 
อีบุ๊ค Health ฉบับที่ 1
อีบุ๊ค Health ฉบับที่ 1อีบุ๊ค Health ฉบับที่ 1
อีบุ๊ค Health ฉบับที่ 1
 
พญานาค ตำนาน ความเชื่อ หรือความจริง
พญานาค ตำนาน ความเชื่อ หรือความจริงพญานาค ตำนาน ความเชื่อ หรือความจริง
พญานาค ตำนาน ความเชื่อ หรือความจริง
 

อีบุ๊ค ศิลปะการมีชีวิตอยู่บนโลก

  • 2. หน้า | 1 ผู้เขียน ขอนาเสนอ การบรรยายธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุ เรื่อง ศิลปะแห่งการครองชีวต บางบทบางส่วนมานาเสนอเพื่อเป็นธรรมทาน.
  • 3. หน้า | 2 พุทธบริษัท พึงรู้ความหมายของศิลปะ ท่านทั้งหลายเป็นอันมาก ไม่เคยฟังบรรยายตั้งแต่ต้นย่อมมีความ สงสัยขึ้นในใจว่ามีศิลปะอะไรกันที่เกี่ยวกับธรรมะหรือว่าธรรมะจะมา เป็นศิลปะในการมีชีวิตได้อย่างไร ? คาว่า ศิลปะ คนพวกอื่นเข้าจะมีคาจากัดความหมายอย่างไรก็ตาม ใจเขา สาหรับเราพวกพุทธบรัท จากัดความหมายของคาว่าศิลปะไว้ว่า ความสาเร็จ ที่บวกกันเข้ากับ ความงดงาม และ บวกกันเข้ากับ ความมีฝีมือในการประพฤติหรือกระทา ถ้ารวมกันได้ทั้ง ๓ อย่าง แล้ว ก็เรียกว่าเป็น ศิลปะ . พระพุทธองค์จึงทรงย้านักย้าหนาว่า “ เธอจงประกาศพรหมจรรย์ ให้มีความงดงามในเบื้องต้น ความงามในท่ามกลางและความงาม ในเบื้องปลาย ” ถ้าท่านมอง พระพุทธองค์ ในแง่นี้ ก็จะเห็นได้ทันที
  • 4. หน้า | 3 ว่าทรงเป็นศิลปินหรือมีวิญญาณแห่งศิลปิน และ มุ่งหมายให้พวกเรา ใช้ความเป็นศิลปิน คือ มีประโยชน์จากศิลปะ นี้ยังจะต้องบวกกับ ความมีฝีมือ หมายถึง มันกระทาได้โดยยาก เป็นงานฝีมือที่ละเอียดอ่อนที่ทาได้โดยยาก ความหมายของคาว่า ศิลปะ แปลว่า สาเร็จประโยชน์ บวกกันอยู่ กับ ความงดงาม และ ความมีฝีมือ. ความงาม - ความงามจูงจคนให้สนใจคนให้ทาตาม นี้เป็นความงาม ในทางนามธรรม. - ความงามทางธรรม ไม่ใช่งามด้วยเขียวๆ แดงๆ สีสัน วรรณะลวดลาย แต่มันเป็นความงดงามของการ ประพฤติ ของมายาท ของการกระทา เมื่อเขาเห็นแล้วก็ ยินดี พอใจ เลื่อมใส สมัครใจเอาอย่าง.
  • 5. หน้า | 4 มีฝีมือ - ฝีมือ คือกระทายาก ถ้ามันง่ายไปหมดหรือไม่ต้องการฝีมือ ทุกคนก็เป็นศิลปินไปหมด ที่นี้มันจะทาได้แต่คนมีฝีมือ ซึ่ง แสดงอยู่ในตัวแล้วว่าไม่ใช่คนโง่. ระวังให้ดี คนโง่จะทาอะไรให้มีฝีมือไม่ได้ แล้วคนก็ยอมโง่ยอมไม่ทา อะไรให้มีฝีมือ นี้มันก็มีอยู่มากในโลกนี้หรือจะเป็นธรรมดาไปเสียที่ เดียว.
  • 6. หน้า | 5 ทบทวน ศิลปะแห่งการครองชีวิต ที่นี้ก็มาดูถึงหัวข้อที่ว่า “ ศิลปะสาหรับการมีชีวิตอยู่ในโลก ” ก็คือ คนจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ขอให้อยู่อย่างมีศิลปะ. ชีวิตในฐานะวัตถุแห่งศิลปะ ออกจะฟังยากสาหรับคนทั่วไป เพราะว่า เขาเอาวัตถุจริงๆ กันเสียโดยมาก มาเป็นวัตถุแห่งศิลปะ คือ เป็นวัตถุ สิ่งของ เป็นไม้เป็นไล่ เป็นโลหะ เป็นกระดาษ เป็นก้อนหิน เป็นอะไร ก็ตาม เป็นวัตถุแห่งศิลปะ อย่างที่เราก็ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง อยู่ว่ามัน เป็นวัตถุแห่งศิลปะแต่เดี๋ยวนี้ ตัวชีวิต โดยเฉพาะส่วนที่เป็นนามธรรม เราสามารถที่จะเอามาเป็นวัตถุที่ตั้งแห่งศิลปะ ก็คือ ทาชีวิตนั้นให้ งดงาม
  • 7. หน้า | 6 ศิลปะแห่งการมีชีวิตอยู่เหนือปัญญา หมายความว่า ชีวิตเต็มไป ด้วยปัญหา นี้เป็นชีวิตธรรมดา ถ้าทาให้อยู่เหนือปัญหาได้ นั้นเป็นชีวิต ที่มีศิลปะ ศิลปะ หมายถึง วัตถุ, การกระทา, ความคิด และ การแสดงออก ท่านก็พอจะเข้าใจได้ว่า คาว่า ศิลปะ นี้ ไม่ได้หมายความถึงเรื่องทาง วัตถุอย่างเดียวเสียแล้ว นั้น หมายถึง การกระทา กริยาแห่งการ กระทา หมายถึง ความคิด และ การแสดงออกแห่งความคิด.
  • 8. หน้า | 7 ชีวิตต้องเนื่องอยู่กับศิลปะ จึงจะงดงามน่าดู ศิลปะสาหรับการมีชีวิต คือ การบอกให้รู้ว่า ชีวิตต้องเนื่องอยู่กับ ศิลปะ มีความสงบสุข ชนิดที่มีความงดงาม ท่านลองเป็นอยู่อย่างไม่มีศิลปะ ดูก็ได้ แล้วชีวิตของท่านมันก็จะ กลายเป็นนรกไปทันที คือ มันกระทาไปในทางที่ไม่มีอะไรงดงามเลยใน การกระทาทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางจิตใจก็ดี สติปัญญาความคิด เห็ก็ดี มันจะผิดหมด ที่มันไม่งามนั้นคือผิด มันไม่สพเร็จประโยชน์ แล้วมันก็เป็นทุกข์และเดือดร้อน แล้วก็ทาได้ง่ายๆทาโดยไม่ต้องมี ความรู้ความคิดความพยายามอะไร นี่คือ ชีวิตที่ไม่มีศิลปะ ก็จะ กลายเป็นแหล่งแห่งความทุกข์ทรมานไปเสียเอง แล้วลองมองดูไปที่ ความทุกข์ ใครเห็นว่างามบ้าง ? แล้วความหมานของคาว่า “ ทุกข์ ” นี้ แสดงอยู่ชัดแล้วว่า ดูแล้วน่ารังเกลียด
  • 9. หน้า | 8 คาว่า “ ทุกข์” แปลว่า ดูแล้วน่าเกลียด แม้ว่าจะไม่มีชีวิตวิญญาณ อะไร มันน่าเกลียดอยู่ที่มันมีความเปลี่ยนแปลง หลอกลวง จึงพูด ได้ว่า ขึ้นชื่อว่าความทุกข์แล้ว ไม่ว่าในแง่ไหน มันน่าเกลียดไปเสีย ทั้งนั้น ความทุกข์ที่เจ็บปวด ครวญครางร้องโอดโอยอยู่นี้มันก็เห็นชัด แล้วว่าน่าเกลียดน่าชังไม่งาม คือไม่งาม ดูคนร้องไห้ ดูคนเป็นทุกข์ แล้วมันก็ไม่รู้สึกงาม นี้แม้แต่ก้อนหิน ที่มันไม่มีชีวิตวิญญาณไม่ร้องครวญครางโอดโอย อะไร แต่ถ้าดูแล้วมันก็มีลักษณะแห่งความทุกข์ คือเปลี่ยนแปลง แล้วน่าเกลียด แล้วมันไม่งาม นี้หมายความว่า บุคคลนั้นดูด้วยสายตา ที่ประกอบไปด้วยปัญญาตามทางธรรม ก็เห็นว่าสังขารทั้งปวง ที่มี ชีวิตจิตใจหรือไม่มีชีวิตจิตใจ มันก็ ไม่น่าพอใจ ไม่น่างดงามอะไร เพราะมันเปลี่ยนแปลงเรื่อย จึงเรียกว่า ทุกข์ สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ มันเป็นทุกข์ในความหมายนี้ คือในความหมาย ดูแล้วมันไม่งาม
  • 10. หน้า | 9 ฉะนั้นเราจึงถือเอาความหมายของคาว่า “ สุข ” ว่าตรงกันข้าม คือ มันน่าดู หรือ มันงดงาม แล้วความสุขอันแท้จริงนั้น คือ ความสงบสุข เป็นสันติก็ยิ่งงาม มีความหมายมากในทางธรรม เราจงมีสติปัญญาอันละเอียดอ่อนกันเสียบ้างที่จะมีความรู้เรื่องอัน ละเอียดอ่อนอีกเหมื่อนกัน คือ เรื่องของศิลปะ เรื่องที่ทาอะไรๆ ให้มัน งดงาม อย่าสักแต่ว่ามีกินอิ่มปากอิ่มท้องแล้ว มันก็พอแล้ว มันต้องมี การเป็นอยู่ที่งดงามด้วย แล้วก็ไม่ใช่งดงามแต่เพียงทางกายนอก ทาง วัตถุ มีเครื่องแต่งตัวสวย มีบ้านสวย มีอะไรสวย แล้วมันจะพอ นั้น มันไม่พอ มันต้องมีเจ้าของบ้านที่สวยด้วย เจ้าของบ้านที่มีความ งดงามอยุ่ที่กาย วาจา ใจ ด้วย ทั้งหมดจึงจะเป็นชีวิตที่งดงาม หรือที่ น่าดู ถ้าอย่างสัตว์เดรัขฉานไม่มีความคิดนึกหรือความรู้สึกหรือ มันสมอง ลึกขึ้นมาถึงความงดงามชนิดนี้มันจึงไม่มีความรู้สึกที่เป็น ศิลปะ
  • 11. หน้า | 10 แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นคน เป็นมนุษย์ แปลว่ามีใจสูง มันควรจะสูง พอที่จะรู้จักความเป็นมนุษย์นั้น ว่ามันสูง ว่ามันสวย ว่ามันงาม คือ ความที่ต้องมีศิลปะนั้นเอง.
  • 12. หน้า | 11 ชีวิตอยู่ในโลกได้อย่างงดงาม ต้องมีธรรมะ ทีนี้ก็ตามหัวข้อที่ยกขึ้นไว้ข้างต้นนั้นว่า ศิลปะสาหรับการมีชีวิต อยู่ในโลก ฉะนั้นฟังให้ดีว่า มีชีวิตอยู่ในโลกก็ต้องมีชีวิตอยู่ในโลกอย่าง งดงาม ไม่ใช่อย่างที่จะปล่อยตามบุญตามกรรมได้ เราควรจะพิจารณา ดูกันในเบื้องต้นเสมอว่า โลกนี้มันคืออะไร ? คาว่า “ โลก” มันเลยไปถึง สัตย์โลก คือ สิ่งที่มีชีวิตที่มารวมๆ เข้าด้วยกันทั้งหมดนั้นเอง บรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เอาชีวิตนี้มา รวมๆกันเข้าแล้วก็คือ โลก การดารงชีวิตอย่างไรจึงจะงดงาม คือจะเป็นสุขสบายไม่มีความ ทุกข์นั้นคือปัญหา
  • 13. หน้า | 12 ฉะนั้น โลก ก็คือ สิ่งที่มีปัญหา ว่าจะอยู่กันอย่างไรจึงจะงดงาม มันไม่เพียงแต่ชีวิตที่มารวมๆกันอยู่เฉยๆเสียแล้ว มันได้สร้างปัญหา ขึ้นมา เพราะการที่มาอยู่รวมๆกัน นี้มันไม่งดงาม ถ้าไม่มีธรรมะสาหรับ การอยู่รวมๆกันอย่างถูกต้อง ฉะนั้นเราต้องมีธรรมะข้อนี้ ซึ่งเราเรียก กันเสียใหม่ว่า ศิลปะสาหรับการดารงชีวิตอยุ่ในโลก.
  • 14. หน้า | 13 ปัญหาของโลกมีทั้ง ตามธรรมชาติและวิวัฒนาการ โลกนี้มีปัญหาตามธรรมชาติ ชีวิตมีปัญหาอยู่ตามธรรมชาติมา ครบถ้วน ขอให้มองดูกันในแง่นี้ก่อน ว่าโลกนี้มันมีปัญหาอยู่ตาม ธรรมชาติ มากพออยู่แล้วเหมื่อนกัน คือว่าเราเกิดมานี้ มันต้องต่อสู้ อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ มันก็มีการดิ้นรนต่อสู้ คลอด ออกมา ก็คือการดิ้นรนต่อสู้ ต้องต่อสู้กับดินฟ้าอากาศ ต้องต่อสู้กัน กับทุกอย่างที่มาแวดล้อม ต้องต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ ตามปกติ ธรรมดาเราก็ต้องกินอาหาร เราก็ต้องหาอาหาร เราต้องบริหาร ร่างกายให้มันถูกต้อง มันจึงจะรอกชีวิตอยู่ได้ ฉะนั้นตามธรรมชาติมัน ก็มีปัญหาอยู่แล้ว ที่นี้พอเกิดมาแล้ว มาอยู่รวมกันเป็นโลก ปัญหาที่มากไปกว่า ธรรมชาติมันก็เกิดขึ้น ที่เรียกว่า ปัญหาทางการเมือง หมายความว่า
  • 15. หน้า | 14 เมื่อมาสัมพันธ์กันเข้า มีนมีปัญหาใหม่แปลกออกไป ที่เรียกว่า วิวัฒนาการไปกว่าธรรมชาติ เดี๋ยวนี้มนุษย์เราในโลก มีวิวัฒนาการด้วย สติปัญญา มีนั่นมีนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ จนเฟ้อ จนเกิน จนเกิดกิเลส จะต้องต่อสู้กับกิเลสยากมากไปกว่าเดิม ซึ่งเพียงแต่ต่อสู้กับธรรมชาติ เดี๋ยวนี้ต้องมาต่อสู้กับกิเลส คือ ความโง่ของมนุษย์ ที่ทาอะไรที่ไม่ควร จะทาขึ้นมามากมาย ให้มีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย เกี่ยวกับการ กินอาหาร เกี่ยวกับการนุ่งห่ม เกี่ยวกับการอยู่อาศัยใช้สอย เกี่ยวกับ การบาบัดโรคภัยไข้เจ็บ นี้ปัญหามันก็มากกว่าแต่ก่อน.
  • 16. หน้า | 15 ต้องดารงชีวิตอยู่ในโลก โดยไม่เป็นอันตราย โลก คือ กลุ่มแห่งปัญหาซับซ้อน ยุ่งเหยิงสางไม่ออก เมื่อเรามีหน้าที่ที่จะต้องอยู่ในโลกนี้ จะต้องดารงชีวิตอยู่ในโลกนี้ ซึ่ง เต็มไปด้วยปัญหา เราจะต้องอยู่ในท่ามกลางปัญหาโดยไม่ต้องเป็น อันตราย ไม่ต้องถูกกระทบกระเทือนด้วยปัญหา จะเรียกว่าศิลปะหรือ ไม ? เมื่อโลกมันมีปัญหามาก มันก็เหมือนกับว่ามันระเกะระกะไปด้วย หนาม หรือ ด้วยของแหลมขม ที่จะยอกจะตาคนที่อยู่ในโลก ลองคิดู สักแวบหนึ่งก็พอจะเห็นได้ว่าเราจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นทุกที ความปลอดภัยไม่รู้หายไปไหนหมด โดยเฉพาะในบ้านในเมืองที่เจริญ เต็มไปด้วยอันตราย แม้กลางวันแสกๆบนถนนหนทางกระทั้งอยู่ใน บ้านเรือนในห้องในหับของตน ก็ยังมีอันตราย
  • 17. หน้า | 16 ที่นี้มันยังมีอันตรายชนิดอื่นที่มองไม่เห็นตัว เช่น โรคภัยไข้เจ็บ ความหมดเปลือง ความวินาศฉิบหายวิบัติ อะไรต่างๆ นี้ อีกมากมาย หลายอย่าง นี้เราเรียกว่า โลกสมันนี้มันเต็มไปด้วยอันตราย เราจะอยู่ โลกนี้โดยไม่ประสบอันตรายได้อย่างไรกัน เราต้องเก่งมาก เราต้อง ฉลาดมาก จึงจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ชนิดที่ไม่ไปโดนกันเข้ากับหนามหรือ อันตรายที่มีอยู่ทั่วโลก
  • 18. หน้า | 17 อยู่ในโลกโดย ไม่ถูกเขี้ยวของโลก มีรูปภาพในตึกโรงมหรสพทางวิญญาณอยู่ภาพหนึ่งซึ่งมีความหมาย มาก การอยู่ในโลกเหมื่อนกับลิ้นงูที่อยู่ในปากงู ไม่ถูกเขี้ยวงู มันเป็น ภาพพจน์หรืออุปมา ที่ให้ความหมายดีมาก ลิ้นงูมันอยู่ในปากงู คือ อยู่ระหว่างเขี้ยวงู แต่มันไม่เคยถูกกับ เขี้ยวงู เพราะว่า อยู่อย่างมีศิลปะ จะโดยเจตนาหรือโดยไม่เจตนานั้น เราไม่ต้องไปรู้ เรารู้แต่ว่าลิ้นงูไม่เคยถูกเขี้ยวงู ฉะนั้น เราจึงอยู่ในโลก นี้ให้เหมือนลิ้นงู มันไม่ถูกเขี้ยวงู เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยเขี้ยวของโลก พิษสงอันตรายของโลก นี้เต็มไปหมด แล้วเราก็ไม่ถูกกับเขี้ยวของโลก นี้เรียกว่าเขี้ยวของโลก อยู่ในระหว่างเขี้ยวของโลก โดยไม่ถูกเข้ากับเขี้ยวของโลกคนหนุ่มสาว ระวังให้ดี มีโอกาสที่จะถูกกับเขี้ยวของโลกมากว่า จะต้องศึกษาให้
  • 19. หน้า | 18 เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็อยู่อย่างเฉลียวฉลาด ไม่ถูกกันกับเขี้ยว ของโลก ไม่ต้องมานั่งร้องไห้ ไม่ต้องไปกระโดนน้าตาย ไม่ต้อง แขวนคอตาย ไม่ต้องยิงตัวตาย นี่ก็เรียกว่ามันอยู่ในโลกอย่างไม่ ถูกเขี้ยวของโลก ท่านไปคิดดูเถอะ จะเห็นได้ว่ามันยิ่งจาเป็นยิ่งขึ้น ทุกที สาหรับโลกยุคปัจจุบันนี้ นี้ก็ข้อหนึ่งแล้ว เรามีชีวิตอยู่ในโลกโดย ไม่ถูกเขี้ยวของโลก.
  • 20. หน้า | 19 อยู่ในโลก โดยกินเหยื่อแล้วไม่ติดเบ็ด ที่นี้มองดูอีกแง่ถัดไป ข้อที่สอง อยู่ในโลกโดยการกินเหยื่อแล้วไม่ ติดเบ็ด โลกนี้มันเต็มไปด้วยเหยื่อล่อให้เกิดความอร่อย ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางผิวหนังบ้าง ทางจิตใจบ้าง เต็มไป ด้วยความเอร็ดอร่อยที่จะล่อ แล้วสัตย์เหล่านี้ก็ทนไม่ได้ ก็กินเข้าไป แล้วก็ติดเบ็ด คือความทุกข์ เราจะทาอย่างไรที่จะเป็นเหมือนปลาที่มัน ฉลาดเป็นพิเศษกินแต่เหยื่อแล้วไม่ติดเบ็ด. เดี๋ยวนี้มันเป็นปลาโง่ ทั้งนั้นแหลพ ไปกินเหยื่อเหล่านั้นเข้าแล้วก็ติด เบ็ด คือความทุกข์ ไม่มากก็น้อย ไม่ทางกายก็ทางจิต โดยมากก็คือ ความทุกข์ เพราะไปเป็นทาสของเหยื่อคือติดเบ็ด
  • 21. หน้า | 20 พึงรู้จักเหยื่อของโลก โลกนี้มี ๓ เรื่อง ให้จากันไว้เป็นหลักง่ายๆว่า สาม ก. ก. กิน , ก.กาม , ก.เกียรติ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ นี้เป็นเหยื่อของโลก ในโลกได้ ทั้งนั้น เรื่องที่ ๑ เรื่องกิน ก็อย่าให้มันติดเบ็ด เกิดปัญหาขึ้นเพราะการกิน วินาศไปเพราะการกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กินที่ไม่ต้องกิน เช่น กิน เหล้า หรือ กินอะไรที่มันมากเกินความจาเป็น ที่มันไม่ต้องกิน แม้แต่ กินอาหารที่กินกันจนเกิน จนเสียนิสัยที่จะต้องกินเกิน กินแพงจน เงินเดือนไม่พอใช้ นี้ก็อย่าให้มีลักษณะเหมือนกับติดเบ็ดในโลก เกี่ยวกับการกิน
  • 22. หน้า | 21 เรื่องที่ ๒ เรื่องกาม นี้มันไม่ใช่เรื่องจาเป็น แต่มันก็เกินกว่าที่มนุษย์ จะบังคับได้ เพราะธรรมชาติมันเป็นผู้กาหนดมา มันใส่อวัยวะภายใน ของคนเราบางอย่างมา ต่อมแกลนด์ประเภทนั้น ซึ่งจะต้องเกิด ความรู้สึกในทางกาม หรือ ทางวเพศขึ้นมา อย่างที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วธรรมชาติอันสูงสุด หรือพระเจ้านี้ฉลาดเหนือมนุษย์ใส่รสอร่อย สูงสุดในสิ่งที่เรียกว่ากาม เพื่อให้คนหลง แล้วก็ตกเป็นทาสของกาม แล้วก็ทาหน้าที่ที่น่าเกลียดน่าชัง สกปรก เหน็ดเหนื่อยที่สุด คือการ สืบพันธุ์ ถ้าไม่มีอะไรมาหลอกมาล่อกันขนดหนัก คือรสแห่งกามแล้วคนก็ไม่ สืบพันธุ์ พันธุ์มันก็สูญ ธรรมชาติไม่ต้องการให้สูญพันธุ์ หรือพระเจ้า ไม่ต้องการให้สูญพันธุ์ก็ใส่เรื่องกามมาในชีวิตนี้อย่างเหนี่ยวแน่น อย่าง ทุกคนก็ตกอยู่ใต้อานาจ ฉะนั้นถ้าเราไม่รู้เท่าทัน กินเหยื่อไม่ติดเบ็ด บริโภคกามโดยไม่ต้องรับโทษทุกข์เพราะกาม ก็ดี ก็เรียกว่าความ งดงามได้
  • 23. หน้า | 22 เรื่องที่ ๓ คือ เรื่องเกียรติ คนเราหลงใหลในเกียรติ ถ้าเรื่องกินหมด ไปแล้ว เรื่องกามหมดไปแล้ว ก็มาติดเรื่องเกียรติ หลงเกียรติ ยอม ตายเพราะเกียรติ นี้มันก็ไม่งดงาม ถ้าจะมีเกียรติอย่างที่ไม่ต้องทุเรศ ตา มันก็จะน่ากูและงดงาม ฉะนั้น กินเหยื่อแล้วก็ไม่ติดเบ็ดของเรื่องกิน เรื่องกาม และ เรื่องเกียรติ นี้เป็นศิลปะอย่างยิ่งในการที่จะมีชีวิตอย๔ในโลกนี้ นี้เป็นอีกแง่หนึ่งที่ ต้องมอง เพื่อดารงชีวิตอยู่ในโลกให้งดงาม.
  • 24. หน้า | 23 อยู่ในโลก โดยผู้ชนะโลก ทีนี้แง่ถัดไป ข้อที่สาม อยากจะพูดว่าอยู่ในโลกโดยเป็นผู้ชนะโลก พูด ได้ว่า คนในโลกทั้งหมดก็ว่าได้ อยู่ในโลกอย่างผู้พ่ายแพ้ พ่ายแพ้ต่อ อานาจของโลก สิ่งหลอกลวงยั่วยวนของโลก ทนทุกข์งอมแงมกัน ไปทั้งนั้น นี้เราจะมีศิลปะ อยู่ในโลกอย่างผู้ชนะเหนือโลกตลอกดเวล ลา เราจะไม่พ่ายแพ้แก่โลก เราตัองหนีโลก คาว่า หนีโลก นั้นเป็นคาพูดที่โง่เขลาที่สุด เช่นว่า บวชหนี โลกนี้ เป็นไปไม่ได้ในทางพุทธศาสนา บวชนี้เพื่อเอาชนะโลก เพื่อหา วิธีที่จะเอาชนะโลก ไม่ใช่บวชหนีโลก บวชหนีโลกนั้นคนโง่ พูดตาม ความคิดของเขาเอง เดี๋ยวนี้อยู่ในโลกไม่ต้องหนีโลก เพราะว่าอยู่อย่าง ผู้ชนะโลก มีชัยชนะเหนือโลกทุกอย่าง เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่อง เกียรติ เรื่องเป็นอยู่ในแบบไหน เราก็เป็นผู้ชนะได้ โลกไม่มีบีบคั้นเรา
  • 25. หน้า | 24 เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องหนีโลกไปบวชดอก ธรรมะมีไว้สาหรับให้คนอยู่ ในโลกอย่างผู้มีชัยชนะ อยู่ในโลกด้วยชัยชนะ นี้คือธรรมะของพุทธเจ้า ธรรมะของพุทธเจ้ามีวัตถุประสงค์ ให้คนอยู่ ในโลกโดยมีชัยชนะอยู่เหนือโลก ฉะนั้นคนที่ไม่รู้จักมัน ใช่ไม่เป็น ก็พ่าย แพ้ แล้วก็ว่าหนีโลกไปบวช ยี้ยิ่งโง่ ๒ – ๓ เท่า ธรรมะต้องการให้อยู่ในโลกนี้ เอาชนะทุกอย่าง เรื่องกิน เรื่อง กาม เรื่องเกียรติ เรื่องอะไรก็ตามที่มันมีอยู่ในโลก เราจะต้องอยุ่อ ย่างชนะ ไม่ใช่ชนะอย่างบ้าบิ่น ชนะอย่างโง่เขลา อันนั้นมันก็ใช้ไม่ได้ มันต้องชนะจริงๆ คือ มันไม่สร้างปัญหาขึ้นมา อยู่ได้ สะดวกสบาย ถ้าอยู่ในโลกด้วยความพ่ายแพ้ มันก็เหมือนตกนรกแหละ มันตก นรกอยู่ที่ในโลก ซึ่งอยู่ด้วยความพ่ายแพ้ ถ้าว่าเราอยู่ในโลกด้วยชัย ชนะ มีศิลปะ แล้วก็เหมือนอยู่ในสวรรค์ ได้เหมือนกัน มีวิธีกระทาให้ จิตใจอยู่ด้วยความพอใจ ความสุกสบาย เยือกเย็นเป็นผาสุก นี่ชนะ โลก มีหลักธรรมะมากพอ ที่จะเอามาใช้ ให้เป็นผู้ชนะโลก อยู่ในโลก
  • 26. หน้า | 25 สิ่งที่ทาให้อยู่ในโลก ด้วยความพ่ายแพ้ ที่เราจะพ่ายแพ้ก็คือ สิ่งที่มันมีคุณค่าในทางหลอกลวง ยั่วยวน ที่หลอกลวงนี้ก็มี และที่มีสภาวะตามธรรมชาติมันก็มี ท่านรู้ไว้เถิดว่า มีอยู่ ๒ ฝ่ายที่เราจะแพ้มัน ฝ่ายที่ ๑ ก็คือ ที่มนุษย์ หลงยึดถือปฏิบัติกันขึ้นมาเอง เขา เรียกกันว่า โลกธรรม-ธรรมที่มีอยู่ในโลก คือสิ่งที่มีอยู่ในโลก เรียกว่า โลกธรรม ยกตัวอย่างไว้เป็นเรื่อง ได้ลาภ แล้วก็ เสื่อมลาภ ได้ยศได้เกียรติ แล้วก็ เสื่อมยศเสื่อมเกียรติ, ได้สรรเสริญ แล้วก็ ได้ นินทา, แล้วก็ ได้สุขได้ทุกข์, ก็แยกกันเป็น ๔ เรียกว่า โลกธรรม ๘ ใครบ้างที่ไม่กระทบกันเข้ากับโลกธรรม ถ้าเราอยู่ในโลกมันต้อง กระทบกันเข้ากับโลกธรรม เพราะว่าในโลกมีสิ่งนี้เป็นลักษณะของมัน
  • 27. หน้า | 26 เราได้ลาภแล้วเสื่อมลาภ คนโง่มันแพ้ทั้งขึ้นทั้งล่อง เมื่อได้ลาภ มันก็เอามาสาหรับเป็นบ้าเป็นหลัง ไปยึดมั่นถือมั่น หึงหวง อิจฉา ริษยาอะไร เพราะการได้ลาภ แล้วก็วิตกกังวลในลาภที่ได้มา แล้วมัน ก็เป็นโรคประสาทเพราะลาภที่มันได้มานั้นเอง นี่มันพ่ายแพ้แก่การได้ ลาภ ที่นี้พอเสียลาภมันก็มาร้องไห้ร้องห่ม ตีอกชกหัว เป็นทุกข์ ทรมานไปฆ่าตัวตายเพราะการเสียลาภก็มี เป็นทุกอย่างยิ่ง นี้มันก็แพ้ แก่โลกในการเสียลาภ ได้ลาภมาก็แพ้ เสียลาภไปก็แพ้ แพ้ทั้งขึ้นทั้ง ล่องนี่เป็นเรื่องของคนโง่ ที่ได้ยศแล้วเสื่อมยศ มันก็เหมือนกันอีก ได้ยศสาหรับมาโง่มา หลง มาเป็นสุนัขบ้า แล้วก็เสื่อมยศไป มันก็มาเป็นทุกข์ทรมานอยู่ นี้ เรียกว่าแพ้ทั้งขึ้นทั้งล่อง นี้ได้สรรเสริญได้นินทา เขาสรรเสริญมันก็เหลองเจิ้ง โง่กว่าเดิม เขานินทาว่าร้ายมันกฌโกรธแค้นและเป็นทุกข์ มันแพ้ทั้งขึ้นทั้งล่อง
  • 28. หน้า | 27 ได้ความสุขความทุกข์ ได้สุขมาสาหรับโง่ ได้ความทุกข์มาสาหรับ ทนทรมาน ฉะนั้นเราจะรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด มามาทาให้เกิดแพ้ทั้งขึ้น ทั้งล่องอย่างนี้ได้ อย่างนี้เรียกว่าเราชนะโลกในแง่ของการปรุงแต่งใน โลก หรือ ที่มนุษย์ทาขึ้นมา สมมุติขึ้นมา อย่าไปแพ้มัน. ฝ่านที่ ๒ ที่ว่าในแง่ของธรรมชาติ สภาวะธรรมตามธรรมชาตินี้ ก็อย่าไปแพ้มัน เช่นว่า ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อย่าง นี้ อย่าต้องไปร้องไห้เป็นทุกข์เพราะเหตุนั้น มันจะโง่ มันเป็นของ ธรรมดาที่ว่าจะต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย หรือ มีอะไร แทรกอยู่ระหว่างนั้นอีกมากมาย อย่าไปแพ้มัน วิชชาของพระพุทธเจ้าได้ทรงประทานมาให้ครบถ้วนแล้วสาหรับ จะเอาชนะ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย คือ ข้อที่ พระพุทธองค์ทรงกาชับอย่างยิ่งว่า พวกเธอจงไปประกาศพรหมจรรย์ ให้มีความงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และ เบื้องปลาย นั้นแหละ
  • 29. หน้า | 28 ถ้าภิกษุเหล่านั้นไปประกาศพรหมจรรย์ได้ตามนั้นจริงก็คือการไป แจกยา หรือ เครื่องคุ้มกัน ให้มนุษย์ไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วก็รับเอาพรหมจรรย์หรือยาอันวิเศษนี้ เอามาใช้ ประจาชีวิตของเรา เราก็ไม่ต้องแพ้แก่โลก ในสภาวะธรรมชาติ เช่น การที่ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เดี๋ยวนี้อะไรนิดหนึ่งก็เป็นทุกข์เดือดร้อน ร้องห่มร้องไห้ เพราะ ความเจ็บไข้ แม้แต่เพราะความชรา ก็ดิ้นรนทรมานอยู่ ต่อสู้อย่างโง่ เขลา มันก็ยิ่งมีปัญหามาก แม้ความตายนี้ มันก็ไม่ควรจะมีปัญหา มาก ให้เดือดร้อนกระวนกระวาย ควรจะตายอย่างมีศิลปะ คือ ตาย อย่างชนิดที่ไม่มีความหมายอะไร มาขู่เข็ญจิตใจของเราให้เป็นทุกข์ เรา สามารถจะหัวเราะเยาะความตายหรือพูดอีกทีหนึ่งก็ว่า กวักมือเข้ามา ๆ ต่อสู้กัน นี่ตายอย่างมีศิลปะ ถ้ามีธรรมะจริง มันตายเสร็จแล้วก่อนแต่ร่างกายตาย ตัวกู ตัวตน นี้มันตายเสร็จแล้วก่อนแต่ร่างกายตาย นั้นคือผลปฏิบัติตาม พระธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นความตายเลยไม่มี
  • 30. หน้า | 29 ความหมายเอาชนะความตายได้ เอาชนะมัจจุราชได้ เพราะการปฏิบัติ ธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือ เรื่อง สุญญตา เรื่องอนัตตา นั่นเอง ภาพเรื่อง หนวดเต่า เขากระต่าย นอกบ แต่ว่าคนโง่ดูไม่รู้เรื่องแน่ เพราะคนโง่ไม่อยากจะดูเรื่องนี้ด้วย พอได้ยินก็สั่นหัวเสียแล้ว เพราะเขา ทาไว้ให้คนฉลาดดู ขอร้องให้ดูกัน เสียใหม่อีกทีว่าเรื่อง หนวดเต่า เขากระต่าย นอกบ นั้นมันเป็น อย่างไร นั่นแหละคือเรื่องชนะความตาย เอาละ เป็นอันว่าเรา ดารงชีวิตอยู่ในโลก โดยมีชัยชนะอยู่เหนือโลกตลอดเวลา ไม่ต้องแพ้ แก่โลก ไม่ต้องหนีโลก ซึ่งมันหนีไปไหนไม่ได้ มันพูดแต่ปาก ทั้งในแง่ ของการปรับปรุงแต่งโดยมนุษย์ กระทั้งในแง่ของการเป็นไปเองตาม ธรรมชาติ ของสิ่งที่มันเป็นธรรมชาติ
  • 31. หน้า | 30 นี้คือการดารงชีวิตในดลก ชนิดที่ไม่พ่ายแพ้แกโลก อยู่เหนือโลก อยู่อย่างไม่ถูกเขี้ยวของโลก อยู่อย่างกินเหยื่อแล้วไม่ติดเบ็ด อยู่อย่างชนะปัญหาทุกอย่างในโลก อย่างที่กล่าวมาแล้ว . การบรรยายธรรมประจาวันเสาร์แห่งภาควิสาขบูชา ครั้งที่ ๔ ท่านพุทธทาสภิกขุ สวนโมกขพลารา , ไชยา