สัปดาห์ที่ ๒เทคนิคการอ่าน
- 3. หลักพื้นฐานการอ่าน ปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการอ่าน ๑. ภูมิหลังและประสบการณ์ ๑.๑ ความรู้ทางภาษา หลักภาษา วรรณคดีและการใช้ภาษา การรู้จักใช้ถ้อยคำและคำศัพท์ให้มากและมีความหลากหลาย การเข้าใจความสัมพันธ์ของคำในประโยคและสามารถโยง ความสัมพันธ์ของประโยคในย่อหน้า และในแต่ละย่อหน้าได้ *เพิ่มพูนได้จากการอ่านให้มาก ๑.๒ ประสบการณ์สั่งสม (การอบรมเลี้ยงดู ระบบสังคม วัฒนธรรม สภาพแวดล้อมและการศึกษา)จะช่วยให้นำมาวินิจฉัยเรื่องราว ที่อ่านได้ถูกต้อง และมีความลึกซึ้งพอ
- 4. ปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการอ่าน (ต่อ) ๒. หลักปฏิบัติในการอ่าน ๒.๑ ขั้นวางเป้าหมายเพื่อตั้งใจและกำกับตนในการว่าควรอยู่ในระดับใด เช่น เพื่อความเพลิดเพลิน หรือเพื่อการรับรู้รายละเอียดเพื่อนำไปวิเคราะห์ เป็นต้น ๒.๒ ขั้นสำรวจข้อมูลเพื่อให้เข้าใจความเป็นมาและความน่าเชื่อถือของหนังสือ เช่น ผู้แต่ง เวลาที่แต่ง เวลาที่จัดพิมพ์ จำนวนครั้งที่พิมพ์ สถานที่พิมพ์ ฯลฯ ๒.๓ ขั้นสังเกตส่วนประกอบที่สำคัญได้แก่ คำนำ สารบัญ บทนำ ดรรชนี อภิธานศัพท์ ซึ่งจะช่วยให้ทราบถึงจุดมุ่งหมายของผู้แต่ง แนวทางและ การให้ความสำคัญของหนังสือได้ดียิ่งขึ้น ๒.๔ ขั้นอ่านอย่างมีสมาธิหลังจากขั้นตอนทั้ง ๓ แล้ว การอ่านอย่างมีสมาธิ จะทำให้ความคิดของผู้เขียนและผู้อ่านเข้าสู่สมองได้อย่างมีระเบียบ ช่วยให้ รู้ตัวว่ากำลังอ่านอะไร มีสาระเกี่ยวกับอะไร และจะนำสาระนั้นไปใช้ประโยชน์ อย่างไรบ้าง
- 5. กำหนดจุดมุ่งหมายในการอ่าน ๑. อ่านเพื่อเป็นความรู้พื้นฐานเป็นการอ่านเพื่อรู้เรื่องโดยสังเขป หรือเพื่อลักษณะของหนังสือ เช่น การอ่านเพื่อ รวบรวมสิ่งพิมพ์ที่จะใช้ในการค้นคว้าและเขียนรายงาน ๒. อ่านเพื่อรวบรวมข้อมูลเป็นการอ่านให้เข้าในเนื้อหาสาระ และจัดลำดับความคิดได้ เพื่อสามารถรวบรวม และบันทึกข้อมูลสำหรับเขียนรายงาน ๓. อ่านเพื่อหาแนวคิด หมายถึง การอ่านเพื่อรู้ว่าสิ่งที่อ่านนั้นมีแนวคิดหรือสาระสำคัญอย่างไร จะนำไปใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ ในลักษณะใด เช่น การอ่านบทความ และสารคดีเพื่อหาหัวข้อสำหรับเขียนโครงร่างรายงาน ๔. อ่านเพื่อวิเคราะห์หรือวิจารณ์คือ การอ่านเพื่อให้เข้าใจลึกซึ้งพอที่จะนำความรู้ไปใช้ หรือแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ เรื่องที่อ่านได้ เช่น การอ่านบทความที่แสดงความคิดเห็น การอ่านตารางและรายงาน
- 6. ระดับของการอ่าน ๑. การอ่านสำรวจ เพื่อรู้ลักษณะโครงสร้างของข้อเขียน สำนวนภาษา เนื้อเรื่องโดยสังเขป เป็นวิธีอ่านที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเลือกสรรสิ่งพิมพ์ สำหรับใช้ประกอบการค้นคว้า หรือการหาแนวเรื่องสำหรับเขียนรายงาน และรวบรวมบรรณานุกรมในหัวข้อที่เขียนรายงาน ๒. การอ่านข้าม/อ่านอย่างรวดเร็ว เพื่อเข้าใจเนื้อหาของข้อเขียน โดยเลือกอ่านข้อความบางตอน เช่น การอ่านคำนำ สาระสังเขป บทสรุป และการอ่านเนื้อหาเฉพาะตอนที่ตรงกับความต้องการเป็นต้น ๓. การอ่านแบบกวาดสายตา (Scanning Reading) โดยผู้อ่านจะทำการกวาดสายตาอย่างรวดเร็วไปยังสิ่งที่เป็นเป้าหมายในข้อเขียนเช่น คำสำคัญ ตัวอักษร หรือ สัญลักษณ์ แล้วอ่านรายละเอียดเฉพาะที่เกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการ ๔. การอ่านจับประเด็น หมายถึง การอ่านเรื่องหรือข้อเขียนโดยทำความเข้าใจสาระสำคัญ ในขณะที่อ่าน มักใช้ในการอ่าน ข้อเขียนที่ไม่ยาวนัก เช่น บทความ การอ่านเร็ว ๆ หลายครั้งจะช่วยให้จับประเด็นได้ โดยการอ่านมีเทคนิคคือต้องสังเกตคำสำคัญ ประโยคสำคัญที่มีคำสำคัญ และทำการย่อสรุปบันทึกประโยคสำคัญไว้ เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
- 7. ๕. การอ่านสรุปความ หมายถึง การอ่านโดยสามารถตีความหมายสิ่งที่อ่านได้ถูกต้องชัดเจนเข้าใจเรื่องอย่างดี สามารถแยก ส่วนที่สำคัญหรือไม่สำคัญออกจากกัน รู้ว่าส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง หรือข้อคิดเห็น ส่วนใดเป็นความคิดหลัก ความคิดรอง วิธีการ๑.) การอ่านสรุปความแต่ละย่อหน้าหรือแต่ละตอนอย่างคร่าวๆ ครั้งที่หนึ่งพอให้รู้เรื่อง ๒.) อ่านละเอียดอีกครั้งเพื่อเข้าใจเรื่องอย่างดี หลังจากนั้นตั้งคำถามตนเองในเรื่องที่อ่านว่าเกี่ยวกับอะไร มีเรื่องราวอย่างไร แล้วเรียบเรียงเนื้อหาเป็นสำนวนภาษาของผู้สรุป จุดสำคัญของเรื่องคืออะไร? จุดสำคัญของเรื่องสัมพันธ์กับสิ่งใดบ้าง (จดไว้สั้นๆ) คิดวิธีการสรุปความให้กะทัดรัดและชัดเจน เขียนร่างจากข้อความสั้นๆที่จดไว้ ขัดเลา แก้ไขให้สละสลวย
- 8. ๖. การอ่านวิเคราะห์ เพื่อค้นคว้าและเขียนรายงานโดยทั่วไป ซึ่งต้องมีการวิเคราะห์ความหมายของข้อความ ซึ่งหากผู้อ่านมีความรู้เรื่องคำศัพท์และสำนวนภาษาดี มีประสบการณ์ในการอ่านมากและมีสมาธิในการอ่านดี ย่อมสามารถวิเคราะห์ได้ตรงความหมายที่ผู้เขียนต้องการสื่อ และสามารถเข้าใจเรื่องที่อ่านได้ดี ไม่ว่าเนื้อหานั้นจะเป็นภาษาโดยนัยที่ต้องทำความเข้าใจ หรือภาษาที่มีความหมายตามอารมณ์และความรู้สึกของผู้เขียน
- 11. R1: Read (อ่าน) อ่านครั้งที่ 1 - อ่านอย่างเร็วพยายามเจาะหาประเด็นสำคัญของแต่ละบท แต่ละหัวข้อ แต่ละย่อหน้า (อย่ามัวแต่ขีดเส้นใต้ หรือป้ายปากกาสี ควรทำเครื่องหมายด้วยดินสอและเขียนอย่างเบาๆ อย่ามัวแต่จดบันทึกเพราะจะทำให้สมาธิในการอ่านลดลง) อ่านครั้งที่ 2 - อ่านซ้ำอีกครั้ง คราวนี้ทำเครื่องหมายข้อความที่สำคัญ - สรุปเนื้อหา เพื่อง่ายต่อการรื้อฟื้นความจำในภายหลัง
- 12. R2: Recall (ฟื้นความจำ) - เมื่อสิ้นสุดเนื้อหาของแต่ละบท บันทึกย่อ อย่าย่อชนิดยาวจนเกินเหตุ ซึ่งเป็นการแสดงว่า นักศึกษายังจับประเด็นไม่ถูกต้อง R3: Review (ทบทวน) - สำรวจดูหัวข้อ (ชื่อ) ของหนังสือ หัวข้อและเนื้อหาโดยย่อของแต่ละบท - ตรวจสอบว่าเนื้อหาที่มีนั้น ตอบคำถามที่นักศึกษามีไว้ในใจหรือไม่ - อ่านอีกครั้ง เพื่อแน่ใจว่าเราเก็บประเด็นสำคัญของหนังสือได้หมด - เติมสิ่งที่ขาดตกบกพร่อง
- 14. เทคนิคการแบบ 3S Scan (สำรวจ) : ได้แก่การอ่านเนื้อหาอย่างหยาบ ๆ และรวดเร็ว เพื่อจับใจความว่าหนังสือนี้ประกอบด้วยบทใดบ้าง มีบทนำ การเรียงลำดับหัวข้อเป็นเช่นใด มีแผนภูมิ รูปภาพประกอบมากน้อยเพียงใดSearch(ค้นหา) : - หาบทที่มีเนื้อหาตรงกับความต้องการ- หาคำตอบ เพื่อตอบคำถามที่ตั้งไว้- ทำเครื่องหมาย (ใช้ดินสอ เขียนเบา ๆ)- ศึกษาเนื้อหาในแต่ละย่อหน้าที่ตรงกับจุดประสงค์Save(ทบทวน) :- เก็บข้อมูล เนื้อหา ของโครงสร้างของแต่ละบท- จดเนื้อหาที่สำคัญ
- 16. PAGE Prepare (เตรียมตัว) Ask (ถาม) Gather (รวบรวม) Evaluate (ประเมิน)