SlideShare a Scribd company logo
เฟี ย เจต์
ทฤษฎี เ กี ่ ย ว กั บ พั ฒ นาการ
เชาวน์ ป ั ญ ญาที ่ ผ ู ้ เ ขี ย นเห็ น ว่ า มี
ประโยชน์            สำ า หรั บ ครู คื อ
ทฤษฎี ข องนั ก จิ ต วิ ท ยาชาว สวิ ส
ชื ่ อ เพี ย เจต์ ( P iaget) ที ่ จ ริ ง
แล้ ว เพี ย เจต์ ไ ด้ ร ั บ ปริ ญ ญาเอก
ทางวิ ท ยาศาสตร์ สาขาสั ต วิ ท ยา
ที ่ ม หาวิ ท ยาลั ย Neuc hatel
ประเทศสวิ ส เซอร์ แ ลนด์
              หลั ง จากได้ ร ั บ ปริ ญ ญา
เฟียเจต์พบคำำตอบของเด็กน่ำสนใจมำก โดย
เฉพำะคำำตอบของเด็กที่เยำว์วัยเพรำะมักจะตอบ
ผิด แต่เมื่อเพียเจต์ได้วิเครำะห์คำำตอบที่ผดเหล่ำ
                                          ิ
นั้นก็พบว่ำคำำตอบของเด็กเล็กที่ต่ำงไปจำกคำำ
ตอบของเด็กโตเพรำะมีควำมคิดที่ต่ำงกัน
คุณภำพของคำำตอบของเด็กที่วัยต่ำงกัน มักจะ
แตกต่ำงกัน แต่ไม่ควรที่จะบอกว่ำเด็กโตฉลำด
กว่ำเด็กเล็ก หรือคำำตอบของเด็กเล็กผิด กำร
ทำำงำนกับนำยแพทย์บีเนต์ระหว่ำงปีค.ศ.1919
ถึง ค.ศ.1921 เป็นจุดเริ่มต้นของควำมสนใจเพีย
เพี ย เจต์ (Piaget) ได้ ศ ึ ก ษำ
เกี ่ ย วกั บ พั ฒ นำกำรทำงด้ ำ น
ควำมคิ ด ของเด็ ก ว่ ำ มี ข ั ้ น
ตอนหรื อ กระบวนกำร
อย่ ำ งไร ทฤษฎี ข องเพี ย เจต์
ตั ้ ง อยู ่ บ นรำกฐำนของทั ้ ง
องค์ ป ระกอบที ่ เ ป็ น
พั น ธุ ก รรม และสิ ่ ง แวดล้ อ ม
เฟียเจท์อธิบำยว่ำ กำรเรียนรู้ของ
เด็กเป็นไปตำมพัฒนำกำรทำงสติปญญำ    ั
ซึ่งจะมีพัฒนำกำรไปตำมวัยต่ำง ๆ เป็น
ลำำดับขั้น พัฒนำกำรเป็นสิ่งที่เป็นไปตำม
ธรรมชำติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ำมจำก
พัฒนำกำรจำกขั้นหนึ่งไปสูอีกขั้นหนึ่ง
                           ่
เพรำะจะทำำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่กำร
จัดประสบกำรณ์ส่งเสริมพัฒนำกำรของ
เด็กในช่วงที่เด็กกำำลังจะพัฒนำไปสู่ ขั้นที่
สูงกว่ำ สำมำรถช่วยให้เด็กพัฒนำไป
อย่ำงไรก็ตำม เพียเจต์เน้นควำม
สำำคัญของกำรเข้ำใจธรรมชำติและ
พัฒนำกำรของเด็กมำกกว่ำกำร
กระตุนเด็กให้มีพฒนำกำรเร็วขึ้น
      ้           ั
เพียเจต์สรุปว่ำ พัฒนำกำรของเด็ก
สำมำรถอธิบำยได้โดยลำำดับระยะ
พัฒนำทำงชีววิทยำทีคงที่ แสดงให้
                    ่
ปรำกฏโดยปฏิสมพันธ์ของเด็กกับสิ่ง
                ั
แวดล้อม
เพียเจต์กล่ำวว่ำ ระหว่ำงระยะเวลำ
ตั้งแต่ทำรกจนถึงวัยรุ่น คนเรำจะค่อยๆ
สำมำรถปรับตัวเข้ำกับสิงแวดล้อมได้มำก
                         ่
ขึ้นตำมลำำดับขั้น โดยเพียเจต์ได้แบ่งลำำดับ
ขั้นของพัฒนำกำรเชำวน์ปญญำของมนุษย์
                           ั
ไว้ 4 ขัน ซึ่งเป็นขั้นพัฒนำกำรเชำวน์
        ้
ปัญญำ ดังนี้
•ขั ้ น ที ่ 1 ขั ้ น ประสาทรั บ รู ้ แ ละการ
เคลื ่ อ นไหว (Sensorimotor)
          แรกเกิ ด - 2 ขวบ
       ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรม
ของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับกำรเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่
ในวัยนี้เด็กแสดงออกทำงด้ำนร่ำงกำยให้เห็นว่ำมีสติ
ปัญญำด้วยกำรกระทำำ เด็กสำมำรถแก้ปัญหำได้
แม้ว่ำจะไม่สำมำรถอธิบำยได้ด้วยคำำพูด เด็กจะต้องมี
โอกำสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง
•ขั ้ น ที ่ 2 ขั ้ น ก่ อ นปฏิ บ ั ต ิ ก ำรคิ ด
(Preoperational) อำยุ 1 8 เดื อ น - 7 ปี
    เด็กก่อนเข้ำโรงเรียนและวัยอนุบำล มีระดับเชำวน์
ปัญญำอยู่ในขั้นนี้ เด็กวัยนีมีโครงสร้ำงของสติ
                                     ้
ปัญญำ(Structure) ที่จะใช้สญลักษณ์แทนวัตถุสงของ
                                        ั            ิ่
ที่อยู่รอบๆตัว ได้ หรือ มีพัฒนำกำรทำงด้ำนภำษำ เด็ก
วัยนี้จะเริ่มด้วยกำรพูดเป็นประโยคและเรียนรู้คำำต่ำงๆ
เพิ่มขึ้น เด็กจะได้รู้จักคิด ขั้นนี้ แบ่งออกเป็นขั้นย่อย
อีก 2 ขั้น คือ
1.ขั ้ น ก่ อ นเกิ ด สั ง กั ป (Preconceptual
Thought)

     เป็นขั้นพัฒนำกำรของเด็กอำยุ 2-4 ปี เป็น
ช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบืองต้น สำมำรถจะโยง
                           ้
ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเหตุกำรณ์ 2 เหตุกำรณ์
หรือมำกกว่ำมำเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและ
กัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำำกัด
อยู่ เพรำะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลำง คือ
ถือควำมคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็น
เหตุผลของผูอื่น ควำมคิดและเหตุผลของเด็ก
                ้
วัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตำมควำมเป็นจริงนัก แต่
2. ขั ้ น การคิ ด แบบญาณหยั ่ ง รู ้ นึ ก ออกเองโดย
ไม่ ใ ช้ เ หตุ ผ ล ( Intuitive Thought)

   เป็นขั้นพัฒนำกำรของเด็ก อำยุ 4-7 ปี ขั้นนี้
เด็กจะเกิดควำมคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่ำงๆ รวม
ตัวดีขึ้น เริ่มมีพัฒนำกำรเกี่ยวกับกำรอนุรักษ์ แต่
ไม่แจ่มชัดนัก สำมำรถแก้ปญหำเฉพำะหน้ำได้
                             ั
โดยไม่คดเตรียมล่วงหน้ำไว้ก่อน รู้จักนำำควำมรู้
          ิ
ในสิงหนึ่งไปอธิบำยหรือแก้ปญหำอื่นและ
     ่                         ั
สำมำรถนำำเหตุผลทั่วๆ ไปมำสรุปแก้ปญหำ โดย
                                     ั
ไม่วิเครำะห์อย่ำงถี่ถ้วนเสียก่อน กำรคิดหำเหตุ
•ขั ้ น ที ่ 3 ขั ้ น ปฏิ บ ั ต ิ ก ำรคิ ด ด้ ำ นรู ป ธรรม
(Concrete Operations)(อำยุ 7 - 11 ปี )
   พัฒนำกำรทำงด้ำนสติปัญญำและควำมคิดของเด็กวัยนี้
แตกต่ำงกันกับเด็กในขั้น Preperational มำก เด็กวัยนี้จะ
สำมำรถสร้ำงกฎเกณฑ์ และตั้งกฎเกณฑ์ ในกำร แบ่งสิ่ง
แวดล้อมออกเป็นหมวดหมูได้ คือ เด็กจะสำมำรถทีจะอ้ำงอิง
                         ่                       ่
ด้วยเหตุผลและไม่ขึ้นกับกำรรับรู้จำกรูปร่ำงเท่ำนั้น เด็กวัยนี้
สำมำรถแบ่งกลุ่มโดยใช้เกณฑ์หลำยๆอย่ำง และคิดย้อนกลับ
(Reversibility) ได้ ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับกิจกรรมและควำม
สัมพันธ์ของตัวเลขก็เพิ่มมำกขึ้น
•ขั ้ น ที ่ 4 ขั้นปฏิบัติกำรคิดด้วยนำมธรรม (Formal
Operations)อำยุ 12 ปี ข ึ ้ น ไป
    ในขั้นนีพัฒนำกำรเชำวน์ปัญญำและควำมคิดเห็น
            ้
ของเด็กเป็นขั้นสุดยอด คือ เด็กในวัยนีจะเริ่มคิดเป็น
                                      ้
ผู้ใหญ่ ควำมคิดแบบเด็กสิ้นสุดลง เด็กสำมำรถทีจะคิด
                                               ่
หำเหตุผลนอกเหนือไปจำกข้อมูลที่มอยู่ สำมำรถทีจะคิด
                                    ี            ่
เป็นนักวิทยำศำสตร์ สำมำรถที่จะตั้งสมมุติฐำนและ
ทฤษฎีและเห็นว่ำควำมจริงทีเห็นด้วยกับกำรรับรู้ไม่
                              ่
สำำคัญเท่ำกับกำรคิดถึงสิ่งทีอำจเป็นไปได้(Possibility
                            ่
พัฒนำกำรทำงกำรรู้คดของเด็กในช่วงอำยุ 6
                     ิ
ปีแรกของชีวิต ซึ่งเพียเจต์ ได้ศึกษำไว้เป็น
ประสบกำรณ์ สำำคัญที่เด็กควรได้รับกำรส่ง
เสริม มี 6 ขั้น ได้แก่

5.ขั้นควำมรู้แตกต่ำง (Absolute
Differences)
6.ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้ำม (Opposition)
7.ขั้นรู้หลำยระดับ (Discrete Degree)
8.ขั้นควำมเปลี่ยนแปลงต่อเนือง (Variation)
                             ่
9.ขั้นรู้ผลของกำรกระทำำ (Function)
6. ขั้นกำรทดแทนอย่ำงลงตัว (Exact
กระบวนกำรทำงสติ ป ั ญ ญำมี ล ั ก ษณะดั ง นี ้

3)กำรซึมซับหรือกำรดูดซึม (assimilation)
   เป็นกระบวนกำรทำงสมองในกำรรับประสบกำรณ์ เรื่องรำว
และข้อมูลต่ำง ๆ เข้ำมำสะสมเก็บไว้เพือใช้ประโยชน์ต่อไป
                                    ่

2. กำรปรับและจัดระบบ (accommodation) คือ กระบวนกำร
ทำงสมองในกำรปรับ
                ประสบกำรณ์เดิมและประสบกำรณ์ใหม่ให้เข้ำ
กันเป็นระบบ

3. กำรเกิดควำมสมดุล (equilibration)
    เป็นกระบวนกำรที่เกิดขึ้นจำกขั้นของกำรปรับ หำกกำรปรับ
เป็นไปอย่ำงผสมผสำนกลมกลืนก็จะมีควำมสมดุลขึ้น หำกไม่
สำมำรถปรับประสบกำรณ์ใหม่และประสบกำรณ์เดิมให้เข้ำกันได้
กำรนำ ำ ไปใช้ ใ นกำรจั ด กำรศึ ก ษำ / กำรสอน

1.เมือทำำงำนกับนักเรียน ผู้สอนควรคำำนึงถึงพัฒนำกำรทำงสติ
     ่
ปํญญำของนักเรียนดังต่อไปนี้

  1.1)นักเรียนทีมอำยุเท่ำกันอำจมีขั้นพัฒนำกำรทำงสติ
                ่ ี
  ปัญญำทีแตกต่ำงกัน
          ่

  1.2)นักเรียนแต่ละคนจะได้รับประสบกำรณ์ 2 แบบคือ
     1.2.1>ประสบกำรณ์ทำงกำยภำพ (physical
     experiences)
             จะเกิดขึ้นเมือนักเรียนแต่ละคนได้ปฏิสัมพันธ์กับ
                          ่
     วัตถุต่ำง ในสภำพแวดล้อม         โดยตรง
     1.2.2>ประสบกำรณ์ทำงตรรกศำสตร์
     (Logicomathematical experiences) จะเกิดขึ้น เมือ     ่
2.หลักสูตรที่สร้ำงขึ้นบนพื้นฐำนทฤษฎีพัฒนำกำรทำง
สติปญญำของเพียเจต์ ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ
    ั
  1.เน้นพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของผู้เรียนโดยต้อง
  เน้นให้นักเรียนใช้ศักยภำพของตนเองให้มำกที่สุด
  2.เสนอกำรเรียนกำรเสนอที่ให้ผเรียนพบกับควำม
                                 ู้
  แปลกใหม่
  3.เน้นกำรเรียนรู้ต้องอำศัยกิจกรรมกำรค้นพบ
  4.เน้นกิจกรรมกำรสำำรวจและกำรเพิ่มขยำยควำม
  คิดในระหว่ำงกำรเรียนกำรสอน
  5.ใช้กิจกรรมขัดแย้ง (cognitive conflict
  activities) โดยกำรรับฟังควำมคิดเห็นของผู้อื่นนอก
  เหนือจำกควำมคิดเห็นของตนเอง
3.กำรสอนทีส่งเสริมพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของผู้เรียนควร
           ่
ดำำเนินกำรดังต่อไปนี้

  1) ถำมคำำถำมมำกกว่ำกำรให้คำำตอบ
  2) ครูผู้สอนควรจะพูดให้นอยลง และฟังให้มำกขึ้น
                            ้
  3) ควรให้เสรีภำพแก่นกเรียนทีจะเลือกเรียนกิจกรรมต่ำง ๆ
                         ั      ่
  4) เมือนักเรียนให้เหตุผลผิด ควรถำมคำำถำมหรือจัด
        ่
  ประสบกำรณ์ให้นกเรียนใหม่
                    ั
  5) ชี้ระดับพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของนักเรียนจำกงำน
  พัฒนำกำรทำงสติปัญญำขั้นนำมธรรมเพื่อดูว่ำนักเรียนคิด
  อย่ำงไร
  6) ยอมรับควำมจริงทีว่ำ นักเรียนแต่ละคนมีอัตรำพัฒนำกำร
                       ่
  ทำงสติปัญญำทีแตกต่ำงกัน
                  ่
  7) ผู้สอนต้องเข้ำใจว่ำนักเรียนมีควำมสำมำรถเพิ่มขึ้นใน
4.ในขั้นประเมินผล ควรดำำเนิน
กำรสอนต่อไปนี้

  1) มีกำรทดสอบแบบกำรให้
  เหตุผลของนักเรียน
  2) พยำยำมให้นักเรียนแสดง
  เหตุผลในกำรตอนคำำถำมนั้น ๆ
  3) ต้องช่วยเหลือนักเรียนทีมี
  พัฒนำกำรทำงสติปญญำตำ่ำ
                     ั
  กว่ำเพื่อร่วมชั้น

More Related Content

Viewers also liked

Jerome bruner
Jerome  brunerJerome  bruner
Jerome brunersofia-m15
 
Nusrat Fateh ali Khan
Nusrat Fateh ali KhanNusrat Fateh ali Khan
Nusrat Fateh ali Khan
Hassam Rajpoot
 
Schaum's quick guide to writing great research papers
Schaum's quick guide to writing great research papersSchaum's quick guide to writing great research papers
Schaum's quick guide to writing great research papers
Alejandro Todoroff
 
เฟียเจท์
เฟียเจท์เฟียเจท์
เฟียเจท์
sofia-m15
 
Traicere Vma2012 F
Traicere Vma2012 FTraicere Vma2012 F
Traicere Vma2012 F
Ruth Pollock
 
Relazione carcinosi puccio”
Relazione carcinosi puccio”Relazione carcinosi puccio”
Relazione carcinosi puccio”pucfra
 
Program of ramadan[1]
Program  of ramadan[1]Program  of ramadan[1]
Program of ramadan[1]
Youness Moulay Benaissa
 
Evangelism-Reverence:Electro-Ministry
Evangelism-Reverence:Electro-MinistryEvangelism-Reverence:Electro-Ministry
Evangelism-Reverence:Electro-Ministry
femmeminister
 
Tax of PAKISTAN
Tax of PAKISTANTax of PAKISTAN
Tax of PAKISTAN
Hassam Rajpoot
 
Final%20Project%20%2D%20Antonio%20Eduardo%20Bulh%C3%B5es
Final%20Project%20%2D%20Antonio%20Eduardo%20Bulh%C3%B5esFinal%20Project%20%2D%20Antonio%20Eduardo%20Bulh%C3%B5es
Final%20Project%20%2D%20Antonio%20Eduardo%20Bulh%C3%B5es
Antonio Bulhoes
 
Baba Bulleh Shah
Baba Bulleh ShahBaba Bulleh Shah
Baba Bulleh Shah
Hassam Rajpoot
 
Bollywood business model
Bollywood business modelBollywood business model
Bollywood business model
ankit0027
 
Launching new product
Launching new productLaunching new product
Launching new product
Md Asaduzzaman Anuj
 

Viewers also liked (13)

Jerome bruner
Jerome  brunerJerome  bruner
Jerome bruner
 
Nusrat Fateh ali Khan
Nusrat Fateh ali KhanNusrat Fateh ali Khan
Nusrat Fateh ali Khan
 
Schaum's quick guide to writing great research papers
Schaum's quick guide to writing great research papersSchaum's quick guide to writing great research papers
Schaum's quick guide to writing great research papers
 
เฟียเจท์
เฟียเจท์เฟียเจท์
เฟียเจท์
 
Traicere Vma2012 F
Traicere Vma2012 FTraicere Vma2012 F
Traicere Vma2012 F
 
Relazione carcinosi puccio”
Relazione carcinosi puccio”Relazione carcinosi puccio”
Relazione carcinosi puccio”
 
Program of ramadan[1]
Program  of ramadan[1]Program  of ramadan[1]
Program of ramadan[1]
 
Evangelism-Reverence:Electro-Ministry
Evangelism-Reverence:Electro-MinistryEvangelism-Reverence:Electro-Ministry
Evangelism-Reverence:Electro-Ministry
 
Tax of PAKISTAN
Tax of PAKISTANTax of PAKISTAN
Tax of PAKISTAN
 
Final%20Project%20%2D%20Antonio%20Eduardo%20Bulh%C3%B5es
Final%20Project%20%2D%20Antonio%20Eduardo%20Bulh%C3%B5esFinal%20Project%20%2D%20Antonio%20Eduardo%20Bulh%C3%B5es
Final%20Project%20%2D%20Antonio%20Eduardo%20Bulh%C3%B5es
 
Baba Bulleh Shah
Baba Bulleh ShahBaba Bulleh Shah
Baba Bulleh Shah
 
Bollywood business model
Bollywood business modelBollywood business model
Bollywood business model
 
Launching new product
Launching new productLaunching new product
Launching new product
 

Similar to เฟียเจท์

เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1suweeda
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1Sareenakache
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1maina052
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1sitipatimoh050
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1azmah055
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1ai-sohyanya
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1oppalove
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1Saneetalateh
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1waenalai002
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1Ameena021
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1Khodijohmath017
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1Sareenakache
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1rohanee
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1Ameena021
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1yasaka.747
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1tina009
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1Saneetalateh
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1pattamasatun
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1yasaka.747
 

Similar to เฟียเจท์ (20)

เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 
เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1เฟียเจท์ 1
เฟียเจท์ 1
 

เฟียเจท์

  • 2. ทฤษฎี เ กี ่ ย ว กั บ พั ฒ นาการ เชาวน์ ป ั ญ ญาที ่ ผ ู ้ เ ขี ย นเห็ น ว่ า มี ประโยชน์ สำ า หรั บ ครู คื อ ทฤษฎี ข องนั ก จิ ต วิ ท ยาชาว สวิ ส ชื ่ อ เพี ย เจต์ ( P iaget) ที ่ จ ริ ง แล้ ว เพี ย เจต์ ไ ด้ ร ั บ ปริ ญ ญาเอก ทางวิ ท ยาศาสตร์ สาขาสั ต วิ ท ยา ที ่ ม หาวิ ท ยาลั ย Neuc hatel ประเทศสวิ ส เซอร์ แ ลนด์ หลั ง จากได้ ร ั บ ปริ ญ ญา
  • 3. เฟียเจต์พบคำำตอบของเด็กน่ำสนใจมำก โดย เฉพำะคำำตอบของเด็กที่เยำว์วัยเพรำะมักจะตอบ ผิด แต่เมื่อเพียเจต์ได้วิเครำะห์คำำตอบที่ผดเหล่ำ ิ นั้นก็พบว่ำคำำตอบของเด็กเล็กที่ต่ำงไปจำกคำำ ตอบของเด็กโตเพรำะมีควำมคิดที่ต่ำงกัน คุณภำพของคำำตอบของเด็กที่วัยต่ำงกัน มักจะ แตกต่ำงกัน แต่ไม่ควรที่จะบอกว่ำเด็กโตฉลำด กว่ำเด็กเล็ก หรือคำำตอบของเด็กเล็กผิด กำร ทำำงำนกับนำยแพทย์บีเนต์ระหว่ำงปีค.ศ.1919 ถึง ค.ศ.1921 เป็นจุดเริ่มต้นของควำมสนใจเพีย
  • 4. เพี ย เจต์ (Piaget) ได้ ศ ึ ก ษำ เกี ่ ย วกั บ พั ฒ นำกำรทำงด้ ำ น ควำมคิ ด ของเด็ ก ว่ ำ มี ข ั ้ น ตอนหรื อ กระบวนกำร อย่ ำ งไร ทฤษฎี ข องเพี ย เจต์ ตั ้ ง อยู ่ บ นรำกฐำนของทั ้ ง องค์ ป ระกอบที ่ เ ป็ น พั น ธุ ก รรม และสิ ่ ง แวดล้ อ ม
  • 5. เฟียเจท์อธิบำยว่ำ กำรเรียนรู้ของ เด็กเป็นไปตำมพัฒนำกำรทำงสติปญญำ ั ซึ่งจะมีพัฒนำกำรไปตำมวัยต่ำง ๆ เป็น ลำำดับขั้น พัฒนำกำรเป็นสิ่งที่เป็นไปตำม ธรรมชำติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ำมจำก พัฒนำกำรจำกขั้นหนึ่งไปสูอีกขั้นหนึ่ง ่ เพรำะจะทำำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่กำร จัดประสบกำรณ์ส่งเสริมพัฒนำกำรของ เด็กในช่วงที่เด็กกำำลังจะพัฒนำไปสู่ ขั้นที่ สูงกว่ำ สำมำรถช่วยให้เด็กพัฒนำไป
  • 6. อย่ำงไรก็ตำม เพียเจต์เน้นควำม สำำคัญของกำรเข้ำใจธรรมชำติและ พัฒนำกำรของเด็กมำกกว่ำกำร กระตุนเด็กให้มีพฒนำกำรเร็วขึ้น ้ ั เพียเจต์สรุปว่ำ พัฒนำกำรของเด็ก สำมำรถอธิบำยได้โดยลำำดับระยะ พัฒนำทำงชีววิทยำทีคงที่ แสดงให้ ่ ปรำกฏโดยปฏิสมพันธ์ของเด็กกับสิ่ง ั แวดล้อม
  • 7. เพียเจต์กล่ำวว่ำ ระหว่ำงระยะเวลำ ตั้งแต่ทำรกจนถึงวัยรุ่น คนเรำจะค่อยๆ สำมำรถปรับตัวเข้ำกับสิงแวดล้อมได้มำก ่ ขึ้นตำมลำำดับขั้น โดยเพียเจต์ได้แบ่งลำำดับ ขั้นของพัฒนำกำรเชำวน์ปญญำของมนุษย์ ั ไว้ 4 ขัน ซึ่งเป็นขั้นพัฒนำกำรเชำวน์ ้ ปัญญำ ดังนี้
  • 8. •ขั ้ น ที ่ 1 ขั ้ น ประสาทรั บ รู ้ แ ละการ เคลื ่ อ นไหว (Sensorimotor) แรกเกิ ด - 2 ขวบ ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรม ของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับกำรเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ ในวัยนี้เด็กแสดงออกทำงด้ำนร่ำงกำยให้เห็นว่ำมีสติ ปัญญำด้วยกำรกระทำำ เด็กสำมำรถแก้ปัญหำได้ แม้ว่ำจะไม่สำมำรถอธิบำยได้ด้วยคำำพูด เด็กจะต้องมี โอกำสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง
  • 9. •ขั ้ น ที ่ 2 ขั ้ น ก่ อ นปฏิ บ ั ต ิ ก ำรคิ ด (Preoperational) อำยุ 1 8 เดื อ น - 7 ปี เด็กก่อนเข้ำโรงเรียนและวัยอนุบำล มีระดับเชำวน์ ปัญญำอยู่ในขั้นนี้ เด็กวัยนีมีโครงสร้ำงของสติ ้ ปัญญำ(Structure) ที่จะใช้สญลักษณ์แทนวัตถุสงของ ั ิ่ ที่อยู่รอบๆตัว ได้ หรือ มีพัฒนำกำรทำงด้ำนภำษำ เด็ก วัยนี้จะเริ่มด้วยกำรพูดเป็นประโยคและเรียนรู้คำำต่ำงๆ เพิ่มขึ้น เด็กจะได้รู้จักคิด ขั้นนี้ แบ่งออกเป็นขั้นย่อย อีก 2 ขั้น คือ
  • 10. 1.ขั ้ น ก่ อ นเกิ ด สั ง กั ป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนำกำรของเด็กอำยุ 2-4 ปี เป็น ช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบืองต้น สำมำรถจะโยง ้ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเหตุกำรณ์ 2 เหตุกำรณ์ หรือมำกกว่ำมำเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและ กัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำำกัด อยู่ เพรำะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลำง คือ ถือควำมคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็น เหตุผลของผูอื่น ควำมคิดและเหตุผลของเด็ก ้ วัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตำมควำมเป็นจริงนัก แต่
  • 11. 2. ขั ้ น การคิ ด แบบญาณหยั ่ ง รู ้ นึ ก ออกเองโดย ไม่ ใ ช้ เ หตุ ผ ล ( Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนำกำรของเด็ก อำยุ 4-7 ปี ขั้นนี้ เด็กจะเกิดควำมคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่ำงๆ รวม ตัวดีขึ้น เริ่มมีพัฒนำกำรเกี่ยวกับกำรอนุรักษ์ แต่ ไม่แจ่มชัดนัก สำมำรถแก้ปญหำเฉพำะหน้ำได้ ั โดยไม่คดเตรียมล่วงหน้ำไว้ก่อน รู้จักนำำควำมรู้ ิ ในสิงหนึ่งไปอธิบำยหรือแก้ปญหำอื่นและ ่ ั สำมำรถนำำเหตุผลทั่วๆ ไปมำสรุปแก้ปญหำ โดย ั ไม่วิเครำะห์อย่ำงถี่ถ้วนเสียก่อน กำรคิดหำเหตุ
  • 12. •ขั ้ น ที ่ 3 ขั ้ น ปฏิ บ ั ต ิ ก ำรคิ ด ด้ ำ นรู ป ธรรม (Concrete Operations)(อำยุ 7 - 11 ปี ) พัฒนำกำรทำงด้ำนสติปัญญำและควำมคิดของเด็กวัยนี้ แตกต่ำงกันกับเด็กในขั้น Preperational มำก เด็กวัยนี้จะ สำมำรถสร้ำงกฎเกณฑ์ และตั้งกฎเกณฑ์ ในกำร แบ่งสิ่ง แวดล้อมออกเป็นหมวดหมูได้ คือ เด็กจะสำมำรถทีจะอ้ำงอิง ่ ่ ด้วยเหตุผลและไม่ขึ้นกับกำรรับรู้จำกรูปร่ำงเท่ำนั้น เด็กวัยนี้ สำมำรถแบ่งกลุ่มโดยใช้เกณฑ์หลำยๆอย่ำง และคิดย้อนกลับ (Reversibility) ได้ ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับกิจกรรมและควำม สัมพันธ์ของตัวเลขก็เพิ่มมำกขึ้น
  • 13. •ขั ้ น ที ่ 4 ขั้นปฏิบัติกำรคิดด้วยนำมธรรม (Formal Operations)อำยุ 12 ปี ข ึ ้ น ไป ในขั้นนีพัฒนำกำรเชำวน์ปัญญำและควำมคิดเห็น ้ ของเด็กเป็นขั้นสุดยอด คือ เด็กในวัยนีจะเริ่มคิดเป็น ้ ผู้ใหญ่ ควำมคิดแบบเด็กสิ้นสุดลง เด็กสำมำรถทีจะคิด ่ หำเหตุผลนอกเหนือไปจำกข้อมูลที่มอยู่ สำมำรถทีจะคิด ี ่ เป็นนักวิทยำศำสตร์ สำมำรถที่จะตั้งสมมุติฐำนและ ทฤษฎีและเห็นว่ำควำมจริงทีเห็นด้วยกับกำรรับรู้ไม่ ่ สำำคัญเท่ำกับกำรคิดถึงสิ่งทีอำจเป็นไปได้(Possibility ่
  • 14. พัฒนำกำรทำงกำรรู้คดของเด็กในช่วงอำยุ 6 ิ ปีแรกของชีวิต ซึ่งเพียเจต์ ได้ศึกษำไว้เป็น ประสบกำรณ์ สำำคัญที่เด็กควรได้รับกำรส่ง เสริม มี 6 ขั้น ได้แก่ 5.ขั้นควำมรู้แตกต่ำง (Absolute Differences) 6.ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้ำม (Opposition) 7.ขั้นรู้หลำยระดับ (Discrete Degree) 8.ขั้นควำมเปลี่ยนแปลงต่อเนือง (Variation) ่ 9.ขั้นรู้ผลของกำรกระทำำ (Function) 6. ขั้นกำรทดแทนอย่ำงลงตัว (Exact
  • 15. กระบวนกำรทำงสติ ป ั ญ ญำมี ล ั ก ษณะดั ง นี ้ 3)กำรซึมซับหรือกำรดูดซึม (assimilation) เป็นกระบวนกำรทำงสมองในกำรรับประสบกำรณ์ เรื่องรำว และข้อมูลต่ำง ๆ เข้ำมำสะสมเก็บไว้เพือใช้ประโยชน์ต่อไป ่ 2. กำรปรับและจัดระบบ (accommodation) คือ กระบวนกำร ทำงสมองในกำรปรับ ประสบกำรณ์เดิมและประสบกำรณ์ใหม่ให้เข้ำ กันเป็นระบบ 3. กำรเกิดควำมสมดุล (equilibration) เป็นกระบวนกำรที่เกิดขึ้นจำกขั้นของกำรปรับ หำกกำรปรับ เป็นไปอย่ำงผสมผสำนกลมกลืนก็จะมีควำมสมดุลขึ้น หำกไม่ สำมำรถปรับประสบกำรณ์ใหม่และประสบกำรณ์เดิมให้เข้ำกันได้
  • 16. กำรนำ ำ ไปใช้ ใ นกำรจั ด กำรศึ ก ษำ / กำรสอน 1.เมือทำำงำนกับนักเรียน ผู้สอนควรคำำนึงถึงพัฒนำกำรทำงสติ ่ ปํญญำของนักเรียนดังต่อไปนี้ 1.1)นักเรียนทีมอำยุเท่ำกันอำจมีขั้นพัฒนำกำรทำงสติ ่ ี ปัญญำทีแตกต่ำงกัน ่ 1.2)นักเรียนแต่ละคนจะได้รับประสบกำรณ์ 2 แบบคือ 1.2.1>ประสบกำรณ์ทำงกำยภำพ (physical experiences) จะเกิดขึ้นเมือนักเรียนแต่ละคนได้ปฏิสัมพันธ์กับ ่ วัตถุต่ำง ในสภำพแวดล้อม โดยตรง 1.2.2>ประสบกำรณ์ทำงตรรกศำสตร์ (Logicomathematical experiences) จะเกิดขึ้น เมือ ่
  • 17. 2.หลักสูตรที่สร้ำงขึ้นบนพื้นฐำนทฤษฎีพัฒนำกำรทำง สติปญญำของเพียเจต์ ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ ั 1.เน้นพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของผู้เรียนโดยต้อง เน้นให้นักเรียนใช้ศักยภำพของตนเองให้มำกที่สุด 2.เสนอกำรเรียนกำรเสนอที่ให้ผเรียนพบกับควำม ู้ แปลกใหม่ 3.เน้นกำรเรียนรู้ต้องอำศัยกิจกรรมกำรค้นพบ 4.เน้นกิจกรรมกำรสำำรวจและกำรเพิ่มขยำยควำม คิดในระหว่ำงกำรเรียนกำรสอน 5.ใช้กิจกรรมขัดแย้ง (cognitive conflict activities) โดยกำรรับฟังควำมคิดเห็นของผู้อื่นนอก เหนือจำกควำมคิดเห็นของตนเอง
  • 18. 3.กำรสอนทีส่งเสริมพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของผู้เรียนควร ่ ดำำเนินกำรดังต่อไปนี้ 1) ถำมคำำถำมมำกกว่ำกำรให้คำำตอบ 2) ครูผู้สอนควรจะพูดให้นอยลง และฟังให้มำกขึ้น ้ 3) ควรให้เสรีภำพแก่นกเรียนทีจะเลือกเรียนกิจกรรมต่ำง ๆ ั ่ 4) เมือนักเรียนให้เหตุผลผิด ควรถำมคำำถำมหรือจัด ่ ประสบกำรณ์ให้นกเรียนใหม่ ั 5) ชี้ระดับพัฒนำกำรทำงสติปัญญำของนักเรียนจำกงำน พัฒนำกำรทำงสติปัญญำขั้นนำมธรรมเพื่อดูว่ำนักเรียนคิด อย่ำงไร 6) ยอมรับควำมจริงทีว่ำ นักเรียนแต่ละคนมีอัตรำพัฒนำกำร ่ ทำงสติปัญญำทีแตกต่ำงกัน ่ 7) ผู้สอนต้องเข้ำใจว่ำนักเรียนมีควำมสำมำรถเพิ่มขึ้นใน
  • 19. 4.ในขั้นประเมินผล ควรดำำเนิน กำรสอนต่อไปนี้ 1) มีกำรทดสอบแบบกำรให้ เหตุผลของนักเรียน 2) พยำยำมให้นักเรียนแสดง เหตุผลในกำรตอนคำำถำมนั้น ๆ 3) ต้องช่วยเหลือนักเรียนทีมี พัฒนำกำรทำงสติปญญำตำ่ำ ั กว่ำเพื่อร่วมชั้น