SlideShare a Scribd company logo
1 of 14
36 กลยุทธิ์ชนะศึก

กลยุทธ์ที่ 1
ปิดฟ้าข้ามทะเล กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า สิ่งที่ตนคิดว่าได้ตระเตรียมไว้อย่าง
พร้อมมูลแล้ว ก็มักจะมึนชาและประมาทศัตรูได้ง่าย สิ่งที่พบเห็นอยู่เสมอในยาม
ปรกติก็ไม่เกิดความสงสัยอีกต่อไป ที่ว่า “มืดอยู่ในสว่าง ไม่อยู่ตรงข้ามสว่าง” ก็
คือกลอุบายแจ้งมีอุบายลับ อุบายลับจะปรากฏเป็นจริงขึ้นในอุบายแจ้งนั้นเอง
“สว่าง” คือเปิดเผย แจ้งชัด “มืด” คือแฝงเร้น ปกปิด ความหมายของคำาว่า
“สว่าง มืด” ก็คือ ในรูปแบบที่เปิดเผยอย่างที่สุด แฝงเร้นไว้ด้วยเนื้อหาที่ปิดลับ
ที่สุด การใช้อุบายประสานกันทั้งมืดและสว่าง ยอมเป็นกลยุทธ์อันเป็นปกติวิสัย
ของคู่ต่อสู้ ในการสัประยุทธ์หำ้าหั่นซึ่งกันและกัน ที่กลยุทธ์นี้ชื่อ “ปิดฟ้าข้าม
ทะเล” ก็คือการสร้างภาพลวงฝ่าข้ามทะเลไปโดยไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้เนื้อรู้ตัว
เมื่อใช้ในด้านการทหาร มิได้หมายถึงการข้ามทะเลด้วยการปกปิดเป็นเฉพาะ แต่
หมายถึงว่าเมื่อสองประเทศรบกัน ฝ่ายหนึ่งใช้กลยุทธ์สร้างภาพลวงขึ้น ปกปิด
ความจริง มึนชาฝ่ายตรงข้าม นี้ก็คือกลยุทธ์ใช้การพรางตามาปกปิดจุดประสงค์
ของตนมิให้ฝ่ายตรงข้ามพบเห็นได้ง่าย เพื่อบรรลุภาระหน้าที่ที่ได้กำาหนดไว้อย่าง
หนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “สำาหรับเรื่องที่มีความเคยชิน มนุษย์เรามักจะปล่อยปละ
ละเลยต่อการระมัดระวัง มิได้ป้องกันให้เข้มงวดกวดขัน

กลยุทธ์ที่ 2
ล้อมเว่ยช่วยเจ้า กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกรวมศูนย์กำาลังพลไว้ ควรจะใช้กล
อุบายดึงแยกข้าศึกออกไป ทำาให้กำาลังพลกระจัดกระจาย ห่วงหน้าพะวงหลัง ครันแล้ว          ้
จึงเข้าโจมตี นี้ก็คือ “ศัตรูรวมมิสู้ศัตรูแยก” และตำาราพิชัยสงครามในสมัยโบราณ ขนาน
นามยุทธศาสตร์การส่งทหารเข้าบุกข้าศึกก่อนเป็น “ศัตรูแจ้ง” ส่วนยุทธศาสตร์กำาราบ
ข้าศึกทีหลังเป็น “ศัตรูมืด” ภายในสภาพการณ์ที่แน่นอน การบุกข้าศึกทีหลังได้เปรียบ
กว่าการส่งทหารเข้าบุกก่อน กลยุทธ์นี้หมายถึงการใช้ศิลปะการต่อสู้ทางการทหารที่
เรียกว่า “ถ้ามาหลายก็ให้แยก” “ถ้าบุกก็ให้ถอย” “การส่งทหารเข้าบุกก่อนมิสู้ตีโต้ตอบ
ทีหลัง” นี้เป็นกลยุทธ์ที่ “เลี่ยงแน่นตีกลวง เลี่ยงแข็งตีอ่อน เลื่ยงที่สงบตีที่ปั่นป่วน
เลี่ยงที่ฮึกเหิมตีที่ย่อท้อ” เพื่อขับข้าศึกและเข้าบดขยี้ข้าศึกในภายหลังอย่างหนึ่ง ใน
ตำาราพิสังสงครามซุนวู บทว่าด้วย “จริงลวง” ได้เขียนไว้ว่า “เรารวมเป็นหนึ่ง ข้าศึก
แยกเป็นสิบ เราก็มากข้าศึกก็น้อย” กลยุทธ์นี้จึงสรุปว่า “อย่าปะทะกับข้าศึกซึ่งหน้า
ควรใช้ยุทธวิธีวกวนที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตน แบ่งแยกกำาลังของข้าศึกให้กระจายเป็น
หลายส่วน แล้วจึงพิชิตเสีย”

กลยุทธ์ที่ 3
ยืมดาบฆ่าคน กลยุทธ์นี้มีความหวายว่า เมื่อศัตรูปรากฏแน่ชัด แต่มิตรยังลังเล สิ่งที่พึง
กระทำาก็คือล่อให้พันธมิตรออกไปปะทะศัตรู นี้เป็นกลวิธีอย่างหนึ่งใช้ความขัดแย้ง ยืม
กำาลังของคนอื่นไปทำาลายศัตรู เพื่อรักษากำาลังตนเองไว้ แต่การยืมเช่นนีจะต้องให้
                                                                        ้
แนบเนียน มิฉะนันแล้วก็ไม่อาจทำาลายศัตรูได้ กลับอาจถูกศัตรูย้อนรอย กลยุทธ์นได้
                   ้                                                          ี้
ถูกนำาไปใช้อย่างกว้างขวาง ใน “จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่นหลังประวัติหวางหยุน” มีเรื่อง
“ลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะ” ใน “สามก๊ก” ก็มีเรื่อง “ขงเบ้งยืมกำาลังของซุนกวนไปต้านโจโฉที่ผา
แดง” หรือ “โจโฉแตกทัพเรือ” เป็นต้น กลยุทธ์นี้สรุปว่า “เมื่อศัตรูมีทีท่าแจ่มชัด แต่
กำาลังของฝ่ายเรายังมิกล้าแข็ง ควรจะหาทางอาศัยกำาลังของพันธมิตรไปโจมตีศัตรู
หลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายเรา ด้วยวิธีทั้งปวง”

กลยุทธ์ที่ 4
รอซำ้ายามเปลี้ย กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อประสงค์จักทำาให้ข้าศึกตกอยู่ในภาวะ
ลำาบาก ไม่แน่วาจะต้องใช้วิธีรบแต่ฝ่ายเดียว อาจจะใช้วธี "แกร่งเสียอ่อนได้” ตามที่
                ่                                         ิ
กล่าวไว้ใน “คัมภีร์อี้จิง สูญเสีย เมื่อให้ได้รับชัยชนะก็ได้” ความหมายของ “แกร่งเสีย” ก็
คือ เมื่อการรุกของข้าศึกดุเดือดยิ่งนัก ดูภายนอกแล้วเสมือนหนึ่งเข้มแข็งใหญ่โตเหลือ
ประมาณแต่ไม่อาจรบต่อเนื่องได้ยาวนาน อ่อนเปลี้ยเพลียแรงได้ง่าย “อ่อนได้” ก็คือ
ฝ่ายรับที่ทำาการป้องกัน ถูกตีกระหนำ่าดูแล้วเหมือนหนึงอ่อนปวกเปียก แต่สามารถจะใช้
                                                        ่
ความสงบรอความเปลี้ย บั่นทอนกำาลังข้าศึกไม่ขาดระยะ ทำาให้ตนแปรเปลี่ยนจากฝ่าย
เสียเปรียบเป็นฝ่ายได้เปรียบ นี้คือกลอุบายในการยึดกุมเป็นฝ่ายริเริ่มในสงคราม รอ
โอกาสทำาลายข้าศึกแปรการรับให้เป็นการรุกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีปรากฏอยู่ในตำารา
พิชัยสงครามหลายเล่ม เช่น “ซุนจือ ว่าด้วยการศึก” "ยุทธวิธีร้อยแปด ว่าด้วยสงคราม”
“ว่าด้วยการระดมพลเหนือใต้” “บันทึกจ่อจ้วน” “บันทึกประวัติศาสตร์” “จดหมายเหตุ
ราชวงศ์ฮั่น” ซึ่งใน “ว่าด้วยการระดมพลเหนือใต้” กล่าวไว้ว่า“ทราบจากตำาราพิชัย
สงครามว่าผู้รับมักสบาย แต่ผู้รุกมักเหนื่อยยาก รอซำ้ายามเปลี้ย” ใน “จดหมายเหตุ
ราชวงศ์ฮั่นหลัง ประวัติฝงอี้” กล่าวว่า "ผู้บุกกำาลังไม่พอ แต่ผู้รับมีกำาลังเหลือเฟือ บัดนี้
รักษาเมืองไว้ก่อน ใช้ความสงบรอความเปลี้ย มิจำาต้องไปรบด้วยเลย” กลยุทธ์นี้มาจาก
"ตำาราพิชัยสงครามซุนจื่อ ว่าด้วยการทำาศึก" ความเดิมมีว่า "ใช้ใกล้รอไกล ใช้สบายรอ
เหนื่อย ใช้อิ่มรอหิว นี้คือการสยบผู้แกร่งกว่านั้นแล" กลยุทธ์นี้สรุปว่า “เมื่อศัตรูมีทีท่า
แจ่มชัด แต่กำาลังของฝ่ายเรายังมิกล้าแข็ง ควรจะหาทางอาศัยกำาลังของพันธมิตรไป
โจมตีศัตรู หลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายเรา ด้วยวิธีทั้งปวง”

กลยุทธ์ที่ 5
 ตีชิงตายไฟ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกอยู่ในภาวะวิกฤติ ควรฉวยโอกาสรุกรบ
โจมตี เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ หรือให้ผู้เข้มแข็งออกโรงเข้าแทรกแซงให้ผู้อ่อนกว่ายอม
สยบด้วย นีก็คือที่เรียกว่า “ใช้ความแกร่งพิชิตความอ่อน” ความหมายเดิมของ “ตีชิงตาม
            ้
ไฟ” คือในขณะที่ผู้อื่นถูกเพลิงเผาผลาญห่วงแต่ตัวเอง ไม่ว่างกับเรื่องอื่น ก็ฉวยโอกาส
แย่งชิงเอาของผู้นั้นเมาหรือในขณะที่ผู้อื่นตกอยู่ในอันตรายหรือในความลำาบาก ก็รุกลำ้า
เอาผลประโยชน์ของผู้นั้นมา เมื่อนำามาใช้ในการทหาร ก็คือสิ่งที่ตำาราพิชัยสงครามของ
“ซุนจือ ว่าด้วยอุบาย” กล่าวไว้ว่า “ชิงเอาในยามปั่นป่วน” หรือที่ “ว่าด้วยอุบาย” ของตู้มู่
นักการทหารอีกคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เมื่อข้าศึกวุ่นว่ายปั่นป่วย อาจฉวยโอกาสช่วงชิงมา
ได้” กลยุทธ์นี้ แต่เดิมมาจากตำาราพิชัยสงครามของซุนจื่อ “ว่าด้วยอุบาย” ที่วกล่าวไว้ว่า
“ชิงเอาในยามปั่นป่วน” ฉะนั้น กลบยุทธ์นี้จึงเป็นกลอุบายที่ฉวยโอกาสในยามที่ข้าศึกอยู่
ในภาวะวิกฤติ เข้ารุกรบโจมตีอย่างหนึ่ง ที่กล่าวว่า “เมื่อข้าศึกมีภัย ให้ฉกฉวยเอา
ประโยชน์” มิได้จำากัดอยู่แต่เพียงในด้ายการทหาร หากจะนำาไปใช้ได้ทั้งทางการเมือง
เศรษฐกิจและอื่นๆ อย่างกว้างขวาง จะได้ผลหรือไม่อย่างใดก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ในบางครั้ง
ยังอาจจะใช้วิธีการต่างๆ ทำาให้ขาศึกเกิดวิกฤติ ให้เกิดความระแวงสงสัยในกันและกัน
                                  ้
ตอกยำ้าความประหวั่นพรั่นพรึงทางจิตใจให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น เพื่อบันทอนพลังสู้รบของ
ข้าศึก เป็นต้น หลังจากนั้นจึงฉวยโอกาสชิงเอาชัยนี้ก็นับอยู่ในการใช้กลยุทธ์นี้ด้วย
กลยุทธ์นี้จึงสรุปว่า “เมื่อข้าศึกประสบกับความยากลำาบากทั้งภายในและภายนอก จัก
ต้องรุกโจมตีอย่างไม่ปรานี ฉวยโอกาสอันดีนี้ กระหนำ่าซำ้าเติมอย่างให้ตั้งตัวติดและพิชิต
เอาชัยอย่างได้ช้า”

กลยุทธ์ที่ 6
ส่งเสียบุรพาฝ่าตีประจิม กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ตามคำาอธิบายของ “คัมภีร์อี้จิง ปั่น
ป่วน” คำาว่า “ดุจจมในปลัก” ก็คือตกอยู่ในภาวะที่รวมตัวอยู่ในที่เดียวกัน แต่ขยับตัวหรือ
กระจายแนวออกต่อตีมิได้ มีอันตรายที่จะพังพินาศได้ทุกเวลา ประดุจฝูงสัตว์ที่ขาด
หัวหน้า มิมีการบัญชาที่ถูกต้อง ก็จักต้องพ่ายแพ้ไม่ช้าก็เร็ว หรืออีกในหนึ่ง ในระหว่างสง
ครามาหรือการสัประยุทธ์ใดๆ ก็ดี เมื่อการบัญชาการของข้าศึกสับสนอลหม่าน มิอาจ
วินิจฉัยหรือป้องกันได้อย่างถูกต้องทันท่วงที จนเกิดเหตุอันไม่คาดฝันขึ้น พึงฉวยโอกาส
ที่ข้าศึกวุ่นวายไร้การควบคุม ทำาลายเสีย ที่ว่า “ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม” ยังหมายถึงกล
อุบายที่เห็นอยู่ทางตะวันออกหยกๆ แต่กลับวกไปอยู่ทางตะวันตก ส่งเสียงทางนี้แต่ตี
ทางโน้น ทำาทีถอยแต่กลับรุก ทำาทีรุกแต่กลับถอย ลวงล่อข้าศึกอย่างแนบเนียน ทำาให้
ข้าศึกเกิดความเข้าใจผิด แล้วฉวยโอกาสเข้าพิชิตเอาชัยแก่ข้าศึกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มี
อยู่ในตำาราพิชัยสงครามหลายเล่มด้วยกัน เช่น “ซุนจือ ว่าด้วยภูมิประเทศ” “ยุทธ์วิธีร้อย
แปด ว่าด้วยสงครามเสียง” “ไหวหนานจื่อ การฝึกยุทธวิธี” เป็นต้น ในเล่มหลังนี้กล่าวว่า
“ดังนั้นมรรควิธแห่งการใช้ทหาร แสดงให้เห็นว่าอ่อนแต่ปะทะด้วยแข็ง แสดงให้เห็นว่า
                 ี
เปราะแต่ปะทะด้วยแกร่ง เมื่อจะรวบ พึงกระจาย เมื่อจักไปประจิม ควรทำาทีไปบูรพา”
หรือ “คัมภีร์ทั่วไป ว่าด้วยการศึกหลายเลขหก” ของตู้อิ้วก็กล่าวไว้ว่า “ส่งเสียงว่าตีทาง
บูรพา แต่ที่แท้ตีทางประจิม” กลยุทธ์นี้สรุปว่า “ที่ว่าส่งเสียบูรพาฝ่าตีประจิม ก็คือโดย
ภายนอก โดยผิวเผิน ทำาให้ดูเสมือนหนึ่งว่าจะบุกทางนี้อย่างจริงจัง แต่ที่แท้แล้วกลับบุก
อีกด้านหนึ่ง ทำาให้ข้าศึกหลงผิด แล้วพิชิตเอาชัยบนความหลงผิดนั้น”

กลยุทธิ์เผชิญศึก
กลยุทธ์ที่ 7
มีในไม่มี กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ให้ใช้ภาพลวงล่อหลอกข้าศึก แต่มใช้จะล่อลวงจนถึง
                                                                              ิ
ที่สุด หากแต่เพื่อแปรเปลี่ยนจากลวงเป็นจริง ทำาให้ข้าศึกเกิดความหลงผิด ที่ว่า “ลวง”
ก็คือ “หลอกลวง” ที่ว่า “มืด” ก็คือ “เท็จ” จากมืดน้อยไปถึงมืดมาก จากมืดมากแปร
เปลี่ยนเป็นสว่างแจ้ง ก็คือใช้ภาพลวงปกปิดภาพจริง ผันจากเท็จลวงให้กลายเป็นแท้จริง
แท้ นี้เป็นเรื่องในการศึกเท็จลวงและแท้จริงแท้สลับกันเป็นฟันปลา ในจริงมีเท็จ ในเท็จมี
จริง “มีในไม่มี” หมายถึงกลอุบายซึ่ง “จริงในเท็จ” ที่ใช้ภาพลวงล่อหลอกข้าศึก ให้
ข้าศึกเกิดความหลงผิดอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีอยู่ใจตำาราพิชัยสงครามชื่อ “อุ้ยเหลียวจือ
อำานาจศึก” ซึ่งกล่าวว่า “อำานาจศึกอยู่ที่วิถีอันทำาได้ ผู้มีจักไม่มี ผู้ไม่มจักมี” ในบทที่ 34
                                                                            ี
ของ “คัมภีร์เหล่าจื่อเล่มหลัง” ก็กล่าวไว้ว่า “สรรพสิ่งใต้หล้าเกิดจากมี บางก็เกิดจาก
ไม่มี” กลยุทธ์นี้สรุปว่า “เมื่อจักสั่นคลอนจิตใจของข้าศึก มิควรวู่วาม ควรใช้ยุทธวิธีจริง
เท็จเท็จจริงกลับลวงกันไป ทำาให้ข้าศึกเกิดความสับสนวุ่นวาย พึงจับจุดอ่อนของข้าศึก
ยืนหยัดจนถึงวาระที่สำาคัญที่สุด ครั้นแล้วก็รุกโจมตีอย่างถึงแก่ชีวิต”

กลยุทธ์ที่ 8
ลอบตีเฉินชัง กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ในการศึก ใช้โอกาสที่ฝ่ายข้าศึกตัดสินใจจะ
รักษาพื้นที่ แสร้งทำาเป็นจะโจมตีด้านหน้า แต่เข้าจู่โจมในพื้นที่ที่ข้าศึกไม่สนใจอย่าง
มิได้คาดคิด ใน “คัมภีร์อี้จิง ประโยชน์” เรียกว่า “เข้าจู่โจมดุจพายุ” ซึ่งก็คือกลวิธีวกวน
ลอบเข้าจู่โจมอย่างเป็นฝ่ายกระทำา เข้าตีข้าศึกโดยมิได้ระวังตัว เอาชนะอย่างมหัศจรรย์
อย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปว่า “เมื่อคู่ศึกทั้ง 2 ฝ่ายตั้งประจัญหน้ากัน จงใจสร้างเป้าหมายให้
ฝ่ายตรงข้ามเพ่งเล็ง รอจนเมื่อฝ่ายตราข้ามวางกำาลังใหญ่ป้องกันไว้ ณ ที่นั้นแล้ว จึงรุก
รบโจมตีเอาเป้าหมายอื่น ซึ่งก็คือการใช้จุดอ่อนแห่งภาวะจิตมนุษย์ โจมตีในจุดที่ฝ่าย
ตรงข้ามมิได้คาดคิดมาก่อนแล้วมิได้ระมัดระวังตัว จึงได้มาซึ่งชัยชนะในการรุกรบ”

กลยุทธ์ที่ 9
 ดูไฟชายฝั่ง กลยุทธ์ นีมีความหมายว่า เมื่อประสบกับภาวะที่ข้าศึกแตกแยกวุ่นวายปั่น
                          ้
ป่วนอย่างหนัก พึงรอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสงบ หากข้าศึกใช้ความป่าเถื่อนแก่กัน
ต่างพิพากเข่นฆ่ากัน แนวโน้มก็จักพาไปสู่ความวินาศเอง ในเวลาเยี่ยงนี้จำาต้องปฏิบัติให้
คล้อยตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพข้าศึก ตระเตรียมไว้ก่อนล่งหน้า เพื่อดำาเนินการให้
สอดคล้องกับสภาพการณ์ชิงมาซึ่งชัยชนะโดยใช้การเปลี่ยน แปลงอย่างฉับพลันของ
ทางฝ่ายข้าศึกให้เป็นประโยชน์ นี้คือความหมายของคำาว่า “คล้อยเพื่อเคลื่อนตาม คล้อย
ตามจึงเคลื่อน” ใน “คัมภีร์อี้จิงว่าด้วยสงบ” ซึ่งก็คือกลอุบายที่ยึดถือการแปรผันของ
ข้าศึก เปลี่ยนแปลงตามสภาพ เพื่อเอาประโยชน์อย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้เดิมมาจากตำารา
พิชัยสงคราม “ซุนจื่อ ว่าด้วยการศึก” ที่ว่า “ใช้ความสงบรอความปั่นป่วน ใช้ความเงียบ
รอความวุ่นวาย” ใน “บันทึกประวัติศาสตร์ ประวัติจางอี๋” ก็ได้บันทึกเรื่องของเปี้ยนจวงจื่อ
ว่า “นังภูดูเสื่อกัดกัน” “ได้เสือ 2 ตัวเพียงดำาเนินการครั้งเดียว” ซึ่งก็คล้ายคลึงกับกลยุทธ์
นี้ กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “เมื่อข้าศึกเกิดความปั่นป่วนภายใน ให้รอดูการเปลี่ยนแปลงโดย
สงบ ให้ข้าศึกเกิดความปั่นป่วน ก้าวไปสู่ความพินาศเอง ที่ว่า “ไฟ” ในกลยุทธ์นี้ ก็หมาย
ถึงการบาดหมางภายในฝ่ายข้าศึก เช่นเกิดมีคนทรยศหรือไส้ศึก หรือความปั่นป่วน ใน
ช่วงเวลานี้เอง การคอยสังเกตการณ์อยู่ด้วยความสงบ แล้วค่อยตักตวงเอาในภายหลังจึง
เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด”

กลยุทธ์ที่ 10
ซ่อนดาบบนรอยยิ้ม กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จะต้องทำาให้ข้าศึกเชื่อว่าเรามิได้
เคลื่อนไหวอะไรเลย จึงสงบไม่เคลื่อนเช่นกัน ทั้งเกิดความคิดมึนชาขึ้น แต่เรากลับ
ดำาเนินการตระเตรียมเป็นการลับ รอคอยโอกาส เพื่อที่จะออกปฏิบัติการ โดยฉับพลัน
ทันที แต่ต้องระวังมิให้ข้าศึกล่วงรู้ก่อน อันจะทำาให้สภาพการณ์เกิดเปลี่ยนแปลงไป “
แข็งในอ่อนนอก” คือภายนอกนั้นดูละมุนละไม แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง
 “ซ่อนดาบในรอยยิ้ม” ความเดิมหมายถึงโดยผิวเผินก็อ่อนโยน แต่ภายในนั้นมากด้วย
เล่ห์ เมื่อนำามาใช้ ก็คือกลยุทธ์ที่ นอกอย่างในอย่าง แจ้งอย่างลับอย่าง ภายนอกแสดง
ความอ่อนละมุน แต่ภายในแฝงไว้ด้วยการเอาเป็นเอาตายอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีอยู่ใน “
จดหมายเหตุราชวงศ์ถังเก่า ประวัติหลี่อี้ฝู่” ซึ่งกล่าวว่า “ภายนอกของอี้ฝู่นอบน้อยถ่อม
ตน พบใครใบหน้าก็ยิ้มย่องผ่องใส แต่เป็นคนที่เห็นแก่ตัว เชือดคอคนได้ในทางลับ
ต้องการได้อำานาจ จัดให้ผู้อื่นศิโรราบด้วยตน หากไม่พึงพอใจใคร ก็จักทำาลายเสียโดย
พลัน ดังนันคนจึงโจษจันกันว่า อี้ฝู่มีดาบเป็นรอยยิ้ม” กลยุทธ์นี้สรุปว่า “พยายามทำาให้
            ้
ฝ่ายข้าศึกเข้าใจว่าฝ่ายเรา มิได้มีการตระเตรียมแต่อย่างใดเลย จึงสูญเสียความ
ระมัดระวัง แต่ฝ่ายเรากลับวางแผนอย่างลับๆ เมื่อตระเตรียมพร้อมแล้วก็ให้รวบหัวรวบ
หางพิชิตเอาชัยในทันที แต่ไม่ควรจะให้ขาศึกรู้ตัวก่อนเป็นอันขาด อันอาจจะก่อให้เกิด
                                            ้
อุปสรรค์ที่ไม่จำาเป็นขึ้น ที่ว่า “ซ่อนดาบในยิ้ม” ก็คือ “ปากหวานใจคด” ใบหน้านันยิ้มแย้ม
                                                                               ้
แจ่มใส แต่ในใจแฝงไว้ด้วยความเหี้ยมเกรียมที่จะเอาชีวิตกัน”

กลยุทธ์ที่ 11
หลี่ตายแทนถาว กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อการพัฒนาของสถานการณ์มิเป็นผลดีแก่
ตน จักต้องเกิดความเสียหายอย่างหลียกเลี่ยงไม่พัน เพื่อที่จะแปรความเสียเปรียบเป็น
ความได้เปรียบ ก็จะต้องยอมเสีย “มืด” เพื่อประโยชน์แก่ “สว่าง” ซึ่งก็หมายความว่าจำา
ต้องเสียสละส่วนหนึ่ง เสียค่าตอบแทนน้อย เพื่อแลกกับชัยชนะทั่วทุกด้าน “หลี่ตายแทน
ถาว” ความหมายเดิมเป็นการเปรียบเทียบความรักใคร่ช่วยเลือกกับระหว่างพี่น้อง แต่เพื่อ
ใช้ในการทหารหรือในกรณีอื่นๆ ก็เปรียบเทียบเป็นการทดแทนซึ่งกันและกัน อันเป็นกล
อุบายที่ให้ ก. เข้าแทนที่ ข. หรือให้ ข. แทนที่ ก. อย่างหนึ่ง ที่ว่า “เสียกำาเอากอบ” หรือ
“เสียบ่าวเอานาย” ก็เป็นกลอุบายในทำานองนี้ คำาๆ นี้เดิมมาจากกวีนิพนธ์บนหนึงชื่อ “ไก่
                                                                                 ่
ขัน” ใน "ชุมนุมกวี่นิพนธ์กู่เล่อฝู่” ความหมายว่า “ต้นถาวเกิดที่ปากบ่อ ต้นหลี่โตเคียง
มาก หนอนบ่อนไชต้นถาวหลี่ตายแทนถาว ต้นไม้ยังตายแทนกัน พี่น้อยไฉนไยจึงลืม?”
กลยุทธ์นี้สรุปว่า “ในขณะที่ 2 ฝ่ายประจันหน้ากันอยู่ ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องประสบ
ความสูญเสีย จักไม่บาดเจ็บล้มตายเลยหาได้ไม่ ในขณะที่กำาลังของทั้งสองฝ่าย
ทัดเทียมกัน ใครจะอยู่ใครจะไปยังมิอาจรูได้ ก็ควรจักยอมเสียคาตอบแทนไปบ้างแต่
                                          ้
น้อย เพื่อแลกมาซึ่งผลประโยชน์ใหญ่ที่สุด จึงถูก”

กลยุทธ์ที่ 12
จูงแพะติดมือ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า แม้จะเป็นความเลินเล่อของข้าศึกเพียงเล็กน้อย
เราก็พึงฉกฉวยเอาประโยชน์ แม้จะเป็นชัยชนะเพียงเล็กน้อย ก็จะต้องชิงเอามาให้ได้ “
มืดน้อย” หมายถึง ความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ของข้าศึก “สว่างน้อย” หมายถึงชัยชนะ
เล็กๆน้อยๆของฝ่ายเรา “จูงแพะติดมือ” หมายถึง อาศัยความประมาทแม้เพียงเล็กน้อย
ของฝ่ายตราข้าม ชิงเอาผลประโยชน์มาเป็นของเราเสีย กลยุทธ์นี้เป็นกลอุบายที่ใช้ช่อง
อันเป็นจุดอ่อนข้าศึก ขยายพลังของตนเองออกไป เหมือนหนึ่งจูงแพะของฝ่ายตรงข้าม
ติดมือเราไปด้วย ช่วงชิงมาซึ่งชัยชนะอย่างสะดวกใจสบายกายอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้เดิม
มาจาก “คัมภีร์จิงเลี่ย ว่าด้วยการเคลื่อนพล” ซึ่งกล่าวไว้ว่า “คอยจ้องหาจุดอ่อนของ
ข้าศึก ฉกฉวยเอาประโยชน์ให้ทันท่วงที” กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “โอกาสแม้จะน้อยแสน
น้อยก็ควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ ชัยชนะแม้จะเล็กแสนเล็กก็ควรจะช่วงชิงมาให้ได้ “จูง
แพะติดมือ” ก็คือการใช้กลอุบายที่อีกฝ่ายหนึ่งมิสำาเหนียกหรือมิได้รู้สึกตัว ฉะนันจึงย่อม
                                                                              ้
จะตกหลุมพรางถูกบั่นทอนหรือได้รับความสูญเสียอย่างยับเยินโดยมิได้คาดคิด”

กลยุทธิ์เข้าตี
กลยุทธ์ที่ 13
ตีหญ้าให้งูตื่น กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อมีสิ่งใดพึงสงสัย ควรจังส่งคนสอดแนมให้รู้
ชัด กุมสภาพข้าศึกได้แล้ว จึงเคลื่อน นี้เรียกว่า “สงสัยพึงแจ้ง สังเกตจึงเคลื่อน” ใน “
คัมภีร์อี้จิง ซำ้า” ได้อธิบายไว้ว่า “ใช้มรรควิธีเดิมกลับไปมา 7 วัน เมื่อละเอียดแล้ว จึง
เข้าใจสิ่งนั้นได้” ความหมายของคำานี้ก็คือ ต่อสิ่งใดก็ตามจังต้องสังเกตซำ้าแล้วซำ้าอีก จึง
จะสามารถจำาแนกแยกแยะมันได้ถูก ที่ว่า “ซำ้าซาก คืออุบายรู้มืด” นั้น เมื่อนำามาใช้ในการ
ทหาร หมายถึงใช้วิธีการสอดแนมหลายครั้งหลายหน อันเป็นวิธีสำาคัญในการเข้าใจ
สภาพข้าศึก ค้นพบศัตรูที่แฝงเร้นอยู่ ความหมายของ “ตีหญ้าให้งูตื้น” ก็คือแม้เราจะตี
หญ้า แต่งูที่ซ่อนอยู่ในหญ้าก็ตื่นตกใจ นี้เป็นกลอุบายที่ใช้การสอดแนม แจ้งชัดในสภาพ
ข้าศึกที่เราโอบล้อมอยู่ แล้วตียังจุดหนึ่งซึ่งจะกระเทือนไปทั้งแนว หลักจากนันจึงทำาลาย
                                                                                ้
ข้าศึกให้แหลกลาญไปทีละส่วนอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “เมื่อสภาพของข้าศึกยัง
ไม่ชัดแจ้งแก่เรา เราไม่ควรจะปฏิติการอย่างลวกๆ จะต้องหาทางสืบทราบสภาพของ
ข้าศึกให้ถ่องแท้ ครั้งเมื่อทราบเจตนาของฝ่ายตรงข้ามแล้ว จึงออกโจมตี เยี่ยงเดียวกับงู
ที่ซ่อนอยู่ในหญ้า ควรจะใช้ไม่ตีพงหญ้าไปรอบๆ เพื่อให้งูปรากฏให้เห็น แล้วจึงจับเอาใน
ภายหลัง ไม่จำาเป็นต้องบุกเข้าไปจับจนถึงรังงูให้เปลืองแรง

กลยุทธ์ที่ 14
 ยืมซากคืนชีพ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ผู้ที่มีความสามารถและมีบทบาทนั้น จะใช้อย่าง
ผลีผลามมิได้ ส่วนผู้ที่ไร้ความสามารถ ก็มักจะมาของความช่วยเหลือจากเรา การใช้ผู้ที่
ไร้ความสามารถ มิใช้เพราะว่าเราต้องการจะใช้เขา หากแต่เพราะเขาต้องการพึ่งเรา คำา
ว่า “เด็กไร้เดียงสา” มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ไร้เดียงสา” “ยืมซากศพคืนชีพ” ความหมายเดิม
เปรียบกับของที่ตายแล้ว แต่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่โดยใช้อีกรูปแบบหนึ่ง แต่เมื่อใช้ใน
สงครามหรือในการต่อสู้อื่นใด ก็หมายถึงกลยุทธ์การใช้พลังทีสามารถจะใช้ได้ทั้งปวงมา
บรรลุซึ่งเจตนารมณ์ของเราอย่างหนึ่ง ในประวัติศาสตร์แต่กาลก่อน ในระหว่างการผลัด
เปลี่ยนแผ่นดิน จักมีผู้แกล้วกล้าตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นมามากมาย ซึ่งมักจะแอบอ้างพระนาม
ของกษัตริย์และราชทายาที่สูญชาติเป็นเครื่องมือ ป่าวร้องชักชวนให้กู้ชาติแล้วได้ชาติ
ไปครองในภายหลัง นีก็คือการใช้กลยุทธ์ข้างต้น การใช้กำาลังสนับสนุนผู้อื่นเข้าโจมตี
                        ้
หรือป้องกันแทนเขาโดยที่มีเจตนาจะเข้าควบคุมผู้นั้น ก็นับอยู่ในกลยุทธ์นี้เช่นเดียวกัน
กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “ยืมซากคืนชีพ หมายถึงใช้สิ่งที่ใช้ไม่ได้แล้วในทางเป็นจริง หรือ
ฉวยโอกาสทุกอย่างเท่าที่จะสามารถจักหยิบฉวยได้ ให้เป็นประโยชน์ เพื่อบรรลุจุดมุ่ง
หมายบางประการของตน ให้รอดพ้นจากความหายนะ เพื่อที่จะได้ยืนผงาดขึ้นมาใหม่ใน
วันหน้า หรือไม่วนใดก็วันหนึง
                 ั           ่

กลยุทธ์ที่ 15
**ล่อเสือออกจากถำ้า** กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จะต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงของ
ฤดูกาลอันเป็นเงือนไขตามธรรมชาติ เช่น หนาว ร้อน ฝน แจ้ง เป็นต้น ให้เป็นประโยชน์
อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างและเพิ่มความยากลำาบากให้กับข้าศึก ในขณะเดียวกัน ก็ใช้ภาพ
ลวงที่เราจงใจสร้างขึ้น ล่อให้ข้าศึกออกจากแนวป้องกัน หลังจากนันก็โจมตีหรือทำาลาย
                                                                 ้
เสีย “ไปยากก็ลวงให้มา” คำานี่มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ยาก” ความว่า “ยาก คือยากลำาบาก
อันตรายอยู่ ณ เบื้องหน้า เห็นภัยก็หยุด นับได้ว่ารู" “มา” มีความหมายว่าเคลื่อนย้าย
                                                  ้
ข้าศึกหรือให้ข้าศึกเคลื่อนที่ ในขณะที่สองทัพประจันหน้ากัน จักรุกเข้าตีข้าศึกที่มีการเต
รียมพร้อมก็ให้ลำาบากนัก การที่จะเข้าตีจุดแข็งของข้าศึก มิใช้แต่จะชนะได้โดยยาก ซำ้า
ยังจะเป็นอันตรายแก่ตนอีกด้วย “ล่าเสือออกจากถำ้า” ก็คือกลอุบายที่ล่อหลอกข้าศึกให้
ออกมาจากที่ตั้งอันแข็งแกร่ง แล้วโจมตีทำาลายเสียอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “เมื่อ
ใคร่ทำาลายหรือได้ตัวข้าศึกจึงต้องรอโอกาสที่เหมาะสม ประกอบด้วยเงื่อนไขทาง
ธรรมชาติบวกด้วยมาตรการที่คนเราสร้างขึ้น ถ้าแม้นบุ่มบ่ามเข้าไปในอาณาเขตของ
ข้าศึกอย่างพลีพลาม ก็มิอาจเห็นตัวข้าศึก ซำ้ายังอาจจะถูกลอบตีในที่ลับอีกด้วย ได้ไม่
เท่าเสีย ดังนั้น การใช้อุบายล่อให้ข้าศึกออกมาจากเขตของตนแล้วบทขยี้เสีย จึงควร”

กลยุทธ์ที่ 16
แสร้งปล่อยเพื่อจับ กลยุทธ์นหมายความว่า ถ้าบีบคั้นจนเกินไปนัก สุนัขก็จักสู้อย่างจน
                                 ี้
ตรอก ปล่ายข้าศึกหนี ก็จักทำาลายความเหิมเกริมของข้าศึกได้ ทว่าต้องไล่ตามอย่าละ
เพื่อบั่นทอนกำาลังของข้าศึกให้กระปลกกะเปลี้ย ครั้นเมื่อสิ้นเรี่ยวแรงใจก็มิคิดต่อสู้ด้วย
แล้ว จึงจับ อันเป็นการรบที่ไม่เสียเลือดเนื้อ อีกทั้งทำาให้ข้าศึกแตกสลายไปเอง “รอ ฟัง
ตัว สว่าง” มีอยู่ใน “คัมภีร์อี้จิง รอ” “รอ” หมายถึงการรอคอยอย่างอดทน “ฟังตัว” ก็คือ
ไก่ฟักไข่จนเป็นลูกไก่ หมายถึง "ได้" ส่วน "สว่าง" ก็คือแสดงสว่าง หมายถึง “ชัยชนะ”
ความหมายของกลยุทธ์นี้ทั้งคำาก็คือ เมื่อสองทัพประจันหน้ากัน จักต้องใช้ความอดทนรอ
คอย ให้ใช้วธีการอันแยบยล ให้ข้าศึกมาสวามิภักดิ์ด้วยใจ นี้ก็คือกลอุบายปล่อยป่านยาว
            ิ
ตกปลาตัวโตอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีอยู่ใน “คัมภีร์เหลาจื่อ บทต้น” บรรยายไว้ว่า “เมื่อจัก
เอา จะต้องให้” ในบันทึก “ไท่ผิงเทียนว๋อ อักษรศาสตร์” ก็มีอธิบายไว้ว่า “เมื่อจักจับให้
ปล่อย เมื่อจักเร็วให้ช้า รอเมื่อหย่อนยานจึงตี มิมีที่ไม่ชนะ” กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “แสร้ง
ปล่อยเพื่อจับ จุดประสงค์อยู่ที่ “จับ” “ปล่อย” เป็นวิธีการ “จับ” คือจับทาง “ใจ” ให้
ยินยอมอ่อนน้อมทั้งกายและใจ ผู้ถูกจับ “ใจ” จักกลายเป็นข้าทาสบริวารของอีกฝ่ายหนึ่ง
อย่างไม่ลืมหูลืมตา จนกว่าจะเกิดความสำานึกใน “ศักดิ์ศรี” ของตนเอง กลยุทธ์นี้ จึงเป็น
กลยุทธ์อันชาญฉลาด ในการบั่นทอนจิตใจสู้รบและขวัญของข้าศึก ด้วยวิธีการทั้งแจ้ง
และลับอย่างหนึ่ง อันได้ผลเกิดความคาดหมาย นันแล”    ้

กลยุทธ์ที่ 17
โยนกระเบื้องล่อหยก กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ใช้สิ่งที่คล้ายคลึงกันไปล่อข้าศึก ให้
ข้าศึกต้องอุบายพ่ายแพ้ไป การใช้กลยุทธ์นี้ กำาหนดขึ้นตามสภาพรูปธรรมของข้าศึก ใน
ตำาราพิชัยสงครามชื่อ "ร้อยยุทธการพิสดาร การรบที่ได้ประโยชน์” กล่าวไว้ว่า “เมื่อประ
มือกับข้าศึก ขุนพลฝ่ายตราข้ามโง่เง่ามิรู้พลิกแพลง จักล่อด้วยประโยชน์ เขาละโมบใน
ประโยชน์ มิรู้ผลร้าย ก็ซุ่มทหารลอบตีได้ ข้าศึกจักพ่ายนี้คือ “ล่อด้วยประโยชน์” “โยนก
ระเบื้องล่อหยก” คำานี้ เดิมมาจากเรื่องราวของกวีสมัยราชวงศ์ถัง 2 คน ชื่อ ฉางเจี้ยน และ
จ้าวกู่ กล่าวคือ ฉางเจี้ยนนิยชมชอบและยกย่องบทกวีของจ้างกู่มาช้านาน ครั้นเมื่อทราบ
ว่าจ้าวกู่เดินทางมาเมืองซูโจว ก็คาดคะเนว่าคงจะไปเที่ยว ณ วัดหลิงเอี๋ยนสื้อ ฉางเจี๋ยน
จึงเขียนบทกวีไว้ 2 คำาบนผนังวัด เมื่อจ้าวกู่มาเห็นเข้า ก็ต่อบทกวีนี้อีก 2 คำา จึงกลาย
เป็นกวีที่ครบถ้วนสมบูรณ์และสวยงาม ไพเราะจับใจยิ่งนัก แต่เนื่องจากบทกวีของฉาง
เจี้ยนด้อยกว่าของจ้าวกู่ คนทั้งหลายจึงเรียกบกวีของฉางเจี้ยนเป็นเสมือนหนึ่ง
“กระเบื้อง” แต่หากแม้นมิมี “กระเบื้อง” ที่ฉางเจี้ยนเอาไปล่อไว้ ไฉนเลยจะมาซึ่ง “หยก”
ของจ้าวกู่ ที่ต่อ “กระเบื้อง” ชของฉางเจี้ ยนจนกลายเป็นบทกวี่มีค่าลำ้าที่ทุกคนยกให้”
กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “วิธีหลอกลวงข้าศึกมีมากมาย ที่แยบค่ายที่สุดมิมีใดเกิน ความ
ละม้ายแม้น” หรือ “ความเหมือน” ที่เรียกว่า “กระเบื้อง” หมายถึงสิ่งที่ไม่มีค่างวด ส่วน
“หยก” นันเป็นจิดาสูงค่าอันพึงปรารถนาของผู้คนทั้งหลาย ที่ว่า “โยนกระเบื้องล่อหยก”
           ้
ก็คือใช้สิ่งของที่มีค่าน้อยไปล่อสิ่งของที่มีค่าสูง กระเบื้องกับหยกนั้น มองผ่านๆก็มีส่วนที่
คล้ายคลึงกันอยู่ นักการทหารผู้มีความชำานาญในกลศึก ก็สามารถจะใช้ความ “ละม้าย
แม้น” ความ “เหมือน” ความ “คล้ายคลึง” ของทั้งสองสิ่งสร้างความสับสนฉงนใจให้แก่
ข้าศึก ฉวยโอกาสที่ข้าศึกกำาลังวุ่นวายหรือหลงกลจู่โจมเอาชัยโดยพลัน”

กลยุทธ์ที่ 18
จับโจรเอาหัวโจก กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จักต้องตีข้าศึกในจุดที่เป็นหัวโจของกองทัพ
เพื่อสลายพลังของข้าศึก “มังกรสู้บนปฐพี ก็อับจนหมดหนทาง” เปรียบประดุจมังกรใน
ทะเล ขึนมาสู้กับศัตรูบนพื้นแผ่นดิน ก็จักปราชัยแก่ข้าศึกโดยง่าย คำานี้เดิมพบใน “คัมภีร์
          ้
อี้จิง ดิน” ซึ่งแฝงความนัยว่า “จับโจรให้เอาตัวหัวโจก” อันเป็นกลอุบายใช้วิธี “ตีงูให้ตี
หัว” เพื่อสยบข้าศึกอย่างหนึ่ง “จับโจรเอาหัวโจก” มาจากบทกวีของตู้ผู่ กวีอมตะแห่งอุค
ราชวงศ์ถังของจีน ความว่า “น้าวเกาทัณฑ์ต้องให้ตึง ลูกเกาทัณฑ์ควรจะยาว ยิงคนควร
ยิงม้า จับโจรเอาหัวโจก” กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “ความหมายที่แท้ของกลยุทธ์นี้ คือให้
โจมตีส่วนที่สำาคัญที่สุดของข้าศึก เพื่อไห้ได้รับชัยชนะอย่างสิ้นเชิง ในการบัญชาการรบ
จะต้องสันทัดในการขยายผลของการรบให้ใหญ่หลวงยิ่งขึ้น อย่าได้ปล่อยโอกาสที่จะได้
รับชัยชนะให้หลุดลอยไปเป็นอันขาด หากคิดง่ายๆแต่เพียงว่า ขอให้โจมตีข้าศึกถอยไป
ได้เท่านั้นก็พอใจแล้ว แต่ไม่ทำาลายกำาลังหลักของข้าศึก จับตัวผู้บัญชาการหรือทลาย
กองบัญชาการของข้าศึกให้ย่อยยับไปแล้ว ก็จะเหมือนดั่งปล่อยเสือเข้า

กลยุทธิติดพัน
       ์
กลยุทธ์ที่ 19
ถอนฟืนใต้กระทะ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อเปรียบเทียบกำาลังกันแล้ว มิเหนือกว่า
ข้าศึก พิงหาทางบันทอนความฮึกเหิมลงเสีย “ดุจฟ้าอยู่เหนือนำ้า” ตามคำาอธิบายของ
“คัมภีร์ 64 ทิศ ปฏิบัติ” “นำ้า” หมายถึงความแกร่ง “ฟ้า” หมายถึงความอ่อน รวมแล้ว
หมายความว่า เอาอ่อนชนะแข็ง ซึ่งก็คือพึงใช้วิธีอ่อนพิชิตแข็ง ฉกฉวยโอกาสทำาลาย
กำาลังส่วนหนึ่งของข้าศึกไปเสีย ให้พ่ายไปสิ้นในภายหลัง ที่ว่า “ดุจฟ้าอยู่เหนือนำ้า”
เปรียบเทียบเป็นการแก้ปัญหาให้สิ้นไปโดยพื้นฐาน กลยุทธ์นี้เป็นอุบายในการบั่นทอน
พลังของข้าศึกที่ละส่วน จนทำาลายข้าศึกเป็นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดได้อย่างหนึ่ง คำานี้
เดิมมาจากหนังสือเรื่อง “ไหวหนานจื่อ” ความว่า “เทนำ้าร้อนลงในนำ้าเดือด มิอาจหยุด
เดือด จักต้องรู้ลักษณะของมัน ทอนไฟจึงหยุด” ใน “ฎีกาประท้วงราชวงศ์เหลียง” สมัย
เว่อเหนือก็ว่า “ถอนฟืนจึงหยุดเดือด ตัดหญ้าพึงถอนราก” กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “ใน
สถานการณ์ศึกซึ่งติดพันชุลมุนเป็นอย่างยิ่งนั้น การรบด้วยภาวะจิตจักเป็นยุทธวิธีที่ดีที่สุด
และเป็นโอกาสที่จะรบให้ชนะ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อใคร่ประสงค์จะทำาลายกำาลังของ
ข้าศึก ก็จักต้องทำาลายกำาลังหลัก ทำาลายหัวใจของข้าศึกเป็นเบื้องแรก ในเวลาเช่นนี้
จิตใจของแม่ทัพนายกอง ก็คือ “ฟืน” เมื่อถอน “ฟืน” ออกแล้ว นำ้าใน “กระทะ”ก็จัก
                                                  ้
“เดือด” ต่อไปมิได้ฉันนัน  ้

กลยุทธ์ที่ 20
กวนนำ้าจับปลา กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกเกิดความปั่นป่วนในกองทัพของตน
เราจักต้องฉวยโอกาสความวุ่นวาย มิรู้ที่จะทำาประการใดของข้าศึกนี้ แย่งยึดเอาผล
ประโยชน์มา หรืออีกนัยหนึ่ง “เอาชัยจากความปั่นป่วน” ดุจดังพายุฝนกระหนำ่ายามคำ่าคืน
ที่ตำ่าก็จักขังนำ้า ผู้คนจักเข้าสู่นิทรารมณ์ อันเป็นปกติวิสัยของธรรมชาติมนุษย์ “กวนนำ้าจับ
ปลา” ก็คือกวนนำ้าให้ขุ่น ให้ปลางุนงง ลงจับก็ง่าย อันนับเป็นกลยุทธ์ฉวยโอกาสเข้าตี
เอาชัย เมื่อข้าศึกกำาลังชุลมุนปั่นป่วนอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “ปลาไม่เห็นทิศทาง
เมื่อนำ้าขุ่น คนแยกจริงเท็จไม่ออกยามชุลมุน จึงเกิดช่องว่างอันมากหลายที่จะเอา
ประโยชน์ได้ “กวนนำ้าจับปลา” ย่อมหมายถึงในสงครามชุลมุนแห่งการแก่งแย่งอำานาจกัน
นั้น ควรฉวยโอกาสใช้กำาลังที่อ่อนแอโลเลให้คล้อยตามความประสงค์ของตน ที่สำาคัญ
คือเอาเท็จพรางจริง กวนนำ้าให้ขนโดยเจตนา แล้วรีบซำ้าเติมเอาชัยแก่ศึกเสีย ดังนี้
                                      ุ่

กลยุทธ์ที่ 21
 จักจั่นลอกคราบ กลยุทธ์นี้มีความหวายว่า รักษาไว้ซึ่งแนวรบเยี่ยงเดิม ให้ดูนาเกรงขาม
                                                                           ่
เหมือนเก่า ฝ่ายมิตรก็มิสงสัย ฝ่ายข้าศึกมิกล้าผลีผลาม ครั้นแล้ว จึงถอนตัวอย่างปกปิด
เคลื่อนกำาลังหลักให้หลบเลี่ยงไป “เลี่ยงเพื่อสลาย ลวง” คำานี้มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ลวง”
“เลี่ยง” ก็คือหลบหลีก “ลวง” ก็คือทำาให้งงงวย นี้นับเป็นกลยุทธ์ถอยทัพอย่างไม่กระ
โตกกระตาก เพื่อเป้าประสงค์ที่กำาหนดไว้ หรือหลีกเลี่ยงความสูญเสียอย่างหนึ่ง กลยุทธ์
นี้สรุปได้ว่า “จักจันรอกคราบ เป็นวิธีสะบัดให้หลุดพ้นจากการเผชิญหน้ากันข้าศึก ด้วย
                    ่
การเคลื่อนย้ายหรือถอยทัพ ที่ว่า “ลอก” มิใช้อย่างตื่นตระหนก อย่างขวัญหนีดีฝ่อ แต่ยัง
คงไว้ซึ่งรูปโฉมภายนอก ทว่าได้ถอดเนื้อหาออกไปหมดสิ้นแล้ว หนีแสดงว่าไม่หนี
ปกปิดข้าศึก เพื่อให้หลุดพ้นจากห้วงอันตราย วิธีการ “ลอกคราบ” มีหลายแบบหลาย
อย่าง เนื้อแท้ก็คือการใช้เล่ห์กลหลอกลวงข้าศึก เป็นพฤติการณ์ที่ใช้การพรางตา
ปลอมปนความจริงเอาตัวรอดนั้นเอง”

กลยุทธ์ที่ 22
ปิดประตูจับโจร กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ต่อข้าศึกอ่อนแอจำานวนน้อย พึงโอบล้อมแล้ว
ทำาลายเสียให้สิ้น เพื่อมิให้เป็นภัยแก่เราในภายหลัง “ปล่อย มิเป็นคุณซึ่งติดพัน” มาจาก
“คัมภีร์อีกจิง ปล่อย” “ปล่อย” ในที่นี้หมายถึงการแตกกระจายออกเป็นกองเล็กกองน้อย
ของข้าศึก กำาลังก็อ่อนเปลี้ยจนไร้สมรรถนะที่จะสู้รบแล้ว “ติดพัน” หมายถึงการไล่
ติดตามไม่ลดละทั้งใกล้และไกล “มิเป็นคุณซึ่งติดพัน” ก็คือ ต่อข้าศึกกองเล็กกองน้อย
ปล่อยให้หนีไปได้ แม้จะเล็ก แต่ก็สามารถย้อยกลับมาสร้างความยุ่งยากแก่เรา จนเรา
ต้องไล่ติดตามเพื่อทำาลายเสีย เช่นนี้มิเป็นประโยชน์แก่เรา ความหมายเดิมของ “ปิด
ประตูจับโจร” ก็คือ เมื่อโจรเข้าตีชิงในบ้าน ปิดประตูบ้านจึงจะจับโจรไว้ได้ ส่วนความ
หมายทางด้านการทหารและอื่นๆ ก็อุปมาว่าเป็นกลยุทธ์โอบล้อมทำาลายข้าศึกกองย่อยๆ
ให้สิ้น เพื่อมิให้ก่อกวน ทำาอันตรายแก่เราได้ในภายหลังอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “
เมื่อจักจับโจร พึงตัดทางหนี โอบล้อมไว้ให้แน่นหนา หากโจรเข้าในเมือง จงปิดประตู
เมืองให้สนิท มิให้ทางเล็กรอดออกไปได้ จึงจักถูกจับได้โดยละม่อม กลับกัน พบโจรก็
ไล่ ไม่ปิดประตูเมือง ไล่เหนือไปใต้ โจรก็พ้นไป โจรที่หนีพ้น ย่อมจักย่ามใจ จักย้อยกลับ
มาอีกพร้อมด้วยพรรคพวก หากปิดทางหนีโจรจะมิกล้า อู๋จื่อกล่าวไว้ว่า "โจรที่ไม่คำานึง
ถึงความตาย หากซ่อนตัวตามสุมทุมพุ่งไม้ในป่ากว้าง ก็พอจักทำาให้กำาลังซึ่งติดตามมา
เป็นพ้นคนอกสั่นขวัญแขวน ลมพันใบไม้ไหวก็แตกตื้น เพราะมิรู้ว่า โจรจะปรากฏตัวออก
มาจู่โจมเอาชีวิตเมื่อใด จับโจร จึงควรระวังมิให้เป็นปลาลอดร่างแห”

กลยุทธ์ที่ 23
คบไกลตีใกล้ กลยุทธ์นี้หมายความว่า เมื่อถูกจำากัดโดยสภาพแวดล้อม ควรตีเอาข้าศึกที่
อยู่ใกล้ตัว จึงจะเป็นประโยชน์แก่ตน โจมตีข้าศึกที่อยู่ไกล จักเป็นผลร้ายแก่ตน “เปลว
ไฟลอยขึ้น นำ้าบึงไหลลง” หมายความว่า การผูกมิตรนั้น แม้ความคิดเห็นจะไม่ตรงกัน ก็
สามารถที่จะร่วมมือกันได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง คำานี้มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ต่าง” ความว่า “เปลง
ไฟลอยขึ้น นำ้าบึงไหลลง บุรุษจักร่วมกันเพราะความผิดแผก” ดังนั้น ต่อข้าศึกใกล้และ
ไกล พึงมีนโยบายที่แตกต่างกัน นี้เป็นกลยุทธ์ที่ผูกมิตรกับรัฐไกล เพื่อเอาชัยต่อรัฐใกล้
อย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “นี้เป็นยุทธศาสตร์ยุทธวิธีแยกสลายหรือป้องกันการร่วม
มือกันของฝ่ายตรงข้าม เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายในการตีให้แตกที่ละส่วน ที่คำาโบราณจีน
เคยกล่าวไว้ ว่า “ญาติไกลมิสู้มิตรใกล้” นันตรงกันข้ามกับกลยุทธ์นี้ แท้ที่จริงแล้ว ใน
                                            ้
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน ความขัดแย้งกับประเทศไกลมักจะเกิดน้อย กับ
ประเทศใกล้กับจะมากว่า เพราะอาจจะมีการกระทบกระทั้งกันในเรื่องผลประโยชน์และ
อื่นๆอีกนานาประการ กลยุทธ์นี้จึงเป็นหลักปรัชญาในการแสวงหาประโยชน์พร้อมทั้ง
ป้องกันตัวไปด้วยในขณะเดียวกัน สุดแต่ผู้ใดจักใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตน”
กลยุทธ์ที่ 24
ยืมทางพรางกล กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ประเทศเล็กที่อยู่ในระหว่าง 2 ประเทศใหญ่
เมื่อถูกข้าศึกบังคับให้สยบอยู่ใต้อำานาจ เราพึงให้ความช่วยเหลือโดยพลัน เพื่อให้
ประเทศที่ถูกข่มเหงเชื่อถือ ต่อประเทศที่ตกอยู่ในความยากลำาบาก การช่วยเหลือแต่
เพียงทางวาจา มิได้มีการกระทำาที่เป็นจริง ย่อมจะได้รับความไว้วางใจจากผู้ที่รอดความ
ช่วยเหลือ “ทุกข์ จักมิเชื่อเพียงวาจา” มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ทุกข์” ความเต็มว่า “เมื่ออยู่ใน
ทุกข์ จักไม่เชื่อใครโดยง่าย จึงมิเชื่อเพียงวาจา” อันนับเป็นกลยุทธ์ในการหลอกยืมทาง
ผ่าน เพื่อบรรลุการให้ยึดครองอีกฝ่ายที่เราประสงค์อย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “
ปัญหาของกลยุทธ์นี้อยู่ที่คำาว่า “ยืมทาง” ถ้ายืมทางได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็สำาเร็จ เพราะ
ฉะนัน ผู้ที่ใช้กลยุทธ์ยืมทาง จักอ้างเหตุผลในการยืมทางให้ดี เพื่อปกปิดจุดประสงค์
      ้
ที่แท้จริงของตน ความจริงคำาว่า “ศัตรูบังคับให้(อีกฝ่ายหนึ่ง)สยบ เราพึงแสดงท่าที” นัน ้
ก็คือฉวยโอกาสที่ “อีกฝ่ายหนึ่ง” เพลี่ยงพลำ้า เรายืมมือเข้าไปช่วย แล้วเอาประโยชน์จาก
นี้ อันที่จริงการกระทำาดังนี้ เป็นพฤติการณ์ที่ไร้คุณธรรมอย่ายิ่ง แต่ในสงครามหรือการต่อ
สูงใดๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเรามักจะเป็นปรากฏการณ์เช่นนี้อยู่ทั่วไปในชีวิตจริง
เพราะเหตุว่า แต่ละฝ่ายย่อมจะเริ่มต้นจากผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ หาก
ปราศจากเสียซึ่งการร่วมมืออันถาวร ก็จักไม่มีการช่วยเหลือที่แท้จริง มิตรและศัตรู คำามัน  ่
สัญญากับการปฏิบัติจึงพึงจำาแนกให้ชัด พิจารณาให้ถ่องแท้ มิฉะนั้นแล้ว หากเห็นแก่ได้
ถ่อยเดียวก็จักสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั้งชีวิตตน”

กลยุทธ์ร่วมรบ
กลยุทธ์ที่ 25
ลักขื่อเปลี่ยนเสา กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ต่อกำาลังที่ร่วมรบด้วยข้าศึกกับเราหรือต่อ
ข้าศึกจักต้องหาทางเปลี่ยนแปลงแนวรบฝ่ายนั้นอยู่เสมอ ถอดถอนเคลื่อย้ายกำาลังสำาคัญ
ของฝ่ายนั้นไป รอให้ฝ่ายนันอ่อนแอต้องประสบกับความพ่ายแพ้จึงฉวยโอกาสแปรกำาลัง
                            ้
ฝ่ายนั้น ให้กลายมาเป็นของเรา แล้วควบคุมกำาลังของฝ่ายนั้นไว้ใต้การบัญชา “หยุดซึ่ง
กงล้อ” มาจาก “คัมภีร์อี่จิง มิทัน” อันหมายความว่ารถคันหนึ่งนันสำาคัญที่ล้อ ถ้าหยุดล้อ
                                                               ้
ได้ก็สามารถบังคับให้เคลื่อนที่ไปตามความประสงค์ของเรา อันเป็นกลยุทธ์กลืนกำาลัง
ของพันธมิตรหรืสลายกำาลังของข้าศึกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “กลยุทธ์นี้มีความ
หมาย 2 นัย หนึ่งหมายถึงการหาทางสับเปลี่ยนกำาลังหลักของพันธมิตรชั่วคราวที่เป็นศัตรู
โดยเนื้อแท้ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการทำาลายหรือกลืนกินพันธมิตรนั้นเสีย ซึ่งในสมัย
ศักดินาโบราณ มักจะชอบกระทำากันเป็นนิจ โดยมิได้คำานึงสัจวาจาหรือศิลธรรมแต่
ประการใด อีกนัยหนึ่งหมายถึงเป็นกลยุทธ์ในการโยกย้ายกำาลังหลักของฝ่ายข้าศึก โดย
ใช้กลลวงต่างๆนานา ทำาให้ข้าศึกต้องเปลี่ยนแนวรบหรือเคลื่อนย้ายกำาลังไปตามความ
ประสงค์ของเรา ครั้งแล้วจึงเข้าตีจุดอ่อนข้าศึก เพื่อให้ได้รับชัยชนะ ดังนั้น ผู้บัญชาการที
ชาญฉลาดจึงมิใช้แต่จะสันทัดในการใช้กำาลังพลของฝ่ายตนเท่านั้น หากยังต้องสันทัด
ในการเคลื่อนย้ายหรือกระจายกำาลังของฝ่ายข้าศึกด้วยกลยุทธ์ ให้เกิดประโยชน์แก่ตน
อีกด้วย”

กลยุทธ์ที่ 26
ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อผู้ที่เข้มแข็งกว่าหรือรัฐใหญ่รังแกผู้ที่
อ่อนแอหรือรัฐเล็กแล้ว ก็ควรจะใช้วิธีการตักเตือนให้เกรงกลัว ถ้าแม้นเราแสดงความเข้ม
แข็งให้ประจักษ์ ก็จักได้รับการสนับสนุนจากผู้อ่อนแอ ถ้าเรากล้าใช้ความรุนแรง ก็จักเป็น
ที่ยอมรับนับถือแก่ผู้อ่อนแอ “แกร่งจึงต้อนรับ เสี่ยงจึงยอมสยบ” เดิมาจาก “คัมภีร์อี้จิง
แม้ทัพ” ความเต็มว่า "แกร่งจึงต้อนรับ เสี่ยงจึงยอมสยบ นี้คือหนทางปกครองแผ่นดิน
ราษฎรจึงขึ้นต่อ” ความหมายของ "ชี้ตนหม่อนด่าต้นไหว" ตรงกับสุภาษิตไทยเราคำาว่า
                                        ้
 “ตีวัวกระทบคราด” แต่เมื่อใช้ในการสัประยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางการทหารหรืออื่นๆ ก็เป็น
กลยุทธ์ที่มีความหมายในทำานองสร้างเกียรติภูมิของตนขึ้นด้วยวิธี “ฆ่าไก่สอนลิง” เพื่อ
ให้ฝ่ายอื่นที่อ่อนแอกว่าหรือผู้อยู่ใต้การบังคับบัญชายอมสยบด้วยอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้
สรุปได้ว่า “เพื่อที่จะดำาเนินตามแผนการที่ได้วางไว้ จักต้องใช้มาตรการเด็ดขาด จึงจะ
สามารถได้รับผลตามที่ได้กำาหนด แต่ความเด็ดขาดนั้น ใช้ว่าจะต้องอาศัยกำาลังความ
รุนแรงเสมอไป อาจดำาเนินด้วยวิธีการหนึ่งใด ที่ทำาให้ฝ่ายตรงข้างตระหนักในเจตนา
ยอมสยบแต่โดยดี เพราะจนปัญญาที่จะต่อตีด้วยเรา นันเอง”้

กลยุทธ์ที่ 27
แสร้าทำาบอแต่ไม่บ้า กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ยอมแสร้งทำาเป็นโง่ มิเคลื่อนไหว อย่าทำา
เป็นสู่รู้ทำาบู่มบ่าม คำาว่า “ดุจดั่งอสนีบาตหยุดฟาดฟัน” เก็บความมาจาก “คัมภีร์อี้จิง
หยุด” ความว่า “อสนีบาตฤดูหนาวแฝงกายอยู่ใต้พื้นพสุธา จักแผดร้องก้องนภาคราฤดู
ใบไม้ผลิ” ซึ่งความหมายว่า ผู้ที่มีสติปัญญามิพึงแสดงตัว แต่พึงเตรียมการทั้งปวงอย่าง
ลับๆ ประหนึ่งคมดาบอยู่ในฝัก มิปรากฏให้เห็น ครั้งเมื่อถึงกาลอันควร ก็จักคำารนคำาราม
เหมือนสายฟ้า ที่จะกระหนำ่าพสุธาให้แตกสลายไปฉะนั้น นีนับเป็นกลยุทธ์หลอกลวง
                                                            ้
มึนชาข้าศึก แสดงความบ้าใบ้ทางภายนอก แต่ตนตัวโดยตลอดอยู่ภายใน ดำาเนินการ
                                                  ื่
อย่างลับและพลิกแพลงเพื่อเอาชนะข้าศึกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีส่วนละม้ายคล้ายกับ
สำานวนไทยเราที่ว่า "หน้าไหว้หลังหลอก" หรือ "ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก" ในบางแง่
บางมุม กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “ยามเมื่อสถานการณ์ไม่เป็นผลดี ควรจะสะกดกลั้นตัวเองไว้
แสร้งทำาเป็นโง่เง่า อวดฉลาดยิ่งจะไม่เป็นผลดีแก่ตน นี้เป็นวิธีรู้รักษาตัวรอดอย่างหนึ่งใน
ยามปั่นป่วน คนฉลาดมักจะใช้วธีการนี้ป้องกันตัวและวางแผนเอาชนะศัตรู คนที่ดูโง่เขลา
                                     ิ
นั้น โดยภายนอกก็อาจจะเห็นเป็นเต่าตุ่น แต่ที่แท้แล้วภายในนันคมกริบ รู้เขารู้เรา พึง
                                                               ้
ถอยก็รู้จักถอย มิดันทุรังรุกไปโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ดังนันจึงสามารถที่จะเป็นฝ่ายริเริ่ม
                                                         ้
กระทำาในการทั้งปวง เพราะเข้าใจในเหตุการณ์อย่างรู้แจ้งแทงตลอด และรอจังหวะที่จะ
บุกกระหนำ่ามิยอมให้ศัตรูตั้งตัวติดตลอดเวลา กลยุทธ์นี้มักจะพบเห็นบ่อยๆ โดยทั่วไป ผู้
ใดใช้เป็นด้วยความสันทัดจัดเจน ผู้นั้นย่อมจะได้รับผลสำาเร็จ และเป็นผู้ทีน่ากลัวสำาหรับ
ฝ่ายตรงข้ามที่มิรู้แจ้งในกล”

กลยุทธ์ที่ 28
ขึ้นบ้านชักบันได กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จงใจเปิดจุดอ่อนให้ข้าศึกเห็น สร้างเงื่อนไข
และล่อหลอกให้ข้าศึกเข้าตี ครั้นแล้วตัดขาดส่วนหน้าที่คอยสมทบ และส่วนหลังที่เป็น
กำาลังหนุน บีบให้ข้าศึกเข้าไปในปากถุงที่เปิดอ้าไว้รับหรือในวงล้อมหลุมพรางที่วางดัก
ไว้ “เจอพิษ มิควรที่” มีใน “คัมภีร์อี้จิง ขบ” เปรียบประดุจเคี้ยวกระดูกหรือเนื้อเหนี่ยว รัง
แต่จะทำาให้ฟันชำารุดเสียหาย หรือเหมือนดั่งมักได้ในสิ่งที่มิควรได้ ย่อมจักนำามาซึ่งความ
วิบัติฉะนัน “ขึ้นบ้านชักบันได” มีความหมายอย่างเดียวกันกับ “ข้ามคลองรื้อสะพาน” นี้
          ้
คือกลยุทธ์ที่ใช้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ล่อลอกให้ข้าศึกพินาศไปทั้งกองทัพอย่างหนึ่ง
กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “ขึ้นบ้านชัดบันได” มีความหมายค่อยข้างกว้าง หนึ่งในนั้นก็คือใช้ผล
ประโยชน์เล็กน้อย ล่อให้ข้าศึกเข้าปิ้ง แล้วทำาลายเสียให้สิ้น ซึ่งก็หมายความว่าเมื่อ
ข้าศึกบุกเข้าในอาณาเขตของเรา เราจงใจจะเปิดทางตันให้กับเขา เมื่อข้าศึกหลงกลตก
อยู่ในวงล้อม ก็จะตื่นตระหนกเดินไปตามหนทางที่เราเปิดไว้ให้ เมื่อเราตัดทางรุกและ
ทางถอย ข้าศึกก็จนด้วยเกล้า ถ้าไม่ยอมจำานน ก็เหลืออยู่แต่ทางตายถ่ายเดียว ใน
กลยุทธ์นี้ ที่สำาคัญคือ “บันได้” จงใจให้ข้าศึกเห็นจุดอ่อนและมุ่งมั่นจะใช้จุดอ่อนให้เป็น
ประโยชน์แต่ตน นี้ก็คือ “บันได” ถ้าไม่มี “บันได้” ดังกล่าว กลยุทธ์นี้ก็ยากที่จะได้รับผล”

กลยุทธ์ที่ 29
ต้นไม้ผลิดอก กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ใช้แนวรบของมิตรมาสร้างแนวรบที่เป็น
ประโยชน์แต่เราขึ้น แม้กำาลังจะน้อย แต่ก็สามารถทำาให้ดูเหมือนใหญ่โต ดุจเดียวกับนก
36 กลยุทธิ์ชนะศึก
36 กลยุทธิ์ชนะศึก
36 กลยุทธิ์ชนะศึก

More Related Content

More from tommy

แก้อาการสะบักจม
แก้อาการสะบักจมแก้อาการสะบักจม
แก้อาการสะบักจมtommy
 
ความรู้เรื่อง เพชร-
ความรู้เรื่อง  เพชร-ความรู้เรื่อง  เพชร-
ความรู้เรื่อง เพชร-tommy
 
อันตรายจากอาหารมื้อเย็น
อันตรายจากอาหารมื้อเย็นอันตรายจากอาหารมื้อเย็น
อันตรายจากอาหารมื้อเย็นtommy
 
สมุนไพรไทย ตอนที่ ๑
สมุนไพรไทย ตอนที่ ๑สมุนไพรไทย ตอนที่ ๑
สมุนไพรไทย ตอนที่ ๑tommy
 
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์
เครื่องราชอิสริยาภรณ์tommy
 
ศักดินาไทย
ศักดินาไทยศักดินาไทย
ศักดินาไทยtommy
 
แบบทดสอบสมาธิ
แบบทดสอบสมาธิแบบทดสอบสมาธิ
แบบทดสอบสมาธิtommy
 
Rongse
RongseRongse
Rongsetommy
 
พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์
พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์
พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์tommy
 
เศรษศาสตร์กลางทะเลลึก
เศรษศาสตร์กลางทะเลลึกเศรษศาสตร์กลางทะเลลึก
เศรษศาสตร์กลางทะเลลึกtommy
 
โลกพระศรีอารย
โลกพระศรีอารยโลกพระศรีอารย
โลกพระศรีอารยtommy
 
พระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดี
พระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดีพระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดี
พระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดีtommy
 
แนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดี
แนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดีแนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดี
แนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดีtommy
 
การเมืองของประชาชน กุหลาบ
การเมืองของประชาชน กุหลาบการเมืองของประชาชน กุหลาบ
การเมืองของประชาชน กุหลาบtommy
 
ประชุมพงศาวดา
ประชุมพงศาวดาประชุมพงศาวดา
ประชุมพงศาวดาtommy
 
สามเกลอ ตอนสู่อนาคต
สามเกลอ ตอนสู่อนาคตสามเกลอ ตอนสู่อนาคต
สามเกลอ ตอนสู่อนาคตtommy
 
นางแมวผี
นางแมวผีนางแมวผี
นางแมวผีtommy
 
ประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยtommy
 
ล่าพรายทะเล
ล่าพรายทะเลล่าพรายทะเล
ล่าพรายทะเลtommy
 
ไทยเตะเขมร
ไทยเตะเขมรไทยเตะเขมร
ไทยเตะเขมรtommy
 

More from tommy (20)

แก้อาการสะบักจม
แก้อาการสะบักจมแก้อาการสะบักจม
แก้อาการสะบักจม
 
ความรู้เรื่อง เพชร-
ความรู้เรื่อง  เพชร-ความรู้เรื่อง  เพชร-
ความรู้เรื่อง เพชร-
 
อันตรายจากอาหารมื้อเย็น
อันตรายจากอาหารมื้อเย็นอันตรายจากอาหารมื้อเย็น
อันตรายจากอาหารมื้อเย็น
 
สมุนไพรไทย ตอนที่ ๑
สมุนไพรไทย ตอนที่ ๑สมุนไพรไทย ตอนที่ ๑
สมุนไพรไทย ตอนที่ ๑
 
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
 
ศักดินาไทย
ศักดินาไทยศักดินาไทย
ศักดินาไทย
 
แบบทดสอบสมาธิ
แบบทดสอบสมาธิแบบทดสอบสมาธิ
แบบทดสอบสมาธิ
 
Rongse
RongseRongse
Rongse
 
พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์
พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์
พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์
 
เศรษศาสตร์กลางทะเลลึก
เศรษศาสตร์กลางทะเลลึกเศรษศาสตร์กลางทะเลลึก
เศรษศาสตร์กลางทะเลลึก
 
โลกพระศรีอารย
โลกพระศรีอารยโลกพระศรีอารย
โลกพระศรีอารย
 
พระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดี
พระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดีพระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดี
พระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดี
 
แนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดี
แนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดีแนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดี
แนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดี
 
การเมืองของประชาชน กุหลาบ
การเมืองของประชาชน กุหลาบการเมืองของประชาชน กุหลาบ
การเมืองของประชาชน กุหลาบ
 
ประชุมพงศาวดา
ประชุมพงศาวดาประชุมพงศาวดา
ประชุมพงศาวดา
 
สามเกลอ ตอนสู่อนาคต
สามเกลอ ตอนสู่อนาคตสามเกลอ ตอนสู่อนาคต
สามเกลอ ตอนสู่อนาคต
 
นางแมวผี
นางแมวผีนางแมวผี
นางแมวผี
 
ประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยประชาธิปไตย
ประชาธิปไตย
 
ล่าพรายทะเล
ล่าพรายทะเลล่าพรายทะเล
ล่าพรายทะเล
 
ไทยเตะเขมร
ไทยเตะเขมรไทยเตะเขมร
ไทยเตะเขมร
 

36 กลยุทธิ์ชนะศึก

  • 1. 36 กลยุทธิ์ชนะศึก กลยุทธ์ที่ 1 ปิดฟ้าข้ามทะเล กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า สิ่งที่ตนคิดว่าได้ตระเตรียมไว้อย่าง พร้อมมูลแล้ว ก็มักจะมึนชาและประมาทศัตรูได้ง่าย สิ่งที่พบเห็นอยู่เสมอในยาม ปรกติก็ไม่เกิดความสงสัยอีกต่อไป ที่ว่า “มืดอยู่ในสว่าง ไม่อยู่ตรงข้ามสว่าง” ก็ คือกลอุบายแจ้งมีอุบายลับ อุบายลับจะปรากฏเป็นจริงขึ้นในอุบายแจ้งนั้นเอง “สว่าง” คือเปิดเผย แจ้งชัด “มืด” คือแฝงเร้น ปกปิด ความหมายของคำาว่า “สว่าง มืด” ก็คือ ในรูปแบบที่เปิดเผยอย่างที่สุด แฝงเร้นไว้ด้วยเนื้อหาที่ปิดลับ ที่สุด การใช้อุบายประสานกันทั้งมืดและสว่าง ยอมเป็นกลยุทธ์อันเป็นปกติวิสัย ของคู่ต่อสู้ ในการสัประยุทธ์หำ้าหั่นซึ่งกันและกัน ที่กลยุทธ์นี้ชื่อ “ปิดฟ้าข้าม ทะเล” ก็คือการสร้างภาพลวงฝ่าข้ามทะเลไปโดยไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้เนื้อรู้ตัว เมื่อใช้ในด้านการทหาร มิได้หมายถึงการข้ามทะเลด้วยการปกปิดเป็นเฉพาะ แต่ หมายถึงว่าเมื่อสองประเทศรบกัน ฝ่ายหนึ่งใช้กลยุทธ์สร้างภาพลวงขึ้น ปกปิด ความจริง มึนชาฝ่ายตรงข้าม นี้ก็คือกลยุทธ์ใช้การพรางตามาปกปิดจุดประสงค์ ของตนมิให้ฝ่ายตรงข้ามพบเห็นได้ง่าย เพื่อบรรลุภาระหน้าที่ที่ได้กำาหนดไว้อย่าง หนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “สำาหรับเรื่องที่มีความเคยชิน มนุษย์เรามักจะปล่อยปละ ละเลยต่อการระมัดระวัง มิได้ป้องกันให้เข้มงวดกวดขัน กลยุทธ์ที่ 2 ล้อมเว่ยช่วยเจ้า กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกรวมศูนย์กำาลังพลไว้ ควรจะใช้กล อุบายดึงแยกข้าศึกออกไป ทำาให้กำาลังพลกระจัดกระจาย ห่วงหน้าพะวงหลัง ครันแล้ว ้ จึงเข้าโจมตี นี้ก็คือ “ศัตรูรวมมิสู้ศัตรูแยก” และตำาราพิชัยสงครามในสมัยโบราณ ขนาน นามยุทธศาสตร์การส่งทหารเข้าบุกข้าศึกก่อนเป็น “ศัตรูแจ้ง” ส่วนยุทธศาสตร์กำาราบ ข้าศึกทีหลังเป็น “ศัตรูมืด” ภายในสภาพการณ์ที่แน่นอน การบุกข้าศึกทีหลังได้เปรียบ กว่าการส่งทหารเข้าบุกก่อน กลยุทธ์นี้หมายถึงการใช้ศิลปะการต่อสู้ทางการทหารที่ เรียกว่า “ถ้ามาหลายก็ให้แยก” “ถ้าบุกก็ให้ถอย” “การส่งทหารเข้าบุกก่อนมิสู้ตีโต้ตอบ ทีหลัง” นี้เป็นกลยุทธ์ที่ “เลี่ยงแน่นตีกลวง เลี่ยงแข็งตีอ่อน เลื่ยงที่สงบตีที่ปั่นป่วน เลี่ยงที่ฮึกเหิมตีที่ย่อท้อ” เพื่อขับข้าศึกและเข้าบดขยี้ข้าศึกในภายหลังอย่างหนึ่ง ใน ตำาราพิสังสงครามซุนวู บทว่าด้วย “จริงลวง” ได้เขียนไว้ว่า “เรารวมเป็นหนึ่ง ข้าศึก แยกเป็นสิบ เราก็มากข้าศึกก็น้อย” กลยุทธ์นี้จึงสรุปว่า “อย่าปะทะกับข้าศึกซึ่งหน้า ควรใช้ยุทธวิธีวกวนที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตน แบ่งแยกกำาลังของข้าศึกให้กระจายเป็น หลายส่วน แล้วจึงพิชิตเสีย” กลยุทธ์ที่ 3 ยืมดาบฆ่าคน กลยุทธ์นี้มีความหวายว่า เมื่อศัตรูปรากฏแน่ชัด แต่มิตรยังลังเล สิ่งที่พึง กระทำาก็คือล่อให้พันธมิตรออกไปปะทะศัตรู นี้เป็นกลวิธีอย่างหนึ่งใช้ความขัดแย้ง ยืม กำาลังของคนอื่นไปทำาลายศัตรู เพื่อรักษากำาลังตนเองไว้ แต่การยืมเช่นนีจะต้องให้ ้ แนบเนียน มิฉะนันแล้วก็ไม่อาจทำาลายศัตรูได้ กลับอาจถูกศัตรูย้อนรอย กลยุทธ์นได้ ้ ี้ ถูกนำาไปใช้อย่างกว้างขวาง ใน “จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่นหลังประวัติหวางหยุน” มีเรื่อง “ลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะ” ใน “สามก๊ก” ก็มีเรื่อง “ขงเบ้งยืมกำาลังของซุนกวนไปต้านโจโฉที่ผา
  • 2. แดง” หรือ “โจโฉแตกทัพเรือ” เป็นต้น กลยุทธ์นี้สรุปว่า “เมื่อศัตรูมีทีท่าแจ่มชัด แต่ กำาลังของฝ่ายเรายังมิกล้าแข็ง ควรจะหาทางอาศัยกำาลังของพันธมิตรไปโจมตีศัตรู หลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายเรา ด้วยวิธีทั้งปวง” กลยุทธ์ที่ 4 รอซำ้ายามเปลี้ย กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อประสงค์จักทำาให้ข้าศึกตกอยู่ในภาวะ ลำาบาก ไม่แน่วาจะต้องใช้วิธีรบแต่ฝ่ายเดียว อาจจะใช้วธี "แกร่งเสียอ่อนได้” ตามที่ ่ ิ กล่าวไว้ใน “คัมภีร์อี้จิง สูญเสีย เมื่อให้ได้รับชัยชนะก็ได้” ความหมายของ “แกร่งเสีย” ก็ คือ เมื่อการรุกของข้าศึกดุเดือดยิ่งนัก ดูภายนอกแล้วเสมือนหนึ่งเข้มแข็งใหญ่โตเหลือ ประมาณแต่ไม่อาจรบต่อเนื่องได้ยาวนาน อ่อนเปลี้ยเพลียแรงได้ง่าย “อ่อนได้” ก็คือ ฝ่ายรับที่ทำาการป้องกัน ถูกตีกระหนำ่าดูแล้วเหมือนหนึงอ่อนปวกเปียก แต่สามารถจะใช้ ่ ความสงบรอความเปลี้ย บั่นทอนกำาลังข้าศึกไม่ขาดระยะ ทำาให้ตนแปรเปลี่ยนจากฝ่าย เสียเปรียบเป็นฝ่ายได้เปรียบ นี้คือกลอุบายในการยึดกุมเป็นฝ่ายริเริ่มในสงคราม รอ โอกาสทำาลายข้าศึกแปรการรับให้เป็นการรุกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีปรากฏอยู่ในตำารา พิชัยสงครามหลายเล่ม เช่น “ซุนจือ ว่าด้วยการศึก” "ยุทธวิธีร้อยแปด ว่าด้วยสงคราม” “ว่าด้วยการระดมพลเหนือใต้” “บันทึกจ่อจ้วน” “บันทึกประวัติศาสตร์” “จดหมายเหตุ ราชวงศ์ฮั่น” ซึ่งใน “ว่าด้วยการระดมพลเหนือใต้” กล่าวไว้ว่า“ทราบจากตำาราพิชัย สงครามว่าผู้รับมักสบาย แต่ผู้รุกมักเหนื่อยยาก รอซำ้ายามเปลี้ย” ใน “จดหมายเหตุ ราชวงศ์ฮั่นหลัง ประวัติฝงอี้” กล่าวว่า "ผู้บุกกำาลังไม่พอ แต่ผู้รับมีกำาลังเหลือเฟือ บัดนี้ รักษาเมืองไว้ก่อน ใช้ความสงบรอความเปลี้ย มิจำาต้องไปรบด้วยเลย” กลยุทธ์นี้มาจาก "ตำาราพิชัยสงครามซุนจื่อ ว่าด้วยการทำาศึก" ความเดิมมีว่า "ใช้ใกล้รอไกล ใช้สบายรอ เหนื่อย ใช้อิ่มรอหิว นี้คือการสยบผู้แกร่งกว่านั้นแล" กลยุทธ์นี้สรุปว่า “เมื่อศัตรูมีทีท่า แจ่มชัด แต่กำาลังของฝ่ายเรายังมิกล้าแข็ง ควรจะหาทางอาศัยกำาลังของพันธมิตรไป โจมตีศัตรู หลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายเรา ด้วยวิธีทั้งปวง” กลยุทธ์ที่ 5 ตีชิงตายไฟ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกอยู่ในภาวะวิกฤติ ควรฉวยโอกาสรุกรบ โจมตี เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ หรือให้ผู้เข้มแข็งออกโรงเข้าแทรกแซงให้ผู้อ่อนกว่ายอม สยบด้วย นีก็คือที่เรียกว่า “ใช้ความแกร่งพิชิตความอ่อน” ความหมายเดิมของ “ตีชิงตาม ้ ไฟ” คือในขณะที่ผู้อื่นถูกเพลิงเผาผลาญห่วงแต่ตัวเอง ไม่ว่างกับเรื่องอื่น ก็ฉวยโอกาส แย่งชิงเอาของผู้นั้นเมาหรือในขณะที่ผู้อื่นตกอยู่ในอันตรายหรือในความลำาบาก ก็รุกลำ้า เอาผลประโยชน์ของผู้นั้นมา เมื่อนำามาใช้ในการทหาร ก็คือสิ่งที่ตำาราพิชัยสงครามของ “ซุนจือ ว่าด้วยอุบาย” กล่าวไว้ว่า “ชิงเอาในยามปั่นป่วน” หรือที่ “ว่าด้วยอุบาย” ของตู้มู่ นักการทหารอีกคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เมื่อข้าศึกวุ่นว่ายปั่นป่วย อาจฉวยโอกาสช่วงชิงมา ได้” กลยุทธ์นี้ แต่เดิมมาจากตำาราพิชัยสงครามของซุนจื่อ “ว่าด้วยอุบาย” ที่วกล่าวไว้ว่า “ชิงเอาในยามปั่นป่วน” ฉะนั้น กลบยุทธ์นี้จึงเป็นกลอุบายที่ฉวยโอกาสในยามที่ข้าศึกอยู่ ในภาวะวิกฤติ เข้ารุกรบโจมตีอย่างหนึ่ง ที่กล่าวว่า “เมื่อข้าศึกมีภัย ให้ฉกฉวยเอา ประโยชน์” มิได้จำากัดอยู่แต่เพียงในด้ายการทหาร หากจะนำาไปใช้ได้ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและอื่นๆ อย่างกว้างขวาง จะได้ผลหรือไม่อย่างใดก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ในบางครั้ง ยังอาจจะใช้วิธีการต่างๆ ทำาให้ขาศึกเกิดวิกฤติ ให้เกิดความระแวงสงสัยในกันและกัน ้ ตอกยำ้าความประหวั่นพรั่นพรึงทางจิตใจให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น เพื่อบันทอนพลังสู้รบของ ข้าศึก เป็นต้น หลังจากนั้นจึงฉวยโอกาสชิงเอาชัยนี้ก็นับอยู่ในการใช้กลยุทธ์นี้ด้วย กลยุทธ์นี้จึงสรุปว่า “เมื่อข้าศึกประสบกับความยากลำาบากทั้งภายในและภายนอก จัก
  • 3. ต้องรุกโจมตีอย่างไม่ปรานี ฉวยโอกาสอันดีนี้ กระหนำ่าซำ้าเติมอย่างให้ตั้งตัวติดและพิชิต เอาชัยอย่างได้ช้า” กลยุทธ์ที่ 6 ส่งเสียบุรพาฝ่าตีประจิม กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ตามคำาอธิบายของ “คัมภีร์อี้จิง ปั่น ป่วน” คำาว่า “ดุจจมในปลัก” ก็คือตกอยู่ในภาวะที่รวมตัวอยู่ในที่เดียวกัน แต่ขยับตัวหรือ กระจายแนวออกต่อตีมิได้ มีอันตรายที่จะพังพินาศได้ทุกเวลา ประดุจฝูงสัตว์ที่ขาด หัวหน้า มิมีการบัญชาที่ถูกต้อง ก็จักต้องพ่ายแพ้ไม่ช้าก็เร็ว หรืออีกในหนึ่ง ในระหว่างสง ครามาหรือการสัประยุทธ์ใดๆ ก็ดี เมื่อการบัญชาการของข้าศึกสับสนอลหม่าน มิอาจ วินิจฉัยหรือป้องกันได้อย่างถูกต้องทันท่วงที จนเกิดเหตุอันไม่คาดฝันขึ้น พึงฉวยโอกาส ที่ข้าศึกวุ่นวายไร้การควบคุม ทำาลายเสีย ที่ว่า “ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม” ยังหมายถึงกล อุบายที่เห็นอยู่ทางตะวันออกหยกๆ แต่กลับวกไปอยู่ทางตะวันตก ส่งเสียงทางนี้แต่ตี ทางโน้น ทำาทีถอยแต่กลับรุก ทำาทีรุกแต่กลับถอย ลวงล่อข้าศึกอย่างแนบเนียน ทำาให้ ข้าศึกเกิดความเข้าใจผิด แล้วฉวยโอกาสเข้าพิชิตเอาชัยแก่ข้าศึกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มี อยู่ในตำาราพิชัยสงครามหลายเล่มด้วยกัน เช่น “ซุนจือ ว่าด้วยภูมิประเทศ” “ยุทธ์วิธีร้อย แปด ว่าด้วยสงครามเสียง” “ไหวหนานจื่อ การฝึกยุทธวิธี” เป็นต้น ในเล่มหลังนี้กล่าวว่า “ดังนั้นมรรควิธแห่งการใช้ทหาร แสดงให้เห็นว่าอ่อนแต่ปะทะด้วยแข็ง แสดงให้เห็นว่า ี เปราะแต่ปะทะด้วยแกร่ง เมื่อจะรวบ พึงกระจาย เมื่อจักไปประจิม ควรทำาทีไปบูรพา” หรือ “คัมภีร์ทั่วไป ว่าด้วยการศึกหลายเลขหก” ของตู้อิ้วก็กล่าวไว้ว่า “ส่งเสียงว่าตีทาง บูรพา แต่ที่แท้ตีทางประจิม” กลยุทธ์นี้สรุปว่า “ที่ว่าส่งเสียบูรพาฝ่าตีประจิม ก็คือโดย ภายนอก โดยผิวเผิน ทำาให้ดูเสมือนหนึ่งว่าจะบุกทางนี้อย่างจริงจัง แต่ที่แท้แล้วกลับบุก อีกด้านหนึ่ง ทำาให้ข้าศึกหลงผิด แล้วพิชิตเอาชัยบนความหลงผิดนั้น” กลยุทธิ์เผชิญศึก กลยุทธ์ที่ 7 มีในไม่มี กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ให้ใช้ภาพลวงล่อหลอกข้าศึก แต่มใช้จะล่อลวงจนถึง ิ ที่สุด หากแต่เพื่อแปรเปลี่ยนจากลวงเป็นจริง ทำาให้ข้าศึกเกิดความหลงผิด ที่ว่า “ลวง” ก็คือ “หลอกลวง” ที่ว่า “มืด” ก็คือ “เท็จ” จากมืดน้อยไปถึงมืดมาก จากมืดมากแปร เปลี่ยนเป็นสว่างแจ้ง ก็คือใช้ภาพลวงปกปิดภาพจริง ผันจากเท็จลวงให้กลายเป็นแท้จริง แท้ นี้เป็นเรื่องในการศึกเท็จลวงและแท้จริงแท้สลับกันเป็นฟันปลา ในจริงมีเท็จ ในเท็จมี จริง “มีในไม่มี” หมายถึงกลอุบายซึ่ง “จริงในเท็จ” ที่ใช้ภาพลวงล่อหลอกข้าศึก ให้ ข้าศึกเกิดความหลงผิดอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีอยู่ใจตำาราพิชัยสงครามชื่อ “อุ้ยเหลียวจือ อำานาจศึก” ซึ่งกล่าวว่า “อำานาจศึกอยู่ที่วิถีอันทำาได้ ผู้มีจักไม่มี ผู้ไม่มจักมี” ในบทที่ 34 ี ของ “คัมภีร์เหล่าจื่อเล่มหลัง” ก็กล่าวไว้ว่า “สรรพสิ่งใต้หล้าเกิดจากมี บางก็เกิดจาก ไม่มี” กลยุทธ์นี้สรุปว่า “เมื่อจักสั่นคลอนจิตใจของข้าศึก มิควรวู่วาม ควรใช้ยุทธวิธีจริง เท็จเท็จจริงกลับลวงกันไป ทำาให้ข้าศึกเกิดความสับสนวุ่นวาย พึงจับจุดอ่อนของข้าศึก ยืนหยัดจนถึงวาระที่สำาคัญที่สุด ครั้นแล้วก็รุกโจมตีอย่างถึงแก่ชีวิต” กลยุทธ์ที่ 8 ลอบตีเฉินชัง กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ในการศึก ใช้โอกาสที่ฝ่ายข้าศึกตัดสินใจจะ รักษาพื้นที่ แสร้งทำาเป็นจะโจมตีด้านหน้า แต่เข้าจู่โจมในพื้นที่ที่ข้าศึกไม่สนใจอย่าง มิได้คาดคิด ใน “คัมภีร์อี้จิง ประโยชน์” เรียกว่า “เข้าจู่โจมดุจพายุ” ซึ่งก็คือกลวิธีวกวน ลอบเข้าจู่โจมอย่างเป็นฝ่ายกระทำา เข้าตีข้าศึกโดยมิได้ระวังตัว เอาชนะอย่างมหัศจรรย์
  • 4. อย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปว่า “เมื่อคู่ศึกทั้ง 2 ฝ่ายตั้งประจัญหน้ากัน จงใจสร้างเป้าหมายให้ ฝ่ายตรงข้ามเพ่งเล็ง รอจนเมื่อฝ่ายตราข้ามวางกำาลังใหญ่ป้องกันไว้ ณ ที่นั้นแล้ว จึงรุก รบโจมตีเอาเป้าหมายอื่น ซึ่งก็คือการใช้จุดอ่อนแห่งภาวะจิตมนุษย์ โจมตีในจุดที่ฝ่าย ตรงข้ามมิได้คาดคิดมาก่อนแล้วมิได้ระมัดระวังตัว จึงได้มาซึ่งชัยชนะในการรุกรบ” กลยุทธ์ที่ 9 ดูไฟชายฝั่ง กลยุทธ์ นีมีความหมายว่า เมื่อประสบกับภาวะที่ข้าศึกแตกแยกวุ่นวายปั่น ้ ป่วนอย่างหนัก พึงรอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสงบ หากข้าศึกใช้ความป่าเถื่อนแก่กัน ต่างพิพากเข่นฆ่ากัน แนวโน้มก็จักพาไปสู่ความวินาศเอง ในเวลาเยี่ยงนี้จำาต้องปฏิบัติให้ คล้อยตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพข้าศึก ตระเตรียมไว้ก่อนล่งหน้า เพื่อดำาเนินการให้ สอดคล้องกับสภาพการณ์ชิงมาซึ่งชัยชนะโดยใช้การเปลี่ยน แปลงอย่างฉับพลันของ ทางฝ่ายข้าศึกให้เป็นประโยชน์ นี้คือความหมายของคำาว่า “คล้อยเพื่อเคลื่อนตาม คล้อย ตามจึงเคลื่อน” ใน “คัมภีร์อี้จิงว่าด้วยสงบ” ซึ่งก็คือกลอุบายที่ยึดถือการแปรผันของ ข้าศึก เปลี่ยนแปลงตามสภาพ เพื่อเอาประโยชน์อย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้เดิมมาจากตำารา พิชัยสงคราม “ซุนจื่อ ว่าด้วยการศึก” ที่ว่า “ใช้ความสงบรอความปั่นป่วน ใช้ความเงียบ รอความวุ่นวาย” ใน “บันทึกประวัติศาสตร์ ประวัติจางอี๋” ก็ได้บันทึกเรื่องของเปี้ยนจวงจื่อ ว่า “นังภูดูเสื่อกัดกัน” “ได้เสือ 2 ตัวเพียงดำาเนินการครั้งเดียว” ซึ่งก็คล้ายคลึงกับกลยุทธ์ นี้ กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “เมื่อข้าศึกเกิดความปั่นป่วนภายใน ให้รอดูการเปลี่ยนแปลงโดย สงบ ให้ข้าศึกเกิดความปั่นป่วน ก้าวไปสู่ความพินาศเอง ที่ว่า “ไฟ” ในกลยุทธ์นี้ ก็หมาย ถึงการบาดหมางภายในฝ่ายข้าศึก เช่นเกิดมีคนทรยศหรือไส้ศึก หรือความปั่นป่วน ใน ช่วงเวลานี้เอง การคอยสังเกตการณ์อยู่ด้วยความสงบ แล้วค่อยตักตวงเอาในภายหลังจึง เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด” กลยุทธ์ที่ 10 ซ่อนดาบบนรอยยิ้ม กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จะต้องทำาให้ข้าศึกเชื่อว่าเรามิได้ เคลื่อนไหวอะไรเลย จึงสงบไม่เคลื่อนเช่นกัน ทั้งเกิดความคิดมึนชาขึ้น แต่เรากลับ ดำาเนินการตระเตรียมเป็นการลับ รอคอยโอกาส เพื่อที่จะออกปฏิบัติการ โดยฉับพลัน ทันที แต่ต้องระวังมิให้ข้าศึกล่วงรู้ก่อน อันจะทำาให้สภาพการณ์เกิดเปลี่ยนแปลงไป “ แข็งในอ่อนนอก” คือภายนอกนั้นดูละมุนละไม แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง “ซ่อนดาบในรอยยิ้ม” ความเดิมหมายถึงโดยผิวเผินก็อ่อนโยน แต่ภายในนั้นมากด้วย เล่ห์ เมื่อนำามาใช้ ก็คือกลยุทธ์ที่ นอกอย่างในอย่าง แจ้งอย่างลับอย่าง ภายนอกแสดง ความอ่อนละมุน แต่ภายในแฝงไว้ด้วยการเอาเป็นเอาตายอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีอยู่ใน “ จดหมายเหตุราชวงศ์ถังเก่า ประวัติหลี่อี้ฝู่” ซึ่งกล่าวว่า “ภายนอกของอี้ฝู่นอบน้อยถ่อม ตน พบใครใบหน้าก็ยิ้มย่องผ่องใส แต่เป็นคนที่เห็นแก่ตัว เชือดคอคนได้ในทางลับ ต้องการได้อำานาจ จัดให้ผู้อื่นศิโรราบด้วยตน หากไม่พึงพอใจใคร ก็จักทำาลายเสียโดย พลัน ดังนันคนจึงโจษจันกันว่า อี้ฝู่มีดาบเป็นรอยยิ้ม” กลยุทธ์นี้สรุปว่า “พยายามทำาให้ ้ ฝ่ายข้าศึกเข้าใจว่าฝ่ายเรา มิได้มีการตระเตรียมแต่อย่างใดเลย จึงสูญเสียความ ระมัดระวัง แต่ฝ่ายเรากลับวางแผนอย่างลับๆ เมื่อตระเตรียมพร้อมแล้วก็ให้รวบหัวรวบ หางพิชิตเอาชัยในทันที แต่ไม่ควรจะให้ขาศึกรู้ตัวก่อนเป็นอันขาด อันอาจจะก่อให้เกิด ้ อุปสรรค์ที่ไม่จำาเป็นขึ้น ที่ว่า “ซ่อนดาบในยิ้ม” ก็คือ “ปากหวานใจคด” ใบหน้านันยิ้มแย้ม ้ แจ่มใส แต่ในใจแฝงไว้ด้วยความเหี้ยมเกรียมที่จะเอาชีวิตกัน” กลยุทธ์ที่ 11
  • 5. หลี่ตายแทนถาว กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อการพัฒนาของสถานการณ์มิเป็นผลดีแก่ ตน จักต้องเกิดความเสียหายอย่างหลียกเลี่ยงไม่พัน เพื่อที่จะแปรความเสียเปรียบเป็น ความได้เปรียบ ก็จะต้องยอมเสีย “มืด” เพื่อประโยชน์แก่ “สว่าง” ซึ่งก็หมายความว่าจำา ต้องเสียสละส่วนหนึ่ง เสียค่าตอบแทนน้อย เพื่อแลกกับชัยชนะทั่วทุกด้าน “หลี่ตายแทน ถาว” ความหมายเดิมเป็นการเปรียบเทียบความรักใคร่ช่วยเลือกกับระหว่างพี่น้อง แต่เพื่อ ใช้ในการทหารหรือในกรณีอื่นๆ ก็เปรียบเทียบเป็นการทดแทนซึ่งกันและกัน อันเป็นกล อุบายที่ให้ ก. เข้าแทนที่ ข. หรือให้ ข. แทนที่ ก. อย่างหนึ่ง ที่ว่า “เสียกำาเอากอบ” หรือ “เสียบ่าวเอานาย” ก็เป็นกลอุบายในทำานองนี้ คำาๆ นี้เดิมมาจากกวีนิพนธ์บนหนึงชื่อ “ไก่ ่ ขัน” ใน "ชุมนุมกวี่นิพนธ์กู่เล่อฝู่” ความหมายว่า “ต้นถาวเกิดที่ปากบ่อ ต้นหลี่โตเคียง มาก หนอนบ่อนไชต้นถาวหลี่ตายแทนถาว ต้นไม้ยังตายแทนกัน พี่น้อยไฉนไยจึงลืม?” กลยุทธ์นี้สรุปว่า “ในขณะที่ 2 ฝ่ายประจันหน้ากันอยู่ ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องประสบ ความสูญเสีย จักไม่บาดเจ็บล้มตายเลยหาได้ไม่ ในขณะที่กำาลังของทั้งสองฝ่าย ทัดเทียมกัน ใครจะอยู่ใครจะไปยังมิอาจรูได้ ก็ควรจักยอมเสียคาตอบแทนไปบ้างแต่ ้ น้อย เพื่อแลกมาซึ่งผลประโยชน์ใหญ่ที่สุด จึงถูก” กลยุทธ์ที่ 12 จูงแพะติดมือ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า แม้จะเป็นความเลินเล่อของข้าศึกเพียงเล็กน้อย เราก็พึงฉกฉวยเอาประโยชน์ แม้จะเป็นชัยชนะเพียงเล็กน้อย ก็จะต้องชิงเอามาให้ได้ “ มืดน้อย” หมายถึง ความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ของข้าศึก “สว่างน้อย” หมายถึงชัยชนะ เล็กๆน้อยๆของฝ่ายเรา “จูงแพะติดมือ” หมายถึง อาศัยความประมาทแม้เพียงเล็กน้อย ของฝ่ายตราข้าม ชิงเอาผลประโยชน์มาเป็นของเราเสีย กลยุทธ์นี้เป็นกลอุบายที่ใช้ช่อง อันเป็นจุดอ่อนข้าศึก ขยายพลังของตนเองออกไป เหมือนหนึ่งจูงแพะของฝ่ายตรงข้าม ติดมือเราไปด้วย ช่วงชิงมาซึ่งชัยชนะอย่างสะดวกใจสบายกายอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้เดิม มาจาก “คัมภีร์จิงเลี่ย ว่าด้วยการเคลื่อนพล” ซึ่งกล่าวไว้ว่า “คอยจ้องหาจุดอ่อนของ ข้าศึก ฉกฉวยเอาประโยชน์ให้ทันท่วงที” กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “โอกาสแม้จะน้อยแสน น้อยก็ควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ ชัยชนะแม้จะเล็กแสนเล็กก็ควรจะช่วงชิงมาให้ได้ “จูง แพะติดมือ” ก็คือการใช้กลอุบายที่อีกฝ่ายหนึ่งมิสำาเหนียกหรือมิได้รู้สึกตัว ฉะนันจึงย่อม ้ จะตกหลุมพรางถูกบั่นทอนหรือได้รับความสูญเสียอย่างยับเยินโดยมิได้คาดคิด” กลยุทธิ์เข้าตี กลยุทธ์ที่ 13 ตีหญ้าให้งูตื่น กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อมีสิ่งใดพึงสงสัย ควรจังส่งคนสอดแนมให้รู้ ชัด กุมสภาพข้าศึกได้แล้ว จึงเคลื่อน นี้เรียกว่า “สงสัยพึงแจ้ง สังเกตจึงเคลื่อน” ใน “ คัมภีร์อี้จิง ซำ้า” ได้อธิบายไว้ว่า “ใช้มรรควิธีเดิมกลับไปมา 7 วัน เมื่อละเอียดแล้ว จึง เข้าใจสิ่งนั้นได้” ความหมายของคำานี้ก็คือ ต่อสิ่งใดก็ตามจังต้องสังเกตซำ้าแล้วซำ้าอีก จึง จะสามารถจำาแนกแยกแยะมันได้ถูก ที่ว่า “ซำ้าซาก คืออุบายรู้มืด” นั้น เมื่อนำามาใช้ในการ ทหาร หมายถึงใช้วิธีการสอดแนมหลายครั้งหลายหน อันเป็นวิธีสำาคัญในการเข้าใจ สภาพข้าศึก ค้นพบศัตรูที่แฝงเร้นอยู่ ความหมายของ “ตีหญ้าให้งูตื้น” ก็คือแม้เราจะตี หญ้า แต่งูที่ซ่อนอยู่ในหญ้าก็ตื่นตกใจ นี้เป็นกลอุบายที่ใช้การสอดแนม แจ้งชัดในสภาพ ข้าศึกที่เราโอบล้อมอยู่ แล้วตียังจุดหนึ่งซึ่งจะกระเทือนไปทั้งแนว หลักจากนันจึงทำาลาย ้ ข้าศึกให้แหลกลาญไปทีละส่วนอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “เมื่อสภาพของข้าศึกยัง ไม่ชัดแจ้งแก่เรา เราไม่ควรจะปฏิติการอย่างลวกๆ จะต้องหาทางสืบทราบสภาพของ ข้าศึกให้ถ่องแท้ ครั้งเมื่อทราบเจตนาของฝ่ายตรงข้ามแล้ว จึงออกโจมตี เยี่ยงเดียวกับงู
  • 6. ที่ซ่อนอยู่ในหญ้า ควรจะใช้ไม่ตีพงหญ้าไปรอบๆ เพื่อให้งูปรากฏให้เห็น แล้วจึงจับเอาใน ภายหลัง ไม่จำาเป็นต้องบุกเข้าไปจับจนถึงรังงูให้เปลืองแรง กลยุทธ์ที่ 14 ยืมซากคืนชีพ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ผู้ที่มีความสามารถและมีบทบาทนั้น จะใช้อย่าง ผลีผลามมิได้ ส่วนผู้ที่ไร้ความสามารถ ก็มักจะมาของความช่วยเหลือจากเรา การใช้ผู้ที่ ไร้ความสามารถ มิใช้เพราะว่าเราต้องการจะใช้เขา หากแต่เพราะเขาต้องการพึ่งเรา คำา ว่า “เด็กไร้เดียงสา” มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ไร้เดียงสา” “ยืมซากศพคืนชีพ” ความหมายเดิม เปรียบกับของที่ตายแล้ว แต่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่โดยใช้อีกรูปแบบหนึ่ง แต่เมื่อใช้ใน สงครามหรือในการต่อสู้อื่นใด ก็หมายถึงกลยุทธ์การใช้พลังทีสามารถจะใช้ได้ทั้งปวงมา บรรลุซึ่งเจตนารมณ์ของเราอย่างหนึ่ง ในประวัติศาสตร์แต่กาลก่อน ในระหว่างการผลัด เปลี่ยนแผ่นดิน จักมีผู้แกล้วกล้าตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นมามากมาย ซึ่งมักจะแอบอ้างพระนาม ของกษัตริย์และราชทายาที่สูญชาติเป็นเครื่องมือ ป่าวร้องชักชวนให้กู้ชาติแล้วได้ชาติ ไปครองในภายหลัง นีก็คือการใช้กลยุทธ์ข้างต้น การใช้กำาลังสนับสนุนผู้อื่นเข้าโจมตี ้ หรือป้องกันแทนเขาโดยที่มีเจตนาจะเข้าควบคุมผู้นั้น ก็นับอยู่ในกลยุทธ์นี้เช่นเดียวกัน กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “ยืมซากคืนชีพ หมายถึงใช้สิ่งที่ใช้ไม่ได้แล้วในทางเป็นจริง หรือ ฉวยโอกาสทุกอย่างเท่าที่จะสามารถจักหยิบฉวยได้ ให้เป็นประโยชน์ เพื่อบรรลุจุดมุ่ง หมายบางประการของตน ให้รอดพ้นจากความหายนะ เพื่อที่จะได้ยืนผงาดขึ้นมาใหม่ใน วันหน้า หรือไม่วนใดก็วันหนึง ั ่ กลยุทธ์ที่ 15 **ล่อเสือออกจากถำ้า** กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จะต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงของ ฤดูกาลอันเป็นเงือนไขตามธรรมชาติ เช่น หนาว ร้อน ฝน แจ้ง เป็นต้น ให้เป็นประโยชน์ อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างและเพิ่มความยากลำาบากให้กับข้าศึก ในขณะเดียวกัน ก็ใช้ภาพ ลวงที่เราจงใจสร้างขึ้น ล่อให้ข้าศึกออกจากแนวป้องกัน หลังจากนันก็โจมตีหรือทำาลาย ้ เสีย “ไปยากก็ลวงให้มา” คำานี่มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ยาก” ความว่า “ยาก คือยากลำาบาก อันตรายอยู่ ณ เบื้องหน้า เห็นภัยก็หยุด นับได้ว่ารู" “มา” มีความหมายว่าเคลื่อนย้าย ้ ข้าศึกหรือให้ข้าศึกเคลื่อนที่ ในขณะที่สองทัพประจันหน้ากัน จักรุกเข้าตีข้าศึกที่มีการเต รียมพร้อมก็ให้ลำาบากนัก การที่จะเข้าตีจุดแข็งของข้าศึก มิใช้แต่จะชนะได้โดยยาก ซำ้า ยังจะเป็นอันตรายแก่ตนอีกด้วย “ล่าเสือออกจากถำ้า” ก็คือกลอุบายที่ล่อหลอกข้าศึกให้ ออกมาจากที่ตั้งอันแข็งแกร่ง แล้วโจมตีทำาลายเสียอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “เมื่อ ใคร่ทำาลายหรือได้ตัวข้าศึกจึงต้องรอโอกาสที่เหมาะสม ประกอบด้วยเงื่อนไขทาง ธรรมชาติบวกด้วยมาตรการที่คนเราสร้างขึ้น ถ้าแม้นบุ่มบ่ามเข้าไปในอาณาเขตของ ข้าศึกอย่างพลีพลาม ก็มิอาจเห็นตัวข้าศึก ซำ้ายังอาจจะถูกลอบตีในที่ลับอีกด้วย ได้ไม่ เท่าเสีย ดังนั้น การใช้อุบายล่อให้ข้าศึกออกมาจากเขตของตนแล้วบทขยี้เสีย จึงควร” กลยุทธ์ที่ 16 แสร้งปล่อยเพื่อจับ กลยุทธ์นหมายความว่า ถ้าบีบคั้นจนเกินไปนัก สุนัขก็จักสู้อย่างจน ี้ ตรอก ปล่ายข้าศึกหนี ก็จักทำาลายความเหิมเกริมของข้าศึกได้ ทว่าต้องไล่ตามอย่าละ เพื่อบั่นทอนกำาลังของข้าศึกให้กระปลกกะเปลี้ย ครั้นเมื่อสิ้นเรี่ยวแรงใจก็มิคิดต่อสู้ด้วย แล้ว จึงจับ อันเป็นการรบที่ไม่เสียเลือดเนื้อ อีกทั้งทำาให้ข้าศึกแตกสลายไปเอง “รอ ฟัง ตัว สว่าง” มีอยู่ใน “คัมภีร์อี้จิง รอ” “รอ” หมายถึงการรอคอยอย่างอดทน “ฟังตัว” ก็คือ ไก่ฟักไข่จนเป็นลูกไก่ หมายถึง "ได้" ส่วน "สว่าง" ก็คือแสดงสว่าง หมายถึง “ชัยชนะ”
  • 7. ความหมายของกลยุทธ์นี้ทั้งคำาก็คือ เมื่อสองทัพประจันหน้ากัน จักต้องใช้ความอดทนรอ คอย ให้ใช้วธีการอันแยบยล ให้ข้าศึกมาสวามิภักดิ์ด้วยใจ นี้ก็คือกลอุบายปล่อยป่านยาว ิ ตกปลาตัวโตอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีอยู่ใน “คัมภีร์เหลาจื่อ บทต้น” บรรยายไว้ว่า “เมื่อจัก เอา จะต้องให้” ในบันทึก “ไท่ผิงเทียนว๋อ อักษรศาสตร์” ก็มีอธิบายไว้ว่า “เมื่อจักจับให้ ปล่อย เมื่อจักเร็วให้ช้า รอเมื่อหย่อนยานจึงตี มิมีที่ไม่ชนะ” กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “แสร้ง ปล่อยเพื่อจับ จุดประสงค์อยู่ที่ “จับ” “ปล่อย” เป็นวิธีการ “จับ” คือจับทาง “ใจ” ให้ ยินยอมอ่อนน้อมทั้งกายและใจ ผู้ถูกจับ “ใจ” จักกลายเป็นข้าทาสบริวารของอีกฝ่ายหนึ่ง อย่างไม่ลืมหูลืมตา จนกว่าจะเกิดความสำานึกใน “ศักดิ์ศรี” ของตนเอง กลยุทธ์นี้ จึงเป็น กลยุทธ์อันชาญฉลาด ในการบั่นทอนจิตใจสู้รบและขวัญของข้าศึก ด้วยวิธีการทั้งแจ้ง และลับอย่างหนึ่ง อันได้ผลเกิดความคาดหมาย นันแล” ้ กลยุทธ์ที่ 17 โยนกระเบื้องล่อหยก กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ใช้สิ่งที่คล้ายคลึงกันไปล่อข้าศึก ให้ ข้าศึกต้องอุบายพ่ายแพ้ไป การใช้กลยุทธ์นี้ กำาหนดขึ้นตามสภาพรูปธรรมของข้าศึก ใน ตำาราพิชัยสงครามชื่อ "ร้อยยุทธการพิสดาร การรบที่ได้ประโยชน์” กล่าวไว้ว่า “เมื่อประ มือกับข้าศึก ขุนพลฝ่ายตราข้ามโง่เง่ามิรู้พลิกแพลง จักล่อด้วยประโยชน์ เขาละโมบใน ประโยชน์ มิรู้ผลร้าย ก็ซุ่มทหารลอบตีได้ ข้าศึกจักพ่ายนี้คือ “ล่อด้วยประโยชน์” “โยนก ระเบื้องล่อหยก” คำานี้ เดิมมาจากเรื่องราวของกวีสมัยราชวงศ์ถัง 2 คน ชื่อ ฉางเจี้ยน และ จ้าวกู่ กล่าวคือ ฉางเจี้ยนนิยชมชอบและยกย่องบทกวีของจ้างกู่มาช้านาน ครั้นเมื่อทราบ ว่าจ้าวกู่เดินทางมาเมืองซูโจว ก็คาดคะเนว่าคงจะไปเที่ยว ณ วัดหลิงเอี๋ยนสื้อ ฉางเจี๋ยน จึงเขียนบทกวีไว้ 2 คำาบนผนังวัด เมื่อจ้าวกู่มาเห็นเข้า ก็ต่อบทกวีนี้อีก 2 คำา จึงกลาย เป็นกวีที่ครบถ้วนสมบูรณ์และสวยงาม ไพเราะจับใจยิ่งนัก แต่เนื่องจากบทกวีของฉาง เจี้ยนด้อยกว่าของจ้าวกู่ คนทั้งหลายจึงเรียกบกวีของฉางเจี้ยนเป็นเสมือนหนึ่ง “กระเบื้อง” แต่หากแม้นมิมี “กระเบื้อง” ที่ฉางเจี้ยนเอาไปล่อไว้ ไฉนเลยจะมาซึ่ง “หยก” ของจ้าวกู่ ที่ต่อ “กระเบื้อง” ชของฉางเจี้ ยนจนกลายเป็นบทกวี่มีค่าลำ้าที่ทุกคนยกให้” กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “วิธีหลอกลวงข้าศึกมีมากมาย ที่แยบค่ายที่สุดมิมีใดเกิน ความ ละม้ายแม้น” หรือ “ความเหมือน” ที่เรียกว่า “กระเบื้อง” หมายถึงสิ่งที่ไม่มีค่างวด ส่วน “หยก” นันเป็นจิดาสูงค่าอันพึงปรารถนาของผู้คนทั้งหลาย ที่ว่า “โยนกระเบื้องล่อหยก” ้ ก็คือใช้สิ่งของที่มีค่าน้อยไปล่อสิ่งของที่มีค่าสูง กระเบื้องกับหยกนั้น มองผ่านๆก็มีส่วนที่ คล้ายคลึงกันอยู่ นักการทหารผู้มีความชำานาญในกลศึก ก็สามารถจะใช้ความ “ละม้าย แม้น” ความ “เหมือน” ความ “คล้ายคลึง” ของทั้งสองสิ่งสร้างความสับสนฉงนใจให้แก่ ข้าศึก ฉวยโอกาสที่ข้าศึกกำาลังวุ่นวายหรือหลงกลจู่โจมเอาชัยโดยพลัน” กลยุทธ์ที่ 18 จับโจรเอาหัวโจก กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จักต้องตีข้าศึกในจุดที่เป็นหัวโจของกองทัพ เพื่อสลายพลังของข้าศึก “มังกรสู้บนปฐพี ก็อับจนหมดหนทาง” เปรียบประดุจมังกรใน ทะเล ขึนมาสู้กับศัตรูบนพื้นแผ่นดิน ก็จักปราชัยแก่ข้าศึกโดยง่าย คำานี้เดิมพบใน “คัมภีร์ ้ อี้จิง ดิน” ซึ่งแฝงความนัยว่า “จับโจรให้เอาตัวหัวโจก” อันเป็นกลอุบายใช้วิธี “ตีงูให้ตี หัว” เพื่อสยบข้าศึกอย่างหนึ่ง “จับโจรเอาหัวโจก” มาจากบทกวีของตู้ผู่ กวีอมตะแห่งอุค ราชวงศ์ถังของจีน ความว่า “น้าวเกาทัณฑ์ต้องให้ตึง ลูกเกาทัณฑ์ควรจะยาว ยิงคนควร ยิงม้า จับโจรเอาหัวโจก” กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “ความหมายที่แท้ของกลยุทธ์นี้ คือให้ โจมตีส่วนที่สำาคัญที่สุดของข้าศึก เพื่อไห้ได้รับชัยชนะอย่างสิ้นเชิง ในการบัญชาการรบ จะต้องสันทัดในการขยายผลของการรบให้ใหญ่หลวงยิ่งขึ้น อย่าได้ปล่อยโอกาสที่จะได้
  • 8. รับชัยชนะให้หลุดลอยไปเป็นอันขาด หากคิดง่ายๆแต่เพียงว่า ขอให้โจมตีข้าศึกถอยไป ได้เท่านั้นก็พอใจแล้ว แต่ไม่ทำาลายกำาลังหลักของข้าศึก จับตัวผู้บัญชาการหรือทลาย กองบัญชาการของข้าศึกให้ย่อยยับไปแล้ว ก็จะเหมือนดั่งปล่อยเสือเข้า กลยุทธิติดพัน ์ กลยุทธ์ที่ 19 ถอนฟืนใต้กระทะ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อเปรียบเทียบกำาลังกันแล้ว มิเหนือกว่า ข้าศึก พิงหาทางบันทอนความฮึกเหิมลงเสีย “ดุจฟ้าอยู่เหนือนำ้า” ตามคำาอธิบายของ “คัมภีร์ 64 ทิศ ปฏิบัติ” “นำ้า” หมายถึงความแกร่ง “ฟ้า” หมายถึงความอ่อน รวมแล้ว หมายความว่า เอาอ่อนชนะแข็ง ซึ่งก็คือพึงใช้วิธีอ่อนพิชิตแข็ง ฉกฉวยโอกาสทำาลาย กำาลังส่วนหนึ่งของข้าศึกไปเสีย ให้พ่ายไปสิ้นในภายหลัง ที่ว่า “ดุจฟ้าอยู่เหนือนำ้า” เปรียบเทียบเป็นการแก้ปัญหาให้สิ้นไปโดยพื้นฐาน กลยุทธ์นี้เป็นอุบายในการบั่นทอน พลังของข้าศึกที่ละส่วน จนทำาลายข้าศึกเป็นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดได้อย่างหนึ่ง คำานี้ เดิมมาจากหนังสือเรื่อง “ไหวหนานจื่อ” ความว่า “เทนำ้าร้อนลงในนำ้าเดือด มิอาจหยุด เดือด จักต้องรู้ลักษณะของมัน ทอนไฟจึงหยุด” ใน “ฎีกาประท้วงราชวงศ์เหลียง” สมัย เว่อเหนือก็ว่า “ถอนฟืนจึงหยุดเดือด ตัดหญ้าพึงถอนราก” กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “ใน สถานการณ์ศึกซึ่งติดพันชุลมุนเป็นอย่างยิ่งนั้น การรบด้วยภาวะจิตจักเป็นยุทธวิธีที่ดีที่สุด และเป็นโอกาสที่จะรบให้ชนะ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อใคร่ประสงค์จะทำาลายกำาลังของ ข้าศึก ก็จักต้องทำาลายกำาลังหลัก ทำาลายหัวใจของข้าศึกเป็นเบื้องแรก ในเวลาเช่นนี้ จิตใจของแม่ทัพนายกอง ก็คือ “ฟืน” เมื่อถอน “ฟืน” ออกแล้ว นำ้าใน “กระทะ”ก็จัก ้ “เดือด” ต่อไปมิได้ฉันนัน ้ กลยุทธ์ที่ 20 กวนนำ้าจับปลา กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกเกิดความปั่นป่วนในกองทัพของตน เราจักต้องฉวยโอกาสความวุ่นวาย มิรู้ที่จะทำาประการใดของข้าศึกนี้ แย่งยึดเอาผล ประโยชน์มา หรืออีกนัยหนึ่ง “เอาชัยจากความปั่นป่วน” ดุจดังพายุฝนกระหนำ่ายามคำ่าคืน ที่ตำ่าก็จักขังนำ้า ผู้คนจักเข้าสู่นิทรารมณ์ อันเป็นปกติวิสัยของธรรมชาติมนุษย์ “กวนนำ้าจับ ปลา” ก็คือกวนนำ้าให้ขุ่น ให้ปลางุนงง ลงจับก็ง่าย อันนับเป็นกลยุทธ์ฉวยโอกาสเข้าตี เอาชัย เมื่อข้าศึกกำาลังชุลมุนปั่นป่วนอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “ปลาไม่เห็นทิศทาง เมื่อนำ้าขุ่น คนแยกจริงเท็จไม่ออกยามชุลมุน จึงเกิดช่องว่างอันมากหลายที่จะเอา ประโยชน์ได้ “กวนนำ้าจับปลา” ย่อมหมายถึงในสงครามชุลมุนแห่งการแก่งแย่งอำานาจกัน นั้น ควรฉวยโอกาสใช้กำาลังที่อ่อนแอโลเลให้คล้อยตามความประสงค์ของตน ที่สำาคัญ คือเอาเท็จพรางจริง กวนนำ้าให้ขนโดยเจตนา แล้วรีบซำ้าเติมเอาชัยแก่ศึกเสีย ดังนี้ ุ่ กลยุทธ์ที่ 21 จักจั่นลอกคราบ กลยุทธ์นี้มีความหวายว่า รักษาไว้ซึ่งแนวรบเยี่ยงเดิม ให้ดูนาเกรงขาม ่ เหมือนเก่า ฝ่ายมิตรก็มิสงสัย ฝ่ายข้าศึกมิกล้าผลีผลาม ครั้นแล้ว จึงถอนตัวอย่างปกปิด เคลื่อนกำาลังหลักให้หลบเลี่ยงไป “เลี่ยงเพื่อสลาย ลวง” คำานี้มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ลวง” “เลี่ยง” ก็คือหลบหลีก “ลวง” ก็คือทำาให้งงงวย นี้นับเป็นกลยุทธ์ถอยทัพอย่างไม่กระ โตกกระตาก เพื่อเป้าประสงค์ที่กำาหนดไว้ หรือหลีกเลี่ยงความสูญเสียอย่างหนึ่ง กลยุทธ์ นี้สรุปได้ว่า “จักจันรอกคราบ เป็นวิธีสะบัดให้หลุดพ้นจากการเผชิญหน้ากันข้าศึก ด้วย ่ การเคลื่อนย้ายหรือถอยทัพ ที่ว่า “ลอก” มิใช้อย่างตื่นตระหนก อย่างขวัญหนีดีฝ่อ แต่ยัง คงไว้ซึ่งรูปโฉมภายนอก ทว่าได้ถอดเนื้อหาออกไปหมดสิ้นแล้ว หนีแสดงว่าไม่หนี
  • 9. ปกปิดข้าศึก เพื่อให้หลุดพ้นจากห้วงอันตราย วิธีการ “ลอกคราบ” มีหลายแบบหลาย อย่าง เนื้อแท้ก็คือการใช้เล่ห์กลหลอกลวงข้าศึก เป็นพฤติการณ์ที่ใช้การพรางตา ปลอมปนความจริงเอาตัวรอดนั้นเอง” กลยุทธ์ที่ 22 ปิดประตูจับโจร กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ต่อข้าศึกอ่อนแอจำานวนน้อย พึงโอบล้อมแล้ว ทำาลายเสียให้สิ้น เพื่อมิให้เป็นภัยแก่เราในภายหลัง “ปล่อย มิเป็นคุณซึ่งติดพัน” มาจาก “คัมภีร์อีกจิง ปล่อย” “ปล่อย” ในที่นี้หมายถึงการแตกกระจายออกเป็นกองเล็กกองน้อย ของข้าศึก กำาลังก็อ่อนเปลี้ยจนไร้สมรรถนะที่จะสู้รบแล้ว “ติดพัน” หมายถึงการไล่ ติดตามไม่ลดละทั้งใกล้และไกล “มิเป็นคุณซึ่งติดพัน” ก็คือ ต่อข้าศึกกองเล็กกองน้อย ปล่อยให้หนีไปได้ แม้จะเล็ก แต่ก็สามารถย้อยกลับมาสร้างความยุ่งยากแก่เรา จนเรา ต้องไล่ติดตามเพื่อทำาลายเสีย เช่นนี้มิเป็นประโยชน์แก่เรา ความหมายเดิมของ “ปิด ประตูจับโจร” ก็คือ เมื่อโจรเข้าตีชิงในบ้าน ปิดประตูบ้านจึงจะจับโจรไว้ได้ ส่วนความ หมายทางด้านการทหารและอื่นๆ ก็อุปมาว่าเป็นกลยุทธ์โอบล้อมทำาลายข้าศึกกองย่อยๆ ให้สิ้น เพื่อมิให้ก่อกวน ทำาอันตรายแก่เราได้ในภายหลังอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “ เมื่อจักจับโจร พึงตัดทางหนี โอบล้อมไว้ให้แน่นหนา หากโจรเข้าในเมือง จงปิดประตู เมืองให้สนิท มิให้ทางเล็กรอดออกไปได้ จึงจักถูกจับได้โดยละม่อม กลับกัน พบโจรก็ ไล่ ไม่ปิดประตูเมือง ไล่เหนือไปใต้ โจรก็พ้นไป โจรที่หนีพ้น ย่อมจักย่ามใจ จักย้อยกลับ มาอีกพร้อมด้วยพรรคพวก หากปิดทางหนีโจรจะมิกล้า อู๋จื่อกล่าวไว้ว่า "โจรที่ไม่คำานึง ถึงความตาย หากซ่อนตัวตามสุมทุมพุ่งไม้ในป่ากว้าง ก็พอจักทำาให้กำาลังซึ่งติดตามมา เป็นพ้นคนอกสั่นขวัญแขวน ลมพันใบไม้ไหวก็แตกตื้น เพราะมิรู้ว่า โจรจะปรากฏตัวออก มาจู่โจมเอาชีวิตเมื่อใด จับโจร จึงควรระวังมิให้เป็นปลาลอดร่างแห” กลยุทธ์ที่ 23 คบไกลตีใกล้ กลยุทธ์นี้หมายความว่า เมื่อถูกจำากัดโดยสภาพแวดล้อม ควรตีเอาข้าศึกที่ อยู่ใกล้ตัว จึงจะเป็นประโยชน์แก่ตน โจมตีข้าศึกที่อยู่ไกล จักเป็นผลร้ายแก่ตน “เปลว ไฟลอยขึ้น นำ้าบึงไหลลง” หมายความว่า การผูกมิตรนั้น แม้ความคิดเห็นจะไม่ตรงกัน ก็ สามารถที่จะร่วมมือกันได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง คำานี้มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ต่าง” ความว่า “เปลง ไฟลอยขึ้น นำ้าบึงไหลลง บุรุษจักร่วมกันเพราะความผิดแผก” ดังนั้น ต่อข้าศึกใกล้และ ไกล พึงมีนโยบายที่แตกต่างกัน นี้เป็นกลยุทธ์ที่ผูกมิตรกับรัฐไกล เพื่อเอาชัยต่อรัฐใกล้ อย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “นี้เป็นยุทธศาสตร์ยุทธวิธีแยกสลายหรือป้องกันการร่วม มือกันของฝ่ายตรงข้าม เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายในการตีให้แตกที่ละส่วน ที่คำาโบราณจีน เคยกล่าวไว้ ว่า “ญาติไกลมิสู้มิตรใกล้” นันตรงกันข้ามกับกลยุทธ์นี้ แท้ที่จริงแล้ว ใน ้ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน ความขัดแย้งกับประเทศไกลมักจะเกิดน้อย กับ ประเทศใกล้กับจะมากว่า เพราะอาจจะมีการกระทบกระทั้งกันในเรื่องผลประโยชน์และ อื่นๆอีกนานาประการ กลยุทธ์นี้จึงเป็นหลักปรัชญาในการแสวงหาประโยชน์พร้อมทั้ง ป้องกันตัวไปด้วยในขณะเดียวกัน สุดแต่ผู้ใดจักใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตน” กลยุทธ์ที่ 24 ยืมทางพรางกล กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ประเทศเล็กที่อยู่ในระหว่าง 2 ประเทศใหญ่ เมื่อถูกข้าศึกบังคับให้สยบอยู่ใต้อำานาจ เราพึงให้ความช่วยเหลือโดยพลัน เพื่อให้ ประเทศที่ถูกข่มเหงเชื่อถือ ต่อประเทศที่ตกอยู่ในความยากลำาบาก การช่วยเหลือแต่ เพียงทางวาจา มิได้มีการกระทำาที่เป็นจริง ย่อมจะได้รับความไว้วางใจจากผู้ที่รอดความ ช่วยเหลือ “ทุกข์ จักมิเชื่อเพียงวาจา” มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ทุกข์” ความเต็มว่า “เมื่ออยู่ใน
  • 10. ทุกข์ จักไม่เชื่อใครโดยง่าย จึงมิเชื่อเพียงวาจา” อันนับเป็นกลยุทธ์ในการหลอกยืมทาง ผ่าน เพื่อบรรลุการให้ยึดครองอีกฝ่ายที่เราประสงค์อย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “ ปัญหาของกลยุทธ์นี้อยู่ที่คำาว่า “ยืมทาง” ถ้ายืมทางได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็สำาเร็จ เพราะ ฉะนัน ผู้ที่ใช้กลยุทธ์ยืมทาง จักอ้างเหตุผลในการยืมทางให้ดี เพื่อปกปิดจุดประสงค์ ้ ที่แท้จริงของตน ความจริงคำาว่า “ศัตรูบังคับให้(อีกฝ่ายหนึ่ง)สยบ เราพึงแสดงท่าที” นัน ้ ก็คือฉวยโอกาสที่ “อีกฝ่ายหนึ่ง” เพลี่ยงพลำ้า เรายืมมือเข้าไปช่วย แล้วเอาประโยชน์จาก นี้ อันที่จริงการกระทำาดังนี้ เป็นพฤติการณ์ที่ไร้คุณธรรมอย่ายิ่ง แต่ในสงครามหรือการต่อ สูงใดๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเรามักจะเป็นปรากฏการณ์เช่นนี้อยู่ทั่วไปในชีวิตจริง เพราะเหตุว่า แต่ละฝ่ายย่อมจะเริ่มต้นจากผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ หาก ปราศจากเสียซึ่งการร่วมมืออันถาวร ก็จักไม่มีการช่วยเหลือที่แท้จริง มิตรและศัตรู คำามัน ่ สัญญากับการปฏิบัติจึงพึงจำาแนกให้ชัด พิจารณาให้ถ่องแท้ มิฉะนั้นแล้ว หากเห็นแก่ได้ ถ่อยเดียวก็จักสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั้งชีวิตตน” กลยุทธ์ร่วมรบ กลยุทธ์ที่ 25 ลักขื่อเปลี่ยนเสา กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ต่อกำาลังที่ร่วมรบด้วยข้าศึกกับเราหรือต่อ ข้าศึกจักต้องหาทางเปลี่ยนแปลงแนวรบฝ่ายนั้นอยู่เสมอ ถอดถอนเคลื่อย้ายกำาลังสำาคัญ ของฝ่ายนั้นไป รอให้ฝ่ายนันอ่อนแอต้องประสบกับความพ่ายแพ้จึงฉวยโอกาสแปรกำาลัง ้ ฝ่ายนั้น ให้กลายมาเป็นของเรา แล้วควบคุมกำาลังของฝ่ายนั้นไว้ใต้การบัญชา “หยุดซึ่ง กงล้อ” มาจาก “คัมภีร์อี่จิง มิทัน” อันหมายความว่ารถคันหนึ่งนันสำาคัญที่ล้อ ถ้าหยุดล้อ ้ ได้ก็สามารถบังคับให้เคลื่อนที่ไปตามความประสงค์ของเรา อันเป็นกลยุทธ์กลืนกำาลัง ของพันธมิตรหรืสลายกำาลังของข้าศึกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “กลยุทธ์นี้มีความ หมาย 2 นัย หนึ่งหมายถึงการหาทางสับเปลี่ยนกำาลังหลักของพันธมิตรชั่วคราวที่เป็นศัตรู โดยเนื้อแท้ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการทำาลายหรือกลืนกินพันธมิตรนั้นเสีย ซึ่งในสมัย ศักดินาโบราณ มักจะชอบกระทำากันเป็นนิจ โดยมิได้คำานึงสัจวาจาหรือศิลธรรมแต่ ประการใด อีกนัยหนึ่งหมายถึงเป็นกลยุทธ์ในการโยกย้ายกำาลังหลักของฝ่ายข้าศึก โดย ใช้กลลวงต่างๆนานา ทำาให้ข้าศึกต้องเปลี่ยนแนวรบหรือเคลื่อนย้ายกำาลังไปตามความ ประสงค์ของเรา ครั้งแล้วจึงเข้าตีจุดอ่อนข้าศึก เพื่อให้ได้รับชัยชนะ ดังนั้น ผู้บัญชาการที ชาญฉลาดจึงมิใช้แต่จะสันทัดในการใช้กำาลังพลของฝ่ายตนเท่านั้น หากยังต้องสันทัด ในการเคลื่อนย้ายหรือกระจายกำาลังของฝ่ายข้าศึกด้วยกลยุทธ์ ให้เกิดประโยชน์แก่ตน อีกด้วย” กลยุทธ์ที่ 26 ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อผู้ที่เข้มแข็งกว่าหรือรัฐใหญ่รังแกผู้ที่ อ่อนแอหรือรัฐเล็กแล้ว ก็ควรจะใช้วิธีการตักเตือนให้เกรงกลัว ถ้าแม้นเราแสดงความเข้ม แข็งให้ประจักษ์ ก็จักได้รับการสนับสนุนจากผู้อ่อนแอ ถ้าเรากล้าใช้ความรุนแรง ก็จักเป็น ที่ยอมรับนับถือแก่ผู้อ่อนแอ “แกร่งจึงต้อนรับ เสี่ยงจึงยอมสยบ” เดิมาจาก “คัมภีร์อี้จิง แม้ทัพ” ความเต็มว่า "แกร่งจึงต้อนรับ เสี่ยงจึงยอมสยบ นี้คือหนทางปกครองแผ่นดิน ราษฎรจึงขึ้นต่อ” ความหมายของ "ชี้ตนหม่อนด่าต้นไหว" ตรงกับสุภาษิตไทยเราคำาว่า ้ “ตีวัวกระทบคราด” แต่เมื่อใช้ในการสัประยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางการทหารหรืออื่นๆ ก็เป็น กลยุทธ์ที่มีความหมายในทำานองสร้างเกียรติภูมิของตนขึ้นด้วยวิธี “ฆ่าไก่สอนลิง” เพื่อ ให้ฝ่ายอื่นที่อ่อนแอกว่าหรือผู้อยู่ใต้การบังคับบัญชายอมสยบด้วยอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้ สรุปได้ว่า “เพื่อที่จะดำาเนินตามแผนการที่ได้วางไว้ จักต้องใช้มาตรการเด็ดขาด จึงจะ
  • 11. สามารถได้รับผลตามที่ได้กำาหนด แต่ความเด็ดขาดนั้น ใช้ว่าจะต้องอาศัยกำาลังความ รุนแรงเสมอไป อาจดำาเนินด้วยวิธีการหนึ่งใด ที่ทำาให้ฝ่ายตรงข้างตระหนักในเจตนา ยอมสยบแต่โดยดี เพราะจนปัญญาที่จะต่อตีด้วยเรา นันเอง”้ กลยุทธ์ที่ 27 แสร้าทำาบอแต่ไม่บ้า กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ยอมแสร้งทำาเป็นโง่ มิเคลื่อนไหว อย่าทำา เป็นสู่รู้ทำาบู่มบ่าม คำาว่า “ดุจดั่งอสนีบาตหยุดฟาดฟัน” เก็บความมาจาก “คัมภีร์อี้จิง หยุด” ความว่า “อสนีบาตฤดูหนาวแฝงกายอยู่ใต้พื้นพสุธา จักแผดร้องก้องนภาคราฤดู ใบไม้ผลิ” ซึ่งความหมายว่า ผู้ที่มีสติปัญญามิพึงแสดงตัว แต่พึงเตรียมการทั้งปวงอย่าง ลับๆ ประหนึ่งคมดาบอยู่ในฝัก มิปรากฏให้เห็น ครั้งเมื่อถึงกาลอันควร ก็จักคำารนคำาราม เหมือนสายฟ้า ที่จะกระหนำ่าพสุธาให้แตกสลายไปฉะนั้น นีนับเป็นกลยุทธ์หลอกลวง ้ มึนชาข้าศึก แสดงความบ้าใบ้ทางภายนอก แต่ตนตัวโดยตลอดอยู่ภายใน ดำาเนินการ ื่ อย่างลับและพลิกแพลงเพื่อเอาชนะข้าศึกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีส่วนละม้ายคล้ายกับ สำานวนไทยเราที่ว่า "หน้าไหว้หลังหลอก" หรือ "ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก" ในบางแง่ บางมุม กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “ยามเมื่อสถานการณ์ไม่เป็นผลดี ควรจะสะกดกลั้นตัวเองไว้ แสร้งทำาเป็นโง่เง่า อวดฉลาดยิ่งจะไม่เป็นผลดีแก่ตน นี้เป็นวิธีรู้รักษาตัวรอดอย่างหนึ่งใน ยามปั่นป่วน คนฉลาดมักจะใช้วธีการนี้ป้องกันตัวและวางแผนเอาชนะศัตรู คนที่ดูโง่เขลา ิ นั้น โดยภายนอกก็อาจจะเห็นเป็นเต่าตุ่น แต่ที่แท้แล้วภายในนันคมกริบ รู้เขารู้เรา พึง ้ ถอยก็รู้จักถอย มิดันทุรังรุกไปโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ดังนันจึงสามารถที่จะเป็นฝ่ายริเริ่ม ้ กระทำาในการทั้งปวง เพราะเข้าใจในเหตุการณ์อย่างรู้แจ้งแทงตลอด และรอจังหวะที่จะ บุกกระหนำ่ามิยอมให้ศัตรูตั้งตัวติดตลอดเวลา กลยุทธ์นี้มักจะพบเห็นบ่อยๆ โดยทั่วไป ผู้ ใดใช้เป็นด้วยความสันทัดจัดเจน ผู้นั้นย่อมจะได้รับผลสำาเร็จ และเป็นผู้ทีน่ากลัวสำาหรับ ฝ่ายตรงข้ามที่มิรู้แจ้งในกล” กลยุทธ์ที่ 28 ขึ้นบ้านชักบันได กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จงใจเปิดจุดอ่อนให้ข้าศึกเห็น สร้างเงื่อนไข และล่อหลอกให้ข้าศึกเข้าตี ครั้นแล้วตัดขาดส่วนหน้าที่คอยสมทบ และส่วนหลังที่เป็น กำาลังหนุน บีบให้ข้าศึกเข้าไปในปากถุงที่เปิดอ้าไว้รับหรือในวงล้อมหลุมพรางที่วางดัก ไว้ “เจอพิษ มิควรที่” มีใน “คัมภีร์อี้จิง ขบ” เปรียบประดุจเคี้ยวกระดูกหรือเนื้อเหนี่ยว รัง แต่จะทำาให้ฟันชำารุดเสียหาย หรือเหมือนดั่งมักได้ในสิ่งที่มิควรได้ ย่อมจักนำามาซึ่งความ วิบัติฉะนัน “ขึ้นบ้านชักบันได” มีความหมายอย่างเดียวกันกับ “ข้ามคลองรื้อสะพาน” นี้ ้ คือกลยุทธ์ที่ใช้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ล่อลอกให้ข้าศึกพินาศไปทั้งกองทัพอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้สรุปได้ว่า “ขึ้นบ้านชัดบันได” มีความหมายค่อยข้างกว้าง หนึ่งในนั้นก็คือใช้ผล ประโยชน์เล็กน้อย ล่อให้ข้าศึกเข้าปิ้ง แล้วทำาลายเสียให้สิ้น ซึ่งก็หมายความว่าเมื่อ ข้าศึกบุกเข้าในอาณาเขตของเรา เราจงใจจะเปิดทางตันให้กับเขา เมื่อข้าศึกหลงกลตก อยู่ในวงล้อม ก็จะตื่นตระหนกเดินไปตามหนทางที่เราเปิดไว้ให้ เมื่อเราตัดทางรุกและ ทางถอย ข้าศึกก็จนด้วยเกล้า ถ้าไม่ยอมจำานน ก็เหลืออยู่แต่ทางตายถ่ายเดียว ใน กลยุทธ์นี้ ที่สำาคัญคือ “บันได้” จงใจให้ข้าศึกเห็นจุดอ่อนและมุ่งมั่นจะใช้จุดอ่อนให้เป็น ประโยชน์แต่ตน นี้ก็คือ “บันได” ถ้าไม่มี “บันได้” ดังกล่าว กลยุทธ์นี้ก็ยากที่จะได้รับผล” กลยุทธ์ที่ 29 ต้นไม้ผลิดอก กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ใช้แนวรบของมิตรมาสร้างแนวรบที่เป็น ประโยชน์แต่เราขึ้น แม้กำาลังจะน้อย แต่ก็สามารถทำาให้ดูเหมือนใหญ่โต ดุจเดียวกับนก