More Related Content
Similar to ศัลยกรรม1 (13)
ศัลยกรรม1
- 12. หลังการทำศัลยกรรมตาและการดูแลตนเอง หลังทำศัลยกรรมตา ท่านอาจมีอาการเจ็บบ้างเล็กน้อย อาจมีอาการตึงและระคายตาใน 24-48 ชม. แรก ควรประคบบริเวณแผลผ่าตัดด้วยน้ำแข็ง หลังจากนั้นจึงประคบต่อด้วยน้ำอุ่น อาการบวมต่างๆ จะเริ่มยุบลง อาการเขียวคล้ำรอบตาในบางคนจะเริ่มหายไป ถ้าเป็นการผ่าตัดที่ทำที่เปลือกตาด้านนอก แพทย์จะนัดตัดไหมประมาณ 5-7 วัน หลังจากการผ่าตัด ชั้นตาจะเริ่มเข้าที่ประมาณ 1-3 เดือน ขึ้นอยู่กับการผ่าตัดทำมากน้อยเพียงใด อาจมีตาพร่ามัวบ้าง หรือ ในบางรายเมื่อกระพริบตาจะรู้สึกตึง แต่อาการทุกอย่างจะเริ่มเข้าที่หลัง 2-4 สัปดาห์ งดเว้นการออกกำลังกายสักระยะหนึ่ง อีกทั้งงดเว้นการดื่ม alcohol ซึ่งจะทำให้มีน้ำคั่งที่บริเวณแผล และทำให้ชั้นตายุบบวมช้าลง
- 13. สิ่งที่ควรรู้ในการทำศัลยกรรม 1.การทำตาบนตาล่าง ไม่สามารถขจัดรอยดำคล้ำของบริเวณรอบตาได้ 2.ไม่สามารถขจัดริ้วรอยเล็กๆที่อยู่บนผิวรอบตาได้ 3.ในบางรายควรร่วมกับการดึงขมับ (forehead lift) หรือการดึงหน้า (facelift) 4.ความเข้าใจที่ว่าการทำศัลยกรรมตาบนและตาล่างจะช่วยลดริ้วรอยตีนกา (crow's feet) ด้านข้างตาได้นั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด ศัลยกรรมตาบน-ตาล่างอาจช่วยลดริ้วรอยตีนกาได้บ้าง แต่ริ้วรอยที่เกิดที่หางตานั้น เกิดจากการหดตัว (action) ของกล้ามเนื้อข้างตา
- 16. เสริมจมูกมี 2 วิธี ผ่าตัดและไม่ผ่าตัด แต่วิธีที่ได้รับการยอมรับและทำกันมานานได้แก่การผ่าตัดเสริมด้วยเนื้อเยื่อ หรือวัสดุบางชนิดเข้าไป อาทิเช่น กระดูกอ่อน,แผ่นหนัง,ไขมัน หรือ แท่งซิลิโคน เป็นต้น
- 19. ขั้นตอนการผ่าตัด แพทย์จะให้ยานอนหลับที่มีฤทธิ์สั้นๆ ทั้งนี้เพื่อให้คุณนอนหลับลดความวิตก ในส่วนของการเสริมจมูกแพทย์จะนำแท่งซิลิโคนซึ่งได้ตกแต่งและทำ รูปร่างให้เรียบร้อยตามที่กำหนดไว้มาใส่ที่สันจมูก โดยแผลที่ผ่าตัดจะมี ความยาวประมาณ 1 ซม. บริเวณขอบรูจมูกอาจจะเป็นข้างเดียว หรือสองข้างก็ได้ตามแต่ความถนัดของแพทย์ จากนั้นจะมีการผ่าตัดสร้างช่องว่าง (Pocket) ที่สันจมูกใต้เยื่อหุ้มกระดูกจมูกให้สามารถใส่แท่งซิลิโคนที่เตรียมไว้ได้ เมื่อใส่เข้าไปก็ตรวจสอบความเรียบร้อย เย็บปิดแผลประมาณ 3 เข็ม ปิดพลาสเตอร์ หรือเฝือกจมูกเพื่อช่วยป้องกันตัวจมูกและลดอาการบวมเป็นอันเรียบร้อย
- 22. ขั้นตอนการผ่าตัดทั้งหมด (ต่อ) ให้มาพบแพทย์หลังการผ่าตัดประมาณ 1 - 2 อาทิตย์ ตามที่แพทย์นัดโดยทั่วไปจมูกจะยุบบวมและเข้าที่ประมาณ 1 เดือน ดังนั้นคุณต้องระมัดระวังพอสมควรเรื่องการโดนกระแทก และควรอยู่ห่างเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยงไว้ เพราะต้องรอเวลาเพื่อให้แท่งซิลิโคนถูกเนื้อจมูกห่อหุ้มให้แน่นมากๆ ก่อน (ประมาณ 1-3 เดือน) จึงจะสามารถทนแรงกระทบได้มาก แล้วคุณสามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติ พร้อมกับมีจมูกที่โด่งสวยและมีปีกจมูกที่เหมาะสมกลมกลืนกับใบหน้าอีกด้วย
- 24. วิธีการดูแลหลังการเสริมจมูกและตัดปีกจมูก ประคบผ้าเย็นประมาณ 24-48 ชม. หลังจากนั้นถ้ามีรอยฟกช้ำให้ใช้น้ำอุ่นประคบสลับกับน้ำเย็น นอนศีรษะสูง หนุนหมอนประมาณ 2-3 ใบ จมูกจะบวมประมาณ 2-3 วัน ในวันที่ 4 ก็จะเริ่มยุบ ทานอาหารตามปกติ ยกเว้นอาหารรสจัด และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และบุหรี่ ในช่วง 2 อาทิตย์แรก พลาสเตอร์ที่ปิดแผลไว้ สามารถแกะออกได้ในวันที่ 3 รับประทานยาตามแพทย์สั่ง
- 25. ข้อจำกัดของการผ่าตัด การผ่าตัดจะเพื่อความงามหรือแก้ไขความพิการไม่สามารถแก้ได้ 100 % ซึ่งขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่าง ท่านจะต้องปรึกษาแพทย์ถึงข้อจำกัดดังกล่าว คุณไม่สามารถเลือกรูปร่าง หรือขนาดของจมูกจากหนังสือ เนื่องจากลักษณะใบหน้าหรือส่วนประกอบของใบหน้าไม่เหมือนกัน จมูกแต่ละแบบก็เหมาะสำหรับใบหน้าแต่ละแบบ การผ่าตัดจมูกเป็นการแก้ไขความไม่สมดุล มิใช่การแกะสลัก การผ่าตัดจมูกไม่สามารถผ่าตัดนำเนื้อเยื่อออกมากเกินไป เพราะจะทำให้จมูกไม่คงรูป ผิวหนังบริเวณจมูกก็ไม่สามารถตัดทิ้งมากได้เหมาะจะทำให้เกิดการดึงรั้ง ลักษณะผิวหนัง อายุ และความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับจมูก จะเป็นข้อจำกัดของการผ่าตัด
- 26. ศัลยกรรมปาก ริมฝีปากเป็นส่วนที่บอบบางมากหากได้รับการทำตกแต่งให้เรียวเล็กแล้วก็จำเป็นควบคุมตัวเองในด้านโภชนาการ อาหารการกินต่างๆ ถ้าหากไม่มีการจำกัดแล้วก็จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคและผลข้างเคียง อีกทั้งยังเป็นส่วนที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ร้างกายได้ง่ายอีกทางหนึ่งได้เช่นกัน
- 29. เสริมริมฝีปากอูม เสริมรอยยิ้มสวย ศัลยแพทย์จะกรีดผิวหนังบนริมฝีปากส่วนที่เป็นสีชมพู เพื่อสอดไขมันหรือคอลาเจนเข้าไปตลอดตามแนวยาวของริมฝีปาก โดยบาดแผลที่เกิดขึ้นจะอยู่บนริมฝีปากส่วนที่เป็นสีชมพู จึงทำให้มองไม่เห็นบาดแผลเมื่อหายแล้ว ผลข้างเคียงหลังผ่าตัด จะมีอาการบวม และจะค่อย ๆ บรรเทาลง ควรประคบถุงน้ำแข็ง เพื่อช่วยลดอาการบวมของริมฝีปาก ทำความสะอาดบาดแผลด้วย ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เพื่อฆ่าเชื้อโรค หลีกเลี่ยงการยิ้มหรือพูดคุย มาก ๆ และดื่มน้ำโดยใช้หลอดดูด งดรับประทานอาหารที่ร้อนหรือเย็นจัด จนกว่าบาดแผลจะหายดี อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเลือดออก หรือแผลติดเชื้อ ให้รีบไปพบศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดทันที
- 32. เทคนิคการผ่าตัด 1. การเสริมกระดูกคาง - ใช้การตัดเลื่อนกระดูก หรือเสริมด้วยคางเทียม 2. การลดขนาดกระดูกคาง - ใช้การตัดเลื่อนกระดูกเท่านั้น ไม่แนะนำให้ เหลากระดูกให้เล็กลง เพราะมีข้อเสียหลายอย่าง เช่น เป็นไปได้ยากที่จะเหลากระดูก ได้รูปร่างปกติแต่ขนาดเล็กลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องการลดขนาดอย่างมาก เป็นต้น 3. การเปลี่ยนรูปร่างกระดูกคาง โดยไม่เปลี่ยนขนาด - ตัวอย่างเช่น กรณีที่คางไม่ อยู่ในตำแหน่งกลางอย่างปกติ ทำให้เห็นได้ว่า คางเบี้ยว พบได้น้อยในคนปกติ ส่วนใหญ่จะเกิดจากกระดูกกรามล่างหักมากกว่า การรักษาที่แนะนำให้ใช้การตัดเลื่อน กระดูก
- 34. ไม่เกิน 1 ชั่วโมง สำหรับการใส่คางเทียม กระดูกกรามล่าง คางคือกระดูกส่วนปลายสุดของกรามล่าง
- 36. แล้วเลื่อนกระดูกคางที่ถูกตัดออกมา ไปยึด ณ ตำแหน่งที่ต้องการ เช่น วาง เลื่อนออกไปทางด้านหน้า (เพื่อให้คางยื่น) เลื่อนไปทางด้านหลัง (เพื่อให้คางหดเล็กลง) หรือสอดชิ้นกระดูกที่ได้นำมาจากส่วนอื่นของร่างกาย (bone graft) เข้าไปคั่น (เพื่อให้คางยาวขึ้น)
- 37. ส่วนการยึดกระดูก ปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้แผ่นและสกรูที่ทำด้วย ไททาเนียม (titanium plate and screw) ซึ่งให้ความแข็งแรงสูง ปฏิกิริยาจากร่างกายต่ำมาก ปลอดภัยสูง หรืออาจจะใช้แผ่นและสกรูที่ทำด้วยวัสดุละลายได้ (resorbalbe plate and screw) แต่ยังมีราคาสูงกว่าแบบโลหะมาก หมายเหตุ - วิธีที่แสดงเป็นแบบพื้นฐานง่ายๆ ในทางปฏิบัติ มีการ ปรับปรุงพัฒนาเทคนิคในรายละเอียดมาก และอาจไม่เป็นดังรูปที่เห็น
- 38. การเสริมด้วยคางเทียม ข้อพิจารณาในการเลือกคางเทียม 1. ปฏิกิริยาต่อต้านจากร่างกาย - ต้องน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 2. รูพรุนในเนื้อวัสดุ - สำหรับให้เนื้อเยื่อร่างกายงอกแทรกเข้าไป จะได้ยึดคาง เทียมไว้ แต่อาจมีโอกาสติดเชื้อสูงขึ้น และยามที่ต้องผ่าตัดเพื่อเอาออกก็จะยากขึ้น 3. ความแข็ง - บางชนิดแข็งมาก บางชนิดนิ่มมาก ข้อนี้สำคัญ ทำแล้วคางจะ แข็งหรือนิ่ม 4. รูปร่าง - แบบเดิมจะเป็นชนิดกลมนูน (central chin implant) แต่พบปัญหาจึง ออกแบบให้ยื่นยาวไปทางด้านข้าง ทำให้มีพื้นที่สัมผัสกับกระดูกกรามล่างมากขึ้น ขอบก็ เรียบกลมกลืนไปกับกระดูกปกติ เรียกว่า anatomical extended chin implant ซึ่งเป็นที่ นิยมสูงสุดในต่างประเทศ 5. ขนาด - มีหลักการว่า ยิ่งต้องการให้คางใหม่ยื่นไปมากเท่าใด คางเทียมที่ใช้ ต้องมีความกว้างมากขึ้นเท่านั้น
- 39. ข้อเสีย-ข้อดีของการใส่คางเทียม เป็นเช่นเดียวกับการใส่วัสดุแปลกปลอมอื่นๆเข้าสู่ร่างกาย แต่มีบางกรณีที่ ไม่แนะนำให้ใช้คางเทียมเป็นอย่างยิ่ง คือ 1. ต้องการเพิ่มขนาดคางอย่างมาก เช่น มากกว่า 4-5 มม. เพราะจะต้องใส่คาง เทียมขนาดใหญ่มาก ซึ่งจะมีภาวะแทรกซ้อนสูงขึ้นมาก 2. ปัญหาอยู่ที่รูปร่างคาง ไม่ใช่ขนาด การใส่คางเทียมอาจจะทำให้รูปร่าง กลับมาดี แต่จะสร้างปัญหาใหม่จากการที่คางยาวขึ้น ยื่นมากขึ้น 3. กระดูกคางยาว หรือใหญ่เกินไป คางเทียมย่อมไม่สามารถแก้ปัญหาได้ คางเทียมจะถูกวางไว้ที่ด้านหน้า ณ ตำแหน่งล่างสุดของกรามล่าง ซึ่งกระดูกหนาแข็งแรง และเพื่อหลีกเลี่ยงรากฟัน
- 40. ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ถ้าเป็นการใส่คางเทียม ปัญหาหลักคือ การใส่สิ่งแปลกปลอมเข้าไปใน ร่างกาย ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นกับปัจจัย 2 ประการ - ประสบการณ์ของศัลยแพทย์ - คุณสมบัติของคางเทียมที่ใช้ แต่ถ้าเป็นการตัดเลื่อนกระดูก ปัญหาขึ้นกับศัลยแพทย์เป็นหลักว่า มี ความรู้ ได้รับการฝึกฝน และมีประสบการณ์ในการทำมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า การใส่คางเทียม นอกจากต้องอาศัยฝีมือแพทย์ แล้วยังมีสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้คือ ปฏิกิริยาของร่างกายต่อสิ่งแปลกปลอม เช่น
- 41. - การติดเชื้อ: อยู่ที่ 5-7% ด้วยฝีมือผู้ที่ชำนาญมาก - กระดูกบางลงจากการถูกคางเทียมกดทับ: เกิดขึ้นทุกราย เพียงแต่จะ มากหรือน้อย และขึ้นกับชนิดของคางเทียม ถ้าเป็นชนิดมีรูพรุนโอกาสกระดูก บางลงน้อยกว่า ถ้าเป็นวัสดุแข็งการกดทับกระดูกมากกว่า - การเลื่อนที่: เมื่อเราใส่คางเทียมและคลุมเนื้อเยื่อกลับเข้าที่ เนื้อเยื่อที่ คลุมบวกกับปฏิกิริยาหดรัดตามธรรมชาติเพื่อไล่สิ่งแปลกปลอมก็จะเป็นตัวทำให้ คางเทียมเลื่อนที่ได้ นอกเหนือจากนี้ ปัญหาจะคล้ายๆกัน คือ มีปัญหาทั่วไปที่เกิดขึ้นกับการ ผ่าตัดทุกชนิด กับปัญหาเฉพาะ ได้แก่
- 42. การเลาะบริเวณคาง จะทำให้เกิดอาการชาชั่วคราวที่คาง ริมฝีปาก ฟันล่างด้านหน้า ความรู้สึกจะกลับคืนมา โดยอาจใช้เวลานานถึง 6-12 เดือน ชาถาวรบริเวณคาง ริมฝีปาก ฟันล่างด้านหน้า อาจจะมีอาการ แปลกๆร่วมด้วย เช่น ปวดแปล๊บ ชายิบๆ ความรู้สึกอาจจะกลับคืนมาบ้าง แต่ จะไม่ทั้งหมด โอกาสจะพบปัญหานี้ได้บ่อยกว่าถ้าใช้วิธีตัดเลื่อนกระดูก คางแม่มดหรือคางห้อย (witches' chin) คือเป็นผลจากการเลาะ เนื้อเยื่อออกจากกระดูกคาง แล้วไม่ซ่อมกลับให้เข้าที่ ทำให้เนื้อเยื่อส่วนนั้นไร้ ที่ยึดเกาะ ห้อยย้อย เป็นเรื่องของเทคนิคการผ่าตัด เห็นรอยต่อระหว่างคางใหม่กับกระดูกกรามล่าง ในกรณีที่เสริมคาง โดยไม่ว่าจะใช้วิธีใด มีโอกาสที่จะเห็นคางใหม่นูนเด่นออกจากกรามล่าง เทคนิคที่ดีไม่ควรปล่อยให้เห็นรอยต่อชัดเจนมากเกินไป
- 43. ดูแลหลังทำ หลังผ่าตัด สิ่งที่ตามมาแน่นอนหลังทำ คือ อาการบวม ปวด ชา ที่คางและ บริเวณรอบๆ แต่ทั้งหมดนี้เป็นอาการชั่วคราว แนะนำให้ - นอนยกศีรษะสูงให้มากที่สุด - ถ้าแผลอยู่ในช่องปาก ต้องรักษาความสะอาดในช่องปากอย่างดี หมั่นบ้วนปากด้วยน้ำสะอาด ทุก 2-3 ชั่วโมงและทุกครั้งหลังอาหาร ไม่ จำเป็นต้องใช้ยาบ้วนปากชนิดแรงจัด - ใช้ความเย็นประคบ - ทานแต่ยาที่แพทย์สั่งให้
- 52. การทำศัลยกรรมต้นขา รูปภาพตัวอย่าง สะโพกและต้นขา กรรมวิธีที่ใช้ในการทำให้อวัยวะเหล่านี้ กระชับขึ้น คือ โพลิแซกชั่น (liposaction) ซึ่งจากความเห็น ของ นายคาร์ลิดิช ศัลยแพทย์ ได้ให้ความเห็นว่า ส่วนมากคนไข้ ที่มาทำการรักษาด้วยวิธีการโพลิแซกชั่นนั้น มักไม่เห็นอายุต่ำกว่า 30 ปี เท่าใดนั้น แต่หากจะว่าไปแล้ว การออกกำลังกายควบคุม อาหารเป็นสิ่งที่ดีในการทำให้สะโพกและต้นขามีความกระชับได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องทำโพลิแซกชั่น ให้ยุ่งยากเลย ก่อนทำ หลังทำ ใช้เวลาทำ : ประมาณ 1-4 ชม ขึ้นกับปริมาณไขมันที่ต้องการดูดออก สถานบริการ : ทำที่คลินิก ถ้าต้องดมยาทำที่โรงพยาบาล
- 53. การดูดไขมัน (Liposuction Surgery) ยาที่ใช้ : ยาชาเฉพาะที่ ถ้าทำตำแหน่งเดียว เช่น หน้าท้อง หรือกระเปาะ ด้านข้างต้นขา ถ้าหากทำพร้อมกันหลายตำแหน่งหรือปริมาณไขมัน ที่เอาออกมาก ก็ใช้การดมยา การเตรียมตัวก่อนทำ : การดูดไขมัน เป็นการเกลารูปร่าง ถ้ามีรูปร่างอ้วนมากและมีความต้องการจะลดน้ำหนักอยู่แล้ว ควรรอจนน้ำหนักใกล้เคียงหรือเข้าที่ และพิจารณาดูดไขมันในส่วนที่ไม่สมดุลกับรูปร่างส่วนอื่น การลดน้ำหนักโดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายก่อนดูดไขมันมีผลดีต่อผลหลังการดูดไขมันหากใช้ยาชาเฉพาะที่ ไม่มีการเตรียมตัวอื่นเป็นพิเศษ ไม่ต้องอดอาหาร ควรรับประทานอาหารให้ไม่อิ่มเกินไปหากต้องดมยา จะได้ตรวจเช็คร่างกายทั้งระบบเลือด ปอด และ หัวใจ ว่ามีความแข็งแรง พร้อมที่จะดมยา เพื่อความความปลอดภัยในการดมยา และต้อง งดอาหารและน้ำ 6 ชั่วโมงก่อนดมยา ...
- 54. การดูดไขมัน (Liposuction Surgery) วิธีการผ่าตัด : การดูดไขมัน แพทย์จะทำเครื่องหมายบนร่างกายในตำแหน่งที่ ต้องการ เพื่อกะจำนวนไขมันที่ต้องเอาออกรวมถึงตำแหน่งที่ต้องแก้ไข เพื่อให้ได้ทรวดทรงที่ต้องการและฉีดยาชาที่ได้เตรียมขึ้น (เพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น นานขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดไขมัน และช่วยลดปริมาณเลือดที่ออก) ในบริเวณที่จะดูดไขมัน แพทย์จะทำการดูดไขมันผ่านแผลเล็กๆ ขนาดครึ่งเซนติเมตร และแผลจะซ่อนตามซอกรอยพับของร่างการ เช่นในซอกขาหนีบหรือหลุมสะดือ การดูดไขมันจะใช้เครื่องมือขนาดแตกต่างกัน ดูดไขมันในแต่ละระดับ และสิ้นสุดที่เป็นการดูดปรับละเอียดในระดับตื้นใกล้ผิว เพื่อลดปัญหาผิวเป็นคลื่นไม่สม่ำเสมอ เมื่อได้ทรวดทรงที่ต้องการแล้ว จากนั้นก็ถึงขั้นตอนการเย็บปิดแผลให้เรียบร้อยที่สุดโดยเย็บเพียง 1-2 เข็มต่อจุด เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
- 55. การดูดไขมัน (Liposuction Surgery) แผลผ่าตัด: แผลเป็นเส้นตรงเล็กๆขนาดไม่เกิน 8 มิลลิเมตร ซ่อนอยู่ใน รอยพับตามธรรมชาติ เช่น รอยพับขาหนีบ รอยขาพับบริเวณเข่าใน หลุมของสะดือ โดยมีประมาณ 1-2 แผล ต่อหนึ่งตำแหน่งที่ดูดไขมัน ตัดไหมเมื่อครบ 7 วัน ช่วงพักฟื้น : หากใช้ยาชาเฉพาะที่ หลังทำสามารถทำงานได้ทันทีหากใช้การดมยา จะต้องพัก โรงพยาบาล 1 วัน เพื่อการดูแลหลัง ดมยาอย่างเต็มที่ หลังจากฟื้นจากการดมยาดีแล้ว ก็สามารถกลับบ้านได้
- 56. การดูดไขมัน (Liposuction Surgery) การดูแลหลังทำ : เนื่องจากการ ดูดไขมัน นี้ มีบาดแผลเพียงเส้นเล็กๆ ประมาณ ครึ่งเซนติเมตร จึงสามารถทำตัวตามปกติ สามารถอาบน้ำโดนแผล ได้เลย แล้วซับให้แห้ง ควรใช้ผ้ายืดหรือชุดยืดเพื่อรัดบริเวณที่ดูดไขมันไว้ ตลอดเวลาโดยเฉพาะ 48 ชั่วโมงแรก(ยกเว้นตอนอาบน้ำ) เพื่อกดให้โพรงที่ เกิดจากการดูดไขมันออกไปยุบติดกัน จะได้หายได้เร็ว ลดอาการบวม เขียว และไม่มีน้ำเหลืองคั่งในโพรง และสามารถใส่ต่ออีก 2 สัปดาห์เพื่อให้ได้ผลดี ขึ้น สามารถทำงานปกติได้ แต่ควรงดการทำงานหรือออกกำลังกายที่รุนแรง ที่มีการขยับของบริเวณที่ทำมาก เพราะจะทำให้โพรงที่เกิดจากการดูดไขมัน ติดกันยาก
- 59. คุณสมบัติของผู้ที่เหมาะสมที่จะเปลี่ยนแปลงเพศจากชายเป็นหญิง มีดังนี้ 1. ผู้ผ่าตัดต้องมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ หรือถ้าอายุไม่ถึง 20 ปี ต้องให้ บิดา มารดา หรือผู้ปกครองที่ถูกต้องตามกฏหมายอนุญาตให้ผ่าตัดได้ 2. ต้องได้รับฮอร์โมนเพศหญิงติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 1 ปี 3. มีความรู้สึกเป็นผู้หญิงมานานแล้ว หรือตั้งแต่เริ่มจำความได้ 4. เคยใช้ชีวิตแบบผู้หญิงมาไม่น้อยกว่า 1 ปี 5. รู้สึกรังเกียจอวัยวะเพศของตนเอง คิดว่าเป็นส่วนเกิน 6. ได้ผ่านการประเมินสภาพจิตใจและได้รับใบรับรองจากจิตแพทย์ ว่าอยู่ ภาวะที่ปกติและเหมาะสมที่ทำการผ่าตัดแปลงเพศได้ 7. ต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์
- 60. ศัลยแพทย์ตกแต่งที่ทำการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง จะนำผิวหนัง เนื้อเยื่อ และเส้นประสาทที่รับความรู้สึกทางเพศของผู้เข้ารับการผ่าตัด มาตกแต่งให้เป็นอวัยวะเพศหญิงที่สมบูรณ์แบบ โดย 1. ทำให้มีอวัยวะเพศให้เหมือนผู้หญิงให้มากที่สุด2. ทำให้ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดได้รับช่องคลอดที่ลึกที่สุด เท่าที่ผิวหนังของ ผู้ป่วยจะทำได้3. เก็บรักษาเส้นประสาทความรู้สึกทางเพศมาเก็บไว้ที่ปุ่มรับความรู้สึก ทางเพศของผู้หญิง (clitoris) ให้ความรู่สึกทางเพศเหมือนปกติ4. ต้องทำการผ่าตัดและตกแต่ง ซ่อนแผลเป็นให้เห็นแผลเป็นให้มีโอกาส เห็นน้อยที่สุด
- 62. เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศ 1. มีการวางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์2. ทำการสร้างช่องคลอดใหม่อยู่ระหว่างทวารหนักกับท่อปัสสาวะ ลึกประมาณ 6-7 นิ้ว3. นำผิวหนังจากบริเวณองคชาตเดิมไปติดเป็นผนังช่องคลอดก็จะได้ช่องคลอดใหม่ เกิดขึ้น เหมือนผู้หญิง4. ตัดแกนองคชาตออกและเก็บเส้นประสาทรับความรู้สึกทางเพศเพื่อเตรียมทำปุ่มรับ ความรู้สึกทางเพศ (Clitoris)5. ตัดท่อปัสสาวะเพศชายให้สั้นลงแล้วตกแต่งให้สามารถปัสสาวะพุ่งลงเหมือนผู้หญิง ถ้าทำการผ่าตัดไม่ดี เวลานั่งปัสสาวะอาจจะพุ่งขึ้นมาได้6. ตกแต่งบริเวณภายนอกได้แก่ แคมนอก (Major Labia) แคมใน (Minor Labia) ท่อปัสสาวะและ ปุ่มรับความรู้สึกทางเพศ (Clitoris) ให้สวยงามเหมือนอวัยวะเพศ หญิงที่สมบรูณ์ และยังคงมีความรู้สึกทางเพศอยู่เหมือนเดิม
- 64. การผ่าตัดแปลงเพศสามารถแบ่งตามขั้นตอนการสร้างช่องคลอด (Vagina) ใหม่ และปุ่มความรู้สึกทางเพศ (Clitoris) ได้ 3 วิธีดังนี้ 1. SRS 1 (Penile skin inversion) เป็นการนำเอาผิวหนังขององคชาตสอดกลับเข้าไปตกแต่งทำเป็นช่องคลอด ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับการความนิยมกันอย่างแพร่หลาย ข้อดี คือ เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและไม่ซับซ้อน สำหรับแพทย์ผู้ที่มีความชำนาญและมี ประสบการณ์ จะใช้เวลาในการผ่าตัดแปลงเพศ โดยใช้เทคนิคนี้ ประมาณ 4 ชั่วโมง ข้อเสีย คือไม่เหมาะกับผู้ที่มีความยาวขององคชาตสั้นกว่า 4 นิ้ว เพราะจะทำให้ได้ช่องคลอดที่ไม่ลึก (โดยปกติแล้วความลึกของช่องคลอดเท่ากับความยาวของหนังที่หุ้มองคชาต ลบ 1 นิ้ว (เผื่อผิวหนังที่จะใช้ทำแคมใน )** เทคนิคนี้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 4 คืน
- 67. ข้อเสีย 1. อาจเกิดแผลเป็นยาวประมาณ 7 ซม. เหนือหัวเหน่าด้านซ้าย 2. การผ่าตัดมีความยุ่งยากซับซ้อนต้องมีการเตรียมการผ่าตัดเอา ส่วนของสำไส้ ใหญ่ ออกมาโดยต้องมีการสวนล้างลำไส้ใหญ่ ให้สะอาดก่อนผ่าตัด 1 วัน 3. ผู้ทำการผ่าตัดอาจจะมีอาการท้องอืด 2 – 3 วัน หลังการผ่าตัด
- 68. การดูแลหลังการผ่าตัด คนไข้จะต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ ร.พ. อย่างน้อย 4- 6 วัน เพื่อดูแลรักษาแผลในระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่ที่ ร.พ. นั้นคนไข้จะต้องปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้ 1. ให้คนไข้งดรับประทานอาหารที่มีกากและเครื่องดื่มจำพวกน้ำผลไม้ นม นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เพราะจะเกิดการกระตุ้นทำให้เกิดการขับถ่ายในช่วง 2 วันแรกหลังการผ่าตัด ซึ่งอาจจะทำให้แผลมีการปนเปื้อนอุจจาระได้ 2. 1-2 วันแรกหลังผ่าตัด คนไข้ควรนอนอยู่ในท่านอนหงาย ยกสะโพกให้ สูง และแยกขาทั้ง 2 ออกจากกันเล็กน้อย เพื่อช่วยลดอาการบวมได้ดีขึ้น 3. วันที่ 3 หลังการผ่าตัดสามารถนอนตะแคงได้
- 69. 4. วันที่ 4 หลังการผ่าตัดแพทย์ผู้ผ่าตัดจะทำการถอดสาย drain ออกและเปิดแผล ทำความสะอาดแผล และถอดสายสวนปัสสาวะออก ผู้ป่วยผ่าตัดแบบ SRS 1 สามารถ กลับบ้านได้ และกลับมาตัดไหมในวันที่ 7 อีกครั้งสำหรับผู้ที่ทำการผ่าตัดแบบ SRS 2 (ใช้ผิวหนังส่วนอื่นมาเพิ่มความลึกของช่องคลอด) หรือผู้ที่ผ่าตัดแบบ SRS 3 (ใช้ลำไส้มาตกแต่งเป็นช่องคลอด) แพทย์จะยังไม่ถอดสายสวนปัสสาวะออก และ คนไข้ต้องนอนอยู่บนเตียงต่อไปจนถึงวันที่ 6 5. คนที่ผ่าตัดแบบ SRS 3 จะงดน้ำและอาหารหลังการผ่าตัดจนกระทั่งมีอาการ ผายลมก่อน จึงจะเริ่มจิบน้ำและรับประทานอาหารเหลวได้ ถ้ารับประทานอาหารเร็ว เกินไป อาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืดและอาหารไม่ย่อยได้ ดังนั้นสำหรับผู้ที่ ผ่าตัดแบบ SRS 3 ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และพยาบาลอย่างเคร่งครัด
- 70. 6. วันที่ 6 คนที่ผ่าตัดแบบ SRS 2 หรือ SRS 3 จะถูกถอดสายสวนปัสสาวะ เปิด แผลทำความสะอาดแผลและกลับบ้านได้ 7. ผู้ผ่าตัด SRS 1, SRS2 , SRS3 กลับมาพบแพทย์เพื่อตัดไหมและขยายช่อง คลอดโดยใ Dilator ที่ทาง คลินิกจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อรักษาความกว้างและเพิ่มความ ลึกให้คงที่ควรหมั่นขยายช่องคลอดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ ครึ่งชั่วโมง 8. ผู้ผ่าตัดต้องทำความสะอาดแผลพร้อมกับขยายช่องคลอด ทุกวันอย่างน้อย วันละ 2 ครั้ง จนกว่าแผลภายนอกและในช่องคลอดจะหายสนิทดี 9. งดมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน 10. มาพบแพทย์ตามนัดทุก ๆ 1 สัปดาห์ หลังผ่าตัดจนครบ 1 เดือน เพื่อให้ผลการ ผ่าตัดที่ได้สมบูรณ์และสวยงามใกล้เคียงธรรมชาติ
- 71. ศัลยกรรมวิชามนุษย์กับการสร้างสรรค์ (Man and Creativity)จัดทำโดย 1.นางสาวสินีนาฎ เกิดทรัพย์ รหัสนักศึกษา 07520622 2.นางสาวกนกวรรณ ตุ้มสังข์ทอง รหัสนักศึกษา 08520002 3.นางสาวกนิษฐา โพธิ์วัน รหัสนักศึกษา 08520004 4.นางสาวจิตรดา จิตรีเชื้อ รหัสนักศึกษา 08520024 5.นางสาวดาริน ศรีภาชา รหัสนักศึกษา 08520056 6.นางสาวธันย์ชนก สินไชย รหัสนักศึกษา 08520073 7.นางสาววริษา ยางงาม รหัสนักศึกษา 08520150 8.นางสาวหทัยชนก คงอินทร์ รหัสนักศึกษา 08520195 9.นางสาวอัมพร ทิพยพรวรรักษ์ รหัสนักศึกษา 09521684 เสนอ อาจารย์ภัทรา โต๊ะบุรินทร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร