SlideShare a Scribd company logo
1 of 5
เตมีย์ชาดก-(พระเตมีย์ใบ้) 
พระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้ากาสิกราช ครองเมืองชื่อว่า พาราณสี มีพระมเหสี พระนามว่า จันทรเทวี 
พระราชาไม่มีพระราชโอรสที่จะครองเมืองต่อจากพระองค์ จึงโปรดให้ พระนางจันทรเทวีทาพิธีขอพระโอรสจากเทพเจ้า 
พระนางจันทรเทวีจึงทรงอธิษฐานว่า 
"ข้าพเจ้าได้รักษาศีล บริสุทธิ์ตลอดมา ขอให้บุญกุศลนีบั้นดาลให้ข้าพเจ้ามีโอรสเถิด" ด้วยอานุภาพแห่งศีลบริสุทธิ์ 
พระนางจันทรเทวีทรงครรภ์ และประสูติพระโอรสสมดังความปราถนา พระโอรส มีรูปโฉม งดงามยงิ่นัก ทัง้พระราชาพระมเหสี 
และประชาชนทัง้หลาย มคีวามยินดีเป็นที่สุด พระราชาจงึตัง้พระนามโอรสว่า เตมีย์ แปลว่า เป็นทยีิ่นดีของคนทัง้หลาย 
บรรดาพราหมณ์ผู้รู้วิชาทา นายลักษณะบุคคล ได้กราบทูล พระราชาว่า พระโอรสองค์นมีี้ลักษณะประเสริฐ เมื่อเติบโตขึน้ 
จะได้เป็นพระราชาธิราชของมหาทวีปทัง้สี่พระราชาทรงยินดี เป็นอย่างยิ่ง และทรงเลือกแม่นมที่มลีักษณะดเีลิศตามตา รา 
จานวน 64 คน เป็นผู้ปรนนิบัติเลีย้งดูพระเตมีย์กุมาร วันหนงึ่ พระราชาทรงอุ้มพระเตมีย์ไว้บนตัก ขณะที่กาลัง 
พิพากษาโทษผู้ร้าย 4 คน พระราชาตรัสสงั่ให้เอาหวาย ที่มีหนามแหลมคมมาเฆยี่นผู้ร้ายคนหนงึ่ แล้วส่งไปขังคุก 
ให้เอาฉมวกแทงศีรษะผู้ร้ายคนทสี่าม และให้ใช้หลาว เสียบผู้ร้ายคนสุดท้าย 
พระเตมีย์ซงึ่อยู่บนตักพระบิดาได้ยินคาพิพากษาดังนัน้ ก็มคีวามตกใจหวาดกลัว ทรงคิดว่า 
"ถ้าเราโต ขึน้ได้เป็นพระราชา เราก็คงต้องตัดสินโทษผู้ร้ายบ้างและคงต้องทาบาป เช่นเดียวกันนี้เมื่อเราตายไป 
ก็จะต้องตกนรกอย่างแน่นอน" 
เนื่องจากพระเตมีย์เป็นผู้มีบุญ จงึราลึกชาติได้และทรงทราบว่า ในชาตกิ่อนได้เคยเป็นพระราชาครองเมือง และได้ตัดสินโทษ 
ผู้ร้ายอย่างเดียวกันนี้เมื่อพระองค์สิน้พระชนม์จงึต้องตกนรก อยู่ถงึ 7,000 ปี ได้รับความทุกข์ทรมาณเป็นอันมาก 
พระเตมีย์ทรงมีความหวาดกลัวอย่างยิ่ง ทรงราพึงว่า 
"ทาอย่างไร หนอ เราจึงจะไม่ต้องทาบาป และไม่ต้องตกนรกอีก" 
ขณะนัน้เทพธิดาที่รักษาเศวตฉัตรได้ยินคาราพึงของพระเตมีย์ จงึปรากฏกายให้พระองค์เห็นและแนะนาพระเตมีย์ว่า 
"หากพระองค์ทรงหวนั่ที่จะกระทา บาป ทรงหวนั่เกรงว่าจะตกนรก ก็จงทาเป็น หูหนวก เป็นใบ้ และเป็นง่อยเปลีย้ 
อย่าให้ชนทัง้หลาย รู้ว่าพระองค์เป็นคนฉลาด เป็นคนมีบุญ พระองค์ จะต้องมคีวามอดทน 
ไม่ว่าจะได้รับความเดือดร้อนอย่างใดก็ต้องแขง็พระทัย ต้องทรงต่อสู้ กับพระทัย ตนเองให้จงได้ 
อย่ายอมให้สงิ่หนงึ่สงิ่ใดมาชักจูงใจ พระองค์ไปจากหนทางที่พระองค์ตัง้พระทัยไว้" 
พระเตมีย์กุมารได้ยินเทพธิดาว่าดังนัน้ ก็ดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จงึทรงตัง้จิตอธิษฐานว่า 
"ต่อไปนี้เราจะทา ตนเป็นคนใบ้ หูหนวก และง่อยเปลีย้ ไม่ว่าจะมเีรื่องอันใดเกิดขึน้ เราก็จะ ไม่ละความตัง้ใจเป็นอันขาด" 
นับแต่นัน้มา พระเตมีย์ก็ทาพระองค์เป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ และเป็นง่อย ไม่ร้อง ไม่พูด ไม่หัวเราะ และไม่เคลอื่นไหว
ร่างกายเลย พระราชาและพระมเหสีทรงมีความวิตกกังวล ในอาการของพระโอรส ตรัสสงั่ให้พี่เลีย้งและแม่นมทดลอง 
ด้วยอุบายต่างๆ เช่น ให้อดนม พระเตมีย์ก็ทรงอดทน ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความหวิโหย ครัน้พระราชาให้พี่เลีย้ง เอาขนมล่อ 
พระเตมีย์ก็ไม่สนพระทัย นิ่งเฉยตลอดเวลา พระราชาทรงมคีวามหวังว่า พระโอรสคงไม่ได้หูหนวก เป็นใบ้ และง่อยเปลีย้จริง 
จึงโปรดให้ทดลอง ด้วยวิธีต่างๆ เป็นลาดับ เมื่ออายุ 2 ขวบ เอาผลไม้มาล่อ พระกุมารก็ไม่สนพระทัย อายุ 4 ขวบ 
เอาของเสวยรสอร่อยมาล่อ พระกุมารก็ไม่สนพระทัย อายุ 5 ขวบ พระราชาให้เอาไฟมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่แสดงความ ตกใจกลัว 
อายุ 6 ขวบ เอาช้างมาขู่ อายุ 7 ขวบ เอางูมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่หวาดกลัว ไม่ถอยหนเีหมือนเด็กอื่นๆ 
พระราชาทรงทดลองด้วยวิธีการต่างๆเรื่อยมา จนพระเตมีย์ อายุได้ 16 พรรษา ก็ไม่ได้ผล พระเตมีย์ยังทรงทาเป็นหูหนวก 
ทาเป็นใบ้ และไม่เคลื่อนไหวเลย ตลอดเวลา 16 ปี 
ในที่สุด พระราชาก็ให้หาบรรดาพราหมณ์และที่ปรึกษาทัง้หลายมาและตรัสถามว่า 
"พวกเจ้าเคยทานายว่า ลูกเราจะเป็น ผู้มีบุญ เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อลูกเรามีอาการเหมือนคน หูหนวก เป็นใบ้ และเป็น 
ง่อยเช่นนี้เราจะทาอย่างไรดี" 
พราหมณ์และที่ปรึกษาพากันกราบทูลว่า 
"เมื่อตอนที่ประสูตินัน้พระโอรส มีลักษณะเป็นผู้มีบุญ แต่บัดนี้เมอื่ได้กลับกลายเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ เป็นง่อย 
ก็กลายเป็นกาลกิณีจะ ทาให้บ้านเมืองและประชาชนเดือดร้อน ขอให้พระองค์สงั่ให้นา พระโอรสไปฝังที่ป่าช้าเถิดพะย่ะค่ะ 
จะได้สิน้อันตราย" 
พระราชาได้ยินดังนัน้ก็ทรงเศร้าพระทัยด้วยความรักพระโอรส แต่ก็ไม่อาจแก้ไขอย่างไรได้ เพราะเป็น ห่วงบ้านเมืองและ 
ประชาชน จงึต้องทรงทา ตามคา กราบของพราหมณ์และ ที่ปรึกษาทัง้หลาย พระนางจันทเทวีทรงทราบว่า พระราชาให้นา 
พระโอรสไปฝังที่ป่าช้า ก็ทรงร้องไห้คร่าครวญว่า 
"พ่อเตมยี์ลูกรัก ของแม่ แม่รู้ว่าลูกไม่ใชค่นง่อยเปลีย้ ไม่ใช่คนหูหนวก ไม่ใช่คนใบ้ ลูกอย่าทา อย่างนเี้ลย แม่เศร้าโศกมา 
ตลอดเวลา 16 ปีแล้ว ถ้าลูกถูกนาไปฝัง แม่คงเศร้าโศกจนถึงตายได้นะลูกรัก" 
พระเตมีย์ได้ยินดังนัน้ก็ทรงสงสารพระมารดาเป็นอันมาก ทรงสา นึกในพระคุณของพระมารดา 
แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงราลึกว่า พระองค์ตัง้พระทัยไว้ว่า จะไม่ทา การใดทจี่ะทาให้ต้องไปสู่นรกอกี 
จะไม่ทรงยอมละความตัง้ใจที่จะทาเป็นใบ้ หูหนวก และเป็นง่อย จะไม่ยอมให้สงิ่ใดมาชักจูงใจพระองค์ 
ไปจากหนทางที่ทรงวางไว้แล้วนัน้เป็นอันขาด 
พระ ราชาจึงตรัสสงั่ให้นายสารถีชื่อ สุนันทะ นาพระเตมีย์ขึน้รถเทยีมม้า พาไปที่ป่าช้าผีดิบ
ให้ขุดหลุมแล้วเอาพระเตมีย์โยนลงไปในหลุมเอาดินกลบเสียให้ตาย 
นายสุนันทะจึงทรงอุ้มพระเตมีย์ขึน้รถเทียมม้าพาไปที่ป่าช้าผีดิบเมอื่ไปถึง ป่าช้านายสุนันทะก็เตรียม ขุดหลุมจะฝังพระเตมีย์ 
พระเตมีย์กุมารประทับอยู่บนราชรถ ทรงราพึงว่า 
"บัดนเี้ราพ้นจากความทุกข์ ว่าจะต้องเป็นพระราชา พ้นความทุกข์ว่า จะต้องทา บาป เราได้อดทนมาตลอดเวลา 16 ปี 
ไม่เคยเคลื่อน ไหวร่างกายเลย เราจะลองดูว่า เรายังคงเคลื่อนไหวได้หรือไม่ มีกาลังร่างกายสมบูรณ์หรือไม่" 
ราพึงแล้ว พระเตมีย์ก็เสด็จลงจากราชรถ ทรงเคลื่อนไหว ร่างกาย ทดลองเดินไปมา ก็ทราบว่า ยังคงมีกาลังร่างกาย 
สมบูรณ์เหมือนคนปกติ จึงทดลองยกราชรถ ก็ปรากฏว่าทรงมกีาลังยกราชรถขึน้กวัดแกว่ง ได้อย่างง่ายดาย จึงทรงเดินไปหา 
นายสุนันทะที่กาลังก้มหน้าก้มตาขุดหลุมอยู่ พระเตมีย์ตรัสถาม นายสุนันทะว่า 
"ท่านเร่งรีบขุดหลุมไปทาไม" 
นายสุนันทะตอบ คาถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึน้ดูว่า 
"เราขุดหลุมจะฝังพระโอรส ของพระราชา เพราะพระโอรสเป็นง่อย เป็นใบ้ และหูหนวก พระราชาตรัสสงั่ให้ฝัง เสีย 
จะได้ไม่เป็นอันตรายแก่บ้านเมือง" 
พระเตมีย์จึงตรัสว่า 
"เราไม่ได้เป็นใบ้ ไม่ได้หูหนวก และไม่ง่อยเปลีย้ จงเงยขึน้ดูเราเถิด ถ้าท่านฝังเราเสีย ท่านก็จะประพฤติสงิ่ที่ไม่เป็นธรรม" 
นายสารถีเงยขึน้ดู เห็นพระเตมีย์ก็จาไม่ได้ จงึถามว่า 
"ท่านเป็นใคร ท่านมีรูปร่าง งามราวกับเทวดา ท่านเป็นเทวดาหรือ หรือว่าเป็นมนุษย์ ท่านเป็นลูกใคร ทาอย่างไร 
เราจึงจะรู้จักท่าน" 
พระเตมีย์ตอบว่า 
"เราคือเตมีย์กุมาร โอรสพระราชา ผู้เป็นนายของท่าน ถ้าท่านฝังเราเสียท่านก็จะได้ชื่อว่า ทาสงิ่ที่ไม่เป็นธรรม 
พระราชาเปรียบเหมือนต้นไม้ ตัวเราเปรียบเหมือนกิ่งไม้ ท่านได้อาศัยร่มเงาไม้ ถ้าท่านฝังเราเสีย ท่านก็ได้ชื่อว่า 
ทาสิ่งที่ไม่เป็นธรรม นายสารถียังไม่เชื่อว่าเป็นพระกุมารที่ตนพามา พระเตมีย์ทรง ประสงค์จะให้นายสารถีเชื่อ จึงตรัสอธิบาย 
ให้เห็นว่าหาก นายสารถีจะฝังพระองค์ก็ได้ชื่อว่าทาร้ายมิตร ทรงอธิบายว่า "ผู้ไม่ทาร้ายมิตร จะไปทไี่ด ก็มีคนคบหามาก 
จะไม่อดอยาก ไปที่ใดก็มีผู้สรรเสริญบูชา โจรจะไม่ข่มเหง พระราชาไม่ดูหมิ่น จะเอาชนะศัตรูทัง้ปวงได้ ผู้ไม่ทาร้ายมิตร 
เมื่อมาถงึบ้านเรือนของตน หมู่ญาติและประชาชน จะพากันชื่นชมยกย่อง ผู้ไม่ทาร้ายมิตร ย่อมได้รับการสักการะ 
เพราะเมื่อสักการะท่านแล้ว ย่อมได้รับการสักการะตอบ เมื่อเคารพบูชาท่านแล้ว ย่อมได้รับการเคารพตอบ ผู้ไม่ทาร้ายมิตร 
ย่อมรุ่งเรืองเหมือนกองไฟรุ่งโรจน์ ดังเทวดา เป็นผู้มีมิ่งขวัญสิริมงคลประจาตนอยู่เสมอ ผู้ไม่ทาร้ายมิตร จะทาการใดก็สา เร็จผล 
โคจะมีลูกมาก หว่านพืชลงในนา ก็จะงอกงาม แม้จะพลัดตกเหว ตกจากภูเขา ตกจากต้นไม้ ก็จะไม่เป็นอันตราย
ผู้ไม่ทาร้ายมิตร ศัตรูไม่อาจข่มเหงได้ เพราะเป็นผู้มีมิตรมาก เปรียบเหมือนต้นไทรใหญ่ที่มีราก ตดิต่อพัวพัน 
ลมแรงก็ไม่อาจทาร้ายได้ " 
นายสารถีได้ยินพระเตมีย์ตรัส ยงิ่เกิดความสงสัย จงึเดินมาดูที่ราชรถ ก็ไม่เห็นพระกุมารที่ตนพามา ครัน้เดิน 
กลับมาพินิจพจิารณาพระเตมีย์อกีครัง้ก็จาได้ จึงทูลว่า "ข้าพเจ้าจะพาพระองค์กลับวัง ขอเชิญเสดจ็กลับไป ครองพระนครเถิด" 
พระเตมีย์ตรัสตอบว่า 
" เราไม่กลับไปวัง อีกแล้ว เราได้ตัดขาดจากความ ยินดใีนสมบัตทิัง้หลาย เราได้ตัง้ความอดทนมาเป็นเวลาถึง 16 ปี 
อันราชสมบัติ ทัง้ พระนครและความสุข ความรื่นเริงต่างๆ เป็นของน่าเพลิดเพลิน 
แต่าเราไม่ปรารถนาจะหลงอยู่ในความเพลิดเพลินนัน้ ไม่ปรารถนาจะกระทา บาปอกี เราจะไม่ก่อเวรให้เกิดขึน้อีกแล้ว 
บัดนเี้ราพ้นจากภาระนัน้แล้ว เพราะพระบิดาพระมารดา ปล่อยเราให้พ้นจากราชสมบัติมาแล้ว เราพ้นจากความหลงใหล 
ในกิเลสทัง้หลาย เราจะขอบวชอยู่ในป่านแี้ต่ลา พัง เราต่อสู้ได้ชัยชนะในจิตใจของเราแล้ว" 
เมื่อตรัสดังนัน้ พระเตมีย์กุมารมคีวามชื่นชมยินดีอย่างยงิ่ ราพึงกับพระองค์เองว่า 
"ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทน ย่อมได้รับผลสา เร็จด้วยดี" 
นายสุนันทะสารถีได้ฟังก็เกิดความยินดี ทูลพระเตมีย์ว่า จะขอบวชอยู่กับพระเตมีย์ในป่า แต่พระองค์ เห็นว่า 
หากนายสารถีไม่กลับไปเมือง จะเกิดความสงสัยว่าพระองค์ หายไปไหน ทัง้นายสารถี ราชรถ เครื่องประดับทัง้ปวงก็สูญหายไป 
ควรที่นายสารถีจะนาสงิ่ของทัง้หลายกับไปพระราชวัง ทูลเรื่องราวให้พระราชาทรงทราบเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมา 
บวชเมื่อหมดภาระ นายสุนันทะจึงกลับไปกราบทูลพระราชาว่า พระเตมีย์กุมาร มิได้วิกลวิการ แต่ทรงมีรูปโฉมงดงามและ 
ตรัสได้ไพเราะ เหตุที่แสร้งทาเป็นคนพิการก็เพราะไม่ปรารถนาจะครองราชสมบัติ ไม่ปรารถนาจะก่อ เวรทาบาปอีกต่อไป 
เมื่อพระราชาและพระมเหสีได้ทรงทราบ ก็ทรงปลืม้ปิติยินดี โปรดให้จัดกระบวนไปรับพระเตมีย์กลับจากป่า ขณะนัน้ 
พระเตมีย์ทรงผนวชแล้ว ประทับอยู่ในบรรณศาลาซงึ่เทวดา เนรมติไว้ให้ เมื่อพระบิดา พระมารดาเสด็จไปถึง 
พระเตมีย์จึงเสด็จมาต้อนรับ ทักทายปราศรัยกันด้วยความยินดี พระราชาเห็นพระโอรสผนวชเป็นฤาษี เสวยใบไม้ลวก 
เป็นอาหาร และประทับอยู่ลา พังในป่า จงึตรัสถามว่าเหตุใด จึงยังมีผิวพรรณผ่องใส ร่างกายแขง็แรง พระเตมยี์ตรัส 
ตอบพระบิดาว่า "อาตมามีร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณผ่องใส เพราะไม่ต้องเศร้าโศกถึงอดีต ไม่ต้องรอคอยอนาคต 
อาตมาใช้ชีวิตให้เป็นไปตามที่สมควรในปัจจุบัน คนพาลนัน้ย่อมซูบซีดเพราะมัวโศกเศร้าถงึอดตี เพราะมัวรอคอยอนาคต" 
พระราชาตรัสตอบว่า 
"ลูกยังหนุ่มยังแน่นแข็งแรง จะมามัวอยู่ทาอะไรในป่า กลับไปบ้านเมืองเถิดกลับ ไปครองราชสมบัติ มีโอรสธิดา
เมื่อชราแล้วจึงค่อยมาบวช" 
พระเตมีย์ตรัสตอบว่า "การบวชของคนหนุ่มย่อมเป็นที่สรรเสริญ ใครเล่าจะนอนใจได้ว่ายังเป็นหนุ่ม ยังอยู่ไกลจากความตาย 
อายุคนนัน้สัน้นัก เหมือนอายุของปลาในเวลาที่นา้น้อย" 
พระราชาตรัสขอให้พระเตมีย์กลับไปครองราชสมบัติ ทรงกล่าวชักชวนให้นึกถึงความสุขสบายต่างๆ พระเตมีย์จงึตรัสตอบว่า 
"วันคืนมีแต่จะล่วงเลยไป ผู้คนมแีต่ จะแก่ เจ็บและตาย จะเอาสมบัติไปทาอะไร ทรัพย์สมบัติและ 
ความสุขทัง้หลายเอาชนะความตายไม่ได้ อาตมาพ้นจาก ความผูกพันทัง้หลายแล้ว ไม่ต้องการทรัพย์สมบัติอีกแล้ว" 
เมื่อพระราชาได้ยินดังนัน้ จงึเห็นประโยชน์อันใหญ่ยงิ่ ในการออกบวช ทรงประสงค์ทจี่ะละทงิ้ราชสมบัติออกบวช พระมเหสี 
และเสนาข้าราชบริพารทัง้ปวง รวมทัง้บรรดา ประชาชนทัง้หลายในเมืองพาราณสี ก็พร้อมใจกันออกบวช 
บาเพ็ญเพยีรโดยทวั่หน้ากัน เมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ พ้นจากความผูกพัน ในโลกมนุษย์ ทัง้นเี้ป็นด้วยพระเตมีย์กุมาร 
ทรงมีความอดทนมีความตัง้ใจ อันมนั่คงแน่วแน่ในการที่ไม่ก่อเวร ทาบาป ทรงมุ่งมนั่อดทน จนประสบผลสา เร็จดังที่หวัง 
เหมือนดังที่ทรงราพึงว่า 
" ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทน ย่อมได้รับผลสา เร็จด้วยดี " 
คติธรรม : บาเพ็ญเนกขัมมบารมี 
"เมื่อมีประสงค์ในสงิ่ใดก็สมควรมุ่งมนั่ตัง้ใจกระทา ตามความมุ่งหมายนัน้อย่างหนักแน่น อดทนอย่างเพยีรพยายามเป็นที่สุด 
และความพากเพียรอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่นัน้ ย่อมนา บุคคลนัน้ไปสู่ความสา เร็จอันยงิ่ใหญ่อย่างแท้จริง"

More Related Content

Viewers also liked

Viewers also liked (15)

Tribal heritage (Tribes)
Tribal heritage (Tribes) Tribal heritage (Tribes)
Tribal heritage (Tribes)
 
Culture of chhattisgarh
Culture of chhattisgarhCulture of chhattisgarh
Culture of chhattisgarh
 
Indian tribal belt
Indian tribal beltIndian tribal belt
Indian tribal belt
 
Chhattisgarh
ChhattisgarhChhattisgarh
Chhattisgarh
 
Tribal marriages in india
Tribal marriages in indiaTribal marriages in india
Tribal marriages in india
 
Occupation of mudugar
Occupation of mudugarOccupation of mudugar
Occupation of mudugar
 
Chhattisgarh State by Akshay SIkarwar
Chhattisgarh State by Akshay SIkarwarChhattisgarh State by Akshay SIkarwar
Chhattisgarh State by Akshay SIkarwar
 
Tribes in india
Tribes in indiaTribes in india
Tribes in india
 
Tribal culture
Tribal culture Tribal culture
Tribal culture
 
Settlement in kutch region
Settlement in kutch regionSettlement in kutch region
Settlement in kutch region
 
A study of tribal devlopment in india
A study of tribal devlopment in indiaA study of tribal devlopment in india
A study of tribal devlopment in india
 
IMPACT OF INDUSTRIALIZATION ON TRIBALS IN INDIA
IMPACT OF INDUSTRIALIZATION ON TRIBALS IN INDIAIMPACT OF INDUSTRIALIZATION ON TRIBALS IN INDIA
IMPACT OF INDUSTRIALIZATION ON TRIBALS IN INDIA
 
Tri bes in india
Tri bes in indiaTri bes in india
Tri bes in india
 
Indian tribals
Indian tribalsIndian tribals
Indian tribals
 
Tribes
TribesTribes
Tribes
 

1 พระเตมีย์ชาดก

  • 1. เตมีย์ชาดก-(พระเตมีย์ใบ้) พระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้ากาสิกราช ครองเมืองชื่อว่า พาราณสี มีพระมเหสี พระนามว่า จันทรเทวี พระราชาไม่มีพระราชโอรสที่จะครองเมืองต่อจากพระองค์ จึงโปรดให้ พระนางจันทรเทวีทาพิธีขอพระโอรสจากเทพเจ้า พระนางจันทรเทวีจึงทรงอธิษฐานว่า "ข้าพเจ้าได้รักษาศีล บริสุทธิ์ตลอดมา ขอให้บุญกุศลนีบั้นดาลให้ข้าพเจ้ามีโอรสเถิด" ด้วยอานุภาพแห่งศีลบริสุทธิ์ พระนางจันทรเทวีทรงครรภ์ และประสูติพระโอรสสมดังความปราถนา พระโอรส มีรูปโฉม งดงามยงิ่นัก ทัง้พระราชาพระมเหสี และประชาชนทัง้หลาย มคีวามยินดีเป็นที่สุด พระราชาจงึตัง้พระนามโอรสว่า เตมีย์ แปลว่า เป็นทยีิ่นดีของคนทัง้หลาย บรรดาพราหมณ์ผู้รู้วิชาทา นายลักษณะบุคคล ได้กราบทูล พระราชาว่า พระโอรสองค์นมีี้ลักษณะประเสริฐ เมื่อเติบโตขึน้ จะได้เป็นพระราชาธิราชของมหาทวีปทัง้สี่พระราชาทรงยินดี เป็นอย่างยิ่ง และทรงเลือกแม่นมที่มลีักษณะดเีลิศตามตา รา จานวน 64 คน เป็นผู้ปรนนิบัติเลีย้งดูพระเตมีย์กุมาร วันหนงึ่ พระราชาทรงอุ้มพระเตมีย์ไว้บนตัก ขณะที่กาลัง พิพากษาโทษผู้ร้าย 4 คน พระราชาตรัสสงั่ให้เอาหวาย ที่มีหนามแหลมคมมาเฆยี่นผู้ร้ายคนหนงึ่ แล้วส่งไปขังคุก ให้เอาฉมวกแทงศีรษะผู้ร้ายคนทสี่าม และให้ใช้หลาว เสียบผู้ร้ายคนสุดท้าย พระเตมีย์ซงึ่อยู่บนตักพระบิดาได้ยินคาพิพากษาดังนัน้ ก็มคีวามตกใจหวาดกลัว ทรงคิดว่า "ถ้าเราโต ขึน้ได้เป็นพระราชา เราก็คงต้องตัดสินโทษผู้ร้ายบ้างและคงต้องทาบาป เช่นเดียวกันนี้เมื่อเราตายไป ก็จะต้องตกนรกอย่างแน่นอน" เนื่องจากพระเตมีย์เป็นผู้มีบุญ จงึราลึกชาติได้และทรงทราบว่า ในชาตกิ่อนได้เคยเป็นพระราชาครองเมือง และได้ตัดสินโทษ ผู้ร้ายอย่างเดียวกันนี้เมื่อพระองค์สิน้พระชนม์จงึต้องตกนรก อยู่ถงึ 7,000 ปี ได้รับความทุกข์ทรมาณเป็นอันมาก พระเตมีย์ทรงมีความหวาดกลัวอย่างยิ่ง ทรงราพึงว่า "ทาอย่างไร หนอ เราจึงจะไม่ต้องทาบาป และไม่ต้องตกนรกอีก" ขณะนัน้เทพธิดาที่รักษาเศวตฉัตรได้ยินคาราพึงของพระเตมีย์ จงึปรากฏกายให้พระองค์เห็นและแนะนาพระเตมีย์ว่า "หากพระองค์ทรงหวนั่ที่จะกระทา บาป ทรงหวนั่เกรงว่าจะตกนรก ก็จงทาเป็น หูหนวก เป็นใบ้ และเป็นง่อยเปลีย้ อย่าให้ชนทัง้หลาย รู้ว่าพระองค์เป็นคนฉลาด เป็นคนมีบุญ พระองค์ จะต้องมคีวามอดทน ไม่ว่าจะได้รับความเดือดร้อนอย่างใดก็ต้องแขง็พระทัย ต้องทรงต่อสู้ กับพระทัย ตนเองให้จงได้ อย่ายอมให้สงิ่หนงึ่สงิ่ใดมาชักจูงใจ พระองค์ไปจากหนทางที่พระองค์ตัง้พระทัยไว้" พระเตมีย์กุมารได้ยินเทพธิดาว่าดังนัน้ ก็ดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จงึทรงตัง้จิตอธิษฐานว่า "ต่อไปนี้เราจะทา ตนเป็นคนใบ้ หูหนวก และง่อยเปลีย้ ไม่ว่าจะมเีรื่องอันใดเกิดขึน้ เราก็จะ ไม่ละความตัง้ใจเป็นอันขาด" นับแต่นัน้มา พระเตมีย์ก็ทาพระองค์เป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ และเป็นง่อย ไม่ร้อง ไม่พูด ไม่หัวเราะ และไม่เคลอื่นไหว
  • 2. ร่างกายเลย พระราชาและพระมเหสีทรงมีความวิตกกังวล ในอาการของพระโอรส ตรัสสงั่ให้พี่เลีย้งและแม่นมทดลอง ด้วยอุบายต่างๆ เช่น ให้อดนม พระเตมีย์ก็ทรงอดทน ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความหวิโหย ครัน้พระราชาให้พี่เลีย้ง เอาขนมล่อ พระเตมีย์ก็ไม่สนพระทัย นิ่งเฉยตลอดเวลา พระราชาทรงมคีวามหวังว่า พระโอรสคงไม่ได้หูหนวก เป็นใบ้ และง่อยเปลีย้จริง จึงโปรดให้ทดลอง ด้วยวิธีต่างๆ เป็นลาดับ เมื่ออายุ 2 ขวบ เอาผลไม้มาล่อ พระกุมารก็ไม่สนพระทัย อายุ 4 ขวบ เอาของเสวยรสอร่อยมาล่อ พระกุมารก็ไม่สนพระทัย อายุ 5 ขวบ พระราชาให้เอาไฟมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่แสดงความ ตกใจกลัว อายุ 6 ขวบ เอาช้างมาขู่ อายุ 7 ขวบ เอางูมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่หวาดกลัว ไม่ถอยหนเีหมือนเด็กอื่นๆ พระราชาทรงทดลองด้วยวิธีการต่างๆเรื่อยมา จนพระเตมีย์ อายุได้ 16 พรรษา ก็ไม่ได้ผล พระเตมีย์ยังทรงทาเป็นหูหนวก ทาเป็นใบ้ และไม่เคลื่อนไหวเลย ตลอดเวลา 16 ปี ในที่สุด พระราชาก็ให้หาบรรดาพราหมณ์และที่ปรึกษาทัง้หลายมาและตรัสถามว่า "พวกเจ้าเคยทานายว่า ลูกเราจะเป็น ผู้มีบุญ เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อลูกเรามีอาการเหมือนคน หูหนวก เป็นใบ้ และเป็น ง่อยเช่นนี้เราจะทาอย่างไรดี" พราหมณ์และที่ปรึกษาพากันกราบทูลว่า "เมื่อตอนที่ประสูตินัน้พระโอรส มีลักษณะเป็นผู้มีบุญ แต่บัดนี้เมอื่ได้กลับกลายเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ เป็นง่อย ก็กลายเป็นกาลกิณีจะ ทาให้บ้านเมืองและประชาชนเดือดร้อน ขอให้พระองค์สงั่ให้นา พระโอรสไปฝังที่ป่าช้าเถิดพะย่ะค่ะ จะได้สิน้อันตราย" พระราชาได้ยินดังนัน้ก็ทรงเศร้าพระทัยด้วยความรักพระโอรส แต่ก็ไม่อาจแก้ไขอย่างไรได้ เพราะเป็น ห่วงบ้านเมืองและ ประชาชน จงึต้องทรงทา ตามคา กราบของพราหมณ์และ ที่ปรึกษาทัง้หลาย พระนางจันทเทวีทรงทราบว่า พระราชาให้นา พระโอรสไปฝังที่ป่าช้า ก็ทรงร้องไห้คร่าครวญว่า "พ่อเตมยี์ลูกรัก ของแม่ แม่รู้ว่าลูกไม่ใชค่นง่อยเปลีย้ ไม่ใช่คนหูหนวก ไม่ใช่คนใบ้ ลูกอย่าทา อย่างนเี้ลย แม่เศร้าโศกมา ตลอดเวลา 16 ปีแล้ว ถ้าลูกถูกนาไปฝัง แม่คงเศร้าโศกจนถึงตายได้นะลูกรัก" พระเตมีย์ได้ยินดังนัน้ก็ทรงสงสารพระมารดาเป็นอันมาก ทรงสา นึกในพระคุณของพระมารดา แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงราลึกว่า พระองค์ตัง้พระทัยไว้ว่า จะไม่ทา การใดทจี่ะทาให้ต้องไปสู่นรกอกี จะไม่ทรงยอมละความตัง้ใจที่จะทาเป็นใบ้ หูหนวก และเป็นง่อย จะไม่ยอมให้สงิ่ใดมาชักจูงใจพระองค์ ไปจากหนทางที่ทรงวางไว้แล้วนัน้เป็นอันขาด พระ ราชาจึงตรัสสงั่ให้นายสารถีชื่อ สุนันทะ นาพระเตมีย์ขึน้รถเทยีมม้า พาไปที่ป่าช้าผีดิบ
  • 3. ให้ขุดหลุมแล้วเอาพระเตมีย์โยนลงไปในหลุมเอาดินกลบเสียให้ตาย นายสุนันทะจึงทรงอุ้มพระเตมีย์ขึน้รถเทียมม้าพาไปที่ป่าช้าผีดิบเมอื่ไปถึง ป่าช้านายสุนันทะก็เตรียม ขุดหลุมจะฝังพระเตมีย์ พระเตมีย์กุมารประทับอยู่บนราชรถ ทรงราพึงว่า "บัดนเี้ราพ้นจากความทุกข์ ว่าจะต้องเป็นพระราชา พ้นความทุกข์ว่า จะต้องทา บาป เราได้อดทนมาตลอดเวลา 16 ปี ไม่เคยเคลื่อน ไหวร่างกายเลย เราจะลองดูว่า เรายังคงเคลื่อนไหวได้หรือไม่ มีกาลังร่างกายสมบูรณ์หรือไม่" ราพึงแล้ว พระเตมีย์ก็เสด็จลงจากราชรถ ทรงเคลื่อนไหว ร่างกาย ทดลองเดินไปมา ก็ทราบว่า ยังคงมีกาลังร่างกาย สมบูรณ์เหมือนคนปกติ จึงทดลองยกราชรถ ก็ปรากฏว่าทรงมกีาลังยกราชรถขึน้กวัดแกว่ง ได้อย่างง่ายดาย จึงทรงเดินไปหา นายสุนันทะที่กาลังก้มหน้าก้มตาขุดหลุมอยู่ พระเตมีย์ตรัสถาม นายสุนันทะว่า "ท่านเร่งรีบขุดหลุมไปทาไม" นายสุนันทะตอบ คาถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึน้ดูว่า "เราขุดหลุมจะฝังพระโอรส ของพระราชา เพราะพระโอรสเป็นง่อย เป็นใบ้ และหูหนวก พระราชาตรัสสงั่ให้ฝัง เสีย จะได้ไม่เป็นอันตรายแก่บ้านเมือง" พระเตมีย์จึงตรัสว่า "เราไม่ได้เป็นใบ้ ไม่ได้หูหนวก และไม่ง่อยเปลีย้ จงเงยขึน้ดูเราเถิด ถ้าท่านฝังเราเสีย ท่านก็จะประพฤติสงิ่ที่ไม่เป็นธรรม" นายสารถีเงยขึน้ดู เห็นพระเตมีย์ก็จาไม่ได้ จงึถามว่า "ท่านเป็นใคร ท่านมีรูปร่าง งามราวกับเทวดา ท่านเป็นเทวดาหรือ หรือว่าเป็นมนุษย์ ท่านเป็นลูกใคร ทาอย่างไร เราจึงจะรู้จักท่าน" พระเตมีย์ตอบว่า "เราคือเตมีย์กุมาร โอรสพระราชา ผู้เป็นนายของท่าน ถ้าท่านฝังเราเสียท่านก็จะได้ชื่อว่า ทาสงิ่ที่ไม่เป็นธรรม พระราชาเปรียบเหมือนต้นไม้ ตัวเราเปรียบเหมือนกิ่งไม้ ท่านได้อาศัยร่มเงาไม้ ถ้าท่านฝังเราเสีย ท่านก็ได้ชื่อว่า ทาสิ่งที่ไม่เป็นธรรม นายสารถียังไม่เชื่อว่าเป็นพระกุมารที่ตนพามา พระเตมีย์ทรง ประสงค์จะให้นายสารถีเชื่อ จึงตรัสอธิบาย ให้เห็นว่าหาก นายสารถีจะฝังพระองค์ก็ได้ชื่อว่าทาร้ายมิตร ทรงอธิบายว่า "ผู้ไม่ทาร้ายมิตร จะไปทไี่ด ก็มีคนคบหามาก จะไม่อดอยาก ไปที่ใดก็มีผู้สรรเสริญบูชา โจรจะไม่ข่มเหง พระราชาไม่ดูหมิ่น จะเอาชนะศัตรูทัง้ปวงได้ ผู้ไม่ทาร้ายมิตร เมื่อมาถงึบ้านเรือนของตน หมู่ญาติและประชาชน จะพากันชื่นชมยกย่อง ผู้ไม่ทาร้ายมิตร ย่อมได้รับการสักการะ เพราะเมื่อสักการะท่านแล้ว ย่อมได้รับการสักการะตอบ เมื่อเคารพบูชาท่านแล้ว ย่อมได้รับการเคารพตอบ ผู้ไม่ทาร้ายมิตร ย่อมรุ่งเรืองเหมือนกองไฟรุ่งโรจน์ ดังเทวดา เป็นผู้มีมิ่งขวัญสิริมงคลประจาตนอยู่เสมอ ผู้ไม่ทาร้ายมิตร จะทาการใดก็สา เร็จผล โคจะมีลูกมาก หว่านพืชลงในนา ก็จะงอกงาม แม้จะพลัดตกเหว ตกจากภูเขา ตกจากต้นไม้ ก็จะไม่เป็นอันตราย
  • 4. ผู้ไม่ทาร้ายมิตร ศัตรูไม่อาจข่มเหงได้ เพราะเป็นผู้มีมิตรมาก เปรียบเหมือนต้นไทรใหญ่ที่มีราก ตดิต่อพัวพัน ลมแรงก็ไม่อาจทาร้ายได้ " นายสารถีได้ยินพระเตมีย์ตรัส ยงิ่เกิดความสงสัย จงึเดินมาดูที่ราชรถ ก็ไม่เห็นพระกุมารที่ตนพามา ครัน้เดิน กลับมาพินิจพจิารณาพระเตมีย์อกีครัง้ก็จาได้ จึงทูลว่า "ข้าพเจ้าจะพาพระองค์กลับวัง ขอเชิญเสดจ็กลับไป ครองพระนครเถิด" พระเตมีย์ตรัสตอบว่า " เราไม่กลับไปวัง อีกแล้ว เราได้ตัดขาดจากความ ยินดใีนสมบัตทิัง้หลาย เราได้ตัง้ความอดทนมาเป็นเวลาถึง 16 ปี อันราชสมบัติ ทัง้ พระนครและความสุข ความรื่นเริงต่างๆ เป็นของน่าเพลิดเพลิน แต่าเราไม่ปรารถนาจะหลงอยู่ในความเพลิดเพลินนัน้ ไม่ปรารถนาจะกระทา บาปอกี เราจะไม่ก่อเวรให้เกิดขึน้อีกแล้ว บัดนเี้ราพ้นจากภาระนัน้แล้ว เพราะพระบิดาพระมารดา ปล่อยเราให้พ้นจากราชสมบัติมาแล้ว เราพ้นจากความหลงใหล ในกิเลสทัง้หลาย เราจะขอบวชอยู่ในป่านแี้ต่ลา พัง เราต่อสู้ได้ชัยชนะในจิตใจของเราแล้ว" เมื่อตรัสดังนัน้ พระเตมีย์กุมารมคีวามชื่นชมยินดีอย่างยงิ่ ราพึงกับพระองค์เองว่า "ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทน ย่อมได้รับผลสา เร็จด้วยดี" นายสุนันทะสารถีได้ฟังก็เกิดความยินดี ทูลพระเตมีย์ว่า จะขอบวชอยู่กับพระเตมีย์ในป่า แต่พระองค์ เห็นว่า หากนายสารถีไม่กลับไปเมือง จะเกิดความสงสัยว่าพระองค์ หายไปไหน ทัง้นายสารถี ราชรถ เครื่องประดับทัง้ปวงก็สูญหายไป ควรที่นายสารถีจะนาสงิ่ของทัง้หลายกับไปพระราชวัง ทูลเรื่องราวให้พระราชาทรงทราบเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมา บวชเมื่อหมดภาระ นายสุนันทะจึงกลับไปกราบทูลพระราชาว่า พระเตมีย์กุมาร มิได้วิกลวิการ แต่ทรงมีรูปโฉมงดงามและ ตรัสได้ไพเราะ เหตุที่แสร้งทาเป็นคนพิการก็เพราะไม่ปรารถนาจะครองราชสมบัติ ไม่ปรารถนาจะก่อ เวรทาบาปอีกต่อไป เมื่อพระราชาและพระมเหสีได้ทรงทราบ ก็ทรงปลืม้ปิติยินดี โปรดให้จัดกระบวนไปรับพระเตมีย์กลับจากป่า ขณะนัน้ พระเตมีย์ทรงผนวชแล้ว ประทับอยู่ในบรรณศาลาซงึ่เทวดา เนรมติไว้ให้ เมื่อพระบิดา พระมารดาเสด็จไปถึง พระเตมีย์จึงเสด็จมาต้อนรับ ทักทายปราศรัยกันด้วยความยินดี พระราชาเห็นพระโอรสผนวชเป็นฤาษี เสวยใบไม้ลวก เป็นอาหาร และประทับอยู่ลา พังในป่า จงึตรัสถามว่าเหตุใด จึงยังมีผิวพรรณผ่องใส ร่างกายแขง็แรง พระเตมยี์ตรัส ตอบพระบิดาว่า "อาตมามีร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณผ่องใส เพราะไม่ต้องเศร้าโศกถึงอดีต ไม่ต้องรอคอยอนาคต อาตมาใช้ชีวิตให้เป็นไปตามที่สมควรในปัจจุบัน คนพาลนัน้ย่อมซูบซีดเพราะมัวโศกเศร้าถงึอดตี เพราะมัวรอคอยอนาคต" พระราชาตรัสตอบว่า "ลูกยังหนุ่มยังแน่นแข็งแรง จะมามัวอยู่ทาอะไรในป่า กลับไปบ้านเมืองเถิดกลับ ไปครองราชสมบัติ มีโอรสธิดา
  • 5. เมื่อชราแล้วจึงค่อยมาบวช" พระเตมีย์ตรัสตอบว่า "การบวชของคนหนุ่มย่อมเป็นที่สรรเสริญ ใครเล่าจะนอนใจได้ว่ายังเป็นหนุ่ม ยังอยู่ไกลจากความตาย อายุคนนัน้สัน้นัก เหมือนอายุของปลาในเวลาที่นา้น้อย" พระราชาตรัสขอให้พระเตมีย์กลับไปครองราชสมบัติ ทรงกล่าวชักชวนให้นึกถึงความสุขสบายต่างๆ พระเตมีย์จงึตรัสตอบว่า "วันคืนมีแต่จะล่วงเลยไป ผู้คนมแีต่ จะแก่ เจ็บและตาย จะเอาสมบัติไปทาอะไร ทรัพย์สมบัติและ ความสุขทัง้หลายเอาชนะความตายไม่ได้ อาตมาพ้นจาก ความผูกพันทัง้หลายแล้ว ไม่ต้องการทรัพย์สมบัติอีกแล้ว" เมื่อพระราชาได้ยินดังนัน้ จงึเห็นประโยชน์อันใหญ่ยงิ่ ในการออกบวช ทรงประสงค์ทจี่ะละทงิ้ราชสมบัติออกบวช พระมเหสี และเสนาข้าราชบริพารทัง้ปวง รวมทัง้บรรดา ประชาชนทัง้หลายในเมืองพาราณสี ก็พร้อมใจกันออกบวช บาเพ็ญเพยีรโดยทวั่หน้ากัน เมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ พ้นจากความผูกพัน ในโลกมนุษย์ ทัง้นเี้ป็นด้วยพระเตมีย์กุมาร ทรงมีความอดทนมีความตัง้ใจ อันมนั่คงแน่วแน่ในการที่ไม่ก่อเวร ทาบาป ทรงมุ่งมนั่อดทน จนประสบผลสา เร็จดังที่หวัง เหมือนดังที่ทรงราพึงว่า " ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทน ย่อมได้รับผลสา เร็จด้วยดี " คติธรรม : บาเพ็ญเนกขัมมบารมี "เมื่อมีประสงค์ในสงิ่ใดก็สมควรมุ่งมนั่ตัง้ใจกระทา ตามความมุ่งหมายนัน้อย่างหนักแน่น อดทนอย่างเพยีรพยายามเป็นที่สุด และความพากเพียรอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่นัน้ ย่อมนา บุคคลนัน้ไปสู่ความสา เร็จอันยงิ่ใหญ่อย่างแท้จริง"