SlideShare a Scribd company logo
1 of 28
Download to read offline
1
มหานิทานสูตร (ปฏิจจสมุปบาท)
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๖
เกริ่นนา
มหานิทานสูตร ว่าด้วยสิ่งที่เป็นต้นเหตุใหญ่ (ปฏิจจสมุปบาท) เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง สุดจะคาดคะเน
ได้ ก็เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาทนี้ หมู่สัตว์จึงยุ่งเหมือนขอดด้ายของช่างหูก เป็นปมนุงนังเหมือน
กระจุกด้าย เหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง ไม่ข้ามพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต และสงสาร
มหานิทานสูตร
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ทีฆนิกาย มหาวรรค
๒. มหานิทานสูตร
ว่าด้วยสิ่งที่เป็นต้นเหตุใหญ่
ปฏิจจสมุปบาท
[๙๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของชาวกุรุชื่อกัมมาสธัมมะ แคว้นกุรุ ครั้งนั้น ท่าน
พระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระ
ภาคดังนี้ ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ ปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง
(ลึกซึ้ง หมายถึงลึกซึ้งโดยอาการ ๔ คือ (๑) อรรถ (ผล) (๒) ธรรม (เหตุ) (๓) เทศนา (วิธีการแสดง)
(๔) ปฏิเวธ (การบรรลุ)) สุดจะคาดคะเนได้ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์เหมือนกับว่าเป็น
ธรรมง่ายๆพระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ อย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้
เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง สุดจะคาดคะเนได้ ก็เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาทนี้ หมู่สัตว์จึงยุ่งเหมือนขอดด้าย
ของช่างหูก เป็นปมนุงนังเหมือนกระจุกด้าย เหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง ไม่ข้ามพ้นอบาย
(อบาย หมายถึงภาวะหรือที่อันปราศจากความเจริญ ๔ คือ (๑) นรก (๒) กาเนิดสัตว์ดิรัจฉาน (๓) แดน
เปรต (๔) อสุรกาย) ทุคติ วินิบาตและสงสาร
[๙๖] อานนท์ เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถาม
ว่า ‘เพราะอะไรเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี’
เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย ชาติจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไรเป็น
ปัจจัย ชาติจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี’
2
เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย ภพจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไรเป็น
ปัจจัย ภพจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี’
เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย อุปาทานจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไร
เป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี’
เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย ตัณหาจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไรเป็น
ปัจจัย ตัณหาจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี’
เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย เวทนาจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไรเป็น
ปัจจัย เวทนาจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี’
เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไรเป็น
ปัจจัย ผัสสะจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี’
เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย นามรูปจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไร
เป็นปัจจัย นามรูปจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี’
เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย วิญญาณจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไร
เป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี‘ควรตอบว่า ‘เพราะนามรูปเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี’
[๙๗] ด้วยเหตุดังนี้ แล
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงมี
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มีได้ ด้วยประการฉะนี้
[๙๘] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผล
ที่ชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าชาติ คือ ชาติ เพื่อความเป็นเทพของพวกเทพ เพื่อความเป็น
คนธรรพ์ของพวกคนธรรพ์ เพื่อความเป็นยักษ์ของพวกยักษ์ เพื่อความเป็นภูตของพวกภูต เพื่อความเป็น
มนุษย์ของพวกมนุษย์ เพื่อความเป็นสัตว์สี่เท้าของพวกสัตว์สี่เท้า เพื่อความเป็นสัตว์ปีกของพวกสัตว์ปีก เพื่อ
ความเป็นสัตว์เลื้อยคลานของพวกสัตว์เลื้อยคลาน ไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง ก็ถ้าชาติไม่ได้มี
เพื่อความเป็นอย่างนั้นของสรรพสัตว์พวกนั้นๆ เมื่อชาติไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะชาติดับไป ชรามรณะ
จะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
3
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งชราและ
มรณะ ก็คือชาตินั่นเอง
[๙๙] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผลที่ภพ
เป็นปัจจัย ชาติจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าภพ คือ กามภพ รูปภพ หรืออรูปภพ ไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุก
แห่ง เมื่อภพไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะภพดับไป ชาติจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งชาติ ก็คือ
ภพนั่นเอง
[๑๐๐] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผล
ที่อุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าอุปาทาน คือ กามุปาทาน (ความยึดมั่นในกาม) ทิฏฐุปาทาน
(ความยึดมั่นในทิฏฐิ) สีลัพพตุปาทาน (ความยึดมั่นในศีลพรต) หรืออัตตวาทุปาทาน (ความยึดมั่นในวา
ทะว่ามีอัตตา) ไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่ออุปาทานไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ
อุปาทานดับไป ภพจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งภพ ก็คือ
อุปาทานนั่นเอง
[๑๐๑] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี’ เธอพึงทราบ
เหตุผลที่ตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าตัณหา คือ รูปตัณหา(อยากได้รูป) สัททตัณหา
(อยากได้เสียง) คันธตัณหา(อยากได้กลิ่น) รสตัณหา(อยากได้รส) โผฏฐัพพตัณหา(อยากได้โผฏฐัพพะ)
และธัมมตัณหา (อยากได้ธรรมารมณ์) ไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อตัณหาไม่มีโดยประการ
ทั้งปวง เพราะตัณหาดับไป อุปาทานจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งอุปาทาน
ก็คือตัณหานั่นเอง
[๑๐๒] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผล
ที่เวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าเวทนา คือ เวทนาที่เกิดจากจักขุสัมผัส เวทนาที่เกิดจากโสต
สัมผัส เวทนาที่เกิดจากฆานสัมผัส เวทนาที่เกิดจากชิวหาสัมผัส เวทนาที่เกิดจากกายสัมผัส และเวทนาที่
เกิดจากมโนสัมผัส ไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อเวทนาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะเวทนา
ดับไป ตัณหาจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งตัณหา ก็
คือเวทนานั่นเอง
[๑๐๓] อานนท์ ด้วยเหตุดังนี้ แล
4
เพราะอาศัยเวทนา ตัณหาจึงมี
เพราะอาศัยตัณหา ปริเยสนา (การแสวงหา) จึงมี
เพราะอาศัยปริเยสนา ลาภะ (การได้) จึงมี
เพราะอาศัยลาภะ วินิจฉยะ (การกาหนด) จึงมี
เพราะอาศัยวินิจฉยะ ฉันทราคะ (ความกาหนัดด้วยอานาจความพอใจ) จึงมี
เพราะอาศัยฉันทราคะ อัชโฌสานะ (ความหมกมุ่นฝังใจ) จึงมี
เพราะอาศัยอัชโฌสานะ ปริคคหะ (การยึดถือครอบครอง) จึงมี
เพราะอาศัยปริคคหะ มัจฉริยะ (ความตระหนี่) จึงมี
เพราะอาศัยมัจฉริยะ อารักขะ (ความหวงกั้น) จึงมี
เพราะอารักขะ เป็นเหตุ บาปอกุศลธรรมเป็นอเนก ย่อมเกิดขึ้นจากการถือท่อนไม้ การถือ
ศัสตรา การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การพูดขึ้นเสียงว่า ‘มึง มึง’ การพูดส่อเสียด และการพูดเท็จ
[๑๐๔] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะอารักขะเป็นเหตุ บาปอกุศลธรรมเป็นอเนก ย่อม
เกิดขึ้นจากการถือท่อนไม้ การถือศัสตรา การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การพูดขึ้นเสียงว่า ‘มึง มึง’
การพูดส่อเสียด และการพูดเท็จ’ เธอพึงทราบเหตุผลที่อารักขะเป็นเหตุ บาปอกุศลธรรมเป็นอเนก ย่อม
เกิดขึ้นจากการถือท่อนไม้ การถือศัสตรา การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การพูดขึ้นเสียงว่า ‘มึง มึง’
การพูดส่อเสียด และการพูดเท็จ ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าอารักขะไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่ออา
รักขะไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะอารักขะดับไป บาปอกุศลธรรมเป็นอเนก จะเกิดขึ้นจากการถือท่อนไม้
การถือศัสตรา การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การพูดขึ้นเสียงว่า ‘มึง มึง’ การพูดส่อเสียด และการพูด
เท็จได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “เกิดขึ้นไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ และปัจจัย แห่งบาปอกุศลธรรม
เป็นอเนกที่เกิดขึ้นจากการถือท่อนไม้ การถือศัสตรา การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การพูดขึ้นเสียงว่า
‘มึง มึง’ การพูดส่อเสียด และการพูดเท็จ ก็คืออารักขะนั่นเอง
[๑๐๕] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยมัจฉริยะ อารักขะจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผล
ที่อาศัยมัจฉริยะ อารักขะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้ามัจฉริยะไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อมัจฉริยะ
ไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะมัจฉริยะดับไป อารักขะจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งอารักขะ
ก็คือมัจฉริยะนั่นเอง
[๑๐๖] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยปริคคหะ มัจฉริยะจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผล
ที่อาศัยปริคคหะ มัจฉริยะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าปริคคหะไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อปริคค
หะไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะปริคคหะดับไป มัจฉริยะจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
5
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งมัจฉริยะ
ก็คือปริคคหะนั่นเอง
[๑๐๗] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยอัชโฌสานะ ปริคคหะจึงมี’ เธอพึงทราบ
เหตุผลที่อาศัยอัชโฌสานะ ปริคคหะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าอัชโฌสานะไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง
เมื่ออัชโฌสานะไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะอัชโฌสานะดับไป ปริคคหะจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งปริคคหะ
ก็คืออัชโฌสานะนั่นเอง
[๑๐๘] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยฉันทราคะ อัชโฌสานะจึงมี’ เธอพึงทราบ
เหตุผลที่อาศัยฉันทราคะ อัชโฌสานะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าฉันทราคะไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง
เมื่อฉันทราคะไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะฉันทราคะดับไป อัชโฌสานะจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งอัชโฌสา
นะ ก็คือฉันทราคะนั่นเอง
[๑๐๙] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยวินิจฉยะ ฉันทราคะจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผล
ที่อาศัยวินิจฉยะ ฉันทราคะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าวินิจฉยะไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อวินิจฉ
ยะไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะวินิจฉยะดับไป ฉันทราคะจะปรากฏได้หรือ''
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งฉันทรา
คะ ก็คือวินิจฉยะนั่นเอง
[๑๑๐] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยลาภะ วินิจฉยะจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผลที่
อาศัยลาภะ วินิจฉยะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าลาภะไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อลาภะไม่มีโดย
ประการทั้งปวง เพราะลาภะหมดไป วินิจฉยะจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งวินิจฉยะ
ก็คือลาภะนั่นเอง
[๑๑๑] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยปริเยสนา ลาภะจึงมี เธอพึงทราบเหตุผลที่
อาศัยปริเยสนา ลาภะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าปริเยสนาไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อปริเยสนา
ไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะปริเยสนาดับไป ลาภะจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งลาภะ ก็
คือปริเยสนานั่นเอง
6
[๑๑๒] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยตัณหา ปริเยสนาจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผลที่
อาศัยตัณหา ปริเยสนาจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าตัณหา คือ กามตัณหา (กามตัณหา (ความทะยานอยากใน
กาม) ในที่นี้ หมายถึงราคะที่เนื่องด้วยกามคุณ ๕) ภวตัณหา (ภวตัณหา (ความทะยานอยากในภพ) ในที่นี้
หมายถึงราคะในรูปภพและอรูปภพ, ราคะที่ประกอบด้วยสัสสตทิฏฐิ) และวิภวตัณหา (วิภวตัณหา (ความ
ทะยานอยากในวิภพ) ในที่นี้ หมายถึงราคะที่ประกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ) ไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุก
แห่ง เมื่อตัณหาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะตัณหาดับไป ปริเยสนาจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งปริเยสนา
ก็คือตัณหานั่นเอง
อานนท์ ธรรม ๒ อย่างนี้ ทั้ง ๒ ส่วน (ธรรม ๒ อย่างนี้ ทั้ง ๒ ส่วน ในที่นี้ หมายถึงตัณหา ๒
ประการ ได้แก่ (๑) วัฏฏมูลตัณหา ตัณหาที่เป็นมูลในวัฏฏะ หมายถึงตัณหาที่เป็นปัจจัยของอุปาทาน (๒)
สมุทาจารตัณหา ตัณหาที่ฟุ้งขึ้น หมายถึงตัณหาที่ท่านกล่าวว่า เพราะอาศัยตัณหา ปริเยสนาจึงมี เป็นต้น)
รวมลงเป็นอย่างเดียวกับเวทนาด้วยประการฉะนี้
[๑๑๓] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผลที่
ผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าผัสสะ คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กาย
สัมผัส และมโนสัมผัสไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อผัสสะไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ
ผัสสะดับไป เวทนาจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งเวทนา ก็
คือผัสสะนั่นเอง
[๑๑๔] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผลที่
นามรูปเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี ดังต่อไปนี้ การบัญญัตินามกาย (นามกาย หมายถึงนามขันธ์ ๔ คือ (๑)
เวทนาขันธ์ (๒) สัญญาขันธ์ (๓) สังขารขันธ์ (๔) วิญญาณขันธ์) ต้องพร้อมด้วยอาการ (อาการ หมายถึง
อากัปกิริยาของนามขันธ์แต่ละอย่างที่สาแดงออกมา) เพศ (เพศ หมายถึงลักษณะที่บ่งบอกหรือใช้เป็น
เครื่องอนุมานถึงนามขันธ์แต่ละอย่าง) นิมิต (นิมิต หมายถึงเครื่องหมายแสดงถึงลักษณะเฉพาะของนาม
ขันธ์แต่ละอย่าง) อุทเทส (อุทเทส หมายถึงคาอธิบายเกี่ยวกับนามขันธ์แต่ละอย่าง เช่น เป็นสิ่งที่ไม่ใช่รูป
เป็นสิ่งที่รับรู้ได้) เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุทเทส นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสแต่ชื่อในรูปกายจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “การบัญญัติรูปกายต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต และอุทเทส
เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุทเทสนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบในนามกายจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “การบัญญัตินามกายและรูปกายต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต
และอุทเทส เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุทเทสนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสแต่ชื่อจะปรากฏได้หรือ”
7
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “การบัญญัตินามรูปต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต และอุทเทส
เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุทเทสนั้นๆ ไม่มี ผัสสะจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งผัสสะ ก็
คือนามรูปนั่นเอง
[๑๑๕] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี’ เธอพึงทราบ
เหตุผลที่วิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าวิญญาณจักไม่หยั่งลงในท้องมารดา นามรูปจะก่อ
ตัวขึ้นในท้องมารดาได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องมารดาแล้วล่วงเลยไป นามรูปจักบังเกิด
ขึ้นเพื่อความเป็นอย่างนี้ ได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “ก็ถ้าวิญญาณเด็กชายหรือเด็กหญิงผู้เยาว์วัยจักขาดความสืบต่อ
นามรูปจักเจริญงอกงามไพบูลย์ได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งนามรูป ก็
คือวิญญาณนั่นเอง
[๑๑๖] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะนามรูปเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี’ เธอพึงทราบ
เหตุผลที่นามรูปเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าวิญญาณจักไม่ได้อาศัยนามรูป ชาติ ชรา มรณะ
และความเกิดขึ้นแห่งทุกขสมุทัยจะปรากฏได้หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งวิญญาณ
ก็คือนามรูปนั่นเอง
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ แล วิญญาณและนามรูปจึงเกิด แก่ ตาย จุติหรืออุบัติ
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงมีคาที่เป็นเพียงชื่อ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงมีคาที่ใช้ตามความหมาย ด้วย
เหตุเพียงเท่านี้ จึงมีคาบัญญัติ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงมีแต่สื่อ ความเข้าใจ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ วัฏฏะจึง
เป็นไป ความเป็นอย่างนี้ ย่อมปรากฏ โดยการบัญญัติ (ความเป็นอย่างนี้ ย่อมปรากฏโดยการบัญญัติ
หมายถึงขันธ์ ๕ เป็นเพียงชื่อที่บัญญัติขึ้น) คือ นามรูปย่อมเป็นไปพร้อมกับวิญญาณ เพราะต่างก็เป็นปัจจัย
ของกันและกัน
บัญญัติอัตตา
[๑๑๗] อานนท์ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตา ย่อมบัญญัติด้วยความเห็นกี่อย่าง
8
บุคคล
๑. เมื่อจะบัญญัติอัตตาที่มีขนาดจากัด มีรูป ย่อมบัญญัติว่า ‘อัตตาของเรามีขนาดจากัด มีรูป’
๒. เมื่อจะบัญญัติอัตตามีขนาดไม่จากัด มีรูป ย่อมบัญญัติว่า ‘อัตตาของเรามีขนาดไม่จากัด มีรูป’
๓. เมื่อจะบัญญัติอัตตาที่มีขนาดจากัด ไม่มีรูป ย่อมบัญญัติว่า ‘อัตตาของเรามีขนาดจากัด ไม่มี
รูป’
๔. เมื่อจะบัญญัติอัตตาที่มีขนาดไม่จากัด ไม่มีรูป ย่อมบัญญัติว่า‘อัตตาของเรามีขนาดไม่จากัด
ไม่มีรูป’
[๑๑๘] ในความเห็น ๔ อย่างนั้น บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตามีขนาดจากัดมีรูป ย่อมบัญญัติว่ามีอยู่
เฉพาะในชาตินี้ หรือบัญญัติว่าเป็นสภาพมีอยู่ตลอดกาล หรือมีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มีสภาพไม่
เที่ยง ที่มีอยู่ ให้สาเร็จเป็นสภาพเที่ยง’ อานนท์ การลงความเห็นว่า อัตตาที่มีอยู่ มีขนาดจากัด มีรูป ย่อม
ติดตามมาด้วยอาการอย่างนี้ ฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้
บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตามีขนาดไม่จากัด มีรูป ย่อมบัญญัติว่ามีอยู่เฉพาะในชาตินี้ หรือบัญญัติ
ว่าเป็นสภาพมีอยู่ตลอดกาล หรือมีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มีสภาพไม่เที่ยง ที่มีอยู่ ให้สาเร็จเป็น
สภาพเที่ยง’ อานนท์ การลงความเห็นว่าอัตตาที่มีอยู่ มีขนาดไม่จากัด มีรูป ย่อมติดตามมาด้วยอาการอย่าง
นี้ ฉะนั้นจึงควรกล่าวไว้
บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตามีขนาดจากัด ไม่มีรูป ย่อมบัญญัติว่ามีอยู่เฉพาะในชาตินี้ หรือบัญญัติ
ว่าเป็นสภาพมีอยู่ตลอดกาล หรือมีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มีสภาพไม่เที่ยง ที่มีอยู่ ให้สาเร็จเป็น
สภาพเที่ยง’ อานนท์ การลงความเห็นว่าอัตตาที่มีอยู่ มีขนาดจากัด ไม่มีรูป ย่อมติดตามมาด้วยอาการอย่าง
นี้ ฉะนั้นจึงควรกล่าวไว้
บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตามีขนาดไม่จากัด ไม่มีรูป ย่อมบัญญัติว่ามีอยู่เฉพาะในชาตินี้ หรือ
บัญญัติว่าเป็นสภาพมีอยู่ตลอดกาล หรือมีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มีสภาพไม่เที่ยง ที่มีอยู่ ให้สาเร็จ
เป็นสภาพเที่ยง’ อานนท์ การลงความเห็นว่าอัตตา ที่มีอยู่ มีขนาดไม่จากัด ไม่มีรูป ย่อมติดตามมาด้วย
อาการอย่างนี้ ฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้
อานนท์ บุคคลเมื่อบัญญัติอัตตา ย่อมบัญญัติด้วยความเห็น ๔ อย่างนี้ แล”
ไม่บัญญัติอัตตา
[๑๑๙] “อานนท์ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตา ย่อมไม่บัญญัติด้วยความเห็นกี่อย่าง
บุคคล
๑. เมื่อไม่บัญญัติอัตตาที่มีขนาดจากัด มีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่า ‘อัตตาของเรามีขนาดจากัด มีรูป’
๒. เมื่อไม่บัญญัติอัตตามีขนาดไม่จากัด มีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่า ‘อัตตาของเรามีขนาดไม่จากัด มี
รูป’
๓. เมื่อไม่บัญญัติอัตตาที่มีขนาดจากัด ไม่มีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่า ‘อัตตาของเรามีขนาดจากัด ไม่มี
รูป’
9
๔. เมื่อไม่บัญญัติอัตตาที่มีขนาดไม่จากัด ไม่มีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่า ‘อัตตาของเรา มีขนาดไม่
จากัด ไม่มีรูป’
[๑๒๐] ในความเห็น ๔ อย่างนั้น บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตามีขนาดจากัดมีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่ามี
อยู่เฉพาะในชาตินี้ หรือไม่บัญญัติว่าเป็นสภาพมีอยู่ตลอดกาล หรือไม่มีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มี
สภาพไม่เที่ยง ที่มีอยู่ ให้สาเร็จเป็นสภาพเที่ยง’ การลงความเห็นว่าอัตตาที่มีอยู่มีขนาดจากัด มีรูป ย่อมไม่
ติดตามมาด้วยอาการอย่างนี้ ฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้
บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตามีขนาดไม่จากัด มีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่ามีอยู่เฉพาะในชาตินี้ หรือไม่
บัญญัติว่าเป็นสภาพที่มีอยู่ตลอดกาล หรือไม่มีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มีสภาพไม่เที่ยง ที่มีอยู่ ให้
สาเร็จเป็นสภาพเที่ยง’ การลงความเห็นว่า อัตตาที่มีอยู่ มีขนาดไม่จากัด มีรูป ย่อมไม่ติดตามมาด้วยอาการ
อย่างนี้ ฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้
บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตามีขนาดจากัด ไม่มีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่ามีอยู่เฉพาะในชาตินี้ หรือไม่
บัญญัติว่าเป็นสภาพที่มีอยู่ตลอดกาล หรือไม่มีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มีสภาพไม่เที่ยง ที่มีอยู่ ให้
สาเร็จเป็นสภาพเที่ยง’ การลงความเห็นว่าอัตตาที่มีอยู่มีขนาดจากัดไม่มีรูป ย่อมไม่ติดตามมาด้วยอาการ
อย่างนี้ ฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้
บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตามีขนาดไม่จากัด ไม่มีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่ามีอยู่เฉพาะในชาตินี้ หรือไม่
บัญญัติว่าเป็นสภาพมีอยู่ตลอดกาล หรือไม่มีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มีสภาพไม่เที่ยง ที่มีอยู่ ให้
สาเร็จเป็นสภาพเที่ยง’ การลงความเห็นว่า อัตตาที่มีอยู่ มีขนาดไม่จากัด ไม่มีรูป ย่อมไม่ติดตามมาด้วย
อาการอย่างนี้ ฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้
อานนท์ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตา ย่อมไม่บัญญัติด้วยความเห็น ๔ อย่างนี้ แล”
ความเห็นว่าเป็นอัตตา
[๑๒๑] “อานนท์ บุคคลเมื่อเห็นว่ามีอัตตา ย่อมเห็นด้วยความเห็น กี่อย่าง บุคคลเมื่อเห็นเวทนา
ว่าเป็นอัตตา ย่อมเห็นว่า ‘เวทนาเป็นอัตตาของเรา’ หรือเห็นว่า ‘เวทนาไม่ใช่อัตตาของเรา (เพราะ) อัตตา
ของเราไม่เสวยอารมณ์’ หรือเห็นว่า ‘เวทนาไม่ใช่อัตตาของเรา อัตตาของเราจะไม่เสวยอารมณ์ก็มิใช่ อัตตา
ของเรายังเสวยอารมณ์อยู่ เพราะอัตตาของเรามีเวทนาเป็นคุณสมบัติ’
[๑๒๒] อานนท์ ในความเห็น ๓ อย่างนั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘เวทนาเป็นอัตตาของเรา’ เขาจะถูก
ซักถามว่า ‘ผู้มีอายุ เวทนามี ๓ อย่าง คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา บรรดาเวทนา ๓
อย่างนี้ เธอเห็นเวทนาอย่างไหนว่าเป็นอัตตา’
ในคราวที่อัตตาเสวยสุขเวทนา ก็ย่อมไม่เสวยทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา คงเสวยแต่สุข
เวทนาเท่านั้น ในคราวที่อัตตาเสวยทุกขเวทนา ก็ย่อมไม่เสวยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา คงเสวยแต่
ทุกขเวทนาเท่านั้น ในคราวที่อัตตาเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ย่อมไม่เสวยสุขเวทนาและทุกขเวทนา คงเสวย
แต่อทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น
10
[๑๒๓] อานนท์ แม้สุขเวทนาก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิด มีความสิ้นไปเป็น
ธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา แม้
ทุกขเวทนาก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิด มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็น
ธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา แม้อทุกขมสุขเวทนาก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัย
ปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิด มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็น
ธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา
เมื่อบุคคลเสวยสุขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า ‘นี้ เป็นอัตตาของเรา’ เมื่อสุขเวทนานั้นดับ จึงมี
ความเห็นว่า ‘อัตตาของเราดับไปแล้ว’ เมื่อบุคคลเสวยทุกขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า ‘นี้ เป็นอัตตาของเรา’
เมื่อทุกขเวทนานั้นดับ จึงมีความเห็นว่า ‘อัตตาของเราดับไปแล้ว’ เมื่อบุคคลเสวยอทุกขมสุขเวทนา ย่อมมี
ความเห็นว่า ‘นี้ เป็นอัตตาของเรา’ เมื่ออทุกขมสุขเวทนานั้นดับ จึงมีความเห็นว่า ‘อัตตาของเราดับไปแล้ว’
ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘เวทนาเป็นอัตตาของเรา’ เมื่อเห็นเวทนาว่าเป็นอัตตา ย่อมเห็นอัตตา ไม่
เที่ยง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ในปัจจุบัน เพราะเหตุ
นั้นแล อานนท์ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงยังไม่ควรที่จะเห็นว่า ‘เวทนาเป็นอัตตาของเรา’
[๑๒๔] อานนท์ ในความเห็น ๓ อย่างนั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘เวทนาไม่ใช่อัตตาของเรา (เพราะ)
อัตตาของเราไม่เสวยอารมณ์’ เขาจะถูกซักถามว่า ‘ในรูปขันธ์ซึ่งไม่มีการเสวยอารมณ์ จะมีความรู้สึกว่า
‘เป็นเรา’ เกิดขึ้นได้หรือไม่”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “เกิดขึ้นไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “เพราะเหตุนั้นแล อานนท์ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงยังไม่ควรที่จะเห็นว่า
เวทนาไม่ใช่อัตตาของเรา เพราะอัตตาของเราไม่เสวยอารมณ์
[๑๒๕] อานนท์ ในความเห็น ๓ อย่างนั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘เวทนาไม่ใช่อัตตาของเรา อัตตาของ
เราจะไม่เสวยอารมณ์ก็มิใช่ อัตตาของเรายังเสวยอารมณ์อยู่ เพราะอัตตาของเรามีเวทนาเป็นคุณสมบัติ’ เขา
จะถูกซักถามว่า ‘ผู้มีอายุ ก็เพราะเวทนาจะต้องดับไปทั้งหมดทั้งสิ้นไม่มีเหลือ เมื่อไม่มีเวทนา เพราะเวทนา
ดับไป โดยประการทั้งปวงยังจะมีความรู้สึกว่า ‘เป็นเรา’ ได้หรือไม่
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “เพราะเหตุนั้นแล อานนท์ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงยังไม่ควรที่จะเห็นว่า
‘เวทนาไม่ใช่อัตตาของเรา อัตตาของเราจะไม่เสวยอารมณ์ก็มิใช่ อัตตาของเรายังเสวยอารมณ์อยู่ เพราะ
อัตตาของเรามีเวทนาเป็นคุณสมบัติ’
[๑๒๖] อานนท์ ภิกษุใดไม่เห็นเวทนาว่าเป็นอัตตา ไม่เห็นการเสวยอารมณ์ว่าเป็นอัตตา และไม่
เห็นว่า ‘อัตตาของเรายังต้องเสวยอารมณ์ เพราะว่าอัตตาของเรามีเวทนาเป็นคุณสมบัติ’ ภิกษุนั้นเมื่อเห็น
อย่างนี้ ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก และเมื่อไม่ถือมั่นย่อมไม่สะทกสะท้าน เมื่อไม่สะทกสะท้านย่อมดับได้
เฉพาะตน (ย่อมดับได้เฉพาะตน หมายถึงดับกิเลสได้ด้วยตนเอง) ย่อมรู้ชัดว่า ‘ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบ
พรหมจรรย์แล้ว ทากิจที่ควรทาเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ อีกต่อไป’
11
ผู้ใดกล่าวกับภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วดังกล่าวนั้นอย่างนี้ ว่า ‘ท่านมีทิฏฐิว่า ‘หลังจากตายแล้ว
ตถาคตเกิดอีกหรือ’ การกล่าวของผู้นั้นไม่สมควร ผู้ใดกล่าวกับภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วดังกล่าวนั้น อย่างนี้
ว่า ‘ท่านมีทิฏฐิว่า ‘หลังจากตายแล้วตถาคตไม่เกิดอีกหรือ’ การกล่าวของผู้นั้นก็ไม่สมควร ผู้ใดกล่าวกับภิกษุ
ผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วดังกล่าวนั้น อย่างนี้ ว่า ‘ท่านมีทิฏฐิว่า ‘หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีกและไม่เกิดอีก
หรือ’ การกล่าวของผู้นั้นก็ไม่สมควร ผู้ใดกล่าวกับภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วดังกล่าวนั้น อย่างนี้ ว่า ‘ท่านมีทิฏฐิ
ว่า ‘หลังจากตายแล้ว ตถาคตจะว่าเกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่หรือ’ การกล่าวของผู้นั้นก็ไม่สมควร
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะชื่อ คาที่เป็นเพียงชื่อ ความหมาย คาที่ใช้ตามความหมาย บัญญัติ คา
บัญญัติ ความเข้าใจ สื่อความเข้าใจ วัฏฏะยังเป็นไปอยู่ตลอดกาลเพียงใด วัฏฏะย่อมหมุนไปตลอดกาลเพียง
นั้น
ภิกษุชื่อว่าหลุดพ้นแล้วเพราะรู้ยิ่งวัฏฏะนั้น ผู้ใดกล่าวกับภิกษุผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้ยิ่งวัฏฏะนั้น
ว่า ‘ท่านมีทิฏฐิว่า ‘พระอรหันต์ย่อมไม่รู้ไม่เห็น’ การกล่าวของผู้นั้นก็ไม่สมควร’
วิญญาณฐิติ ๗ ประการ
(ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ)
[๑๒๗] อานนท์ วิญญาณฐิติ ๗ ประการ และอายตนะ ๒ ประการนี้ วิญญาณฐิติ ๗ ประการ
อะไรบ้าง คือ
๑. มีสัตว์ทั้งหลายผู้มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน คือ มนุษย์ เทพบางพวก (เทพบางพวก
หมายถึงพวกเทพในสวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ คือ (๑) ชั้นจาตุมหาราช (๒) ชั้นดาวดึงส์ (๓) ชั้นยามา (๔)
ชั้นดุสิต (๕) ชั้นนิมมานรดี (๖) ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี) และวินิปาติกะบางพวก (วินิปาติกะบางพวก ในที่นี้
หมายถึงยักษิณีและเวมานิกเปรตที่พ้นจากอบายภูมิ ๔) นี้ เป็นวิญญาณฐิติที่ ๑
๒. มีสัตว์ทั้งหลายผู้มีกายต่างกัน แต่มีสัญญาอย่างเดียวกัน คือ พวกเทพชั้นพรหมกายิกา (พวก
เทพชั้นพรหมกายิกา หมายถึงพรหมชั้นปฐมฌาน ๓ ชั้น คือ (๑) พรหมปาริสัชชา (พวกบริษัทบริวาร
มหาพรหม) (๒) พรหมปุโรหิตา (พวกปุโรหิตมหาพรหม) (๓) มหาพรหมา (พวกท้าวมหาพรหม)) เกิดใน
ปฐมฌานและเหล่าสัตว์ผู้เกิดในอบาย ๔ นี้ เป็นวิญญาณฐิติที่ ๒
๓. มีสัตว์ทั้งหลายผู้มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน คือ พวกเทพชั้นอาภัสสระ นี้ เป็น
วิญญาณฐิติที่ ๓
๔. มีสัตว์ทั้งหลายผู้มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน คือ พวกเทพชั้นสุภกิณหะ (เทพที่
เต็มไปด้วยความงดงาม) นี้ เป็นวิญญาณฐิติที่ ๔
๕. มีสัตว์ทั้งหลายผู้บรรลุอากาสานัญจายตนฌานโดยกาหนดว่า ‘อากาศหาที่สุดมิได้’ เพราะล่วง
รูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่กาหนดนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง นี้ เป็นวิญญาณฐิติที่ ๕
๖. มีสัตว์ทั้งหลายผู้ล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน
โดยกาหนดว่า ‘วิญญาณหาที่สุดมิได้’ นี้ เป็นวิญญาณฐิติที่ ๖
12
๗. มีสัตว์ทั้งหลายผู้ล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน
โดยกาหนดว่า ‘ไม่มีอะไร’ นี้ เป็นวิญญาณฐิติที่ ๗
อายตนะ ๒ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. อสัญญีสัตตายตนะ (อายตนะของสัตว์ผู้ไม่มีสัญญา) นี้ เป็นอายตนะที่ ๑
๒. เนวสัญญานาสัญญายตนะ (อายตนะของสัตว์ผู้มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่) นี้ เป็น
อายตนะที่ ๒
[๑๒๘] อานนท์ ในวิญญาณฐิติ ๗ ประการนั้น วิญญาณฐิติที่ ๑ ว่า สัตว์ทั้งหลายผู้มีกายต่างกัน มี
สัญญาต่างกัน คือ มนุษย์บางพวก เทพบางพวกและวินิปาติกะบางพวก ผู้ที่รู้วิญญาณฐิตินั้น รู้ความเกิด รู้
ความดับ รู้คุณ รู้โทษของวิญญาณฐิตินั้น และรู้อุบายสลัดออกจากวิญญาณฐิตินั้น เขาควรจะเพลิดเพลินใน
วิญญาณฐิตินั้นอยู่อีกหรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ควร พระพุทธเจ้าข้า”
ฯลฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “อานนท์ วิญญาณฐิติที่ ๗ ว่า สัตว์ทั้งหลายผู้ล่วงวิญญาณัญจายตน
ฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวงโดยกาหนดว่า ‘ไม่มีอะไร” ผู้ที่รู้
วิญญาณฐิตินั้น รู้ความเกิด รู้ความดับ รู้คุณ รู้โทษของวิญญาณฐิตินั้น และรู้อุบายสลัดออกจากวิญญาณฐิติ
นั้น เขาควรจะเพลิดเพลินในวิญญาณฐิตินั้นอยู่อีกหรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ควร พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “อานนท์ ในอายตนะ ๒ ประการนั้น อายตนะที่ ๑ คือ อสัญญีสัต
ตายตนะ ผู้ที่รู้อสัญญีสัตตายตนะนั้น รู้ความเกิด รู้ความดับ รู้คุณ รู้โทษของอสัญญีสัตตายตนะนั้น และรู้
อุบายสลัดออกจากอสัญญีสัตตายตนะนั้น เขาควรจะเพลิดเพลินในอสัญญีสัตตายตนะนั้นอยู่อีกหรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ควร พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “อานนท์ อายตนะที่ ๒ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ผู้ที่รู้เนว
สัญญานาสัญญายตนะนั้น รู้ความเกิด รู้ความดับ รู้คุณ รู้โทษของเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น และรู้อุบาย
สลัดออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น เขาควรจะเพลิดเพลินในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้นอยู่อีก
หรือ”
ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ควร พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ ภิกษุผู้รู้ถึงความเกิด ความดับ คุณ โทษ ของวิญญาณฐิติ ๗
และอายตนะ ๒ และอุบายสลัดออกจากวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ นี้ ตามความเป็นจริง ย่อมหลุดพ้น
เพราะไม่ถือมั่น (หลุดพ้นเพราะไม่ถือมั่น หมายถึงไม่ถือมั่นในอุปาทาน ๔ คือ (๑) กามุปาทาน (ความถือ
มั่นในกาม) (๒) ทิฏฐุปาทาน (ความถือมั่นในทิฏฐิ) (๓) สีลัพพตุปาทาน (ความถือมั่นในศีลพรต) (๔)
อัตตวาทุปาทาน (ความถือมั่นในวาทะว่ามีอัตตา)) ภิกษุนี้ เราเรียกว่าผู้เป็นปัญญาวิมุต (ผู้เป็นปัญญาวิมุต
หมายถึงหลุดพ้นด้วยกาลังปัญญา โดยไม่ได้บรรลุสมาธิชั้นสูงคือวิโมกข์ ๘)
13
วิโมกข์ ๘ ประการ
[๑๒๙] อานนท์ วิโมกข์ ๘ ประการนี้
วิโมกข์ ๘ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. บุคคลผู้มีรูป เห็นรูปทั้งหลาย (มีรูป หมายถึงได้รูปฌานโดยเจริญกสิณที่กาหนดวัตถุในกาย
ของตน เช่น สีผม เห็นรูปทั้งหลาย หมายถึงเห็นรูปฌาน ๔) นี้ เป็นวิโมกข์ประการที่ ๑
๒. บุคคลผู้มีอรูปสัญญาภายใน เห็นรูปทั้งหลายภายนอก (เห็นรูปทั้งหลายภายนอก หมายถึง
เห็นรูปทั้งหลายมีนีลกสิณเป็นต้นด้วยญาณจักขุ) นี้ เป็นวิโมกข์ประการที่ ๒
๓. บุคคลผู้น้อมใจไปว่า ‘งาม‘ (ผู้น้อมใจไปว่างาม หมายถึงผู้เจริญวัณณกสิณ กาหนดสีที่งาม) นี้
เป็นวิโมกข์ประการที่ ๓
๔. บุคคลบรรลุอากาสานัญจายตนฌานโดยกาหนดว่า ‘อากาศหาที่สุดมิได้’ อยู่ เพราะล่วงรูป
สัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่กาหนดนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง นี้ เป็นวิโมกข์ประการที่ ๔
๕. บุคคลล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุวิญญาณัญจายตนฌานโดย
กาหนดว่า ‘วิญญาณหาที่สุดมิได้’ อยู่นี้ เป็นวิโมกข์ประการที่ ๕
๖. บุคคลล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌานโดยกาหนด
ว่า ‘ไม่มีอะไร’ อยู่ นี้ เป็นวิโมกข์ประการที่ ๖
๗. บุคคลล่วงอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่
นี้ เป็นวิโมกข์ประการที่ ๗
๘. บุคคลล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ นี้
เป็นวิโมกข์ประการที่ ๘ อานนท์ วิโมกข์ ๘ ประการนี้ แล
[๑๓๐] อานนท์ ภิกษุผู้เข้าวิโมกข์ ๘ ประการนี้ โดยอนุโลมบ้าง โดยปฏิโลมบ้าง ทั้งโดยอนุโลม
และปฏิโลมบ้าง เข้าหรือออกได้ตามโอกาสที่ต้องการ ตามชนิดสมาบัติที่ต้องการ และตามระยะเวลาที่
ต้องการ ทาให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะเพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่
ในปัจจุบัน ภิกษุนี้ เราเรียกว่า ผู้เป็นอุภโตภาควิมุต (ผู้เป็นอุภโตภาควิมุต คือ ผู้หลุดพ้นทั้ง ๒ ส่วน หมายถึง
พระอรหันต์ผู้บาเพ็ญสมถะมามากจนได้สมาบัติ ๘ แล้วจึงใช้สมถะนั้นเป็นฐานบาเพ็ญวิปัสสนาต่อไป ชื่อว่า
หลุดพ้น ๒ ส่วน คือ (๑) หลุดพ้นจากรูปกายด้วยอรูปสมาบัติ (วิกขัมภนะ) (๒) หลุดพ้นจากนามกายด้วย
อริยมรรค (สมุจเฉทะ)) อานนท์ อุภโตภาควิมุตติอย่างอื่นที่ดีกว่าหรือประณีตกว่าอุภโตภาควิมุตตินี้ ไม่มี”
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ท่านพระอานนท์มีใจยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค
แล้วแล
มหานิทานสูตรที่ ๒ จบ
--------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนี้ นามาจากบางส่วนของอรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค
14
มหานิทานสูตร
อรรถกถามหานิทานสูตร
มหานิทานสูตรมีบทเริ่มต้นว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ ว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กุรุชนบท ดังนี้ .
ก็พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า ในรัชกาลพระเจ้ามันธาตุ พวกมนุษย์ใน ๓ ทวีป ได้ยิน
มาว่า ชมพูทวีปเป็นที่เกิดของบุรุษผู้สูงสุด นับแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระมหาสาวก และพระ
เจ้าจักรพรรดิ เป็นทวีปอุดม น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก จึงพากันมากับพระเจ้าจักรพรรดิมันธาตุราชผู้ปล่อยจักรแก้ว
แล้วมุ่งติดตามไปยังทวีปทั้ง ๔.
ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามปริณายกแก้วว่า ยังมีที่รื่นรมย์กว่ามนุษยโลกหรือไหมหนอ
ปริณายกแก้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ เพราะเหตุไร พระองค์จึงตรัสอย่างนั้นเล่า พระเจ้าข้า พระองค์ไม่
ทรงเห็นอานุภาพของพระจันทร์และพระอาทิตย์ หรือฐานะของพระจันทร์และพระอาทิตย์เหล่านั้น น่า
รื่นรมย์กว่านี้ มิใช่หรือ พระเจ้าข้า. พระราชาได้ทรงปล่อยจักรแก้วไป ณ ที่นั้น.
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้สดับว่า พระเจ้ามันธาตุราชเสด็จมาแล้ว คิดว่าพระราชาทรงฤทธิ์มาก เรา
ไม่สามารถจะห้ามการรบได้ จึงมอบราชสมบัติของตนให้ พระเจ้ามันธาตุราชทรงรับราชสมบัตินั้นแล้วตรัส
ถามต่อไปว่า ยังมีที่น่ารื่นรมย์ยิ่งกว่านี้ อีกไหม.
ลาดับนั้น ท้าวมหาราชเหล่านั้นกราบทูลถึงภพดาวดึงส์แก่พระองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ ภพ
ดาวดึงส์น่ารื่นรมย์กว่านี้ มหาราชทั้ง ๔ เหล่านี้ เป็นผู้รับใช้ของท้าวสักกเทวราช ณ พิภพนั้น ยืนอยู่ ณ พื้น
ของผู้รักษาประตู ท้าวสักกเทวราชมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ท้าวสักกเทวราชนั้นมีสถานที่สาหรับบารุง
บาเรอเหล่านี้ คือ เวชยันตปราสาทสูง ๑,๐๐๐ โยชน์ เทวสภาชื่อสุธัมมาสูง ๕๐๐ โยชน์ เวชยันตรถสูง ๑๕๐
โยชน์ ช้างเอราวัณก็เหมือนกัน สวนนันทวัน จิตรลดาวัน ปารุสกวัน มิสสกวันประดับด้วยต้นไม้ทิพย์ ๑,๐๐๐
ต้น ต้นทองหลาง ต้นทองกวาวสูง ๑๐๐ โยชน์ ภายใต้ต้นไม้นั้นมีแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ยาว ๖๐ โยชน์
กว้าง ๕๐ โยชน์ สูง ๑๕ โยชน์ มีสีเหมือนดอกชัยพฤกษ์ เพราะความอ่อนของบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นั้น เมื่อ
ท้าวสักกะประทับนั่ง พระวรกายครึ่งหนึ่งฟุบลงไป
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว มีพระประสงค์จะเสด็จไป ณ สักกเทวโลกนั้น จักรแก้วได้พุ่งขึ้นไป
แล้ว จักรแก้วนั้นตั้งอยู่บนอากาศพร้อมกับเสนาประกอบด้วยองค์ ๔ ต่อแต่นั้น จักรแก้วก็ได้ลงท่ามกลางเท
วโลกทั้งสอง ประดิษฐานอยู่บนแผ่นดิน พร้อมกับเสนาประกอบด้วยองค์ ๔ มีปริณายกแก้วเป็นหัวหน้า
พระราชาพระองค์เดียวเท่านั้นได้เสด็จไปสู่ภพดาวดึงส์.
ท้าวสักกเทวราชสดับว่า พระเจ้ามันธาตุราชเสด็จมาแล้ว กระทาการต้อนรับพระเจ้ามันธาตุราช
นั้น ตรัสว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์เสด็จมาดีแล้ว ข้าแต่มหาราช สมบัติเป็นของพระองค์ ข้าแต่มหาราช ขอ
พระองค์จงทรงปกครองเถิด แล้วทรงแบ่งราชสมบัติพร้อมด้วยนางระบาให้เป็นสองส่วน ได้ประทานให้ส่วน
หนึ่ง เมื่อพระราชามันธาตุราชพอเสด็จประทับอยู่บนภพดาวดึงส์เท่านั้น ความเป็นมนุษย์ได้หายไปแล้ว
ความเป็นเทพได้ปรากฏทันที
15
ได้ยินว่า เมื่อพระราชาประทับนั่ง ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์กับท้าวสักกะ พวกเทวดามิได้สังเกต
พระราชานั้นว่า ความต่างกันย่อมปรากฏโดยเพียงหลับตา ย่อมหลงลืมในความต่างกันของท้าวสักกะ และ
ของพระราชานั้น พระราชามันธาตุราชทรงเสวยทิพยสมบัติ ณ ภพดาวดึงส์นั้นทรงครองราชสมบัติ จนท้าว
สักกะทรงอุบัติแล้วจุติแล้วถึง ๓๖ องค์ ไม่ทรงอิ่มด้วยกาม ครั้นจุติจากภพดาวดึงส์แล้วตกลงในพระอุทยาน
ของพระองค์ พระวรกายถูกลมและแดดสัมผัสได้เสด็จสวรรคตเสียแล้ว.
ก็เมื่อจักรแก้วตั้งอยู่บนแผ่นดิน ปริณายกแก้วให้เขียนรองพระบาทของพระเจ้ามันธาตุราชที่แผ่น
ทองคา แล้วประกาศราชสมบัติว่า นี่คือราชสมบัติของพระเจ้ามันธาตุราช แม้พวกมนุษย์ที่มาจากทวีปทั้ง ๓
เหล่านั้น ก็ไม่สามารถจะกลับไปได้ จึงเข้าไปหาปริณายกแก้ววิงวอนว่า ข้าแต่ท่าน พวกข้าพเจ้ามาด้วย
อานุภาพของพระราชา บัดนี้ ไม่สามารถกลับไปได้ ขอท่านได้โปรดให้ที่อยู่แก่พวกข้าพเจ้าเถิด ปริณายกแก้ว
ได้ให้ชนบทหนึ่งๆ แก่มนุษย์เหล่านั้น ในประเทศเหล่านั้น ประเทศที่พวกมนุษย์มาจากบุพพวิเทหะทวีป
อาศัยอยู่ได้ชื่อว่าวิเทหรัฐ ตามความหมายเดิมนั้นนั่นเอง ประเทศที่พวกมนุษย์มาจากอมรโคยานทวีปอาศัย
อยู่ได้ชื่อว่าอปรันตชนบท ประเทศที่พวกมนุษย์มาจากอุตตรกุรุทวีปได้ชื่อว่ากุรุรัฐ
จริงอยู่ บัณฑิตทั้งหลายเข้าไปหาผู้ที่อยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพ ย่อมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เพราะความเป็นผู้ฉลาดในการนั่ง ก็พระอานนท์นี้ เป็นบัณฑิตรูปหนึ่งของบรรดาบัณฑิตเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น จึงนั่งแล้ว ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ก็นั่งอย่างไรจึงเป็นอันนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง นั่งเว้นโทษ
ของการนั่ง ๖ อย่าง คือ ไกลเกินไป ๑ ใกล้เกินไป ๑ เหนือลม ๑ สูงไป ๑ ตรงหน้าเกินไป ๑ หลังเกินไป ๑
เพราะนั่งไกลเกินไป หากประสงค์จะถาม ก็จะต้องพูดด้วยเสียงดัง นั่งใกล้เกินไปก็จะเบียดเสียด นั่งเหนือลม
ย่อมรบกวนด้วยกลิ่นตัว นั่งสูงไปย่อมแสดงความไม่เคารพ นั่งตรงหน้าเกินไป หากประสงค์จะมองดู ย่อม
เป็นการจ้องตาต่อตาดูกัน นั่งหลังเกินไป หากประสงค์จะมองดู ก็จะต้องยืดคอดู
เพราะฉะนั้น แม้พระอานนท์นี้ ก็กระทาประทักษิณพระผู้มีพระภาคเจ้า ๓ ครั้ง แล้วถวายบังคม
ด้วยความเคารพ เว้นโทษของการนั่ง ๖ อย่างเหล่านี้ เข้าไปภายในของพระพุทธรัศมีมีวรรณ ๖ อย่าง ในที่
เฉพาะเบื้องหน้าของมณฑลพระชานุข้างขวา ท่านพระอานนท์ผู้เป็นภัณฑาคาริกของพระธรรมได้นั่งแล้ว ดุจ
ลงสู่รสครั่งที่ผ่องใส ดุจห่มแผ่นทองคา และดุจเข้าไปสู่ท่ามกลางเพดานแห่งดอกอุบลสีแดง เพราะฉะนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า พระอานนท์นั่งแล้ว ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ก็พระอานนท์นี้ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในเวลาไร ด้วยเหตุไร
ในเวลาเย็น ด้วยเหตุ คือการถามปัญหาเรื่องปัจจยาการ
ในวันนั้น ท่านพระอานนท์เที่ยวไปยังบ้านกัมมาสธัมมะเพื่อบิณฑบาต ดุจเข้าไปสู่บ้านอันมี
ภัณฑะ ๑,๐๐๐ ณ ประตูเรือนเพื่อสงเคราะห์ตระกูลกลับจากบิณฑบาตแล้ว ดูแลปรนนิบัติพระศาสดา เมื่อ
พระศาสดาเสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฎี ถวายบังคมพระศาสดาแล้วไปสู่ที่พักกลางวันของตน เมื่อลูกศิษย์
ทั้งหลายดูแลปรนนิบัติแล้วกลับไปแล้ว ได้กวาดที่พักกลางวันปูแผ่นหนัง ตักน้าจากตุ่มน้าเอาน้าชาระมือ
และเท้าให้เย็น นั่งขัดสมาธิเข้าสมาบัติขั้นโสดาปัตติผล ครั้นออกจากสมาบัติตามเวลาที่กาหนดไว้แล้วหยั่ง
ลงสู่ญาณในปัจจยาการ.
พระอานนท์นั้นถึงบทที่สุดตั้งแต่บทต้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยมีสังขารดังนี้ บทต้นตั้งแต่บท
๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf
๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf
๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf
๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf
๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf
๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf
๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf
๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf
๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf
๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf
๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf
๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf
๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf

More Related Content

Similar to ๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf

ไวยากรณ์เบื้องต้น วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์
ไวยากรณ์เบื้องต้น วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ไวยากรณ์เบื้องต้น วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์
ไวยากรณ์เบื้องต้น วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์Prasit Koeiklang
 
7 ก้าวย่างอย่างพุทธะ walklikebuddha
7 ก้าวย่างอย่างพุทธะ walklikebuddha7 ก้าวย่างอย่างพุทธะ walklikebuddha
7 ก้าวย่างอย่างพุทธะ walklikebuddhaTongsamut vorasan
 
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗Tongsamut vorasan
 
บาลี 37 80
บาลี 37 80บาลี 37 80
บาลี 37 80Rose Banioki
 
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗Wataustin Austin
 
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗Tongsamut vorasan
 
(๓) พระสารีปุตตเถราปทาน มจร.pdf
(๓) พระสารีปุตตเถราปทาน มจร.pdf(๓) พระสารีปุตตเถราปทาน มจร.pdf
(๓) พระสารีปุตตเถราปทาน มจร.pdfmaruay songtanin
 
การใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์และการไม่ใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์
การใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์และการไม่ใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์การใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์และการไม่ใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์
การใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์และการไม่ใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์Piyarerk Bunkoson
 
(๒) ปัจเจกพุทธาปทาน มจร.pdf
(๒) ปัจเจกพุทธาปทาน มจร.pdf(๒) ปัจเจกพุทธาปทาน มจร.pdf
(๒) ปัจเจกพุทธาปทาน มจร.pdfmaruay songtanin
 
Tri91 64+พระสุตตันตปิฎก+ขุททกนิกาย+ชาดก+เล่ม+๔+ภาค+๓
Tri91 64+พระสุตตันตปิฎก+ขุททกนิกาย+ชาดก+เล่ม+๔+ภาค+๓Tri91 64+พระสุตตันตปิฎก+ขุททกนิกาย+ชาดก+เล่ม+๔+ภาค+๓
Tri91 64+พระสุตตันตปิฎก+ขุททกนิกาย+ชาดก+เล่ม+๔+ภาค+๓Tongsamut vorasan
 
๐๖ อุปสีวปัญหา.pdf
๐๖ อุปสีวปัญหา.pdf๐๖ อุปสีวปัญหา.pdf
๐๖ อุปสีวปัญหา.pdfmaruay songtanin
 
พลังแห่งบุญฤทธิ์
พลังแห่งบุญฤทธิ์พลังแห่งบุญฤทธิ์
พลังแห่งบุญฤทธิ์Panda Jing
 
5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓
5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓
5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓Tongsamut vorasan
 
บาลี 44 80
บาลี 44 80บาลี 44 80
บาลี 44 80Rose Banioki
 
5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓
5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓
5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓Tongsamut vorasan
 
1 03+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาค+สมาสและตัทธิต
1 03+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาค+สมาสและตัทธิต1 03+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาค+สมาสและตัทธิต
1 03+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาค+สมาสและตัทธิตTongsamut vorasan
 
๐๗ นันทปัญหา.pdf
๐๗ นันทปัญหา.pdf๐๗ นันทปัญหา.pdf
๐๗ นันทปัญหา.pdfmaruay songtanin
 

Similar to ๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf (20)

Bali 2-10
Bali 2-10Bali 2-10
Bali 2-10
 
ไวยากรณ์เบื้องต้น วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์
ไวยากรณ์เบื้องต้น วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ไวยากรณ์เบื้องต้น วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์
ไวยากรณ์เบื้องต้น วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์
 
มนุษย์กับการสร้างสรรค์
มนุษย์กับการสร้างสรรค์มนุษย์กับการสร้างสรรค์
มนุษย์กับการสร้างสรรค์
 
7 ก้าวย่างอย่างพุทธะ walklikebuddha
7 ก้าวย่างอย่างพุทธะ walklikebuddha7 ก้าวย่างอย่างพุทธะ walklikebuddha
7 ก้าวย่างอย่างพุทธะ walklikebuddha
 
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
 
บาลี 37 80
บาลี 37 80บาลี 37 80
บาลี 37 80
 
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
 
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
3 37คัณฐีพระธัมมปทัฏฐกถา+ยกศัพท์แปล+ภาค๗
 
(๓) พระสารีปุตตเถราปทาน มจร.pdf
(๓) พระสารีปุตตเถราปทาน มจร.pdf(๓) พระสารีปุตตเถราปทาน มจร.pdf
(๓) พระสารีปุตตเถราปทาน มจร.pdf
 
การใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์และการไม่ใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์
การใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์และการไม่ใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์การใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์และการไม่ใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์
การใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์และการไม่ใช้คำว่า “ทรง” ในคำราชาศัพท์
 
(๒) ปัจเจกพุทธาปทาน มจร.pdf
(๒) ปัจเจกพุทธาปทาน มจร.pdf(๒) ปัจเจกพุทธาปทาน มจร.pdf
(๒) ปัจเจกพุทธาปทาน มจร.pdf
 
-------------- --- 1
 -------------- --- 1 -------------- --- 1
-------------- --- 1
 
Tri91 64+พระสุตตันตปิฎก+ขุททกนิกาย+ชาดก+เล่ม+๔+ภาค+๓
Tri91 64+พระสุตตันตปิฎก+ขุททกนิกาย+ชาดก+เล่ม+๔+ภาค+๓Tri91 64+พระสุตตันตปิฎก+ขุททกนิกาย+ชาดก+เล่ม+๔+ภาค+๓
Tri91 64+พระสุตตันตปิฎก+ขุททกนิกาย+ชาดก+เล่ม+๔+ภาค+๓
 
๐๖ อุปสีวปัญหา.pdf
๐๖ อุปสีวปัญหา.pdf๐๖ อุปสีวปัญหา.pdf
๐๖ อุปสีวปัญหา.pdf
 
พลังแห่งบุญฤทธิ์
พลังแห่งบุญฤทธิ์พลังแห่งบุญฤทธิ์
พลังแห่งบุญฤทธิ์
 
5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓
5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓
5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓
 
บาลี 44 80
บาลี 44 80บาลี 44 80
บาลี 44 80
 
5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓
5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓
5 44++มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๓
 
1 03+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาค+สมาสและตัทธิต
1 03+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาค+สมาสและตัทธิต1 03+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาค+สมาสและตัทธิต
1 03+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาค+สมาสและตัทธิต
 
๐๗ นันทปัญหา.pdf
๐๗ นันทปัญหา.pdf๐๗ นันทปัญหา.pdf
๐๗ นันทปัญหา.pdf
 

More from maruay songtanin

7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdfmaruay songtanin
 
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...maruay songtanin
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docxmaruay songtanin
 
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfOperational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfmaruay songtanin
 
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...maruay songtanin
 
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
 
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
 
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
 
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfOperational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
 
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
 
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 

๑๘ มหานิทานสูตร มจร.pdf

  • 1. 1 มหานิทานสูตร (ปฏิจจสมุปบาท) พลตรี มารวย ส่งทานินทร์ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เกริ่นนา มหานิทานสูตร ว่าด้วยสิ่งที่เป็นต้นเหตุใหญ่ (ปฏิจจสมุปบาท) เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง สุดจะคาดคะเน ได้ ก็เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาทนี้ หมู่สัตว์จึงยุ่งเหมือนขอดด้ายของช่างหูก เป็นปมนุงนังเหมือน กระจุกด้าย เหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง ไม่ข้ามพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต และสงสาร มหานิทานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทีฆนิกาย มหาวรรค ๒. มหานิทานสูตร ว่าด้วยสิ่งที่เป็นต้นเหตุใหญ่ ปฏิจจสมุปบาท [๙๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของชาวกุรุชื่อกัมมาสธัมมะ แคว้นกุรุ ครั้งนั้น ท่าน พระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระ ภาคดังนี้ ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ ปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง (ลึกซึ้ง หมายถึงลึกซึ้งโดยอาการ ๔ คือ (๑) อรรถ (ผล) (๒) ธรรม (เหตุ) (๓) เทศนา (วิธีการแสดง) (๔) ปฏิเวธ (การบรรลุ)) สุดจะคาดคะเนได้ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์เหมือนกับว่าเป็น ธรรมง่ายๆพระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ อย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง สุดจะคาดคะเนได้ ก็เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาทนี้ หมู่สัตว์จึงยุ่งเหมือนขอดด้าย ของช่างหูก เป็นปมนุงนังเหมือนกระจุกด้าย เหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง ไม่ข้ามพ้นอบาย (อบาย หมายถึงภาวะหรือที่อันปราศจากความเจริญ ๔ คือ (๑) นรก (๒) กาเนิดสัตว์ดิรัจฉาน (๓) แดน เปรต (๔) อสุรกาย) ทุคติ วินิบาตและสงสาร [๙๖] อานนท์ เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถาม ว่า ‘เพราะอะไรเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี’ เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย ชาติจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไรเป็น ปัจจัย ชาติจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี’
  • 2. 2 เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย ภพจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไรเป็น ปัจจัย ภพจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี’ เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย อุปาทานจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไร เป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี’ เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย ตัณหาจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไรเป็น ปัจจัย ตัณหาจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี’ เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย เวทนาจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไรเป็น ปัจจัย เวทนาจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี’ เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไรเป็น ปัจจัย ผัสสะจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี’ เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย นามรูปจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไร เป็นปัจจัย นามรูปจึงมี’ ควรตอบว่า ‘เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี’ เมื่อถูกถามว่า ‘เพราะสิ่งนี้ เป็นปัจจัย วิญญาณจึงมีหรือ’ ควรตอบว่า ‘มี’ ถ้าถามว่า ‘เพราะอะไร เป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี‘ควรตอบว่า ‘เพราะนามรูปเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี’ [๙๗] ด้วยเหตุดังนี้ แล เพราะนามรูปเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงมี ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มีได้ ด้วยประการฉะนี้ [๙๘] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผล ที่ชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าชาติ คือ ชาติ เพื่อความเป็นเทพของพวกเทพ เพื่อความเป็น คนธรรพ์ของพวกคนธรรพ์ เพื่อความเป็นยักษ์ของพวกยักษ์ เพื่อความเป็นภูตของพวกภูต เพื่อความเป็น มนุษย์ของพวกมนุษย์ เพื่อความเป็นสัตว์สี่เท้าของพวกสัตว์สี่เท้า เพื่อความเป็นสัตว์ปีกของพวกสัตว์ปีก เพื่อ ความเป็นสัตว์เลื้อยคลานของพวกสัตว์เลื้อยคลาน ไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง ก็ถ้าชาติไม่ได้มี เพื่อความเป็นอย่างนั้นของสรรพสัตว์พวกนั้นๆ เมื่อชาติไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะชาติดับไป ชรามรณะ จะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
  • 3. 3 พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งชราและ มรณะ ก็คือชาตินั่นเอง [๙๙] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผลที่ภพ เป็นปัจจัย ชาติจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าภพ คือ กามภพ รูปภพ หรืออรูปภพ ไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุก แห่ง เมื่อภพไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะภพดับไป ชาติจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งชาติ ก็คือ ภพนั่นเอง [๑๐๐] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผล ที่อุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าอุปาทาน คือ กามุปาทาน (ความยึดมั่นในกาม) ทิฏฐุปาทาน (ความยึดมั่นในทิฏฐิ) สีลัพพตุปาทาน (ความยึดมั่นในศีลพรต) หรืออัตตวาทุปาทาน (ความยึดมั่นในวา ทะว่ามีอัตตา) ไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่ออุปาทานไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ อุปาทานดับไป ภพจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งภพ ก็คือ อุปาทานนั่นเอง [๑๐๑] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี’ เธอพึงทราบ เหตุผลที่ตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าตัณหา คือ รูปตัณหา(อยากได้รูป) สัททตัณหา (อยากได้เสียง) คันธตัณหา(อยากได้กลิ่น) รสตัณหา(อยากได้รส) โผฏฐัพพตัณหา(อยากได้โผฏฐัพพะ) และธัมมตัณหา (อยากได้ธรรมารมณ์) ไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อตัณหาไม่มีโดยประการ ทั้งปวง เพราะตัณหาดับไป อุปาทานจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งอุปาทาน ก็คือตัณหานั่นเอง [๑๐๒] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผล ที่เวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าเวทนา คือ เวทนาที่เกิดจากจักขุสัมผัส เวทนาที่เกิดจากโสต สัมผัส เวทนาที่เกิดจากฆานสัมผัส เวทนาที่เกิดจากชิวหาสัมผัส เวทนาที่เกิดจากกายสัมผัส และเวทนาที่ เกิดจากมโนสัมผัส ไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อเวทนาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะเวทนา ดับไป ตัณหาจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งตัณหา ก็ คือเวทนานั่นเอง [๑๐๓] อานนท์ ด้วยเหตุดังนี้ แล
  • 4. 4 เพราะอาศัยเวทนา ตัณหาจึงมี เพราะอาศัยตัณหา ปริเยสนา (การแสวงหา) จึงมี เพราะอาศัยปริเยสนา ลาภะ (การได้) จึงมี เพราะอาศัยลาภะ วินิจฉยะ (การกาหนด) จึงมี เพราะอาศัยวินิจฉยะ ฉันทราคะ (ความกาหนัดด้วยอานาจความพอใจ) จึงมี เพราะอาศัยฉันทราคะ อัชโฌสานะ (ความหมกมุ่นฝังใจ) จึงมี เพราะอาศัยอัชโฌสานะ ปริคคหะ (การยึดถือครอบครอง) จึงมี เพราะอาศัยปริคคหะ มัจฉริยะ (ความตระหนี่) จึงมี เพราะอาศัยมัจฉริยะ อารักขะ (ความหวงกั้น) จึงมี เพราะอารักขะ เป็นเหตุ บาปอกุศลธรรมเป็นอเนก ย่อมเกิดขึ้นจากการถือท่อนไม้ การถือ ศัสตรา การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การพูดขึ้นเสียงว่า ‘มึง มึง’ การพูดส่อเสียด และการพูดเท็จ [๑๐๔] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะอารักขะเป็นเหตุ บาปอกุศลธรรมเป็นอเนก ย่อม เกิดขึ้นจากการถือท่อนไม้ การถือศัสตรา การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การพูดขึ้นเสียงว่า ‘มึง มึง’ การพูดส่อเสียด และการพูดเท็จ’ เธอพึงทราบเหตุผลที่อารักขะเป็นเหตุ บาปอกุศลธรรมเป็นอเนก ย่อม เกิดขึ้นจากการถือท่อนไม้ การถือศัสตรา การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การพูดขึ้นเสียงว่า ‘มึง มึง’ การพูดส่อเสียด และการพูดเท็จ ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าอารักขะไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่ออา รักขะไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะอารักขะดับไป บาปอกุศลธรรมเป็นอเนก จะเกิดขึ้นจากการถือท่อนไม้ การถือศัสตรา การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การพูดขึ้นเสียงว่า ‘มึง มึง’ การพูดส่อเสียด และการพูด เท็จได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “เกิดขึ้นไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ และปัจจัย แห่งบาปอกุศลธรรม เป็นอเนกที่เกิดขึ้นจากการถือท่อนไม้ การถือศัสตรา การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การพูดขึ้นเสียงว่า ‘มึง มึง’ การพูดส่อเสียด และการพูดเท็จ ก็คืออารักขะนั่นเอง [๑๐๕] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยมัจฉริยะ อารักขะจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผล ที่อาศัยมัจฉริยะ อารักขะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้ามัจฉริยะไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อมัจฉริยะ ไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะมัจฉริยะดับไป อารักขะจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งอารักขะ ก็คือมัจฉริยะนั่นเอง [๑๐๖] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยปริคคหะ มัจฉริยะจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผล ที่อาศัยปริคคหะ มัจฉริยะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าปริคคหะไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อปริคค หะไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะปริคคหะดับไป มัจฉริยะจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
  • 5. 5 พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งมัจฉริยะ ก็คือปริคคหะนั่นเอง [๑๐๗] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยอัชโฌสานะ ปริคคหะจึงมี’ เธอพึงทราบ เหตุผลที่อาศัยอัชโฌสานะ ปริคคหะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าอัชโฌสานะไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่ออัชโฌสานะไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะอัชโฌสานะดับไป ปริคคหะจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งปริคคหะ ก็คืออัชโฌสานะนั่นเอง [๑๐๘] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวไว้เช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยฉันทราคะ อัชโฌสานะจึงมี’ เธอพึงทราบ เหตุผลที่อาศัยฉันทราคะ อัชโฌสานะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าฉันทราคะไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อฉันทราคะไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะฉันทราคะดับไป อัชโฌสานะจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งอัชโฌสา นะ ก็คือฉันทราคะนั่นเอง [๑๐๙] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยวินิจฉยะ ฉันทราคะจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผล ที่อาศัยวินิจฉยะ ฉันทราคะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าวินิจฉยะไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อวินิจฉ ยะไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะวินิจฉยะดับไป ฉันทราคะจะปรากฏได้หรือ'' ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งฉันทรา คะ ก็คือวินิจฉยะนั่นเอง [๑๑๐] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยลาภะ วินิจฉยะจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผลที่ อาศัยลาภะ วินิจฉยะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าลาภะไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อลาภะไม่มีโดย ประการทั้งปวง เพราะลาภะหมดไป วินิจฉยะจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งวินิจฉยะ ก็คือลาภะนั่นเอง [๑๑๑] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยปริเยสนา ลาภะจึงมี เธอพึงทราบเหตุผลที่ อาศัยปริเยสนา ลาภะจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าปริเยสนาไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อปริเยสนา ไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะปริเยสนาดับไป ลาภะจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งลาภะ ก็ คือปริเยสนานั่นเอง
  • 6. 6 [๑๑๒] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะอาศัยตัณหา ปริเยสนาจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผลที่ อาศัยตัณหา ปริเยสนาจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าตัณหา คือ กามตัณหา (กามตัณหา (ความทะยานอยากใน กาม) ในที่นี้ หมายถึงราคะที่เนื่องด้วยกามคุณ ๕) ภวตัณหา (ภวตัณหา (ความทะยานอยากในภพ) ในที่นี้ หมายถึงราคะในรูปภพและอรูปภพ, ราคะที่ประกอบด้วยสัสสตทิฏฐิ) และวิภวตัณหา (วิภวตัณหา (ความ ทะยานอยากในวิภพ) ในที่นี้ หมายถึงราคะที่ประกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ) ไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุก แห่ง เมื่อตัณหาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะตัณหาดับไป ปริเยสนาจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งปริเยสนา ก็คือตัณหานั่นเอง อานนท์ ธรรม ๒ อย่างนี้ ทั้ง ๒ ส่วน (ธรรม ๒ อย่างนี้ ทั้ง ๒ ส่วน ในที่นี้ หมายถึงตัณหา ๒ ประการ ได้แก่ (๑) วัฏฏมูลตัณหา ตัณหาที่เป็นมูลในวัฏฏะ หมายถึงตัณหาที่เป็นปัจจัยของอุปาทาน (๒) สมุทาจารตัณหา ตัณหาที่ฟุ้งขึ้น หมายถึงตัณหาที่ท่านกล่าวว่า เพราะอาศัยตัณหา ปริเยสนาจึงมี เป็นต้น) รวมลงเป็นอย่างเดียวกับเวทนาด้วยประการฉะนี้ [๑๑๓] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผลที่ ผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าผัสสะ คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กาย สัมผัส และมโนสัมผัสไม่ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วทุกแห่ง เมื่อผัสสะไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ ผัสสะดับไป เวทนาจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งเวทนา ก็ คือผัสสะนั่นเอง [๑๑๔] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี’ เธอพึงทราบเหตุผลที่ นามรูปเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี ดังต่อไปนี้ การบัญญัตินามกาย (นามกาย หมายถึงนามขันธ์ ๔ คือ (๑) เวทนาขันธ์ (๒) สัญญาขันธ์ (๓) สังขารขันธ์ (๔) วิญญาณขันธ์) ต้องพร้อมด้วยอาการ (อาการ หมายถึง อากัปกิริยาของนามขันธ์แต่ละอย่างที่สาแดงออกมา) เพศ (เพศ หมายถึงลักษณะที่บ่งบอกหรือใช้เป็น เครื่องอนุมานถึงนามขันธ์แต่ละอย่าง) นิมิต (นิมิต หมายถึงเครื่องหมายแสดงถึงลักษณะเฉพาะของนาม ขันธ์แต่ละอย่าง) อุทเทส (อุทเทส หมายถึงคาอธิบายเกี่ยวกับนามขันธ์แต่ละอย่าง เช่น เป็นสิ่งที่ไม่ใช่รูป เป็นสิ่งที่รับรู้ได้) เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุทเทส นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสแต่ชื่อในรูปกายจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “การบัญญัติรูปกายต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต และอุทเทส เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุทเทสนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบในนามกายจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “การบัญญัตินามกายและรูปกายต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต และอุทเทส เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุทเทสนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสแต่ชื่อจะปรากฏได้หรือ”
  • 7. 7 ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “การบัญญัตินามรูปต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต และอุทเทส เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุทเทสนั้นๆ ไม่มี ผัสสะจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งผัสสะ ก็ คือนามรูปนั่นเอง [๑๑๕] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี’ เธอพึงทราบ เหตุผลที่วิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าวิญญาณจักไม่หยั่งลงในท้องมารดา นามรูปจะก่อ ตัวขึ้นในท้องมารดาได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องมารดาแล้วล่วงเลยไป นามรูปจักบังเกิด ขึ้นเพื่อความเป็นอย่างนี้ ได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “ก็ถ้าวิญญาณเด็กชายหรือเด็กหญิงผู้เยาว์วัยจักขาดความสืบต่อ นามรูปจักเจริญงอกงามไพบูลย์ได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งนามรูป ก็ คือวิญญาณนั่นเอง [๑๑๖] อานนท์ ข้อที่เรากล่าวเช่นนี้ ว่า ‘เพราะนามรูปเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี’ เธอพึงทราบ เหตุผลที่นามรูปเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี ดังต่อไปนี้ ก็ถ้าวิญญาณจักไม่ได้อาศัยนามรูป ชาติ ชรา มรณะ และความเกิดขึ้นแห่งทุกขสมุทัยจะปรากฏได้หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ปรากฏไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ เพราะเหตุนั้น เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งวิญญาณ ก็คือนามรูปนั่นเอง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ แล วิญญาณและนามรูปจึงเกิด แก่ ตาย จุติหรืออุบัติ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงมีคาที่เป็นเพียงชื่อ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงมีคาที่ใช้ตามความหมาย ด้วย เหตุเพียงเท่านี้ จึงมีคาบัญญัติ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงมีแต่สื่อ ความเข้าใจ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ วัฏฏะจึง เป็นไป ความเป็นอย่างนี้ ย่อมปรากฏ โดยการบัญญัติ (ความเป็นอย่างนี้ ย่อมปรากฏโดยการบัญญัติ หมายถึงขันธ์ ๕ เป็นเพียงชื่อที่บัญญัติขึ้น) คือ นามรูปย่อมเป็นไปพร้อมกับวิญญาณ เพราะต่างก็เป็นปัจจัย ของกันและกัน บัญญัติอัตตา [๑๑๗] อานนท์ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตา ย่อมบัญญัติด้วยความเห็นกี่อย่าง
  • 8. 8 บุคคล ๑. เมื่อจะบัญญัติอัตตาที่มีขนาดจากัด มีรูป ย่อมบัญญัติว่า ‘อัตตาของเรามีขนาดจากัด มีรูป’ ๒. เมื่อจะบัญญัติอัตตามีขนาดไม่จากัด มีรูป ย่อมบัญญัติว่า ‘อัตตาของเรามีขนาดไม่จากัด มีรูป’ ๓. เมื่อจะบัญญัติอัตตาที่มีขนาดจากัด ไม่มีรูป ย่อมบัญญัติว่า ‘อัตตาของเรามีขนาดจากัด ไม่มี รูป’ ๔. เมื่อจะบัญญัติอัตตาที่มีขนาดไม่จากัด ไม่มีรูป ย่อมบัญญัติว่า‘อัตตาของเรามีขนาดไม่จากัด ไม่มีรูป’ [๑๑๘] ในความเห็น ๔ อย่างนั้น บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตามีขนาดจากัดมีรูป ย่อมบัญญัติว่ามีอยู่ เฉพาะในชาตินี้ หรือบัญญัติว่าเป็นสภาพมีอยู่ตลอดกาล หรือมีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มีสภาพไม่ เที่ยง ที่มีอยู่ ให้สาเร็จเป็นสภาพเที่ยง’ อานนท์ การลงความเห็นว่า อัตตาที่มีอยู่ มีขนาดจากัด มีรูป ย่อม ติดตามมาด้วยอาการอย่างนี้ ฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตามีขนาดไม่จากัด มีรูป ย่อมบัญญัติว่ามีอยู่เฉพาะในชาตินี้ หรือบัญญัติ ว่าเป็นสภาพมีอยู่ตลอดกาล หรือมีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มีสภาพไม่เที่ยง ที่มีอยู่ ให้สาเร็จเป็น สภาพเที่ยง’ อานนท์ การลงความเห็นว่าอัตตาที่มีอยู่ มีขนาดไม่จากัด มีรูป ย่อมติดตามมาด้วยอาการอย่าง นี้ ฉะนั้นจึงควรกล่าวไว้ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตามีขนาดจากัด ไม่มีรูป ย่อมบัญญัติว่ามีอยู่เฉพาะในชาตินี้ หรือบัญญัติ ว่าเป็นสภาพมีอยู่ตลอดกาล หรือมีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มีสภาพไม่เที่ยง ที่มีอยู่ ให้สาเร็จเป็น สภาพเที่ยง’ อานนท์ การลงความเห็นว่าอัตตาที่มีอยู่ มีขนาดจากัด ไม่มีรูป ย่อมติดตามมาด้วยอาการอย่าง นี้ ฉะนั้นจึงควรกล่าวไว้ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตามีขนาดไม่จากัด ไม่มีรูป ย่อมบัญญัติว่ามีอยู่เฉพาะในชาตินี้ หรือ บัญญัติว่าเป็นสภาพมีอยู่ตลอดกาล หรือมีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มีสภาพไม่เที่ยง ที่มีอยู่ ให้สาเร็จ เป็นสภาพเที่ยง’ อานนท์ การลงความเห็นว่าอัตตา ที่มีอยู่ มีขนาดไม่จากัด ไม่มีรูป ย่อมติดตามมาด้วย อาการอย่างนี้ ฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ อานนท์ บุคคลเมื่อบัญญัติอัตตา ย่อมบัญญัติด้วยความเห็น ๔ อย่างนี้ แล” ไม่บัญญัติอัตตา [๑๑๙] “อานนท์ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตา ย่อมไม่บัญญัติด้วยความเห็นกี่อย่าง บุคคล ๑. เมื่อไม่บัญญัติอัตตาที่มีขนาดจากัด มีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่า ‘อัตตาของเรามีขนาดจากัด มีรูป’ ๒. เมื่อไม่บัญญัติอัตตามีขนาดไม่จากัด มีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่า ‘อัตตาของเรามีขนาดไม่จากัด มี รูป’ ๓. เมื่อไม่บัญญัติอัตตาที่มีขนาดจากัด ไม่มีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่า ‘อัตตาของเรามีขนาดจากัด ไม่มี รูป’
  • 9. 9 ๔. เมื่อไม่บัญญัติอัตตาที่มีขนาดไม่จากัด ไม่มีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่า ‘อัตตาของเรา มีขนาดไม่ จากัด ไม่มีรูป’ [๑๒๐] ในความเห็น ๔ อย่างนั้น บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตามีขนาดจากัดมีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่ามี อยู่เฉพาะในชาตินี้ หรือไม่บัญญัติว่าเป็นสภาพมีอยู่ตลอดกาล หรือไม่มีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มี สภาพไม่เที่ยง ที่มีอยู่ ให้สาเร็จเป็นสภาพเที่ยง’ การลงความเห็นว่าอัตตาที่มีอยู่มีขนาดจากัด มีรูป ย่อมไม่ ติดตามมาด้วยอาการอย่างนี้ ฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตามีขนาดไม่จากัด มีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่ามีอยู่เฉพาะในชาตินี้ หรือไม่ บัญญัติว่าเป็นสภาพที่มีอยู่ตลอดกาล หรือไม่มีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มีสภาพไม่เที่ยง ที่มีอยู่ ให้ สาเร็จเป็นสภาพเที่ยง’ การลงความเห็นว่า อัตตาที่มีอยู่ มีขนาดไม่จากัด มีรูป ย่อมไม่ติดตามมาด้วยอาการ อย่างนี้ ฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตามีขนาดจากัด ไม่มีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่ามีอยู่เฉพาะในชาตินี้ หรือไม่ บัญญัติว่าเป็นสภาพที่มีอยู่ตลอดกาล หรือไม่มีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มีสภาพไม่เที่ยง ที่มีอยู่ ให้ สาเร็จเป็นสภาพเที่ยง’ การลงความเห็นว่าอัตตาที่มีอยู่มีขนาดจากัดไม่มีรูป ย่อมไม่ติดตามมาด้วยอาการ อย่างนี้ ฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตามีขนาดไม่จากัด ไม่มีรูป ย่อมไม่บัญญัติว่ามีอยู่เฉพาะในชาตินี้ หรือไม่ บัญญัติว่าเป็นสภาพมีอยู่ตลอดกาล หรือไม่มีความเห็นว่า ‘เราจักทาอัตตาที่มีสภาพไม่เที่ยง ที่มีอยู่ ให้ สาเร็จเป็นสภาพเที่ยง’ การลงความเห็นว่า อัตตาที่มีอยู่ มีขนาดไม่จากัด ไม่มีรูป ย่อมไม่ติดตามมาด้วย อาการอย่างนี้ ฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ อานนท์ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตา ย่อมไม่บัญญัติด้วยความเห็น ๔ อย่างนี้ แล” ความเห็นว่าเป็นอัตตา [๑๒๑] “อานนท์ บุคคลเมื่อเห็นว่ามีอัตตา ย่อมเห็นด้วยความเห็น กี่อย่าง บุคคลเมื่อเห็นเวทนา ว่าเป็นอัตตา ย่อมเห็นว่า ‘เวทนาเป็นอัตตาของเรา’ หรือเห็นว่า ‘เวทนาไม่ใช่อัตตาของเรา (เพราะ) อัตตา ของเราไม่เสวยอารมณ์’ หรือเห็นว่า ‘เวทนาไม่ใช่อัตตาของเรา อัตตาของเราจะไม่เสวยอารมณ์ก็มิใช่ อัตตา ของเรายังเสวยอารมณ์อยู่ เพราะอัตตาของเรามีเวทนาเป็นคุณสมบัติ’ [๑๒๒] อานนท์ ในความเห็น ๓ อย่างนั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘เวทนาเป็นอัตตาของเรา’ เขาจะถูก ซักถามว่า ‘ผู้มีอายุ เวทนามี ๓ อย่าง คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา บรรดาเวทนา ๓ อย่างนี้ เธอเห็นเวทนาอย่างไหนว่าเป็นอัตตา’ ในคราวที่อัตตาเสวยสุขเวทนา ก็ย่อมไม่เสวยทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา คงเสวยแต่สุข เวทนาเท่านั้น ในคราวที่อัตตาเสวยทุกขเวทนา ก็ย่อมไม่เสวยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา คงเสวยแต่ ทุกขเวทนาเท่านั้น ในคราวที่อัตตาเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ย่อมไม่เสวยสุขเวทนาและทุกขเวทนา คงเสวย แต่อทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น
  • 10. 10 [๑๒๓] อานนท์ แม้สุขเวทนาก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิด มีความสิ้นไปเป็น ธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา แม้ ทุกขเวทนาก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิด มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็น ธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา แม้อทุกขมสุขเวทนาก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัย ปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิด มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็น ธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา เมื่อบุคคลเสวยสุขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า ‘นี้ เป็นอัตตาของเรา’ เมื่อสุขเวทนานั้นดับ จึงมี ความเห็นว่า ‘อัตตาของเราดับไปแล้ว’ เมื่อบุคคลเสวยทุกขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า ‘นี้ เป็นอัตตาของเรา’ เมื่อทุกขเวทนานั้นดับ จึงมีความเห็นว่า ‘อัตตาของเราดับไปแล้ว’ เมื่อบุคคลเสวยอทุกขมสุขเวทนา ย่อมมี ความเห็นว่า ‘นี้ เป็นอัตตาของเรา’ เมื่ออทุกขมสุขเวทนานั้นดับ จึงมีความเห็นว่า ‘อัตตาของเราดับไปแล้ว’ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘เวทนาเป็นอัตตาของเรา’ เมื่อเห็นเวทนาว่าเป็นอัตตา ย่อมเห็นอัตตา ไม่ เที่ยง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ในปัจจุบัน เพราะเหตุ นั้นแล อานนท์ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงยังไม่ควรที่จะเห็นว่า ‘เวทนาเป็นอัตตาของเรา’ [๑๒๔] อานนท์ ในความเห็น ๓ อย่างนั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘เวทนาไม่ใช่อัตตาของเรา (เพราะ) อัตตาของเราไม่เสวยอารมณ์’ เขาจะถูกซักถามว่า ‘ในรูปขันธ์ซึ่งไม่มีการเสวยอารมณ์ จะมีความรู้สึกว่า ‘เป็นเรา’ เกิดขึ้นได้หรือไม่” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “เกิดขึ้นไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “เพราะเหตุนั้นแล อานนท์ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงยังไม่ควรที่จะเห็นว่า เวทนาไม่ใช่อัตตาของเรา เพราะอัตตาของเราไม่เสวยอารมณ์ [๑๒๕] อานนท์ ในความเห็น ๓ อย่างนั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘เวทนาไม่ใช่อัตตาของเรา อัตตาของ เราจะไม่เสวยอารมณ์ก็มิใช่ อัตตาของเรายังเสวยอารมณ์อยู่ เพราะอัตตาของเรามีเวทนาเป็นคุณสมบัติ’ เขา จะถูกซักถามว่า ‘ผู้มีอายุ ก็เพราะเวทนาจะต้องดับไปทั้งหมดทั้งสิ้นไม่มีเหลือ เมื่อไม่มีเวทนา เพราะเวทนา ดับไป โดยประการทั้งปวงยังจะมีความรู้สึกว่า ‘เป็นเรา’ ได้หรือไม่ ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “เพราะเหตุนั้นแล อานนท์ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงยังไม่ควรที่จะเห็นว่า ‘เวทนาไม่ใช่อัตตาของเรา อัตตาของเราจะไม่เสวยอารมณ์ก็มิใช่ อัตตาของเรายังเสวยอารมณ์อยู่ เพราะ อัตตาของเรามีเวทนาเป็นคุณสมบัติ’ [๑๒๖] อานนท์ ภิกษุใดไม่เห็นเวทนาว่าเป็นอัตตา ไม่เห็นการเสวยอารมณ์ว่าเป็นอัตตา และไม่ เห็นว่า ‘อัตตาของเรายังต้องเสวยอารมณ์ เพราะว่าอัตตาของเรามีเวทนาเป็นคุณสมบัติ’ ภิกษุนั้นเมื่อเห็น อย่างนี้ ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก และเมื่อไม่ถือมั่นย่อมไม่สะทกสะท้าน เมื่อไม่สะทกสะท้านย่อมดับได้ เฉพาะตน (ย่อมดับได้เฉพาะตน หมายถึงดับกิเลสได้ด้วยตนเอง) ย่อมรู้ชัดว่า ‘ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบ พรหมจรรย์แล้ว ทากิจที่ควรทาเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ อีกต่อไป’
  • 11. 11 ผู้ใดกล่าวกับภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วดังกล่าวนั้นอย่างนี้ ว่า ‘ท่านมีทิฏฐิว่า ‘หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีกหรือ’ การกล่าวของผู้นั้นไม่สมควร ผู้ใดกล่าวกับภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วดังกล่าวนั้น อย่างนี้ ว่า ‘ท่านมีทิฏฐิว่า ‘หลังจากตายแล้วตถาคตไม่เกิดอีกหรือ’ การกล่าวของผู้นั้นก็ไม่สมควร ผู้ใดกล่าวกับภิกษุ ผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วดังกล่าวนั้น อย่างนี้ ว่า ‘ท่านมีทิฏฐิว่า ‘หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีกและไม่เกิดอีก หรือ’ การกล่าวของผู้นั้นก็ไม่สมควร ผู้ใดกล่าวกับภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วดังกล่าวนั้น อย่างนี้ ว่า ‘ท่านมีทิฏฐิ ว่า ‘หลังจากตายแล้ว ตถาคตจะว่าเกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่หรือ’ การกล่าวของผู้นั้นก็ไม่สมควร ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะชื่อ คาที่เป็นเพียงชื่อ ความหมาย คาที่ใช้ตามความหมาย บัญญัติ คา บัญญัติ ความเข้าใจ สื่อความเข้าใจ วัฏฏะยังเป็นไปอยู่ตลอดกาลเพียงใด วัฏฏะย่อมหมุนไปตลอดกาลเพียง นั้น ภิกษุชื่อว่าหลุดพ้นแล้วเพราะรู้ยิ่งวัฏฏะนั้น ผู้ใดกล่าวกับภิกษุผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้ยิ่งวัฏฏะนั้น ว่า ‘ท่านมีทิฏฐิว่า ‘พระอรหันต์ย่อมไม่รู้ไม่เห็น’ การกล่าวของผู้นั้นก็ไม่สมควร’ วิญญาณฐิติ ๗ ประการ (ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ) [๑๒๗] อานนท์ วิญญาณฐิติ ๗ ประการ และอายตนะ ๒ ประการนี้ วิญญาณฐิติ ๗ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. มีสัตว์ทั้งหลายผู้มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน คือ มนุษย์ เทพบางพวก (เทพบางพวก หมายถึงพวกเทพในสวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ คือ (๑) ชั้นจาตุมหาราช (๒) ชั้นดาวดึงส์ (๓) ชั้นยามา (๔) ชั้นดุสิต (๕) ชั้นนิมมานรดี (๖) ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี) และวินิปาติกะบางพวก (วินิปาติกะบางพวก ในที่นี้ หมายถึงยักษิณีและเวมานิกเปรตที่พ้นจากอบายภูมิ ๔) นี้ เป็นวิญญาณฐิติที่ ๑ ๒. มีสัตว์ทั้งหลายผู้มีกายต่างกัน แต่มีสัญญาอย่างเดียวกัน คือ พวกเทพชั้นพรหมกายิกา (พวก เทพชั้นพรหมกายิกา หมายถึงพรหมชั้นปฐมฌาน ๓ ชั้น คือ (๑) พรหมปาริสัชชา (พวกบริษัทบริวาร มหาพรหม) (๒) พรหมปุโรหิตา (พวกปุโรหิตมหาพรหม) (๓) มหาพรหมา (พวกท้าวมหาพรหม)) เกิดใน ปฐมฌานและเหล่าสัตว์ผู้เกิดในอบาย ๔ นี้ เป็นวิญญาณฐิติที่ ๒ ๓. มีสัตว์ทั้งหลายผู้มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน คือ พวกเทพชั้นอาภัสสระ นี้ เป็น วิญญาณฐิติที่ ๓ ๔. มีสัตว์ทั้งหลายผู้มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน คือ พวกเทพชั้นสุภกิณหะ (เทพที่ เต็มไปด้วยความงดงาม) นี้ เป็นวิญญาณฐิติที่ ๔ ๕. มีสัตว์ทั้งหลายผู้บรรลุอากาสานัญจายตนฌานโดยกาหนดว่า ‘อากาศหาที่สุดมิได้’ เพราะล่วง รูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่กาหนดนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง นี้ เป็นวิญญาณฐิติที่ ๕ ๖. มีสัตว์ทั้งหลายผู้ล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน โดยกาหนดว่า ‘วิญญาณหาที่สุดมิได้’ นี้ เป็นวิญญาณฐิติที่ ๖
  • 12. 12 ๗. มีสัตว์ทั้งหลายผู้ล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน โดยกาหนดว่า ‘ไม่มีอะไร’ นี้ เป็นวิญญาณฐิติที่ ๗ อายตนะ ๒ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. อสัญญีสัตตายตนะ (อายตนะของสัตว์ผู้ไม่มีสัญญา) นี้ เป็นอายตนะที่ ๑ ๒. เนวสัญญานาสัญญายตนะ (อายตนะของสัตว์ผู้มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่) นี้ เป็น อายตนะที่ ๒ [๑๒๘] อานนท์ ในวิญญาณฐิติ ๗ ประการนั้น วิญญาณฐิติที่ ๑ ว่า สัตว์ทั้งหลายผู้มีกายต่างกัน มี สัญญาต่างกัน คือ มนุษย์บางพวก เทพบางพวกและวินิปาติกะบางพวก ผู้ที่รู้วิญญาณฐิตินั้น รู้ความเกิด รู้ ความดับ รู้คุณ รู้โทษของวิญญาณฐิตินั้น และรู้อุบายสลัดออกจากวิญญาณฐิตินั้น เขาควรจะเพลิดเพลินใน วิญญาณฐิตินั้นอยู่อีกหรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ควร พระพุทธเจ้าข้า” ฯลฯ พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “อานนท์ วิญญาณฐิติที่ ๗ ว่า สัตว์ทั้งหลายผู้ล่วงวิญญาณัญจายตน ฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวงโดยกาหนดว่า ‘ไม่มีอะไร” ผู้ที่รู้ วิญญาณฐิตินั้น รู้ความเกิด รู้ความดับ รู้คุณ รู้โทษของวิญญาณฐิตินั้น และรู้อุบายสลัดออกจากวิญญาณฐิติ นั้น เขาควรจะเพลิดเพลินในวิญญาณฐิตินั้นอยู่อีกหรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ควร พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “อานนท์ ในอายตนะ ๒ ประการนั้น อายตนะที่ ๑ คือ อสัญญีสัต ตายตนะ ผู้ที่รู้อสัญญีสัตตายตนะนั้น รู้ความเกิด รู้ความดับ รู้คุณ รู้โทษของอสัญญีสัตตายตนะนั้น และรู้ อุบายสลัดออกจากอสัญญีสัตตายตนะนั้น เขาควรจะเพลิดเพลินในอสัญญีสัตตายตนะนั้นอยู่อีกหรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ควร พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “อานนท์ อายตนะที่ ๒ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ผู้ที่รู้เนว สัญญานาสัญญายตนะนั้น รู้ความเกิด รู้ความดับ รู้คุณ รู้โทษของเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น และรู้อุบาย สลัดออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น เขาควรจะเพลิดเพลินในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้นอยู่อีก หรือ” ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ไม่ควร พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “อานนท์ ภิกษุผู้รู้ถึงความเกิด ความดับ คุณ โทษ ของวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ และอุบายสลัดออกจากวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ นี้ ตามความเป็นจริง ย่อมหลุดพ้น เพราะไม่ถือมั่น (หลุดพ้นเพราะไม่ถือมั่น หมายถึงไม่ถือมั่นในอุปาทาน ๔ คือ (๑) กามุปาทาน (ความถือ มั่นในกาม) (๒) ทิฏฐุปาทาน (ความถือมั่นในทิฏฐิ) (๓) สีลัพพตุปาทาน (ความถือมั่นในศีลพรต) (๔) อัตตวาทุปาทาน (ความถือมั่นในวาทะว่ามีอัตตา)) ภิกษุนี้ เราเรียกว่าผู้เป็นปัญญาวิมุต (ผู้เป็นปัญญาวิมุต หมายถึงหลุดพ้นด้วยกาลังปัญญา โดยไม่ได้บรรลุสมาธิชั้นสูงคือวิโมกข์ ๘)
  • 13. 13 วิโมกข์ ๘ ประการ [๑๒๙] อานนท์ วิโมกข์ ๘ ประการนี้ วิโมกข์ ๘ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. บุคคลผู้มีรูป เห็นรูปทั้งหลาย (มีรูป หมายถึงได้รูปฌานโดยเจริญกสิณที่กาหนดวัตถุในกาย ของตน เช่น สีผม เห็นรูปทั้งหลาย หมายถึงเห็นรูปฌาน ๔) นี้ เป็นวิโมกข์ประการที่ ๑ ๒. บุคคลผู้มีอรูปสัญญาภายใน เห็นรูปทั้งหลายภายนอก (เห็นรูปทั้งหลายภายนอก หมายถึง เห็นรูปทั้งหลายมีนีลกสิณเป็นต้นด้วยญาณจักขุ) นี้ เป็นวิโมกข์ประการที่ ๒ ๓. บุคคลผู้น้อมใจไปว่า ‘งาม‘ (ผู้น้อมใจไปว่างาม หมายถึงผู้เจริญวัณณกสิณ กาหนดสีที่งาม) นี้ เป็นวิโมกข์ประการที่ ๓ ๔. บุคคลบรรลุอากาสานัญจายตนฌานโดยกาหนดว่า ‘อากาศหาที่สุดมิได้’ อยู่ เพราะล่วงรูป สัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่กาหนดนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง นี้ เป็นวิโมกข์ประการที่ ๔ ๕. บุคคลล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุวิญญาณัญจายตนฌานโดย กาหนดว่า ‘วิญญาณหาที่สุดมิได้’ อยู่นี้ เป็นวิโมกข์ประการที่ ๕ ๖. บุคคลล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌานโดยกาหนด ว่า ‘ไม่มีอะไร’ อยู่ นี้ เป็นวิโมกข์ประการที่ ๖ ๗. บุคคลล่วงอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่ นี้ เป็นวิโมกข์ประการที่ ๗ ๘. บุคคลล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ นี้ เป็นวิโมกข์ประการที่ ๘ อานนท์ วิโมกข์ ๘ ประการนี้ แล [๑๓๐] อานนท์ ภิกษุผู้เข้าวิโมกข์ ๘ ประการนี้ โดยอนุโลมบ้าง โดยปฏิโลมบ้าง ทั้งโดยอนุโลม และปฏิโลมบ้าง เข้าหรือออกได้ตามโอกาสที่ต้องการ ตามชนิดสมาบัติที่ต้องการ และตามระยะเวลาที่ ต้องการ ทาให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะเพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ ในปัจจุบัน ภิกษุนี้ เราเรียกว่า ผู้เป็นอุภโตภาควิมุต (ผู้เป็นอุภโตภาควิมุต คือ ผู้หลุดพ้นทั้ง ๒ ส่วน หมายถึง พระอรหันต์ผู้บาเพ็ญสมถะมามากจนได้สมาบัติ ๘ แล้วจึงใช้สมถะนั้นเป็นฐานบาเพ็ญวิปัสสนาต่อไป ชื่อว่า หลุดพ้น ๒ ส่วน คือ (๑) หลุดพ้นจากรูปกายด้วยอรูปสมาบัติ (วิกขัมภนะ) (๒) หลุดพ้นจากนามกายด้วย อริยมรรค (สมุจเฉทะ)) อานนท์ อุภโตภาควิมุตติอย่างอื่นที่ดีกว่าหรือประณีตกว่าอุภโตภาควิมุตตินี้ ไม่มี” เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ท่านพระอานนท์มีใจยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค แล้วแล มหานิทานสูตรที่ ๒ จบ -------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนี้ นามาจากบางส่วนของอรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค
  • 14. 14 มหานิทานสูตร อรรถกถามหานิทานสูตร มหานิทานสูตรมีบทเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ ว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กุรุชนบท ดังนี้ . ก็พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า ในรัชกาลพระเจ้ามันธาตุ พวกมนุษย์ใน ๓ ทวีป ได้ยิน มาว่า ชมพูทวีปเป็นที่เกิดของบุรุษผู้สูงสุด นับแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระมหาสาวก และพระ เจ้าจักรพรรดิ เป็นทวีปอุดม น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก จึงพากันมากับพระเจ้าจักรพรรดิมันธาตุราชผู้ปล่อยจักรแก้ว แล้วมุ่งติดตามไปยังทวีปทั้ง ๔. ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามปริณายกแก้วว่า ยังมีที่รื่นรมย์กว่ามนุษยโลกหรือไหมหนอ ปริณายกแก้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ เพราะเหตุไร พระองค์จึงตรัสอย่างนั้นเล่า พระเจ้าข้า พระองค์ไม่ ทรงเห็นอานุภาพของพระจันทร์และพระอาทิตย์ หรือฐานะของพระจันทร์และพระอาทิตย์เหล่านั้น น่า รื่นรมย์กว่านี้ มิใช่หรือ พระเจ้าข้า. พระราชาได้ทรงปล่อยจักรแก้วไป ณ ที่นั้น. ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้สดับว่า พระเจ้ามันธาตุราชเสด็จมาแล้ว คิดว่าพระราชาทรงฤทธิ์มาก เรา ไม่สามารถจะห้ามการรบได้ จึงมอบราชสมบัติของตนให้ พระเจ้ามันธาตุราชทรงรับราชสมบัตินั้นแล้วตรัส ถามต่อไปว่า ยังมีที่น่ารื่นรมย์ยิ่งกว่านี้ อีกไหม. ลาดับนั้น ท้าวมหาราชเหล่านั้นกราบทูลถึงภพดาวดึงส์แก่พระองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ ภพ ดาวดึงส์น่ารื่นรมย์กว่านี้ มหาราชทั้ง ๔ เหล่านี้ เป็นผู้รับใช้ของท้าวสักกเทวราช ณ พิภพนั้น ยืนอยู่ ณ พื้น ของผู้รักษาประตู ท้าวสักกเทวราชมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ท้าวสักกเทวราชนั้นมีสถานที่สาหรับบารุง บาเรอเหล่านี้ คือ เวชยันตปราสาทสูง ๑,๐๐๐ โยชน์ เทวสภาชื่อสุธัมมาสูง ๕๐๐ โยชน์ เวชยันตรถสูง ๑๕๐ โยชน์ ช้างเอราวัณก็เหมือนกัน สวนนันทวัน จิตรลดาวัน ปารุสกวัน มิสสกวันประดับด้วยต้นไม้ทิพย์ ๑,๐๐๐ ต้น ต้นทองหลาง ต้นทองกวาวสูง ๑๐๐ โยชน์ ภายใต้ต้นไม้นั้นมีแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ยาว ๖๐ โยชน์ กว้าง ๕๐ โยชน์ สูง ๑๕ โยชน์ มีสีเหมือนดอกชัยพฤกษ์ เพราะความอ่อนของบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นั้น เมื่อ ท้าวสักกะประทับนั่ง พระวรกายครึ่งหนึ่งฟุบลงไป พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว มีพระประสงค์จะเสด็จไป ณ สักกเทวโลกนั้น จักรแก้วได้พุ่งขึ้นไป แล้ว จักรแก้วนั้นตั้งอยู่บนอากาศพร้อมกับเสนาประกอบด้วยองค์ ๔ ต่อแต่นั้น จักรแก้วก็ได้ลงท่ามกลางเท วโลกทั้งสอง ประดิษฐานอยู่บนแผ่นดิน พร้อมกับเสนาประกอบด้วยองค์ ๔ มีปริณายกแก้วเป็นหัวหน้า พระราชาพระองค์เดียวเท่านั้นได้เสด็จไปสู่ภพดาวดึงส์. ท้าวสักกเทวราชสดับว่า พระเจ้ามันธาตุราชเสด็จมาแล้ว กระทาการต้อนรับพระเจ้ามันธาตุราช นั้น ตรัสว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์เสด็จมาดีแล้ว ข้าแต่มหาราช สมบัติเป็นของพระองค์ ข้าแต่มหาราช ขอ พระองค์จงทรงปกครองเถิด แล้วทรงแบ่งราชสมบัติพร้อมด้วยนางระบาให้เป็นสองส่วน ได้ประทานให้ส่วน หนึ่ง เมื่อพระราชามันธาตุราชพอเสด็จประทับอยู่บนภพดาวดึงส์เท่านั้น ความเป็นมนุษย์ได้หายไปแล้ว ความเป็นเทพได้ปรากฏทันที
  • 15. 15 ได้ยินว่า เมื่อพระราชาประทับนั่ง ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์กับท้าวสักกะ พวกเทวดามิได้สังเกต พระราชานั้นว่า ความต่างกันย่อมปรากฏโดยเพียงหลับตา ย่อมหลงลืมในความต่างกันของท้าวสักกะ และ ของพระราชานั้น พระราชามันธาตุราชทรงเสวยทิพยสมบัติ ณ ภพดาวดึงส์นั้นทรงครองราชสมบัติ จนท้าว สักกะทรงอุบัติแล้วจุติแล้วถึง ๓๖ องค์ ไม่ทรงอิ่มด้วยกาม ครั้นจุติจากภพดาวดึงส์แล้วตกลงในพระอุทยาน ของพระองค์ พระวรกายถูกลมและแดดสัมผัสได้เสด็จสวรรคตเสียแล้ว. ก็เมื่อจักรแก้วตั้งอยู่บนแผ่นดิน ปริณายกแก้วให้เขียนรองพระบาทของพระเจ้ามันธาตุราชที่แผ่น ทองคา แล้วประกาศราชสมบัติว่า นี่คือราชสมบัติของพระเจ้ามันธาตุราช แม้พวกมนุษย์ที่มาจากทวีปทั้ง ๓ เหล่านั้น ก็ไม่สามารถจะกลับไปได้ จึงเข้าไปหาปริณายกแก้ววิงวอนว่า ข้าแต่ท่าน พวกข้าพเจ้ามาด้วย อานุภาพของพระราชา บัดนี้ ไม่สามารถกลับไปได้ ขอท่านได้โปรดให้ที่อยู่แก่พวกข้าพเจ้าเถิด ปริณายกแก้ว ได้ให้ชนบทหนึ่งๆ แก่มนุษย์เหล่านั้น ในประเทศเหล่านั้น ประเทศที่พวกมนุษย์มาจากบุพพวิเทหะทวีป อาศัยอยู่ได้ชื่อว่าวิเทหรัฐ ตามความหมายเดิมนั้นนั่นเอง ประเทศที่พวกมนุษย์มาจากอมรโคยานทวีปอาศัย อยู่ได้ชื่อว่าอปรันตชนบท ประเทศที่พวกมนุษย์มาจากอุตตรกุรุทวีปได้ชื่อว่ากุรุรัฐ จริงอยู่ บัณฑิตทั้งหลายเข้าไปหาผู้ที่อยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพ ย่อมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เพราะความเป็นผู้ฉลาดในการนั่ง ก็พระอานนท์นี้ เป็นบัณฑิตรูปหนึ่งของบรรดาบัณฑิตเหล่านั้น เพราะฉะนั้น จึงนั่งแล้ว ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ก็นั่งอย่างไรจึงเป็นอันนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง นั่งเว้นโทษ ของการนั่ง ๖ อย่าง คือ ไกลเกินไป ๑ ใกล้เกินไป ๑ เหนือลม ๑ สูงไป ๑ ตรงหน้าเกินไป ๑ หลังเกินไป ๑ เพราะนั่งไกลเกินไป หากประสงค์จะถาม ก็จะต้องพูดด้วยเสียงดัง นั่งใกล้เกินไปก็จะเบียดเสียด นั่งเหนือลม ย่อมรบกวนด้วยกลิ่นตัว นั่งสูงไปย่อมแสดงความไม่เคารพ นั่งตรงหน้าเกินไป หากประสงค์จะมองดู ย่อม เป็นการจ้องตาต่อตาดูกัน นั่งหลังเกินไป หากประสงค์จะมองดู ก็จะต้องยืดคอดู เพราะฉะนั้น แม้พระอานนท์นี้ ก็กระทาประทักษิณพระผู้มีพระภาคเจ้า ๓ ครั้ง แล้วถวายบังคม ด้วยความเคารพ เว้นโทษของการนั่ง ๖ อย่างเหล่านี้ เข้าไปภายในของพระพุทธรัศมีมีวรรณ ๖ อย่าง ในที่ เฉพาะเบื้องหน้าของมณฑลพระชานุข้างขวา ท่านพระอานนท์ผู้เป็นภัณฑาคาริกของพระธรรมได้นั่งแล้ว ดุจ ลงสู่รสครั่งที่ผ่องใส ดุจห่มแผ่นทองคา และดุจเข้าไปสู่ท่ามกลางเพดานแห่งดอกอุบลสีแดง เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระอานนท์นั่งแล้ว ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ก็พระอานนท์นี้ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในเวลาไร ด้วยเหตุไร ในเวลาเย็น ด้วยเหตุ คือการถามปัญหาเรื่องปัจจยาการ ในวันนั้น ท่านพระอานนท์เที่ยวไปยังบ้านกัมมาสธัมมะเพื่อบิณฑบาต ดุจเข้าไปสู่บ้านอันมี ภัณฑะ ๑,๐๐๐ ณ ประตูเรือนเพื่อสงเคราะห์ตระกูลกลับจากบิณฑบาตแล้ว ดูแลปรนนิบัติพระศาสดา เมื่อ พระศาสดาเสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฎี ถวายบังคมพระศาสดาแล้วไปสู่ที่พักกลางวันของตน เมื่อลูกศิษย์ ทั้งหลายดูแลปรนนิบัติแล้วกลับไปแล้ว ได้กวาดที่พักกลางวันปูแผ่นหนัง ตักน้าจากตุ่มน้าเอาน้าชาระมือ และเท้าให้เย็น นั่งขัดสมาธิเข้าสมาบัติขั้นโสดาปัตติผล ครั้นออกจากสมาบัติตามเวลาที่กาหนดไว้แล้วหยั่ง ลงสู่ญาณในปัจจยาการ. พระอานนท์นั้นถึงบทที่สุดตั้งแต่บทต้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยมีสังขารดังนี้ บทต้นตั้งแต่บท