SMEfriend: Product's life Cycle
- 1. SMEfriend: Product’s Life Cycle
สวัสดีชาว SMEfriend ทุกท่าน กลับมาอีกแล้วหลังห่างหายไปนาน เนื่องจากติด
ภารกิจงานประจาเนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านปีงบประมาณทาให้ต้องเตรียมแผน
ประจาปี 2555 ทาให้ไม่มีเวลาในมานั่งเขียน เพราะเรื่องที่อยากเขียนในหัวนั้นมีมากแต่ไม่
มีเวลามานั่งพิมพ์จริงๆ และบทความนี้เป็นครั้งแรกที่จะปั่นลงในไฟล์เอกสาร .doc ก่อน
แล้วจึงนามาแปะลงใน blog ซึ่งไม่รู้ว่ารูปแบบนี้จะดีถูกใจคนอ่านหรือไม่ โดยอาจไม่
เหมาะสมกับการอ่านผ่านสมาร์ทโฟนสักเท่าไหร่แต่จะพยายามปรับปรุงนะครับ แต่ลอง
ดูก่อนแล้วกัน (อยากจะสารภาพว่าตอนที่พิมพ์นี้นั้นกาลังอยู่ในเวลาทางานประจาด้วย
แบบว่าแอบเขียนนะครับ)
ช่วงนี้เป็นช่วงสิ้นปี หลายๆคนคงได้โบนัสกันไปรวมถึงเงินปันผลจากเหล่าหุ้นใน
ตลาดแต่เริ่มทยอยประกาศการจ่ายเงินปันผลไปแล้ว ซึ่งในปีนี้หลายๆบริษัทก็มาออก
อาการแป๊ กตอนช่วงน้าท่วมซึ่งก็ต้องมาตั้งต้นกันใหม่ แต่ขอเตือนเรื่องเอล นินโญ่ และ ลา
นินญ่า นะครับว่าปีหน้าจะฝนมากกว่านี้และแล้งมากกว่านี้ดังนั้นหวังว่าผู้ประกอบการคง
ต้องเตรียมพร้อมกันมากกว่าเก่าแน่
เรามาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้ขอพูดถึงเรื่องของ Product’s Life Cycle หรือแปล
เป็นคาทางการว่า วัฐจักรธุรกิจ ซึ่งสามารถนาไปใช้กับทั้งธุรกิจหรือกับผลิตภัณฑ์ของ
องค์กรก็ได้ หลายๆคนคงรู้จีกแล้วว่า Product’s Life Cycle นั้นมีรูปลักษณ์เป็นแบบใด แต่
วันนี้จะมาพูดถึงกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องในลาดับต่างๆใน Product’s Life Cycle เพื่อที่ผู้ประกอบการจะ
ได้นาไปประยุกต์ใช้เองต่อได้
- 2. Product’s Life Cycle แบ่งออกเป็นช่วงๆได้ดังนี้
ช่วงที่ 1 Introducing (ช่วงเตาะแตะ baby) เป็นช่วงที่ธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์เริ่มต้นขึ้น ซึ่ง
ระยะเวลานั้นอาจยาวหรือสั้นจะขึ้นอยู่กับรูปแบบธุรกิจ เช่น ถ้าเป็นธุรกิจบริการไม่ว่าจะโรงแรม
ร้านอาหาร สปา อะไรทานองนี้จะมีช่วงของของ introducing สั้นๆไม่เกิน 1-2 ปี ยิ่งถ้าร้านอาหารจะ
สั้นมาก แต่ถ้าเป็นองค์กรขนาดใหญ่ เช่น บริษัทรับสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ก็จะมีช่วงนี้ยาวมาก
หน่อย
กลยุทธ์ของธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ในช่วงนี้คือ การลดราคา สร้างโปรโมชั่นกระหน่าให้
ผู้บริโภครู้จัก และซื้อนาไปใช้หรือเข้ามาใช้บริการ เนื่องจากเป็นช่วงแนะนาตัวและเริ่มแย่ง
ส่วนแบ่งการตลาดมาจากคู่แข่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว บางธุรกิจอย่าง Orange หรือ Truemove
ช่วงเปิดตัวใหม่ๆก็กระหน่าโปร 25 สตางค์จนลูกค้าติดกันงอมแงม ดังนั้นธุรกิจในช่วงนี้
จะต้องยอมทาใจกับต้นทุนที่สูงอยู่แล้วและราคาต่าทาให้กาไรในช่วงนี้ไม่มาก
ช่วงที่ 2 Growth (เด็กหัดเดิน Child) เป็นช่วงที่ธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์เริ่มติดตลาดแล้ว อาศัย
ดูได้จากการที่ลูกค้าเริ่มเรียกร้องโน้นนี่จากองค์กร เช่น อยากให้ปรับปรุงเพื่อตอบสนองอย่าเต็มที่
แสดงว่าธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ของเรานั้นมีอิทธิพลกับลูกค้าอย่างมาก โดยในช่วงนี้นั้นจะมีระยะเวลา
ไม่นานเช่นเดียวกัน แต่เป็นช่วงที่ผู้ประกอบการต้องการให้มีต่อไปนานๆ เพราะเป็นผู้ได้เปรียบกับ
ผู้บริโภค ยกตัวอย่างเช่น ร้านอาหารที่มีคนเข้าตลอดเวลาตั้งแต่เปิดยันปิด ยิ่งช่วงนอกมื้ออาหารก็
ยังมีคนเข้ามาเต็มร้าน แสดงว่าผู้บริโภคยินยอมที่รอเพื่อได้เข้ามาใช้บริการของเรา
- 3. กลยุทธ์ของธุรกิจในช่วงนี้นั้นจะต้องคิดมาเพื่อรั้งระยะเวลาของช่วง Growth ให้อยู่
นานๆ ดังนั้นการที่จะรั้งให้ผู้บริโภคอยู่ใต้อิทธิพลของเราได้ก็คือเรื่องของคุณภาพ (Quality)
เพราะจะเป็นสิ่งที่ทาให้ผู้บริโภคจดจาเราตลอดไป สร้างความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภค
ซึ่ง ณ ตอนนี้ราคาไม่ได้มีผลอะไรมาก เพราะผู้บริโภคจะยินยอมหากว่าราคานั้น
สมเหตุสมผลกับคุณภาพที่ได้รับมา ยกตัวอย่างกับ AIS ที่ ณ ตอนนี้ก็มีลูกค้าในเครือข่ายทิ้ง
ห่าง DTAC และ Truemove ออกไปๆ เนื่องจากความครอบคลุมของเครือข่ายที่มากขึ้น
ถึงแม้จะราคาสูงกว่าคู่แข่งก็ตาม
ช่วงที่ 3 Maturity (วัยรุ่น Teenage) ช่วงนี้ถือว่าธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์นั้นเติบโตเต็มที่แบบ
เหมือนเป็นหนุ่มใหญ่ ทาอะไรต้องมีหลักการ คิดไตร่ตรองนานเพื่อความรอบคอบทาให้อาจเดินช้า
กว่าคู่แข่งแต่มันก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาขององค์กรขนาดใหญ่และมั่นคง โดยระยะเวลาของช่วง
Growth นั้นจะมีระยะเวลานานมาก อาจจะเป็นสิบหรือยี่สิยปีเลยก็ได้ ซึ่งช่วงนี้นั้นจะเป็นช่วงที่
องค์กรหรือผลิตภัณฑ์จะมีความนิ่งมาก นิ่งจนน่ากลัวเลย เพราะทุกอย่างจะราบเรียบไม่หวือหวา
เหมือนตอนเป็นช่วง Growth ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย เพราะผู้บริโภคหรือลูกค้าจะเริ่มมาองเราอีกแบบ
คือไม่มีการพัฒนาไปไหน ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่มองได้ยาก เพราะสินค้าก็ยังขายได้เรื่อยๆตามปกติ
แต่ที่ต้องไปดูคือเรื่องของ Market Share หรือกาไรที่จะเริ่มลดลง ทาให้ผู้บริหารองค์กรจะต้องทา
การปรับปรุงครั้งใหญ่
กลยุทธ์ที่องค์กรหรือผลิตภัณฑ์ช่วงนี้ควรนาไปใช้คือการ นาเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
หรือถ้าอย่างแย่สุดคือการออกรูปแบบแพ็กเกจใหม่ หรือไม่ก็ต้องถึงขั้นการรีแบรนด์ (การ
ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์องค์กร) เพื่อขจัดภาพพจน์เก่าๆขององค์กรออกจากสมองผู้บริโภค
ยกตัวอย่างได้จาก ธนาคารไทยพานิชย์ (SCB) ซึ่งมีการรีแบรนด์ตัวเองเพื่อให้ผู้ใช้บริการลบ
ภาพพจน์ธนาคารเก่าโบราณออกไป เปลี่ยนเป็นความทันสมัยเข้ามาแทน รวมถึงการสร้าง
นวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาเพื่อผันตัวเองกลับไปเป็นช่วง Growth อีกครั้ง โดยดูตัวอย่าง Apple ที่
กลับตาลปัตรตัวเองจากบริษัทขายคอมพิวเตอร์ธรรมดากลายเป็นผู้นาด้านเทคโลยี โดยการ
ปฏิวัติ iPod เครื่องเล่นเพลงมาแทนแบบ Walkman
- 4. ช่วงที่ 4 Decline (แก่ชรา) เป็นช่วงของธุรกิจที่ไม่มีองค์กรไหนอยากให้เป็น แต่มันก็ห้ามได้
ยาก เพราะบางองค์กรนั้นเป็น Mature ได้ไม่นานก็มาเป็น Decline เลยทันที แบบที่เรียกว่าปรับตัว
ตั้งรับแทบไม่มันกันเลย สิ่งที่น่ากลัวของช่วง Decline คือการแก่ตัวแบบคนทั้งโลกลืม เพราะ
ผู้บริโภคคิดว่าเจ๊งหรือหายไปแล้ว ช่วงนี้ไม่มีระยะเพราะถือว่าเป็นช่วงสุดท้ายบั้นปลายแล้ว ที่เหลือ
คือตายสิ้นหายไปจากอุตสาหกรรม แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย เพียงแต่ว่ามันเหมือนคนแก่
จริงๆ นิ่งไม่ไหวติง ขายไปวันๆ ไม่มีการพัฒนาอะไรใหม่ๆ
กลยุทธ์ที่สามารถปลุกชีพธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์นี้ได้ก็คือนวัตกรรม ซึ่งต้องเป็น
นวัตกรรมที่ฉีกออกจากผลิตภัณฑ์เดิมๆทันที รวมถึงการทา Synergy กับองค์กรอื่นๆที่
สามารถเป็นพันธมิตรกันได้เพื่อให้อีกองค์กรมาช่วยพลิกฟื้นตัวเองขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น ยา
คูลท์ ที่มีขายในประเทศเรามาเกือบร้อยปี แต่โฆษณานั้นยังเป็นเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว “ถามสาว
ยาคูลท์ดูสิคะ” แต่ ณ ปัจจุบันคู่แข่งรายอื่นได้นาหน้าไปมากแล้ว กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ไม่
เหลืออะไรให้แก้ไขแล้ว
นี่ก็เป็นเรื่องของ Product’s Life Cycle รวมถึงกลยุทธ์การพลิกฟื้นตัวกลับมา หวังว่าจะทา
ความเข้าใจแล้วกลับไปดูธุรกิจของตนได้นะครับว่าเราอยู่ช่วงไหนของวัฐจักรแล้ว ติดตามบทความ
ดีจาก SMEfriend ได้ที่ smefriendblog.blogspot.com หรือสอบถามเรื่องธุรกิจได้ที่
www.facebook.com/beSMEfriend.