More Related Content
Similar to การส่งเสริมให้ชุมชนเป็นฐานในการบรรเทาผลกระทบและการปรับตัวจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเ (6)
More from Dr.Choen Krainara (20)
การส่งเสริมให้ชุมชนเป็นฐานในการบรรเทาผลกระทบและการปรับตัวจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเ
- 2. การส่งเสริมให้ชุมชนเป็นฐานในการบรรเทาผลกระทบและการปรับตัว (Community-Based Mitigation
and Adaptation) จากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล: กรณีศึกษาแนวปฏิบัติที่ดีสาหรับชุมชนชายฝั่ง
ทะเลซึ่งเป็นหาดโคลนในพื้นที่ภาคกลาง
พื้นที่ชายฝั่งทะเลของอ่าวไทย ตอนบน ตั้งแต่ปากแม่น้าบางปะกงจนถึงปากแม่น้าเพชรบุรีเป็นพื้นที่อ่อนไหวที่มี
ลักษณะเฉพาะตัว เป็น หาดโคลน (Tidal mudflat) จึงท้าให้ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลที่รุนที่สุดของประเทศ
ปัจจุบัน ทั่วโลกยังไม่มีโครงสร้างที่เหมาะสมโดยตรงในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งแบบหาดโคลน รวมทั้งงานศึกษาวิจัย
ส้าหรับหาดโคลนมีค่อนข้างน้อยและจ้ากัดมาก ซึ่งในระยะ 20-30 ปี ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมัก ล่าช้า
และไม่ค้านึงถึงความแตกต่างทางกายภาพของชายฝั่งท้าให้ มีการใช้โครงสร้างทางวิศวกรรมป้องกันการกัดเซาะที่ไม่เหมาะสม
ต่อพื้นทีตลอดทั้งขาดการมีส่วนร่วมจากชุมชนท้องถิ่น ส่งผลให้ การแก้ปัญหาไม่ประสบผลส้าเร็จ ด้วยเหตุนี้ชุมชนชายฝั่งทะเล
่
อ่าวไทยตอนบนจึงคิดค้นวิธีในการ บรรเทาผลกระทบ และการปรับตัวด้วยวิธีปักไม้ไผ่ชะลอคลื่น ซึ่ง เป็น ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่
สอดคล้องกับธรรมชาติโดยมีตัวอย่างแนวปฏิบัติที่ดีของชุมชนที่มีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งตนเองได้จาก 3 จังหวัดชายฝั่ง
ทะเลดังนี้
1. ชุมชนบ้านบางบ่อล่าง ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม
1.1สภาพภูมิประเทศ และปัญหา ชุมชนบ้านบางบ่อล่างเป็นพื้นที่ขอบแอ่งหรือขอบกระทะที่ติดทะเล มีพื้นที่ป่าชายเลน ยาว
ประมาณ 3 กม. มีชาวบ้านอยู่อาศัยประมาณ 80 ครัวเรือน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเลี้ยงกุ้งทะเล ประสบปัญหาการสูญเสียป่า
ชายเลนเนื่องจากการกัดเซาะชายฝั่งจากคลื่น และลมทะเลซึ่งสภาพภูมิประเทศดังกล่าวท้าให้ปลูกป่าชายเลนได้ยาก ในช่วง
เวลา 10 ปีที่ผ่านมาชายฝั่งทะเลได้ถูกกัดเซาะเป็นระยะทางยาว 2 กม. ท้าให้ชาวบ้านประมาณ 10 หลังคาเรือนที่ได้รับ
ผลกระทบรุนแรงต้องย้ายออกจากหมู่บ้าน
1.2 การบรรเทาปัญหาและการปรับตัวของชุมชน ชาวบ้านแก้ปัญหาในเบื้องต้นด้วยการถอนเสาเรือนหนีน้าไปอยู่หลังคลอง
แต่ไม่มีแนวทางการแก้ปัญหาที่ชัดเจนเนื่องจากต้องใช้ทุนทรัพย์จ้านวนมาก ชาวบ้านจึงไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองเพราะ
ประกอบอาชีพประมงมีรายได้แค่พอมีพอกิน จึงต้องรอคอยความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่แต่กลับไม่ได้รับ
ความช่วยเหลือ ต่อมาเมื่อปี 2551 จึงได้คิดหาแนวทางแก้ไขปัญหาในลักษณะการพึ่งพาตนเองด้วยการจัดตั้ง “กลุ่มแกนนา
เพื่อการจัดการปัญหาพื้นที่กัดเซาะ” โดยเริ่มต้นจากการพูดคุยกันภายในชุมชนเพื่อหาผู้ที่จะร่วมเป็นอาสาสมัครในการจัดการ
ปัญหาพื้นที่กัดเซาะ จากนั้นจึงศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและแสวงหาแนวทางการจัดการปัญหารูปแบบใหม่แบบใหม่ๆ กับ
หมู่บ้านข้างเคียงและเครือข่ายป่าชายเลนจังหวัดสมุทรสงคราม ต่อมาจึงได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะใช้วิธีการจัดการปัญหาการกัด
เซาะชายฝั่งโดยใช้การสร้างก้าแพงไม้ไผ่เพื่อลดแรงกระแทกของคลื่นลม ซึ่งเกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้านโดยได้รับงบประมาณ
สนับสนุนจากผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงครามจ้านวน 50 ,000 บาท โดยวิธีการปักนั้นต้องอาศัยความรู้เรื่องดิน ลม ฤดูกาล
และพันธุ์พืชของชาวบ้านด้วย
1.3 บทเรียนที่ได้จาการรวมพลังแก้ไขปัญหาของขุมชน การใช้ประสบการณ์ของชาวบ้านเองเพื่อจัดการกับปัญหาในพื้นที่
ของตนเองถือได้ว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดเพราะชาวบ้านทราบถึงปัญหาได้ดีกว่าคนนอกพื้นที่ จากความส้าเร็จในการ
จัดการต่อปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลท้าให้ชาวบ้านมั่นใจต่อศักยภาพของตนเองมากขึ้นและก่อให้เกิดเป็นพลังชุมชนในการ
จัดการชุมชนของตนอย่างเข้มแข็งและสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชุมชนของตนเองได้ โดยไม่รอคอยความช่วยเหลือจาก
หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เหมือนที่ผ่านมา ปัจจุบันชุมชนบ้านบางบ่อล่างถือได้ว่าพึ่งพาตนเองได้และได้ร่วมมือกับ
เครือข่ายที่มีอยู่โดยการน้าความรู้ของชุมชนไปถ่ายทอดให้ชุมชนอื่นๆ ตลอดทั้งมีการประชุมและหารือเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิด
การแก้ไขปัญหา การเพาะพันธุ์สัตว์น้าปล่อยลงสู่ทะเล การร่วมฟื้นฟูป่าชายเลนเสื่อมโทรมและการพัฒนาแหล่งท้ากินให้ดีกว่า
เดิมโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของจิตส้านึกรักชุมชนตนเองเพื่อน้าไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
2
- 3. 2.ชุมชนชายฝั่งทะเล 3 ตาบล-ต.พันท้ายนรสิงห์ ต.บางหญ้าแพรกและ ต.โคกขาม- จ.สมุทรสาคร
2.1 สภาพภูมิประเทศและปัญหา ในอดีตจังหวัดสมุทรสาครมีพื้นที่ป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ตลอดแนวชายฝั่งทะเลระยะทาง
ยาว 41 กิโลเมตร โดยทั้งสามต้าบลดังกล่าวมีเนื้อที่ป่าชายเลนที่เป็นป่าสงวนแห่งชาติจ้านวน 7,343 ไร่ ปัจจุบัน พื้นที่ส่วนใหญ่
กลายสภาพเป็นทะเลเนื่องถูกกัดเซาะจากคลื่นลมและกระแสน้้าที่พัดเข้าหาฝั่งอย่างรุนแรงเป็นเวลานาน ๆ ท้าให้พื้นที่ป่าชาย
เลนถูกท้าลายซึ่งบางพื้นทีมีสภาพป่าเหลืออยู่บ้างเพียงจ้านวนน้อยและมีลักษณะเป็นหย่อม ๆ
่
2.2 การบรรเทาปัญหาและการปรับตัวของชุมชน ก่อนหน้านี้ชาวบ้านไม่ได้สนใจเรื่องการกัดเซาะชายฝั่งมากนักเพราะคลื่น
ยังเข้ามาไม่ถึงจนกระทั่งพื้นที่ของตนเองเริ่มถูกกัดเซาะจึงมองเห็นปัญหา ชาวบ้านจึงช่วยกันท้างานเชิงรุกโดยการกันเขต
อนุรักษ์ป่าชายเลน ส้าหรับพื้นที่ซึ่งห่างจากชายฝั่งออกไป 2 กม.มีการปลูกป่าจากแนวป่าด้านในขยายออกมาสู่ด้านนอกรุก
ทะเลออกไปเรื่อยๆ แม้ว่าในระยะแรกป่าที่ปลูกใหม่จะต้านคลื่นไม่ไหว แต่กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันท้าให้เกิดการคิดค้นเรื่อง
ไม่ไผ่กันคลื่นจากภูมิปัญญาชาวบ้านมาใช้เนื่องจากเห็นว่าเขื่อนกันคลื่นของรัฐที่ค่อยๆ พังทลาย การรับมือกับคลื่นปะทะด้วย
สิ่งปลูกสร้างที่เป็นก้าแพงทึบจึงไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหาแล้ว พวกเขาจึงน้าภูมิปัญญาโบราณที่เรียกว่า “ก่าหอยแมลงภู่ ”
หรือฟาร์มหอยแมลงภู่ ซึ่งท้าจากไม้ไผ่มาปักเป็นกลุ่มเพื่อให้ลูกหอยแมลงภู่มาเกาะ พื้นที่หลังแนวไม้ไผ่นั้นจะมีตะกอนสูงกว่าที่
อื่นๆ แนวคิดนี้จึงมีการน้ามาทดลองใช้ในปี 2548 โดยเปลี่ยนจากไม้ไผ่รวกขนาดเล็กมาเป็นไม้ไผ่ตงขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมและมี
อายุการใช้งานในทะเลได้ 6-7 ปี โดยชาวบ้านแต่ละรายจ่ายเงินซื้อไม้ไผ่ตงสูง 8 เมตรส้าหรับปักตามพื้นที่นากุ้งติดทะเลหน้า
บ้านของตนเองจ้านวน 3 แนวคือ กลุ่มไม้ไผ่แนวที่หนึ่ง มีลักษณะ 3 เหลี่ยม กลุ่มละ 55 ต้น หน้ากว้างด้านละ 4.5 เมตร ถูก
ปักลงในเลนห่างจากฝั่งทะเลประมาณ 100-200 เมตร เพื่อลดแรงคลื่นที่จะปะทะฝั่ง กลุ่มไม้ไผ่แนวที่สอง จะปักไม้ไผ่ไม่เกิน
10 เมตร จากชายฝั่งเพื่อช่วยให้มวลน้้าที่คลื่นพามาเกิดการตกตะกอนรวมตัวกันเป็นเลนโดยแนวไม้ไผ่จะยึดให้ตะกอนไม่ซัดคืน
กลับไปในทะเล เมื่อสะสมตะกอนได้มากๆ หาดเลนจะค่อยๆ แข็งตัวขึ้นจนกลายเป็นแผ่นดินแล้วปลูกแสมสลับกับโกงกางผืน
ดินให้แน่นหนา ขณะทีกลุ่มไม้ไผ่แนวที่สาม ซึ่งเป็นแนวรุกห่างจากฝั่ง 2,000 เมตร ชาวบ้านชุมชนชายฝั่งปักไม้ไผ่รวกเพื่อเลี้ยง
่
หองแมลงภู่เป็นการเสริมรายได้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เป็นไปตามหลักธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวหน้าด่านทะเลในบริเวณนั้น
2.3 บทเรียนที่ได้จาการรวมพลังแก้ไขปัญหาของขุมชน จากการด้าเนินการดังกล่าวท้าให้มีดินงอกขึ้นในเขต ต.โคกขาม และ
ต.พันท้ายนรสิงห์ 800 ไร่ และ ต.บางหญ้าแพรก 400 ไร่ โดยพื้นดังกล่าวมีการปลูก ต้นไม้ควบคู่กันไปท้าให้ มีหน้าดินสูงขึ้น
1.50 เมตร นับเป็นการร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านที่ช่วยกันแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ทะเลอย่างจริงจัง และพึ่งพาตนเองได้
เพื่อให้สามารถปรับตัวในการอยู่อาศัยและการประกอบอาชีพประมงชายฝั่งให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
ตลอดทั้งเสริมสร้างศักยภาพการบริหารจัดการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนร่วมกัน
3. 6 ชุมชนหน้าทะเลของเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
3.1 สภาพภูมิประเทศและปัญหา มีประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนจ้านวน 6 ชุมชนโดยประมาณร้อย
ละ 90 มีอาชีพท้านากุ้งแบบบ่อธรรมชาติ ส่วนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมคลองจะท้าประมงชายฝั่ง เช่น งมหอยแครงบนหาดเลน
ปักไม้ไผ่เลี้ยงหอยแลงภู่ หรือจับสัตว์น้าชายฝั่ง ซึ่งพื้นที่หาดเลนชุมชนบางขุนเทียนมีความอ่อนไหวและประสบปัญหาน้้าทะเล
กัดเซาะชายฝั่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ท้าให้ป่าชายเลนผืนสุดท้ายซึ่งถือเป็นพื้นที่กันชนระหว่างทะเลกับแผ่นดินถูกท้าลายไป
กว่า 2,735 ไร่ ส่งผลให้วิถีชีวิตในการท้าการประมงชายฝั่งเป็นอาชีพหลักของประชาชนถูกคุกคาม เพราะนอกจากหาดเลนซึ่ง
เป็นที่ท้ากินและเป็นสินส่วนรวมได้หายไปแล้ว ที่ดินของชาวบางขุนเทียนที่ติดอยู่กับชายทะเลยาว 5 กม.หรือประมาณ 5 ,715
ไร่ จ้านวน 127 แปลง ก้าลังจะถูกกัดเซาะหายไปกับทะเลในอัตราเฉลี่ย 12-20 เมตร/ปี
3.2 การบรรเทาปัญหาและการปรับตัวของชุมชน ชาวบ้านใช้เงินประมาณ 200 ,000-300,000 บาท/ครัวเรือน/ปี เพื่อซื้อ
หินท้าเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ชาวบ้านบางรายซื้อตุ่มมาเรียงไว้หน้าหาดแล้วซื้อทรายมาใส่ทุกๆ ปี ซึ่งสามารถประคอง
ที่ดินด้านหน้าทะเลไว้ได้แต่คลื่นได้อ้อมไปกัดเซาะที่ดินด้านข้างแทน เพราะอีกบ้านหนึ่งไม่มีเงินที่จะเอามาป้องกันการกัดเซาะ
เนื่องจากไม่มีทางออกชาวบ้านจึงต้องทนอยู่ในชุมชน บางรายยอมแพ้ขายที่ดินราคาถูกแล้วอพยพไปอยู่ที่อื่น ชาวบ้านจึง
พยายามช่วยเหลือตัวเองโดยไม่หวังพึ่งหน่วยงานภาครัฐอย่างเดียวและรวมตัวเป็น “เครือข่ายรักษ์ทะเลกรุงเทพฯ” โดยในช่วง
3
- 4. ต้นปี 2551 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนและมูลนิธิชุมชนไทได้สนับนุนบประมาณ 3 ล้านบาท เพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้ภูมิปัญญา
ท้องถิ่นทดลองปักแนวไม้ไผ่ตลอดแนวชายฝั่งซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะความยาว 1 กม. ในระยะแรกมีเป้าหมายเพื่อเติมเต็ม
ตะกอนจากข้างในออกสู่ข้างนอกและหยุดการกัดเซาะชายฝั่งหรือท้าให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งน้อยที่สุด ซึ่งหลังจากท้าแล้ว
เสร็จไม่กี่เดือนระดับตะกอนเลนหลังทิวไผ่ก็สูงขึ้นมา 1.5 เมตร พอตะกอนแน่นก็ปลูกป่าเพื่อยึดดินไว้ท้าให้ค่อยๆ ได้ระบบ
นิเวศน์ชายฝั่งกลับคืนมา
3.3 บทเรียนที่ได้จาการรวมพลังแก้ไขปัญหาของขุมชน ชาวบ้านทั้ง 6 ชุมชนเห็นผลแล้วว่าเขื่อนไม้ไผ่ชะลอคลื่นหรือสลาย
ก้าลังคลื่นซึ่งเป็นสิ่งคิดค้นจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สั่งสมจากประสบการณ์ในการประกอบอาชีพมาแต่โบราณสามารถกัก
ตะกอนเลนสะสมไว้ในพื้นที่ได้อย่างน่าพอใจ ซึ่งโครงสร้างวิศวกรรมยุคใหม่ไม่มีความเหมาะสมกับคลื่นในทะเลโคลนเช่นอ่าว
ไทยที่สัตว์น้าจะมีชีวิตบนหาดโคลน ตลอดทั้งเขื่อนไม้ไผ่สลายก้าลังคลื่นสามารถน้าไปปรับใช้กับชุมชนอื่นๆได้อีกด้วย และ
ปัจจุบันชาวบ้านก้าลังคิดว่าถ้าเปลี่ยนจากไม้ไผ่เป็นเสาคอนกรีตซึ่งมีความทนทานและใช้งบประมาณไม่มาก ชาวบ้านยังเชื่อมั่น
ว่าหลักการในการแก้ปัญหาด้วยเขื่อนไม้ไผ่ชะลอคลื่นคือรูปแบบที่ประสบความส้าเร็จมากที่สุดและเป็นต้นแบบในการ
แก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล เพราะไม้ไผ่ที่ปักไว้เป็นแนวในทะเลจะลดทอนความแรงของคลื่นให้สลายตัวไปโดยไม่เปลี่ยน
ทิศทางของกระแสน้้า ส่วนตะกอนหลังแนวไม้ไผ่ค่อยๆ สะสมตัวสามารถปลูกป่าชายเลนไว้ยึดเกาะตะกอนและในที่สุด
กลายเป็นพื้นที่กันชนระหว่างคลื่นทะเลกับแผ่นดิน ในขณะที่การสร้างก้าแพงกันคลื่นหรือคันดักทรายลักษณะต่างๆ ซึ่งเป็น
รูปแบบการแก้ปัญหาของภาครัฐที่ผ่านมาค่อนข้างล้มเหลวมาแล้วและยิ่งท้าให้ปัญหาบานปลายท้าลายระบบนิเวศน์มากขึ้น
กว่าเดิมด้วย
4.ปัจจัยที่สนับสนุนให้ ชุมชนมีความเข้มแข็งและ เป็นฐานในการบรรเทา ผลกระทบ และปรับตัว จากปัญหาการกัดเซาะ
ชายฝั่งทะเลในพื้นที่ภาคกลาง จากการศึกษาพบว่าชุมชนที่สามารถพึ่งพาตนเองได้มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันในด้านวิถีชิวิติของ
ชาวประมงพื้นบ้านและมีการรวมกลุ่มและการสร้างเครือข่ายระหว่างกลุ่มที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลที่คล้ายคลึง
กัน โดยปัจจัยที่ท้าให้กลุ่มมีความเข้มแข็งประกอบด้วยปัจจัยภายใน เช่น ผู้น้าเครือข่ายซึ่งมีต้าแหน่งทั้งเป็นทางการและไม่เป็น
ทางการในชุมชนเป็นแกนน้าในการค้นหาสาเหตุ แสวงหาแนวทางการแก้ปัญหาทั้งภายในชุมชนและระดับเครือข่ายชุมชน เช่น
เครือข่ายเครือข่ายชุมชนโคกขาม จ.สมุทรสาคร การมีจิตส้านึกและการมีส่วนร่วม การมีพันธกรณีหรือเป้าหมายที่สร้าง
ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การมีขนบธรรมเนียม ประเพณี วิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันของคนชายฝั่ง การมีรูปแบบการ
ติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การมีความรู้ ความเข้าใจและร่วมแบ่งปันผลประโยชน์และเรียนรู้ร่วมกัน รวมทั้ง
ปัจจัย
ภายนอก เช่น การได้รับสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานของรัฐบาลและการได้รับการสนับสนุนทางวิชาการจากองค์กร
พัฒนาเอกชน เป็นต้น
5.สรุป การกัดเซาะชายฝั่งทะเลเป็นปัญหาที่มีความส้าคัญระดับชาติและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น แม้ว่าภาครัฐได้ตระหนักถึง
ความส้าคัญของปัญหาและได้พยายามบรรเทาผลกระทบโดยการทดลองแก้ปัญหากัดเซาะของอ่าวไทยตอนบนมาหลาย
รูปแบบ เช่น หินทิ้ง สร้างก้าแพงกันคลื่น ทิ้งไส้กรอกทรายเป็นแนวไว้นอกฝั่ง 200 เมตร เป็นต้น ซึ่งใช้งบประมาณหลาย
พันล้านบาทแต่ก็ไม่ประสบผลส้าเร็จและยังพบว่ายิ่งเร่งให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นการเสริมสร้างความ
เข้มแข็งให้ ชุมชนเป็นฐานในการบรรเทา ผลกระทบและการปรับตัว (Community-Based Mitigation and Adaptation )
ด้วยการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นส้าหรับชายฝั่งที่เป็นหาดโคลนถือได้ว่าเป็นทางเลือกเพื่อให้ชุมชน
สามารถใช้เป็นวิธีการในการรับมือกับปัญหาที่ก้าลังคุกคามอยู่โดยไม่ให้ส่งผลกระทบทางลบต่อระบบนิเวศน์ชายฝั่ง โดยมี
เป้าหมายเพื่อรักษาความมั่นคงของชุมชนที่อาศัยและอนุรักษ์ฐานทรัพยากรซึ่งเป็นแหล่งรายได้และสร้างงาน โดยควร
สนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดการปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลในพื้นที่ภาคกลางอย่างยั่งยืนเพื่อเสริมสร้าง
ศักยภาพให้ให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้ควบคู่ไปกับการคิดค้นแนวทางการบูรณาการวิธีการบรรเทา
4