SlideShare a Scribd company logo
1 of 9
ทฤษฏีแนวร่วม
“ แนวร่วม ” หรือ “United
Front” แปลเป็นภาษาไทยแปลว่า “ สหแนวรบ” ความหมายในทางยุทธศาสตร์ซึ่งใช้เป็นยุทธวิธีนาสู่การเปลี่ยนแปลงท
างการเมือง ด้วยการ “เอาศัตรูมาช่วยรบ” และมีความหมายตรงกันข้ามกับคาว่า “ พันธมิตร” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Alli
ance “ ซึ่งแปลว่า “มิตรร่วมรบ” ตามทฤษฎีของลัทธิประชาธิปไตย
“ทฤษฎี” แนวร่วมเมื่อนามาปรับประยุกต์ใช้ก็กลายเป็น “ ยุทธวิธี ”
เงื่อนไข การปฏิวัติสังคมแบบคอมมิวนิสต์ตามที่ร่าเรียนกันมาจากลัทธินาเข้ามาร์กซ เลนิน เหมาเจ๋ อตุง
ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข 3 ประการ เรียกให้สวยหรูว่า แก้ว 3 ประการ อันหมายถึง
พรรค
แนวร่วม และ
กองกาลัง (กองทัพ)
ทาไมคอมมิวนิสต์จึงต้องใช้ยุทธวิธีนี้ ?
สถานการณ์ ของประเทศในช่วงปี 2518-2519 ก่อนที่จะมีนโยบาย 66/23 นั้น เป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธ
เพื่อยึดอานาจรัฐ
ด้วยการทา “ สงครามกลางเมือง” ตามทฤษฎี แต่หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์ไทยถูกปราบปรามแล้วด้วยสงครามโดยกองทัพแห่
ง ชาติ ในปีพ.ศ. 2523 ด้วยการยุติสงครามกลางเมืองกับกองทัพปลดแอกคอมมิวนิสต์
ตามคาสั่งสานักนายกรัฐมนตรีที่66/23ตามนโยบายต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมนิวนิสต์
ได้สาเร็จ กองทัพปลดแอกฯไม่อยู่ในสภาพที่จะก่อสงครามได้อีกต่อไป
การ ยุติสงครามกลางเมืองโดยกองทัพแห่งชาติจึงเป็นการทาลาย “ ยุทธวิธีสงคราม” ของพคท.
สมาชิกพคท.พบว่าเงื่อนไขแก้ว 3 ประการมีไม่เพียงพอ แก้วประการที่ 3 คือกองกาลังหรือกองทัพ
ถูกสลายลง เป็นการทาลายเงื่อนไขการปฏิวัติสังคมตามทฤษฎีและทาให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทย(พคท.)
ไม่สามารถบรรลุยุทธศาสตร์ทางการเมืองของตนเองได้
ความเหนือกว่าทางทฤษฎีตามนโยบาย 66/23
ในปี 2523 ซึ่งเป็นปีที่กองทัพแห่งชาติสามารถยุติสงครามกลางเมืองลงได้เพราะความเหนือ กว่าทางการเมือง
อธิบายดังนี้คือ
ในขณะนั้นคู่สงครามคือกองทัพปลดแอกฯสู้กับกองทัพแห่งชาติ นโยบาย 66/23จึงติดอาวุธทางยุทธวิธีให้กับกองทัพแห่งชาติใ
ห้มีการเมืองที่เหนือ
กว่า การต่อสู้ในขณะนั้นจึงขยับฐานะสูงขึ้น กลายเป็นการต่อสู้ทางการเมืองตามนโยบาย 66/23 สู่การสลายกองทัพปลดแอก
ฯเป็น การนาเอา “ การเมืองที่เหนือกว่า ”ไปทาลาย “ การเมืองที่ต่ากว่า”
นโยบาย 66/23 มุ่งให้ปฏิบัติการต่อบุคคล
ต่อการแก้ไขความคิดของ “คน” ที่ได้รับการปลูกฝังแล้วโดยลัทธิคอมมิวนิสต์
ด้วยการปฏิบัติหลักการ “ ขยายเสรีภาพส่วนบุคคลของลัทธิประชาธิปไตย” โดยไม่เอาผิดกับผู้กระทาความผิด
ถือว่าผู้กระทาความผิดเป็นผู้หลงผิด ไม่ถือว่าเป็นเชลยสงคราม
ถือว่าเป็นผู้ต้องการร่วมพัฒนาชาติเหมือนกัน เสนอแนวทางให้ออกมาจากป่าเพื่อมาร่วมกันสร้างชาติ
สร้างประชาธิปไตย นั่นคือขั้นตอนดึงสหายวัยเยาว์ออกจากที่แอบซ่อนในป่ามาสู่ที่แจ้งในเมืองแบบ ผู้เจริญ
ให้เกียรติในฐานะเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย
ขั้นตอนนี้ทาให้กองทัพแห่งชาติสามารถยุติสถานการณ์สงครามกลางเมืองได้ซึ่ง
ไม่ใช่การยกเลิกสงคราม ในขณะนั้นหากปล่อยให้กองทัพแห่งชาติ ไปต่อสู้กับกองทัพปลดแอกคอมมิวนิสต์โดยลาพัง
คือเป็นกองทัพที่ปราศจากการเมือง และปราศจากมวลชนก็จะทาให้พ่ายแพ้ต่อสงครามปฏิวัติของ พคท.ได้
ย้อนกลับไปดูความผิดพลาดในอดีต.....การขาดแล้วซึ่งแก้วทั้งสามประการ ทาให้คอมมิวนิสต์หันมาใช้แนวร่วมเป็นหลัก
การยุติสงครามกลางเมืองในครั้งนั้น(ไม่ใช่การยกเลิกสงคราม)หรือหมดเงื่อนไข
สงครามเพียงแต่เป็นการทาลายความเป็นปึกแผ่นของกองทัพปลดแอกคอมมิวนิสต์ แต่มิได้เป็นการทาลาย “ คน” ในกองทัพ
มาดูกันว่าเมื่อแก้ว 3 ประการนั้นมีไม่ครบองค์สมบูรณ์ต่อการนาสู่การปฏิวัติสังคมแบบคอมมิวนิสต์
บรรดาสมาชิกพคท.แก้ปัญหายุทธวิธีอย่างไร.....
ตามที่อธิบายว่าเมื่อเงื่อนไขทั้งสามไม่พอ พคท.ยังมีเงื่อนไขอื่นอีกให้สร้างงานต่อไป กล่าวคือการยุติสงครามในครั้งนั้นห
ยุดได้เพียงสงครามทางกายภาพคือการปราบ ปรามด้วยการฆ่าฟันแต่มิได้หยุดการเคลื่อนไหวทางความคิดตามทฤษฎีแนวร่วม
ได้ ขบวนการการปฏิวัติสังคมแบบคอมมิวนิสต์ เปลี่ยนรูปแบบ แปลงโฉมมานับแต่นั้น
ด้วยการนาเอายุทธวิธีแนวร่วมมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ
จากสงครามถือปืนแอบซ่อนในป่า สมาชิกพคท.เริ่มใช้อาวุธแบบใหม่คือการอาพรางตนภายใต้เสื้อคลุมตัวใหม่ใช้
ชื่อว่า “ประชาธิปไตย” ต่อท้ายทุกเรื่องไป.....เรื่องนี้ ต้องถามผู้นากองทัพสมัยนั้นว่า...ทาไมจึงไม่ปฏิบัตินโยบายขั้นตอนที่สองของ
นโยบาย 66/23 เพื่อการเปลี่ยนแปลงทางความคิดให้ลุล่วง
จากคอมฯในป่าสู่เมือง.....14 ตุลาฤาจะไปไหนพ้นนอกจากกลับบ้านเก่า การต่อตัวทางความคิดสู่แนวร่วม
ณ.วันนี้ขบวนการปฏิวัติของพคท.ได้ปรับสภาพตัวเองในสถานการณ์ใหม่หลังจากออกจากป่ า
มา สู่เมือง จากสภาพนักศึกษาผู้หวังเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยอุดมการณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์
สู่การกลับสู่อ้อมอกบ้านเกิด ดินแดนแห่งมาตุภูมิ ทามาหาเลี้ยงชีพ...ตามสาขา แต่หัวจิตหัวใจ ยังฝักใฝ่ ลัทธิที่ถือครอง
จากพรรคคอมนิวนิสต์เต็มรูปแบบมาอยู่ในรูปของการเคลื่อนไหวที่ไม่ใช่พรรค.....
จากปฏิวัติสังคมคอมมิวนิสต์สู่ความละห้อยโหยหาประชาธิปไตยของประชาชน.....
จากความพ่ายแพ้และบอบช้าในป่ามาสู่การเอาชนะในเมือง......
จากความพ่ายแพ้ยุทธวิธีสงครามมาสู่การเอาชนะด้วยยุทธวิธีแนวร่วม......
จาก ยึดอานาจรัฐด้วยปลายกระบอกปืน มายึดอานาจรัฐด้วยการใช้ “ ศัตรูฆ่าศัตรูเพื่อชัยชนะของตนเอง”
......(ศัตรูของศัตรูคือมิตรช่วยรบชั่วคราว คอมมิวนิสต์ไร้ศีลธรรมอย่างนี้แหละ)
จากยุทธวิธีรุนแรงสู่สันติวิธีแบบฆาตกรรมอาพราง.......คอมมิวนิสต์ยืมมือคนอื่นเสมอ...ไม่ทาเอง
อย่างไรก็ดียุทธวิธีแนวร่วมทั้งหลายทั้งปวงที่มาแทนยุทธวิธีสงครามก็เป็นการ
สร้างเงื่อนไขนาไปสู่สงครามกลางเมืองขั้นตอนใหม่ตามความเชื่อที่ถูกปลูกฝัง
มาว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมต้องเกิดจากความรุนแรงเสมอ (ทฤษฎีวิภาษวิธีแบบวัตถุๆคือ กิริยา VS ปฏิกิริยา สู่สหกิริยา)
เพียงแต่ขณะนี้หันมาใช้ยุทธวิธีแนวร่วมสร้างเงื่อนไขความรุนแรงเพื่อนาไปสู่ สงครามประชาชน(People’s
war) ยุทธวิธีแนวร่วมเป็น “ วิธีการแยกประเทศ” อย่างแนบเนียนพวก
พคท.จะปิดบังอาพรางการเคลื่อนไหวไม่ให้คนรู้ว่าเขากาลังหลอกลวงประชาชน ว่า....
ไม่คิดแบ่งแยกประเทศ....
ไม่คิดเปลี่ยนแปลงรูปประเทศและ.....
ไม่คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง.....
คอมมิวนิสต์จอมบงการในกลไกการเมืองบ้านเราเป็นนักปั่นหัวตัวยง ทาของจริงให้เป็นเท็จ
ทาของเท็จให้เป็นจริง ผิดศีลตลอดเวลา บอกว่าตัวเองเป็นพวกประชาธิปไตย
และป้ ายสีพวกประชาธิปไตยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ วิธีการนี้มักใช้ได้ผลเสมอกับฝ่ายขวาตกขอบที่กลับกลายเป็นแนวร่วมมุมกลับ
ชั้นดีของคอมมิวนิสต์ ไม่เว้นแม้ในกองทัพแห่งชาติเอง
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นการเคลื่อนไหวต่อสู้ทั้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองและ
การจัดตั้งกับขบวนการคอมมิวนิสต์หากไม่มีอาวุธทางความคิด
ไม่รู้ยุทธวิธีของพคท.ก็ไม่สามารถเข้าใจรูปแบบเนื้อหาการเคลื่อนไหวได้
รัฐธรรมนูญและการถ่วงหม้อลงน้า !!!
แม้แต่รัฐธรรมนูญก็ถูกนามาเป็นเงื่อนไขในการเคลื่อนไหวทาให้สังคมไทยหลงคิด
ทางจนเกิดกลียุคหลายครั้งแล้ว รัฐธรรมนูญกลายเป็นเงื่อนไขให้พคท.นามาใช้สู่ “ การเคลื่อนไหวระดับประเทศ ” ทาให้คนไทย
หลงคาโฆษณาเพียงแค่คาว่าปฏิรูปการเมืองทั้งๆที่เป็นแค่ “ ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ” ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงคือเมื่อหลงแก้แต่รัฐธรรมนูญแต่
ไม่ยอมแก้การปกครองก็
เท่ากับเป็นการรักษาการปกครองเดิมไว้อยู่นั่นเอง นับเป็นการมัดสายสิญจน์ถ่วงหม้อดินรัฐธรรมนูญลงน้าแบบวิชาหมอผีชั้นดี
เรื่องถ่วงน้านี้เป็นเรื่องสาคัญ เพราะคาว่า “ ถ่วง “ คือการทาให้หนัก
ให้จม เกิดความไม่เป็นธรรมจากการปกครองที่ล้าหลังไปเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากการเรียกร้องความไม่เป็นธรรมจากทุกฝ่ายต่อรัฐ
บาลพล.อ.สุ รยุทธ์ในปัจจุบันเหมือนกันหมด ประกอบกับสานักแนวร่วมของพคท. ที่มาทาแนวร่วมกับผู้ปกครองที่ถืออานาจรัฐ
ซึ่งตามหลักถือว่าเป็นศัตรูแต่มาอยู่ร่วมกับศัตรูเป็นการมาช่วยศัตรูให้ทา ผิดให้มากๆ
ขึ้นเรื่อยๆ กล่าวคือทาการปกครองที่ไม่เป็นธรรมเพื่อให้ศัตรูของตนเองช่วยสร้างเงื่อนไข
ความแตกแยกในสังคมให้มากที่สุดเพื่อบรรลุยุทธศาสตร์ทางการเมืองของลัทธิฯ
เพราะแนวร่วมมีอุปนิสัยเป็นเผด็จการอยู่แล้ว การกระทาใดๆผ่านแนวร่วมจึงเป็นการทาลายความเป็นไปประชาธิปไตยลงใ
นทุกมิติ นั่นเอง ต้องไม่ลืมว่าการทาแนวร่วมในความหมายของคอมมิวนิสต์ก็คือการเอาศัตรูมาช่วย รบ เพราะศัตรูของชาว พคท.
ก็คือพวกเผด็จการนั่นเอง เพื่อช่วยตนเองให้รบชนะ เป็นการใช้ศัตรูโดยการไปอยู่ร่วมกับศัตรู เพื่อให้ศัตรูตนเองกระทาความผิด
ขออธิบายเรื่องเผด็จการในบ้านเรา เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องสอดคล้อง
เผด็จการในประเทศไทยนอกเหนือจากเผด็จการคอมมิวนิสต์แล้ว ยังมีเผด็จการอื่นอยู่อีก 2 ประเภท
เผด็จ การรัฐสภา (เผด็จการพลเรือน) หรืออานาจรัฐเป็นของกลุ่มทุน ฝ่ายซ้ายเรียกว่าประชาธิปไตยของนายทุน
ตามหลักรัฐศาสตร์เรียกว่าระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา
(แต่มีนักวิชาการสายรัฐศาสตร์ในระดับราชบัณฑิตไม่ยอมรับข้อเท็จริงอันนี้)
เผด็จการทหาร คือ อานาจรัฐเป็นของคณะนายทหารที่ใช้วิธีการยึดอานาจ
ทั้งสองขบวนเผด็จการเป็นผู้ที่ช่วยทาให้การปฏิวัติสังคมของพคท.บรรลุผล
ได้ ฝ่ายแรกได้อานาจมาด้วยการซื้อเสียงและรูปแบบการเลือกตั้งจอมปลอม ฝ่ายหลังได้อานาจมาด้วยวิธีการยึดอานาจโดยกองทัพ
ความแนบเนียนของพคท.ทาโดยการเบี่ยงเบนปัญหา
ให้มีการยึดอานาจโดยทันที และหันไปร่วมมือกับศัตรูของตนเอง ศัตรูนั้นก็คือ “ นายทุน” พคท.หันไปร่วมมือกับนายทุนใหญ่
หลอกใช้ศัตรู (นายทุน) ทั้งหลาย เช่น ทุนเจ้าที่ดิน ทุนสื่อสาร ทุนพลังงาน ทุนข้ามชาติ ฯลฯ
แนวรบอีกด้านหนึ่งของคอมมิวนิสต์ก็คือด้านมวลชน แนวรบนี้เป็นผู้นาพาประชาชนไป เคลื่อนไหวเรื่องรัฐธรรมนูญแต่ไ
ม่ได้เป็นไปเพื่อเปลี่ยนมือเจ้าของอานาจ รัฐ พคท.จะไม่เอาอานาจรัฐมาเป็นของปวงชน แท้จริงแล้วการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ
มีความมุ่งหมายเพื่อเอาอานาจรัฐสู่กลุ่มจัดตั้งของตน การปลุกประเด็นการเคลื่อนไหวสู่สาธารณะด้วยการเอารัฐธรรมนูญมาเป็นตัว
หลอก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ จึงเป็นที่ถูกใจ พอใจของผู้ปกครองที่หวังได้ความชอบธรรมตามกระแสเพื่อทาให้เข้าใจว่านี่คือ
ประชามติแบบประชาธิปไตยที่มีประชาชนมีส่วนร่วม
การใช้การเคลื่อนไหวตามลัทธิรัฐธรรมนูญขณะนี้ เปิดโอกาสให้พคท.ได้สร้างแนวร่วมทุกระดับ และปิดบังอาพรางการเ
คลื่อนไหวทางการเมืองของตนเองไว้ เปิดช่องและโอกาสไว้ก็เพียงการทาแนวร่วม สร้างแนวร่วมสู่การจัดตั้งเพื่อนาไปสู่การสร้าง
สถานการณ์ปฏิวัติ คือ การสร้างความขัดแย้งภายใน (Internal
Conflict) ในทุกภาคส่วน โดยอาศัยการทาแนวร่วมที่แทรกอยู่กับการเคลื่อนไหวทุกระดับ
เพื่อสร้างประชามติ พคท.จะอาศัยตัวแทนในรูปแบบต่างๆและใช้เหตุการณ์เฉพาะกรณีไปดูให้เป็นเสมือน การขัดแย้งทั่วไป
เพื่อมุ่งสู่ความสามารถในการรุกทางการเมืองเพื่อสร้างกระแสคลื่นของประชาชน
เป็นส่วนใหญ่ไปในแนวทางที่ตนเองต้องการได้ในที่สุด
หลักสาคัญของทฤษฎีแนวร่วมของเหมาเจ๋ อตุงที่ควรเข้าใจ คือ ไม่ทาลายนายทุนทั้งหมดทีเดียว แต่จะทาลายทีละส่วน
จากร่วมมือกับนายทุนหรือร่วมมือกับแนวร่วม หรือ ร่วมมือกับเผด็จการ (ร่วมมือแบบเป็นศัตรูกัน)
อีกด้านหนึ่งก็เป็นพันธมิตรทายุทธวิธีกับกรรมกรชาวนา นักศึกษา หรือ
เป็นพันธมิตรกับกรรมการชาวนาไปด้วย เรียกว่าขบวนการแนวร่วม
การจัดกาลังของขบวนการแนวร่วม
พันธมิตร กรรมกรชาวนา ชนชั้นกรรมาชีพเป็นพื้นฐาน
นายทุนน้อยนายทุนชาติ นายทุนใหญ่ (นายทุนใหญ่ถือเป็นแนวร่วมทางยุทธวิธี)
นาโดยชนชั้นกรรมาชีพ
ต้องทาความเข้าใจว่า พวกแนวร่วมไม่ใช่พคท.แต่เป็นพวกที่ช่วยให้พคท.รบชนะหรือทาในสิ่งที่ผิดๆเป็น
เงื่อนไขนาไปสู่ความรุนแรงในสังคมได้ การทาผิดนี้เริ่มตั้งแต่ระดับนโยบายลงมา
ใครก็ตามที่ช่วยสร้างเงื่อนไขให้พคท.จนสามารถนาไปเป็นเงื่อนไขสงครามประชาชน ได้คนนั้น ขบวนนั้น พรรคนั้น
ถือว่าเป็น “ แนวร่วมที่มีประสิทธิภาพ” แนวร่วมที่มีประสิทธิภาพจึงมักเป็นแนวร่วมชั้นสูง เป็นพวกถือครองอานาจ
มีอานาจและถ้าใช้อานาจในทางที่ผิดได้สาเร็จก็จะก่อผลสะเทือนให้กับ คอมมิวนิสต์อย่างคุ้มค่า
ดังจะเห็นว่าระบอบเผด็จการทักษิณ(ระบอบทักษิณ) ระบอบคมช.ก็ไม่พ้นการตกเป็นแนวร่วม หากไม่มีการเมืองที่เหนือ
กว่า ก้าวหน้ากว่า ฉลาดกว่าพคท. ที่จะทารู้การเคลื่อนไหวและการใช้ยุทธวิธี
ยอกย้อนไปมา การได้มาซึ่งอานาจรัฐด้วยการรัฐประหารโดยคมช.
ภายใต้การปกครองชั่วคราวแล้วไม่เร่งสร้างประชาธิปไตยแต่กลับไปมะงุมมะงาหรา
ร่างรัฐธรรมนูญใหม่สู่การเลือกตั้งแบบเผด็จการรัฐสภา การเมืองก็ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์เช่นเดิม
คือย้ายจากเผด็จการทหารไปสู่เผด็จการรัฐสภา เปิดโอกาสให้พคท. เล่นบทผู้รักประชาชน เป็นวีรบุรุษ
โดยมีสื่อพวกเดียวกันเองร่วมสร้างกระแสเปิดทางให้
ที่ อันตรายก็คือ....ขณะนี้การไปทาแนวร่วมของพคท.โดยการเข้าไปทาทีช่วยเร่งร่าง รัฐธรรมนูญ
ก็เป็นการเข้าไปช่วยให้คมช.กระทาความผิดอีกเช่นกัน !!!
ปรากฏการณ์ การออกมาร่างรัฐธรรมนูญโดยพวกพคท.
ในนามสภาร่างรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนเพื่อแข่งกับรัฐธรรมนูญของรัฐบาล
พล.อ.สุรยุทธ์ภายใต้สสร.นั้น เป็นการ “ถ่วงน้า” แบบถึงที่สุด ขั้นตอนนี้วิเคราะห์ได้ว่าเป็นการดวลกับฉบับของสสร.
ให้การถ่วงมีน้าหนักให้มากถึงมากที่สุด กล่าวคือเป็นการทางานสองด้าน
เป็นงานรักษาอานาจช่วยเผด็จการเพื่อทาลายล้างในที่สุด โปรดสังเกตว่าพคท.จะปิดการเคลื่อนไหวการเมืองไว้ก่อนจะเปิดการเคลื่
อนไหวมวล
ชน ปิดการเมืองเพื่อเปิดกาลังเอาความคิดที่แตกต่าง รวบรวมเอาผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันมาไว้ในที่เดียวกันเพื่อใช้คนไทยให้ทา
ลาย กันเอง
ความไร้คุณธรรมของพคท. ดารงตนราว “ พระผู้ทาลาย” ยังมีมากกว่านี้โปรดฟังต่อ.....
การสร้างเงื่อนไขความสาเร็จในการทาแนวร่วมในประเทศไทยนั้นทาเครือข่ายโยงใย ตั้งแต่การสร้างแนวร่วม การจัดตั้งแ
นวร่วม การขยายแนวร่วมในเมือง การร่วมกันระหว่างพันธมิตรกับแนวร่วมทั้งในเมืองและชนบท ทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อให้บรร
ลุวัตถุประสงค์หลัก คือ
ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน
ทาให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
ให้คนไทยแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย
เพื่อนาคนไทยเข้าสู่สงครามการเมือง
เมื่อถึงสถานการณ์หนึ่ง ที่กระแสการเปลี่ยนแปลงขึ้นสู่กระแสสูงมาก ๆ
แม้คาพูดหรือวาจาบางคาที่ล้าหลังของผู้มีอานาจบางคนก็สามารถนาไปขยายผลให้ เกิดความแตกแยก
เป็นเหตุแห่งความมั่นคงของประเทศได้ หากไม่รู้เขารู้เรา
การดาเนินการของพคท.จะนาไปสู่จุดจบอย่างไร ? สิ่งใดคือจุดมุ่งหมาย ?
เมื่อถึงสถานการณ์หนึ่งขบวนการแนวร่วมจะเป็นบวนการที่ใหญ่โต โยงใยเต็มไปหมด
กระจายไปในหมู่ประชาชนและองค์การต่างๆทาให้ฝ่ายผู้รับผิดชอบมองรูปการไม่ออก
ไม่เข้าใจและไม่รู้จะจัดการอย่างไรเมื่อสถานการณ์ขมึงเกลียว เพราะไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ปัญหาอะไรแก้ได้หรือไม่ได้ และ
จะต้องใช้อะไรเข้าไปใช้ในการแก้ จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าการเมืองชนิดใดกันแน่ที่ก้าวหน้าหรือล้าหลัง
การขอให้ยุติการเคลื่อนไหวหรือห้ามมีการเคลื่อนไหว
โดยอ้างว่าประเทศชาติต้องการความสามัคคีนั้นจนถึงที่สุดแล้วจึงไม่มีทางเป็น ไปได้
จากการเคลื่อนไหวมวลชนสู่ขบวนการลุกขึ้นสู้ของมวลชน สามารถอธิบายเป็นขั้นตอนได้ดังนี้คือ
จัดตั้งแนวร่วม
ขยายแนวร่วมในเมือง
สร้างกระแสคลื่นของประชาชนส่วนใหญ่
ขยายแนวร่วมในรูปแบบต่างๆออกไปทั่วประเทศ
จะ ใช้เหตุการณ์เฉพาะกรณีๆไป ให้เป็นเสมือนการขัดแย้งทั่วไป ให้ดูไม่ออกว่าเป็นพวกเดียวกัน ขบวนเดียวกัน
และไม่เป็นการรุกทางการเมืองให้ดูไม่ออกว่าจะนาไปสู่การเมืองชนิดใด ให้ดูเหมือนไม่สาคัญ
ดังจะเห็นว่าขณะนี้บ้านเมืองสับสน จับต้นชนปลายหาเหตุและผล ที่มาของปัญหาไม่ถูก
ผู้ปกครองก็ไม่แน่ใจว่าจะแก้ปัญหาประเทศแต่ละอย่างให้ถูกต้องได้อย่างไร กรณีไอทีวีคือตัวอย่าง
เป็นได้อย่างมากก็คืออิงแอบความคุ้นเคยแบบเก่าๆ ของพวกพ้องวงศ์วานในการแก้ปัญหา เข้าทางการทาลายล้างพคท.
ใช้เป็นจุดโจมตี ความอ่อนด้อยของผู้ปกครองอย่างต่อเนื่อง
กล่าวโดยสรุป ยุทธวิธีแนวร่วม สืบทอดมาจากยุทธวิธีสงคราม
เมื่อสงครามกลางเมืองยุติลงก็ปรับใช้ตามแนวทางของเหมาเจ๋ อตุง เพราะเมื่อยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธก็หันมาต่อสู้แนวทางนี้แทน
โดยพคท.กาหนดแนวทางในระยะผ่านไว้ 4 ขั้นตอน (Transition
Period) หรือขั้นตอนก่อนจะบรรลุทางยุทธศาสตร์ของลัทธิฯคือ
ออกจากป่าให้มาชุบตัว(พคท.และทรท.)
สร้างฐานทางเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง
เข้าร่วมมีอานาจรัฐตามกลไกการปกครอง
สนับสนุนฝ่ายรัฐทาผิดมากๆและต่อๆไป
การหลอกลวงและผิดศีลธรรมต่อเพื่อนมนุษย์
ยุทธวิธีแนวร่วมและยุทธวิธีสงคราม ถือว่าเป็นอาวุธที่สาคัญในการยึดอานาจรัฐ
เป็นการทาลายรัฐเดิม ด้านยุทธวิธีแนวร่วมเป็นวิธีการสะสมกาลังด้วยวิธีสันติด้านหนึ่ง ส่วนด้านยุทธวิธีสงครามนั้นยังไม่เอาออ
กมาใช้เพราะเงื่อนไขยังไม่เพียงพอ ด้านนี้ถือเป็นการใช้กาลังซึ่งจะนาออกมาใช้โดยพรรค
(ส่วนการเมือง) อธิบายแบบสภาวธรรมและสภาวะจิตตามภาษามนุษย์ผู้เป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย เป็นขั้นตอนต่างๆ ได้ดังนี้คือ
1. หลอก
ผู้ปกครองว่าตนเองเข้ามาอยู่ในเมืองแล้ว พร้อมรับแนวทางประชาธิปไตย ยึดแนวทางสันติวิธี ปฏิเสธการมีตัวตนของคอมมิวนิส
ต์อย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันก็มีพฤติกรรมทางการเมืองแบบแอบแฝง- ซ่อนเร้น-
ยาวนาน ซึ่งก็คือการออกมาชุบตัวตาม 4 ขั้นตอน ดังข้างบนนั่นเอง
2. หลอกว่า สันติวิธีเท่านั้นที่แก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้ ทั้งๆที่ยุทธวิธีแนวร่วม
ก็คือยุทธวิธีสร้างความแยกแตกในบ้านเมือง เป็นไปตามทฤษฎีปรัชญาเอกภาพของด้านตรงกันข้าม (Unity of the
Opposite) เพื่อเป็นเงื่อนไขนาไปสู่ยุทธวิธีสงคราม ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการเคลื่อนไหวมวลชน (ม็อบ)
ทีไรก็จะบอกว่าประชาชนใช้ สันติวิธี ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงคือการแบ่งขั้ว
แบ่งฝ่ายสงครามระหว่างคนรวยกับคนจน กล่าวคือม็อบของระบอบเผด็จการก็คือคนจน ซึ่งเป็นปรปักษ์ กับคนรวย
(ผู้ปกครอง) เป็นการสร้างคู่สงครามระหว่างคนจนกับคนรวยด้วยการ ก่อให้เกิดการแบ่งแยก
ส่วน การสร้างยุทธวิธีแนวร่วมคือพวกพคท.ด้านหนึ่งจะไปเคลื่อนไหวอยู่กับผู้ ปกครอง(เผด็จการ)
อีกด้านหนึ่งจะไปเคลื่อนไหวอยู่กับประชาชน (คนจน) จากนั้นเคลื่อนไหวมวลชนตามยุทธวิธีมวลชนล้อมรัฐบาล
อย่างเช่นนาพาประชาชน(ม็อบ) ที่มีปัญหามาปิดล้อมทาเนียบรัฐบาล ปิดล้อมรัฐสภา และกระทรวงต่าง
ๆ เมื่อเกิดการปะทะกันระหว่างรัฐกับประชาชนก็กลายเป็นความผิดของรัฐว่าใช้ความ รุนแรงกับประชาชน
ส่วนประชาชนนั้นสันติจึงกลายเป็นเงื่อนไขมวลชนลุกขึ้นสู้ในที่สุด(Mass uprising)
3. หลอก ทุกพวกแล้วเข้าร่วมกับทุกพวกโดยหากประชาชนไม่รู้การเมืองก็บอกว่าการเมือง
ของประชาชนคือประชาธิปไตยของประชาชน (คนจน) หากเข้าร่วมกับผู้ปกครองก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว มีการเลือกตั้งแล้ว
หากจะแก้การเมืองก็พาไปแก้รัฐธรรมนูญแต่ใช้คาว่าปฏิรูปการเมืองทั้งๆที่เป็น การปฏิรูปรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนเองอยู่ได้กับทุกพวก
4. หลอก
พาไปยึดรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปการเมือง โดยอ้างว่าเพื่อความก้าวหน้าโดยไม่พาประชาชนไปสู่อานาจรัฐแต่กลับให้ยึดรัฐ
ธรรมนูญฉบับประชาชนโดยไม่ทาอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
การหลอกลวงดาเนินต่อไปจนกว่าจะมีเงื่อนไขเพียงพอที่จะพัฒนาการต่อสู้ จากยุทธวิธีแนวร่วม สู่ยุทธวิธีสงครามในที่สุด
5. หลอกใช้กาลังทุกพวกให้หลงแนวทางของชาติ โดยการรักษาอานาจเผด็จการไว้ซึ่งเป็นอานาจที่ไม่เป็นธรรม
แล้วทาลายผู้ปกครองทีละส่วน
5.1 ประชาธิปไตยของนายทุนไม่ดี มุ่งทาลายด้วยการชี้ให้มวลชนเห็นว่า ประชาธิปไตยของคนรวยไม่ดี เลวร้าย ทาลายชาติ
ขายชาติ
5.2 ประชาธิปไตยของขุนศึกไม่ดี โดยชี้ให้ประชาชนเห็นว่า การยึดอานาจล้าหลัง เป็นเผด็จการทหาร
ทหารไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
5.3 ประชาธิปไตยของศักดินาไม่ดี มุ่งทาลายสถาบัน โดยการยกให้สูงเด่น ให้อยู่เหนือการเมือง
พวก นายทุนขุนศึกศักดินา หรือ เผด็จการนายทุน(ทุนเก่า ทุนใหม่) เผด็จการทหาร (รัฐประหาร)
สถาบัน.....ไม่ดี ต้องเป็นประชาธิปไตยของประชาชน(คนจน)
หรือคนส่วนใหญ่เท่านั้นจึงจะดีตามทฤษฎีที่พคท.คือผู้ปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ สู่สังคมอุดมคติ
กฎเกณฑ์หรือไม่กฎเกณฑ์ ยึดอะไรเป็นสรณะ
วิธีการสันติของยุทธวิธีแนวร่วมเมื่อบรรลุ ความมุ่งหมายความรุนแรงเท่านั้น
ไม่มีเป็นอย่างอื่นเพราะเป็นกฎเกณฑ์การพัฒนาการ วิธีการยึดประเทศด้วยยุทธวิธีแนวร่วมเมื่อทางานแนวร่วมสุกงอมเต็มที่แล้ว
ก็จะลงมือเปลี่ยนประเทศ โดยใช้ยุทธิวิธีสงครามหรือใช้อาวุธหรือกองกาลังทางอาวุธเดี๋ยวนี้เพียงแต่ ต้องทาแนวร่วมให้สุกงอม
คือทาให้ 2 เงื่อนไขสาเร็จเพียงพอก่อน
1. การปกครองไม่เป็นธรรมเมื่อถึงระดับหนึ่ง จะเกิดสภาวะคับแค้นทางจิตใจเพียงพอหรือยังคือการปกครองแบบเผด็จการ(บ้านเรา
มีอยู่2 ประเภท)
2. ความยากจนเกิดความยากไร้ทางวัตถุ จากคนจนเต็มประเทศสู่ผู้คนเป็นหนี้ สู่คนอพยพ เพียงพอหรือยัง
ในที่สุดเงื่อนไขการเคลื่อนไหวและนโยบายสร้างความแตก แยกในสังคมก็จะใช้ได้ผล
ซึ่งมีอยู่มากมาย ตัวอย่างที่พคท.ใช้จุดประเด็นมาตลอดคือ “ นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง ” ซึ่งกาลังปรากฏเป็นประเด็
นข่าวอยู่ล่าสุด
หากรู้เท่าทันก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นการทาให้หัว หน้าพรรคการเมืองที่เต็มไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการเสวยอานาจ
สู่ความยิ่งใหญ่
ความเด่นดัง เสนอตัวเพื่อแก้ปัญหาชาติสู่การเป็นนักปกครองสมัยใหม่ เป็นอิสระแบบตะวันตก ทาให้ผู้นาประเภทนี้ ถูกนาไป
ชนกับสถาบันเบื้องสูงโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้แล้วพคท.ยังหลอกให้ ทั้งทุนใหม่และทุนเก่าทาลายล้างกันเอง
การทาลายล้างโครงสร้างทางการเมืองและทางความคิดมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ส่วนการทาแนวร่วมทางความคิดก็พยายามหว่านล้อมเหตุผลด้วยการอธิบายว่า นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง
เป็นนายกของประชาชน มีความเป็นประชาธิปไตยสูงส่ง พคท.จึงเร่งส่งเสริมลัทธิการเลือกตั้ง โดยช่วยอธิบายว่าการเลือก
ตั้งเป็นประชาธิปไตยทาให้บรรดานักเลือกตั้งทั้ง หลายชอบใจ
ส่วนการปฏิรูปการเมืองก็เช่นกัน หลอกให้สร้างแต่รัฐธรรมนูญ
ที่วนเวียนอยู่กับกรงขังและปัญหานักกฎหมายหัวนอกแบบเดิมๆ
นอกจากนี้แล้วยังมีวิธีการทาลายทุนขนาดใหญ่ ด้วยการทาให้เกิดความขัดแย้งกันเอง
โดยพคท.จะเข้าไปอยู่ในส่วนต่างๆหรือไปทาแนวร่วมด้วย เนื่องจากทุนใหญ่เป็นแนวร่วมชั้นดี หากทุนใหญ่นั้นๆ ทรงอิทธิพล
เช่น มีเงินมากมีผลประโยชน์มาก มีเครือข่ายมาก มีมาเฟียอิทธิพลทุกระดับ ก็จะมีกาลังมากขึ้น
สู่ความเลวร้ายยิ่งขึ้นหากบุคคลผู้นั้น ไร้จุดยืนต่อส่วนรวมและต่อชาติ !!!
หากผู้ปกครองนิยมความเป็นสากลมากกว่านิยมความเป็นชาติ
ไม่เอาด้านชาติเป็นหลักในที่สุดก็จะกลายเป็นตัวแทนทุนข้ามชาติแล้วดาเนิน
นโยบายขายชาติต่อ โดยอ้างกับประชาชนว่านี่คือการพัฒนาประเทศ เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจมีท่าเรือขนาดใหญ่ มีสนามบิน
ขนาดใหญ่ มีถนนขนาดใหญ่ มีโรงแรมขนาดใหญ่ มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่
มีระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ มีโรงงานขนาดใหญ่ มีที่โชว์แสดงสินค้าขนาดใหญ่ มีระบบสื่อสารขนาดใหญ่
มีโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ มีระบบการสื่อสารขนาดใหญ่ มีระบบการหมุนเวียนเงินตราที่เป็นสากล
มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เป็นสากล มีภาษาที่เป็นสากล มีการเป็นอยู่ดาเนินชีวิตของคนในสังคมที่เป็นสากลฯลฯ
แล้วนาประเทศเข้าสู่สากล ทาให้ประเทศถูกความเป็นสากลครอบงา มองไม่ออกว่าอะไรคือการขายชาติ อะไรคือการพัฒนาชาติ
อะไรคือการกู้ชาติ
ในที่สุดก็จะเกิดวิกฤติทางความคิด !!!!
(เอกสารศึกษาของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ )
Edit:thongkrm_virut@yahoo.com

More Related Content

More from Thongkum Virut

งานวิจัย
งานวิจัยงานวิจัย
งานวิจัยThongkum Virut
 
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)Thongkum Virut
 
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทย
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทยบิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทย
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทยThongkum Virut
 
การปกครองของไทยในสมัยโบราณ
การปกครองของไทยในสมัยโบราณการปกครองของไทยในสมัยโบราณ
การปกครองของไทยในสมัยโบราณThongkum Virut
 
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน   อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน   อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...Thongkum Virut
 
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓Thongkum Virut
 
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...Thongkum Virut
 
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริ
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริหนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริ
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริThongkum Virut
 
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่Thongkum Virut
 
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทรประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทรThongkum Virut
 
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์Thongkum Virut
 
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการ
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการสหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการ
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการThongkum Virut
 
ประวัติรัฐหวู
ประวัติรัฐหวูประวัติรัฐหวู
ประวัติรัฐหวูThongkum Virut
 
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกเหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกThongkum Virut
 
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...Thongkum Virut
 
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตยเรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตยThongkum Virut
 
คู่ขัดแย้งในสังคมไทย
คู่ขัดแย้งในสังคมไทยคู่ขัดแย้งในสังคมไทย
คู่ขัดแย้งในสังคมไทยThongkum Virut
 
ระบอบเผด็จการรัฐสภา
ระบอบเผด็จการรัฐสภาระบอบเผด็จการรัฐสภา
ระบอบเผด็จการรัฐสภาThongkum Virut
 

More from Thongkum Virut (20)

งานวิจัย
งานวิจัยงานวิจัย
งานวิจัย
 
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
 
All10
All10All10
All10
 
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทย
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทยบิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทย
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทย
 
ข้าว
ข้าวข้าว
ข้าว
 
การปกครองของไทยในสมัยโบราณ
การปกครองของไทยในสมัยโบราณการปกครองของไทยในสมัยโบราณ
การปกครองของไทยในสมัยโบราณ
 
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน   อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน   อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
 
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓
 
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...
 
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริ
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริหนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริ
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริ
 
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่
 
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทรประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
 
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์
 
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการ
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการสหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการ
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการ
 
ประวัติรัฐหวู
ประวัติรัฐหวูประวัติรัฐหวู
ประวัติรัฐหวู
 
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกเหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก
 
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...
 
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตยเรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
 
คู่ขัดแย้งในสังคมไทย
คู่ขัดแย้งในสังคมไทยคู่ขัดแย้งในสังคมไทย
คู่ขัดแย้งในสังคมไทย
 
ระบอบเผด็จการรัฐสภา
ระบอบเผด็จการรัฐสภาระบอบเผด็จการรัฐสภา
ระบอบเผด็จการรัฐสภา
 

แนวร่วม

  • 1. ทฤษฏีแนวร่วม “ แนวร่วม ” หรือ “United Front” แปลเป็นภาษาไทยแปลว่า “ สหแนวรบ” ความหมายในทางยุทธศาสตร์ซึ่งใช้เป็นยุทธวิธีนาสู่การเปลี่ยนแปลงท างการเมือง ด้วยการ “เอาศัตรูมาช่วยรบ” และมีความหมายตรงกันข้ามกับคาว่า “ พันธมิตร” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Alli ance “ ซึ่งแปลว่า “มิตรร่วมรบ” ตามทฤษฎีของลัทธิประชาธิปไตย “ทฤษฎี” แนวร่วมเมื่อนามาปรับประยุกต์ใช้ก็กลายเป็น “ ยุทธวิธี ” เงื่อนไข การปฏิวัติสังคมแบบคอมมิวนิสต์ตามที่ร่าเรียนกันมาจากลัทธินาเข้ามาร์กซ เลนิน เหมาเจ๋ อตุง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข 3 ประการ เรียกให้สวยหรูว่า แก้ว 3 ประการ อันหมายถึง พรรค แนวร่วม และ กองกาลัง (กองทัพ) ทาไมคอมมิวนิสต์จึงต้องใช้ยุทธวิธีนี้ ? สถานการณ์ ของประเทศในช่วงปี 2518-2519 ก่อนที่จะมีนโยบาย 66/23 นั้น เป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธ เพื่อยึดอานาจรัฐ ด้วยการทา “ สงครามกลางเมือง” ตามทฤษฎี แต่หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์ไทยถูกปราบปรามแล้วด้วยสงครามโดยกองทัพแห่ ง ชาติ ในปีพ.ศ. 2523 ด้วยการยุติสงครามกลางเมืองกับกองทัพปลดแอกคอมมิวนิสต์
  • 2. ตามคาสั่งสานักนายกรัฐมนตรีที่66/23ตามนโยบายต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมนิวนิสต์ ได้สาเร็จ กองทัพปลดแอกฯไม่อยู่ในสภาพที่จะก่อสงครามได้อีกต่อไป การ ยุติสงครามกลางเมืองโดยกองทัพแห่งชาติจึงเป็นการทาลาย “ ยุทธวิธีสงคราม” ของพคท. สมาชิกพคท.พบว่าเงื่อนไขแก้ว 3 ประการมีไม่เพียงพอ แก้วประการที่ 3 คือกองกาลังหรือกองทัพ ถูกสลายลง เป็นการทาลายเงื่อนไขการปฏิวัติสังคมตามทฤษฎีและทาให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทย(พคท.) ไม่สามารถบรรลุยุทธศาสตร์ทางการเมืองของตนเองได้ ความเหนือกว่าทางทฤษฎีตามนโยบาย 66/23 ในปี 2523 ซึ่งเป็นปีที่กองทัพแห่งชาติสามารถยุติสงครามกลางเมืองลงได้เพราะความเหนือ กว่าทางการเมือง อธิบายดังนี้คือ ในขณะนั้นคู่สงครามคือกองทัพปลดแอกฯสู้กับกองทัพแห่งชาติ นโยบาย 66/23จึงติดอาวุธทางยุทธวิธีให้กับกองทัพแห่งชาติใ ห้มีการเมืองที่เหนือ กว่า การต่อสู้ในขณะนั้นจึงขยับฐานะสูงขึ้น กลายเป็นการต่อสู้ทางการเมืองตามนโยบาย 66/23 สู่การสลายกองทัพปลดแอก ฯเป็น การนาเอา “ การเมืองที่เหนือกว่า ”ไปทาลาย “ การเมืองที่ต่ากว่า” นโยบาย 66/23 มุ่งให้ปฏิบัติการต่อบุคคล ต่อการแก้ไขความคิดของ “คน” ที่ได้รับการปลูกฝังแล้วโดยลัทธิคอมมิวนิสต์ ด้วยการปฏิบัติหลักการ “ ขยายเสรีภาพส่วนบุคคลของลัทธิประชาธิปไตย” โดยไม่เอาผิดกับผู้กระทาความผิด ถือว่าผู้กระทาความผิดเป็นผู้หลงผิด ไม่ถือว่าเป็นเชลยสงคราม ถือว่าเป็นผู้ต้องการร่วมพัฒนาชาติเหมือนกัน เสนอแนวทางให้ออกมาจากป่าเพื่อมาร่วมกันสร้างชาติ สร้างประชาธิปไตย นั่นคือขั้นตอนดึงสหายวัยเยาว์ออกจากที่แอบซ่อนในป่ามาสู่ที่แจ้งในเมืองแบบ ผู้เจริญ ให้เกียรติในฐานะเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ขั้นตอนนี้ทาให้กองทัพแห่งชาติสามารถยุติสถานการณ์สงครามกลางเมืองได้ซึ่ง ไม่ใช่การยกเลิกสงคราม ในขณะนั้นหากปล่อยให้กองทัพแห่งชาติ ไปต่อสู้กับกองทัพปลดแอกคอมมิวนิสต์โดยลาพัง คือเป็นกองทัพที่ปราศจากการเมือง และปราศจากมวลชนก็จะทาให้พ่ายแพ้ต่อสงครามปฏิวัติของ พคท.ได้ ย้อนกลับไปดูความผิดพลาดในอดีต.....การขาดแล้วซึ่งแก้วทั้งสามประการ ทาให้คอมมิวนิสต์หันมาใช้แนวร่วมเป็นหลัก การยุติสงครามกลางเมืองในครั้งนั้น(ไม่ใช่การยกเลิกสงคราม)หรือหมดเงื่อนไข สงครามเพียงแต่เป็นการทาลายความเป็นปึกแผ่นของกองทัพปลดแอกคอมมิวนิสต์ แต่มิได้เป็นการทาลาย “ คน” ในกองทัพ มาดูกันว่าเมื่อแก้ว 3 ประการนั้นมีไม่ครบองค์สมบูรณ์ต่อการนาสู่การปฏิวัติสังคมแบบคอมมิวนิสต์ บรรดาสมาชิกพคท.แก้ปัญหายุทธวิธีอย่างไร..... ตามที่อธิบายว่าเมื่อเงื่อนไขทั้งสามไม่พอ พคท.ยังมีเงื่อนไขอื่นอีกให้สร้างงานต่อไป กล่าวคือการยุติสงครามในครั้งนั้นห ยุดได้เพียงสงครามทางกายภาพคือการปราบ ปรามด้วยการฆ่าฟันแต่มิได้หยุดการเคลื่อนไหวทางความคิดตามทฤษฎีแนวร่วม ได้ ขบวนการการปฏิวัติสังคมแบบคอมมิวนิสต์ เปลี่ยนรูปแบบ แปลงโฉมมานับแต่นั้น ด้วยการนาเอายุทธวิธีแนวร่วมมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ จากสงครามถือปืนแอบซ่อนในป่า สมาชิกพคท.เริ่มใช้อาวุธแบบใหม่คือการอาพรางตนภายใต้เสื้อคลุมตัวใหม่ใช้ ชื่อว่า “ประชาธิปไตย” ต่อท้ายทุกเรื่องไป.....เรื่องนี้ ต้องถามผู้นากองทัพสมัยนั้นว่า...ทาไมจึงไม่ปฏิบัตินโยบายขั้นตอนที่สองของ นโยบาย 66/23 เพื่อการเปลี่ยนแปลงทางความคิดให้ลุล่วง
  • 3. จากคอมฯในป่าสู่เมือง.....14 ตุลาฤาจะไปไหนพ้นนอกจากกลับบ้านเก่า การต่อตัวทางความคิดสู่แนวร่วม ณ.วันนี้ขบวนการปฏิวัติของพคท.ได้ปรับสภาพตัวเองในสถานการณ์ใหม่หลังจากออกจากป่ า มา สู่เมือง จากสภาพนักศึกษาผู้หวังเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยอุดมการณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์ สู่การกลับสู่อ้อมอกบ้านเกิด ดินแดนแห่งมาตุภูมิ ทามาหาเลี้ยงชีพ...ตามสาขา แต่หัวจิตหัวใจ ยังฝักใฝ่ ลัทธิที่ถือครอง จากพรรคคอมนิวนิสต์เต็มรูปแบบมาอยู่ในรูปของการเคลื่อนไหวที่ไม่ใช่พรรค..... จากปฏิวัติสังคมคอมมิวนิสต์สู่ความละห้อยโหยหาประชาธิปไตยของประชาชน..... จากความพ่ายแพ้และบอบช้าในป่ามาสู่การเอาชนะในเมือง...... จากความพ่ายแพ้ยุทธวิธีสงครามมาสู่การเอาชนะด้วยยุทธวิธีแนวร่วม...... จาก ยึดอานาจรัฐด้วยปลายกระบอกปืน มายึดอานาจรัฐด้วยการใช้ “ ศัตรูฆ่าศัตรูเพื่อชัยชนะของตนเอง” ......(ศัตรูของศัตรูคือมิตรช่วยรบชั่วคราว คอมมิวนิสต์ไร้ศีลธรรมอย่างนี้แหละ) จากยุทธวิธีรุนแรงสู่สันติวิธีแบบฆาตกรรมอาพราง.......คอมมิวนิสต์ยืมมือคนอื่นเสมอ...ไม่ทาเอง อย่างไรก็ดียุทธวิธีแนวร่วมทั้งหลายทั้งปวงที่มาแทนยุทธวิธีสงครามก็เป็นการ สร้างเงื่อนไขนาไปสู่สงครามกลางเมืองขั้นตอนใหม่ตามความเชื่อที่ถูกปลูกฝัง มาว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมต้องเกิดจากความรุนแรงเสมอ (ทฤษฎีวิภาษวิธีแบบวัตถุๆคือ กิริยา VS ปฏิกิริยา สู่สหกิริยา) เพียงแต่ขณะนี้หันมาใช้ยุทธวิธีแนวร่วมสร้างเงื่อนไขความรุนแรงเพื่อนาไปสู่ สงครามประชาชน(People’s war) ยุทธวิธีแนวร่วมเป็น “ วิธีการแยกประเทศ” อย่างแนบเนียนพวก พคท.จะปิดบังอาพรางการเคลื่อนไหวไม่ให้คนรู้ว่าเขากาลังหลอกลวงประชาชน ว่า.... ไม่คิดแบ่งแยกประเทศ.... ไม่คิดเปลี่ยนแปลงรูปประเทศและ..... ไม่คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง..... คอมมิวนิสต์จอมบงการในกลไกการเมืองบ้านเราเป็นนักปั่นหัวตัวยง ทาของจริงให้เป็นเท็จ ทาของเท็จให้เป็นจริง ผิดศีลตลอดเวลา บอกว่าตัวเองเป็นพวกประชาธิปไตย และป้ ายสีพวกประชาธิปไตยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ วิธีการนี้มักใช้ได้ผลเสมอกับฝ่ายขวาตกขอบที่กลับกลายเป็นแนวร่วมมุมกลับ ชั้นดีของคอมมิวนิสต์ ไม่เว้นแม้ในกองทัพแห่งชาติเอง ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นการเคลื่อนไหวต่อสู้ทั้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองและ การจัดตั้งกับขบวนการคอมมิวนิสต์หากไม่มีอาวุธทางความคิด ไม่รู้ยุทธวิธีของพคท.ก็ไม่สามารถเข้าใจรูปแบบเนื้อหาการเคลื่อนไหวได้ รัฐธรรมนูญและการถ่วงหม้อลงน้า !!! แม้แต่รัฐธรรมนูญก็ถูกนามาเป็นเงื่อนไขในการเคลื่อนไหวทาให้สังคมไทยหลงคิด ทางจนเกิดกลียุคหลายครั้งแล้ว รัฐธรรมนูญกลายเป็นเงื่อนไขให้พคท.นามาใช้สู่ “ การเคลื่อนไหวระดับประเทศ ” ทาให้คนไทย หลงคาโฆษณาเพียงแค่คาว่าปฏิรูปการเมืองทั้งๆที่เป็นแค่ “ ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ” ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงคือเมื่อหลงแก้แต่รัฐธรรมนูญแต่ ไม่ยอมแก้การปกครองก็ เท่ากับเป็นการรักษาการปกครองเดิมไว้อยู่นั่นเอง นับเป็นการมัดสายสิญจน์ถ่วงหม้อดินรัฐธรรมนูญลงน้าแบบวิชาหมอผีชั้นดี เรื่องถ่วงน้านี้เป็นเรื่องสาคัญ เพราะคาว่า “ ถ่วง “ คือการทาให้หนัก ให้จม เกิดความไม่เป็นธรรมจากการปกครองที่ล้าหลังไปเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากการเรียกร้องความไม่เป็นธรรมจากทุกฝ่ายต่อรัฐ
  • 4. บาลพล.อ.สุ รยุทธ์ในปัจจุบันเหมือนกันหมด ประกอบกับสานักแนวร่วมของพคท. ที่มาทาแนวร่วมกับผู้ปกครองที่ถืออานาจรัฐ ซึ่งตามหลักถือว่าเป็นศัตรูแต่มาอยู่ร่วมกับศัตรูเป็นการมาช่วยศัตรูให้ทา ผิดให้มากๆ ขึ้นเรื่อยๆ กล่าวคือทาการปกครองที่ไม่เป็นธรรมเพื่อให้ศัตรูของตนเองช่วยสร้างเงื่อนไข ความแตกแยกในสังคมให้มากที่สุดเพื่อบรรลุยุทธศาสตร์ทางการเมืองของลัทธิฯ เพราะแนวร่วมมีอุปนิสัยเป็นเผด็จการอยู่แล้ว การกระทาใดๆผ่านแนวร่วมจึงเป็นการทาลายความเป็นไปประชาธิปไตยลงใ นทุกมิติ นั่นเอง ต้องไม่ลืมว่าการทาแนวร่วมในความหมายของคอมมิวนิสต์ก็คือการเอาศัตรูมาช่วย รบ เพราะศัตรูของชาว พคท. ก็คือพวกเผด็จการนั่นเอง เพื่อช่วยตนเองให้รบชนะ เป็นการใช้ศัตรูโดยการไปอยู่ร่วมกับศัตรู เพื่อให้ศัตรูตนเองกระทาความผิด ขออธิบายเรื่องเผด็จการในบ้านเรา เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องสอดคล้อง เผด็จการในประเทศไทยนอกเหนือจากเผด็จการคอมมิวนิสต์แล้ว ยังมีเผด็จการอื่นอยู่อีก 2 ประเภท เผด็จ การรัฐสภา (เผด็จการพลเรือน) หรืออานาจรัฐเป็นของกลุ่มทุน ฝ่ายซ้ายเรียกว่าประชาธิปไตยของนายทุน ตามหลักรัฐศาสตร์เรียกว่าระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา (แต่มีนักวิชาการสายรัฐศาสตร์ในระดับราชบัณฑิตไม่ยอมรับข้อเท็จริงอันนี้) เผด็จการทหาร คือ อานาจรัฐเป็นของคณะนายทหารที่ใช้วิธีการยึดอานาจ ทั้งสองขบวนเผด็จการเป็นผู้ที่ช่วยทาให้การปฏิวัติสังคมของพคท.บรรลุผล ได้ ฝ่ายแรกได้อานาจมาด้วยการซื้อเสียงและรูปแบบการเลือกตั้งจอมปลอม ฝ่ายหลังได้อานาจมาด้วยวิธีการยึดอานาจโดยกองทัพ ความแนบเนียนของพคท.ทาโดยการเบี่ยงเบนปัญหา ให้มีการยึดอานาจโดยทันที และหันไปร่วมมือกับศัตรูของตนเอง ศัตรูนั้นก็คือ “ นายทุน” พคท.หันไปร่วมมือกับนายทุนใหญ่ หลอกใช้ศัตรู (นายทุน) ทั้งหลาย เช่น ทุนเจ้าที่ดิน ทุนสื่อสาร ทุนพลังงาน ทุนข้ามชาติ ฯลฯ แนวรบอีกด้านหนึ่งของคอมมิวนิสต์ก็คือด้านมวลชน แนวรบนี้เป็นผู้นาพาประชาชนไป เคลื่อนไหวเรื่องรัฐธรรมนูญแต่ไ ม่ได้เป็นไปเพื่อเปลี่ยนมือเจ้าของอานาจ รัฐ พคท.จะไม่เอาอานาจรัฐมาเป็นของปวงชน แท้จริงแล้วการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ มีความมุ่งหมายเพื่อเอาอานาจรัฐสู่กลุ่มจัดตั้งของตน การปลุกประเด็นการเคลื่อนไหวสู่สาธารณะด้วยการเอารัฐธรรมนูญมาเป็นตัว หลอก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ จึงเป็นที่ถูกใจ พอใจของผู้ปกครองที่หวังได้ความชอบธรรมตามกระแสเพื่อทาให้เข้าใจว่านี่คือ ประชามติแบบประชาธิปไตยที่มีประชาชนมีส่วนร่วม การใช้การเคลื่อนไหวตามลัทธิรัฐธรรมนูญขณะนี้ เปิดโอกาสให้พคท.ได้สร้างแนวร่วมทุกระดับ และปิดบังอาพรางการเ คลื่อนไหวทางการเมืองของตนเองไว้ เปิดช่องและโอกาสไว้ก็เพียงการทาแนวร่วม สร้างแนวร่วมสู่การจัดตั้งเพื่อนาไปสู่การสร้าง สถานการณ์ปฏิวัติ คือ การสร้างความขัดแย้งภายใน (Internal Conflict) ในทุกภาคส่วน โดยอาศัยการทาแนวร่วมที่แทรกอยู่กับการเคลื่อนไหวทุกระดับ เพื่อสร้างประชามติ พคท.จะอาศัยตัวแทนในรูปแบบต่างๆและใช้เหตุการณ์เฉพาะกรณีไปดูให้เป็นเสมือน การขัดแย้งทั่วไป เพื่อมุ่งสู่ความสามารถในการรุกทางการเมืองเพื่อสร้างกระแสคลื่นของประชาชน เป็นส่วนใหญ่ไปในแนวทางที่ตนเองต้องการได้ในที่สุด หลักสาคัญของทฤษฎีแนวร่วมของเหมาเจ๋ อตุงที่ควรเข้าใจ คือ ไม่ทาลายนายทุนทั้งหมดทีเดียว แต่จะทาลายทีละส่วน จากร่วมมือกับนายทุนหรือร่วมมือกับแนวร่วม หรือ ร่วมมือกับเผด็จการ (ร่วมมือแบบเป็นศัตรูกัน) อีกด้านหนึ่งก็เป็นพันธมิตรทายุทธวิธีกับกรรมกรชาวนา นักศึกษา หรือ เป็นพันธมิตรกับกรรมการชาวนาไปด้วย เรียกว่าขบวนการแนวร่วม การจัดกาลังของขบวนการแนวร่วม
  • 5. พันธมิตร กรรมกรชาวนา ชนชั้นกรรมาชีพเป็นพื้นฐาน นายทุนน้อยนายทุนชาติ นายทุนใหญ่ (นายทุนใหญ่ถือเป็นแนวร่วมทางยุทธวิธี) นาโดยชนชั้นกรรมาชีพ ต้องทาความเข้าใจว่า พวกแนวร่วมไม่ใช่พคท.แต่เป็นพวกที่ช่วยให้พคท.รบชนะหรือทาในสิ่งที่ผิดๆเป็น เงื่อนไขนาไปสู่ความรุนแรงในสังคมได้ การทาผิดนี้เริ่มตั้งแต่ระดับนโยบายลงมา ใครก็ตามที่ช่วยสร้างเงื่อนไขให้พคท.จนสามารถนาไปเป็นเงื่อนไขสงครามประชาชน ได้คนนั้น ขบวนนั้น พรรคนั้น ถือว่าเป็น “ แนวร่วมที่มีประสิทธิภาพ” แนวร่วมที่มีประสิทธิภาพจึงมักเป็นแนวร่วมชั้นสูง เป็นพวกถือครองอานาจ มีอานาจและถ้าใช้อานาจในทางที่ผิดได้สาเร็จก็จะก่อผลสะเทือนให้กับ คอมมิวนิสต์อย่างคุ้มค่า ดังจะเห็นว่าระบอบเผด็จการทักษิณ(ระบอบทักษิณ) ระบอบคมช.ก็ไม่พ้นการตกเป็นแนวร่วม หากไม่มีการเมืองที่เหนือ กว่า ก้าวหน้ากว่า ฉลาดกว่าพคท. ที่จะทารู้การเคลื่อนไหวและการใช้ยุทธวิธี ยอกย้อนไปมา การได้มาซึ่งอานาจรัฐด้วยการรัฐประหารโดยคมช. ภายใต้การปกครองชั่วคราวแล้วไม่เร่งสร้างประชาธิปไตยแต่กลับไปมะงุมมะงาหรา ร่างรัฐธรรมนูญใหม่สู่การเลือกตั้งแบบเผด็จการรัฐสภา การเมืองก็ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์เช่นเดิม คือย้ายจากเผด็จการทหารไปสู่เผด็จการรัฐสภา เปิดโอกาสให้พคท. เล่นบทผู้รักประชาชน เป็นวีรบุรุษ โดยมีสื่อพวกเดียวกันเองร่วมสร้างกระแสเปิดทางให้ ที่ อันตรายก็คือ....ขณะนี้การไปทาแนวร่วมของพคท.โดยการเข้าไปทาทีช่วยเร่งร่าง รัฐธรรมนูญ ก็เป็นการเข้าไปช่วยให้คมช.กระทาความผิดอีกเช่นกัน !!! ปรากฏการณ์ การออกมาร่างรัฐธรรมนูญโดยพวกพคท. ในนามสภาร่างรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนเพื่อแข่งกับรัฐธรรมนูญของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ภายใต้สสร.นั้น เป็นการ “ถ่วงน้า” แบบถึงที่สุด ขั้นตอนนี้วิเคราะห์ได้ว่าเป็นการดวลกับฉบับของสสร. ให้การถ่วงมีน้าหนักให้มากถึงมากที่สุด กล่าวคือเป็นการทางานสองด้าน เป็นงานรักษาอานาจช่วยเผด็จการเพื่อทาลายล้างในที่สุด โปรดสังเกตว่าพคท.จะปิดการเคลื่อนไหวการเมืองไว้ก่อนจะเปิดการเคลื่ อนไหวมวล ชน ปิดการเมืองเพื่อเปิดกาลังเอาความคิดที่แตกต่าง รวบรวมเอาผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันมาไว้ในที่เดียวกันเพื่อใช้คนไทยให้ทา ลาย กันเอง ความไร้คุณธรรมของพคท. ดารงตนราว “ พระผู้ทาลาย” ยังมีมากกว่านี้โปรดฟังต่อ..... การสร้างเงื่อนไขความสาเร็จในการทาแนวร่วมในประเทศไทยนั้นทาเครือข่ายโยงใย ตั้งแต่การสร้างแนวร่วม การจัดตั้งแ นวร่วม การขยายแนวร่วมในเมือง การร่วมกันระหว่างพันธมิตรกับแนวร่วมทั้งในเมืองและชนบท ทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อให้บรร ลุวัตถุประสงค์หลัก คือ ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ทาให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ให้คนไทยแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย เพื่อนาคนไทยเข้าสู่สงครามการเมือง
  • 6. เมื่อถึงสถานการณ์หนึ่ง ที่กระแสการเปลี่ยนแปลงขึ้นสู่กระแสสูงมาก ๆ แม้คาพูดหรือวาจาบางคาที่ล้าหลังของผู้มีอานาจบางคนก็สามารถนาไปขยายผลให้ เกิดความแตกแยก เป็นเหตุแห่งความมั่นคงของประเทศได้ หากไม่รู้เขารู้เรา การดาเนินการของพคท.จะนาไปสู่จุดจบอย่างไร ? สิ่งใดคือจุดมุ่งหมาย ? เมื่อถึงสถานการณ์หนึ่งขบวนการแนวร่วมจะเป็นบวนการที่ใหญ่โต โยงใยเต็มไปหมด กระจายไปในหมู่ประชาชนและองค์การต่างๆทาให้ฝ่ายผู้รับผิดชอบมองรูปการไม่ออก ไม่เข้าใจและไม่รู้จะจัดการอย่างไรเมื่อสถานการณ์ขมึงเกลียว เพราะไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ปัญหาอะไรแก้ได้หรือไม่ได้ และ จะต้องใช้อะไรเข้าไปใช้ในการแก้ จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าการเมืองชนิดใดกันแน่ที่ก้าวหน้าหรือล้าหลัง การขอให้ยุติการเคลื่อนไหวหรือห้ามมีการเคลื่อนไหว โดยอ้างว่าประเทศชาติต้องการความสามัคคีนั้นจนถึงที่สุดแล้วจึงไม่มีทางเป็น ไปได้ จากการเคลื่อนไหวมวลชนสู่ขบวนการลุกขึ้นสู้ของมวลชน สามารถอธิบายเป็นขั้นตอนได้ดังนี้คือ จัดตั้งแนวร่วม ขยายแนวร่วมในเมือง สร้างกระแสคลื่นของประชาชนส่วนใหญ่ ขยายแนวร่วมในรูปแบบต่างๆออกไปทั่วประเทศ จะ ใช้เหตุการณ์เฉพาะกรณีๆไป ให้เป็นเสมือนการขัดแย้งทั่วไป ให้ดูไม่ออกว่าเป็นพวกเดียวกัน ขบวนเดียวกัน และไม่เป็นการรุกทางการเมืองให้ดูไม่ออกว่าจะนาไปสู่การเมืองชนิดใด ให้ดูเหมือนไม่สาคัญ ดังจะเห็นว่าขณะนี้บ้านเมืองสับสน จับต้นชนปลายหาเหตุและผล ที่มาของปัญหาไม่ถูก ผู้ปกครองก็ไม่แน่ใจว่าจะแก้ปัญหาประเทศแต่ละอย่างให้ถูกต้องได้อย่างไร กรณีไอทีวีคือตัวอย่าง เป็นได้อย่างมากก็คืออิงแอบความคุ้นเคยแบบเก่าๆ ของพวกพ้องวงศ์วานในการแก้ปัญหา เข้าทางการทาลายล้างพคท. ใช้เป็นจุดโจมตี ความอ่อนด้อยของผู้ปกครองอย่างต่อเนื่อง กล่าวโดยสรุป ยุทธวิธีแนวร่วม สืบทอดมาจากยุทธวิธีสงคราม เมื่อสงครามกลางเมืองยุติลงก็ปรับใช้ตามแนวทางของเหมาเจ๋ อตุง เพราะเมื่อยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธก็หันมาต่อสู้แนวทางนี้แทน โดยพคท.กาหนดแนวทางในระยะผ่านไว้ 4 ขั้นตอน (Transition Period) หรือขั้นตอนก่อนจะบรรลุทางยุทธศาสตร์ของลัทธิฯคือ ออกจากป่าให้มาชุบตัว(พคท.และทรท.) สร้างฐานทางเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง เข้าร่วมมีอานาจรัฐตามกลไกการปกครอง สนับสนุนฝ่ายรัฐทาผิดมากๆและต่อๆไป การหลอกลวงและผิดศีลธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ ยุทธวิธีแนวร่วมและยุทธวิธีสงคราม ถือว่าเป็นอาวุธที่สาคัญในการยึดอานาจรัฐ เป็นการทาลายรัฐเดิม ด้านยุทธวิธีแนวร่วมเป็นวิธีการสะสมกาลังด้วยวิธีสันติด้านหนึ่ง ส่วนด้านยุทธวิธีสงครามนั้นยังไม่เอาออ กมาใช้เพราะเงื่อนไขยังไม่เพียงพอ ด้านนี้ถือเป็นการใช้กาลังซึ่งจะนาออกมาใช้โดยพรรค (ส่วนการเมือง) อธิบายแบบสภาวธรรมและสภาวะจิตตามภาษามนุษย์ผู้เป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย เป็นขั้นตอนต่างๆ ได้ดังนี้คือ
  • 7. 1. หลอก ผู้ปกครองว่าตนเองเข้ามาอยู่ในเมืองแล้ว พร้อมรับแนวทางประชาธิปไตย ยึดแนวทางสันติวิธี ปฏิเสธการมีตัวตนของคอมมิวนิส ต์อย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันก็มีพฤติกรรมทางการเมืองแบบแอบแฝง- ซ่อนเร้น- ยาวนาน ซึ่งก็คือการออกมาชุบตัวตาม 4 ขั้นตอน ดังข้างบนนั่นเอง 2. หลอกว่า สันติวิธีเท่านั้นที่แก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้ ทั้งๆที่ยุทธวิธีแนวร่วม ก็คือยุทธวิธีสร้างความแยกแตกในบ้านเมือง เป็นไปตามทฤษฎีปรัชญาเอกภาพของด้านตรงกันข้าม (Unity of the Opposite) เพื่อเป็นเงื่อนไขนาไปสู่ยุทธวิธีสงคราม ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการเคลื่อนไหวมวลชน (ม็อบ) ทีไรก็จะบอกว่าประชาชนใช้ สันติวิธี ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงคือการแบ่งขั้ว แบ่งฝ่ายสงครามระหว่างคนรวยกับคนจน กล่าวคือม็อบของระบอบเผด็จการก็คือคนจน ซึ่งเป็นปรปักษ์ กับคนรวย (ผู้ปกครอง) เป็นการสร้างคู่สงครามระหว่างคนจนกับคนรวยด้วยการ ก่อให้เกิดการแบ่งแยก ส่วน การสร้างยุทธวิธีแนวร่วมคือพวกพคท.ด้านหนึ่งจะไปเคลื่อนไหวอยู่กับผู้ ปกครอง(เผด็จการ) อีกด้านหนึ่งจะไปเคลื่อนไหวอยู่กับประชาชน (คนจน) จากนั้นเคลื่อนไหวมวลชนตามยุทธวิธีมวลชนล้อมรัฐบาล อย่างเช่นนาพาประชาชน(ม็อบ) ที่มีปัญหามาปิดล้อมทาเนียบรัฐบาล ปิดล้อมรัฐสภา และกระทรวงต่าง ๆ เมื่อเกิดการปะทะกันระหว่างรัฐกับประชาชนก็กลายเป็นความผิดของรัฐว่าใช้ความ รุนแรงกับประชาชน ส่วนประชาชนนั้นสันติจึงกลายเป็นเงื่อนไขมวลชนลุกขึ้นสู้ในที่สุด(Mass uprising) 3. หลอก ทุกพวกแล้วเข้าร่วมกับทุกพวกโดยหากประชาชนไม่รู้การเมืองก็บอกว่าการเมือง ของประชาชนคือประชาธิปไตยของประชาชน (คนจน) หากเข้าร่วมกับผู้ปกครองก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว มีการเลือกตั้งแล้ว หากจะแก้การเมืองก็พาไปแก้รัฐธรรมนูญแต่ใช้คาว่าปฏิรูปการเมืองทั้งๆที่เป็น การปฏิรูปรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนเองอยู่ได้กับทุกพวก 4. หลอก พาไปยึดรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปการเมือง โดยอ้างว่าเพื่อความก้าวหน้าโดยไม่พาประชาชนไปสู่อานาจรัฐแต่กลับให้ยึดรัฐ ธรรมนูญฉบับประชาชนโดยไม่ทาอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน การหลอกลวงดาเนินต่อไปจนกว่าจะมีเงื่อนไขเพียงพอที่จะพัฒนาการต่อสู้ จากยุทธวิธีแนวร่วม สู่ยุทธวิธีสงครามในที่สุด 5. หลอกใช้กาลังทุกพวกให้หลงแนวทางของชาติ โดยการรักษาอานาจเผด็จการไว้ซึ่งเป็นอานาจที่ไม่เป็นธรรม แล้วทาลายผู้ปกครองทีละส่วน 5.1 ประชาธิปไตยของนายทุนไม่ดี มุ่งทาลายด้วยการชี้ให้มวลชนเห็นว่า ประชาธิปไตยของคนรวยไม่ดี เลวร้าย ทาลายชาติ ขายชาติ 5.2 ประชาธิปไตยของขุนศึกไม่ดี โดยชี้ให้ประชาชนเห็นว่า การยึดอานาจล้าหลัง เป็นเผด็จการทหาร ทหารไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง 5.3 ประชาธิปไตยของศักดินาไม่ดี มุ่งทาลายสถาบัน โดยการยกให้สูงเด่น ให้อยู่เหนือการเมือง พวก นายทุนขุนศึกศักดินา หรือ เผด็จการนายทุน(ทุนเก่า ทุนใหม่) เผด็จการทหาร (รัฐประหาร) สถาบัน.....ไม่ดี ต้องเป็นประชาธิปไตยของประชาชน(คนจน) หรือคนส่วนใหญ่เท่านั้นจึงจะดีตามทฤษฎีที่พคท.คือผู้ปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ สู่สังคมอุดมคติ กฎเกณฑ์หรือไม่กฎเกณฑ์ ยึดอะไรเป็นสรณะ
  • 8. วิธีการสันติของยุทธวิธีแนวร่วมเมื่อบรรลุ ความมุ่งหมายความรุนแรงเท่านั้น ไม่มีเป็นอย่างอื่นเพราะเป็นกฎเกณฑ์การพัฒนาการ วิธีการยึดประเทศด้วยยุทธวิธีแนวร่วมเมื่อทางานแนวร่วมสุกงอมเต็มที่แล้ว ก็จะลงมือเปลี่ยนประเทศ โดยใช้ยุทธิวิธีสงครามหรือใช้อาวุธหรือกองกาลังทางอาวุธเดี๋ยวนี้เพียงแต่ ต้องทาแนวร่วมให้สุกงอม คือทาให้ 2 เงื่อนไขสาเร็จเพียงพอก่อน 1. การปกครองไม่เป็นธรรมเมื่อถึงระดับหนึ่ง จะเกิดสภาวะคับแค้นทางจิตใจเพียงพอหรือยังคือการปกครองแบบเผด็จการ(บ้านเรา มีอยู่2 ประเภท) 2. ความยากจนเกิดความยากไร้ทางวัตถุ จากคนจนเต็มประเทศสู่ผู้คนเป็นหนี้ สู่คนอพยพ เพียงพอหรือยัง ในที่สุดเงื่อนไขการเคลื่อนไหวและนโยบายสร้างความแตก แยกในสังคมก็จะใช้ได้ผล ซึ่งมีอยู่มากมาย ตัวอย่างที่พคท.ใช้จุดประเด็นมาตลอดคือ “ นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง ” ซึ่งกาลังปรากฏเป็นประเด็ นข่าวอยู่ล่าสุด หากรู้เท่าทันก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นการทาให้หัว หน้าพรรคการเมืองที่เต็มไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการเสวยอานาจ สู่ความยิ่งใหญ่ ความเด่นดัง เสนอตัวเพื่อแก้ปัญหาชาติสู่การเป็นนักปกครองสมัยใหม่ เป็นอิสระแบบตะวันตก ทาให้ผู้นาประเภทนี้ ถูกนาไป ชนกับสถาบันเบื้องสูงโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้แล้วพคท.ยังหลอกให้ ทั้งทุนใหม่และทุนเก่าทาลายล้างกันเอง การทาลายล้างโครงสร้างทางการเมืองและทางความคิดมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่วนการทาแนวร่วมทางความคิดก็พยายามหว่านล้อมเหตุผลด้วยการอธิบายว่า นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นนายกของประชาชน มีความเป็นประชาธิปไตยสูงส่ง พคท.จึงเร่งส่งเสริมลัทธิการเลือกตั้ง โดยช่วยอธิบายว่าการเลือก ตั้งเป็นประชาธิปไตยทาให้บรรดานักเลือกตั้งทั้ง หลายชอบใจ ส่วนการปฏิรูปการเมืองก็เช่นกัน หลอกให้สร้างแต่รัฐธรรมนูญ ที่วนเวียนอยู่กับกรงขังและปัญหานักกฎหมายหัวนอกแบบเดิมๆ นอกจากนี้แล้วยังมีวิธีการทาลายทุนขนาดใหญ่ ด้วยการทาให้เกิดความขัดแย้งกันเอง โดยพคท.จะเข้าไปอยู่ในส่วนต่างๆหรือไปทาแนวร่วมด้วย เนื่องจากทุนใหญ่เป็นแนวร่วมชั้นดี หากทุนใหญ่นั้นๆ ทรงอิทธิพล เช่น มีเงินมากมีผลประโยชน์มาก มีเครือข่ายมาก มีมาเฟียอิทธิพลทุกระดับ ก็จะมีกาลังมากขึ้น สู่ความเลวร้ายยิ่งขึ้นหากบุคคลผู้นั้น ไร้จุดยืนต่อส่วนรวมและต่อชาติ !!! หากผู้ปกครองนิยมความเป็นสากลมากกว่านิยมความเป็นชาติ ไม่เอาด้านชาติเป็นหลักในที่สุดก็จะกลายเป็นตัวแทนทุนข้ามชาติแล้วดาเนิน นโยบายขายชาติต่อ โดยอ้างกับประชาชนว่านี่คือการพัฒนาประเทศ เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจมีท่าเรือขนาดใหญ่ มีสนามบิน ขนาดใหญ่ มีถนนขนาดใหญ่ มีโรงแรมขนาดใหญ่ มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ มีระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ มีโรงงานขนาดใหญ่ มีที่โชว์แสดงสินค้าขนาดใหญ่ มีระบบสื่อสารขนาดใหญ่ มีโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ มีระบบการสื่อสารขนาดใหญ่ มีระบบการหมุนเวียนเงินตราที่เป็นสากล มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เป็นสากล มีภาษาที่เป็นสากล มีการเป็นอยู่ดาเนินชีวิตของคนในสังคมที่เป็นสากลฯลฯ แล้วนาประเทศเข้าสู่สากล ทาให้ประเทศถูกความเป็นสากลครอบงา มองไม่ออกว่าอะไรคือการขายชาติ อะไรคือการพัฒนาชาติ อะไรคือการกู้ชาติ ในที่สุดก็จะเกิดวิกฤติทางความคิด !!!! (เอกสารศึกษาของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ )