More Related Content
More from Thongkum Virut (20)
แนวร่วม
- 1. ทฤษฏีแนวร่วม
“ แนวร่วม ” หรือ “United
Front” แปลเป็นภาษาไทยแปลว่า “ สหแนวรบ” ความหมายในทางยุทธศาสตร์ซึ่งใช้เป็นยุทธวิธีนาสู่การเปลี่ยนแปลงท
างการเมือง ด้วยการ “เอาศัตรูมาช่วยรบ” และมีความหมายตรงกันข้ามกับคาว่า “ พันธมิตร” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Alli
ance “ ซึ่งแปลว่า “มิตรร่วมรบ” ตามทฤษฎีของลัทธิประชาธิปไตย
“ทฤษฎี” แนวร่วมเมื่อนามาปรับประยุกต์ใช้ก็กลายเป็น “ ยุทธวิธี ”
เงื่อนไข การปฏิวัติสังคมแบบคอมมิวนิสต์ตามที่ร่าเรียนกันมาจากลัทธินาเข้ามาร์กซ เลนิน เหมาเจ๋ อตุง
ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข 3 ประการ เรียกให้สวยหรูว่า แก้ว 3 ประการ อันหมายถึง
พรรค
แนวร่วม และ
กองกาลัง (กองทัพ)
ทาไมคอมมิวนิสต์จึงต้องใช้ยุทธวิธีนี้ ?
สถานการณ์ ของประเทศในช่วงปี 2518-2519 ก่อนที่จะมีนโยบาย 66/23 นั้น เป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธ
เพื่อยึดอานาจรัฐ
ด้วยการทา “ สงครามกลางเมือง” ตามทฤษฎี แต่หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์ไทยถูกปราบปรามแล้วด้วยสงครามโดยกองทัพแห่
ง ชาติ ในปีพ.ศ. 2523 ด้วยการยุติสงครามกลางเมืองกับกองทัพปลดแอกคอมมิวนิสต์
- 2. ตามคาสั่งสานักนายกรัฐมนตรีที่66/23ตามนโยบายต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมนิวนิสต์
ได้สาเร็จ กองทัพปลดแอกฯไม่อยู่ในสภาพที่จะก่อสงครามได้อีกต่อไป
การ ยุติสงครามกลางเมืองโดยกองทัพแห่งชาติจึงเป็นการทาลาย “ ยุทธวิธีสงคราม” ของพคท.
สมาชิกพคท.พบว่าเงื่อนไขแก้ว 3 ประการมีไม่เพียงพอ แก้วประการที่ 3 คือกองกาลังหรือกองทัพ
ถูกสลายลง เป็นการทาลายเงื่อนไขการปฏิวัติสังคมตามทฤษฎีและทาให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทย(พคท.)
ไม่สามารถบรรลุยุทธศาสตร์ทางการเมืองของตนเองได้
ความเหนือกว่าทางทฤษฎีตามนโยบาย 66/23
ในปี 2523 ซึ่งเป็นปีที่กองทัพแห่งชาติสามารถยุติสงครามกลางเมืองลงได้เพราะความเหนือ กว่าทางการเมือง
อธิบายดังนี้คือ
ในขณะนั้นคู่สงครามคือกองทัพปลดแอกฯสู้กับกองทัพแห่งชาติ นโยบาย 66/23จึงติดอาวุธทางยุทธวิธีให้กับกองทัพแห่งชาติใ
ห้มีการเมืองที่เหนือ
กว่า การต่อสู้ในขณะนั้นจึงขยับฐานะสูงขึ้น กลายเป็นการต่อสู้ทางการเมืองตามนโยบาย 66/23 สู่การสลายกองทัพปลดแอก
ฯเป็น การนาเอา “ การเมืองที่เหนือกว่า ”ไปทาลาย “ การเมืองที่ต่ากว่า”
นโยบาย 66/23 มุ่งให้ปฏิบัติการต่อบุคคล
ต่อการแก้ไขความคิดของ “คน” ที่ได้รับการปลูกฝังแล้วโดยลัทธิคอมมิวนิสต์
ด้วยการปฏิบัติหลักการ “ ขยายเสรีภาพส่วนบุคคลของลัทธิประชาธิปไตย” โดยไม่เอาผิดกับผู้กระทาความผิด
ถือว่าผู้กระทาความผิดเป็นผู้หลงผิด ไม่ถือว่าเป็นเชลยสงคราม
ถือว่าเป็นผู้ต้องการร่วมพัฒนาชาติเหมือนกัน เสนอแนวทางให้ออกมาจากป่าเพื่อมาร่วมกันสร้างชาติ
สร้างประชาธิปไตย นั่นคือขั้นตอนดึงสหายวัยเยาว์ออกจากที่แอบซ่อนในป่ามาสู่ที่แจ้งในเมืองแบบ ผู้เจริญ
ให้เกียรติในฐานะเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย
ขั้นตอนนี้ทาให้กองทัพแห่งชาติสามารถยุติสถานการณ์สงครามกลางเมืองได้ซึ่ง
ไม่ใช่การยกเลิกสงคราม ในขณะนั้นหากปล่อยให้กองทัพแห่งชาติ ไปต่อสู้กับกองทัพปลดแอกคอมมิวนิสต์โดยลาพัง
คือเป็นกองทัพที่ปราศจากการเมือง และปราศจากมวลชนก็จะทาให้พ่ายแพ้ต่อสงครามปฏิวัติของ พคท.ได้
ย้อนกลับไปดูความผิดพลาดในอดีต.....การขาดแล้วซึ่งแก้วทั้งสามประการ ทาให้คอมมิวนิสต์หันมาใช้แนวร่วมเป็นหลัก
การยุติสงครามกลางเมืองในครั้งนั้น(ไม่ใช่การยกเลิกสงคราม)หรือหมดเงื่อนไข
สงครามเพียงแต่เป็นการทาลายความเป็นปึกแผ่นของกองทัพปลดแอกคอมมิวนิสต์ แต่มิได้เป็นการทาลาย “ คน” ในกองทัพ
มาดูกันว่าเมื่อแก้ว 3 ประการนั้นมีไม่ครบองค์สมบูรณ์ต่อการนาสู่การปฏิวัติสังคมแบบคอมมิวนิสต์
บรรดาสมาชิกพคท.แก้ปัญหายุทธวิธีอย่างไร.....
ตามที่อธิบายว่าเมื่อเงื่อนไขทั้งสามไม่พอ พคท.ยังมีเงื่อนไขอื่นอีกให้สร้างงานต่อไป กล่าวคือการยุติสงครามในครั้งนั้นห
ยุดได้เพียงสงครามทางกายภาพคือการปราบ ปรามด้วยการฆ่าฟันแต่มิได้หยุดการเคลื่อนไหวทางความคิดตามทฤษฎีแนวร่วม
ได้ ขบวนการการปฏิวัติสังคมแบบคอมมิวนิสต์ เปลี่ยนรูปแบบ แปลงโฉมมานับแต่นั้น
ด้วยการนาเอายุทธวิธีแนวร่วมมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ
จากสงครามถือปืนแอบซ่อนในป่า สมาชิกพคท.เริ่มใช้อาวุธแบบใหม่คือการอาพรางตนภายใต้เสื้อคลุมตัวใหม่ใช้
ชื่อว่า “ประชาธิปไตย” ต่อท้ายทุกเรื่องไป.....เรื่องนี้ ต้องถามผู้นากองทัพสมัยนั้นว่า...ทาไมจึงไม่ปฏิบัตินโยบายขั้นตอนที่สองของ
นโยบาย 66/23 เพื่อการเปลี่ยนแปลงทางความคิดให้ลุล่วง
- 3. จากคอมฯในป่าสู่เมือง.....14 ตุลาฤาจะไปไหนพ้นนอกจากกลับบ้านเก่า การต่อตัวทางความคิดสู่แนวร่วม
ณ.วันนี้ขบวนการปฏิวัติของพคท.ได้ปรับสภาพตัวเองในสถานการณ์ใหม่หลังจากออกจากป่ า
มา สู่เมือง จากสภาพนักศึกษาผู้หวังเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยอุดมการณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์
สู่การกลับสู่อ้อมอกบ้านเกิด ดินแดนแห่งมาตุภูมิ ทามาหาเลี้ยงชีพ...ตามสาขา แต่หัวจิตหัวใจ ยังฝักใฝ่ ลัทธิที่ถือครอง
จากพรรคคอมนิวนิสต์เต็มรูปแบบมาอยู่ในรูปของการเคลื่อนไหวที่ไม่ใช่พรรค.....
จากปฏิวัติสังคมคอมมิวนิสต์สู่ความละห้อยโหยหาประชาธิปไตยของประชาชน.....
จากความพ่ายแพ้และบอบช้าในป่ามาสู่การเอาชนะในเมือง......
จากความพ่ายแพ้ยุทธวิธีสงครามมาสู่การเอาชนะด้วยยุทธวิธีแนวร่วม......
จาก ยึดอานาจรัฐด้วยปลายกระบอกปืน มายึดอานาจรัฐด้วยการใช้ “ ศัตรูฆ่าศัตรูเพื่อชัยชนะของตนเอง”
......(ศัตรูของศัตรูคือมิตรช่วยรบชั่วคราว คอมมิวนิสต์ไร้ศีลธรรมอย่างนี้แหละ)
จากยุทธวิธีรุนแรงสู่สันติวิธีแบบฆาตกรรมอาพราง.......คอมมิวนิสต์ยืมมือคนอื่นเสมอ...ไม่ทาเอง
อย่างไรก็ดียุทธวิธีแนวร่วมทั้งหลายทั้งปวงที่มาแทนยุทธวิธีสงครามก็เป็นการ
สร้างเงื่อนไขนาไปสู่สงครามกลางเมืองขั้นตอนใหม่ตามความเชื่อที่ถูกปลูกฝัง
มาว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมต้องเกิดจากความรุนแรงเสมอ (ทฤษฎีวิภาษวิธีแบบวัตถุๆคือ กิริยา VS ปฏิกิริยา สู่สหกิริยา)
เพียงแต่ขณะนี้หันมาใช้ยุทธวิธีแนวร่วมสร้างเงื่อนไขความรุนแรงเพื่อนาไปสู่ สงครามประชาชน(People’s
war) ยุทธวิธีแนวร่วมเป็น “ วิธีการแยกประเทศ” อย่างแนบเนียนพวก
พคท.จะปิดบังอาพรางการเคลื่อนไหวไม่ให้คนรู้ว่าเขากาลังหลอกลวงประชาชน ว่า....
ไม่คิดแบ่งแยกประเทศ....
ไม่คิดเปลี่ยนแปลงรูปประเทศและ.....
ไม่คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง.....
คอมมิวนิสต์จอมบงการในกลไกการเมืองบ้านเราเป็นนักปั่นหัวตัวยง ทาของจริงให้เป็นเท็จ
ทาของเท็จให้เป็นจริง ผิดศีลตลอดเวลา บอกว่าตัวเองเป็นพวกประชาธิปไตย
และป้ ายสีพวกประชาธิปไตยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ วิธีการนี้มักใช้ได้ผลเสมอกับฝ่ายขวาตกขอบที่กลับกลายเป็นแนวร่วมมุมกลับ
ชั้นดีของคอมมิวนิสต์ ไม่เว้นแม้ในกองทัพแห่งชาติเอง
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นการเคลื่อนไหวต่อสู้ทั้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองและ
การจัดตั้งกับขบวนการคอมมิวนิสต์หากไม่มีอาวุธทางความคิด
ไม่รู้ยุทธวิธีของพคท.ก็ไม่สามารถเข้าใจรูปแบบเนื้อหาการเคลื่อนไหวได้
รัฐธรรมนูญและการถ่วงหม้อลงน้า !!!
แม้แต่รัฐธรรมนูญก็ถูกนามาเป็นเงื่อนไขในการเคลื่อนไหวทาให้สังคมไทยหลงคิด
ทางจนเกิดกลียุคหลายครั้งแล้ว รัฐธรรมนูญกลายเป็นเงื่อนไขให้พคท.นามาใช้สู่ “ การเคลื่อนไหวระดับประเทศ ” ทาให้คนไทย
หลงคาโฆษณาเพียงแค่คาว่าปฏิรูปการเมืองทั้งๆที่เป็นแค่ “ ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ” ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงคือเมื่อหลงแก้แต่รัฐธรรมนูญแต่
ไม่ยอมแก้การปกครองก็
เท่ากับเป็นการรักษาการปกครองเดิมไว้อยู่นั่นเอง นับเป็นการมัดสายสิญจน์ถ่วงหม้อดินรัฐธรรมนูญลงน้าแบบวิชาหมอผีชั้นดี
เรื่องถ่วงน้านี้เป็นเรื่องสาคัญ เพราะคาว่า “ ถ่วง “ คือการทาให้หนัก
ให้จม เกิดความไม่เป็นธรรมจากการปกครองที่ล้าหลังไปเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากการเรียกร้องความไม่เป็นธรรมจากทุกฝ่ายต่อรัฐ
- 4. บาลพล.อ.สุ รยุทธ์ในปัจจุบันเหมือนกันหมด ประกอบกับสานักแนวร่วมของพคท. ที่มาทาแนวร่วมกับผู้ปกครองที่ถืออานาจรัฐ
ซึ่งตามหลักถือว่าเป็นศัตรูแต่มาอยู่ร่วมกับศัตรูเป็นการมาช่วยศัตรูให้ทา ผิดให้มากๆ
ขึ้นเรื่อยๆ กล่าวคือทาการปกครองที่ไม่เป็นธรรมเพื่อให้ศัตรูของตนเองช่วยสร้างเงื่อนไข
ความแตกแยกในสังคมให้มากที่สุดเพื่อบรรลุยุทธศาสตร์ทางการเมืองของลัทธิฯ
เพราะแนวร่วมมีอุปนิสัยเป็นเผด็จการอยู่แล้ว การกระทาใดๆผ่านแนวร่วมจึงเป็นการทาลายความเป็นไปประชาธิปไตยลงใ
นทุกมิติ นั่นเอง ต้องไม่ลืมว่าการทาแนวร่วมในความหมายของคอมมิวนิสต์ก็คือการเอาศัตรูมาช่วย รบ เพราะศัตรูของชาว พคท.
ก็คือพวกเผด็จการนั่นเอง เพื่อช่วยตนเองให้รบชนะ เป็นการใช้ศัตรูโดยการไปอยู่ร่วมกับศัตรู เพื่อให้ศัตรูตนเองกระทาความผิด
ขออธิบายเรื่องเผด็จการในบ้านเรา เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องสอดคล้อง
เผด็จการในประเทศไทยนอกเหนือจากเผด็จการคอมมิวนิสต์แล้ว ยังมีเผด็จการอื่นอยู่อีก 2 ประเภท
เผด็จ การรัฐสภา (เผด็จการพลเรือน) หรืออานาจรัฐเป็นของกลุ่มทุน ฝ่ายซ้ายเรียกว่าประชาธิปไตยของนายทุน
ตามหลักรัฐศาสตร์เรียกว่าระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา
(แต่มีนักวิชาการสายรัฐศาสตร์ในระดับราชบัณฑิตไม่ยอมรับข้อเท็จริงอันนี้)
เผด็จการทหาร คือ อานาจรัฐเป็นของคณะนายทหารที่ใช้วิธีการยึดอานาจ
ทั้งสองขบวนเผด็จการเป็นผู้ที่ช่วยทาให้การปฏิวัติสังคมของพคท.บรรลุผล
ได้ ฝ่ายแรกได้อานาจมาด้วยการซื้อเสียงและรูปแบบการเลือกตั้งจอมปลอม ฝ่ายหลังได้อานาจมาด้วยวิธีการยึดอานาจโดยกองทัพ
ความแนบเนียนของพคท.ทาโดยการเบี่ยงเบนปัญหา
ให้มีการยึดอานาจโดยทันที และหันไปร่วมมือกับศัตรูของตนเอง ศัตรูนั้นก็คือ “ นายทุน” พคท.หันไปร่วมมือกับนายทุนใหญ่
หลอกใช้ศัตรู (นายทุน) ทั้งหลาย เช่น ทุนเจ้าที่ดิน ทุนสื่อสาร ทุนพลังงาน ทุนข้ามชาติ ฯลฯ
แนวรบอีกด้านหนึ่งของคอมมิวนิสต์ก็คือด้านมวลชน แนวรบนี้เป็นผู้นาพาประชาชนไป เคลื่อนไหวเรื่องรัฐธรรมนูญแต่ไ
ม่ได้เป็นไปเพื่อเปลี่ยนมือเจ้าของอานาจ รัฐ พคท.จะไม่เอาอานาจรัฐมาเป็นของปวงชน แท้จริงแล้วการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ
มีความมุ่งหมายเพื่อเอาอานาจรัฐสู่กลุ่มจัดตั้งของตน การปลุกประเด็นการเคลื่อนไหวสู่สาธารณะด้วยการเอารัฐธรรมนูญมาเป็นตัว
หลอก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ จึงเป็นที่ถูกใจ พอใจของผู้ปกครองที่หวังได้ความชอบธรรมตามกระแสเพื่อทาให้เข้าใจว่านี่คือ
ประชามติแบบประชาธิปไตยที่มีประชาชนมีส่วนร่วม
การใช้การเคลื่อนไหวตามลัทธิรัฐธรรมนูญขณะนี้ เปิดโอกาสให้พคท.ได้สร้างแนวร่วมทุกระดับ และปิดบังอาพรางการเ
คลื่อนไหวทางการเมืองของตนเองไว้ เปิดช่องและโอกาสไว้ก็เพียงการทาแนวร่วม สร้างแนวร่วมสู่การจัดตั้งเพื่อนาไปสู่การสร้าง
สถานการณ์ปฏิวัติ คือ การสร้างความขัดแย้งภายใน (Internal
Conflict) ในทุกภาคส่วน โดยอาศัยการทาแนวร่วมที่แทรกอยู่กับการเคลื่อนไหวทุกระดับ
เพื่อสร้างประชามติ พคท.จะอาศัยตัวแทนในรูปแบบต่างๆและใช้เหตุการณ์เฉพาะกรณีไปดูให้เป็นเสมือน การขัดแย้งทั่วไป
เพื่อมุ่งสู่ความสามารถในการรุกทางการเมืองเพื่อสร้างกระแสคลื่นของประชาชน
เป็นส่วนใหญ่ไปในแนวทางที่ตนเองต้องการได้ในที่สุด
หลักสาคัญของทฤษฎีแนวร่วมของเหมาเจ๋ อตุงที่ควรเข้าใจ คือ ไม่ทาลายนายทุนทั้งหมดทีเดียว แต่จะทาลายทีละส่วน
จากร่วมมือกับนายทุนหรือร่วมมือกับแนวร่วม หรือ ร่วมมือกับเผด็จการ (ร่วมมือแบบเป็นศัตรูกัน)
อีกด้านหนึ่งก็เป็นพันธมิตรทายุทธวิธีกับกรรมกรชาวนา นักศึกษา หรือ
เป็นพันธมิตรกับกรรมการชาวนาไปด้วย เรียกว่าขบวนการแนวร่วม
การจัดกาลังของขบวนการแนวร่วม
- 5. พันธมิตร กรรมกรชาวนา ชนชั้นกรรมาชีพเป็นพื้นฐาน
นายทุนน้อยนายทุนชาติ นายทุนใหญ่ (นายทุนใหญ่ถือเป็นแนวร่วมทางยุทธวิธี)
นาโดยชนชั้นกรรมาชีพ
ต้องทาความเข้าใจว่า พวกแนวร่วมไม่ใช่พคท.แต่เป็นพวกที่ช่วยให้พคท.รบชนะหรือทาในสิ่งที่ผิดๆเป็น
เงื่อนไขนาไปสู่ความรุนแรงในสังคมได้ การทาผิดนี้เริ่มตั้งแต่ระดับนโยบายลงมา
ใครก็ตามที่ช่วยสร้างเงื่อนไขให้พคท.จนสามารถนาไปเป็นเงื่อนไขสงครามประชาชน ได้คนนั้น ขบวนนั้น พรรคนั้น
ถือว่าเป็น “ แนวร่วมที่มีประสิทธิภาพ” แนวร่วมที่มีประสิทธิภาพจึงมักเป็นแนวร่วมชั้นสูง เป็นพวกถือครองอานาจ
มีอานาจและถ้าใช้อานาจในทางที่ผิดได้สาเร็จก็จะก่อผลสะเทือนให้กับ คอมมิวนิสต์อย่างคุ้มค่า
ดังจะเห็นว่าระบอบเผด็จการทักษิณ(ระบอบทักษิณ) ระบอบคมช.ก็ไม่พ้นการตกเป็นแนวร่วม หากไม่มีการเมืองที่เหนือ
กว่า ก้าวหน้ากว่า ฉลาดกว่าพคท. ที่จะทารู้การเคลื่อนไหวและการใช้ยุทธวิธี
ยอกย้อนไปมา การได้มาซึ่งอานาจรัฐด้วยการรัฐประหารโดยคมช.
ภายใต้การปกครองชั่วคราวแล้วไม่เร่งสร้างประชาธิปไตยแต่กลับไปมะงุมมะงาหรา
ร่างรัฐธรรมนูญใหม่สู่การเลือกตั้งแบบเผด็จการรัฐสภา การเมืองก็ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์เช่นเดิม
คือย้ายจากเผด็จการทหารไปสู่เผด็จการรัฐสภา เปิดโอกาสให้พคท. เล่นบทผู้รักประชาชน เป็นวีรบุรุษ
โดยมีสื่อพวกเดียวกันเองร่วมสร้างกระแสเปิดทางให้
ที่ อันตรายก็คือ....ขณะนี้การไปทาแนวร่วมของพคท.โดยการเข้าไปทาทีช่วยเร่งร่าง รัฐธรรมนูญ
ก็เป็นการเข้าไปช่วยให้คมช.กระทาความผิดอีกเช่นกัน !!!
ปรากฏการณ์ การออกมาร่างรัฐธรรมนูญโดยพวกพคท.
ในนามสภาร่างรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนเพื่อแข่งกับรัฐธรรมนูญของรัฐบาล
พล.อ.สุรยุทธ์ภายใต้สสร.นั้น เป็นการ “ถ่วงน้า” แบบถึงที่สุด ขั้นตอนนี้วิเคราะห์ได้ว่าเป็นการดวลกับฉบับของสสร.
ให้การถ่วงมีน้าหนักให้มากถึงมากที่สุด กล่าวคือเป็นการทางานสองด้าน
เป็นงานรักษาอานาจช่วยเผด็จการเพื่อทาลายล้างในที่สุด โปรดสังเกตว่าพคท.จะปิดการเคลื่อนไหวการเมืองไว้ก่อนจะเปิดการเคลื่
อนไหวมวล
ชน ปิดการเมืองเพื่อเปิดกาลังเอาความคิดที่แตกต่าง รวบรวมเอาผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันมาไว้ในที่เดียวกันเพื่อใช้คนไทยให้ทา
ลาย กันเอง
ความไร้คุณธรรมของพคท. ดารงตนราว “ พระผู้ทาลาย” ยังมีมากกว่านี้โปรดฟังต่อ.....
การสร้างเงื่อนไขความสาเร็จในการทาแนวร่วมในประเทศไทยนั้นทาเครือข่ายโยงใย ตั้งแต่การสร้างแนวร่วม การจัดตั้งแ
นวร่วม การขยายแนวร่วมในเมือง การร่วมกันระหว่างพันธมิตรกับแนวร่วมทั้งในเมืองและชนบท ทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อให้บรร
ลุวัตถุประสงค์หลัก คือ
ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน
ทาให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
ให้คนไทยแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย
เพื่อนาคนไทยเข้าสู่สงครามการเมือง
- 6. เมื่อถึงสถานการณ์หนึ่ง ที่กระแสการเปลี่ยนแปลงขึ้นสู่กระแสสูงมาก ๆ
แม้คาพูดหรือวาจาบางคาที่ล้าหลังของผู้มีอานาจบางคนก็สามารถนาไปขยายผลให้ เกิดความแตกแยก
เป็นเหตุแห่งความมั่นคงของประเทศได้ หากไม่รู้เขารู้เรา
การดาเนินการของพคท.จะนาไปสู่จุดจบอย่างไร ? สิ่งใดคือจุดมุ่งหมาย ?
เมื่อถึงสถานการณ์หนึ่งขบวนการแนวร่วมจะเป็นบวนการที่ใหญ่โต โยงใยเต็มไปหมด
กระจายไปในหมู่ประชาชนและองค์การต่างๆทาให้ฝ่ายผู้รับผิดชอบมองรูปการไม่ออก
ไม่เข้าใจและไม่รู้จะจัดการอย่างไรเมื่อสถานการณ์ขมึงเกลียว เพราะไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ปัญหาอะไรแก้ได้หรือไม่ได้ และ
จะต้องใช้อะไรเข้าไปใช้ในการแก้ จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าการเมืองชนิดใดกันแน่ที่ก้าวหน้าหรือล้าหลัง
การขอให้ยุติการเคลื่อนไหวหรือห้ามมีการเคลื่อนไหว
โดยอ้างว่าประเทศชาติต้องการความสามัคคีนั้นจนถึงที่สุดแล้วจึงไม่มีทางเป็น ไปได้
จากการเคลื่อนไหวมวลชนสู่ขบวนการลุกขึ้นสู้ของมวลชน สามารถอธิบายเป็นขั้นตอนได้ดังนี้คือ
จัดตั้งแนวร่วม
ขยายแนวร่วมในเมือง
สร้างกระแสคลื่นของประชาชนส่วนใหญ่
ขยายแนวร่วมในรูปแบบต่างๆออกไปทั่วประเทศ
จะ ใช้เหตุการณ์เฉพาะกรณีๆไป ให้เป็นเสมือนการขัดแย้งทั่วไป ให้ดูไม่ออกว่าเป็นพวกเดียวกัน ขบวนเดียวกัน
และไม่เป็นการรุกทางการเมืองให้ดูไม่ออกว่าจะนาไปสู่การเมืองชนิดใด ให้ดูเหมือนไม่สาคัญ
ดังจะเห็นว่าขณะนี้บ้านเมืองสับสน จับต้นชนปลายหาเหตุและผล ที่มาของปัญหาไม่ถูก
ผู้ปกครองก็ไม่แน่ใจว่าจะแก้ปัญหาประเทศแต่ละอย่างให้ถูกต้องได้อย่างไร กรณีไอทีวีคือตัวอย่าง
เป็นได้อย่างมากก็คืออิงแอบความคุ้นเคยแบบเก่าๆ ของพวกพ้องวงศ์วานในการแก้ปัญหา เข้าทางการทาลายล้างพคท.
ใช้เป็นจุดโจมตี ความอ่อนด้อยของผู้ปกครองอย่างต่อเนื่อง
กล่าวโดยสรุป ยุทธวิธีแนวร่วม สืบทอดมาจากยุทธวิธีสงคราม
เมื่อสงครามกลางเมืองยุติลงก็ปรับใช้ตามแนวทางของเหมาเจ๋ อตุง เพราะเมื่อยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธก็หันมาต่อสู้แนวทางนี้แทน
โดยพคท.กาหนดแนวทางในระยะผ่านไว้ 4 ขั้นตอน (Transition
Period) หรือขั้นตอนก่อนจะบรรลุทางยุทธศาสตร์ของลัทธิฯคือ
ออกจากป่าให้มาชุบตัว(พคท.และทรท.)
สร้างฐานทางเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง
เข้าร่วมมีอานาจรัฐตามกลไกการปกครอง
สนับสนุนฝ่ายรัฐทาผิดมากๆและต่อๆไป
การหลอกลวงและผิดศีลธรรมต่อเพื่อนมนุษย์
ยุทธวิธีแนวร่วมและยุทธวิธีสงคราม ถือว่าเป็นอาวุธที่สาคัญในการยึดอานาจรัฐ
เป็นการทาลายรัฐเดิม ด้านยุทธวิธีแนวร่วมเป็นวิธีการสะสมกาลังด้วยวิธีสันติด้านหนึ่ง ส่วนด้านยุทธวิธีสงครามนั้นยังไม่เอาออ
กมาใช้เพราะเงื่อนไขยังไม่เพียงพอ ด้านนี้ถือเป็นการใช้กาลังซึ่งจะนาออกมาใช้โดยพรรค
(ส่วนการเมือง) อธิบายแบบสภาวธรรมและสภาวะจิตตามภาษามนุษย์ผู้เป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย เป็นขั้นตอนต่างๆ ได้ดังนี้คือ
- 7. 1. หลอก
ผู้ปกครองว่าตนเองเข้ามาอยู่ในเมืองแล้ว พร้อมรับแนวทางประชาธิปไตย ยึดแนวทางสันติวิธี ปฏิเสธการมีตัวตนของคอมมิวนิส
ต์อย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันก็มีพฤติกรรมทางการเมืองแบบแอบแฝง- ซ่อนเร้น-
ยาวนาน ซึ่งก็คือการออกมาชุบตัวตาม 4 ขั้นตอน ดังข้างบนนั่นเอง
2. หลอกว่า สันติวิธีเท่านั้นที่แก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้ ทั้งๆที่ยุทธวิธีแนวร่วม
ก็คือยุทธวิธีสร้างความแยกแตกในบ้านเมือง เป็นไปตามทฤษฎีปรัชญาเอกภาพของด้านตรงกันข้าม (Unity of the
Opposite) เพื่อเป็นเงื่อนไขนาไปสู่ยุทธวิธีสงคราม ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการเคลื่อนไหวมวลชน (ม็อบ)
ทีไรก็จะบอกว่าประชาชนใช้ สันติวิธี ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงคือการแบ่งขั้ว
แบ่งฝ่ายสงครามระหว่างคนรวยกับคนจน กล่าวคือม็อบของระบอบเผด็จการก็คือคนจน ซึ่งเป็นปรปักษ์ กับคนรวย
(ผู้ปกครอง) เป็นการสร้างคู่สงครามระหว่างคนจนกับคนรวยด้วยการ ก่อให้เกิดการแบ่งแยก
ส่วน การสร้างยุทธวิธีแนวร่วมคือพวกพคท.ด้านหนึ่งจะไปเคลื่อนไหวอยู่กับผู้ ปกครอง(เผด็จการ)
อีกด้านหนึ่งจะไปเคลื่อนไหวอยู่กับประชาชน (คนจน) จากนั้นเคลื่อนไหวมวลชนตามยุทธวิธีมวลชนล้อมรัฐบาล
อย่างเช่นนาพาประชาชน(ม็อบ) ที่มีปัญหามาปิดล้อมทาเนียบรัฐบาล ปิดล้อมรัฐสภา และกระทรวงต่าง
ๆ เมื่อเกิดการปะทะกันระหว่างรัฐกับประชาชนก็กลายเป็นความผิดของรัฐว่าใช้ความ รุนแรงกับประชาชน
ส่วนประชาชนนั้นสันติจึงกลายเป็นเงื่อนไขมวลชนลุกขึ้นสู้ในที่สุด(Mass uprising)
3. หลอก ทุกพวกแล้วเข้าร่วมกับทุกพวกโดยหากประชาชนไม่รู้การเมืองก็บอกว่าการเมือง
ของประชาชนคือประชาธิปไตยของประชาชน (คนจน) หากเข้าร่วมกับผู้ปกครองก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว มีการเลือกตั้งแล้ว
หากจะแก้การเมืองก็พาไปแก้รัฐธรรมนูญแต่ใช้คาว่าปฏิรูปการเมืองทั้งๆที่เป็น การปฏิรูปรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนเองอยู่ได้กับทุกพวก
4. หลอก
พาไปยึดรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปการเมือง โดยอ้างว่าเพื่อความก้าวหน้าโดยไม่พาประชาชนไปสู่อานาจรัฐแต่กลับให้ยึดรัฐ
ธรรมนูญฉบับประชาชนโดยไม่ทาอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
การหลอกลวงดาเนินต่อไปจนกว่าจะมีเงื่อนไขเพียงพอที่จะพัฒนาการต่อสู้ จากยุทธวิธีแนวร่วม สู่ยุทธวิธีสงครามในที่สุด
5. หลอกใช้กาลังทุกพวกให้หลงแนวทางของชาติ โดยการรักษาอานาจเผด็จการไว้ซึ่งเป็นอานาจที่ไม่เป็นธรรม
แล้วทาลายผู้ปกครองทีละส่วน
5.1 ประชาธิปไตยของนายทุนไม่ดี มุ่งทาลายด้วยการชี้ให้มวลชนเห็นว่า ประชาธิปไตยของคนรวยไม่ดี เลวร้าย ทาลายชาติ
ขายชาติ
5.2 ประชาธิปไตยของขุนศึกไม่ดี โดยชี้ให้ประชาชนเห็นว่า การยึดอานาจล้าหลัง เป็นเผด็จการทหาร
ทหารไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
5.3 ประชาธิปไตยของศักดินาไม่ดี มุ่งทาลายสถาบัน โดยการยกให้สูงเด่น ให้อยู่เหนือการเมือง
พวก นายทุนขุนศึกศักดินา หรือ เผด็จการนายทุน(ทุนเก่า ทุนใหม่) เผด็จการทหาร (รัฐประหาร)
สถาบัน.....ไม่ดี ต้องเป็นประชาธิปไตยของประชาชน(คนจน)
หรือคนส่วนใหญ่เท่านั้นจึงจะดีตามทฤษฎีที่พคท.คือผู้ปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ สู่สังคมอุดมคติ
กฎเกณฑ์หรือไม่กฎเกณฑ์ ยึดอะไรเป็นสรณะ
- 8. วิธีการสันติของยุทธวิธีแนวร่วมเมื่อบรรลุ ความมุ่งหมายความรุนแรงเท่านั้น
ไม่มีเป็นอย่างอื่นเพราะเป็นกฎเกณฑ์การพัฒนาการ วิธีการยึดประเทศด้วยยุทธวิธีแนวร่วมเมื่อทางานแนวร่วมสุกงอมเต็มที่แล้ว
ก็จะลงมือเปลี่ยนประเทศ โดยใช้ยุทธิวิธีสงครามหรือใช้อาวุธหรือกองกาลังทางอาวุธเดี๋ยวนี้เพียงแต่ ต้องทาแนวร่วมให้สุกงอม
คือทาให้ 2 เงื่อนไขสาเร็จเพียงพอก่อน
1. การปกครองไม่เป็นธรรมเมื่อถึงระดับหนึ่ง จะเกิดสภาวะคับแค้นทางจิตใจเพียงพอหรือยังคือการปกครองแบบเผด็จการ(บ้านเรา
มีอยู่2 ประเภท)
2. ความยากจนเกิดความยากไร้ทางวัตถุ จากคนจนเต็มประเทศสู่ผู้คนเป็นหนี้ สู่คนอพยพ เพียงพอหรือยัง
ในที่สุดเงื่อนไขการเคลื่อนไหวและนโยบายสร้างความแตก แยกในสังคมก็จะใช้ได้ผล
ซึ่งมีอยู่มากมาย ตัวอย่างที่พคท.ใช้จุดประเด็นมาตลอดคือ “ นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง ” ซึ่งกาลังปรากฏเป็นประเด็
นข่าวอยู่ล่าสุด
หากรู้เท่าทันก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นการทาให้หัว หน้าพรรคการเมืองที่เต็มไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการเสวยอานาจ
สู่ความยิ่งใหญ่
ความเด่นดัง เสนอตัวเพื่อแก้ปัญหาชาติสู่การเป็นนักปกครองสมัยใหม่ เป็นอิสระแบบตะวันตก ทาให้ผู้นาประเภทนี้ ถูกนาไป
ชนกับสถาบันเบื้องสูงโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้แล้วพคท.ยังหลอกให้ ทั้งทุนใหม่และทุนเก่าทาลายล้างกันเอง
การทาลายล้างโครงสร้างทางการเมืองและทางความคิดมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ส่วนการทาแนวร่วมทางความคิดก็พยายามหว่านล้อมเหตุผลด้วยการอธิบายว่า นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง
เป็นนายกของประชาชน มีความเป็นประชาธิปไตยสูงส่ง พคท.จึงเร่งส่งเสริมลัทธิการเลือกตั้ง โดยช่วยอธิบายว่าการเลือก
ตั้งเป็นประชาธิปไตยทาให้บรรดานักเลือกตั้งทั้ง หลายชอบใจ
ส่วนการปฏิรูปการเมืองก็เช่นกัน หลอกให้สร้างแต่รัฐธรรมนูญ
ที่วนเวียนอยู่กับกรงขังและปัญหานักกฎหมายหัวนอกแบบเดิมๆ
นอกจากนี้แล้วยังมีวิธีการทาลายทุนขนาดใหญ่ ด้วยการทาให้เกิดความขัดแย้งกันเอง
โดยพคท.จะเข้าไปอยู่ในส่วนต่างๆหรือไปทาแนวร่วมด้วย เนื่องจากทุนใหญ่เป็นแนวร่วมชั้นดี หากทุนใหญ่นั้นๆ ทรงอิทธิพล
เช่น มีเงินมากมีผลประโยชน์มาก มีเครือข่ายมาก มีมาเฟียอิทธิพลทุกระดับ ก็จะมีกาลังมากขึ้น
สู่ความเลวร้ายยิ่งขึ้นหากบุคคลผู้นั้น ไร้จุดยืนต่อส่วนรวมและต่อชาติ !!!
หากผู้ปกครองนิยมความเป็นสากลมากกว่านิยมความเป็นชาติ
ไม่เอาด้านชาติเป็นหลักในที่สุดก็จะกลายเป็นตัวแทนทุนข้ามชาติแล้วดาเนิน
นโยบายขายชาติต่อ โดยอ้างกับประชาชนว่านี่คือการพัฒนาประเทศ เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจมีท่าเรือขนาดใหญ่ มีสนามบิน
ขนาดใหญ่ มีถนนขนาดใหญ่ มีโรงแรมขนาดใหญ่ มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่
มีระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ มีโรงงานขนาดใหญ่ มีที่โชว์แสดงสินค้าขนาดใหญ่ มีระบบสื่อสารขนาดใหญ่
มีโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ มีระบบการสื่อสารขนาดใหญ่ มีระบบการหมุนเวียนเงินตราที่เป็นสากล
มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เป็นสากล มีภาษาที่เป็นสากล มีการเป็นอยู่ดาเนินชีวิตของคนในสังคมที่เป็นสากลฯลฯ
แล้วนาประเทศเข้าสู่สากล ทาให้ประเทศถูกความเป็นสากลครอบงา มองไม่ออกว่าอะไรคือการขายชาติ อะไรคือการพัฒนาชาติ
อะไรคือการกู้ชาติ
ในที่สุดก็จะเกิดวิกฤติทางความคิด !!!!
(เอกสารศึกษาของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ )