More Related Content
More from Thongkum Virut (20)
นายประเสริฐ ชี้แจงปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่า (2)
- 1. นายประเสริฐชี้แจง :ปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น"ปัญหาหลักวิชา"ถ้าไม่ยึดถือ
1. ปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นปัญหาหลักวิชาถ้าไม่ยึดถือจะนาประเทศไปสู่มิคสัญญี คาปรารภ
2. ในการปกครองประเทศไม่เพียงแต่จะต้องใช้ทฤษฎีและนโยบายเท่านั้นหากยังจะต้องใช้หลักวิชาด้วยเมื่อไม่นานมานี้
มีการโต้เถียงทางหลักวิชากันครั้งหนึ่งในเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
การโต้เถียงนี้เกิดขึ้นอีกในช่วงปลายเดือนมกราคมแต่ส่วนสาคัญเป็นการโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายเช่นนายแพทย์เหวง
โตจิราการกล่าวว่า"อยากจะฝากไปถึงพรรคประชาธิปัตย์และพรรคความหวังใหม่ว่าไม่ทราบว่าเขาจะแกล้งลืม
หรือเจตนาจะลืมว่าในระหว่างที่มีการหาเสียงกันนั้นเมื่อการเลือกตั้งที่ผ่านมาได้เคยให้คามั่นสัญญากับประชาชนไว้ว่า
หลังจากที่พรรคได้รับการเลือกตั้งเข้าไปจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ จะดาเนินการในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
("บ้านเมือง 24 มกราคม2537) นายถวิลไพรสณฑ์กล่าวว่า"เรื่องนี้เป็นนโยบายของพรรคเพราะเป็นนโยบายของพรรคแล้ว
เราจะไม่ใช้เฉพาะตอนหาเสียงเท่านั้นแต่จะต้องใช้ตลอดไป"("บ้านเมือง 24 มกราคม2537")
3. พล.ต.สนั่นขจรประศาสน์กล่าวว่า"เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ตกลงกันว่าจะเลือกตั้งผู้ว่าฯ
เพียงแต่ตกลงกันว่าจะกระจายอานาจไปสู่ท้องถิ่นเท่านั้น"("บ้านเมือง 24 มกราคม2537") พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธกล่าวว่า
"เป็นนโยบายของพรรคพลังธรรมแต่นโยบายของรัฐบาลไม่ได้เขียนไว้"("เดลินิวส์ 23 มกราคม2537")
นี่คือตัวอย่างของการโต้เถียงทางนโยบายซึ่งเป็นส่วนสาคัญของการโต้เถียงครั้งนี้อีกด้านหนึ่งในการโต้เถียงครั้งนี้
ฝ่ ายรัฐบาลใช้ทัศนคติแตกต่างกับครั้งก่อนครั้งก่อนฝ่ ายรัฐบาลแบ่งรับแบ่งสู้
เช่นแสดงการเห็นด้วยกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ยังไม่ถึงเวลาเป็นต้นแต่ครั้งนี้ใช้ทัศคติปฏิเสธเด็ดๆขาดๆ
เช่นพาดหัวข่าว"เดลินิวส์"23 มกราคม2537 ว่า
4. "เลือกตั้งผู้ว่าแท้งเสียแล้วจิ๋ว-ปชป.พร้อมใจไม่เอาอ้างไม่ใช่นโยบายรัฐบาล"แต่ในการโต้เถียงกันครั้งนี้
ก็มีร่องรอยของหลักวิชาการอยู่บ้างเหมือนกันเช่นคุณอารีย์วงศ์อารยะกล่าวว่า"ขณะมีสิ่งที่มีการพูดกันเรื่องเลือกตั้งผู้ว่าฯนั้น
เป็นคนละประเด็นเป็นการพูดตรงข้ามกับกฎหมายและระเบียบบริหารราชการแผ่นดินที่มีอยู่ในขณะนี้
เรากาลังพูดกันคนละเรื่องเพราะถ้าเป็นเช่นที่มีการเรียกร้องนั้นก็หมายถึงเราต้องล้มเลิกระเบียบราชการแผ่นดิน
ซึงบรรพบุรุษสร้างกันมาตั้งแต่เริ่มตั้งประเทศ""ระเบียบราชการแผ่นดินซึ่งบรรพบุรุษสร้างกันมาตั้งแต่เริ่มตั้งประเทศ"
ก็คือระเบียบของชาติรัฐเดียวซึ่งพระบาทสมเด็กพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงสร้างขึ้นบนพื้นฐานของสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมของประเทศไทย
ในการเปลี่ยนแปลงรัฐเจ้าครองนคร(Feudal state)
- 2. 5. มาเป็นรัฐแห่งชาติ (National state) เมื่อพ.ศ.2435 ซึ่งเป็นปัญหาหลักวิชา
หัวใจของหลักวิชาในปัญหาในการเลือกตั้งผู้ว่าฯในประเทศที่โต้เถียงกันอยู่ก็คือปัญหาชาติรัฐเดียว(Unitary-state nation)
หรือชาติหลายรัฐ(Multi-state nation) นี่เองซึ่งครั้งก่อนพล.อ.ชวลิต และนักวิชาการบางคนยกขึ้นมาพูดกันมาก
แต่ครั้งนี้ไม่ใคร่จะพูดถึงจะมีการพูดถึงบ้างก็เป็นส่วนปลีกย่อยของปัญหาหลักวิชาเช่นพล.อ.ชวลิตกล่าวว่า
"ไม่ได้ขัดแย้งกัน(กับพรรคพลังธรรม)เพียงแต่ไม่ได้พูดถึงความหมายของคาว่าผู้ว่าราชการจังหวัด
ซึ่งมีการตีความกันไปคนละความหมายผู้ว่าราชการจังหวัดปกครองส่วนภูมิภาคและจะเอาผู้ว่าฯไปปกครอ
งส่วนท้องถิ่นได้อย่างไรและการเลือกตั้งผู้ว่าฯจะเป็นการกระจายอานาจหรือไม่นั้นก็ต้องตีความกันมิฉะนั้น
จะทาให้เกิดความเสียหาย("บ้านเมือง"24ม.ค. 37)
6. นี่เป็นส่วนหนึ่งของหลักวิชาคือการกระจายอานาจคืออะไร?การเลือกตั้งผู้ว่าฯเป็นการกระจายอานาจหรือไม่?ทั้ง2
ปัญหานี้กระผมจะขอชี้แจงภายหลังเพราะค่อนข้างยาวนายแพทย์เหวงกล่าวว่า
"ในนโยบายรัฐบาลแถลงต่อสภานั้นได้พูดไว้ชัดเจนว่าจะให้มีการเลือกตั้งทุกระดับในส่วนการบริหารท้องถิ่น
ซึ่งการเลือกตั้งผู้ว่าฯนั้นก็หมายถึงเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นในระดับจังหวัด
แต่มีการแปรไปว่าไม่ใช่เป็นการเลือกตั้งผู้บริหารส่วนท้องถิ่นขอให้เปิดดูนโยบายที่แถลงไว้เมื่อวันเข้ารับหน้าที่บริหารประเทศว่
า รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการเลือกตั้งทุกระดับชั้นก็แสดงว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯก็เป็นนโยบายของรัฐบาลด้วย"("บ้านเมือง"
24 ม.ค.37) นี่ก็เป็นปัญหาหลักวิชาคือว่านโยบายของรัฐบาลที่เขียนไว้ว่าจะให้มีการเลือกตั้งทุกระดับในส่ว
นการบริหารท้องถิ่นนั้นถูกต้องตามหลักวิชาแต่การถือเอาว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯหมายถึงการเลือกตั้งผู้บริหารท้อ
งถิ่นระดับจังหวัด
7. และนโยบายรัฐบาลที่ว่าสนับสนุนการเลือกตั้งทุกระดับหมายถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯก็เป็นนโยบายของรัฐบาลด้วยนั้น
ไม่ชอบด้วยหลักวิชาและเป็นการเอาส่วนท้องถิ่นกับส่วนภูมิภาคไปปะปนกันส่วนภูมิภาคคือจังหวัดอาเภอตาบล
และหมู่บ้าน(แต่ก่อนมีมณฑลยุบหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน)ส่วนท้องถิ่นคือมหานครนคร เมือง
เขตอื่นที่เป็นเทศบาลและสุขาภิบาลองค์การบริหารส่วนจังหวัดและสภาตาบล(แต่ก่อนมีองค์การบริหารส่วนตาบลด้วย)
จะต้องไม่เอาส่วนภูมิภาคกับส่วนท้องถิ่นไปปะปนกันนโยบายของรัฐบาลให้เลือกตั้งผู้บริหารส่วนท้องถิ่นเท่านั้น
ไม่เลือกตั้งผู้บริหารส่วนภูมิภาคซึ่งถูกต้องตามหลักวิชาแล้วนายแพทย์เหวง กล่าวว่า
"ตามที่บางคนในกระทรวงมหาดไทยพูดว่าทาลายระบอบเก่าๆของบรรพบุรุษซึ่งตนคิดว่าเป็น"เจตนาที่ต้องการหาเรื่อง"
8. ซึ่งจริงๆแล้วการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเท่ากับผลักดันให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าบ้านเมืองเราเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
คงไม่สามารถที่จะกลับไปปกครองแบบเวียงวังคลังนา หรือจตุสดมภ์เหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว
ซึ่งหากจะรักษาของเก่าตามที่ออกมาพูดกันก็จะต้องกลับไปปกครองแบบนั้นเพราะฉะนั้นคนที่พูด
- 3. ขอให้กลับไปเรียนวิชารัฐศาสตร์เสียใหม่"("บ้านเมือง" 24 ม.ค.37) และคุณถวิลกล่าวว่า
"ในเรื่องนี้ตนอยากจะถามกลับไปยังพวกมหาดไทยว่าหากเป็นอย่างนี้ต้องกลับไปปกครองในระบบจตุสดมภ์มีระบบเวียงวัง
คลัง นาซึ่งเป็นระบบเก่าเช่นเดียวกันและก็ในสมันก่อนเป็นการปกครองระดัยมีมณฑล
จนคิดว่าข้าราชการกระทรวงมหาดไทยคงจะไม่มีทางออกแล้วที่จะมาโต้แย้งเรื่องนี้จึงได้ไปเอาเรื่องนี้มา
เช่นการบอกว่าเป็นการล้างระบบเก่า"(จากฉบับเดียวกัน)นี่คือปัญหาหลักวิชาอย่างหนึ่ง
ที่ว่าระบบจตุสดมภ์เป็นระบบเก่านั้นถูกแล้วซึ่งรัชกาลที่๕ทรงยกเลิกและใช้ระบบใหม่แทนและใช้มาจนถึงปัจจุบัน
มีการเปลี่ยนแปลงบ้างในส่วนปลีกย่อยเท่านั้นเช่นยกเลิกมณฑลขยายส่วนท้องถิ่นให้กว้างขวางออกไป
และมีการเพิ่มเติมถ้อยคา
9. เช่นนาคาว่าส่วนกลางส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นมาใช้ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายนเป็นต้น
ที่คุณอารีย์กล่าวถึงระเบียบที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นก็คือระเบียบที่รัชกาลที่ ๕ทรงสร้างนั่นเองซึ่งเป็นระบบใหม่ ไม่ใช่ระบบเก่า
สมเด็จพระปกเกล้าทรงบันทึกไว้ว่า"การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากแบบเดิมเป็นตั้งกระทรวงเป็น 12 กระทรวงนี้
ต้องนับว่าเป็นการเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงซึ่งเรียกได้อย่างพูดกันธรรมดาว่า"พลิกแผ่นดิน"
ถ้าจะเรียกตามภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า"เรโวลูชั่น"ก็เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงรัฐเจ้าครองนคร(feudal state)
ซึ่งเป็นรัฐแบบเก่า มาเป็นรัฐแห่งชาติ(National state) ซึ่งเป็นรัฐแบบใหม่ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันนั่นเอง
ระบบใหม่ซึ่งรัชกาลที่๕ทรงสร้างขึ้นด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างเรโวลูชั่นและยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้
ถูกต้องตามหลักวิชารัฐศาสตร์ซึ่งจะต้องใช้ต่อไปโดยไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงในหลักการสาคัญได้
10. นอกจากแก้ไขปรับปรุงในส่วนปลีกย่อยเท่านั้นการเลือกตั้งผู้ว่าฯเป็นการเปลี่ยนแปลงในหลักการสาคัญ
ซึ่งจะนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงจากชาติรัฐเดียวเป็นชาติหลายรัฐและขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ว่า
"ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้"กระผมเขียนไว้ใน"คาชี้แจง"ฉบับที่ 6 ว่า"การเลือกตั้งผู้ว่าฯ
คือการแบ่งแยกราชอาณาจักร"เพราะสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมของประเทศไทย
กาหนดให้ประเทศเป็นชาติรัฐเดียวจะเป็นชาติหลายรัฐมิได้ ระบบใหม่ซึ่งรัชกาลที่ ๕ทรงสร้างขึ้นนั้น
แบ่งการบริหารหรือการปกครองออกเป็น3ส่วนซึ่งเรียกตามศัพท์ปัจจุบันว่าส่วนกลาง(Central) ส่วนภูมิภาค(Provincial)
และส่วนท้องถิ่น(Local) ซึ่งเป็นไปตามแบบชาติรัฐเดียวของนานาประเทศและมีอีกส่วนหนึ่งสังกัดส่วนภูมิภาค
เรียกว่าส่วนท้องที่(Rural) ซึ่งในปัจจุบันบางประเทศมี บางประเทศไม่มีแล้วแต่ระดับพัฒนาการของแต่ละประเทศ
11. บ้านเรามักมีการปะปนและสับสนระหว่างส่วนภูมิภาคกับส่วนท้องถิ่ นดังเช่นคาของบางคนที่ยกมาข้างต้น.
ตามหลักทั่วไปการบริหารชาติรัฐเดียวแบ่งออกเป็น2 ส่วนเท่านั้นคือส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นหรือCentral กับLocal
เพราะส่วนภูมิภาคหรือProvincial เป็นสาขาหรือตัวแทนของส่วนกลางและส่วนท้องที่หรือRural สังกัดอยู่มนส่วนภูมิภาค
- 4. ส่วนกลางไม่ต้องพูดถึงก็ได้ เพราะไม่มีอะไรสับสนก็คือกระทรวงนั่นเองส่วนภูมิภาคแต่ก่อนระดับสูงสุดคือมณฑล
เมื่อยกเลิกมณฑลจังหวัดเป็นระดับสูงสุดซึ่งเรียกในภาษาอังกฤษว่า Provence เมื่อมีมณฑลเรียกมณฑลว่าProvence
เมื่อยกเลิกมณฑลก็เรียกจังหวัดว่าProvence คาว่าProvence จึงแปลว่ามณฑลก็ได้ แปลว่าจังหวัดก็ได้
เพราะหมายถึงระดับสูงสุดของส่วนภูมิภาคระดับถัดลงมาคือาเภอDistrictถือว่าเป็นระดับล่างสุดของส่วนภูมิภาค
12. แต่อาเภอยังแบ่งซอยลงไปเป็นตาบลและหมู่บ้านซึ่งรวมกันจัดเป็นส่วนหนึ่งต่างหากเรียกว่าส่วนท้องที่ Rural
ส่วนท้องที่ไม่ใช่ระดับล่างสุดของส่วนภูมิภาคแต่สังกัดส่วนภูมิภาค
ไม่ใช่สังกัดส่วนท้องถิ่นและถือว่าส่วนท้องที่เป็นการปกครองพื้นฐานจึงเห็นได้ว่าส่วนทั้งหมดเหล่านี้รวมกัน
กล่าวโดยหลักทั่วไปจัดเป็นส่วนหนึ่งคือส่วนกลางหรือCentral สาหรับส่วนท้องถิ่นหรือLocal นั้น เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
เดิมเรียกว่าสุขาภิบาลหรือMunicipality รัชกาลที่๗ทรงเปลี่ยนชื่อเป็นเทศบาล
ขณะกาลังจะตราเป็นกฎหมายก็เกิดยึดอานาจ24 มิถุนายนเสียก่อนคณะราษฎรจึงตราเป็นกฎหมายเทศบาล
ส่วนสุขาภิบาลก็ยังมีอยู่ถือเป็นระดับล่างของเทศบาลและจัดระดับเทศบาลเป็นนครเมือง และตาบล
ปัจจุบันเพิ่มระดับมหานครเป็นระดับสูงสุดคือกรุงเทพมหานคร
และตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดกับสภาตาบลเพิ่มขึ้นในส่วนท้องถิ่นด้วย
และครั้งหนึ่งเคยตั้งองค์การบริหารส่วนตาบลขึ้นในส่วนท้องถิ่นแต่ล้มเหลว
13. ส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นนั้นเป็นคนละส่วนโดยสิ้นเชิงจึงแตกต่างกันทั้งในลักษณะความมุ่งหมายหน้าที่และภาระกิจ
เช่นผู้บริหารส่วนภูมิภาคซึ่งเป็นสาขาของส่วนกลางมาจากการแต่งตั้งผู้บริหารส่วนท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งนี่เป็นหลักวิชา
ไม่ใช่ทฤษฎีหรือนโยบายฉะนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดจึงต้องแต่งตั้งเลือกตั้งได้ และผู้ว่าราชการมหานครต้องเลือกตั้ง
แต่งตั้งไม่ได้ (เว้นแต่ในสถานการณ์คับขัน)เช่นเดียวกับผู้บริหารส่วนท้องถิ่นอื่นๆต้องเลือกตั้งทั้งสิ้น
ดูเหมือนจะมีผู้สงสัยเป็นอันมากว่าทาไมผู้บริหารส่วนภูมิภาคโดยเฉพาะคือผู้ว่าราชการจังหวัดจึงเลือกตั้งไม่ได้
และทาไมผู้บริหารส่วนท้องถิ่นเช่นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและนายกเทศมนตรีต่างๆจึงต้องเลือกตั้ง
ตาแหน่งแต่งตั้งกับตาแหน่งเลือกตั้งนั้นแตกต่างกันในความเป็นผู้แทน
ว่าเป็นผู้แทนของส่วนกลางหรือเป็นผู้แทนของส่วนท้องถิ่นผู้แทนของส่วนกลางก็คือผู้แทนของรัฐบาล
ผู้แทนของส่วนท้องถิ่นถือกันว่าเป็นผู้แทนของประชาชนเป็นผู้แทนของใครผู้นั้นก็เป็นผู้แต่งตั้งเป็นผู้แทนของรัฐบาล
รัฐบาลก็แต่งตั้งเป็นผู้แทนของประชาชนประชาชนก็แต่งตั้งแต่ประชาชนแต่งตั้งนั้นเป็นการพร้อมใจกันแต่งตั้ง
14. ซึ่งเรียกว่าเลือกตั้งฉะนั้นตาแหน่งเลือกตั้งก็คือตาแหน่งแต่งตั้งโดยประชาชนนั่นเองฉะนั้น
เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แทนของรัฐบาลรัฐบาลจึงเป็นผู้แต่งตั้งจะให้ประชาชนแต่งตั้ง(พร้อมใจกันแต่งตั้ง)ได้อย่างไร
และเมื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหรือนายกเทศมนตรีต่างๆเป็นผู้แทนของประชาชน
- 6. 18. ก็คือยกเลิกส่วนภูมิภาคในกรุงเทพทาให้กรุงเทพเหลือแต่ส่วนท้องถิ่นฉะนั้นผู้บริหารส่วนภูมิภาคในกรุงเทพจึงไม่มี
มีแต่ผู้บริหารส่วนท้องถิ่นในกรุงเทพเท่านั้นเรียกว่า"ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร"แต่ในนครศรีธรรมราชในนนทบุรี ฯลฯ
เราไม่ได้ยกเลิกส่วนภูมิภาคจึงยังมีจังหวัด(province) และมีเมือง(Town) ซึ่งเป็นส่วนท้องถิ่นอยู่กับส่วนภูมิภาคฉะนั้น
จึงมีทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกเทศมนตรีเมืองทั้ง2'ตาแหน่งในกรุงเทพเราเอาคาว่า"ผู้ว่าราชการ"
มาใช้กับมหนครภายหลังที่ได้ยกเลิกจังหสัดไปแล้วแต่ผู้คนยังเคยชินอยู่กับคาว่า"ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนคร" หรือ
"ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร"จึงเกิดเข้าใจผิดว่า"ผู้ว่าราชการมหาคร"กับ"ผู้ว่าราชการจังหวัด"เป็นสิ่งเดียวกัน
แต่ความจริงแล้วถึงแม้จะใช้คาว่า"ผู้ว่าราชการ"คาเดียวกันแต่ต่างกันในหลักการ"ผู้ว่าราชการจังหวัด"
เป็นผู้บริหารส่วนภูมิภาค"ผู้ว่าราชการมหานคร"เป็นผู้บริหารส่วนท้องถิ่นบางทีเรื่องมหญ่โตโต้เถียงกันเกือบตาย
เกิดจากความสับสนในถ้อยคาเพียงคาเดียวเท่านั้นเอง
19. บางคนที่เข้าใจความแตกต่างระหว่างส่วนภูมิภาคกับส่วนท้องถิ่นแต่อยากให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
โดยทาให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บริหารส่วนท้องถิ่นอย่างผู้ว่าราชการกทม.จึงอยากให้ยกเลิกส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ
โดยอ้างว่าเขาไปดูต่างประเทศมามากไม่มีส่วนภูมิภาคมีแต่ส่วนท้องถิ่นเวลานี้เรายกเลิกส่วนภูมิภาคในเมืองหลวง
เพียงแห่งเดียวแต่ก็กล้อมแกล้มเต็มทีเพราะแม้แต่ใน"กรุงเทพมหานคร"แถวหนองจอกตลิ่งชันก็ยังมีผู้ใหญ่บ้าน
ซึ่งเป็นเศษเดนของส่วนท้องที่สังกัดส่วนภูมิภาคยิ่งในหัวเทืองด้วยแล้วท้องที่หรือชนบทหรือRural ยิ่งเป็นฝ่ ายครอบงา
ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของประเทศด้อยพัฒนาดูสุราษฎร์ธานีบ้านกระผมส่วนท้องที่เต็มไปหมดหัวเมืองอื่นก็ทานองเดียวกัน
แล้วจะไปยกเลิกส่วนภูมิภาคในหัวเมืองได้อย่างไรประเทศพัฒนาไม่จาเป็นต้องมีส่วนภูมิภาค
แต่ประเทศพัฒนาบางประเทศก็ยังรักษาส่วนภูมิภาคไว้
20. เพราะถือว่าเหมาะสมกับประเทศของเขาเช่นประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสญี่ปุ่นไม่มีส่วนภูมิภาค
เพราะนอกจากจะเป็นประเทศพัฒนาระดัยสูง1ใน 7 ประเทศที่รวยที่สุดในโลกซึ่งความเจริญแผ่ไปทั่วประเทศ
นครและเมืองเป็นฝ่ ายครอบงาชนบทแทบจะไม่มีเหลือแล้วหัวเมืองต่างๆยังมีลักษณะการปกครองตนเองทางวัฒนธรรม
(Cultural automomous) ซึ่งเป็นจารีตประเพณีสืบทอดมาจากสมัยเจ้าครองนคร(Feudal) ตามที่กระผมเขียนไว้ "คาชี้แจง"
ฉบับที่ 6 อีกด้วยซึ่งเป็นส่วนท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นเรียกว่า"ไคเมียว"ไคเมียวนี้
เมื่อญี่ปุ่นร่างรัฐธรรมนูญใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่2นายพลแมคอาเธอร์ ให้ใช้คาว่าGrvernor
เลียนแบบสหรัฐซึ่งมาตรงกับGovernorซึ่งใช้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดบ้านเราที่จริงตรงกันแต่เฉพาะคาGovernorเท่านั้น
แต่ความหมายต่างกันเพราะของสหรัฐคือState Governorหรือ้ ผู้ว่าการมณฑลรัฐของเราคือProvincialGovernor
หรือผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ก็ทาให้หลายคนเอา Governorที่นายพลแมคอาเธอร์
นามาใช้ในญี่ปุ่นมาอ้างว่าญี่ปุ่นเป็นรัฐเดียวทาไมเลือกตั้ง
- 7. 21. Governorหรือผู้ว่าราชการจังหวัดได้ เมืองไทยรัฐเดียวเหมือนกันทาไมจะเลือกตั้ง Governor
หรือผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ได้ นี่ก็เป็นความสับสนในถ้อยคาเหมือนกันไคมียวของญี่ปุ่นจะเรียกเป็นคาไทยว่าอะไรก็แล้วแต่
และเขตปกครองของไคเมียวซึ่งเรียกว่า"ฮั่น"จะเรียกเป็นไทยว่าอะไรก็แล้วแต่แต่ตะเรียกผู้ส่าราชการจังหวัดและจังหวัด
ที่เป็นส่วนภูมิภาคอย่างบ้านเรานั้นไม่ได้ ฉะนั้นจึงอ้างคา Governor
ของนายพลแมคอาเธอร์ในญี่ปุ่นมาเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดบ้านเราไม่ได้ เพราะคนละเรื่องกันรวมความว่า
ชาติรัฐเดียวซึ่งเป็นประเทศด้อยพัฒนาไม่สามารถจะยกเลิกส่วนภูมิภาคจึงไม่สามารถจะเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
ซึ่งเป็นผู้บริหารส่วนภูมิภาคที่คุณชูวงศ์ฉายะบุตรกล่าวว่า"ผมยืนยันว่าอีก 100 ปี ก็ไม่ควรเลือกตั้งผู้ว่าฯ"("สยามรัฐ"25
ม.ค. 37) นั้นเป็นคาเปรียบเทียบที่ถูกต้องเพราะถ้าเมืองไทยยังอยู่อย่างนี้ต้องอีกยาวนานมากกว่าจะยกเลิกส่วนภูมิภาคได้
เพราะจะยกเลิกส่วนภูมิภาคได้ จะต้องทาให้ประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาระดับสูง
22. ซึ่งจะต้องเริ่มต้นจากการทาประเทศให้เป็นประชาธิปไตย
เพื่อก้าวจากประเทศด้วยพัฒนาไปสู่ประเทศกาลังพัฒนาและต่อไปเป็นประเทศพัฒนาแต่เราก็ยังไม่ได้เริ่มต้นกันเลย
แม้แต่ในบรรดาผู้เรียกร้องให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่มีใครสักคนที่คิดจะทาประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย
มีแต่คิดจะแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่สร้างประชาธิปไตยซึ่งเป็นการต่ออายุระบอบเผด็จการรัฐสภาเท่านั้น
แล้วเมื่อไหร่เมืองไทยจะเป็นประเทศพัฒนาระดับสูงได้เล่ามาเลเซียเป็นประเทศกาลังพัฒนามา 40กว่าปีแล้ว
เมื่อไม่นานมานี้เขาประกาศว่าจะเป็นประเทศพัฒนาใน35 ปี กระผมคิดว่าถ้าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยเดี๋ยวนี้
อาจจะเป็นประเทศพัฒนาได้เร็วกว่ามาเลเซียเพราะสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรทุกด้าน
ซึ่งหมายความว่าเราจะสามารถยกเลิกส่วนภูมิภาคได้ใน35ปี
แต่ก็ไม่แน่ว่าถึงแม้เมืองไทยจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วสมควรจะยกเลิกส่วนภูมิภาคเพราะขนาดอังกฤษฝรั่งเศสยังไม่ยกเลิก
ฉะนั้นจึงน่าจะเป็นอย่างคาของคุณชูวงศ์ที่กล่าวว่าอีก 100 ปี ก็ไม่ควรเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดมากกว่า
23. กระผมกล่าวไว้ในตอนต้นว่าการโต้เถียงเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดครั้งนี้
ส่วนใหญ่เป็นการโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายการโต้เถียงทางหลักวิชาเป็นส่วนน้อยแต่ควรจะกล่าวไว้ในที่นี้ด้วยว่า
การโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายนั้นเป็นความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองด้วยกัน
ส่วนการโต้เถียงทางหลักวิชาเป็นความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการตัวอย่างเช่นพรรคพลังธรรมเสนอว่า
กาiเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผลดีแก่ประชาชนอย่างไรบ้างเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยอย่างไรบ้าง
จะแก้ปัญหาความยากจนได้ กระทั่งจะแก้ปัญหารัฐประหารได้ทีเดียวนี่คือข้อเสนอทางทฤษฎี
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์และพรรคความหวังใหม่โต้ว่าไม่ใช่นโยบายของรัฐบาลและนะโยบายของพรรคก็มีเพียงใ
ห้กระจายอานาจไปสู่ท้องถิ่นซึ่งเป็นการโต้เถียงทางนโยบายแต่ฝ่ ายข้าราชการอ้างเหตุผลทางหลักวิชาเช่นคุณอารีย์
กล่าวว่าการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการทาลายระเบียบบริ หารราชการแผ่นดินืซึ่งบรรพบุรุษสร้างมาตั้งแต่ตั้งประเทศ
- 8. 24. และว่าข้อเสนอของนักการเมืองเป็นคนละเรื่องกับของกระทรวงมหาดไทยและคุณชูวงศ์กล่าวว่าอีก 100 ปี
ก็ไม่สมควรเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนอกจากนั้นยังมีข้าราชการการเมือง 2คนเสนอเหตุผลทางหลักวิชาคือพล.อ.ชวลิต
ซึ่งตั้งปัญหาว่าการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นการกระจายอานาจหรือไม่?และผู้ว่าราชการจังหวัดหมายความว่าอะไร?
และคุณบัญญัติแนะให้กลับไปใช้คาว่า"ข้าหลวงประจาจังหวัด"อย่างเดิม("เดลินิวส์"23 ม.ค.37)
ซึ่งนอกจากจะเป็นกาเสนอความเห็นทางหลักวิชาแล้วยังเป็นการยุติปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดด้วยวิธีง่ายๆอี
กด้วยเพราะ"ข้าหลวง"นั้นไม่ว่าจะเป็นข้าหลวงอะไรไม่เป็นตาแหน่งเลือกตั้งแต่เป็นตาแหน่งแต่งตั้งทั้งสิ้น
เหล่านี้คือตัวอย่างของการเสนอเหตุผลทางหลักวิชาโดยข้าราชการทั้งข้าราชการประจาและข้าราชการการเมือง
ทฤษฎีและนโยบายการเมืองจะต้องไม่ขัดต่อหลักวิชาสาหรับหลักวิชาทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ(Natural science)
นั้นขัดไม่ได้อยู่แล้ว
25. เพราะเป็นสัจธรรมที่สอดคล้องกับกฎของปรากฎการณ์ธรรมชาติเช่นวิทยาศาสตร์ว่าด้วยระเบิดปรมณู
ไม่ว่าทฤษฎีและนโยบายประชาธิปไตยเผด็จการหรือคอมมิวนิสต์ที่แตกต่างกันถึงขนาดตรงกันข้าม
ก็ยังต้องใช้หลักวิชาทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอย่างเดียวกับโลกเ
สรีกับโลกคอมมิวนิสต์ต่างก็เอาหลักวิชาระเบิดปรมณูอันเดียวกันไปใช้กับทฤษฎีและนโยบายที่มุ่งจะทาลายล้างกัน
แต่หลักวิชาทางวิทยาศาสตร์สังคม(Social Science) ก็เป็นสัจธรรมเหมือนกัน
ซึ่งทฤษฎีและนโยบายการเมืองที่แตกต่างกันโดยทั่วไปก็ต้องยึดถืออย่างเดียวกัน
เช่นหลักวิชารัฐศาสตร์ว่าด้วยชาติรัฐเดียวหรือหลายรัฐเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือต่างก็ยึดถือว่าชาติตนเป็นชาติรัฐเดียวสหรัฐ
กับสหภาพโซเวียต(เดี๋ยวนี้เป็นจักรภพ)ต่างก็ยึดถือว่าชาติของตนเป็นหลายรัฐเป็นต้นทั้งที่มีทฤษฎีและนโยบายตรงกันข้าม
บรรพบุรุษของเราตั้งชาติสยามขึ้นมาเป็นชาติรัฐเดียวโดยยึดถือหลักวิชาและด้วยทฤษฎีและนโยบายที่สอดคล้องกับหลักวิชา
26. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่เพียงแต่จะทรงมีพระราชประสงค์จะรักษาชาติไทยเท่านั้น
หากยังทรงศึกษาหลักวิชารัฐศาสตร์เป็นอย่างดีด้วยดังพระราชบันทึกของสมเด็จพระปกเกล้าเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมพ.ศ. 2470
ว่า"พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระปรีชารอบรู้ในรัฐประศาสน์ประเพณีการปกครองอย่างที่
นิยมกันอยู่ในทวีปยุโรปได้ทรงศึกษาทราบหลักการโดยตลอด"ฉะนั้น
เมื่อทรงสถาปนาชาติสนามด้วยทฤษฎีและนโยบายที่ถูกต้องเพราะสอดคล้องกับหลักวิชาเป็นอย่างดีดังนี้แล้ว
จึงไม่เพียงแต่ระบบที่ทรงสร้างขึ้นจะมั่นคงถาวรและจีรังยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบันเท่านั้น
หากยังมีประสิทธิภาพในการรักษาชาติไทยให้รอดพ้นจากอุ้งเล็บของลัทธิอาณานิคมได้ด้วยกระทรวงมหาดไทย
มีบทบาทสาคัญในการสถาปนาชาติสยามเพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าฯให้กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่
- 10. 30. แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าทัศนะของข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่แสดงออกมานั้นหมุนอยู่รอบๆหลักวิชา
กระผมยึดถือข้อนี้เป็นสาคัญเมือทฤษฎีและนโยบายขัดแย้งกับหลักวิชาจะต้องถือเอาหลักวิชาเป็นหลัก
เพราะทฤษฎีและนโยบายนั้นกาหนดขึ้นจากความต้องการของคนจึงเปลี่ยนแปลงได้ และไม่แน่นอนว่าจะถูกต้องเสมอไป
แต่หลักวิชากาหนดขึ้นจากกฎของความจริงแท้(Reality) ที่ดารงอยู่จึงเป็นสัจธรรมที่แน่นอนและถูกต้องเสมอไปฉะนั้น
การโต้เถียงกันทางทฤษฎีและนโยบายจึงมักจะไม่จบยิ่งต่างก็เป็นทฤษฎีและนโยบายที่ไม่ถูกต้องเพราะขัดกับหลักวิชาด้
วยกันด้วยแล้วก็ยิ่งจะบานปลายและความขัดแย้งทางทฤษฎีมีผลร้ายอย่างไรเราไ
ด้เห็นกันอยู่แล้วอย่างน้อยในประเทศกัมพูชาติดกับบ้านเราในปัจจุบันปัญหาร้ายแรงที่สุดของประเทศไทยก็คือความขัดแย้งท
างทฤษฎีนี่เองกระผมขอยกเอาข้อเขียนประโยคแรกใน"คาขี้แจง"ฉบับที่ 9 มาเสนอซ้าในที่นี้ว่า
"ปัญหาเป็นตายของประเทศไทยคือปัญหาความเห็นเรียกเป็นศัพท์บาลีว่าปัญหาทิฏฐิ
31. เรียกเป็นศัพท์สันสกฤตว่าปัญหาทฤษฎีเรียกศัพท์อังกฤษว่า Theoretical problem" ขณะนี้เรามีปัญหาทฤษฎีที่สาคัญ
คือความขัดแย้งในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งควรรีบแก้ไขความขัดแย้งทางทฤษฎีและนโยบายจะแก้ไขได้ด้
วยหลักวิชาเพราะหลักวิชาเป็นเครื่องตัดสินความถูกผิดของทฤษฎี
และนโยบายโดยเฉพาะปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นปัญหาหลักวิชาฉะนั้น
จึงต้องยกระดับทฤษฎีและนโยบายขึ้นสู่หลักวิชาโดยเปลี่ยนการโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบาย
มาเป็นการโต้เถียงทางหลักวิชาคุณถวิลกล่าวว่า"หนังสือราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ 23 ตุลาคม33
พรรคความหวังใหม่ได้เขียนนโยบายไว้ในหมวดสิ่งแวดล้อมว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านกานัน
ตลอดจนผู้ว่าราชการจังหวัด"("ไทยรัฐ"29 มกราคม2537) คุณเด่นโต๊ะมีนา
ก็"ยอมรับว่าพรรคความหวังใหม่ตอนหาเสียงว่าจะให้มีการเลือกตั้
32. งผู้ว่าราชการจังหวัด"(สยามโพสต์25ม.ค.37) แต่หนังสือ"สยามโพสต์"ฉบับเดียวกันเขียนไว้ว่า
พรรคความหวังใหม่ไม่มีนโยบายเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเพียงแต่มีนโยบาย
"จะปรับปรุงการกระจายอานาจจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่นให้มากขึ้น"
และฉบับเดียวกันนี้เขียนไว้ว่าพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายจะให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในระยะ 5ปีแรกและ "สมาพันธ์
ปชต.ถล่มรัฐบาลยับตระบัดสัตย์"("บ้านเมือง" 31 ม.ค.37) ฯลฯกระผมเห็นว่าพรรคและกลุ่มต่างๆ
ไม่ควรจะโต้เถียงกันว่าพรรคตนกลุ่มตนทีหรือไม่มีนโยบายเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
หรือโต้เถียงกันว่าในการเลือกตั้งคนั้งที่แล้วใครใช้นโยบายการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดหาเสียงหรือไม่
เพราะถ้าพรรคใดกลุ่มใดมีนโยบายนี้หรือได้ใช้นโยบายนี้หาเสียงก็เป็นนโยบาบที่ขัดต่อหลักวิชาด้วยกันทั้งนั้น
และถ้าจะนาเอานโยบายที่ขัดกับหลักวิชามาโต้เถียงกันต่อไปก็จะนาไปสู่ความขัดแย้งทางทฤษฎีที่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรง
- 14. 41. ซึ่งเรียกว่าเทศาภิบาลหรือProvincial administration ต่อมาเรียกว่าการปกครองส่วนภูมิภาคและอาเภอ
ตาบลและหมู่บ้านรวมกันเรียกว่าการปกครองส่วนท้องที่หรือRural administration และถือเป็นการปกครองครองพื้นฐาน
ในขณะเดียวกันในท้องถิ่นที่เจริญจัดให้มีการปกครองสุขาภิบาลซึ่งเป็นการปกครองท้องถิ่นหรือLocal administration
อย่างยุโรปการปกครองท้องที่ในส่วนของกานันผู้ใหญ่บ้านและการปกครองท้องถิ่นมีความมุ่งหมายตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ
เพื่อฝึกหัดทดลองประชาธิปไตยแก่ประชาชนกานันผู้ใหญ่บ้านนั้นแม้ว่าจะอยู่ในการปกครองส่วนภูมิภาค
แต่กาหนดให้เป็นผู้แทนของประชาชนร่วมทากับข้าราชการระััดับอาเภอ ซึ่งเป็นผู้แทนของของรัฐบาล
และให้มีการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนเมื่อเลือกตั้งแล้วต้องได้รับการแต่งตั้งได้รับหมายตั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัด
และประชาชนถอดผู้ใหญ่บ้านได้ส่วนกานันเลือกตั้งโดยผู้ใหญ่บ้าน
การปกครองท้องถิ่นคือการปกครองตนเองของประชาชนในขอบเขตที่แน่นอนที่ปฏิบัตกันอยู่ในอารยะประเทศ
42. ในการปฎิบัติพระราชกรณียกิจสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีแผนพระราชดาริจะขยายการใชพระราชบัญญัติสุขาภิบาลออกไปทั่วประเทศเพื่อฝึกหัดอบรมประชาธิปไตยแก่ประชาชน
โดยเฉพาะคือการเลือกตั้งแบประชาธิปไตยต้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง
โดยรวมเขตแคว้นและหัวเมืองฟิวดัลให้เข้ามาอยู่ภายใต้นครหลวงอันเดียวกัน
ไม่กระจัดกระจายกันอยู่หรือขึ้นต่อนครหลวงอย่างหลวมๆเหมือนแต่ก่อน
กระบวนการนี้คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงรัฐแบบเก่าหรือรัฐฟิวดัล
มาเป็นรัฐแบบใหม่หรือรัฐแห่งชาติก็คือกระบวนการรวมประเทศรวมราชอาณาจักรรวมชาติหรือก่อตั้งกอตั้งชาติ(Nation)
ซึ่งเป็นเงื่อนไขอันจาเป็นของพัฒนาการของระบบทุนนิยมนั่นเองการรวมชาติหรือรวมประเทศกล่าวโดยทั่วไปมี ๒วิธี
คือวิธีรัฐเดียว(Unitarystate)และวิธีหลายรัฐ(Multi-state)อย่าง
43. อังกฤษฝรั่งเศสสะแกนดิเนเวียใช้วิธีรัฐเดียวอย่างเช่น— กับวัจนาพรพันธุมะโนแบบประชาธิปไตย
ทรงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ปรับปรุงพระราชบัญญัติสุขาภิบาลให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
และให้เปลี่ยนชื่อเป็นพระราชบัญญัติเทศบาลกาลังออกกฎหมายฉบับนี้อยู่แล้วก็เกิดการยึดอานาจ๒๔มิถุนายนเสียก่อน
และคณะราษฎรนามาแก้ไขเพิ่มเติมประกาศใช้ นี่คือสาระสาคัญของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของพระบาทสม
เด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ๑๐๐ปีก่อน ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงบ้างในส่วนปลีกย่อย
เช่นยกเลิกมณพลเทศาภิบาลใช้จังหวัดแทนมณฑลขยายการปกครองส่วนท้องถิ่นออกไปเป็นองค์การปกครองบริหาร
ส่วนจังหวัดและตั้งสภาตาบลเป็นต้นแต่หลักการคงเดิมภายใต้หลักการพื้นฐานคือยกเลิกรัฐเจ้าครองน
ครหรือฟิวดัลสถาปณารัฐแห่งชาติในรูปรัฐเดียวโดยเฉพาะใกล้เคียงที่สุดกับฝรั่งเศส