SlideShare a Scribd company logo
1 of 15
นายประเสริฐชี้แจง :ปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น"ปัญหาหลักวิชา"ถ้าไม่ยึดถือ
1. ปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นปัญหาหลักวิชาถ้าไม่ยึดถือจะนาประเทศไปสู่มิคสัญญี คาปรารภ
2. ในการปกครองประเทศไม่เพียงแต่จะต้องใช้ทฤษฎีและนโยบายเท่านั้นหากยังจะต้องใช้หลักวิชาด้วยเมื่อไม่นานมานี้
มีการโต้เถียงทางหลักวิชากันครั้งหนึ่งในเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
การโต้เถียงนี้เกิดขึ้นอีกในช่วงปลายเดือนมกราคมแต่ส่วนสาคัญเป็นการโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายเช่นนายแพทย์เหวง
โตจิราการกล่าวว่า"อยากจะฝากไปถึงพรรคประชาธิปัตย์และพรรคความหวังใหม่ว่าไม่ทราบว่าเขาจะแกล้งลืม
หรือเจตนาจะลืมว่าในระหว่างที่มีการหาเสียงกันนั้นเมื่อการเลือกตั้งที่ผ่านมาได้เคยให้คามั่นสัญญากับประชาชนไว้ว่า
หลังจากที่พรรคได้รับการเลือกตั้งเข้าไปจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ จะดาเนินการในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
("บ้านเมือง 24 มกราคม2537) นายถวิลไพรสณฑ์กล่าวว่า"เรื่องนี้เป็นนโยบายของพรรคเพราะเป็นนโยบายของพรรคแล้ว
เราจะไม่ใช้เฉพาะตอนหาเสียงเท่านั้นแต่จะต้องใช้ตลอดไป"("บ้านเมือง 24 มกราคม2537")
3. พล.ต.สนั่นขจรประศาสน์กล่าวว่า"เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ตกลงกันว่าจะเลือกตั้งผู้ว่าฯ
เพียงแต่ตกลงกันว่าจะกระจายอานาจไปสู่ท้องถิ่นเท่านั้น"("บ้านเมือง 24 มกราคม2537") พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธกล่าวว่า
"เป็นนโยบายของพรรคพลังธรรมแต่นโยบายของรัฐบาลไม่ได้เขียนไว้"("เดลินิวส์ 23 มกราคม2537")
นี่คือตัวอย่างของการโต้เถียงทางนโยบายซึ่งเป็นส่วนสาคัญของการโต้เถียงครั้งนี้อีกด้านหนึ่งในการโต้เถียงครั้งนี้
ฝ่ ายรัฐบาลใช้ทัศนคติแตกต่างกับครั้งก่อนครั้งก่อนฝ่ ายรัฐบาลแบ่งรับแบ่งสู้
เช่นแสดงการเห็นด้วยกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ยังไม่ถึงเวลาเป็นต้นแต่ครั้งนี้ใช้ทัศคติปฏิเสธเด็ดๆขาดๆ
เช่นพาดหัวข่าว"เดลินิวส์"23 มกราคม2537 ว่า
4. "เลือกตั้งผู้ว่าแท้งเสียแล้วจิ๋ว-ปชป.พร้อมใจไม่เอาอ้างไม่ใช่นโยบายรัฐบาล"แต่ในการโต้เถียงกันครั้งนี้
ก็มีร่องรอยของหลักวิชาการอยู่บ้างเหมือนกันเช่นคุณอารีย์วงศ์อารยะกล่าวว่า"ขณะมีสิ่งที่มีการพูดกันเรื่องเลือกตั้งผู้ว่าฯนั้น
เป็นคนละประเด็นเป็นการพูดตรงข้ามกับกฎหมายและระเบียบบริหารราชการแผ่นดินที่มีอยู่ในขณะนี้
เรากาลังพูดกันคนละเรื่องเพราะถ้าเป็นเช่นที่มีการเรียกร้องนั้นก็หมายถึงเราต้องล้มเลิกระเบียบราชการแผ่นดิน
ซึงบรรพบุรุษสร้างกันมาตั้งแต่เริ่มตั้งประเทศ""ระเบียบราชการแผ่นดินซึ่งบรรพบุรุษสร้างกันมาตั้งแต่เริ่มตั้งประเทศ"
ก็คือระเบียบของชาติรัฐเดียวซึ่งพระบาทสมเด็กพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงสร้างขึ้นบนพื้นฐานของสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมของประเทศไทย
ในการเปลี่ยนแปลงรัฐเจ้าครองนคร(Feudal state)
5. มาเป็นรัฐแห่งชาติ (National state) เมื่อพ.ศ.2435 ซึ่งเป็นปัญหาหลักวิชา
หัวใจของหลักวิชาในปัญหาในการเลือกตั้งผู้ว่าฯในประเทศที่โต้เถียงกันอยู่ก็คือปัญหาชาติรัฐเดียว(Unitary-state nation)
หรือชาติหลายรัฐ(Multi-state nation) นี่เองซึ่งครั้งก่อนพล.อ.ชวลิต และนักวิชาการบางคนยกขึ้นมาพูดกันมาก
แต่ครั้งนี้ไม่ใคร่จะพูดถึงจะมีการพูดถึงบ้างก็เป็นส่วนปลีกย่อยของปัญหาหลักวิชาเช่นพล.อ.ชวลิตกล่าวว่า
"ไม่ได้ขัดแย้งกัน(กับพรรคพลังธรรม)เพียงแต่ไม่ได้พูดถึงความหมายของคาว่าผู้ว่าราชการจังหวัด
ซึ่งมีการตีความกันไปคนละความหมายผู้ว่าราชการจังหวัดปกครองส่วนภูมิภาคและจะเอาผู้ว่าฯไปปกครอ
งส่วนท้องถิ่นได้อย่างไรและการเลือกตั้งผู้ว่าฯจะเป็นการกระจายอานาจหรือไม่นั้นก็ต้องตีความกันมิฉะนั้น
จะทาให้เกิดความเสียหาย("บ้านเมือง"24ม.ค. 37)
6. นี่เป็นส่วนหนึ่งของหลักวิชาคือการกระจายอานาจคืออะไร?การเลือกตั้งผู้ว่าฯเป็นการกระจายอานาจหรือไม่?ทั้ง2
ปัญหานี้กระผมจะขอชี้แจงภายหลังเพราะค่อนข้างยาวนายแพทย์เหวงกล่าวว่า
"ในนโยบายรัฐบาลแถลงต่อสภานั้นได้พูดไว้ชัดเจนว่าจะให้มีการเลือกตั้งทุกระดับในส่วนการบริหารท้องถิ่น
ซึ่งการเลือกตั้งผู้ว่าฯนั้นก็หมายถึงเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นในระดับจังหวัด
แต่มีการแปรไปว่าไม่ใช่เป็นการเลือกตั้งผู้บริหารส่วนท้องถิ่นขอให้เปิดดูนโยบายที่แถลงไว้เมื่อวันเข้ารับหน้าที่บริหารประเทศว่
า รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการเลือกตั้งทุกระดับชั้นก็แสดงว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯก็เป็นนโยบายของรัฐบาลด้วย"("บ้านเมือง"
24 ม.ค.37) นี่ก็เป็นปัญหาหลักวิชาคือว่านโยบายของรัฐบาลที่เขียนไว้ว่าจะให้มีการเลือกตั้งทุกระดับในส่ว
นการบริหารท้องถิ่นนั้นถูกต้องตามหลักวิชาแต่การถือเอาว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯหมายถึงการเลือกตั้งผู้บริหารท้อ
งถิ่นระดับจังหวัด
7. และนโยบายรัฐบาลที่ว่าสนับสนุนการเลือกตั้งทุกระดับหมายถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯก็เป็นนโยบายของรัฐบาลด้วยนั้น
ไม่ชอบด้วยหลักวิชาและเป็นการเอาส่วนท้องถิ่นกับส่วนภูมิภาคไปปะปนกันส่วนภูมิภาคคือจังหวัดอาเภอตาบล
และหมู่บ้าน(แต่ก่อนมีมณฑลยุบหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน)ส่วนท้องถิ่นคือมหานครนคร เมือง
เขตอื่นที่เป็นเทศบาลและสุขาภิบาลองค์การบริหารส่วนจังหวัดและสภาตาบล(แต่ก่อนมีองค์การบริหารส่วนตาบลด้วย)
จะต้องไม่เอาส่วนภูมิภาคกับส่วนท้องถิ่นไปปะปนกันนโยบายของรัฐบาลให้เลือกตั้งผู้บริหารส่วนท้องถิ่นเท่านั้น
ไม่เลือกตั้งผู้บริหารส่วนภูมิภาคซึ่งถูกต้องตามหลักวิชาแล้วนายแพทย์เหวง กล่าวว่า
"ตามที่บางคนในกระทรวงมหาดไทยพูดว่าทาลายระบอบเก่าๆของบรรพบุรุษซึ่งตนคิดว่าเป็น"เจตนาที่ต้องการหาเรื่อง"
8. ซึ่งจริงๆแล้วการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเท่ากับผลักดันให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าบ้านเมืองเราเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
คงไม่สามารถที่จะกลับไปปกครองแบบเวียงวังคลังนา หรือจตุสดมภ์เหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว
ซึ่งหากจะรักษาของเก่าตามที่ออกมาพูดกันก็จะต้องกลับไปปกครองแบบนั้นเพราะฉะนั้นคนที่พูด
ขอให้กลับไปเรียนวิชารัฐศาสตร์เสียใหม่"("บ้านเมือง" 24 ม.ค.37) และคุณถวิลกล่าวว่า
"ในเรื่องนี้ตนอยากจะถามกลับไปยังพวกมหาดไทยว่าหากเป็นอย่างนี้ต้องกลับไปปกครองในระบบจตุสดมภ์มีระบบเวียงวัง
คลัง นาซึ่งเป็นระบบเก่าเช่นเดียวกันและก็ในสมันก่อนเป็นการปกครองระดัยมีมณฑล
จนคิดว่าข้าราชการกระทรวงมหาดไทยคงจะไม่มีทางออกแล้วที่จะมาโต้แย้งเรื่องนี้จึงได้ไปเอาเรื่องนี้มา
เช่นการบอกว่าเป็นการล้างระบบเก่า"(จากฉบับเดียวกัน)นี่คือปัญหาหลักวิชาอย่างหนึ่ง
ที่ว่าระบบจตุสดมภ์เป็นระบบเก่านั้นถูกแล้วซึ่งรัชกาลที่๕ทรงยกเลิกและใช้ระบบใหม่แทนและใช้มาจนถึงปัจจุบัน
มีการเปลี่ยนแปลงบ้างในส่วนปลีกย่อยเท่านั้นเช่นยกเลิกมณฑลขยายส่วนท้องถิ่นให้กว้างขวางออกไป
และมีการเพิ่มเติมถ้อยคา
9. เช่นนาคาว่าส่วนกลางส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นมาใช้ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายนเป็นต้น
ที่คุณอารีย์กล่าวถึงระเบียบที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นก็คือระเบียบที่รัชกาลที่ ๕ทรงสร้างนั่นเองซึ่งเป็นระบบใหม่ ไม่ใช่ระบบเก่า
สมเด็จพระปกเกล้าทรงบันทึกไว้ว่า"การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากแบบเดิมเป็นตั้งกระทรวงเป็น 12 กระทรวงนี้
ต้องนับว่าเป็นการเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงซึ่งเรียกได้อย่างพูดกันธรรมดาว่า"พลิกแผ่นดิน"
ถ้าจะเรียกตามภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า"เรโวลูชั่น"ก็เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงรัฐเจ้าครองนคร(feudal state)
ซึ่งเป็นรัฐแบบเก่า มาเป็นรัฐแห่งชาติ(National state) ซึ่งเป็นรัฐแบบใหม่ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันนั่นเอง
ระบบใหม่ซึ่งรัชกาลที่๕ทรงสร้างขึ้นด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างเรโวลูชั่นและยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้
ถูกต้องตามหลักวิชารัฐศาสตร์ซึ่งจะต้องใช้ต่อไปโดยไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงในหลักการสาคัญได้
10. นอกจากแก้ไขปรับปรุงในส่วนปลีกย่อยเท่านั้นการเลือกตั้งผู้ว่าฯเป็นการเปลี่ยนแปลงในหลักการสาคัญ
ซึ่งจะนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงจากชาติรัฐเดียวเป็นชาติหลายรัฐและขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ว่า
"ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้"กระผมเขียนไว้ใน"คาชี้แจง"ฉบับที่ 6 ว่า"การเลือกตั้งผู้ว่าฯ
คือการแบ่งแยกราชอาณาจักร"เพราะสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมของประเทศไทย
กาหนดให้ประเทศเป็นชาติรัฐเดียวจะเป็นชาติหลายรัฐมิได้ ระบบใหม่ซึ่งรัชกาลที่ ๕ทรงสร้างขึ้นนั้น
แบ่งการบริหารหรือการปกครองออกเป็น3ส่วนซึ่งเรียกตามศัพท์ปัจจุบันว่าส่วนกลาง(Central) ส่วนภูมิภาค(Provincial)
และส่วนท้องถิ่น(Local) ซึ่งเป็นไปตามแบบชาติรัฐเดียวของนานาประเทศและมีอีกส่วนหนึ่งสังกัดส่วนภูมิภาค
เรียกว่าส่วนท้องที่(Rural) ซึ่งในปัจจุบันบางประเทศมี บางประเทศไม่มีแล้วแต่ระดับพัฒนาการของแต่ละประเทศ
11. บ้านเรามักมีการปะปนและสับสนระหว่างส่วนภูมิภาคกับส่วนท้องถิ่ นดังเช่นคาของบางคนที่ยกมาข้างต้น.
ตามหลักทั่วไปการบริหารชาติรัฐเดียวแบ่งออกเป็น2 ส่วนเท่านั้นคือส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นหรือCentral กับLocal
เพราะส่วนภูมิภาคหรือProvincial เป็นสาขาหรือตัวแทนของส่วนกลางและส่วนท้องที่หรือRural สังกัดอยู่มนส่วนภูมิภาค
ส่วนกลางไม่ต้องพูดถึงก็ได้ เพราะไม่มีอะไรสับสนก็คือกระทรวงนั่นเองส่วนภูมิภาคแต่ก่อนระดับสูงสุดคือมณฑล
เมื่อยกเลิกมณฑลจังหวัดเป็นระดับสูงสุดซึ่งเรียกในภาษาอังกฤษว่า Provence เมื่อมีมณฑลเรียกมณฑลว่าProvence
เมื่อยกเลิกมณฑลก็เรียกจังหวัดว่าProvence คาว่าProvence จึงแปลว่ามณฑลก็ได้ แปลว่าจังหวัดก็ได้
เพราะหมายถึงระดับสูงสุดของส่วนภูมิภาคระดับถัดลงมาคือาเภอDistrictถือว่าเป็นระดับล่างสุดของส่วนภูมิภาค
12. แต่อาเภอยังแบ่งซอยลงไปเป็นตาบลและหมู่บ้านซึ่งรวมกันจัดเป็นส่วนหนึ่งต่างหากเรียกว่าส่วนท้องที่ Rural
ส่วนท้องที่ไม่ใช่ระดับล่างสุดของส่วนภูมิภาคแต่สังกัดส่วนภูมิภาค
ไม่ใช่สังกัดส่วนท้องถิ่นและถือว่าส่วนท้องที่เป็นการปกครองพื้นฐานจึงเห็นได้ว่าส่วนทั้งหมดเหล่านี้รวมกัน
กล่าวโดยหลักทั่วไปจัดเป็นส่วนหนึ่งคือส่วนกลางหรือCentral สาหรับส่วนท้องถิ่นหรือLocal นั้น เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
เดิมเรียกว่าสุขาภิบาลหรือMunicipality รัชกาลที่๗ทรงเปลี่ยนชื่อเป็นเทศบาล
ขณะกาลังจะตราเป็นกฎหมายก็เกิดยึดอานาจ24 มิถุนายนเสียก่อนคณะราษฎรจึงตราเป็นกฎหมายเทศบาล
ส่วนสุขาภิบาลก็ยังมีอยู่ถือเป็นระดับล่างของเทศบาลและจัดระดับเทศบาลเป็นนครเมือง และตาบล
ปัจจุบันเพิ่มระดับมหานครเป็นระดับสูงสุดคือกรุงเทพมหานคร
และตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดกับสภาตาบลเพิ่มขึ้นในส่วนท้องถิ่นด้วย
และครั้งหนึ่งเคยตั้งองค์การบริหารส่วนตาบลขึ้นในส่วนท้องถิ่นแต่ล้มเหลว
13. ส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นนั้นเป็นคนละส่วนโดยสิ้นเชิงจึงแตกต่างกันทั้งในลักษณะความมุ่งหมายหน้าที่และภาระกิจ
เช่นผู้บริหารส่วนภูมิภาคซึ่งเป็นสาขาของส่วนกลางมาจากการแต่งตั้งผู้บริหารส่วนท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งนี่เป็นหลักวิชา
ไม่ใช่ทฤษฎีหรือนโยบายฉะนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดจึงต้องแต่งตั้งเลือกตั้งได้ และผู้ว่าราชการมหานครต้องเลือกตั้ง
แต่งตั้งไม่ได้ (เว้นแต่ในสถานการณ์คับขัน)เช่นเดียวกับผู้บริหารส่วนท้องถิ่นอื่นๆต้องเลือกตั้งทั้งสิ้น
ดูเหมือนจะมีผู้สงสัยเป็นอันมากว่าทาไมผู้บริหารส่วนภูมิภาคโดยเฉพาะคือผู้ว่าราชการจังหวัดจึงเลือกตั้งไม่ได้
และทาไมผู้บริหารส่วนท้องถิ่นเช่นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและนายกเทศมนตรีต่างๆจึงต้องเลือกตั้ง
ตาแหน่งแต่งตั้งกับตาแหน่งเลือกตั้งนั้นแตกต่างกันในความเป็นผู้แทน
ว่าเป็นผู้แทนของส่วนกลางหรือเป็นผู้แทนของส่วนท้องถิ่นผู้แทนของส่วนกลางก็คือผู้แทนของรัฐบาล
ผู้แทนของส่วนท้องถิ่นถือกันว่าเป็นผู้แทนของประชาชนเป็นผู้แทนของใครผู้นั้นก็เป็นผู้แต่งตั้งเป็นผู้แทนของรัฐบาล
รัฐบาลก็แต่งตั้งเป็นผู้แทนของประชาชนประชาชนก็แต่งตั้งแต่ประชาชนแต่งตั้งนั้นเป็นการพร้อมใจกันแต่งตั้ง
14. ซึ่งเรียกว่าเลือกตั้งฉะนั้นตาแหน่งเลือกตั้งก็คือตาแหน่งแต่งตั้งโดยประชาชนนั่นเองฉะนั้น
เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แทนของรัฐบาลรัฐบาลจึงเป็นผู้แต่งตั้งจะให้ประชาชนแต่งตั้ง(พร้อมใจกันแต่งตั้ง)ได้อย่างไร
และเมื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหรือนายกเทศมนตรีต่างๆเป็นผู้แทนของประชาชน
ก็ต้องให้ประชาชนแต่งตั้ง(พร้อมใจกันแต่งตั้ง)จะให้รัฐบาลแต่งตั้งได้อย่างไร..
ถ้ากระผมจะให้ใครไปทาธุระอะไรแทนกระผมสักอย่างกระผมก็ต้องแต่งตั้งผู้แทนของกระผม
กระผมจะให้คนทั้งหลายเลือกตั้งใครมาเป็นผู้แทนของกระผมได้อย่างไรเวลานี้ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ
มีคนเรียกร้องไม่ให้รัฐบาลแต่งตั้งผู้แทนของรัฐบาลในจังหวัดต่างๆแต่จะให้ประชาชนแต่งตั้งรัฐบาล
15. คือให้ประชาชนพร้อมใจกันแต่งตั้งผู้แทนของรัฐบาลซึ่งเรียกว่าเลือกตั้งก็คือให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
การกระทาเช่นนี้ก็คือการยกเลิกฐานะของผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นผู้แทนของรัฐบาล
ในขณะเดียวกันผู้แทนของประชาชนในจังหวัดนั้นๆก็ยังมีอยู่คือนายกเทศมนตรี ฉะนั้นเมื่อผู้ว่าฯไม่ได้เป็นผู้แทนของรัฐบาล
เพราะรัฐบาลไม่ได้แต่งตั้งตาแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดก็จะเป็นตาแหน่งอิสระจากรัฐบาลและไปเป็นคู่กับนายกเทศมนตรี
ซึ่งต่างก็เป็นตาแหน่งเลือกตั้งทาให้จังหวัดนั้นๆกลายเป็นรัฐหนึ่งไปโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นส่วนกลาง
และนายกเทศมนตรีเป็นส่วนท้องถิ่นและผู้ว่าราชการจังหวัดที่เลือกตั้งนั้นเป็นประมุขของรัฐนั้นๆไปจึงเห็นได้ว่า
ถ้ามีการเลือกตั้งส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นถ้ามีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดแลันายกเทศมนตรี
(จะเรียกว่าผู้ว่าราชการนครหรือผู้ว่าราชการเมืองก็ได้)ก็จะทาให้จังหวัดนั้นๆเปลี่ยนแปลงเป็นอีกรัฐหนึ่งอย่างเป็นไปเอง
ไม่มีทางจะเป็นอื่นไปได้
16. แต่ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขถ้าจังหวัดต่างๆกลายเป็นแต่ละรัฐ
ประมุขของรัฐซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าเพราะเลือกตั้งมาก็มีแนวโน้มอย่างมากที่จะไม่ขึ้นต่อพระมหากษัตริย์ต่างกับมาเลย์เซีย
ซึ่งรัฐที่เลือกตั้งผู้ว่าราชการมีเพียง2รัฐนอกนั้นเป็นสุลต่านทั้งสิ้นจึงไม่กระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ฉะนั้น
ตามที่มีผู้กล่าวว่าถ้าเมืองไทยเลือกตั้งผู้ว่าราชดารจังหวัดก็จะนาไปสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศไทยไป
จึงเป็นคากล่าวที่มีความเป็นไปได้อย่างสูงฉะนั้นที่กระผมเขียนไว้ใน"คาชี้แจง"ฉบับที่ 6 ว่า
"การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ใช่เป็นการกระจายอานาจแต่เป็นการแบ่งแยกราชอาณาจักร"นั้นยังน้อยไป
ควรกล่าวว่าเป็นการแยกประเทศและยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริ ย์จะถูกต้องกว่า
17. ตั้งแต่มีการตั้งตาแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครขึ้นมาเกิดมีความสับสนปะปนและเข้าใจผิดในปัญหาถ้อยคา
มีคนสงสัยว่าเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้ ทาไมเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดอื่นไม่ได้?
เขานึกว่าผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครนั้นเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเช่นเดียวกับผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นต้น
เดี๋ยวนี้"จังหวัดกรุวเทพมหานคร"หรือ"จังหวัดพระนคร"ไม่มีแล้วมีแต่ "กรุงเทพมหานคร"หรือ"มหานครกรุงเทพ"
"จังหวัดกรุงเทพมหานคร"หรือ"จังหวัดพระนคร"เป็นส่วนภูมิภาคแต่ "กรุงเทพมหานคร"หรือ"มหานครกรุงเทพ"
เป็นส่วนท้องถิ่นเรายกเลิกจังหวัดหรือProvidenceในกรุงเทพเหลือแต่นครหรือCityหรือมหานครหรือGreat City
18. ก็คือยกเลิกส่วนภูมิภาคในกรุงเทพทาให้กรุงเทพเหลือแต่ส่วนท้องถิ่นฉะนั้นผู้บริหารส่วนภูมิภาคในกรุงเทพจึงไม่มี
มีแต่ผู้บริหารส่วนท้องถิ่นในกรุงเทพเท่านั้นเรียกว่า"ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร"แต่ในนครศรีธรรมราชในนนทบุรี ฯลฯ
เราไม่ได้ยกเลิกส่วนภูมิภาคจึงยังมีจังหวัด(province) และมีเมือง(Town) ซึ่งเป็นส่วนท้องถิ่นอยู่กับส่วนภูมิภาคฉะนั้น
จึงมีทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกเทศมนตรีเมืองทั้ง2'ตาแหน่งในกรุงเทพเราเอาคาว่า"ผู้ว่าราชการ"
มาใช้กับมหนครภายหลังที่ได้ยกเลิกจังหสัดไปแล้วแต่ผู้คนยังเคยชินอยู่กับคาว่า"ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนคร" หรือ
"ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร"จึงเกิดเข้าใจผิดว่า"ผู้ว่าราชการมหาคร"กับ"ผู้ว่าราชการจังหวัด"เป็นสิ่งเดียวกัน
แต่ความจริงแล้วถึงแม้จะใช้คาว่า"ผู้ว่าราชการ"คาเดียวกันแต่ต่างกันในหลักการ"ผู้ว่าราชการจังหวัด"
เป็นผู้บริหารส่วนภูมิภาค"ผู้ว่าราชการมหานคร"เป็นผู้บริหารส่วนท้องถิ่นบางทีเรื่องมหญ่โตโต้เถียงกันเกือบตาย
เกิดจากความสับสนในถ้อยคาเพียงคาเดียวเท่านั้นเอง
19. บางคนที่เข้าใจความแตกต่างระหว่างส่วนภูมิภาคกับส่วนท้องถิ่นแต่อยากให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
โดยทาให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บริหารส่วนท้องถิ่นอย่างผู้ว่าราชการกทม.จึงอยากให้ยกเลิกส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ
โดยอ้างว่าเขาไปดูต่างประเทศมามากไม่มีส่วนภูมิภาคมีแต่ส่วนท้องถิ่นเวลานี้เรายกเลิกส่วนภูมิภาคในเมืองหลวง
เพียงแห่งเดียวแต่ก็กล้อมแกล้มเต็มทีเพราะแม้แต่ใน"กรุงเทพมหานคร"แถวหนองจอกตลิ่งชันก็ยังมีผู้ใหญ่บ้าน
ซึ่งเป็นเศษเดนของส่วนท้องที่สังกัดส่วนภูมิภาคยิ่งในหัวเทืองด้วยแล้วท้องที่หรือชนบทหรือRural ยิ่งเป็นฝ่ ายครอบงา
ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของประเทศด้อยพัฒนาดูสุราษฎร์ธานีบ้านกระผมส่วนท้องที่เต็มไปหมดหัวเมืองอื่นก็ทานองเดียวกัน
แล้วจะไปยกเลิกส่วนภูมิภาคในหัวเมืองได้อย่างไรประเทศพัฒนาไม่จาเป็นต้องมีส่วนภูมิภาค
แต่ประเทศพัฒนาบางประเทศก็ยังรักษาส่วนภูมิภาคไว้
20. เพราะถือว่าเหมาะสมกับประเทศของเขาเช่นประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสญี่ปุ่นไม่มีส่วนภูมิภาค
เพราะนอกจากจะเป็นประเทศพัฒนาระดัยสูง1ใน 7 ประเทศที่รวยที่สุดในโลกซึ่งความเจริญแผ่ไปทั่วประเทศ
นครและเมืองเป็นฝ่ ายครอบงาชนบทแทบจะไม่มีเหลือแล้วหัวเมืองต่างๆยังมีลักษณะการปกครองตนเองทางวัฒนธรรม
(Cultural automomous) ซึ่งเป็นจารีตประเพณีสืบทอดมาจากสมัยเจ้าครองนคร(Feudal) ตามที่กระผมเขียนไว้ "คาชี้แจง"
ฉบับที่ 6 อีกด้วยซึ่งเป็นส่วนท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นเรียกว่า"ไคเมียว"ไคเมียวนี้
เมื่อญี่ปุ่นร่างรัฐธรรมนูญใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่2นายพลแมคอาเธอร์ ให้ใช้คาว่าGrvernor
เลียนแบบสหรัฐซึ่งมาตรงกับGovernorซึ่งใช้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดบ้านเราที่จริงตรงกันแต่เฉพาะคาGovernorเท่านั้น
แต่ความหมายต่างกันเพราะของสหรัฐคือState Governorหรือ้ ผู้ว่าการมณฑลรัฐของเราคือProvincialGovernor
หรือผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ก็ทาให้หลายคนเอา Governorที่นายพลแมคอาเธอร์
นามาใช้ในญี่ปุ่นมาอ้างว่าญี่ปุ่นเป็นรัฐเดียวทาไมเลือกตั้ง
21. Governorหรือผู้ว่าราชการจังหวัดได้ เมืองไทยรัฐเดียวเหมือนกันทาไมจะเลือกตั้ง Governor
หรือผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ได้ นี่ก็เป็นความสับสนในถ้อยคาเหมือนกันไคมียวของญี่ปุ่นจะเรียกเป็นคาไทยว่าอะไรก็แล้วแต่
และเขตปกครองของไคเมียวซึ่งเรียกว่า"ฮั่น"จะเรียกเป็นไทยว่าอะไรก็แล้วแต่แต่ตะเรียกผู้ส่าราชการจังหวัดและจังหวัด
ที่เป็นส่วนภูมิภาคอย่างบ้านเรานั้นไม่ได้ ฉะนั้นจึงอ้างคา Governor
ของนายพลแมคอาเธอร์ในญี่ปุ่นมาเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดบ้านเราไม่ได้ เพราะคนละเรื่องกันรวมความว่า
ชาติรัฐเดียวซึ่งเป็นประเทศด้อยพัฒนาไม่สามารถจะยกเลิกส่วนภูมิภาคจึงไม่สามารถจะเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
ซึ่งเป็นผู้บริหารส่วนภูมิภาคที่คุณชูวงศ์ฉายะบุตรกล่าวว่า"ผมยืนยันว่าอีก 100 ปี ก็ไม่ควรเลือกตั้งผู้ว่าฯ"("สยามรัฐ"25
ม.ค. 37) นั้นเป็นคาเปรียบเทียบที่ถูกต้องเพราะถ้าเมืองไทยยังอยู่อย่างนี้ต้องอีกยาวนานมากกว่าจะยกเลิกส่วนภูมิภาคได้
เพราะจะยกเลิกส่วนภูมิภาคได้ จะต้องทาให้ประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาระดับสูง
22. ซึ่งจะต้องเริ่มต้นจากการทาประเทศให้เป็นประชาธิปไตย
เพื่อก้าวจากประเทศด้วยพัฒนาไปสู่ประเทศกาลังพัฒนาและต่อไปเป็นประเทศพัฒนาแต่เราก็ยังไม่ได้เริ่มต้นกันเลย
แม้แต่ในบรรดาผู้เรียกร้องให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่มีใครสักคนที่คิดจะทาประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย
มีแต่คิดจะแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่สร้างประชาธิปไตยซึ่งเป็นการต่ออายุระบอบเผด็จการรัฐสภาเท่านั้น
แล้วเมื่อไหร่เมืองไทยจะเป็นประเทศพัฒนาระดับสูงได้เล่ามาเลเซียเป็นประเทศกาลังพัฒนามา 40กว่าปีแล้ว
เมื่อไม่นานมานี้เขาประกาศว่าจะเป็นประเทศพัฒนาใน35 ปี กระผมคิดว่าถ้าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยเดี๋ยวนี้
อาจจะเป็นประเทศพัฒนาได้เร็วกว่ามาเลเซียเพราะสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรทุกด้าน
ซึ่งหมายความว่าเราจะสามารถยกเลิกส่วนภูมิภาคได้ใน35ปี
แต่ก็ไม่แน่ว่าถึงแม้เมืองไทยจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วสมควรจะยกเลิกส่วนภูมิภาคเพราะขนาดอังกฤษฝรั่งเศสยังไม่ยกเลิก
ฉะนั้นจึงน่าจะเป็นอย่างคาของคุณชูวงศ์ที่กล่าวว่าอีก 100 ปี ก็ไม่ควรเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดมากกว่า
23. กระผมกล่าวไว้ในตอนต้นว่าการโต้เถียงเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดครั้งนี้
ส่วนใหญ่เป็นการโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายการโต้เถียงทางหลักวิชาเป็นส่วนน้อยแต่ควรจะกล่าวไว้ในที่นี้ด้วยว่า
การโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายนั้นเป็นความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองด้วยกัน
ส่วนการโต้เถียงทางหลักวิชาเป็นความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการตัวอย่างเช่นพรรคพลังธรรมเสนอว่า
กาiเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผลดีแก่ประชาชนอย่างไรบ้างเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยอย่างไรบ้าง
จะแก้ปัญหาความยากจนได้ กระทั่งจะแก้ปัญหารัฐประหารได้ทีเดียวนี่คือข้อเสนอทางทฤษฎี
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์และพรรคความหวังใหม่โต้ว่าไม่ใช่นโยบายของรัฐบาลและนะโยบายของพรรคก็มีเพียงใ
ห้กระจายอานาจไปสู่ท้องถิ่นซึ่งเป็นการโต้เถียงทางนโยบายแต่ฝ่ ายข้าราชการอ้างเหตุผลทางหลักวิชาเช่นคุณอารีย์
กล่าวว่าการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการทาลายระเบียบบริ หารราชการแผ่นดินืซึ่งบรรพบุรุษสร้างมาตั้งแต่ตั้งประเทศ
24. และว่าข้อเสนอของนักการเมืองเป็นคนละเรื่องกับของกระทรวงมหาดไทยและคุณชูวงศ์กล่าวว่าอีก 100 ปี
ก็ไม่สมควรเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนอกจากนั้นยังมีข้าราชการการเมือง 2คนเสนอเหตุผลทางหลักวิชาคือพล.อ.ชวลิต
ซึ่งตั้งปัญหาว่าการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นการกระจายอานาจหรือไม่?และผู้ว่าราชการจังหวัดหมายความว่าอะไร?
และคุณบัญญัติแนะให้กลับไปใช้คาว่า"ข้าหลวงประจาจังหวัด"อย่างเดิม("เดลินิวส์"23 ม.ค.37)
ซึ่งนอกจากจะเป็นกาเสนอความเห็นทางหลักวิชาแล้วยังเป็นการยุติปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดด้วยวิธีง่ายๆอี
กด้วยเพราะ"ข้าหลวง"นั้นไม่ว่าจะเป็นข้าหลวงอะไรไม่เป็นตาแหน่งเลือกตั้งแต่เป็นตาแหน่งแต่งตั้งทั้งสิ้น
เหล่านี้คือตัวอย่างของการเสนอเหตุผลทางหลักวิชาโดยข้าราชการทั้งข้าราชการประจาและข้าราชการการเมือง
ทฤษฎีและนโยบายการเมืองจะต้องไม่ขัดต่อหลักวิชาสาหรับหลักวิชาทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ(Natural science)
นั้นขัดไม่ได้อยู่แล้ว
25. เพราะเป็นสัจธรรมที่สอดคล้องกับกฎของปรากฎการณ์ธรรมชาติเช่นวิทยาศาสตร์ว่าด้วยระเบิดปรมณู
ไม่ว่าทฤษฎีและนโยบายประชาธิปไตยเผด็จการหรือคอมมิวนิสต์ที่แตกต่างกันถึงขนาดตรงกันข้าม
ก็ยังต้องใช้หลักวิชาทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอย่างเดียวกับโลกเ
สรีกับโลกคอมมิวนิสต์ต่างก็เอาหลักวิชาระเบิดปรมณูอันเดียวกันไปใช้กับทฤษฎีและนโยบายที่มุ่งจะทาลายล้างกัน
แต่หลักวิชาทางวิทยาศาสตร์สังคม(Social Science) ก็เป็นสัจธรรมเหมือนกัน
ซึ่งทฤษฎีและนโยบายการเมืองที่แตกต่างกันโดยทั่วไปก็ต้องยึดถืออย่างเดียวกัน
เช่นหลักวิชารัฐศาสตร์ว่าด้วยชาติรัฐเดียวหรือหลายรัฐเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือต่างก็ยึดถือว่าชาติตนเป็นชาติรัฐเดียวสหรัฐ
กับสหภาพโซเวียต(เดี๋ยวนี้เป็นจักรภพ)ต่างก็ยึดถือว่าชาติของตนเป็นหลายรัฐเป็นต้นทั้งที่มีทฤษฎีและนโยบายตรงกันข้าม
บรรพบุรุษของเราตั้งชาติสยามขึ้นมาเป็นชาติรัฐเดียวโดยยึดถือหลักวิชาและด้วยทฤษฎีและนโยบายที่สอดคล้องกับหลักวิชา
26. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่เพียงแต่จะทรงมีพระราชประสงค์จะรักษาชาติไทยเท่านั้น
หากยังทรงศึกษาหลักวิชารัฐศาสตร์เป็นอย่างดีด้วยดังพระราชบันทึกของสมเด็จพระปกเกล้าเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมพ.ศ. 2470
ว่า"พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระปรีชารอบรู้ในรัฐประศาสน์ประเพณีการปกครองอย่างที่
นิยมกันอยู่ในทวีปยุโรปได้ทรงศึกษาทราบหลักการโดยตลอด"ฉะนั้น
เมื่อทรงสถาปนาชาติสนามด้วยทฤษฎีและนโยบายที่ถูกต้องเพราะสอดคล้องกับหลักวิชาเป็นอย่างดีดังนี้แล้ว
จึงไม่เพียงแต่ระบบที่ทรงสร้างขึ้นจะมั่นคงถาวรและจีรังยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบันเท่านั้น
หากยังมีประสิทธิภาพในการรักษาชาติไทยให้รอดพ้นจากอุ้งเล็บของลัทธิอาณานิคมได้ด้วยกระทรวงมหาดไทย
มีบทบาทสาคัญในการสถาปนาชาติสยามเพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าฯให้กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่
27. "จัดการปกครองหัวเมืองมห้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อรักษาพระราชอาณาเขต"สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ
พระบิดาของกระทรวงมหาดไทยทรงรับสนองหน้าที่นี้เป็นผลสาเร็จอย่างดียิ่ง
ก็เพราะทรงเป็นปราชญ์ในหลักวิชาทั้งปวงโดยเฉพาะคือหลักวิชารัฐศาสตร์ ซึ่งจาเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติหน้าที่โดยตรง
และข้าราชการกระทรวงมหาดไทยก็ได้รับสืบทอดหลักวิชานี้มาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งมีบุคคลหนึ่งที่กระผมคุ้นเคยและนับถือว่าเป็นชั้นยอดคนหนึ่งในทางหลักวิชารัฐศาสตร์
จึงสามารถช่วยเหลือกระผมได้อย่างมากในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญของจอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์
ซึ่งร่างเดิมเป็นเผด็จการสุดขีดให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ. 2511 ที่ให้เสรีภาพทางการเมืองมากกว่ารัฐธรรมนูญฉบัยปัจจุบัน
เช่นผู้สมัครส.ส.จะสังกัดพรรคก็ได้ไม่สังกัดพรรคก็ได้ เป็นต้น
กล่าวเฉพาะปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดจะเห็นได้จากข้ อเขียนของท่านว่า"ในปัจจุบันนี้
มีบางท่านมีความเห็นว่าสมควรจะให้มีการเลือกตั้งตาแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยให้เหตุผลว่า
28. เพื่อให้การปกครองจังหวัดเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้นเช่นในสหรัฐอเมริกาเรื่องนี้มีข้อที่ควรจะพิจารณาว่า
สหรัฐมิใช่รัฐเดียว(UnitedStates) เช่นประเทศอังกฤษฝรั่งเศสและประเทศต่างๆในยุโรปผู้ว่าการมลรัฐ(State
Governor) ต่างในสหรัฐอเมริกามีฐานะเช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีของประเทศที่เป็นรัฐเดียว---"(จากหนังสือ
"อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพศาสตราจารย์ทวีแรงขา")ซึ่งกระผมคัดลอกไปครั้งหนึ่งแล้วใน"คาชี้แจง"ฉบับที่ 6
บุคคลนั้นคืออดีตอธิบดีกรมการปกครองคุณชานาญยุวบูรณ์ในขณะนี้ทัศนะของคุณอารีย์ก็ดีของคุณชูวงศ์ก็ดี
ก็ยังคงรักษาท่วงทานองสืบทอดหลักวิชาได้เป็นอย่างดีทาให้ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินซึ่งบรรพบุรุษสร้างไว้
ยังคงมีประสิทธิภาพในการรักษาชาติไทยให้พ้นภัยอันตรายซึ่งยังจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อนอกจากนี้คุณสุพรผู้ว่าฯอุดรธานี
กล่าวว่า"ผู้ว่าฯในภูมิภาคเป็นตัวแทนรัฐบาลถ้าเลือกตั้งผู้ว่าฯท้องถิ่นคือนายกอบจ.ก็ไม่ขัดข้องโดยแบ่งปันอานาจให้ชัดเจน
29. ส่วนผู้ว่าฯจังหวัดเลือกตั้งไม่ได้ ไม่มีที่ไหนในโลกเลือกกันเพราะเป็นตัวแทนรัฐบาลกลาง
ขอให้มองว่าบ้านเมืองขณะนี้เป็นอย่างไรไม่ใช่ดูถูกประชาชนแต่ถ้าถามประชาชนว่าต้องการเลือกตั้งผู้ว่าฯหรือไม่
ประชาชนก็ต้องเอาแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร"และคุณประกิตเทพชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี กล่าวว่า
"การเรียกร้องให้เลือกตั้งผู้ว่าฯคงมีอะไรอะไรแบแฝงอย่างแน่นอน
เป็นไปไม่ได้ที่หลังจากการเลือกตั้งผู้ว่าแล้วจะเคลื่อนไหวให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีต่อไปนอกจากนี้
ยังเสียประเพณีการปกครองและอาจเสียดินแดนได้ง่ายขึ้นการเคลื่อนไหวเลือกตั้งในจังหวัดภาคใต้ เช่นปัตตานีนราธิวาส
ยะลาและสตูลเป็นกลลวงต่อไปคงต้องมีการแยกดินแดนอย่างแน่นอนเพราะผู้ว่าฯเลือกตั้งจะเป็นกบฎ" ("มติชน" 30
ม.ค.37) นี่ก็เป็นความเห็นจากจุดทัศนะหลักวิชา...ที่กล่าวกันว่า
ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยคัด้านการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเพราะหลงอานาจนั้นกระผมไม่ออกความเห็น
30. แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าทัศนะของข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่แสดงออกมานั้นหมุนอยู่รอบๆหลักวิชา
กระผมยึดถือข้อนี้เป็นสาคัญเมือทฤษฎีและนโยบายขัดแย้งกับหลักวิชาจะต้องถือเอาหลักวิชาเป็นหลัก
เพราะทฤษฎีและนโยบายนั้นกาหนดขึ้นจากความต้องการของคนจึงเปลี่ยนแปลงได้ และไม่แน่นอนว่าจะถูกต้องเสมอไป
แต่หลักวิชากาหนดขึ้นจากกฎของความจริงแท้(Reality) ที่ดารงอยู่จึงเป็นสัจธรรมที่แน่นอนและถูกต้องเสมอไปฉะนั้น
การโต้เถียงกันทางทฤษฎีและนโยบายจึงมักจะไม่จบยิ่งต่างก็เป็นทฤษฎีและนโยบายที่ไม่ถูกต้องเพราะขัดกับหลักวิชาด้
วยกันด้วยแล้วก็ยิ่งจะบานปลายและความขัดแย้งทางทฤษฎีมีผลร้ายอย่างไรเราไ
ด้เห็นกันอยู่แล้วอย่างน้อยในประเทศกัมพูชาติดกับบ้านเราในปัจจุบันปัญหาร้ายแรงที่สุดของประเทศไทยก็คือความขัดแย้งท
างทฤษฎีนี่เองกระผมขอยกเอาข้อเขียนประโยคแรกใน"คาขี้แจง"ฉบับที่ 9 มาเสนอซ้าในที่นี้ว่า
"ปัญหาเป็นตายของประเทศไทยคือปัญหาความเห็นเรียกเป็นศัพท์บาลีว่าปัญหาทิฏฐิ
31. เรียกเป็นศัพท์สันสกฤตว่าปัญหาทฤษฎีเรียกศัพท์อังกฤษว่า Theoretical problem" ขณะนี้เรามีปัญหาทฤษฎีที่สาคัญ
คือความขัดแย้งในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งควรรีบแก้ไขความขัดแย้งทางทฤษฎีและนโยบายจะแก้ไขได้ด้
วยหลักวิชาเพราะหลักวิชาเป็นเครื่องตัดสินความถูกผิดของทฤษฎี
และนโยบายโดยเฉพาะปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นปัญหาหลักวิชาฉะนั้น
จึงต้องยกระดับทฤษฎีและนโยบายขึ้นสู่หลักวิชาโดยเปลี่ยนการโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบาย
มาเป็นการโต้เถียงทางหลักวิชาคุณถวิลกล่าวว่า"หนังสือราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ 23 ตุลาคม33
พรรคความหวังใหม่ได้เขียนนโยบายไว้ในหมวดสิ่งแวดล้อมว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านกานัน
ตลอดจนผู้ว่าราชการจังหวัด"("ไทยรัฐ"29 มกราคม2537) คุณเด่นโต๊ะมีนา
ก็"ยอมรับว่าพรรคความหวังใหม่ตอนหาเสียงว่าจะให้มีการเลือกตั้
32. งผู้ว่าราชการจังหวัด"(สยามโพสต์25ม.ค.37) แต่หนังสือ"สยามโพสต์"ฉบับเดียวกันเขียนไว้ว่า
พรรคความหวังใหม่ไม่มีนโยบายเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเพียงแต่มีนโยบาย
"จะปรับปรุงการกระจายอานาจจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่นให้มากขึ้น"
และฉบับเดียวกันนี้เขียนไว้ว่าพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายจะให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในระยะ 5ปีแรกและ "สมาพันธ์
ปชต.ถล่มรัฐบาลยับตระบัดสัตย์"("บ้านเมือง" 31 ม.ค.37) ฯลฯกระผมเห็นว่าพรรคและกลุ่มต่างๆ
ไม่ควรจะโต้เถียงกันว่าพรรคตนกลุ่มตนทีหรือไม่มีนโยบายเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
หรือโต้เถียงกันว่าในการเลือกตั้งคนั้งที่แล้วใครใช้นโยบายการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดหาเสียงหรือไม่
เพราะถ้าพรรคใดกลุ่มใดมีนโยบายนี้หรือได้ใช้นโยบายนี้หาเสียงก็เป็นนโยบาบที่ขัดต่อหลักวิชาด้วยกันทั้งนั้น
และถ้าจะนาเอานโยบายที่ขัดกับหลักวิชามาโต้เถียงกันต่อไปก็จะนาไปสู่ความขัดแย้งทางทฤษฎีที่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรง
ฉะนั้นที่คุณบัญญัติกล่าวว่าควรยุติการโต้เถียงเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกั นได้แล้ว
จึงเป็นการเริ่มต้นแก้ไขความขัดแย้งด้วยวิถีที่ถูกต้อง
33. แต่หยุดการโต้เถียงกันเฉยๆก็ไม่แก้ปัญหารและคงจะหยุดไม่ได้ที่ทาได้คือหยุดการโต้เถียงทางนโยบาย
ควรเปลี่ยนมาเป็นการโต้เถียงทางหลักวิชาซึ่งจะไม่เป็นอันตรายเพราะการโต้เถียงทางหลักวิชาก็คือการศึกษารวมกันนั่นเอง
ซึ่งจะจบลงด้วยดีเพราะหลักวิชาเป็นเครื่องตัดสินควาทถูกผิดของนโยบายและทฤษฎี
และนักการเมืองบ้านเราทุกคนอ้างตัวว่าเป็นนักประชาธิปไตยซึ่งจะต้องเคารพต่อหลักวิชาเพราะความเคารพต่อหลักวิชาเป็นคุ
ณสมบัติที่จะขาดเสียมิได้ของนักประชาธิปไตยเพราะหลักวิชาเป็นความถูกต้อง
และความถูกต้องย่อมสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชนเสมอไป
ผู้ไม่เคารพต่อหลักวิชาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะอ้างตัวว่าเป็นนักประชาธิปไตยฉะนั้น
การหยุดโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายแล้วหันมาศึกษาหลักวิชาร่ วมกัน
จึงเป็นวิธีแก้ไขความขัดแย้งในปัญหานี้ที่มีประสิทธิภาพแน่นอน
34. หลักวิชาเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นค่อนข้างยากเพราะเป็นนามธรรมอย่างมาก จึงต้องศึกษาให้ดี
เท่าที่โต้เถียงกันมาแสดงให้เห็นว่าต่างฝ่ายยังไม่รู้พอและถ้าพรรคใดมีนโยบายเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
หรือมีผู้ใดเอานโยบายเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดไปหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วก็ไม่แปลก
เพราะความผิดพลาดบกพร่องในปัญหานี้เป็นของธรรมดาและถ้าพรรคการเมืองกลุ่มการเมืองหรือนักการเมืองยอมรับความผิ
ดพลาดบกพร่องต่อประชาชนก็จะเป็นเกรียติยศอย่างสูงและเป็นที่ชื่นชมยินดีแก่ประชาชนการยืนยันสิ่งที่ผิดจะทาให้ประช
าชนเสื่อมความเชือถือการที่ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยเข้าใจปัญหานี้ได้ดีกว่าผู้อื่นคงไม่ใช่เพราะเหนือกว่าผู้อื่น
แต่เพราะคลุกคลีอยู่กับปัญหานี้มาตลอดบ้านเรามีการโต้เถียงกันเปล่าๆเกิดขึ้นบ่อยๆ
เช่นการโต้เถียงเรื่องพระราชทานอภัยโทษตามที่กระผมเขียนไว้"คาชี้แจง"ฉบับที่ 11 และการโต้เถียงเรื่องก.ตร.
ซึ่งมีการพูดกันถึงการถ่วงดุลระหว่างข้าราชการการเมืองกับข้าราชการประจาดุลแห่งอานาจในแต่ละกระทรวงนั้น
ไม่มีการถ่วงดุลระหว่างเจ้ากระทรวงกับส่วนราชการของกระทรวง
35. เพราะระบบราชการจะต้องขึ้นต่อระบบการเมืองโดยปราศจากเงื่อนไขซึ่งเป็นหลักวิชาที่จะต้องยึกถือกันทุกประเทศ
ไม่ว่าจะมีรูปของการปกครองหรือรูปของรัฐเป็นอย่างใดระหว่างเจ้ากระทรวงกับส่วนราชการในกระทรวงนั้น
เจ้ากระทรวงเป็นผู้ถือดุลไม่ใช่เป็นคู่ถ่วงดุลคู่ถ่วงดุลมีแต่ภายในระบบการเมือง
โดยเฉพาะคือระหว่างอานาจนิติบัญญัติกับอานาจบริหารถ้าจะเอาก.ตร.มาถ่วงดุลกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ก็จะกลายสภาพอนาธิปไตยจึงเห็นได้ว่าการโต้เถียงกันในเรื่องนี้เกิดจากความบกพร่องในหลักวิชาซึ่งเป็น
การโต้เถียงกันเปล่าๆถ้ายกระดับหลักวิชาให้สูงขึ้นการโต้เถียงชนิดนี้ก็จะหมดไป
จึงเป็นการถูกต้องที่ในการโต้เถียงเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดครั้งนี้
บางคนเรียกร้องให้คู่โต้เถียงไปศึกษาวิชารัฐศาสตร์เสียใหม่ซึ่งควรจะเป็นการเรียกร้องต่อตนเองด้วย
เพื่อจะได้เปลี่ยนการโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายมาเป็นการโต้เถียงหลักวิชาก็คือร่วมกันในการเพิ่มพูนการศึกษาห
ลักวิชารัฐศาสตร์ในเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนั่นเองสมัยนี้ไม่มีศาลฎีกาทางหลักวิชา
สมัยก่อนเมื่อเกิดปัญหาทางหลักวิชามี"ท่านวรรณ"เป็นผู้ตัดสิน
36. การโต้เถียงชนิดที่เป็นอยู่อย่างเดี๋ยวนี้จึงไม่ใคร่มีฉะนั้นสมัยนี้จึงต้องศึกษาเอาเองเพื่อตัดสินเองได้
และที่ดีคือศึกษาร่วมกันโดยเปลี่ยนการโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายมาเป็นการโต้เถียงทางหลักวิชาดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ดีกระผมรู้สึกว่าตั้งแต่การโต้เถียงกันครั้งก่อนจนถึงครั้งนี้นักการเมืองมีความก้าวหน้าขึ้นเป็นลาดับ
จะเห็นได้จากข่าวพาดหัวของ"มติชนฯ"29 มกราคม2537 ว่า "ชวนประกาศจุดยืนชัดผู้ว่าฯต้องมาจากการแต่งตั้ง"
และเนื้อข่าวว่า"ชวนเลิกอ้อมแอ้มแล้ว ประกาศเปรี้ยงผู้ว่าฯแต่งตั้งต้องมีอยู่ต่อไปเลิกไม่ได้"และข่าว"ไทยรัฐ" 29
มกราคม2537 ว่า"ส่วนการที่กระทรวงมหาดไทยจะเพิ่มอานาจให้ผู้ว่าฯควบคุมได้ทุกส่วนราชการในจังหวัดนั้นนายถวิล
กล่าวว่าเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นตัวแทนจากส่วนกลางผู้ว่าฯก็ควรจะขึ้นกับสานักนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ขึ้นกับมหาดไทย"
ซึ่งแสดงว่าคุณถวิลก็ยอมรับว่าผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แทนของส่วนกลางคือเป็นผู้แทนของรัฐบาล
37. ส่วนจะขึ้นต่อมหาดไทยหรือต่อสานักนายกก็ค่อยพิจารณากันต่อไปทั้งนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีว่า
จะสามารถยกระดับทฤษฎีและนโยบายในปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดสู่หลักวิชาซึ่งจะแก้ไขความขัดแย้งได้
และกระผมขอย้าว่าปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นปัญหาหลักวิชา
ซึ่งจะต้องใช้ความรู้ในหลักวิชาเป็นทางแก้ไขความขัดแย้งปัญหาหลักวิชานั้นจะใช้สิ่งอื่นนอกจากความรู้มาแก้ปัญหามิได้ เช่น
ไฟฟ้ าในบ้านเสียจะต้องหาช่างไฟฟ้ ามาแก้ ถ้าจะเอาประชามติของคนในบ้านซึ่งไม่มีความรู้ไฟฟ้ ามาแก้
อาจทาให้เกิดการลัดวงจรไฟไหม้บ้านหมดทั้งหลังและถ้าจะเอาประชามติของคนในบ้านมาแก้ไฟฟ้ าประชามตินั้นก็จ
ะต้องมีความรู้ไฟฟ้ าการแก้ไขความขัดแย้งเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องใช้ความรู้วิชารัฐศาสตร์มาแก้ไข
จะใช้มติมหาชนที่ยังไม่รู้วิชารัฐศาสตร์มาแก้ปัญหาได้ไม่อย่างที่ผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่งกล่าวว่าไม่ใช่ดูถูกประชาชนนั้
นถูกแล้วเพราะประชาชนทั่วไปยังไม่รู้วิชารัฐศาสตร์ในเรื่องนี้เขารู้แต่ทฤษฎีและนโยบาย
เช่นถ้าถามประชาชนว่าเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดดีไหม?
38. ก็จะตอบว่าดีแต่มันขัดกับหลักวิชาจึงเป็นทฤษฎีและนโยบายที่ผิดและจะเกิดผลร้ายฉะนั้น
การใช้มติมหาชนมาแก้ไขความขัดแย้งในปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่า
ราชการจังหวัดก็จะเป็นเช่นเดียวกับการใช้ประชามติของคนในบ้านมาแก้ไฟฟ้ าถ้าไม่ใช้ความรู้มาแก้ปัญหาหลักวิชา
ก็จะทาให้ความขัดแย้งทางทฤษฎีในเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกลายเป็นความขัดแย้งที่ร้ายแรงยิ่ง
เพราะโดยเนื้อแท้เป็นความขัดแย้งระหว่างการแบ่งแยกประเทศกับการไม่ยอมแบ่งประเทศ
และระหว่างการเป็นราชอาณาจักรกับการเป็นสาธารณรัฐซึ่งสาหรับประเทศไทยแล้วจะไม่มีความขัดแย้งใดๆที่ยิ่งไปกว่านี้
และถ้าไม่แก้ไขพัฒนาการของมันก็จะมีมิคสัญญีกลียุคเป็นจุดจบแต่ทางเดียวเท่านั้นแต่บางพรรคบางคณะบางกลุ่ม
อาจเห็นว่สมิคสัญญีเป็นทางสร้างประชาธิปไตยเขาจึงต้องการให้ประเทศไทยเกิดมิคสัญญีกลียุคเช่นเดียวกับเกิดส
งครามกลางเมือง10 กว่าปีครั้งที่แล้ว
39. ก็เป็นความจริงที่บางประเทศในบางยุคบางสมัยมิคสัญญีกลียุคเป็นทางสร้างประชาธิปไตย
เช่นมหาปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อศตวรรษที่18 แต่สาหรับประเทศไทยยุคปัจจุบัน
ทางแห่งการสร้างประชาธิปไตยจะต้องเป็นทางสันติและสามัคคีแห่งชาติ
ทางแห่งมิคสัญญีกลียุคนอกจากจะเป็นทางไปสู่ความวินาศย่อยยับแล้วยังจะเป็นทางกระชับระบอบเผด็จการอีกด้วย
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้กระผมจะขอชี้แจงในโอกาสต่อไป...ซึ่งเศรษฐกิจทุนนิยมเริ่มแตกหน่อคือไทย จีนและญี่ปุ่น
ซึ่งได้ทาการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่
อย่างเดียวกันในประเทศไทยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงดาเนินการโดยนาเอาสภาพของยุโรปและไทยมาประกอบกั นด้วยพระปรีชาญาณอันยิ่งยวด
และก่อนที่จะทรงดาเนินการเปลี่ยนแปลงทรงฝากกรมหลวงเทววงศ์วโรปการ
เมื่อครั้งเสด็จเป็นผู้แทนพระองค์ไปร่วมงานรัชกาลครบรอบ๕๐ปี ของสมเด็จพระบรมราชินีวิคเตอเรีย
ให้ทรงทอดพระเนตรการเปลี่ยนแปลงการปกครองในยุโรปเมื่อทรงได้รับรายงานและพิจารณาอย่างสุขุมรอบคอบแล้ว
40. ทรงตกลงพระราชหฤทัยเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยใช้วิธีรวมประเทศแบบรัฐเดียว
ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองส่วนกลางจาก ๖กรมเดิมตั้งเป็น๑๒กระทรวง๖ กรมเดิมคือกรมกลาโหมกรมมหาดไทย
กรมเมือง กรมคลังและกรมนายกเป็นกระทรวงและเพิ่มอีก๖กระทรวงคือกระทรวงการต่างประเทศกระทรวงยุทธนาธิการ
กระทรงยุติธรรมกระทรวงโยธาธิการและกระทรวงมุรธรเป็น๑๒กระทรวง
การปกครองส่วนกลางในหัวเมืองจัดจัดเป็นมณฑลโดยรวบรวมหัวเมืองชายแดน ๕-๖หัวเมืองตั้งเป็นมณฑลหนึ่งโปรดเกล้าฯ
ให้เชื้อพระวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยไปปกครองทลฑลต่อมาจักรูปมณฑลใหม่
เรียกว่ามณฑลเทศาพิบาลโดยรวมหัวเมืองชั้นใน๒-๓หัวเมือง ตั้งเป็นมณฑลหนึ่งทั่วราชอาณาจักร
มีสมหเทศาภิบาลแต่งตั้งจากส่วนกลางเป็นผู้ปกครองแบ่งมณฑลออกเป็นจังหวัดมีข้าหลวงจังหวัด(ผู้ว่าราชการจังหวัด)
เป็นผู้ปกครองแบ่งจังหวัดเป็นอาเภอ มีนายอาเภอเป็นผู้ปกครองแบ่งอาเภอเป็นตาบลมีกานันเป็นผู้ปกครอง
และแบ่งตาบลออกเป็นหมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้านปกครองนี่คือการปกครองส่วนกลางในหังเมือง
41. ซึ่งเรียกว่าเทศาภิบาลหรือProvincial administration ต่อมาเรียกว่าการปกครองส่วนภูมิภาคและอาเภอ
ตาบลและหมู่บ้านรวมกันเรียกว่าการปกครองส่วนท้องที่หรือRural administration และถือเป็นการปกครองครองพื้นฐาน
ในขณะเดียวกันในท้องถิ่นที่เจริญจัดให้มีการปกครองสุขาภิบาลซึ่งเป็นการปกครองท้องถิ่นหรือLocal administration
อย่างยุโรปการปกครองท้องที่ในส่วนของกานันผู้ใหญ่บ้านและการปกครองท้องถิ่นมีความมุ่งหมายตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ
เพื่อฝึกหัดทดลองประชาธิปไตยแก่ประชาชนกานันผู้ใหญ่บ้านนั้นแม้ว่าจะอยู่ในการปกครองส่วนภูมิภาค
แต่กาหนดให้เป็นผู้แทนของประชาชนร่วมทากับข้าราชการระััดับอาเภอ ซึ่งเป็นผู้แทนของของรัฐบาล
และให้มีการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนเมื่อเลือกตั้งแล้วต้องได้รับการแต่งตั้งได้รับหมายตั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัด
และประชาชนถอดผู้ใหญ่บ้านได้ส่วนกานันเลือกตั้งโดยผู้ใหญ่บ้าน
การปกครองท้องถิ่นคือการปกครองตนเองของประชาชนในขอบเขตที่แน่นอนที่ปฏิบัตกันอยู่ในอารยะประเทศ
42. ในการปฎิบัติพระราชกรณียกิจสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีแผนพระราชดาริจะขยายการใชพระราชบัญญัติสุขาภิบาลออกไปทั่วประเทศเพื่อฝึกหัดอบรมประชาธิปไตยแก่ประชาชน
โดยเฉพาะคือการเลือกตั้งแบประชาธิปไตยต้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง
โดยรวมเขตแคว้นและหัวเมืองฟิวดัลให้เข้ามาอยู่ภายใต้นครหลวงอันเดียวกัน
ไม่กระจัดกระจายกันอยู่หรือขึ้นต่อนครหลวงอย่างหลวมๆเหมือนแต่ก่อน
กระบวนการนี้คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงรัฐแบบเก่าหรือรัฐฟิวดัล
มาเป็นรัฐแบบใหม่หรือรัฐแห่งชาติก็คือกระบวนการรวมประเทศรวมราชอาณาจักรรวมชาติหรือก่อตั้งกอตั้งชาติ(Nation)
ซึ่งเป็นเงื่อนไขอันจาเป็นของพัฒนาการของระบบทุนนิยมนั่นเองการรวมชาติหรือรวมประเทศกล่าวโดยทั่วไปมี ๒วิธี
คือวิธีรัฐเดียว(Unitarystate)และวิธีหลายรัฐ(Multi-state)อย่าง
43. อังกฤษฝรั่งเศสสะแกนดิเนเวียใช้วิธีรัฐเดียวอย่างเช่น— กับวัจนาพรพันธุมะโนแบบประชาธิปไตย
ทรงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ปรับปรุงพระราชบัญญัติสุขาภิบาลให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
และให้เปลี่ยนชื่อเป็นพระราชบัญญัติเทศบาลกาลังออกกฎหมายฉบับนี้อยู่แล้วก็เกิดการยึดอานาจ๒๔มิถุนายนเสียก่อน
และคณะราษฎรนามาแก้ไขเพิ่มเติมประกาศใช้ นี่คือสาระสาคัญของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของพระบาทสม
เด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ๑๐๐ปีก่อน ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงบ้างในส่วนปลีกย่อย
เช่นยกเลิกมณพลเทศาภิบาลใช้จังหวัดแทนมณฑลขยายการปกครองส่วนท้องถิ่นออกไปเป็นองค์การปกครองบริหาร
ส่วนจังหวัดและตั้งสภาตาบลเป็นต้นแต่หลักการคงเดิมภายใต้หลักการพื้นฐานคือยกเลิกรัฐเจ้าครองน
ครหรือฟิวดัลสถาปณารัฐแห่งชาติในรูปรัฐเดียวโดยเฉพาะใกล้เคียงที่สุดกับฝรั่งเศส
44. อันที่จริง ตามสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และสังคมของประเทศไทยมีเงือนไขที่จะรวมประเทศเป็นแบบหลายรัฐได้
เพราะกรุงรัตนโกสินทร์

More Related Content

More from Thongkum Virut

ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
Thongkum Virut
 
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน   อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน   อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
Thongkum Virut
 

More from Thongkum Virut (20)

งานวิจัย
งานวิจัยงานวิจัย
งานวิจัย
 
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
ลัทธิชาตินิยม(Nationalism)
 
All10
All10All10
All10
 
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทย
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทยบิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทย
บิดาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทย
 
ข้าว
ข้าวข้าว
ข้าว
 
การปกครองของไทยในสมัยโบราณ
การปกครองของไทยในสมัยโบราณการปกครองของไทยในสมัยโบราณ
การปกครองของไทยในสมัยโบราณ
 
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน   อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน   อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
หนังสือ ความขัดแย้งของการปฏิวัติ กับ ปัญหาของปัญญาชน อันโตนิโย กรัมชี - สมบ...
 
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓
หนังสือ คอลัมน์ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เล่ม ๓
 
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...
หนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ทรงโต้แย้งเค้าโคงเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์(ฉบ...
 
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริ
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริหนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริ
หนังสือ ไม้ขีดก้านเดียวทีเปลียนสังคมเกาหลี จรรยา ยิ้มประเสริ
 
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่
หนังสือ ดร ซุนยัดเซ็น ประวัติการต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่
 
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทรประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
ประวัติย่อของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
 
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์
ยูโทเปีย ของ ทอมัส มอร์
 
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการ
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการสหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการ
สหภาพแรงงานในระบอบเผด็จการ
 
ประวัติรัฐหวู
ประวัติรัฐหวูประวัติรัฐหวู
ประวัติรัฐหวู
 
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกเหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก
เหล่าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก
 
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...
ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องที่ดิน มีเรื่องเดียว คือ การปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ ...
 
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตยเรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
 
คู่ขัดแย้งในสังคมไทย
คู่ขัดแย้งในสังคมไทยคู่ขัดแย้งในสังคมไทย
คู่ขัดแย้งในสังคมไทย
 
ระบอบเผด็จการรัฐสภา
ระบอบเผด็จการรัฐสภาระบอบเผด็จการรัฐสภา
ระบอบเผด็จการรัฐสภา
 

นายประเสริฐ ชี้แจงปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่า (2)

  • 1. นายประเสริฐชี้แจง :ปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น"ปัญหาหลักวิชา"ถ้าไม่ยึดถือ 1. ปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นปัญหาหลักวิชาถ้าไม่ยึดถือจะนาประเทศไปสู่มิคสัญญี คาปรารภ 2. ในการปกครองประเทศไม่เพียงแต่จะต้องใช้ทฤษฎีและนโยบายเท่านั้นหากยังจะต้องใช้หลักวิชาด้วยเมื่อไม่นานมานี้ มีการโต้เถียงทางหลักวิชากันครั้งหนึ่งในเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด การโต้เถียงนี้เกิดขึ้นอีกในช่วงปลายเดือนมกราคมแต่ส่วนสาคัญเป็นการโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายเช่นนายแพทย์เหวง โตจิราการกล่าวว่า"อยากจะฝากไปถึงพรรคประชาธิปัตย์และพรรคความหวังใหม่ว่าไม่ทราบว่าเขาจะแกล้งลืม หรือเจตนาจะลืมว่าในระหว่างที่มีการหาเสียงกันนั้นเมื่อการเลือกตั้งที่ผ่านมาได้เคยให้คามั่นสัญญากับประชาชนไว้ว่า หลังจากที่พรรคได้รับการเลือกตั้งเข้าไปจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ จะดาเนินการในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ("บ้านเมือง 24 มกราคม2537) นายถวิลไพรสณฑ์กล่าวว่า"เรื่องนี้เป็นนโยบายของพรรคเพราะเป็นนโยบายของพรรคแล้ว เราจะไม่ใช้เฉพาะตอนหาเสียงเท่านั้นแต่จะต้องใช้ตลอดไป"("บ้านเมือง 24 มกราคม2537") 3. พล.ต.สนั่นขจรประศาสน์กล่าวว่า"เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ตกลงกันว่าจะเลือกตั้งผู้ว่าฯ เพียงแต่ตกลงกันว่าจะกระจายอานาจไปสู่ท้องถิ่นเท่านั้น"("บ้านเมือง 24 มกราคม2537") พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธกล่าวว่า "เป็นนโยบายของพรรคพลังธรรมแต่นโยบายของรัฐบาลไม่ได้เขียนไว้"("เดลินิวส์ 23 มกราคม2537") นี่คือตัวอย่างของการโต้เถียงทางนโยบายซึ่งเป็นส่วนสาคัญของการโต้เถียงครั้งนี้อีกด้านหนึ่งในการโต้เถียงครั้งนี้ ฝ่ ายรัฐบาลใช้ทัศนคติแตกต่างกับครั้งก่อนครั้งก่อนฝ่ ายรัฐบาลแบ่งรับแบ่งสู้ เช่นแสดงการเห็นด้วยกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ยังไม่ถึงเวลาเป็นต้นแต่ครั้งนี้ใช้ทัศคติปฏิเสธเด็ดๆขาดๆ เช่นพาดหัวข่าว"เดลินิวส์"23 มกราคม2537 ว่า 4. "เลือกตั้งผู้ว่าแท้งเสียแล้วจิ๋ว-ปชป.พร้อมใจไม่เอาอ้างไม่ใช่นโยบายรัฐบาล"แต่ในการโต้เถียงกันครั้งนี้ ก็มีร่องรอยของหลักวิชาการอยู่บ้างเหมือนกันเช่นคุณอารีย์วงศ์อารยะกล่าวว่า"ขณะมีสิ่งที่มีการพูดกันเรื่องเลือกตั้งผู้ว่าฯนั้น เป็นคนละประเด็นเป็นการพูดตรงข้ามกับกฎหมายและระเบียบบริหารราชการแผ่นดินที่มีอยู่ในขณะนี้ เรากาลังพูดกันคนละเรื่องเพราะถ้าเป็นเช่นที่มีการเรียกร้องนั้นก็หมายถึงเราต้องล้มเลิกระเบียบราชการแผ่นดิน ซึงบรรพบุรุษสร้างกันมาตั้งแต่เริ่มตั้งประเทศ""ระเบียบราชการแผ่นดินซึ่งบรรพบุรุษสร้างกันมาตั้งแต่เริ่มตั้งประเทศ" ก็คือระเบียบของชาติรัฐเดียวซึ่งพระบาทสมเด็กพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างขึ้นบนพื้นฐานของสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมของประเทศไทย ในการเปลี่ยนแปลงรัฐเจ้าครองนคร(Feudal state)
  • 2. 5. มาเป็นรัฐแห่งชาติ (National state) เมื่อพ.ศ.2435 ซึ่งเป็นปัญหาหลักวิชา หัวใจของหลักวิชาในปัญหาในการเลือกตั้งผู้ว่าฯในประเทศที่โต้เถียงกันอยู่ก็คือปัญหาชาติรัฐเดียว(Unitary-state nation) หรือชาติหลายรัฐ(Multi-state nation) นี่เองซึ่งครั้งก่อนพล.อ.ชวลิต และนักวิชาการบางคนยกขึ้นมาพูดกันมาก แต่ครั้งนี้ไม่ใคร่จะพูดถึงจะมีการพูดถึงบ้างก็เป็นส่วนปลีกย่อยของปัญหาหลักวิชาเช่นพล.อ.ชวลิตกล่าวว่า "ไม่ได้ขัดแย้งกัน(กับพรรคพลังธรรม)เพียงแต่ไม่ได้พูดถึงความหมายของคาว่าผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งมีการตีความกันไปคนละความหมายผู้ว่าราชการจังหวัดปกครองส่วนภูมิภาคและจะเอาผู้ว่าฯไปปกครอ งส่วนท้องถิ่นได้อย่างไรและการเลือกตั้งผู้ว่าฯจะเป็นการกระจายอานาจหรือไม่นั้นก็ต้องตีความกันมิฉะนั้น จะทาให้เกิดความเสียหาย("บ้านเมือง"24ม.ค. 37) 6. นี่เป็นส่วนหนึ่งของหลักวิชาคือการกระจายอานาจคืออะไร?การเลือกตั้งผู้ว่าฯเป็นการกระจายอานาจหรือไม่?ทั้ง2 ปัญหานี้กระผมจะขอชี้แจงภายหลังเพราะค่อนข้างยาวนายแพทย์เหวงกล่าวว่า "ในนโยบายรัฐบาลแถลงต่อสภานั้นได้พูดไว้ชัดเจนว่าจะให้มีการเลือกตั้งทุกระดับในส่วนการบริหารท้องถิ่น ซึ่งการเลือกตั้งผู้ว่าฯนั้นก็หมายถึงเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นในระดับจังหวัด แต่มีการแปรไปว่าไม่ใช่เป็นการเลือกตั้งผู้บริหารส่วนท้องถิ่นขอให้เปิดดูนโยบายที่แถลงไว้เมื่อวันเข้ารับหน้าที่บริหารประเทศว่ า รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการเลือกตั้งทุกระดับชั้นก็แสดงว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯก็เป็นนโยบายของรัฐบาลด้วย"("บ้านเมือง" 24 ม.ค.37) นี่ก็เป็นปัญหาหลักวิชาคือว่านโยบายของรัฐบาลที่เขียนไว้ว่าจะให้มีการเลือกตั้งทุกระดับในส่ว นการบริหารท้องถิ่นนั้นถูกต้องตามหลักวิชาแต่การถือเอาว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯหมายถึงการเลือกตั้งผู้บริหารท้อ งถิ่นระดับจังหวัด 7. และนโยบายรัฐบาลที่ว่าสนับสนุนการเลือกตั้งทุกระดับหมายถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯก็เป็นนโยบายของรัฐบาลด้วยนั้น ไม่ชอบด้วยหลักวิชาและเป็นการเอาส่วนท้องถิ่นกับส่วนภูมิภาคไปปะปนกันส่วนภูมิภาคคือจังหวัดอาเภอตาบล และหมู่บ้าน(แต่ก่อนมีมณฑลยุบหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน)ส่วนท้องถิ่นคือมหานครนคร เมือง เขตอื่นที่เป็นเทศบาลและสุขาภิบาลองค์การบริหารส่วนจังหวัดและสภาตาบล(แต่ก่อนมีองค์การบริหารส่วนตาบลด้วย) จะต้องไม่เอาส่วนภูมิภาคกับส่วนท้องถิ่นไปปะปนกันนโยบายของรัฐบาลให้เลือกตั้งผู้บริหารส่วนท้องถิ่นเท่านั้น ไม่เลือกตั้งผู้บริหารส่วนภูมิภาคซึ่งถูกต้องตามหลักวิชาแล้วนายแพทย์เหวง กล่าวว่า "ตามที่บางคนในกระทรวงมหาดไทยพูดว่าทาลายระบอบเก่าๆของบรรพบุรุษซึ่งตนคิดว่าเป็น"เจตนาที่ต้องการหาเรื่อง" 8. ซึ่งจริงๆแล้วการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเท่ากับผลักดันให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าบ้านเมืองเราเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว คงไม่สามารถที่จะกลับไปปกครองแบบเวียงวังคลังนา หรือจตุสดมภ์เหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว ซึ่งหากจะรักษาของเก่าตามที่ออกมาพูดกันก็จะต้องกลับไปปกครองแบบนั้นเพราะฉะนั้นคนที่พูด
  • 3. ขอให้กลับไปเรียนวิชารัฐศาสตร์เสียใหม่"("บ้านเมือง" 24 ม.ค.37) และคุณถวิลกล่าวว่า "ในเรื่องนี้ตนอยากจะถามกลับไปยังพวกมหาดไทยว่าหากเป็นอย่างนี้ต้องกลับไปปกครองในระบบจตุสดมภ์มีระบบเวียงวัง คลัง นาซึ่งเป็นระบบเก่าเช่นเดียวกันและก็ในสมันก่อนเป็นการปกครองระดัยมีมณฑล จนคิดว่าข้าราชการกระทรวงมหาดไทยคงจะไม่มีทางออกแล้วที่จะมาโต้แย้งเรื่องนี้จึงได้ไปเอาเรื่องนี้มา เช่นการบอกว่าเป็นการล้างระบบเก่า"(จากฉบับเดียวกัน)นี่คือปัญหาหลักวิชาอย่างหนึ่ง ที่ว่าระบบจตุสดมภ์เป็นระบบเก่านั้นถูกแล้วซึ่งรัชกาลที่๕ทรงยกเลิกและใช้ระบบใหม่แทนและใช้มาจนถึงปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงบ้างในส่วนปลีกย่อยเท่านั้นเช่นยกเลิกมณฑลขยายส่วนท้องถิ่นให้กว้างขวางออกไป และมีการเพิ่มเติมถ้อยคา 9. เช่นนาคาว่าส่วนกลางส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นมาใช้ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายนเป็นต้น ที่คุณอารีย์กล่าวถึงระเบียบที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นก็คือระเบียบที่รัชกาลที่ ๕ทรงสร้างนั่นเองซึ่งเป็นระบบใหม่ ไม่ใช่ระบบเก่า สมเด็จพระปกเกล้าทรงบันทึกไว้ว่า"การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากแบบเดิมเป็นตั้งกระทรวงเป็น 12 กระทรวงนี้ ต้องนับว่าเป็นการเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงซึ่งเรียกได้อย่างพูดกันธรรมดาว่า"พลิกแผ่นดิน" ถ้าจะเรียกตามภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า"เรโวลูชั่น"ก็เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงรัฐเจ้าครองนคร(feudal state) ซึ่งเป็นรัฐแบบเก่า มาเป็นรัฐแห่งชาติ(National state) ซึ่งเป็นรัฐแบบใหม่ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันนั่นเอง ระบบใหม่ซึ่งรัชกาลที่๕ทรงสร้างขึ้นด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างเรโวลูชั่นและยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ ถูกต้องตามหลักวิชารัฐศาสตร์ซึ่งจะต้องใช้ต่อไปโดยไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงในหลักการสาคัญได้ 10. นอกจากแก้ไขปรับปรุงในส่วนปลีกย่อยเท่านั้นการเลือกตั้งผู้ว่าฯเป็นการเปลี่ยนแปลงในหลักการสาคัญ ซึ่งจะนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงจากชาติรัฐเดียวเป็นชาติหลายรัฐและขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ว่า "ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้"กระผมเขียนไว้ใน"คาชี้แจง"ฉบับที่ 6 ว่า"การเลือกตั้งผู้ว่าฯ คือการแบ่งแยกราชอาณาจักร"เพราะสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมของประเทศไทย กาหนดให้ประเทศเป็นชาติรัฐเดียวจะเป็นชาติหลายรัฐมิได้ ระบบใหม่ซึ่งรัชกาลที่ ๕ทรงสร้างขึ้นนั้น แบ่งการบริหารหรือการปกครองออกเป็น3ส่วนซึ่งเรียกตามศัพท์ปัจจุบันว่าส่วนกลาง(Central) ส่วนภูมิภาค(Provincial) และส่วนท้องถิ่น(Local) ซึ่งเป็นไปตามแบบชาติรัฐเดียวของนานาประเทศและมีอีกส่วนหนึ่งสังกัดส่วนภูมิภาค เรียกว่าส่วนท้องที่(Rural) ซึ่งในปัจจุบันบางประเทศมี บางประเทศไม่มีแล้วแต่ระดับพัฒนาการของแต่ละประเทศ 11. บ้านเรามักมีการปะปนและสับสนระหว่างส่วนภูมิภาคกับส่วนท้องถิ่ นดังเช่นคาของบางคนที่ยกมาข้างต้น. ตามหลักทั่วไปการบริหารชาติรัฐเดียวแบ่งออกเป็น2 ส่วนเท่านั้นคือส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นหรือCentral กับLocal เพราะส่วนภูมิภาคหรือProvincial เป็นสาขาหรือตัวแทนของส่วนกลางและส่วนท้องที่หรือRural สังกัดอยู่มนส่วนภูมิภาค
  • 4. ส่วนกลางไม่ต้องพูดถึงก็ได้ เพราะไม่มีอะไรสับสนก็คือกระทรวงนั่นเองส่วนภูมิภาคแต่ก่อนระดับสูงสุดคือมณฑล เมื่อยกเลิกมณฑลจังหวัดเป็นระดับสูงสุดซึ่งเรียกในภาษาอังกฤษว่า Provence เมื่อมีมณฑลเรียกมณฑลว่าProvence เมื่อยกเลิกมณฑลก็เรียกจังหวัดว่าProvence คาว่าProvence จึงแปลว่ามณฑลก็ได้ แปลว่าจังหวัดก็ได้ เพราะหมายถึงระดับสูงสุดของส่วนภูมิภาคระดับถัดลงมาคือาเภอDistrictถือว่าเป็นระดับล่างสุดของส่วนภูมิภาค 12. แต่อาเภอยังแบ่งซอยลงไปเป็นตาบลและหมู่บ้านซึ่งรวมกันจัดเป็นส่วนหนึ่งต่างหากเรียกว่าส่วนท้องที่ Rural ส่วนท้องที่ไม่ใช่ระดับล่างสุดของส่วนภูมิภาคแต่สังกัดส่วนภูมิภาค ไม่ใช่สังกัดส่วนท้องถิ่นและถือว่าส่วนท้องที่เป็นการปกครองพื้นฐานจึงเห็นได้ว่าส่วนทั้งหมดเหล่านี้รวมกัน กล่าวโดยหลักทั่วไปจัดเป็นส่วนหนึ่งคือส่วนกลางหรือCentral สาหรับส่วนท้องถิ่นหรือLocal นั้น เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก เดิมเรียกว่าสุขาภิบาลหรือMunicipality รัชกาลที่๗ทรงเปลี่ยนชื่อเป็นเทศบาล ขณะกาลังจะตราเป็นกฎหมายก็เกิดยึดอานาจ24 มิถุนายนเสียก่อนคณะราษฎรจึงตราเป็นกฎหมายเทศบาล ส่วนสุขาภิบาลก็ยังมีอยู่ถือเป็นระดับล่างของเทศบาลและจัดระดับเทศบาลเป็นนครเมือง และตาบล ปัจจุบันเพิ่มระดับมหานครเป็นระดับสูงสุดคือกรุงเทพมหานคร และตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดกับสภาตาบลเพิ่มขึ้นในส่วนท้องถิ่นด้วย และครั้งหนึ่งเคยตั้งองค์การบริหารส่วนตาบลขึ้นในส่วนท้องถิ่นแต่ล้มเหลว 13. ส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นนั้นเป็นคนละส่วนโดยสิ้นเชิงจึงแตกต่างกันทั้งในลักษณะความมุ่งหมายหน้าที่และภาระกิจ เช่นผู้บริหารส่วนภูมิภาคซึ่งเป็นสาขาของส่วนกลางมาจากการแต่งตั้งผู้บริหารส่วนท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งนี่เป็นหลักวิชา ไม่ใช่ทฤษฎีหรือนโยบายฉะนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดจึงต้องแต่งตั้งเลือกตั้งได้ และผู้ว่าราชการมหานครต้องเลือกตั้ง แต่งตั้งไม่ได้ (เว้นแต่ในสถานการณ์คับขัน)เช่นเดียวกับผู้บริหารส่วนท้องถิ่นอื่นๆต้องเลือกตั้งทั้งสิ้น ดูเหมือนจะมีผู้สงสัยเป็นอันมากว่าทาไมผู้บริหารส่วนภูมิภาคโดยเฉพาะคือผู้ว่าราชการจังหวัดจึงเลือกตั้งไม่ได้ และทาไมผู้บริหารส่วนท้องถิ่นเช่นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและนายกเทศมนตรีต่างๆจึงต้องเลือกตั้ง ตาแหน่งแต่งตั้งกับตาแหน่งเลือกตั้งนั้นแตกต่างกันในความเป็นผู้แทน ว่าเป็นผู้แทนของส่วนกลางหรือเป็นผู้แทนของส่วนท้องถิ่นผู้แทนของส่วนกลางก็คือผู้แทนของรัฐบาล ผู้แทนของส่วนท้องถิ่นถือกันว่าเป็นผู้แทนของประชาชนเป็นผู้แทนของใครผู้นั้นก็เป็นผู้แต่งตั้งเป็นผู้แทนของรัฐบาล รัฐบาลก็แต่งตั้งเป็นผู้แทนของประชาชนประชาชนก็แต่งตั้งแต่ประชาชนแต่งตั้งนั้นเป็นการพร้อมใจกันแต่งตั้ง 14. ซึ่งเรียกว่าเลือกตั้งฉะนั้นตาแหน่งเลือกตั้งก็คือตาแหน่งแต่งตั้งโดยประชาชนนั่นเองฉะนั้น เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แทนของรัฐบาลรัฐบาลจึงเป็นผู้แต่งตั้งจะให้ประชาชนแต่งตั้ง(พร้อมใจกันแต่งตั้ง)ได้อย่างไร และเมื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหรือนายกเทศมนตรีต่างๆเป็นผู้แทนของประชาชน
  • 5. ก็ต้องให้ประชาชนแต่งตั้ง(พร้อมใจกันแต่งตั้ง)จะให้รัฐบาลแต่งตั้งได้อย่างไร.. ถ้ากระผมจะให้ใครไปทาธุระอะไรแทนกระผมสักอย่างกระผมก็ต้องแต่งตั้งผู้แทนของกระผม กระผมจะให้คนทั้งหลายเลือกตั้งใครมาเป็นผู้แทนของกระผมได้อย่างไรเวลานี้ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ มีคนเรียกร้องไม่ให้รัฐบาลแต่งตั้งผู้แทนของรัฐบาลในจังหวัดต่างๆแต่จะให้ประชาชนแต่งตั้งรัฐบาล 15. คือให้ประชาชนพร้อมใจกันแต่งตั้งผู้แทนของรัฐบาลซึ่งเรียกว่าเลือกตั้งก็คือให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด การกระทาเช่นนี้ก็คือการยกเลิกฐานะของผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นผู้แทนของรัฐบาล ในขณะเดียวกันผู้แทนของประชาชนในจังหวัดนั้นๆก็ยังมีอยู่คือนายกเทศมนตรี ฉะนั้นเมื่อผู้ว่าฯไม่ได้เป็นผู้แทนของรัฐบาล เพราะรัฐบาลไม่ได้แต่งตั้งตาแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดก็จะเป็นตาแหน่งอิสระจากรัฐบาลและไปเป็นคู่กับนายกเทศมนตรี ซึ่งต่างก็เป็นตาแหน่งเลือกตั้งทาให้จังหวัดนั้นๆกลายเป็นรัฐหนึ่งไปโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นส่วนกลาง และนายกเทศมนตรีเป็นส่วนท้องถิ่นและผู้ว่าราชการจังหวัดที่เลือกตั้งนั้นเป็นประมุขของรัฐนั้นๆไปจึงเห็นได้ว่า ถ้ามีการเลือกตั้งส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นถ้ามีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดแลันายกเทศมนตรี (จะเรียกว่าผู้ว่าราชการนครหรือผู้ว่าราชการเมืองก็ได้)ก็จะทาให้จังหวัดนั้นๆเปลี่ยนแปลงเป็นอีกรัฐหนึ่งอย่างเป็นไปเอง ไม่มีทางจะเป็นอื่นไปได้ 16. แต่ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขถ้าจังหวัดต่างๆกลายเป็นแต่ละรัฐ ประมุขของรัฐซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าเพราะเลือกตั้งมาก็มีแนวโน้มอย่างมากที่จะไม่ขึ้นต่อพระมหากษัตริย์ต่างกับมาเลย์เซีย ซึ่งรัฐที่เลือกตั้งผู้ว่าราชการมีเพียง2รัฐนอกนั้นเป็นสุลต่านทั้งสิ้นจึงไม่กระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ฉะนั้น ตามที่มีผู้กล่าวว่าถ้าเมืองไทยเลือกตั้งผู้ว่าราชดารจังหวัดก็จะนาไปสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศไทยไป จึงเป็นคากล่าวที่มีความเป็นไปได้อย่างสูงฉะนั้นที่กระผมเขียนไว้ใน"คาชี้แจง"ฉบับที่ 6 ว่า "การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ใช่เป็นการกระจายอานาจแต่เป็นการแบ่งแยกราชอาณาจักร"นั้นยังน้อยไป ควรกล่าวว่าเป็นการแยกประเทศและยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริ ย์จะถูกต้องกว่า 17. ตั้งแต่มีการตั้งตาแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครขึ้นมาเกิดมีความสับสนปะปนและเข้าใจผิดในปัญหาถ้อยคา มีคนสงสัยว่าเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้ ทาไมเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดอื่นไม่ได้? เขานึกว่าผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครนั้นเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเช่นเดียวกับผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นต้น เดี๋ยวนี้"จังหวัดกรุวเทพมหานคร"หรือ"จังหวัดพระนคร"ไม่มีแล้วมีแต่ "กรุงเทพมหานคร"หรือ"มหานครกรุงเทพ" "จังหวัดกรุงเทพมหานคร"หรือ"จังหวัดพระนคร"เป็นส่วนภูมิภาคแต่ "กรุงเทพมหานคร"หรือ"มหานครกรุงเทพ" เป็นส่วนท้องถิ่นเรายกเลิกจังหวัดหรือProvidenceในกรุงเทพเหลือแต่นครหรือCityหรือมหานครหรือGreat City
  • 6. 18. ก็คือยกเลิกส่วนภูมิภาคในกรุงเทพทาให้กรุงเทพเหลือแต่ส่วนท้องถิ่นฉะนั้นผู้บริหารส่วนภูมิภาคในกรุงเทพจึงไม่มี มีแต่ผู้บริหารส่วนท้องถิ่นในกรุงเทพเท่านั้นเรียกว่า"ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร"แต่ในนครศรีธรรมราชในนนทบุรี ฯลฯ เราไม่ได้ยกเลิกส่วนภูมิภาคจึงยังมีจังหวัด(province) และมีเมือง(Town) ซึ่งเป็นส่วนท้องถิ่นอยู่กับส่วนภูมิภาคฉะนั้น จึงมีทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกเทศมนตรีเมืองทั้ง2'ตาแหน่งในกรุงเทพเราเอาคาว่า"ผู้ว่าราชการ" มาใช้กับมหนครภายหลังที่ได้ยกเลิกจังหสัดไปแล้วแต่ผู้คนยังเคยชินอยู่กับคาว่า"ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนคร" หรือ "ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร"จึงเกิดเข้าใจผิดว่า"ผู้ว่าราชการมหาคร"กับ"ผู้ว่าราชการจังหวัด"เป็นสิ่งเดียวกัน แต่ความจริงแล้วถึงแม้จะใช้คาว่า"ผู้ว่าราชการ"คาเดียวกันแต่ต่างกันในหลักการ"ผู้ว่าราชการจังหวัด" เป็นผู้บริหารส่วนภูมิภาค"ผู้ว่าราชการมหานคร"เป็นผู้บริหารส่วนท้องถิ่นบางทีเรื่องมหญ่โตโต้เถียงกันเกือบตาย เกิดจากความสับสนในถ้อยคาเพียงคาเดียวเท่านั้นเอง 19. บางคนที่เข้าใจความแตกต่างระหว่างส่วนภูมิภาคกับส่วนท้องถิ่นแต่อยากให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด โดยทาให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บริหารส่วนท้องถิ่นอย่างผู้ว่าราชการกทม.จึงอยากให้ยกเลิกส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ โดยอ้างว่าเขาไปดูต่างประเทศมามากไม่มีส่วนภูมิภาคมีแต่ส่วนท้องถิ่นเวลานี้เรายกเลิกส่วนภูมิภาคในเมืองหลวง เพียงแห่งเดียวแต่ก็กล้อมแกล้มเต็มทีเพราะแม้แต่ใน"กรุงเทพมหานคร"แถวหนองจอกตลิ่งชันก็ยังมีผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นเศษเดนของส่วนท้องที่สังกัดส่วนภูมิภาคยิ่งในหัวเทืองด้วยแล้วท้องที่หรือชนบทหรือRural ยิ่งเป็นฝ่ ายครอบงา ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของประเทศด้อยพัฒนาดูสุราษฎร์ธานีบ้านกระผมส่วนท้องที่เต็มไปหมดหัวเมืองอื่นก็ทานองเดียวกัน แล้วจะไปยกเลิกส่วนภูมิภาคในหัวเมืองได้อย่างไรประเทศพัฒนาไม่จาเป็นต้องมีส่วนภูมิภาค แต่ประเทศพัฒนาบางประเทศก็ยังรักษาส่วนภูมิภาคไว้ 20. เพราะถือว่าเหมาะสมกับประเทศของเขาเช่นประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสญี่ปุ่นไม่มีส่วนภูมิภาค เพราะนอกจากจะเป็นประเทศพัฒนาระดัยสูง1ใน 7 ประเทศที่รวยที่สุดในโลกซึ่งความเจริญแผ่ไปทั่วประเทศ นครและเมืองเป็นฝ่ ายครอบงาชนบทแทบจะไม่มีเหลือแล้วหัวเมืองต่างๆยังมีลักษณะการปกครองตนเองทางวัฒนธรรม (Cultural automomous) ซึ่งเป็นจารีตประเพณีสืบทอดมาจากสมัยเจ้าครองนคร(Feudal) ตามที่กระผมเขียนไว้ "คาชี้แจง" ฉบับที่ 6 อีกด้วยซึ่งเป็นส่วนท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นเรียกว่า"ไคเมียว"ไคเมียวนี้ เมื่อญี่ปุ่นร่างรัฐธรรมนูญใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่2นายพลแมคอาเธอร์ ให้ใช้คาว่าGrvernor เลียนแบบสหรัฐซึ่งมาตรงกับGovernorซึ่งใช้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดบ้านเราที่จริงตรงกันแต่เฉพาะคาGovernorเท่านั้น แต่ความหมายต่างกันเพราะของสหรัฐคือState Governorหรือ้ ผู้ว่าการมณฑลรัฐของเราคือProvincialGovernor หรือผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ก็ทาให้หลายคนเอา Governorที่นายพลแมคอาเธอร์ นามาใช้ในญี่ปุ่นมาอ้างว่าญี่ปุ่นเป็นรัฐเดียวทาไมเลือกตั้ง
  • 7. 21. Governorหรือผู้ว่าราชการจังหวัดได้ เมืองไทยรัฐเดียวเหมือนกันทาไมจะเลือกตั้ง Governor หรือผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ได้ นี่ก็เป็นความสับสนในถ้อยคาเหมือนกันไคมียวของญี่ปุ่นจะเรียกเป็นคาไทยว่าอะไรก็แล้วแต่ และเขตปกครองของไคเมียวซึ่งเรียกว่า"ฮั่น"จะเรียกเป็นไทยว่าอะไรก็แล้วแต่แต่ตะเรียกผู้ส่าราชการจังหวัดและจังหวัด ที่เป็นส่วนภูมิภาคอย่างบ้านเรานั้นไม่ได้ ฉะนั้นจึงอ้างคา Governor ของนายพลแมคอาเธอร์ในญี่ปุ่นมาเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดบ้านเราไม่ได้ เพราะคนละเรื่องกันรวมความว่า ชาติรัฐเดียวซึ่งเป็นประเทศด้อยพัฒนาไม่สามารถจะยกเลิกส่วนภูมิภาคจึงไม่สามารถจะเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งเป็นผู้บริหารส่วนภูมิภาคที่คุณชูวงศ์ฉายะบุตรกล่าวว่า"ผมยืนยันว่าอีก 100 ปี ก็ไม่ควรเลือกตั้งผู้ว่าฯ"("สยามรัฐ"25 ม.ค. 37) นั้นเป็นคาเปรียบเทียบที่ถูกต้องเพราะถ้าเมืองไทยยังอยู่อย่างนี้ต้องอีกยาวนานมากกว่าจะยกเลิกส่วนภูมิภาคได้ เพราะจะยกเลิกส่วนภูมิภาคได้ จะต้องทาให้ประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาระดับสูง 22. ซึ่งจะต้องเริ่มต้นจากการทาประเทศให้เป็นประชาธิปไตย เพื่อก้าวจากประเทศด้วยพัฒนาไปสู่ประเทศกาลังพัฒนาและต่อไปเป็นประเทศพัฒนาแต่เราก็ยังไม่ได้เริ่มต้นกันเลย แม้แต่ในบรรดาผู้เรียกร้องให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่มีใครสักคนที่คิดจะทาประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย มีแต่คิดจะแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่สร้างประชาธิปไตยซึ่งเป็นการต่ออายุระบอบเผด็จการรัฐสภาเท่านั้น แล้วเมื่อไหร่เมืองไทยจะเป็นประเทศพัฒนาระดับสูงได้เล่ามาเลเซียเป็นประเทศกาลังพัฒนามา 40กว่าปีแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เขาประกาศว่าจะเป็นประเทศพัฒนาใน35 ปี กระผมคิดว่าถ้าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยเดี๋ยวนี้ อาจจะเป็นประเทศพัฒนาได้เร็วกว่ามาเลเซียเพราะสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรทุกด้าน ซึ่งหมายความว่าเราจะสามารถยกเลิกส่วนภูมิภาคได้ใน35ปี แต่ก็ไม่แน่ว่าถึงแม้เมืองไทยจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วสมควรจะยกเลิกส่วนภูมิภาคเพราะขนาดอังกฤษฝรั่งเศสยังไม่ยกเลิก ฉะนั้นจึงน่าจะเป็นอย่างคาของคุณชูวงศ์ที่กล่าวว่าอีก 100 ปี ก็ไม่ควรเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดมากกว่า 23. กระผมกล่าวไว้ในตอนต้นว่าการโต้เถียงเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นการโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายการโต้เถียงทางหลักวิชาเป็นส่วนน้อยแต่ควรจะกล่าวไว้ในที่นี้ด้วยว่า การโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายนั้นเป็นความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองด้วยกัน ส่วนการโต้เถียงทางหลักวิชาเป็นความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการตัวอย่างเช่นพรรคพลังธรรมเสนอว่า กาiเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผลดีแก่ประชาชนอย่างไรบ้างเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยอย่างไรบ้าง จะแก้ปัญหาความยากจนได้ กระทั่งจะแก้ปัญหารัฐประหารได้ทีเดียวนี่คือข้อเสนอทางทฤษฎี ส่วนพรรคประชาธิปัตย์และพรรคความหวังใหม่โต้ว่าไม่ใช่นโยบายของรัฐบาลและนะโยบายของพรรคก็มีเพียงใ ห้กระจายอานาจไปสู่ท้องถิ่นซึ่งเป็นการโต้เถียงทางนโยบายแต่ฝ่ ายข้าราชการอ้างเหตุผลทางหลักวิชาเช่นคุณอารีย์ กล่าวว่าการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการทาลายระเบียบบริ หารราชการแผ่นดินืซึ่งบรรพบุรุษสร้างมาตั้งแต่ตั้งประเทศ
  • 8. 24. และว่าข้อเสนอของนักการเมืองเป็นคนละเรื่องกับของกระทรวงมหาดไทยและคุณชูวงศ์กล่าวว่าอีก 100 ปี ก็ไม่สมควรเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนอกจากนั้นยังมีข้าราชการการเมือง 2คนเสนอเหตุผลทางหลักวิชาคือพล.อ.ชวลิต ซึ่งตั้งปัญหาว่าการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นการกระจายอานาจหรือไม่?และผู้ว่าราชการจังหวัดหมายความว่าอะไร? และคุณบัญญัติแนะให้กลับไปใช้คาว่า"ข้าหลวงประจาจังหวัด"อย่างเดิม("เดลินิวส์"23 ม.ค.37) ซึ่งนอกจากจะเป็นกาเสนอความเห็นทางหลักวิชาแล้วยังเป็นการยุติปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดด้วยวิธีง่ายๆอี กด้วยเพราะ"ข้าหลวง"นั้นไม่ว่าจะเป็นข้าหลวงอะไรไม่เป็นตาแหน่งเลือกตั้งแต่เป็นตาแหน่งแต่งตั้งทั้งสิ้น เหล่านี้คือตัวอย่างของการเสนอเหตุผลทางหลักวิชาโดยข้าราชการทั้งข้าราชการประจาและข้าราชการการเมือง ทฤษฎีและนโยบายการเมืองจะต้องไม่ขัดต่อหลักวิชาสาหรับหลักวิชาทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ(Natural science) นั้นขัดไม่ได้อยู่แล้ว 25. เพราะเป็นสัจธรรมที่สอดคล้องกับกฎของปรากฎการณ์ธรรมชาติเช่นวิทยาศาสตร์ว่าด้วยระเบิดปรมณู ไม่ว่าทฤษฎีและนโยบายประชาธิปไตยเผด็จการหรือคอมมิวนิสต์ที่แตกต่างกันถึงขนาดตรงกันข้าม ก็ยังต้องใช้หลักวิชาทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอย่างเดียวกับโลกเ สรีกับโลกคอมมิวนิสต์ต่างก็เอาหลักวิชาระเบิดปรมณูอันเดียวกันไปใช้กับทฤษฎีและนโยบายที่มุ่งจะทาลายล้างกัน แต่หลักวิชาทางวิทยาศาสตร์สังคม(Social Science) ก็เป็นสัจธรรมเหมือนกัน ซึ่งทฤษฎีและนโยบายการเมืองที่แตกต่างกันโดยทั่วไปก็ต้องยึดถืออย่างเดียวกัน เช่นหลักวิชารัฐศาสตร์ว่าด้วยชาติรัฐเดียวหรือหลายรัฐเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือต่างก็ยึดถือว่าชาติตนเป็นชาติรัฐเดียวสหรัฐ กับสหภาพโซเวียต(เดี๋ยวนี้เป็นจักรภพ)ต่างก็ยึดถือว่าชาติของตนเป็นหลายรัฐเป็นต้นทั้งที่มีทฤษฎีและนโยบายตรงกันข้าม บรรพบุรุษของเราตั้งชาติสยามขึ้นมาเป็นชาติรัฐเดียวโดยยึดถือหลักวิชาและด้วยทฤษฎีและนโยบายที่สอดคล้องกับหลักวิชา 26. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่เพียงแต่จะทรงมีพระราชประสงค์จะรักษาชาติไทยเท่านั้น หากยังทรงศึกษาหลักวิชารัฐศาสตร์เป็นอย่างดีด้วยดังพระราชบันทึกของสมเด็จพระปกเกล้าเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมพ.ศ. 2470 ว่า"พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระปรีชารอบรู้ในรัฐประศาสน์ประเพณีการปกครองอย่างที่ นิยมกันอยู่ในทวีปยุโรปได้ทรงศึกษาทราบหลักการโดยตลอด"ฉะนั้น เมื่อทรงสถาปนาชาติสนามด้วยทฤษฎีและนโยบายที่ถูกต้องเพราะสอดคล้องกับหลักวิชาเป็นอย่างดีดังนี้แล้ว จึงไม่เพียงแต่ระบบที่ทรงสร้างขึ้นจะมั่นคงถาวรและจีรังยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบันเท่านั้น หากยังมีประสิทธิภาพในการรักษาชาติไทยให้รอดพ้นจากอุ้งเล็บของลัทธิอาณานิคมได้ด้วยกระทรวงมหาดไทย มีบทบาทสาคัญในการสถาปนาชาติสยามเพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่
  • 9. 27. "จัดการปกครองหัวเมืองมห้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อรักษาพระราชอาณาเขต"สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ พระบิดาของกระทรวงมหาดไทยทรงรับสนองหน้าที่นี้เป็นผลสาเร็จอย่างดียิ่ง ก็เพราะทรงเป็นปราชญ์ในหลักวิชาทั้งปวงโดยเฉพาะคือหลักวิชารัฐศาสตร์ ซึ่งจาเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติหน้าที่โดยตรง และข้าราชการกระทรวงมหาดไทยก็ได้รับสืบทอดหลักวิชานี้มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีบุคคลหนึ่งที่กระผมคุ้นเคยและนับถือว่าเป็นชั้นยอดคนหนึ่งในทางหลักวิชารัฐศาสตร์ จึงสามารถช่วยเหลือกระผมได้อย่างมากในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญของจอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์ ซึ่งร่างเดิมเป็นเผด็จการสุดขีดให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ. 2511 ที่ให้เสรีภาพทางการเมืองมากกว่ารัฐธรรมนูญฉบัยปัจจุบัน เช่นผู้สมัครส.ส.จะสังกัดพรรคก็ได้ไม่สังกัดพรรคก็ได้ เป็นต้น กล่าวเฉพาะปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดจะเห็นได้จากข้ อเขียนของท่านว่า"ในปัจจุบันนี้ มีบางท่านมีความเห็นว่าสมควรจะให้มีการเลือกตั้งตาแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยให้เหตุผลว่า 28. เพื่อให้การปกครองจังหวัดเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้นเช่นในสหรัฐอเมริกาเรื่องนี้มีข้อที่ควรจะพิจารณาว่า สหรัฐมิใช่รัฐเดียว(UnitedStates) เช่นประเทศอังกฤษฝรั่งเศสและประเทศต่างๆในยุโรปผู้ว่าการมลรัฐ(State Governor) ต่างในสหรัฐอเมริกามีฐานะเช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีของประเทศที่เป็นรัฐเดียว---"(จากหนังสือ "อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพศาสตราจารย์ทวีแรงขา")ซึ่งกระผมคัดลอกไปครั้งหนึ่งแล้วใน"คาชี้แจง"ฉบับที่ 6 บุคคลนั้นคืออดีตอธิบดีกรมการปกครองคุณชานาญยุวบูรณ์ในขณะนี้ทัศนะของคุณอารีย์ก็ดีของคุณชูวงศ์ก็ดี ก็ยังคงรักษาท่วงทานองสืบทอดหลักวิชาได้เป็นอย่างดีทาให้ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินซึ่งบรรพบุรุษสร้างไว้ ยังคงมีประสิทธิภาพในการรักษาชาติไทยให้พ้นภัยอันตรายซึ่งยังจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อนอกจากนี้คุณสุพรผู้ว่าฯอุดรธานี กล่าวว่า"ผู้ว่าฯในภูมิภาคเป็นตัวแทนรัฐบาลถ้าเลือกตั้งผู้ว่าฯท้องถิ่นคือนายกอบจ.ก็ไม่ขัดข้องโดยแบ่งปันอานาจให้ชัดเจน 29. ส่วนผู้ว่าฯจังหวัดเลือกตั้งไม่ได้ ไม่มีที่ไหนในโลกเลือกกันเพราะเป็นตัวแทนรัฐบาลกลาง ขอให้มองว่าบ้านเมืองขณะนี้เป็นอย่างไรไม่ใช่ดูถูกประชาชนแต่ถ้าถามประชาชนว่าต้องการเลือกตั้งผู้ว่าฯหรือไม่ ประชาชนก็ต้องเอาแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร"และคุณประกิตเทพชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี กล่าวว่า "การเรียกร้องให้เลือกตั้งผู้ว่าฯคงมีอะไรอะไรแบแฝงอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่หลังจากการเลือกตั้งผู้ว่าแล้วจะเคลื่อนไหวให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีต่อไปนอกจากนี้ ยังเสียประเพณีการปกครองและอาจเสียดินแดนได้ง่ายขึ้นการเคลื่อนไหวเลือกตั้งในจังหวัดภาคใต้ เช่นปัตตานีนราธิวาส ยะลาและสตูลเป็นกลลวงต่อไปคงต้องมีการแยกดินแดนอย่างแน่นอนเพราะผู้ว่าฯเลือกตั้งจะเป็นกบฎ" ("มติชน" 30 ม.ค.37) นี่ก็เป็นความเห็นจากจุดทัศนะหลักวิชา...ที่กล่าวกันว่า ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยคัด้านการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเพราะหลงอานาจนั้นกระผมไม่ออกความเห็น
  • 10. 30. แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าทัศนะของข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่แสดงออกมานั้นหมุนอยู่รอบๆหลักวิชา กระผมยึดถือข้อนี้เป็นสาคัญเมือทฤษฎีและนโยบายขัดแย้งกับหลักวิชาจะต้องถือเอาหลักวิชาเป็นหลัก เพราะทฤษฎีและนโยบายนั้นกาหนดขึ้นจากความต้องการของคนจึงเปลี่ยนแปลงได้ และไม่แน่นอนว่าจะถูกต้องเสมอไป แต่หลักวิชากาหนดขึ้นจากกฎของความจริงแท้(Reality) ที่ดารงอยู่จึงเป็นสัจธรรมที่แน่นอนและถูกต้องเสมอไปฉะนั้น การโต้เถียงกันทางทฤษฎีและนโยบายจึงมักจะไม่จบยิ่งต่างก็เป็นทฤษฎีและนโยบายที่ไม่ถูกต้องเพราะขัดกับหลักวิชาด้ วยกันด้วยแล้วก็ยิ่งจะบานปลายและความขัดแย้งทางทฤษฎีมีผลร้ายอย่างไรเราไ ด้เห็นกันอยู่แล้วอย่างน้อยในประเทศกัมพูชาติดกับบ้านเราในปัจจุบันปัญหาร้ายแรงที่สุดของประเทศไทยก็คือความขัดแย้งท างทฤษฎีนี่เองกระผมขอยกเอาข้อเขียนประโยคแรกใน"คาขี้แจง"ฉบับที่ 9 มาเสนอซ้าในที่นี้ว่า "ปัญหาเป็นตายของประเทศไทยคือปัญหาความเห็นเรียกเป็นศัพท์บาลีว่าปัญหาทิฏฐิ 31. เรียกเป็นศัพท์สันสกฤตว่าปัญหาทฤษฎีเรียกศัพท์อังกฤษว่า Theoretical problem" ขณะนี้เรามีปัญหาทฤษฎีที่สาคัญ คือความขัดแย้งในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งควรรีบแก้ไขความขัดแย้งทางทฤษฎีและนโยบายจะแก้ไขได้ด้ วยหลักวิชาเพราะหลักวิชาเป็นเครื่องตัดสินความถูกผิดของทฤษฎี และนโยบายโดยเฉพาะปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นปัญหาหลักวิชาฉะนั้น จึงต้องยกระดับทฤษฎีและนโยบายขึ้นสู่หลักวิชาโดยเปลี่ยนการโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบาย มาเป็นการโต้เถียงทางหลักวิชาคุณถวิลกล่าวว่า"หนังสือราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ 23 ตุลาคม33 พรรคความหวังใหม่ได้เขียนนโยบายไว้ในหมวดสิ่งแวดล้อมว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านกานัน ตลอดจนผู้ว่าราชการจังหวัด"("ไทยรัฐ"29 มกราคม2537) คุณเด่นโต๊ะมีนา ก็"ยอมรับว่าพรรคความหวังใหม่ตอนหาเสียงว่าจะให้มีการเลือกตั้ 32. งผู้ว่าราชการจังหวัด"(สยามโพสต์25ม.ค.37) แต่หนังสือ"สยามโพสต์"ฉบับเดียวกันเขียนไว้ว่า พรรคความหวังใหม่ไม่มีนโยบายเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเพียงแต่มีนโยบาย "จะปรับปรุงการกระจายอานาจจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่นให้มากขึ้น" และฉบับเดียวกันนี้เขียนไว้ว่าพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายจะให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในระยะ 5ปีแรกและ "สมาพันธ์ ปชต.ถล่มรัฐบาลยับตระบัดสัตย์"("บ้านเมือง" 31 ม.ค.37) ฯลฯกระผมเห็นว่าพรรคและกลุ่มต่างๆ ไม่ควรจะโต้เถียงกันว่าพรรคตนกลุ่มตนทีหรือไม่มีนโยบายเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด หรือโต้เถียงกันว่าในการเลือกตั้งคนั้งที่แล้วใครใช้นโยบายการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดหาเสียงหรือไม่ เพราะถ้าพรรคใดกลุ่มใดมีนโยบายนี้หรือได้ใช้นโยบายนี้หาเสียงก็เป็นนโยบาบที่ขัดต่อหลักวิชาด้วยกันทั้งนั้น และถ้าจะนาเอานโยบายที่ขัดกับหลักวิชามาโต้เถียงกันต่อไปก็จะนาไปสู่ความขัดแย้งทางทฤษฎีที่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรง
  • 11. ฉะนั้นที่คุณบัญญัติกล่าวว่าควรยุติการโต้เถียงเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกั นได้แล้ว จึงเป็นการเริ่มต้นแก้ไขความขัดแย้งด้วยวิถีที่ถูกต้อง 33. แต่หยุดการโต้เถียงกันเฉยๆก็ไม่แก้ปัญหารและคงจะหยุดไม่ได้ที่ทาได้คือหยุดการโต้เถียงทางนโยบาย ควรเปลี่ยนมาเป็นการโต้เถียงทางหลักวิชาซึ่งจะไม่เป็นอันตรายเพราะการโต้เถียงทางหลักวิชาก็คือการศึกษารวมกันนั่นเอง ซึ่งจะจบลงด้วยดีเพราะหลักวิชาเป็นเครื่องตัดสินควาทถูกผิดของนโยบายและทฤษฎี และนักการเมืองบ้านเราทุกคนอ้างตัวว่าเป็นนักประชาธิปไตยซึ่งจะต้องเคารพต่อหลักวิชาเพราะความเคารพต่อหลักวิชาเป็นคุ ณสมบัติที่จะขาดเสียมิได้ของนักประชาธิปไตยเพราะหลักวิชาเป็นความถูกต้อง และความถูกต้องย่อมสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชนเสมอไป ผู้ไม่เคารพต่อหลักวิชาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะอ้างตัวว่าเป็นนักประชาธิปไตยฉะนั้น การหยุดโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายแล้วหันมาศึกษาหลักวิชาร่ วมกัน จึงเป็นวิธีแก้ไขความขัดแย้งในปัญหานี้ที่มีประสิทธิภาพแน่นอน 34. หลักวิชาเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นค่อนข้างยากเพราะเป็นนามธรรมอย่างมาก จึงต้องศึกษาให้ดี เท่าที่โต้เถียงกันมาแสดงให้เห็นว่าต่างฝ่ายยังไม่รู้พอและถ้าพรรคใดมีนโยบายเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด หรือมีผู้ใดเอานโยบายเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดไปหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วก็ไม่แปลก เพราะความผิดพลาดบกพร่องในปัญหานี้เป็นของธรรมดาและถ้าพรรคการเมืองกลุ่มการเมืองหรือนักการเมืองยอมรับความผิ ดพลาดบกพร่องต่อประชาชนก็จะเป็นเกรียติยศอย่างสูงและเป็นที่ชื่นชมยินดีแก่ประชาชนการยืนยันสิ่งที่ผิดจะทาให้ประช าชนเสื่อมความเชือถือการที่ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยเข้าใจปัญหานี้ได้ดีกว่าผู้อื่นคงไม่ใช่เพราะเหนือกว่าผู้อื่น แต่เพราะคลุกคลีอยู่กับปัญหานี้มาตลอดบ้านเรามีการโต้เถียงกันเปล่าๆเกิดขึ้นบ่อยๆ เช่นการโต้เถียงเรื่องพระราชทานอภัยโทษตามที่กระผมเขียนไว้"คาชี้แจง"ฉบับที่ 11 และการโต้เถียงเรื่องก.ตร. ซึ่งมีการพูดกันถึงการถ่วงดุลระหว่างข้าราชการการเมืองกับข้าราชการประจาดุลแห่งอานาจในแต่ละกระทรวงนั้น ไม่มีการถ่วงดุลระหว่างเจ้ากระทรวงกับส่วนราชการของกระทรวง 35. เพราะระบบราชการจะต้องขึ้นต่อระบบการเมืองโดยปราศจากเงื่อนไขซึ่งเป็นหลักวิชาที่จะต้องยึกถือกันทุกประเทศ ไม่ว่าจะมีรูปของการปกครองหรือรูปของรัฐเป็นอย่างใดระหว่างเจ้ากระทรวงกับส่วนราชการในกระทรวงนั้น เจ้ากระทรวงเป็นผู้ถือดุลไม่ใช่เป็นคู่ถ่วงดุลคู่ถ่วงดุลมีแต่ภายในระบบการเมือง โดยเฉพาะคือระหว่างอานาจนิติบัญญัติกับอานาจบริหารถ้าจะเอาก.ตร.มาถ่วงดุลกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็จะกลายสภาพอนาธิปไตยจึงเห็นได้ว่าการโต้เถียงกันในเรื่องนี้เกิดจากความบกพร่องในหลักวิชาซึ่งเป็น การโต้เถียงกันเปล่าๆถ้ายกระดับหลักวิชาให้สูงขึ้นการโต้เถียงชนิดนี้ก็จะหมดไป
  • 12. จึงเป็นการถูกต้องที่ในการโต้เถียงเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดครั้งนี้ บางคนเรียกร้องให้คู่โต้เถียงไปศึกษาวิชารัฐศาสตร์เสียใหม่ซึ่งควรจะเป็นการเรียกร้องต่อตนเองด้วย เพื่อจะได้เปลี่ยนการโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายมาเป็นการโต้เถียงหลักวิชาก็คือร่วมกันในการเพิ่มพูนการศึกษาห ลักวิชารัฐศาสตร์ในเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนั่นเองสมัยนี้ไม่มีศาลฎีกาทางหลักวิชา สมัยก่อนเมื่อเกิดปัญหาทางหลักวิชามี"ท่านวรรณ"เป็นผู้ตัดสิน 36. การโต้เถียงชนิดที่เป็นอยู่อย่างเดี๋ยวนี้จึงไม่ใคร่มีฉะนั้นสมัยนี้จึงต้องศึกษาเอาเองเพื่อตัดสินเองได้ และที่ดีคือศึกษาร่วมกันโดยเปลี่ยนการโต้เถียงทางทฤษฎีและนโยบายมาเป็นการโต้เถียงทางหลักวิชาดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ดีกระผมรู้สึกว่าตั้งแต่การโต้เถียงกันครั้งก่อนจนถึงครั้งนี้นักการเมืองมีความก้าวหน้าขึ้นเป็นลาดับ จะเห็นได้จากข่าวพาดหัวของ"มติชนฯ"29 มกราคม2537 ว่า "ชวนประกาศจุดยืนชัดผู้ว่าฯต้องมาจากการแต่งตั้ง" และเนื้อข่าวว่า"ชวนเลิกอ้อมแอ้มแล้ว ประกาศเปรี้ยงผู้ว่าฯแต่งตั้งต้องมีอยู่ต่อไปเลิกไม่ได้"และข่าว"ไทยรัฐ" 29 มกราคม2537 ว่า"ส่วนการที่กระทรวงมหาดไทยจะเพิ่มอานาจให้ผู้ว่าฯควบคุมได้ทุกส่วนราชการในจังหวัดนั้นนายถวิล กล่าวว่าเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นตัวแทนจากส่วนกลางผู้ว่าฯก็ควรจะขึ้นกับสานักนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ขึ้นกับมหาดไทย" ซึ่งแสดงว่าคุณถวิลก็ยอมรับว่าผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แทนของส่วนกลางคือเป็นผู้แทนของรัฐบาล 37. ส่วนจะขึ้นต่อมหาดไทยหรือต่อสานักนายกก็ค่อยพิจารณากันต่อไปทั้งนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีว่า จะสามารถยกระดับทฤษฎีและนโยบายในปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดสู่หลักวิชาซึ่งจะแก้ไขความขัดแย้งได้ และกระผมขอย้าว่าปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นปัญหาหลักวิชา ซึ่งจะต้องใช้ความรู้ในหลักวิชาเป็นทางแก้ไขความขัดแย้งปัญหาหลักวิชานั้นจะใช้สิ่งอื่นนอกจากความรู้มาแก้ปัญหามิได้ เช่น ไฟฟ้ าในบ้านเสียจะต้องหาช่างไฟฟ้ ามาแก้ ถ้าจะเอาประชามติของคนในบ้านซึ่งไม่มีความรู้ไฟฟ้ ามาแก้ อาจทาให้เกิดการลัดวงจรไฟไหม้บ้านหมดทั้งหลังและถ้าจะเอาประชามติของคนในบ้านมาแก้ไฟฟ้ าประชามตินั้นก็จ ะต้องมีความรู้ไฟฟ้ าการแก้ไขความขัดแย้งเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องใช้ความรู้วิชารัฐศาสตร์มาแก้ไข จะใช้มติมหาชนที่ยังไม่รู้วิชารัฐศาสตร์มาแก้ปัญหาได้ไม่อย่างที่ผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่งกล่าวว่าไม่ใช่ดูถูกประชาชนนั้ นถูกแล้วเพราะประชาชนทั่วไปยังไม่รู้วิชารัฐศาสตร์ในเรื่องนี้เขารู้แต่ทฤษฎีและนโยบาย เช่นถ้าถามประชาชนว่าเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดดีไหม? 38. ก็จะตอบว่าดีแต่มันขัดกับหลักวิชาจึงเป็นทฤษฎีและนโยบายที่ผิดและจะเกิดผลร้ายฉะนั้น การใช้มติมหาชนมาแก้ไขความขัดแย้งในปัญหาการเลือกตั้งผู้ว่า ราชการจังหวัดก็จะเป็นเช่นเดียวกับการใช้ประชามติของคนในบ้านมาแก้ไฟฟ้ าถ้าไม่ใช้ความรู้มาแก้ปัญหาหลักวิชา ก็จะทาให้ความขัดแย้งทางทฤษฎีในเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกลายเป็นความขัดแย้งที่ร้ายแรงยิ่ง
  • 13. เพราะโดยเนื้อแท้เป็นความขัดแย้งระหว่างการแบ่งแยกประเทศกับการไม่ยอมแบ่งประเทศ และระหว่างการเป็นราชอาณาจักรกับการเป็นสาธารณรัฐซึ่งสาหรับประเทศไทยแล้วจะไม่มีความขัดแย้งใดๆที่ยิ่งไปกว่านี้ และถ้าไม่แก้ไขพัฒนาการของมันก็จะมีมิคสัญญีกลียุคเป็นจุดจบแต่ทางเดียวเท่านั้นแต่บางพรรคบางคณะบางกลุ่ม อาจเห็นว่สมิคสัญญีเป็นทางสร้างประชาธิปไตยเขาจึงต้องการให้ประเทศไทยเกิดมิคสัญญีกลียุคเช่นเดียวกับเกิดส งครามกลางเมือง10 กว่าปีครั้งที่แล้ว 39. ก็เป็นความจริงที่บางประเทศในบางยุคบางสมัยมิคสัญญีกลียุคเป็นทางสร้างประชาธิปไตย เช่นมหาปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อศตวรรษที่18 แต่สาหรับประเทศไทยยุคปัจจุบัน ทางแห่งการสร้างประชาธิปไตยจะต้องเป็นทางสันติและสามัคคีแห่งชาติ ทางแห่งมิคสัญญีกลียุคนอกจากจะเป็นทางไปสู่ความวินาศย่อยยับแล้วยังจะเป็นทางกระชับระบอบเผด็จการอีกด้วย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้กระผมจะขอชี้แจงในโอกาสต่อไป...ซึ่งเศรษฐกิจทุนนิยมเริ่มแตกหน่อคือไทย จีนและญี่ปุ่น ซึ่งได้ทาการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ อย่างเดียวกันในประเทศไทยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงดาเนินการโดยนาเอาสภาพของยุโรปและไทยมาประกอบกั นด้วยพระปรีชาญาณอันยิ่งยวด และก่อนที่จะทรงดาเนินการเปลี่ยนแปลงทรงฝากกรมหลวงเทววงศ์วโรปการ เมื่อครั้งเสด็จเป็นผู้แทนพระองค์ไปร่วมงานรัชกาลครบรอบ๕๐ปี ของสมเด็จพระบรมราชินีวิคเตอเรีย ให้ทรงทอดพระเนตรการเปลี่ยนแปลงการปกครองในยุโรปเมื่อทรงได้รับรายงานและพิจารณาอย่างสุขุมรอบคอบแล้ว 40. ทรงตกลงพระราชหฤทัยเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยใช้วิธีรวมประเทศแบบรัฐเดียว ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองส่วนกลางจาก ๖กรมเดิมตั้งเป็น๑๒กระทรวง๖ กรมเดิมคือกรมกลาโหมกรมมหาดไทย กรมเมือง กรมคลังและกรมนายกเป็นกระทรวงและเพิ่มอีก๖กระทรวงคือกระทรวงการต่างประเทศกระทรวงยุทธนาธิการ กระทรงยุติธรรมกระทรวงโยธาธิการและกระทรวงมุรธรเป็น๑๒กระทรวง การปกครองส่วนกลางในหัวเมืองจัดจัดเป็นมณฑลโดยรวบรวมหัวเมืองชายแดน ๕-๖หัวเมืองตั้งเป็นมณฑลหนึ่งโปรดเกล้าฯ ให้เชื้อพระวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยไปปกครองทลฑลต่อมาจักรูปมณฑลใหม่ เรียกว่ามณฑลเทศาพิบาลโดยรวมหัวเมืองชั้นใน๒-๓หัวเมือง ตั้งเป็นมณฑลหนึ่งทั่วราชอาณาจักร มีสมหเทศาภิบาลแต่งตั้งจากส่วนกลางเป็นผู้ปกครองแบ่งมณฑลออกเป็นจังหวัดมีข้าหลวงจังหวัด(ผู้ว่าราชการจังหวัด) เป็นผู้ปกครองแบ่งจังหวัดเป็นอาเภอ มีนายอาเภอเป็นผู้ปกครองแบ่งอาเภอเป็นตาบลมีกานันเป็นผู้ปกครอง และแบ่งตาบลออกเป็นหมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้านปกครองนี่คือการปกครองส่วนกลางในหังเมือง
  • 14. 41. ซึ่งเรียกว่าเทศาภิบาลหรือProvincial administration ต่อมาเรียกว่าการปกครองส่วนภูมิภาคและอาเภอ ตาบลและหมู่บ้านรวมกันเรียกว่าการปกครองส่วนท้องที่หรือRural administration และถือเป็นการปกครองครองพื้นฐาน ในขณะเดียวกันในท้องถิ่นที่เจริญจัดให้มีการปกครองสุขาภิบาลซึ่งเป็นการปกครองท้องถิ่นหรือLocal administration อย่างยุโรปการปกครองท้องที่ในส่วนของกานันผู้ใหญ่บ้านและการปกครองท้องถิ่นมีความมุ่งหมายตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ เพื่อฝึกหัดทดลองประชาธิปไตยแก่ประชาชนกานันผู้ใหญ่บ้านนั้นแม้ว่าจะอยู่ในการปกครองส่วนภูมิภาค แต่กาหนดให้เป็นผู้แทนของประชาชนร่วมทากับข้าราชการระััดับอาเภอ ซึ่งเป็นผู้แทนของของรัฐบาล และให้มีการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนเมื่อเลือกตั้งแล้วต้องได้รับการแต่งตั้งได้รับหมายตั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัด และประชาชนถอดผู้ใหญ่บ้านได้ส่วนกานันเลือกตั้งโดยผู้ใหญ่บ้าน การปกครองท้องถิ่นคือการปกครองตนเองของประชาชนในขอบเขตที่แน่นอนที่ปฏิบัตกันอยู่ในอารยะประเทศ 42. ในการปฎิบัติพระราชกรณียกิจสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีแผนพระราชดาริจะขยายการใชพระราชบัญญัติสุขาภิบาลออกไปทั่วประเทศเพื่อฝึกหัดอบรมประชาธิปไตยแก่ประชาชน โดยเฉพาะคือการเลือกตั้งแบประชาธิปไตยต้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยรวมเขตแคว้นและหัวเมืองฟิวดัลให้เข้ามาอยู่ภายใต้นครหลวงอันเดียวกัน ไม่กระจัดกระจายกันอยู่หรือขึ้นต่อนครหลวงอย่างหลวมๆเหมือนแต่ก่อน กระบวนการนี้คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงรัฐแบบเก่าหรือรัฐฟิวดัล มาเป็นรัฐแบบใหม่หรือรัฐแห่งชาติก็คือกระบวนการรวมประเทศรวมราชอาณาจักรรวมชาติหรือก่อตั้งกอตั้งชาติ(Nation) ซึ่งเป็นเงื่อนไขอันจาเป็นของพัฒนาการของระบบทุนนิยมนั่นเองการรวมชาติหรือรวมประเทศกล่าวโดยทั่วไปมี ๒วิธี คือวิธีรัฐเดียว(Unitarystate)และวิธีหลายรัฐ(Multi-state)อย่าง 43. อังกฤษฝรั่งเศสสะแกนดิเนเวียใช้วิธีรัฐเดียวอย่างเช่น— กับวัจนาพรพันธุมะโนแบบประชาธิปไตย ทรงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ปรับปรุงพระราชบัญญัติสุขาภิบาลให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และให้เปลี่ยนชื่อเป็นพระราชบัญญัติเทศบาลกาลังออกกฎหมายฉบับนี้อยู่แล้วก็เกิดการยึดอานาจ๒๔มิถุนายนเสียก่อน และคณะราษฎรนามาแก้ไขเพิ่มเติมประกาศใช้ นี่คือสาระสาคัญของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของพระบาทสม เด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ๑๐๐ปีก่อน ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงบ้างในส่วนปลีกย่อย เช่นยกเลิกมณพลเทศาภิบาลใช้จังหวัดแทนมณฑลขยายการปกครองส่วนท้องถิ่นออกไปเป็นองค์การปกครองบริหาร ส่วนจังหวัดและตั้งสภาตาบลเป็นต้นแต่หลักการคงเดิมภายใต้หลักการพื้นฐานคือยกเลิกรัฐเจ้าครองน ครหรือฟิวดัลสถาปณารัฐแห่งชาติในรูปรัฐเดียวโดยเฉพาะใกล้เคียงที่สุดกับฝรั่งเศส