Presentation1
- 3. ที่มาและความสาคัญ
ปัญหามลพิษทางน้าในปัจจุบัน ส่วนมากมาจากการ
ระบายน้าเสียจากอุตสาหกรรม โรงงาน โรงแรม และ
เกษตรกรรม รวมถึงกิจกรรมต่างๆจากชุมชนที่ส่งผมต่อแหล่งน้า
เช่น การใช้น้าในการทาอาหารและปล่อยน้าเสีย น้ามันจากการ
ทาอาหาร เศษอาหาร ใช้ในการชาระล้างร่างกาย และสิ่งของ
เครื่องใช้แล้วก็ปล่อยน้าเสียลงสู่แม่น้า ซึ่งการกระทาเช่นนี้ส่งผล
ต่อประชาชนโดยเกิดจากมลพิษทางน้าในลาคลอง โดยไม่มีการ
กรองหรือการบาบัดก่อนปล่อยลงสู่แม่น้า จึงต้องมีการทา
โครงงานนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการช่วยลดมลพิษทางน้าที่มีผลต่อ
ประชากรทั่วประเทศในปัจจุบันนี้
- 9. น้าเสียชุมชน (Domestic Wastewater)
หมายถึง น้าเสียที่เกิดจากกิจกรรมประจาวันของประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชน และกิจกรรมที่เป็นอาชีพ
ได้แก่ น้าเสียที่เกิดจากการประกอบอาหารและชาระล้างสิ่งสกปรกทั้งหลายภายในครัวเรือน และอาคารประเภทต่าง
ๆ เป็นต้น
ปริมาณน้าเสีย ที่ปล่อยทิ้งจากบ้านเรือน อาคาร จะมีค่าประมาณร้อยละ 80 ของปริมาณน้าใช้ หรืออาจประเมินได้
จากจานวนประชากรหรือพื้นที่อาคาร ดังแสดงในตาราง
ที่มาโครงการศึกษาเพื่อจัดลาดับความสาคัญการจัดการน้าเสียชุมชน, สานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม
2538
- 10. การบาบัดน้าเสีย
การเลือกระบบบาบัดน้าเสียขึ้นกับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ลักษณะของน้าเสีย ระดับการบาบัดน้าเสียที่
ต้องการ สภาพทั่วไปของท้องถิ่น ค่าลงทุนก่อสร้างและค่า ดาเนินการดูแลและบารุงรักษา และขนาดของที่ดินที่
ใช้ในการ ก่อสร้าง เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้ระบบบาบัดน้าเสียที่เลือกมีความเหมาะสมกับแต่ละท้องถิ่น ซึ่งมี
สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปการจัดการน้าเสียชุมชน
แบ่งรูปแบบการจัดการน้าเสียเป็น 3 แบบคือ
1.ระบบ บาบัดน้าเสียรวม (Central Wastewater Treatment)
2.ระบบบาบัดน้าเสียแบบกลุ่มอาคาร (Cluster Wastewater Treatment)
3.ระบบบาบัดน้าเสียแบบติดกับที่ (Onsite Wastewater Treatment)
- 11. ลักษณะน้าเสีย
1. สารอินทรีย์ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เช่น เศษข้าว ก๋วยเตี๋ยว น้าแกง
เศษใบตอง พืชผัก ชิ้นเนื้อ เป็นต้น ซึ่งสามารถถูกย่อยสลายได้ โดยจุลินทรีย์ที่ใช้
ออกซิเจน ทาให้ระดับออกซิเจนละลายน้า (Dissolved Oxygen) ลดลงเกิดสภาพเน่า
เหม็นได้ ปริมาณของสารอินทรีย์ในน้านิยมวัดด้วยค่าบีโอดี (BOD) เมื่อค่าบีโอดีในน้า
สูง แสดงว่ามีสารอินทรีย์ปะปนอยู่มาก และสภาพเน่าเหม็นจะเกิดขึ้นได้ง่าย
2. สารอนินทรีย์ ได้แก่ แร่ธาตุต่าง ๆ ที่อาจไม่ทาให้เกิดน้าเน่าเหม็น แต่อาจเป็น
อันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ได้แก่ คลอไรด์, ซัลเฟอร์ เป็นต้น
- 12. ลักษณะน้าเสีย
3. โลหะหนักและสารพิษ อาจอยู่ในรูปของสารอินทรีย์หรืออนินทรีย์และสามารถ
สะสมอยู่ในวงจรอาหาร เกิดเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต เช่น ปรอท โครเมียม
ทองแดง ปกติจะอยู่ในน้าเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม และสารเคมีที่ใช้ในการ
กาจัดศัตรูพืชที่ปนมากับน้าทิ้งจากการเกษตร สาหรับในเขตชุมชนอาจมีสาร
มลพิษนี้มาจากอุตสาหกรรมในครัวเรือนบางประเภท เช่น ร้านชุบโลหะ อู่ซ่อม
รถ และน้าเสียจากโรงพยาบาล เป็นต้น
4. น้ามันและสารลอยน้าต่าง ๆ เป็นอุปสรรคต่อการสังเคราะห์แสง และกีดขวางการกระจายของออกซิเจนจาก
อากาศลงสู่น้า นอกจากนั้นยังทาให้เกิดสภาพไม่น่าดู
- 13. 5. ของแข็ง เมื่อจมตัวสู่ก้นลาน้า ทาให้เกิดสภาพไร้ออกซิเจนที่ท้องน้า ทาให้แหล่งน้าตื้นเขิน มีความขุ่นสูง
มีผลกระทบต่อการดารงชีพของสัตว์น้า
6. สารก่อให้เกิดฟอง/สารซักฟอก ได้แก่ ผงซักฟอก สบู่ ฟองจะกีดกันการกระจายของออกซิเจนในอากาศ
สู่น้า และอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้า
7. จุลินทรีย์ น้าเสียจากโรงฟอกหนัง โรงฆ่าสัตว์ หรือโรงงานอาหารกระป๋อง จะมีจุลินทรีย์เป็นจานวนมาก
จุลินทรีย์เหล่านี้ใช้ออกซิเจนในการดารงชีวิตสามารถลดระดับของออกซิเจนละลายน้า
ทาให้เกิดสภาพเน่าเหม็น นอกจากนี้จุลินทรีย์บางชนิดอาจเป็นเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อประชาชน เช่น
จุลินทรีย์ในน้าเสียจากโรงพยาบาล
ลักษณะน้าเสีย
- 14. 8. ธาตุอาหาร ได้แก่ ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส เมื่อมีปริมาณสูงจะทาให้เกิดการ
เจริญเติบโตและเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็วของสาหร่าย (Algae Bloom) ซึ่งเป็นสาเหตุ
สาคัญทาให้ระดับออกซิเจนในน้าลดลงต่ามากในช่วงกลางคืน อีกทั้งยังทาให้เกิดวัชพืชน้า
ซึ่งเป็นปัญหาแก่การสัญจรทางน้า
9. กลิ่น เกิดจากก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเกิดจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์แบบไร้
ออกซิเจน หรือกลิ่นอื่น ๆ จากโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น โรงงานทาปลาป่น โรงฆ่าสัตว์
เป็นต้น
ลักษณะน้าเสีย
- 15. ปริมาณน้าเสีย ที่ปล่อยทิ้งจากบ้านเรือน อาคาร จะมีค่าประมาณร้อยละ 80 ของปริมาณน้าใช้ หรือ
อาจประเมินได้จาก จานวนประชากรในแต่ละภาคดังแสดงในตาราง
ที่มา : โครงการศึกษาเพื่อจัดลาดับความสาคัญการจัดการน้าเสียชุมชน, สานักงาน
นโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม 2538
- 18. ผลกระทบของน้าเสียชุมชนต่อสุขภาพอนามัย
โดยทั่วไปเชื้อโรคที่พบในน้าเสียที่ก่อให้เกิดโรคต่อมนุษย์ได้ มี 4 ชนิด คือ แบคทีเรีย ไวรัส
โปรโตซัว และพยาธิ โดยมีสาเหตุมาจากอุจจาระของมนุษย์ปนมากับน้าเสีย โรคติดเชื้อจากสิ่งขับถ่าย
สามารถติดต่อสู่คน มี 2 วิธี คือ เกิดจากเชื้อโรคที่อยู่ในสิ่งขับถ่ายของบุคคลหนึ่งแพร่กระจายออกสู่
สิ่งแวดล้อมแล้วเข้าสู่บุคคลอื่น และเกิดจากเชื้อโรคจากสิ่งขับถ่ายเข้าทางปาก โดยที่สัตว์พาหนะ เช่น
หนูหรือแมลงต่าง ๆ ที่อาศัยสิ่งขับถ่ายในการขยายพันธุ์ จะรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย โดยเชื้ออาจอยู่ใน
ตัว ลาไส้ หรือในเลือดของสัตว์พาหนะนั้น โดยที่คนจะได้รับเชื้อผ่านสัตว์เหล่านั้นอีกทีหนึ่ง ซึ่งองค์การ
อนามัยโลก (WHO) ได้จาแนกเชื้อโรคตามลักษณะการติดเชื้อออกเป็น 6 ประเภท
- 20. ประเภทที่ 3เชื้อชนิดนี้ทาให้เกิดโรคได้ทั้งในระยะแฝงและระยะฝังตัว ได้แก่ ไข่พยาธิ ซึ่งไม่สามารถติดต่อจาก
บุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งได้โดยตรง แต่ต้องการสถานที่และสภาวะที่เหมาะสมเพื่อเจริญเติบโตเป็นตัว
พยาธิและเข้าสู่ร่างกายได้ ดังนั้นการจัดระบบสุขาภิบาลที่ดี เช่น การกาจัดสิ่งขับถ่ายที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสาคัญ
จึงเป็นการป้องกันมิให้มีสิ่งขับถ่ายปนเปื้ อนสิ่งแวดล้อม
ประเภทที่ 4 พยาธิตัวตืดอาศัยอยู่ในลาไส้คน ไข่พยาธิจะปนออกมากับอุจจาระ ถ้าการกาจัดสิ่งขับถ่ายไม่
เหมาะสม ก็จะทาให้สัตว์จาพวกโค กระบือ และสุกร ได้รับไข่พยาธิจากการกินหญ้าที่มีไข่พยาธิเข้าไป ซึ่งไข่
พยาธินี้เมื่อเข้าไปในร่างกายสัตว์แล้วจะกลายเป็นซีสต์ (Cyst) และฝังตัวอยู่ตามกล้ามเนื้อ คนจะได้รับพยาธิ
โดยการรับประทานเนื้อสัตว์ดิบ ๆ ดังนั้นการจัดระบบสุขาภิบาลที่ดี เช่น การกาจัดสิ่งขับถ่ายที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่ง
สาคัญ จึงเป็นการป้องกันมิให้มีสิ่งขับถ่ายปนเปื้ อนสิ่งแวดล้อม
ลักษณะการติดเชื้อในน้า
- 21. ประเภทที่ 5 พยาธิที่มีบางระยะของวงชีวิตอยู่ในน้า โดยพยาธิเหล่านี้จะมีระยะติดต่อตอนที่อาศัยอยู่ในน้า
โดยจะเข้าสู่ร่างกายคนโดยการไชเข้าทางผิวหนังหรือรับประทานสัตว์น้าที่ไม่ได้ทาให้สุก ดังนั้นการจัดระบบ
สุขาภิบาลที่ดี จึงเป็นการป้องกันมิให้พยาธิเหล่านี้ปนเปื้ อนสิ่งแวดล้อม
ประเภทที่ 6 การติดเชื้อโดยมีแมลงเป็นพาหะ แมลงที่เป็นพาหะที่สาคัญ ได้แก่ ยุง แมลงวัน โดยยุงพวก
Culex pipines จะสามารถสืบพันธุ์ได้น้าเสีย โดยเชื้อจะติดไปกับตัวแมลง เมื่อสัมผัสอาหารเชื้อก็จะ
ปนเปื้ อนกับอาหาร ดังนั้นการจัดระบบสุขาภิบาลที่ดี จึงเป็นการป้องกันพาหนะเหล่านี้
ดังนั้น แนวทางหนึ่งในการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโรค คือ จะต้องจัดระบบสุขาภิบาลตั้งแต่ระดับ
ครัวเรือนไปจนถึงระดับชุมชนให้ถูกต้องเหมาะและควรมีระบบการจัดการและบาบัดน้าเสียรวมของชุมชนที่
สามารถกาจัดเชื้อโรคในน้าทิ้งได้ก่อนที่จะระบายลงสู่แหล่งน้าสาธารณะหรือออกสู่สิ่งแวดล้อม
ลักษณะการติดเชื้อในน้า
- 24. ระบบบาบัดน้าเสียแบบติดกับที่
(Onsite Wastewater Treatment)
หมายถึง ระบบบาบัดน้าเสียที่ติดตั้งเพื่อบาบัดน้า เสียจากอาคารเดี่ยว ๆ เช่น
บ้านพักอาศัย อาคารชุด โรงเรียน หรืออาคารสถานที่ทาการ เป็นต้น โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อลด ความสกปรกของน้าเสียก่อนระบายออกสู่สิ่งแวดล้อม ระบบ
บาบัดน้าเสียแบบติดกับที่สาหรับบ้านพักอาศัยที่นิยมใช้กัน ได้แก่ บ่อดักไขมัน
(Grease Trap)
- 25. ระบบบ่อเกรอะ (Septic Tank)
ระบบบ่อกรองไร้อากาศ (Anaerobic Filter) เป็นต้น ระบบบ่อเกรอะ
(Septic Tank) บ่อเกรอะมีลักษณะเป็นบ่อปิด ซึ่งน้าซึมไม่ได้และไม่มีการเติมอากาศ
ดังนั้นสภาวะในบ่อจึงเป็นแบบไร้อากาศ (Anaerobic) โดยทั่วไปมักใช้สาหรับการ
บาบัดน้าเสียจากส้วม แต่จะใช้บาบัดน้าเสียจากครัวหรือน้าเสียอื่นๆ ด้วยก็ได้ ถ้าหาก
สิ่งที่ไหลเข้ามาในบ่อเกรอะมีแต่อุจจาระหรือสารอินทรีย์ที่ย่อยง่าย หลังการย่อยแล้วก็
จะกลายเป็นก๊าซกับน้าและกากตะกอน (Septage) ในปริมาณที่น้อยจึงทาให้บ่อไม่เต็มได้ง่าย (อัตราการเกิด
กากตะกอนประมาณ 1 ลิตร/คน/วัน) แต่อาจต้องมีการสูบกากตะกอนในบ่อเกรอะ (Septage)
ออกเป็นครั้งคราว (ประมาณปีละหนึ่งครั้ง สาหรับบ่อเกรอะมาตรฐาน)
- 26. แต่ถ้าหากมีการทิ้งสิ่งที่ย่อยหรือสลายยาก เช่น พลาสติก
ผ้าอนามัย กระดาษชาระ สิ่งเหล่านี้จะยังคงค้างอยู่ในบ่อและทาให้
บ่อเต็มก่อนเวลาอันสมควร เพื่อให้บ่อเกรอะสามารถใช้งานได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ เนื่องจากประสิทธิภาพในการบาบัดน้าเสียของบ่อ
เกรอะไม่สูงนัก คือประมาณร้อยละ 40 - 60 ทาให้น้าทิ้งจาก
บ่อเกรอะยังคงมีค่าบีโอดีสูงเกินค่ามาตรฐานที่กฎหมายกาหนดไว้ จึงไม่สามารถปล่อยทิ้งแหล่งน้า
ธรรมชาติหรือท่อระบายน้าสาธารณะได้ จึงจาเป็นจะต้องผ่านระบบบาบัดขั้นสองเพื่อลดค่าบีโอดีต่อไป
ลักษณะของบ่อเกรอะ ลักษณะที่สาคัญของบ่อเกรอะ คือ ต้องป้องกันตะกอนลอย และตะกอนจม
ไม่ให้ไหลไปยังบ่อเกรอะขั้นสอง เช่น ใช้แผ่นกั้นขวาง หรือท่อรูปตัวที (สามทาง)
- 29. 3. ในกรณีน้าในบ่อเกรอะสูงและราดส้วมไม่ลง ให้ตรวจดูการระบายของบ่อซึม (ถ้ามี) ว่ามี
การซึมออกดีหรือไม่ ถ้าไม่มีบ่อซึม ปัญหาอาจมาจากน้าภายนอกไหลท่วมเข้ามาในถัง ต้องแก้ไขโดย
การยกถังขึ้นสูง ในกรณีใช้บ่อเกรอะสาเร็จรูป ให้ติดต่อผู้แทนจาหน่ายเพื่อตรวจสอบและแก้ไข
ต่อไป เนื่องจากประสิทธิภาพในการบาบัดน้าเสียของบ่อเกรอะไม่สูงนัก คือประมาณร้อยละ 40 - 60
ทาให้น้าทิ้ง จากบ่อเกรอะยังคงมีค่าบีโอดีสูงเกินค่ามาตรฐานที่กฎหมายกาหนดไว้จึงไม่สามารถ
ปล่อยทิ้งแหลงน้าธรรมชาติหรือ ท่อระบายน้าสาธารณะได้จึงจาเป็นจะต้องผ่านระบบบาบัดขั้นสอง
เพื่อลดค่าบีโอดีต่อไป ลักษณะของบ่อเกรอะ
การใช้งานและการดูแลรักษา
- 30. ลักษณะที่สาคัญของบ่อเกรอะ
คือ ต้องป้องกันตะกอนลอย (ฝ้าไข: Scum) และตะกอนจมไม่ให้ไหลไปยัง บ่อเกรอะขั้น
สอง เช่น ใช้แผ่นกั้นขวาง หรือท่อรูปตัวที (สามทาง) บ่อเกรอะมีใช้อยู่ตามอาคารสถานที่ทั่วไปจะ
สร้าง เป็นบ่อคอนกรีตในที่ หรือถ้าเป็นอาคารขนาดเล็กหรือบ้านพักอาศัยก็มักนิยมสร้างโดยใช้วง
ขอบซีเมนต์ซึ่งมี จาหน่ายตามร้านค้าวัสดุก่อสร้างทั่วไป แต่ปัจจุบันมีการสร้างถังเกรอะสาเร็จรูป
จาหน่ายโดยใช้หลักการเดียวกัน