ปุลากง
- 1. ปุลากง
เรื่องย่อ
เข้ม ( ศกร ) เป็นเด็กชายวัย ๑๔ ปี รูปร่างผอมสูง มีนิสัยเจ้าอารมณ์ เข้มเป็นลูกของนางแพงศรี กับคุณอรรถ
ซึ่งคุณอรรถมีภรรยาหลวงอยู่แล้วคือคุณฉะอ้อน และมีลูกกับคุณฉะอ้อนถึง ๔ คน คือคุณปุ้ม หรือคุณอัมพิกา อายุ
๑๘ ปี แต่พิการเป็นโปลิโอตั้งแต่เด็ก คุณอดิศรลูกชายคนที่ ๒ คุณอนันต์ ลูกคนที่ ๓ และคุณอรนุช ลูกสาวคนสุดท้อง
ซึ่งเกิดพร้อมกับเข้ม เข้มเรียกคุณอัมพิกาว่าพี่เพียงคนเดียว เพราะเธอเป็นคนใจดี คุณปุ้มเรียนเปียโนกับคุณพิรุณ
ครูสอนซึ่งเป็นหม้าย สามีเป็นนายทหารแต่เสียชีวิตในสงคราม ครูพิรุณทางานหาเลี้ยงตัวเองกับหนูตุ่น ( ศุภรา
)ที่เป็นลูกสาวโดยการรับจ้างสอนเปียโน เธอมีลูกศิษย์มากมาย
บ้านของเธออยู่ข้างบ้านของเข้มนั่นเองความที่เข้มถูกเลี้ยงดูมากอย่างลูกที่ขาดความอบอุ่นและไม่ได้รับความยุติธรรม
จากพ่อ นั่นเป็นสาเหตุที่ทาให้เข้มกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ พูดจาห้วน และหน้าตาไม่แจ่มใส กิริยาก็ค่อนข้างกระด้าง
เนื่องด้วยความที่พ่อให้การเลี้ยงดูไม่เท่าเทียมกับลูกที่เกิดจากภรรยาหลวง การขอค่าใช้จ่ายในการเรียนค่อนข้างยาก
การกินอยู่ก็ไม่เหมือนกัน เข้มและแม่จะแยกมาอยู่ที่เรือนหลังเล็กซึ่งปลูกอยู่สุดอาณาเขตของบ้าน
เรื่องของอาหารการกินก็สุดแล้วแต่ทางครัวจะจัดมาให้
ซึ่งจะไม่เหมือนกับที่เรือนใหญ่ยามที่เข้มจะมาขอเงินค่าใช้จ่ายทุกครั้งก็จะถูกพ่อดุว่า
โดยพ่อจะอ้างอยู่เสมอว่าให้เข้มเท่าเทียมกับลูกคุณฉะอ้อนไม่ได้ เพราทรัพย์สินทั้งหมดจะเป็นของคุณฉะอ้อน
แม้แต่เมื่อเข้มขอเงินเพื่อซื้อไวโอลิน เพราะพ่อบอกว่า ถ้าสอบได้เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์จะให้รางวัล แต่แล้วพ่อก็ไม่ให้
เข้มเสียใจมากแต่ก็ไม่เคยร้องไห้ให้พ่อเห็น นอกจากแม่เขาเคยถามแม่ถึงเหตุผลที่แม่ยอมเป็นภรรยาน้อยของพ่อ
และจายอมอยู่อย่างอดทน เพราะนางแพงศรีเป็นเมียน้อยแบบโบราณ ทุกอย่างในชีวิตแล้วแต่สามี
มารดาของเข้มเล่าให้เขาฟังถึงความหลังว่า เป็นเมียคุณอรรถ เมื่อครั้งไปอยู่หัวเมือง จนเมื่อสามีพามากรุงเทพฯ
ถึงได้ทราบว่าตนเองเป็นเมียน้อย แม้จะพอมีความรู้มีพ่อเป็นครูใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถจะเลือกวิถีชีวิตได้
ความเป็นหญิงไทยแบบโบราณ ทาให้เธอยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว สิ่งเดียวที่เธอต้องการก็คือลูก
แม้ว่าสามีจะให้เอาลูกออกเธอก็ไม่ยอม แม้เข้มจะขาดความรักจากพ่อ แต่ความรักมากมายของแม่
ก็หล่อหลอมให้เข้มเป็นเด็กใฝ่ดี
เมื่อคราวจาเป็นต้องใช้เงินเป็นค่าเทอม
เข้มจะหารายได้พิเศษโดยการรับจ้างเล่นการพนันในบ่อนของเมียตารวจ แต่เข้มไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง
นอกจากคุณปุ้ม เพราะเข้มขอยืมเงินของคุณปุ้ม และสามารถหามาใช้ได้ นั่นทาให้คุณปุ้มสงสัย
ในที่สุดเธอก็บอกให้คุณพ่อทราบ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่เข้มและกวง เพื่อนชาวจีนของเข้ม
ไปเล่นไพ่และเกิดเรื่องเจ้ามือถูกยิงตาย แต่เข้มกับกวงหนีออกมาได้ ตารวจมาตามหาเข้มที่บ้าน
แต่เกรงใจคุณอรรถจึงยอมกลับไป วันนั้นเข้มมีปากเสียงกับพ่ออย่างรุนแรง
เพราะพ่อหาว่าเขาทาให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเข้มให้สัญญากับแม่ว่าจะไม่หาเงินด้วยวิธีแบบนี้อีก
ต่อมาเข้มสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตารวจได้ และอยู่ประจานานๆจึงจะได้กลับบ้านสักครั้ง
จึงได้รู้ความเปลี่ยนแปลงภายในบ้าน คุณอดิศรมีลูกกับภรรยาลูกสาวแม่ค้าถึง ๕ คน
คุณอนันต์กาลังจะไปศึกษาต่อต่างประเทศ ส่วนคุณอรนุชก็สอบได้อักษรศาสตร์จุฬา เข้มได้ไปเยี่ยมกวง
เขาได้รู้ว่ากวงติดยาเสพติดอย่างหนัก ด้วยความที่ถูกแม่บังคับให้ทางานหนัก เพื่อเป็นตัวแทนของพ่อที่ตายไป
- 2. กวงต้องเลี้ยงดูส่งเสียทุกคนในบ้าน เมื่อเหนื่อยและกลุ้มใจมาก ก็เข้าหายาเสพติดโดยที่คนทางบ้านไม่รู้
คิดว่ากวงป่วยเพราะผีเข้า เข้มจึงรีบนาตัวกวงส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษา
และสัญญาว่าเมื่อเรียนจบจะรับกวงไปอยู่ด้วยกัน
รุ่งเช้าเข้มรับกวงไปส่งที่โรงพยาบาลหลังจากนั้นจึงไปนั่งเล่นที่แถวท่าพระจันทร์
ขณะสั่งน้าดื่มเข้มเห็นหนูตุ่นซึ่งขณะนี้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มากับเพื่อนชาย
ทาให้เข้มนึกถึงเรื่องราวในอดีตของเด็กหญิงคนนั้น ซึ่งแม้โตแล้วก็ยังคงขาวผอมบาง แต่กลับดูเข้มแข็ง
เขากลับถึงบ้านและเล่าให้แม่ฟัง ก็ได้รู้ว่าเพื่อนชายคนนั้น ชื่อวีรุทย์ ลูกชายนายตารวจ บ้านอยู่ติดกับหนูตุ่น
และเป็นเพื่อนสนิทของหนูตุ่นมาตั้งแต่เด็ก เข้มเองก็เคยพบแล้วเช่นกัน คุณอนันต์มาตามเข้มไปพบคุณพ่อ
เข้มก็ยังคงห่างเหินกับพ่อไม่เปลี่ยนแปลง โดยที่คุณอรรถไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเข้มจึงหยิ่งและห่างเหินกับพ่อนัก
แต่สาหรับเข้ม นานวันความรู้สึกกลับยิ่งฝังลึก
เข้มจึงปฏิเสธความช่วยเหลือทุกประการเกี่ยวกับหน้าที่การงานที่พ่อหยิบยื่นให้
พ่อบอกว่าแม่ของเขาขอร้องให้พ่อช่วยให้เข้มได้เป็นตารวจอยู่ในกรุงเทพฯเมื่อเรียนจบ
แต่เข้มกลับปฏิเสธพร้อมตอบว่า ตนต้องการจะไปทางานยังต่างจังหวัด
หลังเรียนจบ กลุ่มเพื่อนพากันไปฉลองตามแบบของพวกผู้ชาย เพื่อนเข้าใจเข้มจึงให้เลือกเฟ้นผู้หญิงให้เข้ม
แต่เขาปฏิเสธ เพราะเขามีความรู้สึกฝังลึก เรื่องแม่ซึ่งถูกกระทาไม่ผิดอะไรกับนางบาเรอเช่นกันมาตั้งแต่เขายังเด็ก
เข้มเคยคิดว่าหากเขามีครอบครัว เขาจะรักลูกเมียและจะไม่ทาให้เสียใจดังเช่นที่ตนเคยได้รับจากมาแล้วอย่างเด็ดขาด
เพราะมนุษย์มีจิตใจ มิได้มีเพียงความต้องการแค่มีข้าวกิน ส่งเสียให้เรียน มีบ้านให้อยู่ดังเช่นที่พ่อเข้าใจ
และมักจะตอกย้าเขาอยู่เสมอ
ความสัมพันธ์ของเข้มกับพ่อจึงเป็นแค่เพียงผู้มีพระคุณแต่สายสัมพันธ์ทางใจกลับเลือนหาย
เข้มปฏิเสธการรับทุนเพื่อไปศึกษาต่อด้านการสือสวนยังต่างประเทศ
เพราะเขาไม่ต้องการรับความช่วยเหลือใดๆจากพ่ออีก เขาหวังเพียงแค่เรียนจบ
แล้วออกไปทางานยังต่างจังหวัดเพื่อให้พ้น เข้มต้องการจะพาแม่ไปจากบ้านหลังนั้นด้วย
แต่แม่กลับปฏิเสธและให้เหตุผลว่า ถึงอย่างไรแม่ก็รักพ่อ ยังเป็นเมียของพ่ออยู่ไม่อาจจะทาเช่นนั้นได้
แม้เข้มจะขาดความรักจากพ่อ แต่เขาก็ได้รับการถ่ายทอดความหยิ่งทระนงและมีความภูมิใจในบรรพบุรุษจากตา
ซึ่งบรรพบุรุษของตาเคยเป็นถึงเจ้าเมือง ทาให้เข้มจดจาคาสอนของตาและยึดถือปฏิบัติเสมอมา
ส่วนหนูตุ่นหลังจากเรียนจบสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และครุศาสตร์ภายหลังแม่เสีย เพราะถูกรถชน
หนูตุ่นตัดสินใจไปเป็นนักพัฒนากร ตามคาชวนของวีรุทย์ ยังตาบลปุลากง อาเภอยะหริ่ง ส่วนวีรุทย์อยู่ที่อาเภอมายอ
โดยบ้านก็ให้เช่าไป ปุลากงเป็นตาบลที่เป็นชุมชนของไทยอิสลาม พูดภาษามลายูทั้งหมู่บ้าน
มีคนพูดภาษาไทยได้น้อยมาก ประชาชนมีอาชีพทานา ไม่มีร้านค้า ทั้งตาบลมีโรงเรียนเดียว ทางด้านอนามัยไม่มีส้วม
เด็กเป็นโรคหิดและโรคผิวหนังมากที่สุด หนูตุ่นต้องเตรียมตัวอย่างมากโดยเฉพาะด้านภาษา
เพื่อเตรียมตัวให้เข้ากับชาวบ้านให้ได้มากที่สุด สิ่งที่เธอได้รับมิใช่เงินเดือนซึ่งเป็นค่าตอบแทนเพียงน้อยนิด
แต่เป็นความภาคภูมิใจที่ได้และมีส่วนเป็นบุคคลที่มีค่าในวงสังคมเพื่อนร่วมชาติ
- 3. ก่อนจะมาส่งหนูตุ่นที่ปุลากง วีรุทย์ขอเลี้ยงส่งกันเพียงลาพังและได้พูดคุยกันถึงเรื่องส่วนตัว
ทั้งสองฝ่ายเปิดเผยว่ายังไม่มีคนรัก เพราะคนรอบข้างต่างคิดว่าทั้งสองเป็นคู่รักกัน
เนื่องมาจากเห็นความสนิทสนมตั้งแต่เด็ก ทั้งๆที่ความจริงแล้วทั้งสองเป็นได้แค่เพื่อนที่สนิทกันมากที่สุดเท่านั้น
เมื่อศุภรา ( หนูตุ่น ) มาถึงปุลากง ก็ได้เข้าพักที่บ้านครูใหญ่และได้สนิทสนมกับคอดีเยาะลูกสาวของครูใหญ่
คอดีเยาะพาครูคนใหม่ไปแนะนาให้เพื่อนๆรู้จัก และไปโรงเรียนปาโฮะกาเยาะกัน
ศุภราส่งข่าวให้หัวหน้าศูนย์พัฒนาอาเถอทราบถึงผลงานที่ชาวบ้านประชุมตกลงร่วมมือร่วมใจจะซ่อมถนนจากหมู่บ้
านปุลากงไปยังโรงเรียน วันรุ่งขึ้นงานซ่อมถนนก็เริ่มต้นขึ้น ช่วงบ่ายคณะเจ้าหน้าที่ตามครูใหญ่มาเยี่ยมปุลากง
มีนายอาเภอ หัวหน้าศูนย์ฯ และร้อยตารวจเอกศกร ( เข้ม ) ซึ่งเพิ่งย้ายมาประจาที่ยะหริ่งได้ ๖ เดือน
เมื่อได้รับการแนะนาศุภราจึงจาได้เข้มได้ว่าเป็นคนข้างบ้านเก่านั่งเอง ช่วงเย็นชาวบ้านกินอาหารร่วมกันที่กลางนา
โดยนางหะวอ เมียครูใหญ่และพวกผู้หญิงช่วยกันทาอาหาร กลุ่มเจ้าหน้าที่ร่วมรับประทานด้วย
เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวบ้าน ศุภราได้รับคาชมเรื่องการทางานได้ดี เธอจึงปรึกษาหัวหน้าศูนย์ฯ
เรื่องขอทุนการศึกษา เพื่อที่จะขอให้กับนะพี เด็กกาพร้าพ่อแม่ถูกฆ่าตาย ผู้ใหญ่บ้านจึงเลี้ยงไว้
นะพีเป็นเด็กฉลาดเรียนเก่ง และอีกทุนจะขอให้คอดีเยาะ หัวหน้าศูนย์ฯเห็นด้วย แต่ขอให้ดูให้ดี
ให้เลือกคนที่จะทาประโยชน์ให้กับชุมชนจริง เพราะบางคนได้รับทุนมีการศึกษาและกลับทิ้งถิ่น
ตอนเย็นหลังอาหารแล้วชาวบ้านก็มีการแสดงการชนวัวให้ดูวีรุทย์ได้มาเยี่ยมศุภราจึงได้พบกับเข้ม
วีรุทย์ชื่นชมเข้มที่เป็นตารวจที่ดี ซึ่งหายาก หลังจากงานซ่อมถนนเสร็จ หนูตุ่นสอนให้นักเรียนกาจัดเหา
และตระเตรียมการสร้างส้วมประจาโรงเรียนนะพีหายไปตอนครูใหญ่มาบอกข่าวเรื่องจะมีโจรผ่านมาทางหมู่บ้านให้
ทุกคนระวังตัว ตอนค่ามีตารวจมาลาดตระเวน ครั้งตกดึกก็มีการยิงปะทะกัน หลังจากเสียงปืนสงบ
เข้มมาขอพักที่บ้านครูใหญ่ เพราะมีตารวจได้รับบาดเจ็บ เข้มขอให้หนูตุ่นทาแผลให้ที่แขน พร้อมเล่าเรื่องโจรให้ฟัง
ก่อนจะขอให้ครูใหญ่ให้ความร่วมมือหากพบสมุนโจรที่กลับใจส่งข่าวให้ตารวจซึ่งยังกบดานอยู่แถวนี้
เข้มมั่นใจว่ากลุ่มโจรจะต้องกลับมาอีก เพื่อตามล้างแค้นการีมสมุนโจรคนนั้น
รุ่งขึ้นตารวจพานะพีมาส่ง นะพีจึงเล่าให้ฟังเรื่องสมุนโจรที่พบและให้เขานาข่าวมาบอกตารวจ
หลังจากเหตุการณ์สงบลง หนูตุ่นเริ่มงานสร้างส้วมโรงเรียนและได้ข่าวจะมีคนมาช่วย ซึ่งเป็นชาวบ้านแถบนี้
ชื่อมัยมูเนาะ เป็นลูกสาวกานันชาวไทยอิสลาม ตกเย็นหลังเลิกงานก็แยกย้ายกันกลับบ้าน หนูตุ่น นะพีคอดีเยาะ
ได้พบกับสมุนโจรถูกยิงบาดเจ็บ นะพีบอกว่าเขาชื่อการีม เป็นสมุนโจรที่ถูกตามล่า
การีมของความช่วยเหลือจากหนูตุ่น และขออย่าให้บอกตารวจเพราะเขาจะถูกกลุ่มโจรฆ่าตายก่อนที่ตารวจจะพบ
หนูตุ่นจาเป็นต้องช่วยเหลือการีมเพราะเห็นแก่มนุษยธรรม และตั้งใจว่าจะแจ้งให้ตารวจทราบในภายหลัง
สามวันต่อมาอาการของการีมดีขึ้น หนูตุ่นตั้งใจจะให้เขาเข้าหมู่บ้านและรับการรักษาจากอนามัย
ซึ่งจะเข้ามาเยี่ยมหมู่บ้านพรุ่งนี้เช้า การีมเล่าอดีตของเขาให้เธอฟัง เขาเป็นไทยพุทธชื่อศักดิ์สิทธิ์
เป็นนักเรียนเตรียมอุดม มีเพื่อนสนิทชื่อสุไลมาน ซึ่งหน้าตาคล้ายกับเขามาก
ต่อมาเขาเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรียนได้ ๒ ปี ทางบ้านเกิดปัญหาพ่อมีเมียน้อย
แม่ตรอมใจตาย เขาจึงเลิกเรียนและได้พบกับสุไลมานที่ยะลา สุไลมานชวนให้เขามาทางานด้วย
แต่เมื่อเข้าไปทางานด้วยแล้วจึงรู้ว่าสุไลมานเป็นโจร เพราะต้องการแก้แค้นให้พ่อที่ถูกฆ่าตาย
ตอนแรกเขาก็เห็นด้วยกับการกระทาของเพื่อน แต่ต่อมาเพื่อนของเขาเปลี่ยนไปโหดร้ายขึ้น
- 4. เขาจึงพยายามหนีแต่ก็ถูกตามจับได้ ภายหลังสุไลมานสลักชื่อสุไลมานไว้ที่ข้อมือของเขา
เพื่อหลอกลวงให้เขาถูกฆ่าตาย ตารวจจะได้เข้าใจว่าเป็นศพของสุไลมาน
ขณะที่เล่าเรื่องสุไลมานกับพวกตามมาพบ และจับตัวการีมกับหนูตุ่นไป
ส่วนนะพีหลบอยู่ใต้แคร่จึงลอดไปได้ สุไลมานจะฆ่าการีมกับหนูตุ่นที่ชายน้า การีมให้เธอดาน้าหนีไป
พอดีกับที่ตารวจล้อมจับและช่วยศุภราไว้ได้ หลังจากเหตุการณ์สงบ
เข้มต่อว่าหนูตุ่นเรื่องทาเกินหน้าที่ให้ความช่วยเหลือสมุนโจร จึงทาให้เหตุการณ์ต่างๆเลวร้ายลง
กว่าจะฆ่าหัวหน้าโจรสุไลมานลงได้ เข้มต้องเสียตารวจไปถึง ๓ คน
ครอบครัวลูกเมียของตารวจเหล่านั้นต้องได้รับความเดือดร้อนเพราะขาดหัวหน้าครอบครัว
หนูตุ่นเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเจ็บใจที่เข้มต่อว่าเธออย่างรุนแรง
แต่เธอมิได้รู้ว่าหลังจากเข้มส่งเธอถึงหมู่บ้านแล้ว ก็ยังเฝ้าดูอยู่อย่างห่วงใย
ขณะที่นางหะวอจัดการอาบน้าทาความสะอาดให้เธอ
หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป ๓ วัน
ศุภราเตรียมเก็บของเพราะคิดว่าตารวจจะต้องรายงานให้หัวหน้าศูนย์ฯทราบถึงการกระทาของเธอ
และคงจะต้องถูกคาสั่งย้ายอย่างแน่นอน แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปหลายวัน ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ
ศุภราจึงทางานของเธอต่อไป โดยมีมัยมูเนาะ ครูคนใหม่เป็นผู้ช่วย
วีรุทย์มาเยี่ยมเธอและเล่าถึงเหตุการณ์ที่หนังสือพิมพ์ลงเรื่องสมุนโจรกลับใจเข้ามอบตัวและเข้มได้รับการเลื่อนยศจา
กการปราบปรามโจร ศุภราจึงได้รู้ว่าศักดิ์สิทธิ์หรือการีมยังไม่ตาย โดยไม่มีใครกล่าวถึงแม้แต่วีรุทย์ก็ยังไม่รู้
ตัวเขาชอบพอมูเนาะ จึงไปมาหาสู่งปุลากงบ่อยขึ้น
ศักดิ์สิทธิ์กลับมาขออยู่ที่ปุลากง โดยพักอาศัยอยู่ที่บ้านครูใหญ่เขาได้รับการต้อนรับอย่างดีจากชาวบ้าน
เพราะเคยช่วยเด็กหญิงที่ถูกโจรจับตัวไปเรียกค่าไถ่
ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่อยากลับไปหาพ่อที่ภูเก็ตจึงขออาศัยอยู่ที่หมู่บ้านป่าลีซึ่งเป็นไทยพุทธ เข้มได้พบกับวีรุทย์และมูเนาะ
จึงได้รู้เรื่องความเป็นไปที่ปุลากง เรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์กลับมาจากพบพ่อที่ภูเก็ตแล้ว แม้พ่อจะยกมรดกให้
แต่เขากลับปฏิเสธและขอกลับมาอยู่ที่ปุลากง โดยทาหน้าที่ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และสอนภาษาไทยให้กับชาวบ้าน
ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าศักดิ์สิทธิ์ชวนศุภราไปภูเก็ต และอยากให้อยู่สอนหนังสือที่ภูเก็ต เข้มถึงกับรีบเข้าปุลากงทันที
โดยที่เข้มเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกตนเองว่าเพราะเหตุใดจะต้องสบายใจเมื่อรู้ว่า วีรุทย์มิได้เป็นคนรักของศุภรา
อย่างที่ใครๆเข้าใจกันมาโดยตลอด
เมื่อมาถึงปุลากง เข้มเตือนศุภราเรื่องให้ระวังศักดิ์สิทธิ์ และบอกให้เธอรู้ว่าศักดิ์สิทธิ์นั้นรักเธอ
ซึ่งเธอเองแม้จะปฏิเสธคาบอกเล่าของเข้ม แต่ก็รู้ดีว่าสิ่งที่เขาบอกเป็นความจริง
คืนนั้นเข้มขอค้างที่บ้านครูใหญ่ด้วยเพราะเย็นมากแล้ว เข้มเป็นไข้ศุภราจึงนายาและผ้าห่มมาให้
เขานึกถึงความรู้สึกที่มีต่อศุภรา
แต่ด้วยความผูกพันที่มีต่อแม่ทาให้ความทุกข์ทางใจของแม่มีอิทธิพลเป็นแผลเกาะกินใจเขาตลอดเวลา
ทั้งนี้เป็นผลการกระทาอันคาดไม่ถึงของผู้ใหญ่
รุ่งเช้าวีรุทย์กลับมาเล่าถึงความสัมพันธ์ของตนกับมูเนาะ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่คือเรื่องศาสนา
- 5. และตัวเขาเองกาลังจะย้ายไปเป็นพัฒนากรในท้องถิ่นที่มี ผกค. ( ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ )
จึงขอฝากให้ศุภราดูแลมูเนาะให้ ศักดิ์สิทธิ์กลับมาจากอาเภอส่งข่าวเรื่องทุนของนะพี
และมอบบัตรเชิญร่วมงานชาวชมรมธรรมศาสตร์ปัตตานีให้ศุภรา เธอชวนศักดิ์สิทธิ์ไปร่วมงานด้วย
แต่เขากลับปฏิเสธ เมื่อวีรุทย์อ่านกาหนดการความรู้สึกของศักดิ์สิทธิ์จึงเหมือนหนามแหลมทิ่งแทงหัวใจ
ถ้าเขามีสติสักนิดในวันนั้น คงไม่ต้องชอกช้าเช่นนี้
ศักดิ์สิทธิ์ทวงถามเรื่องอยากให้ศุภราไปเที่ยวบ้านที่ภูเก็ต เพราะพ่อของเขาอยากพบเธอมาก
เขาเล่าให้ท่านฟังถึงเรื่องความช่วยเหลือต่างๆที่เธอมีต่อเขาและให้กาลังใจเขาเสมอมา
เธอจึงรับปากหากว่าวีรุทย์และมูเนาะจะไปด้วย ศักดิ์สิทธิ์ระบายความในใจที่มีต่อเธอออกมา เธอรู้ทั้งรู้ว่า
ถึงอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมาแต่งงานกับอดีตสมุนโจรสุไลมาน
เด็กๆจัดงานเลี้ยงส่งนะพีที่จะได้เข้าไปเรียนในจังหวัด ขณะช่วยเด็กๆแล่เนื้อเพื่อย่าง ศุภราถูกตัวต่อกัด
แต่เธอก็ยังคงสอนหนังสือตามปกติ จนเกิดอาการปวดกาเริบมากขึ้นจนเป็นไข้
ศักดิ์สิทธิ์ทาหน้าที่พยาบาลอย่างห่วงใย จนรุ่งเช้าครูใหญ่จึงไปตามหมอพร้อมกับแขกติดตามมาด้วยคือเข้ม
ซึ่งเมื่อเห็นศักดิ์สิทธิ์พยาบาลศุภราความไม่พอใจก็เพิ่มมากขึ้น
และเขาก็ได้เห็นว่าชาวบ้านนั้นรักและห่วงใยศุภรามากแค่ไหน
ในวันงานหนูตุ่นได้พบกับเข้ม เขาถามถึงเรื่องไปภูเก็ตและบอกว่าไม่เหมาะสมไม่อยากให้เธอไป
แต่เธอกลับมองว่าเข้มมองศักดิ์สิทธิ์ในแง่ร้ายเกินไป พร้อมว่าเข้มเรื่องการทางานหนักจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
เป็นคนที่เคยมีเรื่องทรมานทางด้านความรู้สึกทาเพื่อชดเชยอะไรบางอย่าง
คาพูดของเธอทาให้เข้มโกรธเพราะไปสะกิดแผลในใจของเขา
ศักดิ์สิทธิ์พาทุกคนมาแนะนาให้พ่อรู้จัก ศุภรา วีรุทย์ และมูเนาะได้รับการต้อนรับอย่างดี
ศุภราพยายามพูดให้เขาอยู่ที่ภูเก็ต เพื่อครอบครัวเพราะเขาได้รับการต้อนรับอยางดีจากทุกคน
และจะต้องเป็นผู้นาครอบครัวต่อไป น้องต่างมารดาของเขานั้นพิการ ศักดิ์สิทธิ์จายอมเพราะถึงอย่างไร่
ศุภราก็คงไม่ยอมใจอ่อนที่จะแต่งงานและอยู่กับเขาที่ภูเก็ตอย่างแน่นอน
ศกรได้รับคาสั่งให้ปฏิบัติงานลับร่วมกับตารวจมาเลเซีย
โดยทางราชการออกเป็นคาสั่งด่วนและกระจายข่าวว่า ศกรจะย้ายเข้ากรุงเทพฯ
ลูกน้องและชาวยะหริ่งต่างเสียดายกันมาก ก่อนรับคาสั่งเข้มรีบไปปุลากง เพื่อลาหนูตุ่น
แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อหนูตุ่นยังไม่กลับจากภูเก็ต เขาเสียใจที่เข้าใจความรู้สึกของตนเองช้าไป
เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้บอกกับศุภราอีกก็ได้ เมื่อเธอกลับมาถึงปุลากงตอนเย็น
จึงได้ทราบข่าวนี้จากครูใหญ่ว่าเข้มฝากมาลา
ส่วนวีรุทย์ก็ได้รับคาสั่งให้ไปปฏิบัติงานเป็นอาสาสมัครชุดคุ้มครองหมู่บ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ซึ่งสมัครไว้นานแล้วก่อนที่จะได้พบกับมูเนาะ จึงทาให้วีรุทย์จาเป็นต้องจากไปทั้งที่มีห่วง
จึงเขียนจดหมายฝากมูเนาะและลูกในท้องไว้กับศุภรา พร้อมสัญญาว่าจะกลับมาแต่งงานให้เรียบร้อย
วีรุทย์จากไปเดือนกว่าๆ ระยะแรกก็มีจดหมายมาเสมอ แต่ระยะหลังๆ ข่าววีรุทย์หายไป มูเนาะทุกข์ใจมาก
ครูใหญ่นาหนังสือพิมพ์เพื่อจะมาไว้ที่ห้องสมุดในศูนย์พัฒนาตาบลมาให้ศุภรา
ทาให้ได้รู้ข่าววีรุทย์ตายจากการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายที่ลอบโจมตี มูเนาะเสียสติจากข่าวนั้น
แต่ชาวบ้านทุกคนเข้าใจว่าถูกผีเข้า จึงนาตาเฒ่ามารักษาตามความเชื่อของเขา แม้ศุภราจะพยายามอธิบาย
- 6. ขอให้ส่งมูเนาะรักษาในโรงพยาบาลก็ไม่เป็นผล ในที่สุดมูเนาะก็เห็นภาพหลอนว่าวีรุทย์มาเรียกให้ตามไป
จึงเดินลุยน้าจนจมน้าถึงแก่ความตายในที่สุด เป็นการจบปัญหาทั้งมวลคอดีเยาะได้เข้ามาเรียนที่จังหวัด
ส่วนศุภราอยู่ต่อจนครบ ๒ ปีก็ถูกเรียกตัวเข้ากรุงเทพฯ ชาวปุลากงต่างรักและอาลัยเธอเป็นอย่างมาก
หนูตุ่นเข้ามารับตาแหน่งใหม่ในกองวิชาการ มีจิตรีเพื่อนสนิทเป็นผู้จัดการเรื่องบ้านจนเรียบร้อย
คุณปุ้มแวะมาเยี่ยมเธอและถามถึงเข้ม เนื่องจากเห็นว่าอยู่ภาคใต้เหมือนกัน
หนูตุ่นจึงได้รู้ว่าเข้มยังไม่ได้กลับกรุงเทพฯตามที่ทราบมา เพราะทางบ้านก็ไม่ได้รับข่าวคราวใดๆมาปีกว่าแล้ว
รู้เพียงว่ายังมีชีวิตอยู่ เพราะมีเงินเดือนส่งมาให้ทุกเดือน
หนูตุ่นได้รับคาชวนจากเพื่อนให้ไปเยี่ยมอาสาสมัครที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ จึงได้รู้ว่าเข้ม ( พันตารวจตรีศกร )
บาดเจ็บสาหัส มาจากหน่วยปฏิบัติการร่วมพิเศษที่ชายแดนภาคใต้ และผู้เจ็บไม่ประสงค์จะแจ้งให้ทางบ้านทราบ
หนูตุ่นมาเยี่ยมเข้มหลายครั้งแต่เขาหลับ จึงฝากบอกวิมลพยาบาลพิเศษไว้
อีกสองอาทิตย์เข้มอาการดีขึ้นจนสามารถกลับบ้านได้ วิมลตามกลับไปพยาบาลดูแลถึงบ้าน
เมื่อหนูตุ่นกลับจากราชการต่างจังหวัด เข้มก็มาหาถามเรื่องไปภูเก็ตกับศักดิ์สิทธิ์ และบอกเธอว่าเขาไปราชการลับ
แต่ไม่พบจึงไม่ได้พบกันเลยเป็นปี เข้มชวนหนูตุ่นไปทานข้าวที่บ้าน
ได้พบวิมลซึ่งอาสาทาอาหารกับมารดาของเข้มอย่างสนิทสนม หนูตุ่นจึงตั้งใจจะไม่ไปทานข้าวที่บ้านของเขาอีก
ศุภราเล่าเรื่องความในใจที่มีต่อเข้มให้จิตรีฟัง และพยายามกลับ้านค่าโดยแวะกินข้าวกับจิตรี
แต่เธอก็ทราบความเป็นไปของเข้มเพราะพบกับคุณปุ้มทุกเช้า คุณปุ้มว่าเข้มจะแต่งงานกับวิมล
เพราะเห็นปรึกษากับคุณพ่อเรื่องแบ่งโฉนดที่ดิน โดยคุณพ่อจะปลูกบ้านให้
แต่เข้มปฏิเสธเพราะยังไม่ได้ปรึกษากับคู่รัก คุณพ่อจะซื้อแหวนหมั้นให้ก็ไม่เอา จะซื้อเองเป็นแหวนเพชรวงเล็กๆ
ต่อมาก็เล่าว่าวิมลจะไปเรียนต่อที่อเมริกา คงจะจะตามไปแต่งงานกันที่นั่น
ศุภราเห็นว่าถึงเวลาที่เธอจะต้องทาใจให้สงบ เพื่อนๆแนะนาให้เธอรับทุนไปต่างประเทศ แต่เธอก็ไม่ชอบ
จึงขอออกต่างจังหวัดแทน
เข้มได้รับคาสั่งให้ไปราชการลับต่างประเทศ ๑ เดือน ทั้งพี่และพ่อต่างสงสัยเรื่องงานแต่งงานของเข้ม
นางแพงศรีจึงถาม เข้มบอกว่าหลังจากกลับจากราชการแล้วเขาจะออกต่างจัดหวัดอีก อยากให้แม่ไปด้วย
แต่แม่ก็ยังยืนยันว่าทาไม่ได้
และขอให้เข้มนึกถึงบุญคุณของพ่อทาให้เข้มนึกถึงความหลังที่เป็นความทรมานฝังลึกในใจของเขาเสมอมา
เมื่อแม่ถามย้าเรื่องการแต่งงาน เข้มจึงบอกความรู้สึกที่มีต่อหนูตุ่น
แม่จึงบอกให้เขาจัดการเรื่องหัวใจของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนที่จะสายเกินไป
เข้มรู้จากคุณปุ้มว่าหนูตุ่นไปอบรมพัฒนาการที่ปัตตานี ๓ เดือน
จึงลางานและเดินทางไปหาเธอเพื่อบอกความในใจก่อนที่จะเดินทางไปต่าประเทศ ขณะอยู่บนรถไฟ
เข้มยังนึกถึงคาพูดของบิดาก่อนจากมาว่าท่านต้องการให้เข้มย้ายเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯ
เพื่อจะได้สะดวกสบายซึ่งใครก็อยากได้แต่เขาปฏิเสธเสมอมา ทาให้พ่อไม่เข้าใจและว่าเข้มทาตัวเป็นนักกินอุดมคติ
ทั้งที่ได้ตามอุดมคติของตนเองมานานพอสมควรแล้ว
และหากเข้มไม่เชื่อฟังจะไปอยู่ต่างจังหวัดไกลๆก็จะไม่ยอมให้เอาแม่ไปด้วย
เมื่อถึงปัตตานีเข้มพบเพื่อน ซึ่งอาสาให้ขอยืมรถใช้ เข้มรู้จากศูนย์พัฒนาว่า วันหยุดศุภราจะไปอยู่ที่ปุลากง
เขาจึงรีบตามไปพบเธอที่นั่น สร้างความประหลาดใจให้กับเธอยิ่งนัก เข้มบอกว่ามาลา และมีธุระจะคุยด้วย
- 7. ขอให้ศุภราเข้าเมืองไปด้วยกัน ระหว่างทางรถเกิดเสีย และเป็นเวลามืดแล้ว
ศุภราเห็นกลุ่มคนเดินมาทั้งสองจึงทิ้งรถและหลบเข้าป่าข้างทาง คนกลุ่มนั้นยิงรถหลายนัดก่อนจะออกค้นหาคน
แต่ไม่พบจึงเดินจากไป เข้มและศุภราจึงหลบอยู่ที่นั่น เขาบอกความในใจของตนต่อศุภราและขอเธอแต่งงานด้วย
โดยที่ทั้งสองตั้งใจจะทางานเพื่ออุดมคติ อย่างน้อยชีวิตหนึ่งที่เกิดมาเป็นคน
ก็ได้ทาประโยชน์เพื่อเพื่อนร่วมชาติร่วมโลกที่ใฝ่หาสันติและเสรีภาพ แม้ชื่อของเขาจะไม่เป็นที่รู้จักของใครก็ตาม
ตัวละครเรื่องปุลากง
๑.เข้ม
๒.หนูตุ่น
๓.พ่อ
๔.นางแพงศรี
๕.คุณฉะอ้อน
๖.คุณปุ้ม
๗.อดิศร
๘.อนันต์
๙.นางพิรุณ
๑๐.วีรุทย์
๑๑.เมียอดิศร
๑๒.นางพุ่ม
๑๓.กวง
๑๔.ครูใหญ่
๑๕.คาดีเยาะ
๑๖.นะฟี
๑๗.การีม
๑๘.สุไลมาน
๑๙.เจ้ามือวงไพ่
- 8. ๒๐.คุณจักร
๒๑.มูเนาะ
๒๒.วิมล
๒๓.นายอาเภอ
๒๔.ตารวจที่โดนยิง
๒๕.จีรภา
๒๖.จิตรี
๒๗.กลุ่มอาสาสมัคร
๒๘.ตารวจ (หลาย)
๒๙.ลูกน้องสุไลมาน
๓๐.ชาวบ้าน
๓๑.โจร๑-๔
บทละครเรื่องปุลากง
บทที่ ๑
เข้ม :ที่บ้านไม่มีใคร ผมมารับคุณพี่ ไม่ทราบว่าเธอเรียนดนตรีเสร็จหรือยัง (คุยกับนางพิรุณ)
นางพิรุณ :ครูอยากให้คุณปุ้ม เล่นทบทวนอีกสักสองสามครั้งถึงค่อยกลับ
คุณปุ้ม : ได้ค่ะ เข้ม..รอพี่ซักครู่นะจ๊ะ ได้ไหม
เข้ม :ครับ
นางพิรุณ:นั่งรอที่ระเบียงได้นะจ๊ะ
เข้มเดินออกมานั่งรอที่ระเบียงตามที่เจ้าของบ้านร้องบอก เมื่อเสียงเปียโนดังกระทบโสตประสาท
รอยยิ้มบางๆเกลี่ยที่มุมปากได้รูปของเด็กหนุ่ม เพลงนี้อีกแล้วที่คุณพี่เล่นไม่ได้ เธอเคยบอกเขาว่า เป็นคนพิการ
เขาไม่ให้ทาอะไรก็คิดว่าจะเรียนดนตรี อย่างน้อยเกิดยากจนก็จะได้รับเด็กๆมาสอนได้ คุณพี่นะไม่มีวันยากจน
ถึงพิการแต่คุณพ่อก็มีมรดกให้มากมาย ขึ้นชื่อว่าลูกเมียหลวงซะอย่าง เขาไม่เคยได้อะไรเท่าเทียมกับพี่น้องทั้งสี่คน
แม้แต่สิทธิ์ที่จะอยู่ในบ้านใหญ่
เสียงเปียโนที่บรรเลงนั้นทาให้รู้สึกถึงก้อนแข็งๆจุกอยู่ที่ลาคอ แม้จะพยายามฝืนกลืนลงไปมากแค่ไหน
ความรู้สึกเหล่านั้นก็ยังไม่หายไป ชวนให้นึกย้อนกลับไปยังอดีตที่แสนเจ็บปวด
- 9. พ่อ :จะเอาไปทาอะไรวะเข้ม ไวโอลินน่ะ ดนตรีมันเป็นของคนพิการโว้ย แกควรเอาใจใส่กับวิชาชีพมากกว่า
จบแล้วหางานทาเลี้ยงตัวเองให้รอด พ่อให้ได้แต่ความรู้ ทรัพย์สมบัติเป็นของคุณฉะอ้อนเขาแกก็รู้
จะรักดนตรีอะไรนักหนา
เข้ม :ก็คุณพ่อบอกผมว่า ถ้าสอบได้คะแนนสูงกว่าแปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์จะให้รางวัล ทีคุณอดิศรได้คะแนนต่ากว่าผม
คุณพ่อยังให้จักรยานเขา
พ่อ :แกจะไปเทียบกับอดิศรไม่ได้ แม่เขาซื้อให้ ฉันไม่รู้เรื่อง
เข้ม :แต่คุณอดิศรบอกว่าคุณพ่อซื้อให้!!
พ่อ :เอ๊ะ! ไอ้นี่..ไป ยังไม่ให้ ถ้าขืนแกจะเล่นดนตรีละก็มันต้องหาเช้ากินค่า ไอ้พวกนักดนตรีมันเร่ร่อนจะตายไป
(เข้มวิ่งชนพ่อออกไป ปิดประตูดังปิ้ง!!)
..ปัจจุบัน..
คุณปุ้ม : กลับบ้านกันเถอะเข้ม คิดอะไรอยู่หรือป่าว พี่เรียกตั้งหลายครั้งไม่ได้ยินหรือ
เข้ม : เปล่า..คิดเรื่องสอบครับ (เข็นรถเข็นคุณปุ้ม)
เข้ม :คุณพี่ไม่อยากไปทะเลบ้างหรือครับ
คุณปุ้ม : จริงสินะ เข้มบอกว่าไม่มีคนอยู่บ้าน เขาไปไหนกันล่ะ
เข้ม :หัวหิน… (เข็นมาถึงบ้าน, เข้มนั่ง)
คุณปุ้ม : เข้มอยากไปละซิ
เข้ม :ผมไม่เคยเห็น ก็อยากไปครับ
คุณปุ้ม : ค่าใช้จ่ายตอนไปโรงเรียน..คุณพ่อยังจ่ายเงินเท่าเดิมอยู่หรือ
เข้ม :ครับ ได้วันละสามบาท
คุณปุ้ม : แล้วพอซื้อข้าวหรอ สมัยนี้ข้าวจานละสองบาทก็ไม่พออิ่ม เด็กตัวโตอย่างเข้มพอกินหรือจ๊ะ
เข้ม :แม่ห่อข้าวให้ครับคุณพี่ ผมต้องแอบไปกินหลังห้องน้า เพื่อนมันชอบล้อว่าเป็นเด็กวัด ห่อข้าวมากิน
แต่ถ้าไม่ทาอย่างนั้นผมก็เรียนไม่รู้เรื่อง ปีหน้าผมก็จะสอบเข้าโรงเรียนเตรียม บางทีอาจจะต้องขอยืมเงินคุณพี่
แล้วจะหามาใช้
คุณปุ้ม : จะยืมเท่าไหร่ แล้วจะหามาใช้พี่ยังไง
เข้ม :จะขอยืมคุณพี่สักสามร้อยบาท ผมหามาใช้คุณพี่ได้ละกัน แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะบอกคุณพี่
คุณปุ้ม : พี่จะให้ยืมแต่ต้องสัญญานะว่าจะไม่ทาเรื่องผิดกฎหมาย
- 10. เข้ม :ผมไม่ได้ไปทางานนั้นบ่อยๆหรอกครับ ผมก็แค่อาศัยโชคเสี่ยงดูก็เท่านั้น
คุณปุ้ม : แสดงว่าไม่ค่อยถูกกฎหมายสินะ
เข้ม :คุณพี่ฉลาด แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะบอก (เข้มลุกจะเดินออกไป)
คุณปุ้ม : นั่นจะไปไหน
เข้ม :จะกลับบ้านไปทานข้าวครับ
คุณปุ้ม : พาพี่ไปด้วยสิ นั่งทานคนเดียวเหงาจะตายไป เดี๋ยวพี่ให้นังเติมยกอาการตามไป
เข้ม :นังเติมปากสว่างจะตายไป พอคุณฉะอ้อนกลับมาคุณพี่จะโดนดุได้
คุณปุ้ม : ช่างคุณแม่ประไร จะบ่นไปได้สักเท่าไหร่กัน (เข้มพยักหน้า แล้วเข็นรถเข็นไป)
บทที่ ๒
กวง : คุณนายเธอถามหาอานายเข้ม..พอดีมีเจ้ามือคนใหม่มันเงินหนา อีอยากให้อานายเข้มไปกู้หน้าให้อีหน่อย
นะอานายเข้ม..
เข้ม :ไม่..แกก็รู้ว่าฉันทาเฉพาะยามจาเป็น
กวง : อั๊วก็บอกอีไปแล้วว่าอานายเข้มไม่ได้เล่นเพราะติดงอมแงม มันก็บอกว่าคนเล่นการพนันนะมันมีผีเข้าสิง
เข้ม :แต่ผีมันไม่เข้าสิงฉันโว้ย ตอนนี้ขอยืมเงินคุณปุ้มได้แล้ว ฉันไม่อยากเล่นจนติดเป็นสันดานแบบพวกแก
กวง : อานายเข้มจะไม่ช่วยคุณนายจริงๆหรอ
เข้ม :ไม่โว้ย (มองนาฬิกา) นี่ก็ได้เวลาแล้ว ฉันจะไปรับคุณปุ้ม
บ้านครูพิรุณ
เข้ม :ที่บ้านไม่มีใคร ผมมารับคุณพี่
นางพิรุณ :อยู่หลังบ้านจ๊ะคุณเข้ม คุณปุ้มเธออยู่กับหนูตุ่น (เข้มเดินไป)
คุณปุ้ม : อ้าว เข้ม..วันนี้มารับพี่ช้าจัง นี่หนูตุ่นลูกสาวของครูพิรุณกับวีรุทย์ลูกชายนายตารวจที่อยู่ข้างบ้านครูพิรุณ
ทาความรู้จักกันไว้นะ (สองคนยกมือไหว้ เข้มมองๆแล้วกระตุกยิ้ม)
เข้ม :กลับกันเถอะครับคุณพี่
คุณปุ้ม : จ๊ะเข้ม (บ๊ายบายให้สองคน)
(เข็นรถเข็นเรื่อยๆ)
เข้ม :ที่บ้านใหญ่กาลังมีเรื่อง คุณอดิศรเขาพาเมียมากราบคุณพ่อและคุณฉะอ้อนที่ตึก เมียเขาก็ท้องโตหลายเดือนแล้ว
- 11. คุณปุ้ม : อดิศรเพิ่งจะเรียนพาณิชย์ปีหนึ่ง จะมีเมียมีลูกได้อย่างไร
เข้ม :ประเดี๋ยวก็รู้
(เข็นรถมาถึงหน้าบ้าน พาคุณปุ้มไปนั่งแล้วเข้มเดินออกมา)
คุณฉะอ้อน :ลูกชายของฉันอนาคตกาลังรุ่งเรือง แกไม่น่ามาเป็นมารขัดขวางความสาเร็จของเขาเลย
แล้วเด็กในท้องเอาออกได้ไหม ทั้งหล่อนทั้งอดิศรก็ไม่ต้องการไม่ใช่รึ
เมียอดิศร :หนูไม่คิดว่ามันจะเกิด
นางพุ่ม : ฉันบอกมันแล้วย่ะคุณนาย แต่มันบอกกลัวเจ็บก็เลยปล่อยจนท้องโตขนาดนี้
คุณฉะอ้อน :รู้แล้วย่ะ
นางพุ่ม : ลูกฉันก็อายุสิบสี่ปีเท่านั้นแหละ
พ่อ : แล้วยังไง
นางพุ่ม : ก็..พรากผู้เยาว์
พ่อ : (ปาบุหรี่ทิ้ง) เหอะ จัดการกันเองละกัน ฉันจะไม่ยุ่งด้วย ปวดหัวเต็มที
คุณฉะอ้อน :โอ้ย คุณก็ดีแต่เอาตัวรอด ดีแต่ก่อแต่แก้ไม่เป็นเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก เจ้าลูกชายตัวดีก็หาแต่เหาใส่หัว
นางพุ่ม : (ลุกขึ้นชี้หน้า) นี่นางคุณนาย ลูกชั้นไม่ใช่เหานะย่ะ
คุณฉะอ้อน :มันไม่ใช่แค่ลูกหล่อนนะซิย่ะ ถ้ายกโขยงมาทั้งตระกูล มาเกาะกินลูกชายฉันจะทายังไง
นางพุ่ม : แหม..ก็เรื่องธรรมดา ที่ฝ่ายผัวก็ต้องดูแลพี่น้องทางฝ่ายเมีย
คุณฉะอ้อน :โอย..จะเป็นลม (ทรุดตัวนั่ง) ฉันบอกแกแล้วนะอดิศรเวลาเลือกเมียให้เลือกลูกคนเดียว
อนันต์ : คุณแม่รักแต่หนูตุ่น ลูกสาวคุณพิรุณข้างบ้าน
คุณฉะอ้อน :หุบปากของแกเถอะอนันต์ แล้วแกจะทายังไงต่ออดิศร
นางพุ่ม : ก็จดทะเบียนรับอีหนูนี่มาอยู่ที่นี่ก็จบ
คุณฉะอ้อน : ว่าไง..แกจะรับนังหนูนี่ไหม ถ้าจะรับก็ให้นอนข้างล่าง แกไม่มีสิทธิ์พานังหนูนี่ขึ้นไปข้างบน
อดิศร : ครับคุณแม่
นางพุ่ม : ขอบใจย่ะ..ชะเอมอดทนนะลูก คนแก่มันอยู่ได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวเย็นๆจะให้น้องเอาเสื้อผ้ามาให้
(นางพุ่มเดินออกไป)
บทที่ ๓
- 12. บ้านครูพิรุณ
หนูตุ่น : ขโมย ขโมย รุทย์ ขโมยขึ้นบ้านเรา
วีรุทย์ : มาหาใครครับคุณเข้ม
เข้ม :คุณอัมพิกา
หนูตุ่น : ที่หลังก็เข้าทางหน้าบ้านซิคุณเข้ม
เข้ม :ทาไม ประตูหลังก็มี
หนูตุ่น : คุณแม่ไม่ให้ใช้ทางข้างหลังแล้ว
เข้ม :ทาไมก็ฉันจะใช้
หนูตุ่น : จะฟ้องคุณแม่พูดจาไม่เพราะเลยตัวโตเสียเปล่า ใครๆเขาก็เรียกคุณเข้มว่าเสือโคร่งทั้งนั้น แบร๋ๆๆ
วีรุทย์ : หนูตุ่น (กระตุกแขนเสื้อ)
เข้ม :ทาปากดีไปเถอะ แม่ตัวดี
หนูตุ่น : เขาพูดกันทั้งนั้นว่านายคนนี้นะขี้โมโห โกรธใครต่อใครไปทั่ว เพื่อนก็ไม่มีมี โกรธคนทั้งโลกหรือไงย่ะ
วีรุทย์ : หนูตุ่น.. (จับไหล่)
เข้ม :ปากจัด
หนูตุ่น : วีรุทย์ก็เคยเห็น เวลาเขามารับคุณพี่น่ะ หน้างออย่างกับตัวหมากรุก ที่บ้านไม่มีใคร..ผมมารับคุณพี่ (ล้อเลียน)
เข้ม :เด็กบ้าอะไร ปากจัดอย่างกับแม่ค้าในตลาด ถ้าเป็นผู้ชายจะลากมาต่อยให้ปากเจ่อ
วีรุทย์ : เอ่อ..คุณพี่อยู่ในบ้านกับครูพิรุณครับ
เข้ม :ขอบใจ (เข้มเดินเข้าบ้านไป)
คุณปุ้ม : มีอะไรหรือเข้ม
เข้ม :ผมเอาเงินมาคืนคุณพี่ ที่ยืมไปสามร้อยนะครับ
คุณปุ้ม : อ้าว ทาไมเร็วนักล่ะ
เข้ม :ทาไมจะต้องถามผมด้วย
คุณปุ้ม : เข้ม..(ดึงเก้าอี้ข้างๆให้เข้มนั่ง) เมื่อไหร่จะบอกพี่ได้ซักทีว่าเอาเงินมาจากไหน
เข้ม :ผมเคยบอกคุณพี่แล้วว่ามันเป็นความลับ
- 13. คุณปุ้ม : ก็พี่สงสัย แล้วไหนว่าจะเอาไปสมัครเรียนโรงเรียนเตรียม
เข้ม :ผมว่าจะเรียนตารวจมันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
คุณปุ้ม : ทางออกอะไร
เข้ม :ผมก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง แต่.. นี่ครับเงินของคุณพี่
คุณปุ้ม : (รับเงิน) เข้มรู้ตัวรึป่าว ว่าคิดอะไรเกินวัย คิดมากจนไม่ยอมยิ้มให้ใคร
เข้ม :รู้ครับ แต่ไม่เห็นจาเป็นจะต้องยิ้มให้ใคร
คุณปุ้ม : เข้ม..พี่จะถามครั้งสุดท้ายนะ บอกพี่มาตามตรงว่าเข้มไปหาเงินนี้มาจากไหน พี่สัญญาว่าจะไม่บอกน้าแพงศรี
เข้ม :ผม..ไปเล่นไพ่
คุณปุ้ม : เข้มก็รู้ว่าการพนันมันไม่ดี ถ้าหากโดนจับจะว่ายังไง
เข้ม :ผมไม่เคยประมาท อีกอย่างลูกนายตารวจที่มาเล่นก็มี
คุณปุ้ม : ใครเป็นคนชวน แล้วไปเล่นที่ไหน
เข้ม :อย่าทราบเลยครับ คุณพี่สัญญากับผมแล้วนะว่าจะไม่บอกพ่อกับแม่ ผมต้องไปแล้ว (เข้มลุกขึ้นจะเดินออกไป)
นางพิรุณ :คุณเข้ม อยู่ทานข้าวกับครูก่อนสิจ๊ะ
เข้ม :ผะ..ผมไม่ว่างครับ ขอโทษที (รีบเดินออกไป)
บทที่ ๔
วงไพ่..เป็นแหล่งมั่วสุมของผีพนันที่ชอบเสี่ยงดวง เข้มเป็นหนึ่งในคนที่ร่วมวงพนันด้วย
เจ้ามือ : เอ้าลงเงินๆใครจะสู้ก็ลงเงินมา
(กล้องจับไปที่คนเล่นแต่ลงคน บท >> คิดสด)
กวง : อานายเข้ม ป๊อกอีกแล้ว
คุณจักร : อะไรวะ เดี๋ยวป๊อก เดี๋ยวป๊อก นี่พวกมึงโกงกันใช่มั้ย
เจ้ามือ : อะไรกันคุณจักร โกงเกิงอะไรกัน มาๆเล่นต่อเถอะ (สับไพ่แล้วแจก)
(กล้องจับมาที่เข้ม)
กวง : ไชโย อานายเข้มป๊อกออีกแล้ว ห้าห้าห้า
คุณจักร : นี่มันโกงกันนี่หว่า มึงสมรู้ร่วมคิดกับไอ้เด็กเปรตนี่โกงกูใช่มั้ย
- 14. เจ้ามือ : ใจเย็นๆนะคุณจักร ไม่มีใครโกงใครหรอก ไอ้เด็กนี่มันเล่นได้เยอะเพราะดวงมันดี
คุณจักร : มึงโกงกู ไม่งั้น ไอ้เด็กนี่มันไม่ได้ทุกรอบหรอก
เจ้ามือ : คุณจักรพูดดีๆสิครับ
คุณจักร : กูจะพูดอย่างนี้ มีปัญหาอะไร พวกมึงโกงกูก็ต้องรับผิดชอบ (หยิบปืนออกมาเล็งที่เจ้ามือ)
เจ้ามือ : คุณจักรใจเย็นๆ วางปืนลงเถอะ
คุณจักร : ไม่เว้ย มึงต้องชดใช้ไอ้เจ้ามือ (ยิงเจ้ามือ)
(เกิดความวุ่นวาย มีคนมาห้ามคุณจักร กล้องจับไปที่ กวงกับเข้มที่วิ่งหนีไป)
กวง : เกือบซวยแหนะอานายเข้ม โชคดีที่ยังหนีทัน
เข้ม :เดี๋ยวไปหาที่หลบก่อนดีกว่า เย็นๆค่อยแยกย้ายกลับบ้าน
(เข้มกลับมาบ้าน)
พ่อ : อัมพิกาบอกฉันว่า เจ้าเข้มออกไปหาเงินเอง แม้แต่กางเกงขายาวยังไม่มีใส่ เงินที่ฉันให้ไปมันก็มากพออยู่
นี่เธอดูมันบ้างหรือป่าว นับวันจะเริ่มทาตัวเหมือนพวกกุ๊ย
นางแพงศรี : ดิฉันก็ดูแลอยู่ตลอดนะคะคุณ
พ่อ : เธอจะไปรู้เรื่องอะไร วันๆอยู่แต่ในบ้าน ฉันก็ส่งเสียให้มันเรียนโรงเรียนฝรั่งดีกว่าลูกบ้านนี้เสียอีก
ยังไม่รู้จักสานึกบุญคุณ ท่าทางหยิ่งผยองแบบนั้นถอดแบบพ่อของเธอมาไม่มีผิด
นางแพงศรี : ก็เข้มมีเลือดของคุณพ่ออยู่นี่คะ ดิฉันก็สอนลูกอยู่แล้วด้วย
พ่อ : แต่เจ้าเข้มมันหัวแข็ง อวดดี ใจกระด้าง คอยดูเถอะอีกไม่นานก็ต้องซมซานกลับมาพึ่งพาบารมีของฉัน
สมัยนี้ดูแค่ใบประกาศอย่างเดียวไม่ได้หรอก ต้องอาศัยเส้นสาย เธอก็อธิบายให้มันเข้าใจด้วยว่าต้องรู้จักเข้าหาผู้ใหญ่
ไม่ใช่ให้ผู้ใหญ่ยื่นมือเข้าช่วย
นางแพงศรี : เข้มไม่ใช่คนแบบนั้นนะคะ (เข้มเดินเข้ามา)
พ่อ : นั้นไง หายไปไหนมาละเจ้าเข้ม
เข้ม :ผมไปกับกวง
พ่อ : ทาอะไร
เข้ม :ผมอยากได้ไวโอลินและกางเกงขายาว อยากตัดเสื้อซักสองตัว และผม..ผมลงเรียนฟันดาบ
เขาเก็บค่าเรียนล่วงหน้า งานแสดงในวันคริสต์มาสผมเป็นหัวหน้าชั้น เป็นหัวหน้ากลุ่มโครงงานวิทยาศาสตร์
- 15. เราต้องแสดงกิจกรรมในงาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเสด็จทอดพระเนตร
ผมเป็นคนกราบบังคมทูลเกี่ยวกับงานของเรา..ผมไม่เคยมีกางเกงขายาว ใครๆเขาก็นุ่งกางเกงขายาวทั้งนั้น
พ่อ : ทาไมแกไม่ขอฉันตรงๆ แทนการทาตัวต่าช้าแบบนั้น
เข้ม :ผมเคยขอแล้วครับ
พ่อ : ฉันไม่รู้
เข้ม :ครับ
พ่อ : หมายความว่าไง
เข้ม :ผมช่วยตัวเองมานายแล้วครับคุณพ่อ ผมไม่มีทางเลือก
พ่อ : เลวทาม ผีพนันมันเข้าสิงแกนะซิ อย่ามาแก้ตัวเสียให้ยาก
เข้ม :ผมไม่ได้ถูกผีพวกนั้นเข้าสิง
พ่อ : เมื่อครู่นี้ตารวจมาตามหาแก เขาถามว่าแกอยู่ไหน มีคนฟ้องว่าแกอยู่ในที่เกิดเหตุ เขาทาท่าจะไม่เชื่อ
แต่ฉันยังมีอานาจอยู่บ้างพอจะคุ้มหัวแก
เข้ม :ผมกราบขอบพระคุณครับ
พ่อ : ไม่ต้อง ฉันแค่กลัวว่านามสกุลของฉันมันจะแปดเปื้อน นั่นแกจะไปไหน บอกฉันมาว่าแกไปก่อเรื่องอะไร
เข้ม :ผมแค่ไปหาเงินเท่านั้น
พ่อ : นี่เจ้าเข้มหยุดเดี๋ยวนี้นะ มาคุยกันให้รู้เรื่อง!
บทที่ ๕-๖
(เข้มกาลังแต่งตัว ทาแป้ง บลาๆๆๆ) (อนันต์รอที่ประตู)
อนันต์ : หวัดดีนายเข้ม
เข้ม :คุณอนันต์..มีอะไร ถึงมาที่นี่
อนันต์ : คุณพ่ออยากพบ
เข้ม :ขอบคุณ..ทาไมไม่ให้คนใช้มาตามละ ปกติไม่เห็นเคยลงมา
อนันต์ : ไม่มีใครว่าง..ก็เลยอาสาลงมา..อ้าว แล้วจะไม่ไปหรอ
เข้ม :ขอเปลี่ยนกางเกงก่อน (อนันต์เดินออกไปรอข้างนอก นางแพงศรีก็เดินเข้ามา)
นางแพงศรี : ไปพบพ่อก็ยิ้มแย้มด้วยนะลูก อย่าพกความไม่พอใจไปด้วย เดี๋ยวผู้ใหญ่จะหาว่าเราเป็นคนแข็งกระด้าง
- 16. เข้ม :ผมก็เป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร คุณพ่อเขาทราบดี
นางแพงศรี : นั้นแหละจ๊ะ แม่เตือนๆเท่านั้น (เข้มเดินตามหลังอนันต์ไปถึงเรือนใหญ่)
อนันต์ : ไปนั่งรอเถอะ เดี๋ยวคุณพ่อก็ลงมา (อนันต์เดินไปหาคุณฉะอ้อน เข้มยกมือไหว้คุณฉะอ้อน)
พ่อ : ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ้าเข้ม อัมพิกาเขาบอกว่าปีหน้าแกก็จะจบออกมาเป็นนายตารวจรึ
เข้ม :ครับ
พ่อ : บุหรี่ไหม
เข้ม :ผมไม่สูบ
พ่อ : ดี..ลูกบ้านนี้มันสูบกันทุกคน
คุณฉะอ้อน :ผู้ชายเขาก็สูบกันทั้งนั้นนี่คุณ
พ่อ : จบมาแล้วเขาจะให้ไปอยู่ที่ไหนละ
เข้ม :ผมไม่ทราบครับ
พ่อ : แกควรจะขอให้ฉันช่วยนะเข้ม จะได้ไม่ต้องออกไปลาบากที่ต่างจังหวัด
เข้ม :แต่ผมไม่มีความจาเป็นที่จะต้องขอร้องคุณพ่อนี่ครับ เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องทาตามคาสั่งจากทางราชการ
พ่อ : แต่ใครๆก็อยากอยู่ในกรุงเทพ ถ้าแกเป็นลูกชาวบ้านธรรมดาก็ว่าไปอย่าง แต่ฉัน..เป็นพ่อของแก
อนันต์เขาจะไปอเมริกาฉันก็ส่งเสียเขาไปเรียน แกก็เป็นลูกจะเอาอะไรก็ว่ามา จะให้ฉันไปขอร้องอ้อนวอนก็ยังได้
แต่คนอย่างฉัน..ต้องการให้ลูกเข้มแข็ง ไม่ใช่อ่อนแอเป็นไอ้หน้าตัวเมีย ต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง
แกจะเอายังไงก็บอกมา
เข้ม : ก็ผมเรียนให้ทราบแล้วว่าผมจะไม่ขอร้องใคร
พ่อ : ฉันถามว่าแกจะไปไหน
เข้ม :ผมจะออกต่างจังหวัด
พ่อ : คิดดีแล้วหรอที่จะไม่รับความช่วยเหลือจากพ่อของแก จะคิดแบบนั้นก็ตามใจ แต่แม่ของแกนั่นแหละจะลาบาก
เขามาหาฉัน เราคุยเรื่องของแกหลายวันแล้วเข้ม
เข้ม :ผมจะพาแม่ไปอยู่ด้วย คนที่เขาไม่มีเส้นสายทาไมยังอยู่ได้
ผู้ชายควรยืนได้ด้วยขาของตัวเองไม่ใช่คอยให้แต่พ่อแม่อุ้มชู ไอ้ผู้ชายแบบนั้นมันควรนุ่งกระโปรง
พ่อ : พอทีเจ้าเข้ม นี่ใครเป็นพ่อใครกันแน่วะ
เข้ม :ผมเพียงแต่อธิบายให้คุณพ่อฟังเท่านั้น
- 17. พ่อ : กลับไปคิดให้ดีเสียก่อน แล้วค่อยมาบอกฉัน
เข้ม :ผมคิดว่าตอบไปแล้ว
พ่อ : แกจะไม่ขอให้ฉันช่วยสินะ เหอะ..แกมันอวดดี ทะนงตนเหมือนตาของแก
อายุแกยังน้อยนักไม่เข้าใจหรอกว่าอุดมคติมันกินไม่ได้ ซักวันแกจะรู้ว่าเงินสาคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น
เข้ม :ผมจะใช้เงินของผม และมันก็ไม่เคยเป็นนายผม
พ่อ : แล้วฉันจะคอยดู (เข้มลุกออกไป อนันต์เดินตามไป)
อนันต์ : เข้ม..อาชีพตารวจ นายไม่กลัวตายบ้างรึไงวะ
เข้ม :ผมชอบและรักอาชีพนี้
อนันต์ : ไม่กลัวเมียเป็นม่ายรึไง
เข้ม :ผู้หญิงที่เป็นเมียผมจะต้องเข้มแข็งอดทน ผมไม่หาเมียที่อ่อนไหวหรอกครับคุณอนันต์
อนันต์ : พูดแบบนี้แสดงว่ามีใครที่แอบมองไว้แล้วสินะ ใครกันละ
เข้ม :ไม่จาเป็นต้องตอบ
อนันต์ : โมโหอีกแล้วรึนายเข้ม
เข้ม :ผมขอลากลับก่อน คุณแม่คงรอทานข้าวอยู่ (เข้มเดินออกไป)
บทที่ ๗-๑๒
หนูตุ่นหรือศุภรา นักพัฒนากรคนใหม่
เดินทางมาที่ตาบลปุลากงเพื่อพัฒนาชุมชนตามที่ได้รับคาสั่งจากทางราชการ
วีรุทย์ : หัวหน้าเขาจัดที่พักให้แล้ว ต้องเข้าไปรายงานตัวเมื่อไหร่หรอ
หนูตุ่น : ก็คงเป็นวันจันทร์ หรือไม่ก็วันอังคาร
วีรุทย์ : ก็ดีแล้วจะได้มีเวลาคุยกันเยอะหน่อย
หนูตุ่น : คงต้องขอคาแนะนาจากเธอเยอะเลย คงไม่รบกวนเวลาของเธอนะ
วีรุทย์ : ยินดีให้คาแนะนาเสมอ.. หมู่บ้านนี่ห่างไกลจากความเจริญเยอะ ชาวบ้านส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม
ทางเข้าหมู่บ้านเป็นดินแดง เดินทางกลางคืนอันตราย อาทิตย์นึงจะมีคนจากอนามัยมาดูแล
คาว่าอดทนต้องจาให้ขึ้นใจเลยละ
หนูตุ่น : แล้วงานของรุทย์ละเป็นยังไงบ้าง
- 18. วีรุทย์ : อีกปีกว่าคงจะเรียบร้อย คงจะได้ย้ายเข้ากรุงเทพก่อนหนูตุ่น
หลังจากที่แยกย้ายกับวีรุทย์ หนูตุ่นจึงเข้าไปรายงานตัวแล้วมาพบกับครูใหญ่ และอาศัยอยู่ที่บ้านของครูใหญ่
เช้าวันต่อมาครูใหญ่เรียกประชุมแนะนาศุภราให้กับชาวบ้าน
และวางแผนว่าจะเริ่มซ่อมแซมโรงเรียนและถนนที่ใช้สัญจรไปโรงเรียน
คาดีเยาะ : (วิ่งมาหาแล้วเอาน้ามาให้) เหนื่อยมั้ยคะครู นี่ค่ะน้า
หนูตุ่น : ไม่เหนื่อยจ๊ะ มีคนให้กาลังใจดีขนาดนี้จ้างให้ก็ไม่เหนื่อยจ๊ะ (นายอาเภอเดินมาพร้อมกับเข้ม)
ครูใหญ่: สวัสดีครับ มาเยี่ยมพวกเราหรอครับ
นายอาเภอ : ก็ได้ข่าวว่ามีการพัฒนาอาเภอก็เลยมาเยี่ยม ไหนละคนริเริ่ม
ครูใหญ่: นั้นไงครับที่กาลังโกยดินอยู่ คุณครูครับๆๆ มานี่หน่อยครับ (หนูตุ่นเดินมา)
ครูใหญ่: นี่แหละครับ พัฒนากรของเรา คุณศุภรารู้จักท่านนายอาเภอสิครับ
หนูตุ่น : สวัสดีค่ะ
นายอาเภอ : สวัสดีครับ ตัวเล็กนิดเดียวแต่ทาได้ขนาดนี้ เยี่ยมจริงๆ เออ..แล้วนี่ผู้กองคนใหม่ นายร้อยตารวจเอกศกร
หนูตุ่น : สวัสดีค่ะ (ศกรทาแบบที่ตารวจทาอะ) (แล้วเข้มก็เดินตามนายอาเภอไป)
คืนนั้น มีเด็กหายตัวไปจากบ้านครูใหญ่ เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้น
(มีเสียงเคาะประตู) เข้ม : ครูๆ ผมฝากคนเจ็บหน่อยครับ เปิดประตูหน่อย
เข้ม :ไม่มีอะไรแล้วละครับ เช้ามืดจะมีรถมารับคนเจ็บ.. ทาแผลให้หน่อยหนูตุ่น ที่แขนน่ะ แค่โดนถากๆ
(ลุกไปหยิบกล่องยา)
ครูใหญ่: ผู้กองเห็นตัวพวกมันรึยังครับ
เข้ม :ยังเลยครู แต่ได้ข่าวว่าพวกมันซ่อนตัวอยู่ ถ้าพบตัวมันช่วยส่งข่าวบอกด้วย (หนูตุ่นเดินเข้ามา)
หนูตุ่น : กินยาแก้ปวดหน่อยนะ (เอายาแก้ปวดให้คนโดนยิง)
เข้ม :เห้ย..เพิ่งกินเข้าไปตอนถูกยิง ขืนกินเข้าไปได้ตายพอดี
หนูตุ่น : ก็จะไปรู้ได้ไง (ทาเป็นหงุดหงิดนิดๆ แล้วก็ทาแผล)
คาดีเยาะ : แล้วนะฟีอยู่ที่ไหนคะ
เข้ม :(ยิ้มๆ) พรุ่งนี้เช้าเขาจะกลับมาจ๊ะหนู
ครูใหญ่: (หันไปบอกเมียกับลูก) ไปนอนได้แล้วไป
- 19. บทที่ ๑๓-๑๕
(หนูตุ่นกับคาดีเยาะเดินคุยกันเรื่อยๆ)
คาดีเยาะ : เมาะเคยบอกว่า แต่งงานกับเปาะตอนอายุสิบสี่นะค่ะ
นะฟี :ครูครับๆ
หนูตุ่น : นะฟีกลับมาแล้วหรอจ๊ะ
นะฟี :มีคนถูกยิงครับครู ตามผมมาครับ (สามคนวิ่งๆไป)
นะฟี :เขาชื่อการีมครับ คนนี้แหละที่ให้เงินผมแล้วให้ผมไปบอกตารวจ ครูช่วยเขาเถอะนะครับ
การีม : ซาลามัต
นะฟี :พวกโจรตามล่าเขามา แล้วถูกยิงที่ขา ตอนนี้เขาเจ็บปวดมากต้องการยาแก้ปวด เขาขอให้ครูช่วยเขานะครับ
หนูตุ่น : เราจะไปแจ้งครูใหญ่ เขาต้องการหมอมากกว่ายา และเราได้รับคาสั่งจากตารวจให้แจ้งข่าวว่าพบพวกโจร
การีม : ผมเดินทางมาหลายวันแล้วทาไมวันนี้จะไปต่อไม่ได้ ขอบคุณล่วงหน้าถ้าคุณไม่พูดถึงผม (การีมลุกแล้วก็เดิน)
หนูตุ่น : นายกาลังจะตายเพราะแผลนายอักเสบมากนะ (เข้าไปพยุง) พาเขาไปที่กระท่อมนั้นเถอะ (ช่วยกันพยุงไป)
เช้าวันต่อมา
หนูตุ่น : นี่ยาแก้ปวด กินซะ
การีม : ผมรู้ว่ายาของครูมันแพงมาก
หนูตุ่น : ช่างเถอะ ฉันอยากให้นายหาย จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันซะที
การีม : ดูเหมือนทุกคนอยากจะให้ผมไปให้พ้น
หนูตุ่น : ก็แน่ละ นายรู้มั้ยตั้งแต่นายมากอยู่ฉันต้องคอยเหลียวหน้าระวังหลัง เกือบจะเหมือนโจรไปทุกทีละ
การีม : คุณคงลาบากใจ เลยจะบอกตารวจ
หนูตุ่น : คุณรู้ได้ไง
การีม : ก็นะฟีบอกผม ผมอาจจะหนีไปคืนนี้
หนูตุ่น : นั้นก็เป็นสิทธิ์ของนาย ฉันจะกลับก่อนละ (หนูตุ่นเดินออกไป) (การีมผิวปาก)
หนูตุ่น : (หนูตุ่นเดินกลับมา) นายเป็นใครกันแน่คงไม่ใช่ลูกน้องสุไลมานที่ว่าใช่มั้ย
การีม : ใครว่าไม่ใช่ผมนี่แหละการีมที่คอยรับใช้สุไลมาน
- 20. หนูตุ่น : ฉันไปละ คืนนี้นะฟีจะมานอนเป็นเพื่อน พรุ่งนี้เช้าจะมีคนมารับนายไปที่โรงพยาบาล (การีมจับแขนหนูตุ่น)
การีม : เดี๋ยวก่อนสิครู คุยกันก่อนสิ แค่นี้ก็ต้องโกรธหรอ
หนูตุ่น : อวดดียังไงถึงทาแบบนี้ พูดดีๆก็ได้ไม่เห็นต้องจับไม้จับมือ
การีม : ก็ผมตามคุณไปไม่ได้หนิ
หนูตุ่น : มีอะไรก็พูดมา
การีม : ผมคือการีมสมุนโจรสุไลมาน (หนูตุ่นลุก) เดี๋ยวก่อนสิครูไม่ฟังต่อละ ไหนๆพรุ่งนี้ก็จะโดนจับแล้ว
ให้ผมเล่าอะไรให้คุณฟังหน่อยไม่ได้หรอ ผมเคยเป็นหัวหน้านักกีฬาคณะนิติศาสตร์
คุณคงจบธรรมศาสตร์ถึงได้จาเพลงนี้ได้ นี่คือรอยที่เขาทากับผมในวันที่ผมคิดหนี
แล้วนี่คือรอยที่สลักชื่อเขาไว้เพื่อผูกผมไว้กับตัวเขา (เปิดที่คอกับแขน) เพื่อต้องการเอาตัวรอด
วันไหนที่เขาจนตรอกเขาก็จะฆ่าผมแล้วซักทอดว่าผมคือสุไลมาน (เสียงพังประตู)
สุไลมาน :ฉลาดมากศักดิ์สิทธิ์ หนีฉันมาได้ไกลขนาดนี้ นั้นใครศักดิ์สิทธิ์ เมียแกหรอ
การีม : ไม่ใช่อะ
สุไลมาน :จับไปทั้งสองคนนั้นแหละ ปล่อยไว้ไม่ได้ เดี๋ยวปากโป้ง
การีม : อย่า!! (สุไลมานหัวเราะ) เห็นว่าผมจะตายก่อนคุณ
สุไลมาน :แกคงห่วงแม่คนนี้มากสินะ งั้นก็เอาหล่อนไปด้วยสิเพื่อนห้าห้าห้า
นี่หนู..การีมนะเขามีพ่อเป็นเศรษฐีที่ภูเก็ตนู้น อยู่กับเขาได้สบายไปทั้งชาติ
การีม : เธอจะไม่ไปไหนกับใครทั้งนั้น เธอเป็นคนของรัฐบาลถ้าแกยุ่งกับเธอจะมีคดีเพื่อขึ้น
ฉันจะไปกับแกเองแต่แกต้องปล่อยเธอไป
สุไลมาน : งั้นต้องฆ่าหล่อน ปล่อยไว้ไม่ได้เราจะลาบาก
การีม : งั้นเอาเธอไปด้วย (ถูกพาตัวไปแล้วก็เดินๆ)
สุไลมาน :มึงสองคนข้ามไปรอฝั่งนั้นก่อน ถึงเวลาแล้วเพื่อนฉันต้องทาวะ ขอโทษด้วยมันจาเป็นจริงๆ
การีม : แล้วผู้หญิงคนนี้ละ
สุไลมาน :แกก็พากันไปแต่งงานที่เมืองผีสิ ยากอะไรเล่า
การีม : ไอ้สารเลว ไอ้สัตว์นรก
สุไลมาน :หืมมม ตามสบายเลยเพื่อน ฉันเปิดโอกาสให้ด่าได้เป็นครั้งสุดท้าย ด่าเสร็จแล้วก็ลงไปในน้า
ตายในน้าแกจะได้ลอยไปในเมือง คนจะได้รู้ว่าสุไลมานตายแล้ว