SlideShare a Scribd company logo
1 of 57
Download to read offline
My Last Book:
สวนผักของตาน้อย
โดย ซานติอาโก
Inflation
Time line
PL Line
บทนา
หนังสือเล่มนี้ผมเขียนเพื่อให้กับคนที่ซื้อหนังสือเล่มก่อนของผม ในเนื้อหามีการใช้คาไม่สุภาพไม่
เหมาะสม แต่ไม่ได้มีเจตนาร้าย เพราะนั่นคืออารมณ์ของการเขียน กรุณาอย่านาไปดราม่า ผมไม่ได้
ประโยชน์อะไรจากการเขียน แต่ตั้งใจเขียนเพื่อขอบคุณก่อนจะอยู่เงียบ ๆ หนังสือสงวนลิขสิทธิ์ตาม
พระราชบัญญัติ ซึ่งวรรณกรรมแสดงสิทธิ์ของผู้แต่งตามการสร้างสรรค์ผลงานครั้งแรก เพื่อป้องกัน
ไม่ให้คนอื่นเอาไปหาประโยชน์ ผมไม่ได้หวงห้ามการเผยแพร่ ท่านจะทาก็ได้หากคิดว่ามีประโยชน์แต่
ถ้าหากมันเกิดโทษก็อย่าทาดีกว่าครับ ผมอยากให้มันเกิดประโยชน์แก่คนที่ผมส่งให้เท่านั้นครับ ผม
ฝากไว้ตรงนี้ว่าผมไม่สนับสนุนให้ใช้แนวคิดผมเพราะคิดว่ามันจะใช้ได้ ผมไม่เคยสอนให้ใครใช้วิธีการ
ผม ผมแค่เป็นคนแนะนาเล็กน้อยให้เขาค้นพบวิธีการของตัวเอง ผมไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการเขียน
หนังสือนี้ นอกจากความมันส์ตามประสานักเขียน
หนังสือนี้เขียนเป็นตอนเป็นบทความวันที่เสร็จก็จะมีการวมเล่มส่งให้ท่านอีกทีหนึ่งครับ
ลาก่อนและขอให้โชคดี
ซานติอาโก
31/7/2016
Table of Contents
บทนา.................................................................................................................................................................................................................................2
ขออภัย..............................................................................................................................................................................................................................1
จักรวาลการเทรด......................................................................................................................................................................................................3
สวนผักของตาน้อย.................................................................................................................................................................................................12
องค์ประกอบของสวน..........................................................................................................................................................................................20
ทุนและผู้ประกอบการ...............................................................................................................................................................................22
กว่าจะเป็นสวนผัก........................................................................................................................................................................................25
ปลูกอะไรดี?.................................................................................................................................................................................................................26
ถูกหรือแพง........................................................................................................................................................................................................27
ผักในสวน.............................................................................................................................................................................................................28
เมล็ดพันธุ์กับหัวใจของสวน...................................................................................................................................................................31
การเลือกสัดส่วนของแปลงผัก.............................................................................................................................................................32
การดูแลแปลงผักและเครื่องมือของตาน้อย........................................................................................................................................38
เมล็ดพันธุ์ที่ดี.....................................................................................................................................................................................................38
แมลง!! เพื่อนบ้านหรือศัตรู?.....................................................................................................................................................................40
ระบบน้า เส้นเลือดแห่งสวนผัก...........................................................................................................................................................44
เพื่อนบ้าน นักพรวนดินแห่งโนมแลนด์..........................................................................................................................................45
เมื่อฤดูกาลเก็บเกี่ยวมาถึง.................................................................................................................................................................................46
จักรวาลแห่งสวน............................................................................................................................................................................................47
ขายยกสวน หรือทยอยตัดขายดี?.......................................................................................................................................................48
ชาวสวนที่ดี..................................................................................................................................................................................................................49
ความสุขของชีวิต.....................................................................................................................................................................................................51
ขอบคุณ..........................................................................................................................................................................................................................53
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 1
ขออภัย
ขออภัยผู้อ่านทุกท่านที่จะบอกว่านี่คือเล่มสุดท้ายที่ผมจะเขียนอีกแล้วครับ ผมเขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อ
ขอบคุณท่าน ผมจัดส่งไปตาม E-mail ที่ท่านได้กรอกเอาไว้ หนังสือเล่มนี้จะเขียนไปเรื่อย ๆ จนจบ
ครับและส่งไปตามอีเมลล์ รวมเล่มครั้งสุดท้ายจะแนบให้ผู้อ่านครับ
ผมไม่รู้ว่าหนังสือเล่มก่อนหน้าของผมดีพอที่จะทาให้ตัวเองยังมีหน้าเขียนอยู่อีกหรือเปล่า? แต่นี่เป็น
ความรู้สึกขอบคุณครับ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สัญญาว่าท่านจะกาไรหรือทากาไรได้มหาศาล ในหนังสือเล่ม
ก่อนหน้าผมได้อธิบายไว้ชัดเจนแล้วว่าจะกาไรได้อย่างไร ต้องทาอย่างไรบ้าง ท่านไม่ต้องไปหาอะไรที่
อื่นอีกครับ เชื่อหรือเปล่าครับว่า ต่อให้มีสิ่งที่ดีที่สุดอยู่ในมือ แต่ถ้ามันอยู่ในมือของคนที่ไม่รู้และไม่
พยายามทาความเข้าใจอะไรเลย เขาก็จะไม่เข้าใจมันและใช้มันไม่เป็นเสียด้วยซ้า เขาอาจจะแสวงหา
สิ่งที่ดีกว่า คนก็เป็นอย่างนี้แหละครับ หลากคนก็หลากรูปแบบหลายสไตล์ ที่ผมพูดก็คือ ต่อให้เราบอก
วิธีการที่ทากาไรได้สูงสุดกับมือใหม่ไปสักคน เขาก็จะไม่เชื่อมัน และค้นคิดวิธีการของเขาอยู่ดี
มันน่าเสียดายที่คนเทรดเก่ง ๆ เขาไม่ค่อยมาเขียนหนังสือ ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมเก่งนะครับ แต่ผมคน
หนึ่งหล่ะที่รอดอยู่ในตลาด หลังจากหนังสือเล่มนี้ผมก็เข้าถ้าเหมือนคนอื่นนั่นแหละครับ นักลงทุนใน
โลกออนไลน์ที่ผมรู้จักชื่อของเขาผมมองไม่เห็นใครที่มีฝีมือจริงและเป็นที่ประจักษ์ด้วยสายตาของ
ตัวเอง แถมพวกจอมปลอมก็เยอะเรียกว่า 95 % ก็แล้วกันครับ จอมปลอมหวังหาเงินจากการสร้าง
ชื่อเสียงก่อนแล้วเอาชื่อเสียงมาทาเงิน มากกว่าที่ได้จากการเทรดครับ ผมเห็นบางคนแปลหนังสือขาย
ก็ได้เป็นอาจารย์กันแล้วครับ ผมว่ามันง่ายไปหน่อย บางคนโพสต์ให้มันดูลึกลับเข้าไว้ก็ดูล้ากว่าคนอื่น
แล้วหล่ะครับ บางคนใช้ความอยากรวยของคนอื่น ใช้ชื่อคาว่า Hedge Fund หรือการทางานเป็นเท
รดเดอร์ Hedge Fund สร้าง Story ขึ้นมา มันก็คงมีจริงแหละครับแต่ผมเป็นคนเชื่อยาก เพราะว่าถ้า
ไม่เห็นกับตาไม่รู้จะเชื่อไปทาไม แต่ต่อให้มันจริงมันก็คงไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับผมอีกต่อไปแล้ว
เพราะว่า ผมเลือกที่จะเทรดอยู่เงียบ ๆ ดีกว่า ลาพังการเทรดของผมก็มีรายได้พอที่จะไม่ต้องทางาน
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 2
ประจาได้แล้วครับ แต่ผมไม่มีความจาเป็นที่จะนั่งอยู่เฉย ๆ หายใจทิ้งไปวัน ๆ แล้วจมอยู่กับหน้าจอ
คอมพิวเตอร์ครับ มันน่าเบื่อ! และไม่ได้พิสูจน์ว่าเราจะเกิดมามีประโยชน์อะไรกับใครตรงไหน ผมเลือก
ทางานให้มูลนิธิฯ แห่งหนึ่ง ทางานวิจัยในระบบสุขภาพของไทยต่อไป เพราะมันสนุกดี ที่ทางานของ
ผมไม่มีเวลาเข้างาน ไม่มีเวลาออกงาน หัวหน้าของผมเป็นศาสตราจารย์เกษียณอายุคนหนึ่ง ซึ่งท่าน
โดนพิษการเมืองในสถาบันศึกษาทาให้ท่านไม่ได้ต่ออายุราชการ นั่นก็ทาให้ผมมองโลกนี้ว่าน่าเบื่อ
หน่ายครับ ไม่แตกต่างกับที่ผมเขียนหนังสือเพื่อให้ความรู้แต่ก็โดนพิษการเมืองนั่นแหละครับ พวกศิษย์
สานักก็ตามมารังควานเป็นปกติ ผมบอกได้เลยว่า มันทาให้ผมรู้สึก “สมเพศและไม่อยากแบ่งปัน
ความรู้อีกต่อไปแล้ว” ผมไม่ใช่พ่อพระนี่และไม่จาเป็นที่จะไปทาให้วงการดีขึ้น ใครจะขาดทุนก็ช่าง
หัวมันปะไร ปล่อยให้พวกมันไปตามพวกจอมปลอมหน่ะดีแล้วครับ ผมจะได้ทากาไรได้ง่าย ไม่ต้องใช้
Model ที่มันยากอะไรก็ทากาไรได้
ที่ออฟฟิศผม ผมต้องควบคุมตัวเองให้มาทางาน เพราะอยู่ที่บ้านผมคงไม่ค่อยจะทางานเท่าไหร่ ผมมา
ทางาน 8.30 และเลิก 5 โมงทุกวัน โดยไม่ต้องให้ใครมาว่ากล่าว หัวหน้าผมไม่เคยมาเฝ้ามาติดตาม แก
ก็เดินทางไปต่างประเทศ ประชุมสัมนา หางานวิจัยมาให้ทา ตามประสาข้าราชการเกษียณอายุ ผมอยู่
กับต้นไม้ที่ผมปลูกเอง ผมต้องควบคุมตัวเองไม่ให้เถลไถล ทางานตามเป้าหมายตัวเอง ทั้งหมดนี้บ่ง
บอกความเป็นตัวตนของผมผ่านหนังสือชื่อ “หนึ่ง” และ “เริญ” ซึ่งเลิกจาหน่ายแล้วเช่นกัน มันเป็น
ความสุขเพราะหัวหน้าให้อิสระในความคิดของผม ผมเสร็จงานและเสนองานไปแกก็จะคอมเม้นท์ นั่น
แหละครับคือช่วงเวลาที่ดีที่สุด เพราะเราครุ่นคิดอยู่ทั้งวันแล้วเอาไปให้ใครคนหนึ่งดูแล้วเค้าบอกว่า
ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ เพราะอะไร? ดีตรงไหนไม่ดีตรงไหน? แต่ว่ามันเหมือนจะเป็นงานในอุดมคติแต่ความ
จริงที่นี่ก็รับงานวิจัยตามหน่วยงานราชการทาให้มันขาดความเฉพาะทางอยู่เหมือนกัน เรียกว่าเก่ง
หลายอย่าง แต่ไม่เก่งจริง ๆ สักอย่าง ก็คงมีสักวันหนึ่งที่ผมจะมีศูนย์วิจัยของผมนั่นแหละครับที่ค้นคว้า
เกี่ยวกับเรื่องที่ผมสนใจเพียงอย่างเดียว งานวิจัยที่ดีคืองานวิจัยที่สร้างประโยชน์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้อง
รอให้ใครมาเห็นประโยชน์ของมันแล้วมาจ้างสิ่งที่ตามมาคือ อิทธิพลของผู้ให้ทุนที่จะแทรกแซงลักษณะ
การทางานและนโยบายหรือวิธีการเอาไปใช้งาน ซึ่งขัดหูขัดตานักวิจัยเป็นส่วนใหญ่ นั่นก็การเมืองครับ
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 3
ในทางทฤษฎีมันคิดได้ ทาได้ แต่ในทางปฏิบัติมันย่อมขัดกับคนจานวนหนึ่งซึ่งอาจจะนาไปสู่ข้อขัดแย้ง
ในสังคม
ในหนังสือเล่มนี้พูดเกี่ยวกับเรื่องตลาดหุ้นล้วน ๆ ครับ ในนี้แถม Model ที่ผมนาเสนอไว้ 1 อย่าง เป็น
โมเดลที่สามารถทาให้เราอยู่รอดอย่างยั่งยืนได้ แต่ไม่ใช่กาไรมากมายจนทาให้ท่านเป็นเศรษฐี ผม
พยายามใช้คาพูดรัดกุมเพราะว่า อยู่รอดอย่างยั่งยืน ไม่ได้หมายความว่าจะกาไรครับ การจะกาไรหรือ
เปล่าอยู่ที่ตัวท่านเอง ไม่ได้เกี่ยวกับ Modelเลย อย่างที่ผมบอกไว้ต่อให้ได้เครื่องมือที่ดีที่สุดไป ท่านก็
เอามันไปพังอยู่ดี เหตุเพราะอะไรนั้นหนังสือ “ฤดูหนาวของหมาป่า” อธิบายไว้หมดแล้ว การใช้
ประกอบกันทั้ง 2 เล่มถือว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมครับ
หนังสือเล่มนี้เขียนจากประสบการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นของผมเอง โดยถ่ายทอดเรื่องราวผ่านตัวละคร
ชื่อตาน้อย ซึ่งเป็น คนที่ผมรู้จักในชีวิตของผม เขาเป็นชาวสวนที่มีฝีมือ ตลอดชีวิตของเขาทาสวนมา
ตลอด ตลอดชีวิต 30 ปีของผม ผมมองชีวิตเขาและเรียนรู้พยายามทาความเข้าใจและเอามา
ประยุกต์ใช้กับตัวเอง เพื่อจะได้ให้ตัวเองได้เรียนเร็วขึ้นและไม่ต้องแก้ปัญหายุ่งยากมากนักในอนาคตที่
จะมาถึง เนื่องจากเราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นแล้ว ผมเชื่ออย่างนั้นนะครับ
จักรวาลการเทรด
ในจักรวาลมีดาวอยู่หลายล้านดวงแต่ละดวงมีขนาดแตกต่างกันแต่ละขนาดย่อมมีลักษณะทางกายภาพ
แตกต่างกัน เช่น แรงดึงดูด การเคลื่อนที่หรือลักษณะภายในเช่น จานวนพายุ ภูมิอากาศ ธรรมชาติ
วิทยา ในการเทรดก็ไม่แตกต่างจากนั้นเลย ทุกคนอาจจะเห็นมันเป็นแค่ราคา แต่เอาจริง ๆ แล้วมันก็
ประกอบด้วยหลายอย่างที่ซับซ้อน เรียกว่า “ความซับซ้อนของระบบ” หรือ Complex System ใน 1
จักรวาลประกอบด้วย กาแล็คซี่ ระบบดวงดาว ซ้อนอยู่ในนั้น เช่นเดียวกันที่เราอยู่บนกาแล็คซี่ทาง
ช้างเผือก (Milky Way) และในทางช้างเผือกมีระบบดวงดาวของเราเรียกว่า ระบบสุริยะ จากที่ผม
อธิบายตรงนี้ท่านเห็นอะไร? ท่านจะเห็นมันเป็นโครงสร้างใหญ่ ๆ และมาหาเล็กและเล็กลงเรื่อย ๆ
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 4
ผมเคยบอกเรื่องทานองนี้กับน้อง ๆ ที่เคยสอน แต่พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่ามันเกี่ยวกันยังไง เอา
จริง ๆ แล้วเราคงไม่ใช่คนแรกที่เทรดสาเร็จหรอกจริงไหมครับ มันต้องมีมาก่อนหลายครั้งเลยแหละ
ผมก็ใช้ความเชื่อนี้แหละครับในการศึกษาระบบเทรด เมื่อก่อนผมก็เหมือนทุกท่านพยายามหาว่าใคร
เก่ง แล้วไปตามศึกษาเขา ผมอยากจะศึกษาคนเก่งแต่ศึกษาไปศึกษามา ผมยิ่งมองไม่เห็นใครว่าจะเก่ง
ที่จะเป็นครูของผมได้ที่เทรดแล้วประสบความสาเร็จจริง ๆ ณ ตอนนี้ผมเชื่ออย่างนั้นเพราะว่าพอลงมือ
ค้นคว้าเกี่ยวกับใครซักคนแล้วพบว่า ไอ้ที่พวกนั้นเคลมไว้ มันเกินจริงไปละ แต่ก็มีนะครับพวกแนวทาง
Value Investing ไง พวกที่อยู่ในนี้เท่าที่ผมลงมือค้นคว้าแล้วพบว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นจริงและพิสูจน์ได้
จริงเป็นส่วนใหญ่ เราจะตัดเรื่องเกินจริงออกไป จะเหลือเค้าโครงของความจริงอยู่บ้างและน่าเชื่อถือได้
แต่เชื่อไหมครับ การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดชีวิต พวกนั้นก็กาลังเรียนไปด้วยเช่นกัน การเรียน
ไม่ได้บ่งบอกถึงความสาเร็จหรือกาไร
บางคนกาไรก็เรียนรู้ได้เช่นกัน
บางคนขาดทุนก็เรียนรู้ได้เช่นกัน
บางคนกาลังเรียนรู้แต่ก็ได้กาไรแล้ว
บางคนเริ่มด้วยการขาดทุนถึงได้เรียนรู้
บางคนเรียนรู้แล้วแต่ก็ยังขาดทุนและยังเรียนรู้ต่อไป
บางคนเรียนรู้แล้วกาไรแล้วแต่ก็ยังเรียนรู้ต่อไป
เพราะว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ทากันตลอดชีวิต ผมนั่งสารวจแนวคิดของใครหลายคน ผมพอรู้ว่าใครจับ
ต้องได้และจับต้องไม่ได้ การรู้ว่าใครจับต้องไม่ได้แต่เขาก็มีชื่อเสียงนั้นก็ทาให้ผมออกมานี่ไงหล่ะครับ
ฮ่า! ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี่ก็มีครูนะครับ ตัวผมเองไงหล่ะครับ ใครที่หาว่าเป็นครูผมโดยผมไม่ได้ยกย่อง
นั่นไม่ใช่ครูนะครับ ผมก็เคยเจอนะครับ ประมาณบอกว่า “มาเรียนวิชาของเขาแล้วก็มาโจมตีเขาอะไร
ทานองนั้น” ผมบอกได้ว่าผมไม่ได้เรียนอะไรจากเขา แม้ผมจะอยู่ในกลุ่มที่เขาสร้างขึ้นแต่ผมก็ไม่ได้
เรียนจากเขา ผมเรียนจากคนของเขาซึ่งแนวทางก็แตกต่างจากเขามาก ผมนับถือเพื่อนเขาเป็นครู แต่
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 5
ไม่ใช่ใครก็ตามที่เขากล่าวอ้างแน่ ฉะนั้นครูของผมที่ผมนับถือย่อมมีอยู่ครับ ของทุกอย่างเกิดขึ้นได้เอง
เสียเมื่อไหร่ มันมีเหตุของมัน จากที่ท่านอ่านมาทั้งหมดจะสังเกตุว่าผมชอบรับฟังคอมเม้นท์ และผมก็
ชอบคอมเม้นท์คนอื่น ผมแยกคาว่าคอมเม้นออกจากคาด่าชัดเจน เพราะว่า คอมเม้นท์ทาให้เราพัฒนา
เราได้รับคอมเม้นท์ทาให้เรารู้ว่าเราต้องพัฒนาตรงไหน แต่ผมไม่รับคาด่าครับ คาด่าหมายถึงคุณกาลัง
โกรธที่โดนวิจารณ์วิธีคิดของคุณ ซึ่งไม่ได้วิจารณ์ลักษณะตัวตนของคุณด้วยซ้า แต่นั่นเป็นนิสัยคนส่วน
ใหญ่ครับที่มักจะยอมรับคอมเม้นท์ไม่ได้ เพราะมันผิดกับหลักของวิวัฒนาการในมนุษย์ไปหน่อยที่ต้อง
มั่นใจว่าของตัวเองดีที่สุดเพื่อความอยู่รอด ก็ต้องออกจากระบบไปหล่ะครับหมายความว่าไม่สามารถ
รับคอมเม้นท์ได้อีกเช่นกัน เพราะไม่อยู่ฟังท่านแล้วนั่นเอง (เสียดายเช่นกัน)
ในเมื่อมองไม่เห็นว่าใครจะเป็นคนเก่ง ผมจึงหาครูใหม่ อันที่จริงระเบียบระบบวิธีการคิดของผมไม่ได้
พึ่งมีมาตอนหลังครับ การคิดเชิงระบบแบบนี้คิดมาตั้งแต่สมัยวัยมัธยมปลาย เรียกว่ามันเริ่มมากว่า 20
– 30 ปีแล้ว ในสมัยที่ผมเลิกศรัทธาในหนังสือตารา การหาแก่นสารของชีวิต การหาความรู้ที่ใช้ได้จริง
ความกังขาที่เกิดขึ้นในเด็กคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจว่า ทาไมเราต้องเรียนวิชานี้ด้วย ในเมื่อ เรามาโรงเรียน
เพื่อจะไปเป็นลูกจ้างในอนาคต ทาไมเราไม่เรียนวิชาที่จะเป็นลูกจ้างเลยและในเมื่อเป้าหมายของเรา
คือ เงิน ทาไมเราไม่ไปเรียนวิชาที่ทาเงินได้เลย จะมาเรียนวิชาเหล่านี้ไปทาไม? นั่นก็ความคิดเด็กอายุ
17 ที่สูญสิ้นศรัทธากับตรรกะของสังคมครับ ด้วยเหตุแห่งนั้น วิธีการเรียนรู้จากธรรมชาติรอบข้างจึง
พัฒนาขึ้นจากการสังเกตุ เช่น ทาไมกอข้าวในนาข้าวบางจุดถึงเขียวชะอุ่มกว่าอีกจุดหนึ่ง มีอะไรที่จุด
อื่นไม่มี คาถามที่ถูกตั้งแล้วตั้งอีกทาให้ค้นพบว่าระบบใด ๆ ในโลก (ยกเว้นนอกจักรวาล) ก็ใช้
ความสัมพันธ์เดียวกันหมด นั่นเป็นความเข้าใจที่ปลูกฝังจากการเรียนรู้และสังเกตุสร้างความเชื่อมั่นให้
ตัวเองผ่านกาลเวลามาเรื่อย ๆ ผมเลยเป็น System Engineer อย่างไม่รู้ตัวแต่ไม่ชอบบทบาทนี้เอา
เสียเลย ผมชอบชื่อ Alchemist มากกว่า นั่นแหละที่มาของสมมุติฐานเดียวที่ใช้ในหนังสือเล่มนี้และ
ชีวิตนี้ของผมครับ
ผมเป็นคนชอบดูสารคดีตั้งแต่เด็ก ผมชอบดูสารคดีเกี่ยวกับกาเนิดโลกจักรวาล หลายท่านอาจจะเคย
เห็นกระทู้เปรียบเทียบขนาดโลกกับสิ่งต่าง ๆ เช่น เปรียบเทียบขนาดโลกกับขนาดดวงอาทิตย์
เปรียบเทียบกับดวงจันทร์ หรือเปรียบเทียบกับขนาดของกาแล็กซี่ จนทาให้เรารู้ว่าเราเล็กกระจ้อย
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 6
ร่อยขนาดไหน ผมชอบนั่งดู เรียกว่าดูได้เป็นวัน ๆ นี่เป็นธรรมชาติของผมที่ผมรู้จักตัวเองมาตั้งแต่ 8 -9
ขวบในห้องสมุดโรงเรียน ผมเปิดภาพสารคดีดูประจา ขณะที่เด็กคนอื่นไปเล่นกัน ผมเชื่อว่านี่คือกล่อง
ของขวัญของผมครับ ด้านล่างนี้ผมได้หยิบภาพมาจากเว็บไซต์แห่งหนึ่ง เอาจริง ๆ เว็บไทยก็มีครับ จะ
เห็นว่าโลกนี้ใหญ่มากแต่เรามองขึ้นไปในสเกลที่ใหญ่กว่า เช่น ระบบสุริยะ มันทาให้โลกดูขี้ปะติ๋ว มอง
ออกไปนอกกาแล็กซี่มันทาให้เราดูยิ่งกว่าฝุ่นผงธุลี ผมจาได้ว่าสารคดีมันมีชื่อ สารคดีว่า The Know
Universe ครับ สามารถหาได้ตาม Youtube ทั่วไป แต่ท่านอาจจะคิดว่ามันไปเกี่ยวกับการเทรด
ตรงไหน? มันก็ไม่แตกต่างกันหรอกครับขึ้นอยู่กับมุมมองที่ท่านมองและพยายามทาความเข้าใจ
นอกจากโลกมันจะเล็กมากเมื่อเทียบกับ Observable Universe หรือจักรวาลที่สามารถสารวจได้
แล้วมันยังมีจักรวาลที่ไม่สามารถสารวจได้หล่ะครับ มันกว้างใหญ่มหาศาลเสียจริง ๆ ผมถามตัวเองว่า
“แล้วผมต้องรู้ทุกอย่างทั้งหมดนั้นหรือเปล่า?” คงไม่ต้องครับ ผมจาบทเรียนที่ได้จากหนังสือ กามนิต
วาสิษฐี อยู่เสมอที่พระพุทธเจ้าเทศนาเรื่องใบไม้สามใบ จะใบไหนก็ใบไม้เหมือนกันนั่นแหละครับจริง
ไหม ความจริงนอกโลกกับในโลกย่อมต่างกันเป็นธรรมดาแต่ผมว่าใช้สัจธรรมเดียวกัน เช่น ความไม่
แน่นอน
ถ้าหากเราเชื่อว่ามันศึกษาได้ไม่ต่างกันและใช้ระเบียบแบบแผนเดียวกัน ทาไมเราจะมองออกไปไกล
มองออกไปนอกโลกตั้งไกล ซึ่งไกลเกินไปที่จะศึกษาได้ เราลองเปลี่ยนมามองเฉพาะในโลกแล้วเริ่ม
Scale Down ก็ไม่แตกต่างกันครับ
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 7
ภาพลาดับโลกและระบบสุริยะและระบบจักรวาล
ที่มา: http://futurism.com/earth-compared-to-the-universe/
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 8
หากเราเทียบแค่ในสังคมมนุษย์ ยังไม่พูดถึงสังคมสิ่งมีชีวิตที่แบ่งเป็นอาณาจักร ไฟลัม ดิวิชั่น อะไรตาม
หลักของวิทยาศาสตร์แม้ผมจะชอบและเข้าใจอะไรแบบนั้นได้มากกว่า แต่เกรงว่าการเปรียบเทียบ
เรื่องนั้นอาจจะทาให้อธิบายให้เห็นภาพลาบากครับ มันดูยุ่งยากซับซ้อนและไม่ใช่วิธีการ Simplified
ที่ถูกต้องนัก
ตัวอย่างที่ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับในสังคมมนุษย์ในโลกเรา เราได้แบ่งโลกเป็นประเทศ ภายในประเทศ
แบ่งประเทศเป็นจังหวัด ภายในจังหวัดแบ่งจังหวัดเป็นอาเภอ ภายในอาเภอแบ่งเป็นเป็นตาบล เป็น
หมู่บ้าน แบ่งเป็นคุ้ม แบ่งเป็นครัวเรือน แบ่งอะไรได้ตั้งมากมาย เราลองมาศึกษาดูครอบครัวของเรา
เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้จะทาให้ท่านเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้นเพราะท่านย่อมรู้จักครอบครัวของท่านดีจริงไหม
ครับ ท่านไม่ต้องมาสนใจครอบครัวของผมหรือของใครมันจะมองภาพไม่ออกเปล่า ๆ
ในสังคมไทยเรามักเป็นครอบครัวขยายมาก่อน ก่อนที่จะเป็นครอบครัวเดี่ยว คือมี พ่อ แม่ ลูก หรือ
อาจจะมีตากับยายมาอยู่ด้วย ก็คงมีเท่านี้จะเห็นว่ากลุ่มคนทางานมีเพียง พ่อกับแม่เท่านั้นที่นารายได้
เข้าสู่บ้าน และกลุ่มคนที่ต้องพึ่งพาคือ กลุ่ม ตา ยายหรือว่าลูก เมื่อพ่อแม่หารายได้มาแล้วจะต้องนามา
ซื้อข้าวปลาอาหารและสิ่งบริโภคจาเป็นใช้ในครอบครัว ครอบครัวที่มีการวางแผนทางการเงินจะแบ่ง
เงินใช้สอยเท่าที่เหมาะสมและแบ่งเงินเก็บออมไว้หลายส่วน เช่น เงินเก็บยามฉุกเฉิน เงินลงทุน เงิน
สาหรับการเกษียณ แต่ที่ยกตัวอย่างมาไม่ค่อยอยู่ในสังคมไทยยุคก่อนหน้าเท่าไหร่ เราถึงฝากอนาคตไว้
กับข้าราชการกันเยอะทีเดียว ว่ากันง่าย ๆ เราคนไทยเหมาะสาหรับระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
มากกว่าทุนนิยม เพราะเราขี้เกียจที่จะหาความรู้เองและเราควบคุมความอยากของตัวเองไม่ได้ มี
แนวโน้มว่าจะผิดวินัยมากกว่าคนอื่น แต่ผมเห็นเด็กรุ่นใหม่ รุ่นหลังของผมเปลี่ยนไปแล้วครับ มัน
น่ายินดีที่พวกเขาจะออกไปบินด้วยตัวเองและสร้างสังคมที่ดีกว่า
จากที่ผมยกตัวอย่างเรื่องโครงสร้างและองค์ประกอบของครอบครัว เมื่อพ่อและแม่รู้สึกว่าเขาเหนื่อย
มากที่จะต้องทางานเป็นลูกจ้าง เขาเหล่านั้นจะเริ่มเก็บออมเงินลงทุนและเริ่มจะลงทุนเพื่อประกอบ
กิจการให้ได้ผลตอบแทนกลับมาและนาไปขายกับหน่วยธุรกิจหรือครัวเรือนอื่น สิ่งเหล่านี้ที่ผมอธิบาย
ไปเป็นสมการรายได้ประชาชาติของ John Maynard Keynes นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังได้ครับ ท่าน
อาจจะชื่นชอบ How Economic Machine works ของ Ray Dalio มากกว่านั่นเพราะว่าเขาอธิบาย
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 9
ให้เข้าใจง่ายมากกว่าแต่จริง ๆ แล้วมันก็ตัวเดียวกันนั่นแหละ ขึ้นอยู่กับว่า ขึ้นอยู่กับว่าเราจะอธิบายให้
เข้าใจได้มากน้อยเพียงใด
ในสมการของ Keynes นั้นกล่าวถึงรายได้ประชาชาติ ซึ่ง ส่วนใหญ่จะใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
หรือ GDP มาเป็นตัวแปร Y โดยสมการที่ว่าคือ Y = C+I+G+(X-M) ซึ่งดูแล้วมันไม่ได้ดูซับซ้อนมากมาย
มันก็แค่มีเงินเข้ามาเรียกว่า รายได้ (Y) แล้วนาไปบริโภค (Consumption) แล้วก็นาไปออม (Saving)
หรือในที่นี้คือ Investment (I) เพราะเอาเงินเก็บไปลงทุนซึ่งเป็นเงินลงทุนของครอบครัวเมื่อกี๊นั่น
แหละ และเราจ่ายภาษี (Tax:T) หรือในที่นี้คือ Government (G) เมื่อรัฐเอาภาษีไปลงทุนในโครงสร้าง
สาธารณูปโภค และ X แทนการส่งออกก็คือการขายสินค้าของครัวเรือนและนาเข้าคือการไปตลาดหรือ
ไปซื้อของมาผลิตสินค้าขายให้ครัวเรือนอื่น (Import=M) จริง ๆ แล้วมันมีรายละเอียดของเส้น IS –
LM อยู่อีก คือความสัมพันธ์กันของเงินลงทุน (investment = Saving) ก็คือคนก็เอาเงินออมนั่นแหละ
ไปลงทุน และปริมาณเงินที่หมุนเวียนในประเทศอยู่แต่ขี้เกียจอธิบายแล้วหล่ะครับ ผมเดาได้ว่าคงไม่มี
ใครอยากฟัง เราลองมองดูใหม่ที่ผมอธิบายมาทั้งหมดก็ไม่แตกต่างกับ เหตุการณ์ของครอบครัวที่มีพ่อ
และแม่ที่ผมยกตัวอย่างตอนแรก หารายได้มา ใช้จ่ายส่วนหนึ่ง ออมส่วนหนึ่ง และทากิจการเพื่อหา
รายได้เพิ่มเท่านั้นเอง เราก็ทาอย่างนี้เช่นกันในแต่ละครัวเรือน บางครัวเรือนอาจจะแตกต่างจากนี้ เรา
ไม่จาเป็นต้องไปรู้ลึกถึงสมการรายได้ประชาชาติ เราไม่จาเป็นต้องไปเข้าใจถึงสมการตัวเลขมากมาย
เราเข้าใจว่า ครอบตัวหนึ่งหารายได้มาแล้วแบ่งเงินจัดสรรเงินก็พอครับ
ซึ่งถ้าหากเราศึกษาครอบครัวของเรา แทนที่จะไปศึกษาครอบครัวของคนอื่นแล้วเราจะพบว่า ใน
ครอบครัวก็มีระบบการจัดสรรบริหารทรัพยากรและเข้าใจได้ง่ายกว่า ฉะนั้นไม่มีความจาเป็นเลยที่
จะต้องไปเข้าใจครอบครัวอื่น ไม่มีความจาเป็นต้องจะมีความเข้าใจกับกองทุนหมู่บ้าน หรือว่าจะไป
จัดการบัญชีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดหรือประเทศ มันก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละครับ เข้าใจในสิ่งที่เข้าใจ
ง่ายดีกว่า เอาจริง ๆ แล้วนี่คือการเกริ่นนาที่ยาวมากสาหรับผมคนที่ชอบเขียนบทความมากกว่า แต่
พยายามจะบอกว่า ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของผม ผมไม่สามารถจะหาคนที่น่าเชื่อถือได้เพียง
พอที่จะเป็นครูที่ประสบความสาเร็จให้กับผม ผมเลยหันหลังให้กับครูในตลาดเพราะว่าหาจับต้องได้
ยากเหลือเกิน แม่มมม! มีแต่ 18 มงกุฎ แม้แต่ตัวหน่วยงานที่เป็นกลางบางหน่วยงาน หน่วยใหญ่เสีย
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 10
เปล่า เป็นผู้ควบคุมตลาดทุนในประเทศแต่ยังไม่รู้ สี่ รู้ แปด อะไรเลย (ขอโทษที่หยาบคายครับ) ก็จริง
นะครับ คุณน่าจะศึกษาดีกว่านี้ครับแต่ช่างมัน เมื่อคนกลางไม่ช่วยอะไรนักลงทุนแล้ว นักลงทุนต้อง
ช่วยตัวเองครับ ฉะนั้นคนที่สาเร็จในวงการลงทุนหายาก ลองหาวงการที่เรารู้จักสิครับ ผมก็มีวงการ
วิชาการกับชีวิตบ้านนอกนี่แหละครับ นั่นเป็นที่มาว่าทาไม แปลงผักของตาน้อยมีความสาคัญมาก
แปลงผักของตาน้อยก็มาจากกิจการของครอบครัวครับ ผมเลยเลือกที่จะอธิบายเรื่องที่ใกล้ตัว แต่ระวัง
นะครับการอ่านหนังสือไม่ช่วยให้คุณเก่งขึ้น การอ่านหนังสือแล้วนาไปปฏิบัติทาความเข้าใจ ในด้านที่
ไม่เฉพาะส่วนที่ดีของหนังสือที่ได้บอก ต้องทาความเข้าใจกับส่วนที่แย่ทาให้เกิดผลเสียต่อเราด้วยครับ
ถ้าพิจารณาแต่ผลดีเป็นยังไงหน่ะหรอ? ตัวอย่างมีให้เห็นทนโท่ครับ ข่าวผู้จัดการกองทุนที่สิงคโปร์ผิด
วินัยแล้วทาผิดพลาด กองทุนเจ๊งระนาวมีมานักต่อนัก Short Against market บ้าง หรือข่าวกองทุนที่
อังกฤษล้มละลายเพราะคานวณมาดีแต่ลืมคานวณความโลภของตัวเอง ก็เพราะว่าเขาเหล่านั้นยังไม่
เคยลองผิดครับ มีแต่ลองถูกเพราะทาตามตาราและทาตามคาว่าวินัย พอจะแหกวินัยจึงไม่เข้าใจภาพ
ว่ามันจะเกิดผลเสียอย่างไรบ้าง คนเรามันชอบแหกกฎอยู่แล้วครับเพราะเป็นสัญชาตญาณการเอาตัว
รอดของมนุษย์ การทาตามกฎเกณฑ์กันหมดก็อาจจะนาไปสู่หายนะแบบหมู่ ถ้าหากออกแบบกฎให้ไป
ตายก็ตายหมู่จริงไหมครับ? กฎของการเทรดจึงใช้ไม่ค่อยได้ผลกันซักทีแล้วหนังสือตาราก็บอกแมร่งอยู่
นั่นแหละว่า “มีวินัย”!!!! ผิดวินัยไม่ได้ เหมือนกับสั่งให้เด็กบอกว่า “อย่าเสพยาเสพติด” มีโทษต่อ
ร่างกาย ต้องเป็นคนดีมีวินัย ผมก็เห็นทุกเจเนอเรชั่นก็มีเด็กแบบนั้นทุกรุ่นนะครับ
ในโลกของการลงทุนไม่แตกต่างจากโลกของเรา หรือจักรวาลของเราซึ่งตัวเรา “นักลงทุน” มีฐานะ
เป็นโลกหรือดาวเคราะห์หนึ่งในจักรวาล คนอื่นก็คือดาวเคราะห์อื่นในจักรวาลหรือถ้าเราพยายามลด
สเกลลงมาหน่อย โดยเปรียบโลกของการลงทุนเป็นโลกแล้วเปรียบตัวเองเป็นครัวเรือนหนึ่งเท่านั้นเอง
นั่นไงหล่ะครับ! ความเชื่อมโยงที่ 1 มาแล้ว ในเมื่อเราเป็นครัวเรือนหนึ่งมันก็จะง่ายที่จะทาความเข้าใจ
จริงไหมครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าในทักษะด้านเศรษฐศาสตร์ของผมจะดีพอที่จะอธิบายให้คนทุกประเภท
ที่มีความต่างกันด้านความรู้ ความชานาญจะมาเข้าใจที่ผมพูดได้ ผมจึงถ่ายทอดผ่านเกษตรกรรมที่
ท่านจะหาและทาความเข้าใจได้ง่ายกว่าเศรษฐศาสตร์มากนัก มันทาให้เป็นที่มาของสวนผักของตา
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 11
น้อยและมีรูปอะไรบางอย่างที่ผมอธิบายไว้ ซึ่งผมได้แนบแบบจาลองที่ใช้เป็นตัวอย่างในหนังสือนี้ทั้ง
เล่มออกมาผ่านภาพเพียงภาพเดียวครับ แม้รายละเอียดจะไม่เยอะแต่ก็เยอะพอสมควรที่จะทาให้ท่าน
ไปต่อยอดได้ ก็ขอให้จินตนาการว่าครอบครัวที่พ่อแม่ลูกตายายนั้น คือครอบครัวของตาน้อยและมี
อาชีพทาเกษตรเป็นรายได้หลักไม่ได้ประกอบอาชีพข้าราชการ หรือพูดง่าย ๆ ไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือน
เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ย้ากันอีกทีว่าผมไม่ได้นาเสนอแบบจาลองที่รวยแต่ผมนาเสนอแบบจาลองที่รอด
อย่างยั่งยืนครับ!
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 12
สวนผักของตาน้อย
สวนผักของตาน้อยเป็นเรื่องเล่าของการทางานของครอบครัวของเพื่อนผม แต่ครั้นจะเอาครอบครัว
เขาไปเขียนทั้งหมดนี่ ผิดจรรยาบรรณนักเขียนนะครับ ทาไม่ได้ก็ต้องดัดแปลงเรื่องราวกันหน่อย
เรียกว่า Based on true story ดีกว่าครับ
ภาพจักรวาลการเทรด
ในภาพผมวาดขึ้นเองมันก็ออกจะห่วยหน่อย ๆ ครับเพราะว่า ฝีมือการวาดรูปเดิมก็ห่วยอยู่แล้ว
สังเกตุจากปกของหนังสือเล่มที่ผ่าน ๆ มาของผมได้ แต่คราวนี้ใช้สีได้เพราะไม่ได้จัดพิมพ์ที่ไหน เข้า
เรื่องกันเสียที ผมได้จัดนิยามตลาดการลงทุนว่าคือเส้น PL Line หรือเส้นกาไรขาดทุนครับ (Profit
Inflation
Time line
PL Line
ตาน้อย
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 13
Loss Line) ผลตอบแทนของการลงทุนมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สืบเนื่องจากภาวะการเกิด Inflation
ไม่ใช่เงินเฟ้อนะครับ แต่เรียกว่า เฟ้อ เหมือนกันนั่นแหละครับ เหตุการณ์เฟ้อนั้นไม่ได้เกิดแค่เงินอย่าง
เดียวนะครับ การเฟ้อของผลิตภัณฑ์บางอย่างมันทาให้การหาของสิ่งนั้นได้ง่ายครับ เช่น จานวน
ประชากรก็เฟ้อได้ จานวนเงินก็เฟ้อได้ จานวนน้าก็เฟ้อได้ จานวนอ๊อกซิเจนก็เฟ้อได้ พอเฟ้อแล้วมันจะ
มีปริมาณมากครับ อย่างเช่นเงินเฟ้อ ทาให้เงินมีมากขึ้น เมื่อเงินมีมากขึ้นมูลค่าของเงินก็ลดลงทาให้
มูลค่าสินค้าสูงขึ้นเพื่อให้ได้ใช้เงินมูลค่าเท่าเดิมครับ เมื่อปริมาณเงินในตลาดมากขึ้นทาให้คนมีความมั่ง
คั่งมากขึ้น ทาให้เส้น PL Line ค่อย ๆ ขยับสูงขึ้น การขยับของมันมีอยู่หลายสาเหตุแต่ว่า ก็พอจะ
อธิบายในรูปแบบง่าย ๆ อยู่คือ สาเหตุแรกจานวนประชากรประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ถ้าหากว่า
ทุกคนอยากจะรวยและอยากเข้าตลาดหุ้นเหมือนกันหมด ท่านก็ไม่ต้องกังวลว่าราคามันจะไม่ขึ้นเลย
ครับ หุ้นทุกตัวมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นเพราะว่า คนเอาเงินเข้ามาในตลาดมากขึ้น ไอ้คนที่ขาดทุนก็ออกไป
คนที่กาไรก็ยังอยู่ หากอยากกาไรอยู่อย่างนี้ ไม่ยากเลยครับแค่ประเทศช่วยกันผลิตประชากรมารับ
ชะตากรรมการขาดทุนแทนเราต่อไป โดยมีนิยามว่า เราต้องเก่งกว่าเด็กรุ่นใหม่นะครับ ถ้าเราไม่เก่ง
กว่า เรานี่โดนแดกเองนะครับ นอกจากการเพิ่มขึ้นของประชากรแล้วการที่ตลาดมันเฟ้อขึ้นเพราะ
ปริมาณเงินมันมากขึ้นด้วยครับ ทาให้ราคาสินค้าสูงขึ้นก็เงินเฟ้อนั่นแหละทาให้ราคาสินทรัพย์ในตลาด
ทุนเพิ่มขึ้นด้วย ราคาหุ้นก็ไม่เว้น เพราะมีปริมาณเงินมากขึ้นหนิ แล้วปริมาณเงินมันมากขึ้นมาได้ยังไง
ปริมาณเงินมันมากขึ้นด้วยระบบของมันเอง คือ ภายใต้ระบบทุนนิยมปริมาณเงินมันมากขึ้นโดยอัติ
โนมัติครับ ตัวอย่างครับ
ประเทศ A กาหนดจานวนเงินในประเทศตัวเอง 1,000 บาท และนาเงินเข้าสู่ระบบผ่านการลงทุน
ภาครัฐ คือ ซื้อวัสดุ จัดจ้างแรงงานโดยการทาถนน ทาสะพาน สร้างไฟฟ้า ประปา ไปรษณีย์ โทรศัพท์
โรงพยาบาล โรงเรียน การสร้างสิ่งเหล่านี้ก็ต้องจ้างแรงงานครับ เงินก็จะไปสู่ประชาชนจากช่องทางนี้
แล้ว เงินอีกส่วนหนึ่งก็จะไปสู่บริษัทโดยผ่านช่องทางการจัดหาวัตถุดิบให้รัฐ คือ จะสร้างโรงเรียน อะ!
ต้องหาซื้อปูน เหล็ก หิน ดิน ทราย แต่พวกนี้ไม่มีเงินทุนแต่แรก เขาเอามาจากไหน ก็เอามาจากการกู้
รัฐนั่นแหละครับ นั่นคือ ผ่านช่องทางธนาคารพาณิชณ์อีกต่อหนึ่งซึ่งก็มาจากรัฐบาลอีกต่อหนึ่ง เรียกว่า
รัฐปล่อยกู้ให้เอกชนไปจัดหาวัตถุดิบแทนรัฐบาล แล้วกลับเอามาขายรัฐบาลในราคาแพงกว่า ราคากู้!
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 14
อ้าว! ไหงงั้น??? เพราะว่า เอกชนต้องจ่ายดอกนี่ครับ? มันจะคิดราคาเท่ากับที่กู้มาแมร่งก็ขาดทุนสิครับ
พอจ่ายดอกก็ต้องบวกเพิ่มจริงไหม? แล้วกูยังไม่ได้บวกกาไรเลยนะ อะ! บวกกาไรอีก นั่นแหละครับ
ทั้งดอกเบี้ยและกาไรมันทาให้ไอ้เงิน 1,000 บาทในระบบที่ว่านั่น ไม่ใช่ 1,000 ละ ดอกมันจะงอกมา
จากไหนครับ เงินมันงอกเองไม่ได้ จานวนเงินในระบบมันมีเท่ากับ 1,000 บาทอยู่แต่จานวนตัวเลขที่
คนสร้างขึ้นลอย ๆ จากดอกเบี้ยและกาไรและคนสร้างกฏเกณฑ์ว่าฉันเรียกราคาเธอไปแล้วเธอก็ต้อง
จ่าย ปริมาณเงินมันจะไม่พอจ่ายเห็นหรือเปล่าครับ ฉะนั้นดอกเบี้ยเกี่ยวกับราคาสินค้าเต็ม ๆ พวก
รัฐบาลจึงใช้อัตราดอกเบี้ยควบคุมเงินเฟ้อครับ ในตัวอย่างจะเห็นว่ามี อยู่ 3 ส่วนที่ทาให้เกิดเหตุการณ์
เฟ้อ คือ ความต้องการที่เกินขอบเขตของคนคือ อยากได้ทั้งที่ไม่มีกาลังซื้อ จึงไปกู้มา นี่แหละครับทา
ให้เกิดเหตุการณ์เฟ้อขึ้น และการแสวงหากาไรส่วนต่างครับ นี่คือเอกลักษณ์ของระบบทุนนิยม
จะเห็นว่ามีส่วนเล็ก ๆ ที่น่าสงสารท่ามกลางความโลภของมนุษยชาติอยู่จุดหนึ่งนั่นคือ แรงงาน
เพราะว่าในตัวอย่างการสร้างโรงเรียนที่ผมยกตัวอย่างนั้นมีส่วนผสมของที่มาของการสะสมทุนอยู่สอง
อย่างคือ แรงงานและทุนที่รัฐบาลให้เอกชนกู้เพื่อไปสู่การลงทุนของรัฐ ผมได้อธิบายส่วนของเอกชนที่
นาเงินของรัฐไปลงทุนไว้แล้ว ลองมาดูฝั่งแรงงานกันบ้าง แรงงานเป็นกลุ่มที่น่าสงสาร เพราะว่าต่อให้
ค่าแรงแพงขนาดไหนก็ไม่มีวันได้บวกกาไรค่าแรงครับ มันมีหรอ?บวกกาไรค่าแรง? เพราะถ้าค่าแรง
แพงก็จะทาให้ทั้งระบบ (เน้นยาว่าทั้งระบบและนิยามว่ามีระบบเศรษฐกิจเพียงระบบเดียว) ต้นทุน
สูงขึ้น เดี๋ยวพวกเจ้าของกิจการก็ขึ้นราคาสินค้าเองครับ นั่นเป็นเหตุว่าทาไม เจ้าสัวซีพีเขาไม่กลัวการ
ขึ้นราคาค่าแรงขั้นต่าของภาครัฐเลยครับ ยังไงกูก็บวกอยู่แล้วขอแค่มีคนซื้อเหอะ ในระยะยาวแล้วการ
บวกค่าแรงขึ้นไม่ได้ส่งผลต่อใครทั้งนั้นครับ แต่ในระยะสั้นรายยุ่ยตายห่ากันหมดครับ เพราะว่า รายยุ่ย
ทุนสารองน้อยกว่า การขึ้นราคาค่าแรงหมายความว่าเขาดึง Free Margin ที่เหลือมาใช้ หากใคร Free
Margin หมดเรียกว่า Margin Called ครัชชช ฮ่า ตัวใครตัวมัน ส่วนพวกกิจการใหญ่เขามีทุนสารอง
เยอะอยู่แล้วครัช ไม่ต้องไปห่วงมัน นั่นแหละครับ ขึ้นไปเถอะค่าแรงส์!! ด้วยเหตุนี้ทาให้กลุ่มชนชั้น
แรงงานไม่ได้มีอะไรเลย เพราะมันเป็นเกมส์แห่งทุนนิยมครับ คนมีทุนมากกว่าจึงได้เปรียบว่าด้วยการ
สะสมทุน Karl Marx เห็นอย่างนี้เลยรู้สึกสงสารพวกแรงงานมากครับเพราะว่า แมร่งเอาเปรียบกันนี่
หว่า ค่าแรงแมร่งไม่เคยบวกได้แถมเสียภาษีก่อนแล้วเอามาจ่ายอีก (เวลาจ่ายเงินเดือนจะโดนหักภาษี
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 15
ก่อน สาหรับคนที่เลยขั้นต่า แต่ภาคธุรกิจเห็นกาไรจะสูงแมร่งจ่ายก่อนเลย เอาไปลงทุนอะไรก็ได้จะได้
ลดภาระภาษี) ด้วยเหตุนี้ความได้เปรียบมันต่างกัน ดังนั้น Marx จึงนาเสนอทฤษฎีทางสังคมเรียกว่า
สังคมในอุดมคติ คือ สังคมนิยมเนี่ยแหละ สุดท้ายหรอ?!!! เรามารบกัน ฮ่า!!! ตามมาด้วยสงครามตั้ง 2
ครั้งเนี่ยแหละมนุษย์ เพราะว่ามันไม่เข้ากับบริบทของมนุษย์ ณ ตอนนี้และตอนนั้นที่เต็มไปด้วยความ
โลภ ความแตกต่าง เพื่อเอาตัวรอดสัญชาตญาณที่แตกต่างกัน พื้นเพที่ไม่เหมือนกันและมีความ
ต้องการที่ไร้ขีดจากัด แบบไม่ควบคุม แต่ว่าคนก็เปลี่ยนได้นะครับ (ไม่งั้นก็คงไม่มีประเทศที่เจริญกว่า
ไทยหรอก) ดูเผิน ๆ อย่างนี้ประเทศไทยที่ผ่านมาเหมาะกับสังคมนิยมมากกว่านะครับ ที่พึ่งพา
สวัสดิการของรัฐเป็นหลัก เพราะเราไม่พร้อมที่จะควบคุมตัวเอง เอาระบบบาเหน็จบานาญออกไป
แล้วให้เก็บเงินเกษียณอายุเอง (ไหวมั๊ย?!) น่างสารเหล่าชนชั้นกรรมมาชีพนะครับ เอ้าเหล่าชนชั้น
กรรมาชีพจงลุกขึ้นสู้!!! เฮ!!
แต่ว่าเหล่าชนชั้นกรรมาชีพก็มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้อยู่ครับ การจะลืมตาอ้าปากได้ของเหล่าชนชั้น
กรรมมาชีพนั้นเกิดจากวัฎจักรของทุนนิยมครับ (ยังอยู่ในมหาสมุทธ ห่างไกลจากฝั่งมากนัก) ทุนนิยม
นั้นเปิดโอกาสให้คนได้เข้ามาในตลาดการแข่งขันของทุนอย่างเสรี ทาให้มีผู้แข่งหลายรายมากขึ้น การ
แข่งขันหลายรายทาให้กลไกตลาดดาเนินไป มีคนหลายคนแปล Invisible Hand ของ Adam Smith
แตกต่างกัน ผมเห็นแล้วก็ขาเพราะเราไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรครับ แมร่งนั่งเดากันทาไม? การแข่งขันกัน
ในตลาดทาให้ราคาถูกลง เมื่อการแข่งขันดุเดือดขึ้นจะทาให้ราคาสินค้าถูกลงจนถึงระดับหนึ่ง เรียกว่า
ระดับเจ๊งกันชิบหาย จนเหลือคนรอดคนสุดท้าย คือคนที่มี Free Margin เยอะสุดนั่นแหละครับ ระดับ
ราคาสินค้าลดต่าขนาดนั้น จะทาให้เกิดส่วนต่างของ ราคาสินค้ากับราคาค่าแรง ทาให้ราคาค่าแรงแพง
แต่ราคาสินค้าถูก ช่องว่างนี้เองที่ทาให้ชนชั้นแรงงานสามารถขยับขยายตัวเองได้ นั่นคือ ราคาสินค้า
อุปโภคบริโภคถูกลงทาให้แรงงานมีเงินเก็บและเบียดขึ้นไปเป็นเจ้าของกิจการได้ครับ และจะเกิดวัฎ
จักรที่ผมอธิบายตั้งแต่ต้นตามมาอีก ฮ่า!!! เพราะผู้ประกอบการที่เข้ามาคือ มือใหม่ครัช แหม๊ มันน่า
เจ็บใจจริง ๆ !! วัฎจักรนี้เป็นวัฎจักรตรงข้ามกับ วัฎจักรหนึ่ง คือวัฎจักรฝั่งผู้บริโภค จะเห็นว่าที่ผม
อธิบายเกิดขึ้นในฝั่งผู้ผลิตเท่านั้น (คนอ่านบอก!! ไอ้ชิบหายเมิงยังจะอธิบายต่ออีกเรอะ!) ท่านยังคงจา
กันได้ว่า นี่มันอธิบายเกิดมาจากปัจจัยแรงงานเพียงฝ่ายเดียว แต่ปัจจัยที่ผมยกตัวอย่างมี ฝั่ง
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 16
ผู้ประกอบการด้วย ฝั่งผู้ประกอบการมี สองฝั่งครับ นั่นคือ ฝั่งผู้ปล่อยกู้กับผู้กู้ ภาครัฐและธนาคาร
และภาคเอกชน ตัวเล่นสองตัวนี้ผูกพันกับความโลภของคน ว่ากันง่าย ๆ คือเขาหาประโยชน์บนความ
โลภของคนโดยการให้พวกแรงงานบริโภคครับ เมื่อแรงงานบริโภคเขาจะได้กาไร เมื่อเขากาไรเขาก็
เอาเงินไปลงทุนเพิ่มอีก การบริโภคของแรงงานนั้นจะเกินระดับของค่าแรงที่เขาได้มาเรียกว่า เกินตัว
นั่นแหละ ใครเป็นแรงงานมั่ง แล้วเขาก็จะกู้มาบริโภค ทาไมคนเหล่านี้ให้เรากู้ฟร่ะ???!! เพราะพวกมัน
ก็อยากได้กาไรไงครับ เมื่อเรากู้!! หนี้ก็มากขึ้นจนใช้ไม่ไหว พอถึงเกิดจุด Default (เรียกชาระหนี้)
แมร่งก็ล้มกระดานสิครับ เพราะไม่มีก็ไล่เบี้ยกัน ล้มระเนระนาด ไอ้ที่ปล่อยกู้กันง่าย ๆ นี่ก็
Hamburger Crisis กันมาแล้วนะครัช! นี่เป็นอีกวัฎจักรหนึ่งของธุรกิจ จะว่าง่าย ๆ เลยก็คือ เราก่อ
วิกฤติเศรษฐกิจได้หลายวิธี เรียกว่า เราชอบเล่นเผาบ้านตัวเองกันครับ ฮ่า นอกจากสองวิธีที่ว่านี้ แต่
มันดีนะครับ ทุกครั้งที่เกิดระบบเศรษฐกิจขึ้นมาและระเบิดไปมันไม่เคยต่ากว่าเดิมทุกครั้ง เพราะว่า
มันมีคนรอดเป็นฐานอยู่ พวกนั้นเรียกว่าอยู่มายาวนานและร่ารวยกันจริง ๆ ท่านจะเห็นว่าทาไมผมตี
เส้น PL Line เฉียงขึ้น (แมร่งอธิบายยาวมะ แค่เส้น ๆ เดียว) จะเรียกว่า How Economic Machine
Works ในเวอร์ชั่นของผมก็ได้แต่มันไม่สาคัญหรอก แต่ผมยังไม่เคยอ่านเจอในตาราเล่มไหนนะครัชชช
เส้น PL Line ก็เหมือนกับระบบเงินเฟ้อ ระบบเศรษฐกิจประเทศ ระบบในตลาดหุ้น ระบบในสวนผัก
เหมือนกันหมดนั่นแหละ เท่านี้ท่านจะเข้าใจว่าทาไม แมร่งโปรโมทให้กู้เข้ามาลงทุนผ่านตลาด
หลักทรัพย์กันจั๊งงงงง!! เพราะได้ค่าคอมไง ฮ่า! แถมไม่พอได้คนหน้าใหม่ที่เอาเงินเข้ามาในระบบเพิ่ม
อีก
ฉะนั้นทุนมาจากไหน เดิมทุกประเทศมีทุนกันหมดครับ ทุนที่ว่าคือ ทรัพยากรที่มีของทุกประเทศ ก็คือ
ไอ้เงิน 1,000 บาทที่ผมยกตัวอย่าง บางประเทศก็สะสมทุนจากแรงงานครับ รูปแบบการสะสมทุนแบบ
นี้นาไปสู่ระบบแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่แตกต่างกันสองแนวคิดคือ Karl Marx เชื่อว่า คาว่า “ทุน”
ใน Das Kapital มาจากแรงงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ชนชั้นแรงงานใช้จ่ายเหลือเก็บออมแล้วเอาไป
ลงทุนแล้วได้กาไรจึงเลื่อนเป็นชั้นนายทุน ขณะที่พวกโลกใหม่เรียกว่า ทุนนั้นมาจากสองส่วนคือทุนที่
เป็นตัวทรัพยากร (ที่ดินตาราเศรษฐศาสตร์) ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์อธิบายรวมถึงดินน้าอากาศ แร่
ธาตุที่อยู่ในขอบอาณาเขต (กูอยากรู้จังแล้วลึกลงไปในแกนโลก แกนโลกเป็นของใคร?) เมื่อทุนในทาง
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 17
เศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับทรัพยากรเกิดขึ้นแต่ละประเทศมีไม่เท่ากันละครับตามแต่เวลา ขึ้นอยู่กับราคา
สินค้า( Commodity Price) เช่น หากเราเทียบตัวเองกับซาอุฯ เราคงมีทุนน้อยกว่าเพราะ น้ามันมัน
ราคาแพงมันว่าด้วยการตีราคาล้วน ๆ แต่ว่าโลกยุคใหม่นี้ เขาไม่ได้นับทุนทางประชากรแล้วครับ
ประเทศไทยมัวแต่ส่งออกแรงงาน (เราไม่ได้ส่งออกข้าวหรือสินค้าเกษตรมากที่สุด แต่เราส่งออกสินค้า
อีเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนอีเล็กทรอนิกส์) หมายความว่าไง หมายความว่าการที่จะนับ GDP ยังไงเราก็สู้
ฝรั่งไม่ได้ครับ เราแมร่งขุดที่ดินขายกับแรงงานขายอย่างเดียว เดี๋ยวนี้เขาไปไกลกันจนถึงขายสติปัญญา
กันแล้วครับ ลองดูญี่ปุ่น มันมาจ้างเราผลิตชิ้นส่วน Electronics แล้วมันไปประดิษฐ์เครื่องใช้ไฟฟ้ามา
ขายต่อ มันใช้อะไรครับ มันใช่แค่สมองสองมือ ทรัพยากรก็ของเราทั้งนั้น มันมาขายเราแถมบวกกาไร
อีก น่างงสารมั๊ยหล่ะสัสส!!! ตาม Karl Marx ว่าเป๊ะ ประเทศไทยแรงงานโลก!! อะไรทานองนั้น ลองดู
การบริโภคเดี๋ยวนี้สิ มันไม่ได้นับ GDP ลูกชิ้น เบียร์ ข้าว ยางพารา กุ้ง ยางรถยนต์กันแล้ว เราสร้าง
GDP จากทรัพยากรที่จับต้องได้ แต่แมร่งพวกสร้าง GDP จากอากาศ I-phone งี้ จุดสาคัญของมัน
หรอ? มันคือ Software นะครัช เพราะ Hardware มันก็จ้างเรามานั่นแหละด้วยค่าแรงถูกแสนถูกแล้ว
ก็เอามาขายเราอีกต่อคงบอกได้ว่าใครรวย เมื่อค่าแรงมันบวกกาไรไม่ได้ ลองดูครัช อี Application
ในมือถือของท่านมันใช้ดีบุกผลิตหรือเปล่า หรือว่ามันใช้ เศษทองคามาเป็นส่วนประกอบหรือ? มันเต็ม
ไปด้วยตัวหนังสือทั้งนั้น Coding ลองดูญี่ปุ่นแมร่งส่งออกจินตนาการ ขายฝัน Dragonball Super
ติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง มีคนติดตามหลายภาษา ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน มันใช้ทรัพยากรอะไรผลิต?
ของเหล่านี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาเป็น “ทุน”ที่เราไม่มีทางตามทันอยากจะเป็นเสือตัวที่ 5 ตัว
เอาชนะพวกนี้ให้ได้ครัช ไม่ใช่ปลูกข้าวแน่นอน ไม่งั้นคุณก็อย่าเล่นเกมส์ของมันแบบภูฎานนั่นแหละ
ไปวัดดัชนีความสุขกันเลยดีกว่า (เราก็คงสู้เขาไม่ได้อีกนั่นแหละ)
ย้อนกลับเข้าฝั่งหน่อย ออกทะเลไปไกล จริง ๆ แล้วการที่คนเอาเงินเพิ่มในระบบมันสะท้อนสองอย่าง
ครับ เรียกว่า Win Win Situation ของ Value Investor หรือในโลกความเป็นจริงก็พิมพ์เงินเพิ่มกันนี่
แหละครับ นักลงทุน Value Investor พวกนี้มองว่า (จากการอ่านตารามาหลายคนเคลมว่า ตลาดหุ้น
ไม่ใช่ ตลาด Zero sum game) ตลาดไม่ใช่ Zero Sum game แต่เป็นสถานการ์ที่ Win Win
Situation ได้ ก็แน่หล่ะสิ อีลุงคนที่เขียนหนังสือนี้ คือคนที่รอดในตลาดมาอย่างยาวนาน มี Free
ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 18
Margin สูงแมร่งงงง แต่ความเป็นจริงตลาดเป็นสถานที่ Zero Sum game ครับ เคยเขียนอธิบายไว้
ในหนังสือเล่ม ฤดูหนาวของหมาป่า แต่ไม่เขียนแล้วหล่ะ ยังไงผมก็เขียนไว้ให้คนที่ซื้อเล่มก่อนอยู่แล้ว
ขี้เกียจเขียนมันจะยาวเปล่า ๆ เอาที่จะเขียนของบทนี้แหละครัชชชหรือไม่พวกท่านก็ไปหาคาตอบเอา
เองครัช การที่มันเป็น Zero Sum game มันจะหาผู้ชนะได้เสมอและมีคนออกจากตลาดไป แต่ถาม
ว่าทาไมกาไรยังเพิ่มขึ้นเสมอและ ยังไม่มีคนออกจากตลาดนั่นเพราะว่า ตลาดมันมีหลายคนครับอยู่ใน
ตลาด (จานวนในตลาดเป็นพื้นฐานของเล่มนี้) อย่างที่ผมได้บอก ไอ้ที่ตายไปก็เยอะ เงินก็จะไปอยู่กับที่
รอด หมายความว่า ความมั่งคั่งของผู้ชนะต้องหยุดอยู่กับที่จริงไหม? เมื่ออีกฝั่งตายหมด เพราะคน
ชนะดึงเงินคนแพ้ในตลาดมาหมดแล้ว??? ไม่จริงสัสสส เพราะว่า เมิงคลอดลูกไง เมิงเอากันไง เมิงเลย
เกิดความต้องการใหม่ขึ้นมา เมิงเลยมีความโลภ มีเด็กรุ่นใหม่ที่อยากมีชีวิตดี๊ดี อยากเซลฟี่อยู่กลางทุ่ง
นา อยากมาทาสวนผักออแกนิค กูจะลงทุนและรวยเป็นอิสระทางการเงินแล้วไปปลูกผัก ก็ไอ้พวกเนี๊ย
เอาเงินมาต่อให้พวกชนะในตลาดที่เหลือ เดินกาเงินเข้ามาในตลาดไม่หยุดหย่อน แน่นอนว่า ไอ้พวกที่
รอดหน่ะไม่ได้เก่งไปกว่าไอ้หน้าใหม่ทุกคนหรอก สิงโตแก่ก็ย่อมมีวันอ่อนล้าจริงไหมครับ? สิงโตแก่ก็
ตายเป็นลูกสิงโตแก่มาบริหารต่อใช่ว่าจะรอดตลอดไป มันก็มือใหม่จริงไหมครับ มันทาให้ตลาดอยู่ได้
มันเป็นวัฎจักรของตลาดเหมือนวัฎจักรของเศรษฐกิจ เหมือนวัฎจักรของดวงดาว เหมือนวัฎจักร
สิ่งมีชีวิตนะครับ นี่แหละมันเป็น Zero sum game แต่มันยังไปได้อยู่เสมอ ๆ
พูดถึงด้านที่ว่ามันจะไม่ล่มสลายไปยังไงกันแล้วเอาด้านที่มันจะล่มสลายได้ยังไงกันบ้าง การล่มสลาย
ของตลาดมี 2 วิธีที่ทาได้ทันทีเลยคือ 1. เปลี่ยนเป็นระบบสังคมนิยมทาให้วัวเป็นของรัฐแล้วฆ่ามันทิ้ง
ซะ แล้วปล่อยมันเน่า เอ๊ยยย ไม่ใช่ ทาให้วัวเป็นของรัฐแล้วแจกจ่ายนมให้ประชาชน (อันนี้ในอุดมคติ)
เอาจริง ๆ เป็นกรณีแรกมากกว่า เพราะว่า อานาจรัฐขึ้นอยู่กับคน 1 คนหรือกลุ่มเล็ก ๆ พอเอาวัวไป
เป็นของรัฐแล้วก็ฆ่าวัวทิ้งแต่ไม่แจกจ่ายเก็บไว้กินคนเดียว (คอร์รัปชั่นสูง) กินไม่หมดก็เน่าแล้วก็ทิ้ง
สาดดดด กับอีกหนึ่งวิธีที่ทาให้ตลาดวายได้คือ แมร่งบวชกันทั้งประเทศ ฮ่า เอาจริง ๆ ไม่ต้องบวช
หรอกครับ ไทยกาลังเผชิญอยู่กับภาวะมีบุตรยาก จบการศึกษาสูง เลือกมาก เอาแต่ใจ ผู้หญิงทางาน
ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่อยู่บ้าน มีอิสระในชีวิตสูง ไม่ต้องมีลูกก็ได้ เนี่ยแหละมันเกี่ยวอัลไลกับการไม่มีลูก
หรือว่าผลิตประชากรน้อยฟร่ะ
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf
Tanoi.pdf

More Related Content

More from PawachMetharattanara

Uniview Company Introduction with brief solution(1).pdf
Uniview Company Introduction with brief solution(1).pdfUniview Company Introduction with brief solution(1).pdf
Uniview Company Introduction with brief solution(1).pdf
PawachMetharattanara
 
Uniview Company Introduction with brief solution(1).pdf
Uniview Company Introduction with brief solution(1).pdfUniview Company Introduction with brief solution(1).pdf
Uniview Company Introduction with brief solution(1).pdf
PawachMetharattanara
 
หนังสือเชิญ Quicktron Robotic .Thailand(1).pdf
หนังสือเชิญ  Quicktron Robotic .Thailand(1).pdfหนังสือเชิญ  Quicktron Robotic .Thailand(1).pdf
หนังสือเชิญ Quicktron Robotic .Thailand(1).pdf
PawachMetharattanara
 
07 TOR ระบบ Smart Classroom ขนาด 50 ที่นั่ง 231220.docx
07 TOR ระบบ Smart Classroom ขนาด 50 ที่นั่ง 231220.docx07 TOR ระบบ Smart Classroom ขนาด 50 ที่นั่ง 231220.docx
07 TOR ระบบ Smart Classroom ขนาด 50 ที่นั่ง 231220.docx
PawachMetharattanara
 
Presentation DGF Logistics Thailand.คุณอรุณ.1.ppt
Presentation DGF Logistics Thailand.คุณอรุณ.1.pptPresentation DGF Logistics Thailand.คุณอรุณ.1.ppt
Presentation DGF Logistics Thailand.คุณอรุณ.1.ppt
PawachMetharattanara
 
อบรมพื้นฐาน 2023.pptx
อบรมพื้นฐาน 2023.pptxอบรมพื้นฐาน 2023.pptx
อบรมพื้นฐาน 2023.pptx
PawachMetharattanara
 
presentationsolutioncovidschool-230115131900-5c73fd21.pptx
presentationsolutioncovidschool-230115131900-5c73fd21.pptxpresentationsolutioncovidschool-230115131900-5c73fd21.pptx
presentationsolutioncovidschool-230115131900-5c73fd21.pptx
PawachMetharattanara
 
01416_PPT_FG_DAY1-บ่าย_651219V2.pdf
01416_PPT_FG_DAY1-บ่าย_651219V2.pdf01416_PPT_FG_DAY1-บ่าย_651219V2.pdf
01416_PPT_FG_DAY1-บ่าย_651219V2.pdf
PawachMetharattanara
 
แผนที่PICKชีวิต.pdf
แผนที่PICKชีวิต.pdfแผนที่PICKชีวิต.pdf
แผนที่PICKชีวิต.pdf
PawachMetharattanara
 
MARKETING Technology พลิกโลกการตลาดด้วยมาร์เทค 1.pdf
MARKETING Technology พลิกโลกการตลาดด้วยมาร์เทค 1.pdfMARKETING Technology พลิกโลกการตลาดด้วยมาร์เทค 1.pdf
MARKETING Technology พลิกโลกการตลาดด้วยมาร์เทค 1.pdf
PawachMetharattanara
 
Thailand 2023Q3 CCTV Seasonal Spotlight Product - DGF.PDF
Thailand 2023Q3 CCTV Seasonal Spotlight Product - DGF.PDFThailand 2023Q3 CCTV Seasonal Spotlight Product - DGF.PDF
Thailand 2023Q3 CCTV Seasonal Spotlight Product - DGF.PDF
PawachMetharattanara
 
Present_bitdefender_ sales 2023.pptx
Present_bitdefender_ sales 2023.pptxPresent_bitdefender_ sales 2023.pptx
Present_bitdefender_ sales 2023.pptx
PawachMetharattanara
 
2022Q4 Access Control & Video Intercom product update.pptx
2022Q4 Access Control & Video Intercom product update.pptx2022Q4 Access Control & Video Intercom product update.pptx
2022Q4 Access Control & Video Intercom product update.pptx
PawachMetharattanara
 
หลักการเขียนลายเซ็น.pdf
หลักการเขียนลายเซ็น.pdfหลักการเขียนลายเซ็น.pdf
หลักการเขียนลายเซ็น.pdf
PawachMetharattanara
 

More from PawachMetharattanara (20)

Presentation1ubv.pptx
Presentation1ubv.pptxPresentation1ubv.pptx
Presentation1ubv.pptx
 
Uniview Company Introduction with brief solution(1).pdf
Uniview Company Introduction with brief solution(1).pdfUniview Company Introduction with brief solution(1).pdf
Uniview Company Introduction with brief solution(1).pdf
 
Univiwe Training 2023.pdf
Univiwe Training 2023.pdfUniviwe Training 2023.pdf
Univiwe Training 2023.pdf
 
Uniview Company Introduction with brief solution(1).pdf
Uniview Company Introduction with brief solution(1).pdfUniview Company Introduction with brief solution(1).pdf
Uniview Company Introduction with brief solution(1).pdf
 
หนังสือเชิญ Quicktron Robotic .Thailand(1).pdf
หนังสือเชิญ  Quicktron Robotic .Thailand(1).pdfหนังสือเชิญ  Quicktron Robotic .Thailand(1).pdf
หนังสือเชิญ Quicktron Robotic .Thailand(1).pdf
 
07 TOR ระบบ Smart Classroom ขนาด 50 ที่นั่ง 231220.docx
07 TOR ระบบ Smart Classroom ขนาด 50 ที่นั่ง 231220.docx07 TOR ระบบ Smart Classroom ขนาด 50 ที่นั่ง 231220.docx
07 TOR ระบบ Smart Classroom ขนาด 50 ที่นั่ง 231220.docx
 
Presentation DGF Logistics Thailand.คุณอรุณ.1.ppt
Presentation DGF Logistics Thailand.คุณอรุณ.1.pptPresentation DGF Logistics Thailand.คุณอรุณ.1.ppt
Presentation DGF Logistics Thailand.คุณอรุณ.1.ppt
 
อบรมพื้นฐาน 2023.pptx
อบรมพื้นฐาน 2023.pptxอบรมพื้นฐาน 2023.pptx
อบรมพื้นฐาน 2023.pptx
 
presentationsolutioncovidschool-230115131900-5c73fd21.pptx
presentationsolutioncovidschool-230115131900-5c73fd21.pptxpresentationsolutioncovidschool-230115131900-5c73fd21.pptx
presentationsolutioncovidschool-230115131900-5c73fd21.pptx
 
Catalog Quick.pdf
Catalog Quick.pdfCatalog Quick.pdf
Catalog Quick.pdf
 
01416_PPT_FG_DAY1-บ่าย_651219V2.pdf
01416_PPT_FG_DAY1-บ่าย_651219V2.pdf01416_PPT_FG_DAY1-บ่าย_651219V2.pdf
01416_PPT_FG_DAY1-บ่าย_651219V2.pdf
 
แผนที่PICKชีวิต.pdf
แผนที่PICKชีวิต.pdfแผนที่PICKชีวิต.pdf
แผนที่PICKชีวิต.pdf
 
Digital Marketing (2024).pdf
Digital Marketing (2024).pdfDigital Marketing (2024).pdf
Digital Marketing (2024).pdf
 
MARKETING Technology พลิกโลกการตลาดด้วยมาร์เทค 1.pdf
MARKETING Technology พลิกโลกการตลาดด้วยมาร์เทค 1.pdfMARKETING Technology พลิกโลกการตลาดด้วยมาร์เทค 1.pdf
MARKETING Technology พลิกโลกการตลาดด้วยมาร์เทค 1.pdf
 
Thailand 2023Q3 CCTV Seasonal Spotlight Product - DGF.PDF
Thailand 2023Q3 CCTV Seasonal Spotlight Product - DGF.PDFThailand 2023Q3 CCTV Seasonal Spotlight Product - DGF.PDF
Thailand 2023Q3 CCTV Seasonal Spotlight Product - DGF.PDF
 
DLS_CP_DPARK LPR.pptx
DLS_CP_DPARK LPR.pptxDLS_CP_DPARK LPR.pptx
DLS_CP_DPARK LPR.pptx
 
4 โต๊ะจีน 2022.pdf
4 โต๊ะจีน 2022.pdf4 โต๊ะจีน 2022.pdf
4 โต๊ะจีน 2022.pdf
 
Present_bitdefender_ sales 2023.pptx
Present_bitdefender_ sales 2023.pptxPresent_bitdefender_ sales 2023.pptx
Present_bitdefender_ sales 2023.pptx
 
2022Q4 Access Control & Video Intercom product update.pptx
2022Q4 Access Control & Video Intercom product update.pptx2022Q4 Access Control & Video Intercom product update.pptx
2022Q4 Access Control & Video Intercom product update.pptx
 
หลักการเขียนลายเซ็น.pdf
หลักการเขียนลายเซ็น.pdfหลักการเขียนลายเซ็น.pdf
หลักการเขียนลายเซ็น.pdf
 

Tanoi.pdf

  • 1. My Last Book: สวนผักของตาน้อย โดย ซานติอาโก Inflation Time line PL Line
  • 2. บทนา หนังสือเล่มนี้ผมเขียนเพื่อให้กับคนที่ซื้อหนังสือเล่มก่อนของผม ในเนื้อหามีการใช้คาไม่สุภาพไม่ เหมาะสม แต่ไม่ได้มีเจตนาร้าย เพราะนั่นคืออารมณ์ของการเขียน กรุณาอย่านาไปดราม่า ผมไม่ได้ ประโยชน์อะไรจากการเขียน แต่ตั้งใจเขียนเพื่อขอบคุณก่อนจะอยู่เงียบ ๆ หนังสือสงวนลิขสิทธิ์ตาม พระราชบัญญัติ ซึ่งวรรณกรรมแสดงสิทธิ์ของผู้แต่งตามการสร้างสรรค์ผลงานครั้งแรก เพื่อป้องกัน ไม่ให้คนอื่นเอาไปหาประโยชน์ ผมไม่ได้หวงห้ามการเผยแพร่ ท่านจะทาก็ได้หากคิดว่ามีประโยชน์แต่ ถ้าหากมันเกิดโทษก็อย่าทาดีกว่าครับ ผมอยากให้มันเกิดประโยชน์แก่คนที่ผมส่งให้เท่านั้นครับ ผม ฝากไว้ตรงนี้ว่าผมไม่สนับสนุนให้ใช้แนวคิดผมเพราะคิดว่ามันจะใช้ได้ ผมไม่เคยสอนให้ใครใช้วิธีการ ผม ผมแค่เป็นคนแนะนาเล็กน้อยให้เขาค้นพบวิธีการของตัวเอง ผมไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการเขียน หนังสือนี้ นอกจากความมันส์ตามประสานักเขียน หนังสือนี้เขียนเป็นตอนเป็นบทความวันที่เสร็จก็จะมีการวมเล่มส่งให้ท่านอีกทีหนึ่งครับ ลาก่อนและขอให้โชคดี ซานติอาโก 31/7/2016
  • 3. Table of Contents บทนา.................................................................................................................................................................................................................................2 ขออภัย..............................................................................................................................................................................................................................1 จักรวาลการเทรด......................................................................................................................................................................................................3 สวนผักของตาน้อย.................................................................................................................................................................................................12 องค์ประกอบของสวน..........................................................................................................................................................................................20 ทุนและผู้ประกอบการ...............................................................................................................................................................................22 กว่าจะเป็นสวนผัก........................................................................................................................................................................................25 ปลูกอะไรดี?.................................................................................................................................................................................................................26 ถูกหรือแพง........................................................................................................................................................................................................27 ผักในสวน.............................................................................................................................................................................................................28 เมล็ดพันธุ์กับหัวใจของสวน...................................................................................................................................................................31 การเลือกสัดส่วนของแปลงผัก.............................................................................................................................................................32 การดูแลแปลงผักและเครื่องมือของตาน้อย........................................................................................................................................38 เมล็ดพันธุ์ที่ดี.....................................................................................................................................................................................................38 แมลง!! เพื่อนบ้านหรือศัตรู?.....................................................................................................................................................................40 ระบบน้า เส้นเลือดแห่งสวนผัก...........................................................................................................................................................44 เพื่อนบ้าน นักพรวนดินแห่งโนมแลนด์..........................................................................................................................................45 เมื่อฤดูกาลเก็บเกี่ยวมาถึง.................................................................................................................................................................................46 จักรวาลแห่งสวน............................................................................................................................................................................................47 ขายยกสวน หรือทยอยตัดขายดี?.......................................................................................................................................................48
  • 5. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 1 ขออภัย ขออภัยผู้อ่านทุกท่านที่จะบอกว่านี่คือเล่มสุดท้ายที่ผมจะเขียนอีกแล้วครับ ผมเขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อ ขอบคุณท่าน ผมจัดส่งไปตาม E-mail ที่ท่านได้กรอกเอาไว้ หนังสือเล่มนี้จะเขียนไปเรื่อย ๆ จนจบ ครับและส่งไปตามอีเมลล์ รวมเล่มครั้งสุดท้ายจะแนบให้ผู้อ่านครับ ผมไม่รู้ว่าหนังสือเล่มก่อนหน้าของผมดีพอที่จะทาให้ตัวเองยังมีหน้าเขียนอยู่อีกหรือเปล่า? แต่นี่เป็น ความรู้สึกขอบคุณครับ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สัญญาว่าท่านจะกาไรหรือทากาไรได้มหาศาล ในหนังสือเล่ม ก่อนหน้าผมได้อธิบายไว้ชัดเจนแล้วว่าจะกาไรได้อย่างไร ต้องทาอย่างไรบ้าง ท่านไม่ต้องไปหาอะไรที่ อื่นอีกครับ เชื่อหรือเปล่าครับว่า ต่อให้มีสิ่งที่ดีที่สุดอยู่ในมือ แต่ถ้ามันอยู่ในมือของคนที่ไม่รู้และไม่ พยายามทาความเข้าใจอะไรเลย เขาก็จะไม่เข้าใจมันและใช้มันไม่เป็นเสียด้วยซ้า เขาอาจจะแสวงหา สิ่งที่ดีกว่า คนก็เป็นอย่างนี้แหละครับ หลากคนก็หลากรูปแบบหลายสไตล์ ที่ผมพูดก็คือ ต่อให้เราบอก วิธีการที่ทากาไรได้สูงสุดกับมือใหม่ไปสักคน เขาก็จะไม่เชื่อมัน และค้นคิดวิธีการของเขาอยู่ดี มันน่าเสียดายที่คนเทรดเก่ง ๆ เขาไม่ค่อยมาเขียนหนังสือ ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมเก่งนะครับ แต่ผมคน หนึ่งหล่ะที่รอดอยู่ในตลาด หลังจากหนังสือเล่มนี้ผมก็เข้าถ้าเหมือนคนอื่นนั่นแหละครับ นักลงทุนใน โลกออนไลน์ที่ผมรู้จักชื่อของเขาผมมองไม่เห็นใครที่มีฝีมือจริงและเป็นที่ประจักษ์ด้วยสายตาของ ตัวเอง แถมพวกจอมปลอมก็เยอะเรียกว่า 95 % ก็แล้วกันครับ จอมปลอมหวังหาเงินจากการสร้าง ชื่อเสียงก่อนแล้วเอาชื่อเสียงมาทาเงิน มากกว่าที่ได้จากการเทรดครับ ผมเห็นบางคนแปลหนังสือขาย ก็ได้เป็นอาจารย์กันแล้วครับ ผมว่ามันง่ายไปหน่อย บางคนโพสต์ให้มันดูลึกลับเข้าไว้ก็ดูล้ากว่าคนอื่น แล้วหล่ะครับ บางคนใช้ความอยากรวยของคนอื่น ใช้ชื่อคาว่า Hedge Fund หรือการทางานเป็นเท รดเดอร์ Hedge Fund สร้าง Story ขึ้นมา มันก็คงมีจริงแหละครับแต่ผมเป็นคนเชื่อยาก เพราะว่าถ้า ไม่เห็นกับตาไม่รู้จะเชื่อไปทาไม แต่ต่อให้มันจริงมันก็คงไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับผมอีกต่อไปแล้ว เพราะว่า ผมเลือกที่จะเทรดอยู่เงียบ ๆ ดีกว่า ลาพังการเทรดของผมก็มีรายได้พอที่จะไม่ต้องทางาน
  • 6. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 2 ประจาได้แล้วครับ แต่ผมไม่มีความจาเป็นที่จะนั่งอยู่เฉย ๆ หายใจทิ้งไปวัน ๆ แล้วจมอยู่กับหน้าจอ คอมพิวเตอร์ครับ มันน่าเบื่อ! และไม่ได้พิสูจน์ว่าเราจะเกิดมามีประโยชน์อะไรกับใครตรงไหน ผมเลือก ทางานให้มูลนิธิฯ แห่งหนึ่ง ทางานวิจัยในระบบสุขภาพของไทยต่อไป เพราะมันสนุกดี ที่ทางานของ ผมไม่มีเวลาเข้างาน ไม่มีเวลาออกงาน หัวหน้าของผมเป็นศาสตราจารย์เกษียณอายุคนหนึ่ง ซึ่งท่าน โดนพิษการเมืองในสถาบันศึกษาทาให้ท่านไม่ได้ต่ออายุราชการ นั่นก็ทาให้ผมมองโลกนี้ว่าน่าเบื่อ หน่ายครับ ไม่แตกต่างกับที่ผมเขียนหนังสือเพื่อให้ความรู้แต่ก็โดนพิษการเมืองนั่นแหละครับ พวกศิษย์ สานักก็ตามมารังควานเป็นปกติ ผมบอกได้เลยว่า มันทาให้ผมรู้สึก “สมเพศและไม่อยากแบ่งปัน ความรู้อีกต่อไปแล้ว” ผมไม่ใช่พ่อพระนี่และไม่จาเป็นที่จะไปทาให้วงการดีขึ้น ใครจะขาดทุนก็ช่าง หัวมันปะไร ปล่อยให้พวกมันไปตามพวกจอมปลอมหน่ะดีแล้วครับ ผมจะได้ทากาไรได้ง่าย ไม่ต้องใช้ Model ที่มันยากอะไรก็ทากาไรได้ ที่ออฟฟิศผม ผมต้องควบคุมตัวเองให้มาทางาน เพราะอยู่ที่บ้านผมคงไม่ค่อยจะทางานเท่าไหร่ ผมมา ทางาน 8.30 และเลิก 5 โมงทุกวัน โดยไม่ต้องให้ใครมาว่ากล่าว หัวหน้าผมไม่เคยมาเฝ้ามาติดตาม แก ก็เดินทางไปต่างประเทศ ประชุมสัมนา หางานวิจัยมาให้ทา ตามประสาข้าราชการเกษียณอายุ ผมอยู่ กับต้นไม้ที่ผมปลูกเอง ผมต้องควบคุมตัวเองไม่ให้เถลไถล ทางานตามเป้าหมายตัวเอง ทั้งหมดนี้บ่ง บอกความเป็นตัวตนของผมผ่านหนังสือชื่อ “หนึ่ง” และ “เริญ” ซึ่งเลิกจาหน่ายแล้วเช่นกัน มันเป็น ความสุขเพราะหัวหน้าให้อิสระในความคิดของผม ผมเสร็จงานและเสนองานไปแกก็จะคอมเม้นท์ นั่น แหละครับคือช่วงเวลาที่ดีที่สุด เพราะเราครุ่นคิดอยู่ทั้งวันแล้วเอาไปให้ใครคนหนึ่งดูแล้วเค้าบอกว่า ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ เพราะอะไร? ดีตรงไหนไม่ดีตรงไหน? แต่ว่ามันเหมือนจะเป็นงานในอุดมคติแต่ความ จริงที่นี่ก็รับงานวิจัยตามหน่วยงานราชการทาให้มันขาดความเฉพาะทางอยู่เหมือนกัน เรียกว่าเก่ง หลายอย่าง แต่ไม่เก่งจริง ๆ สักอย่าง ก็คงมีสักวันหนึ่งที่ผมจะมีศูนย์วิจัยของผมนั่นแหละครับที่ค้นคว้า เกี่ยวกับเรื่องที่ผมสนใจเพียงอย่างเดียว งานวิจัยที่ดีคืองานวิจัยที่สร้างประโยชน์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้อง รอให้ใครมาเห็นประโยชน์ของมันแล้วมาจ้างสิ่งที่ตามมาคือ อิทธิพลของผู้ให้ทุนที่จะแทรกแซงลักษณะ การทางานและนโยบายหรือวิธีการเอาไปใช้งาน ซึ่งขัดหูขัดตานักวิจัยเป็นส่วนใหญ่ นั่นก็การเมืองครับ
  • 7. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 3 ในทางทฤษฎีมันคิดได้ ทาได้ แต่ในทางปฏิบัติมันย่อมขัดกับคนจานวนหนึ่งซึ่งอาจจะนาไปสู่ข้อขัดแย้ง ในสังคม ในหนังสือเล่มนี้พูดเกี่ยวกับเรื่องตลาดหุ้นล้วน ๆ ครับ ในนี้แถม Model ที่ผมนาเสนอไว้ 1 อย่าง เป็น โมเดลที่สามารถทาให้เราอยู่รอดอย่างยั่งยืนได้ แต่ไม่ใช่กาไรมากมายจนทาให้ท่านเป็นเศรษฐี ผม พยายามใช้คาพูดรัดกุมเพราะว่า อยู่รอดอย่างยั่งยืน ไม่ได้หมายความว่าจะกาไรครับ การจะกาไรหรือ เปล่าอยู่ที่ตัวท่านเอง ไม่ได้เกี่ยวกับ Modelเลย อย่างที่ผมบอกไว้ต่อให้ได้เครื่องมือที่ดีที่สุดไป ท่านก็ เอามันไปพังอยู่ดี เหตุเพราะอะไรนั้นหนังสือ “ฤดูหนาวของหมาป่า” อธิบายไว้หมดแล้ว การใช้ ประกอบกันทั้ง 2 เล่มถือว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมครับ หนังสือเล่มนี้เขียนจากประสบการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นของผมเอง โดยถ่ายทอดเรื่องราวผ่านตัวละคร ชื่อตาน้อย ซึ่งเป็น คนที่ผมรู้จักในชีวิตของผม เขาเป็นชาวสวนที่มีฝีมือ ตลอดชีวิตของเขาทาสวนมา ตลอด ตลอดชีวิต 30 ปีของผม ผมมองชีวิตเขาและเรียนรู้พยายามทาความเข้าใจและเอามา ประยุกต์ใช้กับตัวเอง เพื่อจะได้ให้ตัวเองได้เรียนเร็วขึ้นและไม่ต้องแก้ปัญหายุ่งยากมากนักในอนาคตที่ จะมาถึง เนื่องจากเราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นแล้ว ผมเชื่ออย่างนั้นนะครับ จักรวาลการเทรด ในจักรวาลมีดาวอยู่หลายล้านดวงแต่ละดวงมีขนาดแตกต่างกันแต่ละขนาดย่อมมีลักษณะทางกายภาพ แตกต่างกัน เช่น แรงดึงดูด การเคลื่อนที่หรือลักษณะภายในเช่น จานวนพายุ ภูมิอากาศ ธรรมชาติ วิทยา ในการเทรดก็ไม่แตกต่างจากนั้นเลย ทุกคนอาจจะเห็นมันเป็นแค่ราคา แต่เอาจริง ๆ แล้วมันก็ ประกอบด้วยหลายอย่างที่ซับซ้อน เรียกว่า “ความซับซ้อนของระบบ” หรือ Complex System ใน 1 จักรวาลประกอบด้วย กาแล็คซี่ ระบบดวงดาว ซ้อนอยู่ในนั้น เช่นเดียวกันที่เราอยู่บนกาแล็คซี่ทาง ช้างเผือก (Milky Way) และในทางช้างเผือกมีระบบดวงดาวของเราเรียกว่า ระบบสุริยะ จากที่ผม อธิบายตรงนี้ท่านเห็นอะไร? ท่านจะเห็นมันเป็นโครงสร้างใหญ่ ๆ และมาหาเล็กและเล็กลงเรื่อย ๆ
  • 8. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 4 ผมเคยบอกเรื่องทานองนี้กับน้อง ๆ ที่เคยสอน แต่พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่ามันเกี่ยวกันยังไง เอา จริง ๆ แล้วเราคงไม่ใช่คนแรกที่เทรดสาเร็จหรอกจริงไหมครับ มันต้องมีมาก่อนหลายครั้งเลยแหละ ผมก็ใช้ความเชื่อนี้แหละครับในการศึกษาระบบเทรด เมื่อก่อนผมก็เหมือนทุกท่านพยายามหาว่าใคร เก่ง แล้วไปตามศึกษาเขา ผมอยากจะศึกษาคนเก่งแต่ศึกษาไปศึกษามา ผมยิ่งมองไม่เห็นใครว่าจะเก่ง ที่จะเป็นครูของผมได้ที่เทรดแล้วประสบความสาเร็จจริง ๆ ณ ตอนนี้ผมเชื่ออย่างนั้นเพราะว่าพอลงมือ ค้นคว้าเกี่ยวกับใครซักคนแล้วพบว่า ไอ้ที่พวกนั้นเคลมไว้ มันเกินจริงไปละ แต่ก็มีนะครับพวกแนวทาง Value Investing ไง พวกที่อยู่ในนี้เท่าที่ผมลงมือค้นคว้าแล้วพบว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นจริงและพิสูจน์ได้ จริงเป็นส่วนใหญ่ เราจะตัดเรื่องเกินจริงออกไป จะเหลือเค้าโครงของความจริงอยู่บ้างและน่าเชื่อถือได้ แต่เชื่อไหมครับ การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดชีวิต พวกนั้นก็กาลังเรียนไปด้วยเช่นกัน การเรียน ไม่ได้บ่งบอกถึงความสาเร็จหรือกาไร บางคนกาไรก็เรียนรู้ได้เช่นกัน บางคนขาดทุนก็เรียนรู้ได้เช่นกัน บางคนกาลังเรียนรู้แต่ก็ได้กาไรแล้ว บางคนเริ่มด้วยการขาดทุนถึงได้เรียนรู้ บางคนเรียนรู้แล้วแต่ก็ยังขาดทุนและยังเรียนรู้ต่อไป บางคนเรียนรู้แล้วกาไรแล้วแต่ก็ยังเรียนรู้ต่อไป เพราะว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ทากันตลอดชีวิต ผมนั่งสารวจแนวคิดของใครหลายคน ผมพอรู้ว่าใครจับ ต้องได้และจับต้องไม่ได้ การรู้ว่าใครจับต้องไม่ได้แต่เขาก็มีชื่อเสียงนั้นก็ทาให้ผมออกมานี่ไงหล่ะครับ ฮ่า! ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี่ก็มีครูนะครับ ตัวผมเองไงหล่ะครับ ใครที่หาว่าเป็นครูผมโดยผมไม่ได้ยกย่อง นั่นไม่ใช่ครูนะครับ ผมก็เคยเจอนะครับ ประมาณบอกว่า “มาเรียนวิชาของเขาแล้วก็มาโจมตีเขาอะไร ทานองนั้น” ผมบอกได้ว่าผมไม่ได้เรียนอะไรจากเขา แม้ผมจะอยู่ในกลุ่มที่เขาสร้างขึ้นแต่ผมก็ไม่ได้ เรียนจากเขา ผมเรียนจากคนของเขาซึ่งแนวทางก็แตกต่างจากเขามาก ผมนับถือเพื่อนเขาเป็นครู แต่
  • 9. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 5 ไม่ใช่ใครก็ตามที่เขากล่าวอ้างแน่ ฉะนั้นครูของผมที่ผมนับถือย่อมมีอยู่ครับ ของทุกอย่างเกิดขึ้นได้เอง เสียเมื่อไหร่ มันมีเหตุของมัน จากที่ท่านอ่านมาทั้งหมดจะสังเกตุว่าผมชอบรับฟังคอมเม้นท์ และผมก็ ชอบคอมเม้นท์คนอื่น ผมแยกคาว่าคอมเม้นออกจากคาด่าชัดเจน เพราะว่า คอมเม้นท์ทาให้เราพัฒนา เราได้รับคอมเม้นท์ทาให้เรารู้ว่าเราต้องพัฒนาตรงไหน แต่ผมไม่รับคาด่าครับ คาด่าหมายถึงคุณกาลัง โกรธที่โดนวิจารณ์วิธีคิดของคุณ ซึ่งไม่ได้วิจารณ์ลักษณะตัวตนของคุณด้วยซ้า แต่นั่นเป็นนิสัยคนส่วน ใหญ่ครับที่มักจะยอมรับคอมเม้นท์ไม่ได้ เพราะมันผิดกับหลักของวิวัฒนาการในมนุษย์ไปหน่อยที่ต้อง มั่นใจว่าของตัวเองดีที่สุดเพื่อความอยู่รอด ก็ต้องออกจากระบบไปหล่ะครับหมายความว่าไม่สามารถ รับคอมเม้นท์ได้อีกเช่นกัน เพราะไม่อยู่ฟังท่านแล้วนั่นเอง (เสียดายเช่นกัน) ในเมื่อมองไม่เห็นว่าใครจะเป็นคนเก่ง ผมจึงหาครูใหม่ อันที่จริงระเบียบระบบวิธีการคิดของผมไม่ได้ พึ่งมีมาตอนหลังครับ การคิดเชิงระบบแบบนี้คิดมาตั้งแต่สมัยวัยมัธยมปลาย เรียกว่ามันเริ่มมากว่า 20 – 30 ปีแล้ว ในสมัยที่ผมเลิกศรัทธาในหนังสือตารา การหาแก่นสารของชีวิต การหาความรู้ที่ใช้ได้จริง ความกังขาที่เกิดขึ้นในเด็กคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจว่า ทาไมเราต้องเรียนวิชานี้ด้วย ในเมื่อ เรามาโรงเรียน เพื่อจะไปเป็นลูกจ้างในอนาคต ทาไมเราไม่เรียนวิชาที่จะเป็นลูกจ้างเลยและในเมื่อเป้าหมายของเรา คือ เงิน ทาไมเราไม่ไปเรียนวิชาที่ทาเงินได้เลย จะมาเรียนวิชาเหล่านี้ไปทาไม? นั่นก็ความคิดเด็กอายุ 17 ที่สูญสิ้นศรัทธากับตรรกะของสังคมครับ ด้วยเหตุแห่งนั้น วิธีการเรียนรู้จากธรรมชาติรอบข้างจึง พัฒนาขึ้นจากการสังเกตุ เช่น ทาไมกอข้าวในนาข้าวบางจุดถึงเขียวชะอุ่มกว่าอีกจุดหนึ่ง มีอะไรที่จุด อื่นไม่มี คาถามที่ถูกตั้งแล้วตั้งอีกทาให้ค้นพบว่าระบบใด ๆ ในโลก (ยกเว้นนอกจักรวาล) ก็ใช้ ความสัมพันธ์เดียวกันหมด นั่นเป็นความเข้าใจที่ปลูกฝังจากการเรียนรู้และสังเกตุสร้างความเชื่อมั่นให้ ตัวเองผ่านกาลเวลามาเรื่อย ๆ ผมเลยเป็น System Engineer อย่างไม่รู้ตัวแต่ไม่ชอบบทบาทนี้เอา เสียเลย ผมชอบชื่อ Alchemist มากกว่า นั่นแหละที่มาของสมมุติฐานเดียวที่ใช้ในหนังสือเล่มนี้และ ชีวิตนี้ของผมครับ ผมเป็นคนชอบดูสารคดีตั้งแต่เด็ก ผมชอบดูสารคดีเกี่ยวกับกาเนิดโลกจักรวาล หลายท่านอาจจะเคย เห็นกระทู้เปรียบเทียบขนาดโลกกับสิ่งต่าง ๆ เช่น เปรียบเทียบขนาดโลกกับขนาดดวงอาทิตย์ เปรียบเทียบกับดวงจันทร์ หรือเปรียบเทียบกับขนาดของกาแล็กซี่ จนทาให้เรารู้ว่าเราเล็กกระจ้อย
  • 10. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 6 ร่อยขนาดไหน ผมชอบนั่งดู เรียกว่าดูได้เป็นวัน ๆ นี่เป็นธรรมชาติของผมที่ผมรู้จักตัวเองมาตั้งแต่ 8 -9 ขวบในห้องสมุดโรงเรียน ผมเปิดภาพสารคดีดูประจา ขณะที่เด็กคนอื่นไปเล่นกัน ผมเชื่อว่านี่คือกล่อง ของขวัญของผมครับ ด้านล่างนี้ผมได้หยิบภาพมาจากเว็บไซต์แห่งหนึ่ง เอาจริง ๆ เว็บไทยก็มีครับ จะ เห็นว่าโลกนี้ใหญ่มากแต่เรามองขึ้นไปในสเกลที่ใหญ่กว่า เช่น ระบบสุริยะ มันทาให้โลกดูขี้ปะติ๋ว มอง ออกไปนอกกาแล็กซี่มันทาให้เราดูยิ่งกว่าฝุ่นผงธุลี ผมจาได้ว่าสารคดีมันมีชื่อ สารคดีว่า The Know Universe ครับ สามารถหาได้ตาม Youtube ทั่วไป แต่ท่านอาจจะคิดว่ามันไปเกี่ยวกับการเทรด ตรงไหน? มันก็ไม่แตกต่างกันหรอกครับขึ้นอยู่กับมุมมองที่ท่านมองและพยายามทาความเข้าใจ นอกจากโลกมันจะเล็กมากเมื่อเทียบกับ Observable Universe หรือจักรวาลที่สามารถสารวจได้ แล้วมันยังมีจักรวาลที่ไม่สามารถสารวจได้หล่ะครับ มันกว้างใหญ่มหาศาลเสียจริง ๆ ผมถามตัวเองว่า “แล้วผมต้องรู้ทุกอย่างทั้งหมดนั้นหรือเปล่า?” คงไม่ต้องครับ ผมจาบทเรียนที่ได้จากหนังสือ กามนิต วาสิษฐี อยู่เสมอที่พระพุทธเจ้าเทศนาเรื่องใบไม้สามใบ จะใบไหนก็ใบไม้เหมือนกันนั่นแหละครับจริง ไหม ความจริงนอกโลกกับในโลกย่อมต่างกันเป็นธรรมดาแต่ผมว่าใช้สัจธรรมเดียวกัน เช่น ความไม่ แน่นอน ถ้าหากเราเชื่อว่ามันศึกษาได้ไม่ต่างกันและใช้ระเบียบแบบแผนเดียวกัน ทาไมเราจะมองออกไปไกล มองออกไปนอกโลกตั้งไกล ซึ่งไกลเกินไปที่จะศึกษาได้ เราลองเปลี่ยนมามองเฉพาะในโลกแล้วเริ่ม Scale Down ก็ไม่แตกต่างกันครับ
  • 11. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 7 ภาพลาดับโลกและระบบสุริยะและระบบจักรวาล ที่มา: http://futurism.com/earth-compared-to-the-universe/
  • 12. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 8 หากเราเทียบแค่ในสังคมมนุษย์ ยังไม่พูดถึงสังคมสิ่งมีชีวิตที่แบ่งเป็นอาณาจักร ไฟลัม ดิวิชั่น อะไรตาม หลักของวิทยาศาสตร์แม้ผมจะชอบและเข้าใจอะไรแบบนั้นได้มากกว่า แต่เกรงว่าการเปรียบเทียบ เรื่องนั้นอาจจะทาให้อธิบายให้เห็นภาพลาบากครับ มันดูยุ่งยากซับซ้อนและไม่ใช่วิธีการ Simplified ที่ถูกต้องนัก ตัวอย่างที่ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับในสังคมมนุษย์ในโลกเรา เราได้แบ่งโลกเป็นประเทศ ภายในประเทศ แบ่งประเทศเป็นจังหวัด ภายในจังหวัดแบ่งจังหวัดเป็นอาเภอ ภายในอาเภอแบ่งเป็นเป็นตาบล เป็น หมู่บ้าน แบ่งเป็นคุ้ม แบ่งเป็นครัวเรือน แบ่งอะไรได้ตั้งมากมาย เราลองมาศึกษาดูครอบครัวของเรา เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้จะทาให้ท่านเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้นเพราะท่านย่อมรู้จักครอบครัวของท่านดีจริงไหม ครับ ท่านไม่ต้องมาสนใจครอบครัวของผมหรือของใครมันจะมองภาพไม่ออกเปล่า ๆ ในสังคมไทยเรามักเป็นครอบครัวขยายมาก่อน ก่อนที่จะเป็นครอบครัวเดี่ยว คือมี พ่อ แม่ ลูก หรือ อาจจะมีตากับยายมาอยู่ด้วย ก็คงมีเท่านี้จะเห็นว่ากลุ่มคนทางานมีเพียง พ่อกับแม่เท่านั้นที่นารายได้ เข้าสู่บ้าน และกลุ่มคนที่ต้องพึ่งพาคือ กลุ่ม ตา ยายหรือว่าลูก เมื่อพ่อแม่หารายได้มาแล้วจะต้องนามา ซื้อข้าวปลาอาหารและสิ่งบริโภคจาเป็นใช้ในครอบครัว ครอบครัวที่มีการวางแผนทางการเงินจะแบ่ง เงินใช้สอยเท่าที่เหมาะสมและแบ่งเงินเก็บออมไว้หลายส่วน เช่น เงินเก็บยามฉุกเฉิน เงินลงทุน เงิน สาหรับการเกษียณ แต่ที่ยกตัวอย่างมาไม่ค่อยอยู่ในสังคมไทยยุคก่อนหน้าเท่าไหร่ เราถึงฝากอนาคตไว้ กับข้าราชการกันเยอะทีเดียว ว่ากันง่าย ๆ เราคนไทยเหมาะสาหรับระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม มากกว่าทุนนิยม เพราะเราขี้เกียจที่จะหาความรู้เองและเราควบคุมความอยากของตัวเองไม่ได้ มี แนวโน้มว่าจะผิดวินัยมากกว่าคนอื่น แต่ผมเห็นเด็กรุ่นใหม่ รุ่นหลังของผมเปลี่ยนไปแล้วครับ มัน น่ายินดีที่พวกเขาจะออกไปบินด้วยตัวเองและสร้างสังคมที่ดีกว่า จากที่ผมยกตัวอย่างเรื่องโครงสร้างและองค์ประกอบของครอบครัว เมื่อพ่อและแม่รู้สึกว่าเขาเหนื่อย มากที่จะต้องทางานเป็นลูกจ้าง เขาเหล่านั้นจะเริ่มเก็บออมเงินลงทุนและเริ่มจะลงทุนเพื่อประกอบ กิจการให้ได้ผลตอบแทนกลับมาและนาไปขายกับหน่วยธุรกิจหรือครัวเรือนอื่น สิ่งเหล่านี้ที่ผมอธิบาย ไปเป็นสมการรายได้ประชาชาติของ John Maynard Keynes นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังได้ครับ ท่าน อาจจะชื่นชอบ How Economic Machine works ของ Ray Dalio มากกว่านั่นเพราะว่าเขาอธิบาย
  • 13. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 9 ให้เข้าใจง่ายมากกว่าแต่จริง ๆ แล้วมันก็ตัวเดียวกันนั่นแหละ ขึ้นอยู่กับว่า ขึ้นอยู่กับว่าเราจะอธิบายให้ เข้าใจได้มากน้อยเพียงใด ในสมการของ Keynes นั้นกล่าวถึงรายได้ประชาชาติ ซึ่ง ส่วนใหญ่จะใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP มาเป็นตัวแปร Y โดยสมการที่ว่าคือ Y = C+I+G+(X-M) ซึ่งดูแล้วมันไม่ได้ดูซับซ้อนมากมาย มันก็แค่มีเงินเข้ามาเรียกว่า รายได้ (Y) แล้วนาไปบริโภค (Consumption) แล้วก็นาไปออม (Saving) หรือในที่นี้คือ Investment (I) เพราะเอาเงินเก็บไปลงทุนซึ่งเป็นเงินลงทุนของครอบครัวเมื่อกี๊นั่น แหละ และเราจ่ายภาษี (Tax:T) หรือในที่นี้คือ Government (G) เมื่อรัฐเอาภาษีไปลงทุนในโครงสร้าง สาธารณูปโภค และ X แทนการส่งออกก็คือการขายสินค้าของครัวเรือนและนาเข้าคือการไปตลาดหรือ ไปซื้อของมาผลิตสินค้าขายให้ครัวเรือนอื่น (Import=M) จริง ๆ แล้วมันมีรายละเอียดของเส้น IS – LM อยู่อีก คือความสัมพันธ์กันของเงินลงทุน (investment = Saving) ก็คือคนก็เอาเงินออมนั่นแหละ ไปลงทุน และปริมาณเงินที่หมุนเวียนในประเทศอยู่แต่ขี้เกียจอธิบายแล้วหล่ะครับ ผมเดาได้ว่าคงไม่มี ใครอยากฟัง เราลองมองดูใหม่ที่ผมอธิบายมาทั้งหมดก็ไม่แตกต่างกับ เหตุการณ์ของครอบครัวที่มีพ่อ และแม่ที่ผมยกตัวอย่างตอนแรก หารายได้มา ใช้จ่ายส่วนหนึ่ง ออมส่วนหนึ่ง และทากิจการเพื่อหา รายได้เพิ่มเท่านั้นเอง เราก็ทาอย่างนี้เช่นกันในแต่ละครัวเรือน บางครัวเรือนอาจจะแตกต่างจากนี้ เรา ไม่จาเป็นต้องไปรู้ลึกถึงสมการรายได้ประชาชาติ เราไม่จาเป็นต้องไปเข้าใจถึงสมการตัวเลขมากมาย เราเข้าใจว่า ครอบตัวหนึ่งหารายได้มาแล้วแบ่งเงินจัดสรรเงินก็พอครับ ซึ่งถ้าหากเราศึกษาครอบครัวของเรา แทนที่จะไปศึกษาครอบครัวของคนอื่นแล้วเราจะพบว่า ใน ครอบครัวก็มีระบบการจัดสรรบริหารทรัพยากรและเข้าใจได้ง่ายกว่า ฉะนั้นไม่มีความจาเป็นเลยที่ จะต้องไปเข้าใจครอบครัวอื่น ไม่มีความจาเป็นต้องจะมีความเข้าใจกับกองทุนหมู่บ้าน หรือว่าจะไป จัดการบัญชีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดหรือประเทศ มันก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละครับ เข้าใจในสิ่งที่เข้าใจ ง่ายดีกว่า เอาจริง ๆ แล้วนี่คือการเกริ่นนาที่ยาวมากสาหรับผมคนที่ชอบเขียนบทความมากกว่า แต่ พยายามจะบอกว่า ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของผม ผมไม่สามารถจะหาคนที่น่าเชื่อถือได้เพียง พอที่จะเป็นครูที่ประสบความสาเร็จให้กับผม ผมเลยหันหลังให้กับครูในตลาดเพราะว่าหาจับต้องได้ ยากเหลือเกิน แม่มมม! มีแต่ 18 มงกุฎ แม้แต่ตัวหน่วยงานที่เป็นกลางบางหน่วยงาน หน่วยใหญ่เสีย
  • 14. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 10 เปล่า เป็นผู้ควบคุมตลาดทุนในประเทศแต่ยังไม่รู้ สี่ รู้ แปด อะไรเลย (ขอโทษที่หยาบคายครับ) ก็จริง นะครับ คุณน่าจะศึกษาดีกว่านี้ครับแต่ช่างมัน เมื่อคนกลางไม่ช่วยอะไรนักลงทุนแล้ว นักลงทุนต้อง ช่วยตัวเองครับ ฉะนั้นคนที่สาเร็จในวงการลงทุนหายาก ลองหาวงการที่เรารู้จักสิครับ ผมก็มีวงการ วิชาการกับชีวิตบ้านนอกนี่แหละครับ นั่นเป็นที่มาว่าทาไม แปลงผักของตาน้อยมีความสาคัญมาก แปลงผักของตาน้อยก็มาจากกิจการของครอบครัวครับ ผมเลยเลือกที่จะอธิบายเรื่องที่ใกล้ตัว แต่ระวัง นะครับการอ่านหนังสือไม่ช่วยให้คุณเก่งขึ้น การอ่านหนังสือแล้วนาไปปฏิบัติทาความเข้าใจ ในด้านที่ ไม่เฉพาะส่วนที่ดีของหนังสือที่ได้บอก ต้องทาความเข้าใจกับส่วนที่แย่ทาให้เกิดผลเสียต่อเราด้วยครับ ถ้าพิจารณาแต่ผลดีเป็นยังไงหน่ะหรอ? ตัวอย่างมีให้เห็นทนโท่ครับ ข่าวผู้จัดการกองทุนที่สิงคโปร์ผิด วินัยแล้วทาผิดพลาด กองทุนเจ๊งระนาวมีมานักต่อนัก Short Against market บ้าง หรือข่าวกองทุนที่ อังกฤษล้มละลายเพราะคานวณมาดีแต่ลืมคานวณความโลภของตัวเอง ก็เพราะว่าเขาเหล่านั้นยังไม่ เคยลองผิดครับ มีแต่ลองถูกเพราะทาตามตาราและทาตามคาว่าวินัย พอจะแหกวินัยจึงไม่เข้าใจภาพ ว่ามันจะเกิดผลเสียอย่างไรบ้าง คนเรามันชอบแหกกฎอยู่แล้วครับเพราะเป็นสัญชาตญาณการเอาตัว รอดของมนุษย์ การทาตามกฎเกณฑ์กันหมดก็อาจจะนาไปสู่หายนะแบบหมู่ ถ้าหากออกแบบกฎให้ไป ตายก็ตายหมู่จริงไหมครับ? กฎของการเทรดจึงใช้ไม่ค่อยได้ผลกันซักทีแล้วหนังสือตาราก็บอกแมร่งอยู่ นั่นแหละว่า “มีวินัย”!!!! ผิดวินัยไม่ได้ เหมือนกับสั่งให้เด็กบอกว่า “อย่าเสพยาเสพติด” มีโทษต่อ ร่างกาย ต้องเป็นคนดีมีวินัย ผมก็เห็นทุกเจเนอเรชั่นก็มีเด็กแบบนั้นทุกรุ่นนะครับ ในโลกของการลงทุนไม่แตกต่างจากโลกของเรา หรือจักรวาลของเราซึ่งตัวเรา “นักลงทุน” มีฐานะ เป็นโลกหรือดาวเคราะห์หนึ่งในจักรวาล คนอื่นก็คือดาวเคราะห์อื่นในจักรวาลหรือถ้าเราพยายามลด สเกลลงมาหน่อย โดยเปรียบโลกของการลงทุนเป็นโลกแล้วเปรียบตัวเองเป็นครัวเรือนหนึ่งเท่านั้นเอง นั่นไงหล่ะครับ! ความเชื่อมโยงที่ 1 มาแล้ว ในเมื่อเราเป็นครัวเรือนหนึ่งมันก็จะง่ายที่จะทาความเข้าใจ จริงไหมครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าในทักษะด้านเศรษฐศาสตร์ของผมจะดีพอที่จะอธิบายให้คนทุกประเภท ที่มีความต่างกันด้านความรู้ ความชานาญจะมาเข้าใจที่ผมพูดได้ ผมจึงถ่ายทอดผ่านเกษตรกรรมที่ ท่านจะหาและทาความเข้าใจได้ง่ายกว่าเศรษฐศาสตร์มากนัก มันทาให้เป็นที่มาของสวนผักของตา
  • 15. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 11 น้อยและมีรูปอะไรบางอย่างที่ผมอธิบายไว้ ซึ่งผมได้แนบแบบจาลองที่ใช้เป็นตัวอย่างในหนังสือนี้ทั้ง เล่มออกมาผ่านภาพเพียงภาพเดียวครับ แม้รายละเอียดจะไม่เยอะแต่ก็เยอะพอสมควรที่จะทาให้ท่าน ไปต่อยอดได้ ก็ขอให้จินตนาการว่าครอบครัวที่พ่อแม่ลูกตายายนั้น คือครอบครัวของตาน้อยและมี อาชีพทาเกษตรเป็นรายได้หลักไม่ได้ประกอบอาชีพข้าราชการ หรือพูดง่าย ๆ ไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือน เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ย้ากันอีกทีว่าผมไม่ได้นาเสนอแบบจาลองที่รวยแต่ผมนาเสนอแบบจาลองที่รอด อย่างยั่งยืนครับ!
  • 16. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 12 สวนผักของตาน้อย สวนผักของตาน้อยเป็นเรื่องเล่าของการทางานของครอบครัวของเพื่อนผม แต่ครั้นจะเอาครอบครัว เขาไปเขียนทั้งหมดนี่ ผิดจรรยาบรรณนักเขียนนะครับ ทาไม่ได้ก็ต้องดัดแปลงเรื่องราวกันหน่อย เรียกว่า Based on true story ดีกว่าครับ ภาพจักรวาลการเทรด ในภาพผมวาดขึ้นเองมันก็ออกจะห่วยหน่อย ๆ ครับเพราะว่า ฝีมือการวาดรูปเดิมก็ห่วยอยู่แล้ว สังเกตุจากปกของหนังสือเล่มที่ผ่าน ๆ มาของผมได้ แต่คราวนี้ใช้สีได้เพราะไม่ได้จัดพิมพ์ที่ไหน เข้า เรื่องกันเสียที ผมได้จัดนิยามตลาดการลงทุนว่าคือเส้น PL Line หรือเส้นกาไรขาดทุนครับ (Profit Inflation Time line PL Line ตาน้อย
  • 17. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 13 Loss Line) ผลตอบแทนของการลงทุนมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สืบเนื่องจากภาวะการเกิด Inflation ไม่ใช่เงินเฟ้อนะครับ แต่เรียกว่า เฟ้อ เหมือนกันนั่นแหละครับ เหตุการณ์เฟ้อนั้นไม่ได้เกิดแค่เงินอย่าง เดียวนะครับ การเฟ้อของผลิตภัณฑ์บางอย่างมันทาให้การหาของสิ่งนั้นได้ง่ายครับ เช่น จานวน ประชากรก็เฟ้อได้ จานวนเงินก็เฟ้อได้ จานวนน้าก็เฟ้อได้ จานวนอ๊อกซิเจนก็เฟ้อได้ พอเฟ้อแล้วมันจะ มีปริมาณมากครับ อย่างเช่นเงินเฟ้อ ทาให้เงินมีมากขึ้น เมื่อเงินมีมากขึ้นมูลค่าของเงินก็ลดลงทาให้ มูลค่าสินค้าสูงขึ้นเพื่อให้ได้ใช้เงินมูลค่าเท่าเดิมครับ เมื่อปริมาณเงินในตลาดมากขึ้นทาให้คนมีความมั่ง คั่งมากขึ้น ทาให้เส้น PL Line ค่อย ๆ ขยับสูงขึ้น การขยับของมันมีอยู่หลายสาเหตุแต่ว่า ก็พอจะ อธิบายในรูปแบบง่าย ๆ อยู่คือ สาเหตุแรกจานวนประชากรประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ถ้าหากว่า ทุกคนอยากจะรวยและอยากเข้าตลาดหุ้นเหมือนกันหมด ท่านก็ไม่ต้องกังวลว่าราคามันจะไม่ขึ้นเลย ครับ หุ้นทุกตัวมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นเพราะว่า คนเอาเงินเข้ามาในตลาดมากขึ้น ไอ้คนที่ขาดทุนก็ออกไป คนที่กาไรก็ยังอยู่ หากอยากกาไรอยู่อย่างนี้ ไม่ยากเลยครับแค่ประเทศช่วยกันผลิตประชากรมารับ ชะตากรรมการขาดทุนแทนเราต่อไป โดยมีนิยามว่า เราต้องเก่งกว่าเด็กรุ่นใหม่นะครับ ถ้าเราไม่เก่ง กว่า เรานี่โดนแดกเองนะครับ นอกจากการเพิ่มขึ้นของประชากรแล้วการที่ตลาดมันเฟ้อขึ้นเพราะ ปริมาณเงินมันมากขึ้นด้วยครับ ทาให้ราคาสินค้าสูงขึ้นก็เงินเฟ้อนั่นแหละทาให้ราคาสินทรัพย์ในตลาด ทุนเพิ่มขึ้นด้วย ราคาหุ้นก็ไม่เว้น เพราะมีปริมาณเงินมากขึ้นหนิ แล้วปริมาณเงินมันมากขึ้นมาได้ยังไง ปริมาณเงินมันมากขึ้นด้วยระบบของมันเอง คือ ภายใต้ระบบทุนนิยมปริมาณเงินมันมากขึ้นโดยอัติ โนมัติครับ ตัวอย่างครับ ประเทศ A กาหนดจานวนเงินในประเทศตัวเอง 1,000 บาท และนาเงินเข้าสู่ระบบผ่านการลงทุน ภาครัฐ คือ ซื้อวัสดุ จัดจ้างแรงงานโดยการทาถนน ทาสะพาน สร้างไฟฟ้า ประปา ไปรษณีย์ โทรศัพท์ โรงพยาบาล โรงเรียน การสร้างสิ่งเหล่านี้ก็ต้องจ้างแรงงานครับ เงินก็จะไปสู่ประชาชนจากช่องทางนี้ แล้ว เงินอีกส่วนหนึ่งก็จะไปสู่บริษัทโดยผ่านช่องทางการจัดหาวัตถุดิบให้รัฐ คือ จะสร้างโรงเรียน อะ! ต้องหาซื้อปูน เหล็ก หิน ดิน ทราย แต่พวกนี้ไม่มีเงินทุนแต่แรก เขาเอามาจากไหน ก็เอามาจากการกู้ รัฐนั่นแหละครับ นั่นคือ ผ่านช่องทางธนาคารพาณิชณ์อีกต่อหนึ่งซึ่งก็มาจากรัฐบาลอีกต่อหนึ่ง เรียกว่า รัฐปล่อยกู้ให้เอกชนไปจัดหาวัตถุดิบแทนรัฐบาล แล้วกลับเอามาขายรัฐบาลในราคาแพงกว่า ราคากู้!
  • 18. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 14 อ้าว! ไหงงั้น??? เพราะว่า เอกชนต้องจ่ายดอกนี่ครับ? มันจะคิดราคาเท่ากับที่กู้มาแมร่งก็ขาดทุนสิครับ พอจ่ายดอกก็ต้องบวกเพิ่มจริงไหม? แล้วกูยังไม่ได้บวกกาไรเลยนะ อะ! บวกกาไรอีก นั่นแหละครับ ทั้งดอกเบี้ยและกาไรมันทาให้ไอ้เงิน 1,000 บาทในระบบที่ว่านั่น ไม่ใช่ 1,000 ละ ดอกมันจะงอกมา จากไหนครับ เงินมันงอกเองไม่ได้ จานวนเงินในระบบมันมีเท่ากับ 1,000 บาทอยู่แต่จานวนตัวเลขที่ คนสร้างขึ้นลอย ๆ จากดอกเบี้ยและกาไรและคนสร้างกฏเกณฑ์ว่าฉันเรียกราคาเธอไปแล้วเธอก็ต้อง จ่าย ปริมาณเงินมันจะไม่พอจ่ายเห็นหรือเปล่าครับ ฉะนั้นดอกเบี้ยเกี่ยวกับราคาสินค้าเต็ม ๆ พวก รัฐบาลจึงใช้อัตราดอกเบี้ยควบคุมเงินเฟ้อครับ ในตัวอย่างจะเห็นว่ามี อยู่ 3 ส่วนที่ทาให้เกิดเหตุการณ์ เฟ้อ คือ ความต้องการที่เกินขอบเขตของคนคือ อยากได้ทั้งที่ไม่มีกาลังซื้อ จึงไปกู้มา นี่แหละครับทา ให้เกิดเหตุการณ์เฟ้อขึ้น และการแสวงหากาไรส่วนต่างครับ นี่คือเอกลักษณ์ของระบบทุนนิยม จะเห็นว่ามีส่วนเล็ก ๆ ที่น่าสงสารท่ามกลางความโลภของมนุษยชาติอยู่จุดหนึ่งนั่นคือ แรงงาน เพราะว่าในตัวอย่างการสร้างโรงเรียนที่ผมยกตัวอย่างนั้นมีส่วนผสมของที่มาของการสะสมทุนอยู่สอง อย่างคือ แรงงานและทุนที่รัฐบาลให้เอกชนกู้เพื่อไปสู่การลงทุนของรัฐ ผมได้อธิบายส่วนของเอกชนที่ นาเงินของรัฐไปลงทุนไว้แล้ว ลองมาดูฝั่งแรงงานกันบ้าง แรงงานเป็นกลุ่มที่น่าสงสาร เพราะว่าต่อให้ ค่าแรงแพงขนาดไหนก็ไม่มีวันได้บวกกาไรค่าแรงครับ มันมีหรอ?บวกกาไรค่าแรง? เพราะถ้าค่าแรง แพงก็จะทาให้ทั้งระบบ (เน้นยาว่าทั้งระบบและนิยามว่ามีระบบเศรษฐกิจเพียงระบบเดียว) ต้นทุน สูงขึ้น เดี๋ยวพวกเจ้าของกิจการก็ขึ้นราคาสินค้าเองครับ นั่นเป็นเหตุว่าทาไม เจ้าสัวซีพีเขาไม่กลัวการ ขึ้นราคาค่าแรงขั้นต่าของภาครัฐเลยครับ ยังไงกูก็บวกอยู่แล้วขอแค่มีคนซื้อเหอะ ในระยะยาวแล้วการ บวกค่าแรงขึ้นไม่ได้ส่งผลต่อใครทั้งนั้นครับ แต่ในระยะสั้นรายยุ่ยตายห่ากันหมดครับ เพราะว่า รายยุ่ย ทุนสารองน้อยกว่า การขึ้นราคาค่าแรงหมายความว่าเขาดึง Free Margin ที่เหลือมาใช้ หากใคร Free Margin หมดเรียกว่า Margin Called ครัชชช ฮ่า ตัวใครตัวมัน ส่วนพวกกิจการใหญ่เขามีทุนสารอง เยอะอยู่แล้วครัช ไม่ต้องไปห่วงมัน นั่นแหละครับ ขึ้นไปเถอะค่าแรงส์!! ด้วยเหตุนี้ทาให้กลุ่มชนชั้น แรงงานไม่ได้มีอะไรเลย เพราะมันเป็นเกมส์แห่งทุนนิยมครับ คนมีทุนมากกว่าจึงได้เปรียบว่าด้วยการ สะสมทุน Karl Marx เห็นอย่างนี้เลยรู้สึกสงสารพวกแรงงานมากครับเพราะว่า แมร่งเอาเปรียบกันนี่ หว่า ค่าแรงแมร่งไม่เคยบวกได้แถมเสียภาษีก่อนแล้วเอามาจ่ายอีก (เวลาจ่ายเงินเดือนจะโดนหักภาษี
  • 19. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 15 ก่อน สาหรับคนที่เลยขั้นต่า แต่ภาคธุรกิจเห็นกาไรจะสูงแมร่งจ่ายก่อนเลย เอาไปลงทุนอะไรก็ได้จะได้ ลดภาระภาษี) ด้วยเหตุนี้ความได้เปรียบมันต่างกัน ดังนั้น Marx จึงนาเสนอทฤษฎีทางสังคมเรียกว่า สังคมในอุดมคติ คือ สังคมนิยมเนี่ยแหละ สุดท้ายหรอ?!!! เรามารบกัน ฮ่า!!! ตามมาด้วยสงครามตั้ง 2 ครั้งเนี่ยแหละมนุษย์ เพราะว่ามันไม่เข้ากับบริบทของมนุษย์ ณ ตอนนี้และตอนนั้นที่เต็มไปด้วยความ โลภ ความแตกต่าง เพื่อเอาตัวรอดสัญชาตญาณที่แตกต่างกัน พื้นเพที่ไม่เหมือนกันและมีความ ต้องการที่ไร้ขีดจากัด แบบไม่ควบคุม แต่ว่าคนก็เปลี่ยนได้นะครับ (ไม่งั้นก็คงไม่มีประเทศที่เจริญกว่า ไทยหรอก) ดูเผิน ๆ อย่างนี้ประเทศไทยที่ผ่านมาเหมาะกับสังคมนิยมมากกว่านะครับ ที่พึ่งพา สวัสดิการของรัฐเป็นหลัก เพราะเราไม่พร้อมที่จะควบคุมตัวเอง เอาระบบบาเหน็จบานาญออกไป แล้วให้เก็บเงินเกษียณอายุเอง (ไหวมั๊ย?!) น่างสารเหล่าชนชั้นกรรมมาชีพนะครับ เอ้าเหล่าชนชั้น กรรมาชีพจงลุกขึ้นสู้!!! เฮ!! แต่ว่าเหล่าชนชั้นกรรมาชีพก็มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้อยู่ครับ การจะลืมตาอ้าปากได้ของเหล่าชนชั้น กรรมมาชีพนั้นเกิดจากวัฎจักรของทุนนิยมครับ (ยังอยู่ในมหาสมุทธ ห่างไกลจากฝั่งมากนัก) ทุนนิยม นั้นเปิดโอกาสให้คนได้เข้ามาในตลาดการแข่งขันของทุนอย่างเสรี ทาให้มีผู้แข่งหลายรายมากขึ้น การ แข่งขันหลายรายทาให้กลไกตลาดดาเนินไป มีคนหลายคนแปล Invisible Hand ของ Adam Smith แตกต่างกัน ผมเห็นแล้วก็ขาเพราะเราไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรครับ แมร่งนั่งเดากันทาไม? การแข่งขันกัน ในตลาดทาให้ราคาถูกลง เมื่อการแข่งขันดุเดือดขึ้นจะทาให้ราคาสินค้าถูกลงจนถึงระดับหนึ่ง เรียกว่า ระดับเจ๊งกันชิบหาย จนเหลือคนรอดคนสุดท้าย คือคนที่มี Free Margin เยอะสุดนั่นแหละครับ ระดับ ราคาสินค้าลดต่าขนาดนั้น จะทาให้เกิดส่วนต่างของ ราคาสินค้ากับราคาค่าแรง ทาให้ราคาค่าแรงแพง แต่ราคาสินค้าถูก ช่องว่างนี้เองที่ทาให้ชนชั้นแรงงานสามารถขยับขยายตัวเองได้ นั่นคือ ราคาสินค้า อุปโภคบริโภคถูกลงทาให้แรงงานมีเงินเก็บและเบียดขึ้นไปเป็นเจ้าของกิจการได้ครับ และจะเกิดวัฎ จักรที่ผมอธิบายตั้งแต่ต้นตามมาอีก ฮ่า!!! เพราะผู้ประกอบการที่เข้ามาคือ มือใหม่ครัช แหม๊ มันน่า เจ็บใจจริง ๆ !! วัฎจักรนี้เป็นวัฎจักรตรงข้ามกับ วัฎจักรหนึ่ง คือวัฎจักรฝั่งผู้บริโภค จะเห็นว่าที่ผม อธิบายเกิดขึ้นในฝั่งผู้ผลิตเท่านั้น (คนอ่านบอก!! ไอ้ชิบหายเมิงยังจะอธิบายต่ออีกเรอะ!) ท่านยังคงจา กันได้ว่า นี่มันอธิบายเกิดมาจากปัจจัยแรงงานเพียงฝ่ายเดียว แต่ปัจจัยที่ผมยกตัวอย่างมี ฝั่ง
  • 20. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 16 ผู้ประกอบการด้วย ฝั่งผู้ประกอบการมี สองฝั่งครับ นั่นคือ ฝั่งผู้ปล่อยกู้กับผู้กู้ ภาครัฐและธนาคาร และภาคเอกชน ตัวเล่นสองตัวนี้ผูกพันกับความโลภของคน ว่ากันง่าย ๆ คือเขาหาประโยชน์บนความ โลภของคนโดยการให้พวกแรงงานบริโภคครับ เมื่อแรงงานบริโภคเขาจะได้กาไร เมื่อเขากาไรเขาก็ เอาเงินไปลงทุนเพิ่มอีก การบริโภคของแรงงานนั้นจะเกินระดับของค่าแรงที่เขาได้มาเรียกว่า เกินตัว นั่นแหละ ใครเป็นแรงงานมั่ง แล้วเขาก็จะกู้มาบริโภค ทาไมคนเหล่านี้ให้เรากู้ฟร่ะ???!! เพราะพวกมัน ก็อยากได้กาไรไงครับ เมื่อเรากู้!! หนี้ก็มากขึ้นจนใช้ไม่ไหว พอถึงเกิดจุด Default (เรียกชาระหนี้) แมร่งก็ล้มกระดานสิครับ เพราะไม่มีก็ไล่เบี้ยกัน ล้มระเนระนาด ไอ้ที่ปล่อยกู้กันง่าย ๆ นี่ก็ Hamburger Crisis กันมาแล้วนะครัช! นี่เป็นอีกวัฎจักรหนึ่งของธุรกิจ จะว่าง่าย ๆ เลยก็คือ เราก่อ วิกฤติเศรษฐกิจได้หลายวิธี เรียกว่า เราชอบเล่นเผาบ้านตัวเองกันครับ ฮ่า นอกจากสองวิธีที่ว่านี้ แต่ มันดีนะครับ ทุกครั้งที่เกิดระบบเศรษฐกิจขึ้นมาและระเบิดไปมันไม่เคยต่ากว่าเดิมทุกครั้ง เพราะว่า มันมีคนรอดเป็นฐานอยู่ พวกนั้นเรียกว่าอยู่มายาวนานและร่ารวยกันจริง ๆ ท่านจะเห็นว่าทาไมผมตี เส้น PL Line เฉียงขึ้น (แมร่งอธิบายยาวมะ แค่เส้น ๆ เดียว) จะเรียกว่า How Economic Machine Works ในเวอร์ชั่นของผมก็ได้แต่มันไม่สาคัญหรอก แต่ผมยังไม่เคยอ่านเจอในตาราเล่มไหนนะครัชชช เส้น PL Line ก็เหมือนกับระบบเงินเฟ้อ ระบบเศรษฐกิจประเทศ ระบบในตลาดหุ้น ระบบในสวนผัก เหมือนกันหมดนั่นแหละ เท่านี้ท่านจะเข้าใจว่าทาไม แมร่งโปรโมทให้กู้เข้ามาลงทุนผ่านตลาด หลักทรัพย์กันจั๊งงงงง!! เพราะได้ค่าคอมไง ฮ่า! แถมไม่พอได้คนหน้าใหม่ที่เอาเงินเข้ามาในระบบเพิ่ม อีก ฉะนั้นทุนมาจากไหน เดิมทุกประเทศมีทุนกันหมดครับ ทุนที่ว่าคือ ทรัพยากรที่มีของทุกประเทศ ก็คือ ไอ้เงิน 1,000 บาทที่ผมยกตัวอย่าง บางประเทศก็สะสมทุนจากแรงงานครับ รูปแบบการสะสมทุนแบบ นี้นาไปสู่ระบบแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่แตกต่างกันสองแนวคิดคือ Karl Marx เชื่อว่า คาว่า “ทุน” ใน Das Kapital มาจากแรงงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ชนชั้นแรงงานใช้จ่ายเหลือเก็บออมแล้วเอาไป ลงทุนแล้วได้กาไรจึงเลื่อนเป็นชั้นนายทุน ขณะที่พวกโลกใหม่เรียกว่า ทุนนั้นมาจากสองส่วนคือทุนที่ เป็นตัวทรัพยากร (ที่ดินตาราเศรษฐศาสตร์) ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์อธิบายรวมถึงดินน้าอากาศ แร่ ธาตุที่อยู่ในขอบอาณาเขต (กูอยากรู้จังแล้วลึกลงไปในแกนโลก แกนโลกเป็นของใคร?) เมื่อทุนในทาง
  • 21. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 17 เศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับทรัพยากรเกิดขึ้นแต่ละประเทศมีไม่เท่ากันละครับตามแต่เวลา ขึ้นอยู่กับราคา สินค้า( Commodity Price) เช่น หากเราเทียบตัวเองกับซาอุฯ เราคงมีทุนน้อยกว่าเพราะ น้ามันมัน ราคาแพงมันว่าด้วยการตีราคาล้วน ๆ แต่ว่าโลกยุคใหม่นี้ เขาไม่ได้นับทุนทางประชากรแล้วครับ ประเทศไทยมัวแต่ส่งออกแรงงาน (เราไม่ได้ส่งออกข้าวหรือสินค้าเกษตรมากที่สุด แต่เราส่งออกสินค้า อีเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนอีเล็กทรอนิกส์) หมายความว่าไง หมายความว่าการที่จะนับ GDP ยังไงเราก็สู้ ฝรั่งไม่ได้ครับ เราแมร่งขุดที่ดินขายกับแรงงานขายอย่างเดียว เดี๋ยวนี้เขาไปไกลกันจนถึงขายสติปัญญา กันแล้วครับ ลองดูญี่ปุ่น มันมาจ้างเราผลิตชิ้นส่วน Electronics แล้วมันไปประดิษฐ์เครื่องใช้ไฟฟ้ามา ขายต่อ มันใช้อะไรครับ มันใช่แค่สมองสองมือ ทรัพยากรก็ของเราทั้งนั้น มันมาขายเราแถมบวกกาไร อีก น่างงสารมั๊ยหล่ะสัสส!!! ตาม Karl Marx ว่าเป๊ะ ประเทศไทยแรงงานโลก!! อะไรทานองนั้น ลองดู การบริโภคเดี๋ยวนี้สิ มันไม่ได้นับ GDP ลูกชิ้น เบียร์ ข้าว ยางพารา กุ้ง ยางรถยนต์กันแล้ว เราสร้าง GDP จากทรัพยากรที่จับต้องได้ แต่แมร่งพวกสร้าง GDP จากอากาศ I-phone งี้ จุดสาคัญของมัน หรอ? มันคือ Software นะครัช เพราะ Hardware มันก็จ้างเรามานั่นแหละด้วยค่าแรงถูกแสนถูกแล้ว ก็เอามาขายเราอีกต่อคงบอกได้ว่าใครรวย เมื่อค่าแรงมันบวกกาไรไม่ได้ ลองดูครัช อี Application ในมือถือของท่านมันใช้ดีบุกผลิตหรือเปล่า หรือว่ามันใช้ เศษทองคามาเป็นส่วนประกอบหรือ? มันเต็ม ไปด้วยตัวหนังสือทั้งนั้น Coding ลองดูญี่ปุ่นแมร่งส่งออกจินตนาการ ขายฝัน Dragonball Super ติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง มีคนติดตามหลายภาษา ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน มันใช้ทรัพยากรอะไรผลิต? ของเหล่านี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาเป็น “ทุน”ที่เราไม่มีทางตามทันอยากจะเป็นเสือตัวที่ 5 ตัว เอาชนะพวกนี้ให้ได้ครัช ไม่ใช่ปลูกข้าวแน่นอน ไม่งั้นคุณก็อย่าเล่นเกมส์ของมันแบบภูฎานนั่นแหละ ไปวัดดัชนีความสุขกันเลยดีกว่า (เราก็คงสู้เขาไม่ได้อีกนั่นแหละ) ย้อนกลับเข้าฝั่งหน่อย ออกทะเลไปไกล จริง ๆ แล้วการที่คนเอาเงินเพิ่มในระบบมันสะท้อนสองอย่าง ครับ เรียกว่า Win Win Situation ของ Value Investor หรือในโลกความเป็นจริงก็พิมพ์เงินเพิ่มกันนี่ แหละครับ นักลงทุน Value Investor พวกนี้มองว่า (จากการอ่านตารามาหลายคนเคลมว่า ตลาดหุ้น ไม่ใช่ ตลาด Zero sum game) ตลาดไม่ใช่ Zero Sum game แต่เป็นสถานการ์ที่ Win Win Situation ได้ ก็แน่หล่ะสิ อีลุงคนที่เขียนหนังสือนี้ คือคนที่รอดในตลาดมาอย่างยาวนาน มี Free
  • 22. ส ว น ผั ก ข อ ง ต า น้ อ ย P a g e | 18 Margin สูงแมร่งงงง แต่ความเป็นจริงตลาดเป็นสถานที่ Zero Sum game ครับ เคยเขียนอธิบายไว้ ในหนังสือเล่ม ฤดูหนาวของหมาป่า แต่ไม่เขียนแล้วหล่ะ ยังไงผมก็เขียนไว้ให้คนที่ซื้อเล่มก่อนอยู่แล้ว ขี้เกียจเขียนมันจะยาวเปล่า ๆ เอาที่จะเขียนของบทนี้แหละครัชชชหรือไม่พวกท่านก็ไปหาคาตอบเอา เองครัช การที่มันเป็น Zero Sum game มันจะหาผู้ชนะได้เสมอและมีคนออกจากตลาดไป แต่ถาม ว่าทาไมกาไรยังเพิ่มขึ้นเสมอและ ยังไม่มีคนออกจากตลาดนั่นเพราะว่า ตลาดมันมีหลายคนครับอยู่ใน ตลาด (จานวนในตลาดเป็นพื้นฐานของเล่มนี้) อย่างที่ผมได้บอก ไอ้ที่ตายไปก็เยอะ เงินก็จะไปอยู่กับที่ รอด หมายความว่า ความมั่งคั่งของผู้ชนะต้องหยุดอยู่กับที่จริงไหม? เมื่ออีกฝั่งตายหมด เพราะคน ชนะดึงเงินคนแพ้ในตลาดมาหมดแล้ว??? ไม่จริงสัสสส เพราะว่า เมิงคลอดลูกไง เมิงเอากันไง เมิงเลย เกิดความต้องการใหม่ขึ้นมา เมิงเลยมีความโลภ มีเด็กรุ่นใหม่ที่อยากมีชีวิตดี๊ดี อยากเซลฟี่อยู่กลางทุ่ง นา อยากมาทาสวนผักออแกนิค กูจะลงทุนและรวยเป็นอิสระทางการเงินแล้วไปปลูกผัก ก็ไอ้พวกเนี๊ย เอาเงินมาต่อให้พวกชนะในตลาดที่เหลือ เดินกาเงินเข้ามาในตลาดไม่หยุดหย่อน แน่นอนว่า ไอ้พวกที่ รอดหน่ะไม่ได้เก่งไปกว่าไอ้หน้าใหม่ทุกคนหรอก สิงโตแก่ก็ย่อมมีวันอ่อนล้าจริงไหมครับ? สิงโตแก่ก็ ตายเป็นลูกสิงโตแก่มาบริหารต่อใช่ว่าจะรอดตลอดไป มันก็มือใหม่จริงไหมครับ มันทาให้ตลาดอยู่ได้ มันเป็นวัฎจักรของตลาดเหมือนวัฎจักรของเศรษฐกิจ เหมือนวัฎจักรของดวงดาว เหมือนวัฎจักร สิ่งมีชีวิตนะครับ นี่แหละมันเป็น Zero sum game แต่มันยังไปได้อยู่เสมอ ๆ พูดถึงด้านที่ว่ามันจะไม่ล่มสลายไปยังไงกันแล้วเอาด้านที่มันจะล่มสลายได้ยังไงกันบ้าง การล่มสลาย ของตลาดมี 2 วิธีที่ทาได้ทันทีเลยคือ 1. เปลี่ยนเป็นระบบสังคมนิยมทาให้วัวเป็นของรัฐแล้วฆ่ามันทิ้ง ซะ แล้วปล่อยมันเน่า เอ๊ยยย ไม่ใช่ ทาให้วัวเป็นของรัฐแล้วแจกจ่ายนมให้ประชาชน (อันนี้ในอุดมคติ) เอาจริง ๆ เป็นกรณีแรกมากกว่า เพราะว่า อานาจรัฐขึ้นอยู่กับคน 1 คนหรือกลุ่มเล็ก ๆ พอเอาวัวไป เป็นของรัฐแล้วก็ฆ่าวัวทิ้งแต่ไม่แจกจ่ายเก็บไว้กินคนเดียว (คอร์รัปชั่นสูง) กินไม่หมดก็เน่าแล้วก็ทิ้ง สาดดดด กับอีกหนึ่งวิธีที่ทาให้ตลาดวายได้คือ แมร่งบวชกันทั้งประเทศ ฮ่า เอาจริง ๆ ไม่ต้องบวช หรอกครับ ไทยกาลังเผชิญอยู่กับภาวะมีบุตรยาก จบการศึกษาสูง เลือกมาก เอาแต่ใจ ผู้หญิงทางาน ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่อยู่บ้าน มีอิสระในชีวิตสูง ไม่ต้องมีลูกก็ได้ เนี่ยแหละมันเกี่ยวอัลไลกับการไม่มีลูก หรือว่าผลิตประชากรน้อยฟร่ะ