Km
- 1. "KM คืออะไร"
********************************************************************
นายคมกฤษณ์ สุขะวิพัฒน์
ศึกษานิเทศก์ สานักงานศึกษาธิการจังหวัดราชบุรี
********************************************************************
การจัดการความรู้ หรือ KM ซึ่งที่ย่อมาจากคาว่า “Knowledge Management”
Knowledge Management หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า KM นั้นก็คือแนวทางการบริหารแนวทางการ
ทางานภายในองค์กรเพื่อทาให้เกิดการนิยาม ความรู้ขององค์กรขึ้น และทาการรวบรวม, สร้าง, และกระจาย
ความรู้ขององค์กร ไปให้ทั่วทั้งองค์กรเพื่อให้เกิดการต่อยอดของความ รู้, นาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
รวมถึงก่อให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ภายในองค์กรขึ้น คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ ซึ่งกระจัด
กระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และ
พัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ นาความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน ให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผล
ความรู้ คืออะไร ?
ความรู้ คือ สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษา เล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถ
เชิงปฏิบัติและทักษะความเข้าใจ หรือ สารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้
ฟัง การคิด หรือ การปฏิบัติ องค์วิชาในแต่ละสาขา
(ที่มา : พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน)
- 2. รูปแบบของความรู้ เป็นอย่างไรบ้าง ? รูปแบบของความรู้ มี 2 ประเภท คือ
1. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge)
เป็น ความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี
คู่มือต่าง ๆ เอกสาร กฎระเบียบ วิธีการปฏิบัติงาน สื่อต่างๆ เช่น VCD DVD Internet เทป เป็นต้น และ
บางครั้งเรียกว่า ความรู้แบบรูปธรรม
2. ความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน (Tacit Knowledge)
เป็น ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาตญาณของแต่ละบุคคลในการทาความเข้าใจในสิ่งต่าง
ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคาพูด หรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทางาน
งานฝีมือ ประสบการณ์ แนวความคิด บางครั้งจึงเรียกว่า ความรู้แบบนามธรรม
ในชีวิตจริง ความรู้ 2 ประเภทนี้จะเปลี่ยนสถานภาพ สลับปรับเปลี่ยนไปตลอดเวลา บางครั้ง Tacit ก็
ออกมาเป็น Explicit และบางครั้ง Explicit ก็เปลี่ยนไปเป็น Tacit
- 3. "โมเดลปลาทู" เป็นโมเดลอย่างง่าย ของ สคส. ที่เปรียบการจัดการความรู้ เหมือนกับปลาทูหนึ่งตัวที่มี 3
ส่วน คือ
1. ส่วน "หัวปลา" (Knowledge Vision- KV) หมายถึง ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือทิศทาง
ของการจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทาจัดการความรู้ ต้องตอบให้ได้ว่า "เราจะทา KM ไปเพื่ออะไร ?" โดย "หัว
ปลา" นี้จะต้องเป็นของ "คุณกิจ" หรือ ผู้ดาเนินกิจกรรม KM ทั้งหมด โดยมี "คุณเอื้อ" และ "คุณอานวย" คอย
ช่วยเหลือ
2. ส่วน "ตัวปลา" (Knowledge Sharing-KS) เป็นส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นส่วน
สาคัญ ซึ่ง "คุณอานวย" จะมีบทบาทมากในการช่วยกระตุ้นให้ "คุณกิจ" มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้
โดยเฉพาะความรู้ซ่อนเร้นที่มีอยู่ในตัว "คุณกิจ" พร้อมอานวยให้เกิดบรรยากาศในการเรียนรู้แบบเป็นทีม ให้
เกิดการหมุนเวียนความรู้ ยกระดับความรู้ และเกิดนวัตกรรม
3. "ส่วน "หางปลา" (Knowledge Assets-KA) เป็นส่วนของ "คลังความรู้" หรือ "ขุมความรู้" ที่ได้
จากการเก็บสะสม "เกร็ดความรู้" ที่ได้จากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ "ตัวปลา" ซึ่งเราอาจเก็บส่วนของ
"หางปลา" นี้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ICT ซึ่งเป็นการสกัดความรู้ที่ซ่อนเร้นให้เป็นความรู้ที่เด่นชัด นาไปเผยแพร่และ
แลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้ พร้อมยกระดับต่อไปคนสาคัญที่ดาเนินการจัดการความรู้
ขอบเขตและเป้าหมาย KM เป็นอย่างไรบ้าง ?
ก่อน ที่จะมีจัดการความรู้ หรือทา KM จะต้องมีการกาหนดขอบเขต และเป้าหมาย KM ก่อน ซึ่ง
ขอบเขต KM เป็นหัวเรื่องกว้างๆ ของความรู้ที่จาเป็นและสอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์ตามแผนบริหาร
ราชการแผ่น ดิน ซึ่งต้องการจะนามากาหนดเป้าหมาย KM ซึ่งแต่ละองค์กรสามารถใช้แนวทาง ในการกาหนด
ขอบเขตและเป้าหมาย KM เพื่อจัดทาแผนการจัดการความรู้ขององค์กรได้ 4 แนวทาง คือ
แนวทางที่ 1 เป็นความรู้ที่จาเป็นและสนับสนุนวิสัยทัศน์ พันธกิจ ประเด็นยุทธศาสตร์ขององค์กร
แนวทางที่ 2 เป็นความรู้ที่สาคัญต่อองค์กร เช่น ความรู้เกี่ยวกับลูกค้า ประสบการณ์ความรู้ที่สั่งสมมา
แนวทางที่ 3 เป็นปัญหาที่องค์กรประสบอยู่ และสามารถนา KM มาช่วยได้
แนวทางที่ 4 เป็นแนวทางผสมกันระหว่างแนวทางที่ 1 , 2 หรือ 3 หรือจะเป็นแนวทางอื่นที่องค์กร
เห็นว่าเหมาะสม