More Related Content
Similar to RFID Lean Production
Similar to RFID Lean Production (20)
RFID Lean Production
- 1. Tech & Inno
INDUSTRY FOCUS | No.02 Vol.026 | October 2013
16 17
(Lean Production System, LPS)
การน�ำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีมาใช้ภาคการผลิตมีกล่าวถึงค่อนข้างจ�ำกัด เพื่อ
ให้สะท้อนเห็นประโยชน์ของเทคโนโลยีดังกล่าวต่อภาคการผลิต จ�ำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะน�ำแนวคิดในการปรับปรุงกระบวนการท�ำงานมาช่วยในการวิเคราะห์ หนึ่ง
ในแนวคิดที่จะชี้ให้เห็นประโยชน์ของเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีในกระบวนการผลิตคือ
แนวคิดการผลิตแบบลีน (Lean Production System)
สถาบันส่งเสริมความเป็นเลิศทาง
เทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีแห่งประเทศไทย
การน�ำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีมาใช้ภาคการ
ผลิตมีกล่าวถึงค่อนข้างจ�ำกัด ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งอาจมา
จากประโยชน์ของเทคโนโลยีดังกล่าวที่มีต่อกระบวนการ
ผลิตยังไม่สามารถชี้ให้เห็นได้ชัดเจน เพื่อให้สะท้อนเห็น
ประโยชน์ของเทคโนโลยีดังกล่าวต่อภาคการผลิตจ�ำเป็น
อย่างยิ่งที่จะน�ำแนวคิดในการปรับปรุงกระบวนการ
ท�ำงานมาช่วยในการวิเคราะห์ หนึ่งในแนวคิดดังกล่าว
ที่จะชี้ให้เห็นประโยชน์ของเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีใน
กระบวนการผลิตคือ แนวคิดการผลิตแบบลีน (Lean
Production System)
ความหมาย
Lean Production
กระบวนการผลิตแบบลีน (Lean Produc-
tion) เป็นกระบวนการผลิตที่ให้ความส�ำคัญในการใช้
ทรัพยากรในการผลิตน้อยที่สุด ดังนั้น การท�ำงานดัง
กล่าวจะเน้นที่ลดกิจกรรมใด ๆ ที่มิได้สร้างคุณค่าในการ
ผลิต (non-value added) ตามแนวคิดแบบลีนกิจกรรม
ที่มิได้สร้างคุณค่าในการผลิตจะก่อให้เกิดความสูญเสีย
(Waste) ตามแนวคิดของ Toyota ความสูญเสียในการ
ผลิตสามารถแบ่งได้เป็น 7 ประเด็น ดังต่อไปนี้
1. การผลิตสินค้ามากเกินไป (Over Produc-
tion) การผลิตสินค้ามากเกินความต้องการจะก่อให้เกิด
ความสูญเสียในทุกกิจกรรมของการผลิต รวมถึงเวลาที่
ต้องจัดเก็บสินค้าเหล่านั้น
2.การหยุดรอ (Waiting) ความสูญเสียที่เกิดจาก
การรอคือ เวลาที่จะต้องรองานต่าง ๆ จากกระบวนการ
ผลิตในขั้นตอนการท�ำงานก่อนหน้า ก่อนที่จะสามารถ
ด�ำเนินการผลิตต่อไปได้
3.การเคลื่อนย้ายสินค้า(Transport) การเคลื่อน
ย้ายชิ้นงานระหว่างการผลิต จะต้องใช้เวลา แรงงาน
ดังนั้น การที่ต้องเคลื่อนย้ายสินค้าโดยไม่จ�ำเป็น ท�ำให้
เกิดความสูญเสียในด้านเวลา แรงงานในกระบวนการ
ผลิตได้ และความเสียหายในชิ้นงานจากการขนส่งที่ไม่
เหมาะสม
4. กระบวนการท�ำงานที่ไม่เหมาะสม (Inap-
propriateProcessing) เป็นขั้นตอนการท�ำงานที่ซับซ้อน
เกินความจ�ำเป็นท�ำให้เกิดความสูญเสียในการท�ำงานซึ่ง
อาจจะเป็นการสูญเสียจากการขนส่ง แรงงาน หรือเวลา
5. สินค้าคงเหลือที่ไม่จ�ำเป็น (Unnecessary
Inventory) ประกอบด้วยองค์ประกอบการผลิตที่ไม่ได้
ใช้งาน ซึ่งจะก่อให้เกิดความสูญเสียในหลายด้าน ได้แก่
ต้นทุนในการจัดเก็บคุณภาพของสินค้าที่เสียไปตามระยะ
เวลาในการจัดเก็บ
6. กิจกรรมการเคลื่อนไหวที่ไม่จ�ำเป็น (Unne-
cessaryMotion)การที่คนท�ำงานจ�ำเป็นต้องเคลื่อนไหว
ร่างกายเพื่อท�ำกิจกรรมที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในการ
ผลิต
7. สินค้ามีต�ำหนิ (Defect) การผลิตสินค้าที่มี
ต�ำหนิมีผลโดยตรงต่อความสูญเสียในด้านต้นทุนการ
ผลิตในการผลิตชิ้นงานที่ไม่มีคุณภาพและต้นทุนที่เพิ่ม
ขึ้นในการแก้ไขชิ้นงานดังกล่าว
Lean Production กับ
เทคโนโลยีบาร์โค้ด
เมื่อท�ำการพิจารณาตามแนวคิดLeanProduc-
tion จะเห็นได้ว่า กระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีบาร์-
โค้ดในการท�ำงานจะก่อให้เกิดความสูญเสียในด้านต่าง ๆ
ดังต่อไปนี้
การใช้บาร์โค้ดในการเก็บข้อมูลจะท�ำให้เกิด
ความสูญเสีย เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวในกิจกรรมที่ไม่
จ�ำเป็น (Unnecessary Motion) ผู้ท�ำงานจ�ำเป็นต้องมี
การน�ำเครื่องอ่านบาร์โค้ดมาท�ำการอ่านบาร์โค้ดที่ติดอยู่
บนชิ้นงาน หรือไม่ก็ก่อให้เกิดความสูญเสียในการเคลื่อน
ย้ายสินค้า(Transport)อย่างไม่จ�ำเป็นเพราะต้องเคลื่อน
ย้ายชิ้นงานเข้าไปให้เครื่องอ่านบาร์โค้ดท�ำการอ่านข้อมูล
นอกจากนั้น การใช้บาร์โค้ดจ�ำเป็นที่เจ้าหน้าที่ท�ำการ
สแกนบาร์โค้ดทุกครั้งที่ต้องการเก็บข้อมูลจากการศึกษา
การน�ำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีไปช่วยในการท�ำงานของ
บริษัท Rockwell Reliance Electric (Datalogic Case
Study)พบว่ากระบวนการท�ำงานที่มีขั้นตอนการท�ำงาน
10-30ขั้นตอนการท�ำงานจะมีโอกาสที่เจ้าหน้าที่ท�ำการ
สแกนบาร์โค้ดผิดพลาด 1 % การที่มีการสแกนบาร์โค้ด
ผิดพลาดดังกล่าวท�ำให้เกิดการสูญเสียได้หลายประการ
ตัวอย่างเช่นภาพด้านล่างนี้
ชนิดของความสูญเสีย
ลักษณะทำ�งานที่ทำ�ให้เกิดความสูญเสีย
จากการที่มิได้ใช้เทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี หน่วยนับความสูญเสีย
การผลิตมากเกินไป การสแกนบาร์โค้ดผิด ทำ�ให้ข้อมูลที่บันทึกใน
ระบบไม่ถูกต้อง เนื่องจากจำ�นวนชิ้นงานที่มีอยู่
จริง ไม่ตรงกับจำ�นวนของชิ้นงานที่บันทึกในระบบ
จำ�นวนชิ้นงานที่ผลิตขึ้นมาเกิน
การรอ การบันทึกข้อมูลด้วยการสแกนบาร์โค้ดหรือการ
จดข้อมูลเข้าสู่ระบบ จะใช้เวลานาน และอาจจะ
ต้องแก้ไขหากมีการบันทึกผิดพลาด
เวลา
การขนส่ง จำ�เป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายชิ้นงานเพื่อมาทำ�การ
สแกน เวลา
กระบวนการทำ�งานที่ไม่เหมาะสม ในกรณีที่มีการสแกนบาร์โค้ดผิดพลาด ทำ�ให้ต้อง
นำ�ชิ้นงานมาดำ�เนินการแก้ไข เวลา
สินค้าคงเหลือที่ไม่จำ�เป็น ในกรณีที่มีการสแกนบาร์โค้ดผิดพลาด ทำ�ให้ต้อง
ผลิตชิ้นงานที่ไม่จำ�เป็น จำ�นวนชิ้นงานที่ผลิตขึ้นมาเกิน
กิจกรรมการเคลื่อนไหวที่ไม่
จำ�เป็น
ในการใช้บาร์โค้ด เจ้าหน้าที่จำ�เป็นต้องเคลื่อนไหว
ร่างกายไปทำ�สแกน เวลา
สินค้าเสียหาย ในกรณีที่มีการสแกนบาร์โค้ดผิดพลาด ทำ�ให้ผลิต
สินค้าไม่ตรงตามที่ต้องการ จะทำ�ให้เกิดความ
สูญเสียขึ้น
จำ�นวนชิ้นงานที่เสียหาย
เทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี
กับระบบการผลิตแบบลีน
หากการผิดพลาดดังกล่าว เกิดขึ้นในกรณีที่ชิ้น
งานได้มีการเคลื่อนย้ายไปขั้นตอนการท�ำงานต่อไป แต่
เจ้าหน้าที่ที่ท�ำงานในขั้นตอนก่อนหน้านั้นไม่ได้ท�ำการ
สแกนข้อมูลเข้าสู่ระบบ จะท�ำให้เจ้าหน้าที่ในขั้นตอน
ต่อจากนั้น ไม่สามารถด�ำเนินการใด ๆ ได้ จ�ำเป็นต้องรอ
(Waiting) เพื่อให้ข้อมูลของชิ้นงานดังกล่าวได้ถูกสแกน
เข้าสู่ระบบก่อน นอกเหนือจากความสูญเสียในการรอ
ความสูญเสียที่เพิ่มเติม ได้แก่ ชิ้นงานจ�ำเป็นต้องถูก
เคลื่อนย้ายย้อนกลับมาเพื่อท�ำสแกนบาร์โค้ด นอกจาก
นั้น การที่สแกนข้อมูลผิดพลาดสามารถน�ำไปสู่ความ
Lean Production กับ
เทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี
ตามที่ทราบเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีมีความแตก-
ต่างกับเทคโนโลยีบาร์โค้ดในหลายประเด็นตัวอย่างเช่น
การอ่านข้อมูลได้อัตโนมัติโดยไม่ต้องมองเห็นอาร์เอฟไอ-
ดี Tag เป็นต้น ในการวิเคราะห์เพื่อให้เห็นประโยชน์ของ
เทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีในกระบวนการผลิต จะท�ำการ
แยกพิจารณาตามขั้นตอนการบริหารข้อมูลโดยเริ่มต้น
จากกระบวนการเก็บข้อมูล(DateCollection)การเชื่อม-
โยงข้อมูล (Data Dependency) และความชัดเจนของ
ข้อมูล (Data Visibility)
ŸŸ กระบวนการเก็บข้อมูล (Data Collection)
ในการเก็บข้อมูลโดยมิได้ใช้เทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี ไม่
ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลด้วยการจดบันทึก หรือการใช้
เทคโนโลยีบาร์โค้ด จะท�ำให้เกิดความสูญเสียขึ้น ใน
กรณีการใช้เทคโนโลยีบาร์โค้ด จะท�ำให้เกิดความสูญ-
เสียในด้านการเคลื่อนไหวที่ไม่จ�ำเป็น (Unnecessary
Motion) เพราะเจ้าหน้าที่ต้องน�ำเครื่องอ่านบาร์โค้ดมา
ท�ำการอ่านบาร์โค้ดที่ติดบนชิ้นงานและเกิดความสูญเสีย
ในด้านการขนส่ง(Transportation)เนื่องจากต้องเคลื่อน
ย้ายชิ้นงานมาอ่านด้วยเครื่องอ่านบาร์โค้ด ในกรณีที่ใช้
การเก็บข้อมูลแบบจดบันทึก นอกเหนือจากความสูญ-
เสียในการเคลื่อนไหวที่ไม่จ�ำเป็น เจ้าหน้าที่ต้องหยุด
งานที่ท�ำอยู่ เพื่อมาท�ำการบันทึกข้อมูล เมื่อชิ้นงานดัง
กล่าวเสร็จสิ้นกระบวนการท�ำงานทั้งหมด ข้อมูลที่มีการ
บันทึกไว้ในแต่ละขั้นตอนการผลิต จะต้องท�ำการบันทึก
เข้าสู่ระบบอีกครั้ง ซึ่งเป็นการท�ำให้เกิดความสูญเสียใน
เรื่องกระบวนการท�ำงานที่ไม่เหมาะสม (Unnecessary
Process) เพิ่มเติมขึ้นไปอีก
ในกรณีที่มีการน�ำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีมาใช้
งานในการเก็บข้อมูล ในขั้นต้นจะเห็นได้ว่า สามารถลด
ความสูญเสียในด้านการเคลื่อนไหวที่ไม่จ�ำเป็น และ
ความสูญเสียในด้านการขนส่ง เนื่องจากเทคโนโลยีดัง
กล่าวสามารถที่อ่านข้อมูลได้อัตโนมัติ โดยไม่ต้องอาศัย
เจ้าหน้าที่มาท�ำการสแกน หรือหยุดการท�ำงานที่ท�ำอยู่
เพื่อบันทึกข้อมูล นอกจากนั้น เมื่อเสร็จสิ้นครบขั้นตอน
การท�ำงาน ข้อมูลทั้งหมดก็จะถูกบันทึกเข้าไปในระบบ
พร้อมกัน ไม่จ�ำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่มาท�ำการบันทึก
ข้อมูลเข้าสู่ระบบเหมือนระบบการจดบันทึก ซึ่งเป็นการ
ลดความสูญเสียในเรื่องกระบวนการท�ำงานที่ไม่เหมาะ-
สมตามไปด้วย
ŸŸ กระบวนการเชื่อมโยงของข้อมูล (Data De-
pendency) ข้อมูลรหัสชิ้นงานที่ใช้ในการผลิต จะมีการ
เชื่อมข้อมูลดังกล่าวกับข้อมูลอื่นๆของชิ้นงานนั้นๆเช่น
น�ำไปเชื่อมโยงกับสินค้าส�ำเร็จรูป หรือชิ้นส่วนงานอื่นที่
ต้องใช้ร่วมกับชิ้นงานที่ผลิตอยู่ นอกจากนั้น ข้อมูลของ
ชิ้นงานจะมีการเปลี่ยนแปลง (Update) ในแต่ละขั้น-
ตอนของการผลิต
ชนิดของความสูญเสีย
ลักษณะทำ�งานที่ทำ�ให้เกิดความสูญเสีย
จากการที่มิได้ใช้เทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี ประโยชน์ของเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี
การผลิตมากเกินไป การสแกนบาร์โค้ดผิด ทำ�ให้ข้อมูลที่บันทึกใน
ระบบไม่ถูกต้อง เนื่องจากจำ�นวนชิ้นงานที่มีอยู่
จริงไม่ตรงกับจำ�นวนของชิ้นงานที่บันทึกในระบบ
ช่วยให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในเวลาที่
ต้องการ (Data Visibility)
การรอ การบันทึกข้อมูลด้วยการสแกนบาร์โค้ดหรือการ
จดข้อมูลเข้าสู่ระบบ จะใช้เวลานาน และอาจจะ
ต้องแก้ไขหากมีการบันทึกผิดพลาด
บันทึกข้อมูลอัตโนมัติ
การขนส่ง จำ�เป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายชิ้นงานเพื่อมาทำ�การ
สแกน
บันทึกข้อมูลอัตโนมัติ
กระบวนการทำ�งานที่
ไม่เหมาะสม
ในกรณีที่มีการสแกนบาร์โค้ดผิดพลาด ทำ�ให้ต้อง
นำ�ชิ้นงานมาดำ�เนินการแก้ไข
บันทึกข้อมูลอัตโนมัติ
สินค้าคงเหลือที่ไม่จำ�เป็น ในกรณีที่มีการสแกนบาร์โค้ดผิดพลาด ทำ�ให้ต้อง
ผลิตชิ้นงานที่ไม่จำ�เป็น
ช่วยให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในเวลาที่
ต้องการ (Data Visibility)
กิจกรรมการเคลื่อนไหว
ที่ไม่จำ�เป็น
ในการใช้บาร์โค้ด เจ้าหน้าที่จำ�เป็นต้องเคลื่อนไหว
ร่างกายไปทำ�สแกน
บันทึกข้อมูลอัตโนมัติ
สินค้าเสียหาย ในกรณีที่มีการสแกนบาร์โค้ดผิดพลาด ทำ�ให้ผลิต
สินค้าไม่ตรงตามที่ต้องการ จะทำ�ให้เกิดความ
สูญเสียขึ้น
ช่วยให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในเวลาที่
ต้องการ (Data Visibility)
สูญเสียในอีกหลายประเด็นเช่นการผลิตสินค้ามากเกิน
ไป (Over Production) สินค้าคงเหลือที่ไม่จ�ำเป็น (Un-
necessary Inventory) หรือสินค้าเสียหาย (Defects)
เป็นต้น จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า ในการท�ำงาน
ที่มิได้น�ำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีมาใช้งาน ความสูญ
เสียที่อาจจะเกิดขึ้นสามารถสรุปได้ตามตารางด้านบน
(ตารางที่ 1)
ตารางที่ 1
ตารางที่ 2
- 2. Tech & Inno
INDUSTRY FOCUS | No.02 Vol.026 | October 2013
18 19
นวัตกรรมด้านกระบวนการโดยการปรับปรุง
ระบบอบแห้งของเครื่องพิมพ์ เพื่อการแห้งตัวของสี
พิมพ์ที่ไวขึ้น ซึ่งบริษัท เค. เอ็ม. แพ็กเกจจิ้ง จ�ำกัด ได้
วิเคราะห์หาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขป้องกัน และ
ได้ข้อสรุปในการแก้ไขโดยการเปลี่ยนระบบการแห้ง
ตัวของหมึกพิมพ์ออฟเซตจากระบบการแห้งตัวโดย
การท�ำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ (Oxidation)
เป็นระบบการแห้งตัวโดยใช้แสง Ultraviolet (UV)
โดยระบบการแห้งตัวแบบนี้จะใช้กับหมึกพิมพ์ที่เป็นUV
โดยเฉพาะ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ดังนี้
ŸŸ เนื่องจากระบบการแห้งตัวโดยใช้แสง UV นั้น
สามารถแห้งตัวได้ทันทีหลังจากที่มีการพิมพ์งานจึงท�ำให้
ไม่ต้องรอให้งานพิมพ์แห้งตัว ระยะเวลาในการแห้งตัว
เป็น 0 เป็นผลให้ Lead Time ในการผลิตของหน่วยงาน
พิมพ์ออฟเซตลดลง จาก 5-7 วัน เป็น 0 วัน
ŸŸ ไม่เกิดปัญหางานพิมพ์ซับหลัง/เลอะหลังและ
ไม่มีต้นทุนในการคัดแยก คัดเช็ด เกิดขึ้น 100 %
ŸŸ ไม่จ�ำเป็นต้องลดความเร็วที่ใช้ในการพิมพ์งาน
เพื่อเป็นการป้องกันปัญหางานพิมพ์ซับหลัง/เลอะหลัง
เหมือนกับระบบการแห้งตัวแบบเดิม (แบบ Oxidation)
ŸŸ ในขั้นตอนของการพิมพ์งานระบบออฟเซต
ระบบนี้ไม่มีการพ่นแป้งเพื่อป้องกันงานพิมพ์เกิดการซับ
หลัง/เลอะหลังจึงไม่ท�ำให้เกิดการฟุ้งกระจายของแป้งพ่น
เหมือนกับระบบการแห้งตัวแบบเดิม (แบบ Oxidation)
ข้อแตกต่างของการแห้งตัวของ
หมึกธรรมดา (Conventional)
และหมึกพิมพ์ UV คือ
ตามกระบวนการที่กล่าวไว้ข้างต้นการเก็บข้อมูล
ด้วยวิธีการจดบันทึก หรือใช้เทคโนโลยีบาร์โค้ด มีความ
เป็นไปได้ที่เกิดข้อผิดพลาดเนื่องจากต้องอาศัยเจ้าหน้าที่
เข้ามาเกี่ยวข้อง หากเกิดความผิดพลาดในส่วนดังกล่าว
จะมีผลให้เกิดความสูญเสียในหลายด้านเช่นความสูญ-
เสียการรอ เพื่อท�ำการแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องก่อน ก่อน
จะไปงานขั้นต่อไป หากแก้ไขข้อมูลไม่ทันอาจจะมีผล
ท�ำให้เกิดความสูญเสียอื่นๆที่ตามมาตัวอย่างเช่นอาจ
จะท�ำให้เกิดสินค้าเสียหายผลิตสินค้ามากเกินไปหรือมี
สินค้าคงเหลือที่ไม่จ�ำเป็น เป็นต้น
ในทางตรงกันข้าม หากมีการใช้เทคโนโลยีอาร์-
เอฟไอดีเข้ามาช่วยในกระบวนการบันทึกข้อมูลหรือการ
เชื่อมโยงข้อมูลที่บันทึกกับข้อมูลอื่น ๆ การท�ำงานดัง
กล่าว จะเป็นอัตโนมัติทั้งหมด ซึ่งมีผลท�ำให้ลด Human
error ลงไปได้ เมื่อความผิดพลาดในส่วนนี้ลดน้อยลง
ย่อมมีผลให้ความสูญเสียที่กล่าวมาข้างต้นได้แก่ความ
สูญเสียในการอ ความสูญเสียสินค้าเสียหาย ความสูญ-
เสียผลิตสินค้าเกินไป หรือความสูญเสียสินค้าคงเหลือที่
ไม่จ�ำเป็นลดลงไปด้วย
ŸŸ ความชัดเจนของข้อมูล(DataVisibility)ความ
ชัดเจนของข้อมูล หมายถึง การได้รับข้อมูลถูกต้องใน
เวลาที่ผู้ใช้งานต้องการ ในกระบวนการผลิตหากผู้ตัดสินใจ
ได้รับทราบข้อมูลปริมาณชิ้นงานที่อยู่ระหว่างการผลิตที่
ถูกต้องภายในเวลาที่ก�ำหนด ย่อมมีผลในการลดความ
สูญเสียทางด้านผลิตสินค้ามากเกินไป หากผู้ตัดสินใจ
ไม่ทราบถึงจ�ำนวนชิ้นงานที่อยู่ระหว่างการผลิต อาจจะ
ตัดสินใจผลิตสินค้ามากเกินความจ�ำเป็น ซึ่งก็จะน�ำไปสู่
ความสูญเสียในสินค้าคงคลัง
เทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีสามารถที่จะท�ำให้ข้อมูล
ในการผลิตมีความชัดเจนมากขึ้นเนื่องจากเทคโนโลยีดัง
กล่าวสามารถเก็บข้อมูลของแต่ละชิ้นได้ทันทีที่ชิ้นงาน
มาถึงต�ำแหน่งที่ก�ำหนด ท�ำให้ข้อมูลในระบบกับจ�ำนวน
ชิ้นตรงกัน โดยไม่ต้องอาศัยคนเข้ามาเกี่ยวข้อง การที่
สามารถได้ข้อมูลในรูปแบบดังกล่าวท�ำให้ผู้ตัดสินใจรับ
ทราบสถานะและจ�ำนวนที่อยู่ในกระบวนการผลิตในเวลา
ที่ต้องการเพื่อประกอบในการตัดสินใจได้ถูกต้องซึ่งมีผล
ท�ำให้ลดความสูญเสียสองด้านที่กล่าวมาข้างต้น
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีอาร์-
เอฟไอดีสามารถช่วยให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพ
มากขึ้น โดยการลดความสูญเสียในด้านต่าง ๆ ความ
สูญเสียทั้ง 7 ประเภท ที่กล่าวมาสามารถลดลงได้ด้วย
การน�ำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีมาใช้ตามตารางในหน้า
17 (ตารางที่ 2)
ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก
บริษัท ไอเดนทิไฟ จ�ำกัด
บรรณานุกรม
Brintrup A, Roberts P, and Astle M., Definition of
RFIDDecisionSupportSystemforManufac-
turing Applications, BRIDGE Project, June
2008.
BrintrupA,RobertsP,andAstleM.,Report:Metho-
dology for manufacturing process analysis
for RFID implementation, BRIDGE Project,
March 2008.
ผู้ที่สนใจใช้งาน RFID ติดต่อรับค�ำปรึกษา และเรียนรู้
เทคโนโลยีด้าน RFID ได้ที่ สถาบันส่งเสริมความ
เป็นเลิศทางเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีแห่งประเทศไทย
โทร. 0-2345-1211, -1213, -1231 หรืออีเมล
rfid.th@gmail.com; mintrak@off.fti.or.th หรือเวปไซต์
www.rfid.or.th
การปรับปรุงระบบอบแห้งของเครื่องพิมพ์
เพื่อการแห้งตัวของสีพิมพ์ที่ไวขึ้น
เครื่องต้นแบบจ่ายหมึกพิมพ์ (ระบบปิด)
ส�ำหรับการพิมพ์ออฟเซต
ปัจจุบันอุตสาหกรรมการพิมพ์มียอดการผลิต
เป็นจ�ำนวนมากและได้มีการคิดค้นพัฒนาเครื่องมือ
เทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อเป็นการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาการพิมพ์ ระบบการพิมพ์
ออฟเซตเป็นระบบการพิมพ์ที่ได้รับความนิยมสูง แต่ถึง
อย่างไรก็ตาม ในระบบการพิมพ์ออฟเซตก็ยังมีวัสดุสิ้น-
เปลืองเช่นหมึกพิมพ์เนื่องจากการใช้หมึกพิมพ์ในแต่ละ
ครั้งนั้นจะใช้หมึกพิมพ์เป็นกระป๋องซึ่งมีราคาสูงกว่าหมึก
พิมพ์เป็นถังขนาดใหญ่ เมื่อหมึกพิมพ์หมดก็จะเหลือ
กระป๋องหมึกที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ เนื่องจากหมึก
พิมพ์เป็นสารเคมีท�ำให้เกิดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมดังนั้น
อาจารย์อัครเดชทองสว่างและนักศึกษาสาขาวิชา
เทคโนโลยีการพิมพ์ คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จึงได้จัด
ท�ำเครื่องต้นแบบจ่ายหมึกพิมพ์ (ระบบปิด) ส�ำหรับการ
พิมพ์ออฟเซต เพื่อรองรับระบบการพิมพ์ออฟเซตใน
อุตสาหกรรมการพิมพ์ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่
ในกระบวนการพิมพ์ออฟเซตนั้นจะต้องมีการตัก
หมึกจากกระป๋องใส่รางหมึกเพื่อพิมพ์งาน เมื่อเวลาตัก
หมึกออกจากกระป๋องแล้วจะมีหมึกที่เหลืออยู่ในกระป๋อง
หมึกที่เหลือนั้นหน้าหมึกจะไม่มีวัสดุปิดไว้จึงท�ำให้หน้า
หมึกท�ำปฏิกิริยากับอากาศที่ผ่านเข้าไปในกระป๋องหน้า
หมึกจึงเกิดการแห้งตัว เมื่อจะใช้หมึกในครั้งต่อไปก็ต้อง
ตักหน้าหมึกที่แห้งตัวออกทิ้งซึ่งหน้าหมึกส่วนที่ทิ้งไปนั้น
เป็นตัวที่ท�ำให้เกิดมลพิษดังนั้นอุตสาหกรรมการพิมพ์ที่
ผลิตงานสิ่งพิมพ์ต่างๆที่เป็นโรงพิมพ์ขนาดใหญ่จึงได้มี
การสั่งซื้อน�ำเข้าเครื่องจ่ายหมึกพิมพ์(ระบบปิด)ส�ำหรับ
การพิมพ์ออฟเซตจากประเทศญี่ปุ่นเยอรมนีและเกาหลี
เข้ามาใช้งานเพราะในประเทศไทยนั้นยังไม่มีผู้ผลิตราย
ใดที่สามารถผลิตเครื่องจ่ายหมึกพิมพ์(ระบบปิด)ส�ำหรับ
การพิมพ์ออฟเซตออกจ�ำหน่ายเนื่องจากมีต้นทุนในการ
ผลิตสูง จึงได้คิดค้นเครื่องต้นแบบจ่ายหมึกพิมพ์ (ระบบ
ปิด)ส�ำหรับการพิมพ์ออฟเซตขึ้นมาเพื่อควบคุมค่าความ
หนืดของหมึกพิมพ์ที่มีผลต่องานพิมพ์เป็นอย่างมากและ
ลดต้นทุนในการสั่งซื้อหมึกเป็นกระป๋องเข้ามาใช้ในโรง-
พิมพ์ เพราะการสั่งซื้อหมึกพิมพ์เป็นกระป๋องที่น�ำมาใช้
ในโรงพิมพ์แต่ละครั้งนั้นจะต้องใช้ต้นทุนที่มีราคาสูงกว่า
การใช้หมึกพิมพ์ที่เป็นถังขนาดใหญ่เช่นสั่งซื้อหมึกพิมพ์
1 กระป๋อง บรรจุหมึกพิมพ์หนัก 1 กก. ราคา 200 บาท/
กระป๋อง ในระยะเวลา 1 เดือน โรงพิมพ์จะต้องใช้หมึก
พิมพ์ประมาณ 2 ตัน เท่ากับหมึกพิมพ์ 2,000 กก. หาก
เปลี่ยนมาใช้เป็นถังขนาดใหญ่จะอยู่ที่กก.ละ180บาท
ทางโรงพิมพ์จะประหยัดต้นทุน กก. ละ 20 บาท ในการ
สั่งซื้อหมึกพิมพ์ที่เป็นถังขนาดใหญ่
หมึกพิมพ์มีค่าความหนืดสูง จึงต้องท�ำการ
ทดสอบเครื่องต้นแบบฯ ใช้แรงดันลมตั้งแต่ 1 บาร์ - 6
บาร์, 6.5 บาร์, 7 บาร์, 7.5 บาร์, 8 บาร์, 8.5 บาร์, 9 บาร์,
9.5 บาร์ และ 10 บาร์ ผลปรากฏว่าหมึกพิมพ์มีการปั๊ม
จ่ายออกมาในแรงดันลมที่ 6 บาร์ ขึ้นไป เครื่องจึงจะ
สามารถปั๊มจ่ายหมึกพิมพ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท�ำให้
สามารถลดต้นทุนในการสั่งซื้อหมึกพิมพ์ลง ซึ่งเปลี่ยน
จากการสั่งซื้อหมึกพิมพ์กระป๋องเล็กขนาด 1 กก. มา
เป็นหมึกพิมพ์ถังใหญ่ขนาด 20 กก. เป็นการลดมลพิษ
ทางสิ่งแวดล้อมและเพิ่มโอกาสในการพัฒนาเครื่องมือ
เทคโนโลยีในอุตสาหกรรมการพิมพ์ไทย
การใช้เครื่องต้นแบบฯ นั้นจะช่วยควบคุมใน
เรื่องของการแห้งตัวของหมึกพิมพ์ และสามารถควบคุม
คุณภาพค่าความหนืดของหมึกพิมพ์ให้คงที่ได้ตลอด
เวลา ในการสร้างเครื่องต้นแบบฯ จะใช้ในการปั๊มจ่าย
หมึกพิมพ์จากถังหมึกด้วยระบบลม ปั๊มจ่ายขึ้นสู่ท่อส่ง
หมึกไปยังรางหมึกของเครื่องพิมพ์เพื่อกระบวนการพิมพ์
ขั้นตอนต่อไปและข้อส�ำคัญสามารถท�ำให้หมึกสามารถ
ไหลลงสู่รางหมึกโดยตรง และน�ำไปใช้งานได้จริงใน
อุตสาหกรรมโรงพิมพ์ และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการซื้อ
หมึก และลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นแนวทางใน
การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
หมึกพิมพ์ UV จะแห้งตัวโดยการต่อตัวกันของ
โครงสร้างเล็ก ๆ จนเป็นโครงสร้างที่ใหญ่ขึ้น หรือการเกิด
พอลิเมอร์ ซึ่งหมึกพิมพ์ UV สามารถแห้งตัวได้จากการเกิด
ปฏิกิริยา UV Polymerization คืออาศัยรังสี UV เป็นตัว
กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่
แล้วเป็นแบบอนุมูลอิสระ (Free Radical) ส่วนหมึกพิมพ์
ธรรมดาจะอาศัยการแห้งตัวแบบ Oxidation Polymeriza-
tion คืออาศัยอากาศ (ออกซิเจน, O2) เป็นตัวกระตุ้นโดย
การเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอร์ ดังภาพ
ซึ่งลักษณะการแห้งตัวที่แตกต่างกันของทั้ง2ระบบ
จะเห็นว่า ระบบการแห้งตัวด้วยแสง UV จะมีการแห้งตัว
ที่เร็วกว่าระบบการแห้งตัวแบบอาศัยออกซิเจนในอากาศ
เนื่องจากระบวนการแห้งตัวของหมึกพิมพ์UVหลังจากผ่าน
แสงUVสารPhotoinitiatorที่มีอยู่ในหมึกจะถูกกระตุ้นแล้ว
ส่งผ่านอิเล็กตรอนไปยังวาร์นิชยูวีและตัวท�ำละลาย UV ที่
มีจุดเชื่อมต่อที่ว่องไวต่อปฏิกิริยา จนเกิดการเชื่อมต่อ แล้ว
แข็งตัวเป็นพอลิเมอร์(หมึกแห้ง)จึงเป็นเหตุผลที่ทางบริษัทฯ
ได้น�ำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในการแก้ปัญหางานพิมพ์ซับหลัง/
เลอะหลัง ส�ำหรับงานพิมพ์ออฟเซตนั้นเอง
ลักษณะการแห้งตัวของหมึกธรรมดา (Conventional) และหมึกพิมพ์ UV