SlideShare a Scribd company logo
1 of 8
Download to read offline
วิศวกร

                              นับตั้งแต่ที่มนุษย์ถือกาเนิดขึ้นบนโลก ความเป็ นนักประดิษฐ์ของเราก็
                              ได้พฒนามาอย่างต่อเนื่อง ด้วยสมองที่ซบซ้อน การสังเกตุ และข้อ
                                  ั                                   ั
                              สงสัยต่างๆ ทาให้เรารู้จกประดิษฐ์เครื่ องมือเครื่ องใช้ต่างๆ เพื่อการ
                                                       ั
ดารงชีพ ซึ่ งนันก็คือจุดเริ่ มต้นขององค์ความรู้ทางด้านวิศวกรรมโดยแท้จริ ง หรื อกล่าวได้ว่า
               ่
วิศวกรกลุ่มแรกของโลกก็ก่อเกิดมาจากจุดนี้ โดยได้มีการพัฒนารู ปแบบการสร้างสรรค์ผลงาน
ต่างๆ เช่น เครื่ องมือในการล่า ที่อยูอาศัย ศาสนสถาน ฯลฯ ซึ่ งได้ถ่ายทอดองค์ความรู้มารุ่ นต่อรุ่ น
                                       ่
                         ่
และตลอดระยะเวลาที่ผานมาก็ได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ อย่างมากมายจนหลายๆ ผลงานจากอดีตก็
ได้กลายมาเป็ นสิ่ งมหัศจรรย์ของโลกอย่างที่เราได้พบเห็นกันในปัจจุบน       ั

อาชีพวิศวกรในสมัยเริ่ มแรกนั้นเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการทหาร กล่าวคือ เป็ นงานในลักษณะ
ของการสร้างอาวุธส่งคราม เช่น เครื่ องยิงก้อนหิ น ปื นใหญ่ เครื่ องกระทุงประตูเมือง การ
                                                                           ้
ก่อสร้างกาแพง ป้ อมยาม คูเมือง เหล่านี้เป็ นต้น ดังนั้นวิศวกรรุ่ นแรกคือ วิศวกรการทหาร
(Military Engineer) วิศวกรพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็ นทหารซึ่ งจะต้องเข้าร่ วมรบในสงคราม แต่
หน้าที่พิเศษแตกต่างจากทหารอื่นๆ คือต้องทาการสร้างสรรค์ส่ิงต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว ต่อมาถึง
สมัยที่อานาจของเจ้าผูครองนครและอาณาจักรต่างๆ ถึงจุดเสื่อม การพาณิ ชยกรรมได้
                         ้
เจริ ญรุ่ งเรื องขึ้นแทนการรบขยายอาณาเขต ประมาณ ปี ค.ศ. 1750 คือ ประมาณสมัยกรุ งศรี
อยุธยาตอนปลาย จึงเกิดมีวิศวกรพลเรื อน (Civil Engineer) ซึ่ งทางานต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ
การทหารโดยตรง เช่น การสร้างถนน ขุดคลอง เป็ นต้น และวิศวกรเหล่านี้ได้รวมตัวกันจัดตั้ง
เป็ นสถาบัน Institute of Civil Engineer (London) ขึ้นในปี ค.ศ. 1828 ยิ่งวงการพาณิ ชยกรรม
และอุตสาหกรรมเจริ ญรุ่ งเรื องยิงขึ้นเท่าไร ความจาเป็ นที่จะต้องจาแนกสาขาเฉพาะของวิศวกร
                                  ่
ยิงมีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อการใช้เครื่ องจักร เครื่ องกลมีมากขึ้น วิศวกรพลเรื อนที่ทางานเกี่ยวข้อง
  ่
กับเครื่ องจักรกลก็มากขึ้นไปด้วย วิศวกรพลเรื อน จานวนหนึ่งจึงแยกตนเองออกมาตั้งเป็ นสาขา
ใหม่ คือ วิศวกรรมเครื่ องกล (Mechanical Engineering) วิศวกรเครื่ องกลจะทางานเกี่ยวกับ
เครื่ องจักรกาเนิดพลัง (engine) เครื่ องจักรแปรรู ปวัสดุ และผลิตสิ นค้า โรงงานขนาดใหญ่และ
อุปกรณ์ขนย้ายวัสดุ (material handling equipment) และความหมายของ วิศวกรรมพลเรื อนแต่
เดิม (Civil Engineering) นั้นก็เปลี่ยนมาหมายความถึงวิศวกรรมโยธา ซึ่ งเกี่ยวข้องกับการ
ก่อสร้างอาคาร ถนน คลอง ฯลฯ และยังคงใช้คาว่า Civil เหมือนเดิม
ในสมัยต่อมาเมื่อพลังงานไฟฟ้ าเป็ นที่รู้จกกันแพร่ หลาย วิศวกรเครื่ องกลบางกลุ่มที่ ทางาน
                                           ั
เกี่ยวกับเครื่ องจักรกาเนิดไฟฟ้ าและระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้ าก็แยกสาขาออก เป็ น
วิศวกรรมไฟฟ้ า (Electrical Engineering) เพิ่มขึ้นมาอีกสาขาหนึ่ง จากสาขาหลักใหญ่ๆ 3 สาขา
ของวิศวกรรมศาสตร์ คือ วิศวกรรมโยธา วิศวกรรมเครื่ องกล และวิศวกรรมไฟฟ้ า สาขาย่อย
อื่นๆ ของวิศวกรรมศาสตร์ ก็เจริ ญเติบโตขึ้นมาอีกมากมาย เช่น วิศวกรรมอุตสาหการ (Industrial
Engineering) วิศวกรรมเคมี (Chemical Engineering) วิศวกรรมเหมืองแร่ และโลหะวิทยา
(Mining and Metallurgical Engineering) วิศวกรรมการเดินอากาศ (Aeronautical Engineering)
วิศวกรรมการเกษตร (Agricultural Engineering) วิศวกรรมเครื่ องกลเรื อ (Marine Engineering)
วิศวกรรมอิเลคทรอนิค (Electronic Engineering) วิศวกรรมนิวเคลียร์ (Unclear Engineering)
และยังมีสาขาอื่นๆ อีกมากมายในปัจจุบน     ั


                                        ั ่ ั่
             คาว่า วิศวกรรม ที่เราใช้กนอยูทวไปในภาษาไทยนั้น เราแปลมาจากคา
ว่า ”Engineering” ในภาษาอังกฤษ ซึ่ งอ่านว่า เอ็น-จิ-เนีย-ริ่ ง ซึ่ งหนังสื อ Encyclopaedia
Americana ได้ให้คาจากัดความไว้ว่า “Engineering” เป็ นอาชีพที่เกี่ยวข้องโดยชัดเจนกับ
วิทยาศาสตร์ ของการวางแผนการออกแบบการสร้าง และการใช้งานอย่างถูกหลักเศรษฐศาสตร์
ของสิ่ งก่อสร้างหรื อเครื่ องจักร คาว่า Engineering นี้ แปลมาจากภาษาลาตินว่า “engenium” ซึ่ ง
แผลงว่าความสามารถตามธรรมชาติ (หรื อความเป็ นอัจฉริ ยะที่ติดตัวมาโดยกาเนิด) หรื อการคิด
ประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ คาว่า ingenium นี้แผลงมาจากศัพท์เดิมว่า “eignere” หรื อ “genere” ซึ่ ง
แปลว่า ผลิต ประดิษฐ์ สร้าง หรื อทาให้เกิดขึ้น
Engineering Council for Professional Development แห่งสหรัฐอเมริ กา ได้ให้ความหมายของ
engineering ไว้ดงนี้คือ “การสร้างสรรค์โดยการนาเอาหลักวิทยาศาสตร์ มาใช้ออกแบบ และ
                     ั
พัฒนาสิ่ งก่อสร้าง เครื่ องจักร อุปกรณ์ หรื อกระบวนการผลิต หรื อกิจกรรมใดๆ ซึ่ งใช้สิ่งต่างๆ
เหล่านี้อย่างเดียวกันหรื อหลายอย่างรวมกัน               หรื อการก่อสร้างและการใช้งานสิ่ งเหล่านี้ให้
ประโยชน์ให้เต็มที่ หรื อการพยากรณ์การทางานของสิ่ งเหล่านี้ภายใต้สภาวะของการใช้งาน ซึ่ ง
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้สิ่งต่างๆดังกล่าวมาแล้วทางานตามหน้าที่ที่ออกแบบมาให้ทา               ให้เป็ นการ
คุมค่าทางเศรษฐศาสตร์ และปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน” อนึ่ง มีผใจเข้าคลาดเคลื่อนกันมาก
  ้                                                                         ู้
ว่า วิศวกร (Engineer) คือ คนที่ทางานคุมเครื่ องจักร (engine = เครื่ องจักร) ซึ่ งเดิมทีแล้ว คาว่า
engineer เป็ นคาดั้งเดิมซึ่ งสะกดกันต่างๆ นานา เช่น ingenor บ้าง ingeneu บ้าง enginor บ้าง ฯลฯ
ซึ่ งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคาว่า engine แต่อย่างไร วิศวกรที่ทาหน้าที่ควบคุมเครื่ องจักรนั้นมีนอย
                                                                                              ้
มาก เมื่อเทียบกับวิศวกรที่หางานอื่นๆ กล่าวโดยสรุ ป วิศวกรรม คือ งานสร้างสรรค์ส่ิ งต่างๆ ซึ่ ง
จะเป็ นประโยชน์ต่อสังคมโดยอาศัยพื้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเศรษศาสตร์ มาช่วยในการ
สร้างสรรค์

  ประวัติของอาชีพวิศวกรรม
               เป็ นที่ยอมรับกันโดยทัวไปว่าอาชีพวิศวกรรมในสมัยเริ่ มแรกนั้นเกี่ยวข้องอย่าง
                                      ่
ใกล้ชิดกับการทหาร กล่าวคือ เป็ นงานในลักษณะของการสร้างอาวุธส่งคราม เช่น เครื่ องยิงก้อน
หิ น ปื นใหญ่ เครื่ องกระทุงประตูเมือง การก่อสร้างกาแพง ป้ อมยาม คูเมือง เหล่านี้ เป็ นต้น ดังนั้น
                            ้
วิศวกรรุ่ นแรกคือ วิศวกรการทหาร (Military Engineer) วิศวกรพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็ นทหารซึ่ ง
จะต้องเข้าร่ วมรบในสงคราม แต่หน้าที่พิเศษแตกต่างจากทหารอื่นๆ คือต้องทาการสร้างสรรค์
สิ่ งต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว
                   ต่อมาถึงสมัยที่อานาจของเจ้าผูครองนครและอาณาจักรต่างๆ ถึงจุดเสื่ อม การ
                                                ้
พาณิ ชยกรรมได้เจริ ญรุ่ งเรื องขึ้นแทนการรบขยายอาณาเขต ประมาณ ปี ค.ศ. 1750 คือ ประมาณ
สมัยกรุ งศรี อยุธยาตอนปลาย จึงเกิดมีวิศวกรพลเรื อน (Civil Engineer) ซึ่ งทางานต่างๆ ที่ไม่
เกี่ยวข้องกับการทหารโดยตรง เช่น การสร้างถนน ขุดคลอง เป็ นต้น และวิศวกรเหล่านี้ได้
รวมตัวกันจัดตั้งเป็ นสถาบัน Institute of Civil Engineer (London) ขึ้นในปี ค.ศ. 1828
                   ยิ่งวงการพาณิ ชยกรรมและอุตสาหกรรมเจริ ญรุ่ งเรื องยิ่งขึ้นเท่าไร ความจาเป็ นที่
จะต้องจาแนกสาขาเฉพาะของวิศวกรยิงมีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อการใช้เครื่ องจักร เครื่ องกลมีมาก
                                        ่
ขึ้น วิศวกรพลเรื อนที่ทางานเกี่ยวข้องกับเครื่ องจักรกลก็มากขึ้นไปด้วย วิศวกรพลเรื อน จานวน
หนึ่งจึงแยกตนเองออกมาตั้งเป็ นสาขาใหม่ คือ วิศวกรรมเครื่ องกล (Mechanical Engineering)
วิศวกรเครื่ องกลจะทางานเกี่ยวกับเครื่ องจักรกาเนิดพลัง (engine) เครื่ องจักรแปรรู ปวัสดุ และ
ผลิตสิ นค้า โรงงานขนาดใหญ่และอุปกรณ์ขนย้ายวัสดุ (material handling equipment) และ
ความหมายของ วิศวกรรมพลเรื อนแต่เดิม (Civil Engineering) นั้นก็เปลี่ยนมาหมายความถึง
วิศวกรรมโยธา ซึ่ งเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคาร ถนน คลอง ฯลฯ และยังคงใช้คาว่า Civil
เหมือนเดิม
ในสมัยต่อมาเมื่อพลังงานไฟฟ้ าเป็ นที่รู้จกกันแพร่ หลาย วิศวกรเครื่ องกลบางกลุ่ม
                                                         ั
ที่ ทางานเกี่ยวกับเครื่ องจักรกาเนิดไฟฟ้ าและระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้ าก็แยกสาขาออกเป็ น
วิศวกรรมไฟฟ้ า (Electrical Engineering) เพิ่มขึ้นมาอีกสาขาหนึ่ง
                  จากสาขาหลักใหญ่ๆ 3 สาขาของวิศวกรรมศาสตร์ คือ วิศวกรรมโยธา
วิศวกรรมเครื่ องกล และวิศวกรรมไฟฟ้ า สาขาย่อยอื่นๆ ของวิศวกรรมศาสตร์ ก็เจริ ญเติบโต
ขึ้นมาอีกมากมาย เช่น วิศวกรรมอุตสาหการ (Industrial Engineering) วิศวกรรมเคมี (Chemical
Engineering) วิศวกรรมเหมืองแร่ และโลหะวิทยา (Mining and Metallurgical Engineering)
วิศวกรรมการเดินอากาศ (Aeronautical Engineering) วิศวกรรมการเกษตร (Agricultural
Engineering) วิศวกรรมเครื่ องกลเรื อ (Marine Engineering) วิศวกรรมอิเลคทรอนิค (Electronic
Engineering) วิศวกรรมนิวเคลียร์ (Unclear Engineering) และยังมีสาขาอื่นๆ อีกมากมายไม่
สามารถนามาระบุให้ครบถ้วนในที่น้ ีได้

  วิศวกรรมอุตสาหการ คืออะไร
                   วิศวกรรมอุตสาหการ คือสาขาหนึ่งซึ่ งได้เจริ ญเติบโตขึ้นมาและแยกตัวออกมา
จากวิศวกรรมเครื่ องกล คือ สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ (Industrial Engineering) ซึ่ งมีผให้คา      ู้
จากัดความไว้ดงต่อไปนี้ Encyclopaedia Americana คาว่า “วิศวกรรมอุตสาหการ คือ การ
                 ั
วิเคราะห์อย่างละเอียดถึงการใช้งานและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับคน         วัตถุดิบเครื่ องจักรและ
อุปกรณ์ในองค์การวิศวกรรมอุตสาหการจะต้องทาการวิเคราะห์เพื่อให้องค์การสามารถเพิ่ม
ผลผลิต เพิ่มกาไรและเพิ่มประสิ ทธิภาพในการทางาน” หนังสื อ Encyclopaedia Britannica กล่าว
ว่า “งานของวิศวกรรมอุตสาหการปกติจะรู้จกภายใต้ชื่อของการศึกษาการเคลื่อนไหว การศึกษา
                                            ั
เวลาในการทางาน การวางแผนและควบคุมการผลิต การวิเคราะห์ข้นตอนการทางาน การั
ออกแบบระบบงาน การควบคุมคุณภาพ การประเมินคุณค่าของตาแหน่งการวิเคราะห์องค์การ
การศึกษาและปรับปรุ งประสิ ทธิภาพในการทางาน”
              ที่กล่าวมาข้างต้นเป็ นคากล่าวและความเข้าใจของบุคคลทัวๆ ไปเกี่ยวกับวิศวกรรม
                                                                     ่
อุตสาหการ ส่วนวิศวกรรมอุตสาหการมองตนเองอย่างไรนั้นอาจทราบได้จากคาจากัดความใน
หนังสื อ Industrial Engineering Handbook ดังนี้
             “วิศวกรรมอุตสาหการเกี่ยวข้องกับการออกแบบ การปรับปรุ ง และการจัดตั้งระบบ
ผสมผสานระหว่างคน วัสดุ และเครื่ องจักรอุปกรณ์ ซึ่ งในการนี้จะต้องใช้ความชานาญในด้าน
คณิ ตศาสตร์ ฟิ สิ กส์ และสังคมศาสตร์ ร่วมกันไป โดยอาศัยหลักเกณฑ์และวิธีวิเคราะห์ทาง
วิศวกรรมศาสตร์ มาใช้ออกแบบ ระบุ ทานาย และประเมินผลการทางานของระบบดังกล่าว"

  งานหลักของวิศวกรรมอุตสาหการ
      กล่าวกว้างๆ ได้ว่าวิศวกรรมอุตสาหการทางานทัวๆ ไปของวิศวกรรมเครื่ องกลได้ ยกเว้น
                                                    ่
งานพิเศษบางอย่างซึ่ งต้องอาศัยความรู้ทาง thermodynamics , heat transfer หรื อ fluid machine
ชั้นสูง แต่วิศวกรอุตสาหการจะมีความชานาญพิเศษเฉพาะด้านของตนในงานหลัก ซึ่ งเป็ นหน้าที่
ของวิศวกรรมอุตสาหการ ซึ่ ง American Institute of Industrial Engineering ได้ระบุไว้ดงนี้
                                                                                    ั
1. การเลือกกระบวนการ และวิธีการประกอบชิ้นส่วนสิ นค้า
2. การเลือกใช้และการออกแบบเครื่ องมือและอุปกรณ์
3. การออกแบบและการวางผังอาคารโรงงาน การวางผังติดตั้งเครื่ องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ การ
ออกแบบอุปกรณ์ขนย้ายวัสดุ อุปกรณ์เก็บวัตถุดิบ หรื อเก็บสิ นค้า
4. การออกแบบหรื อปรับปรุ งการวางแผนและควบคุมการจ่ายสิ นค้า หรื อบริ การการผลิต การ
เก็บสิ นค้าในคลัง การควบคุมคุณภาพ การซ่อมบารุ งรักษาและควบคุมโรงงานและหน้าที่อื่นๆ ที่
เกี่ยวข้องในด้านนี้
5. การพัฒนาระบบความคุมต้นทุน เช่น การควบคุมงบประมาณ การวิเคราะห์ตนทุน การจัดตั้ง
                           ้                                                ้
ระบบต้นทุนมาตรฐาน
6. การพัฒนาผลผลิต
7. การออกแบบและจัดตั้งระบบคานวณคุณค่าการใช้งานและ ระบบวิเคราะห์ทางวิศวกรรม
8. การออกแบบและจัดตั้งระบบข่าวสารเพื่อการบริ การ
9. การพัฒนาและจัดตั้งระบบค่าแรงงานจูงใจ
10. การพัฒนาวิธีวดผลงานและมาตรฐานในการทางาน รวมทั้งการวัดผลงานและประเมิน ค่า
                    ั
ผลงาน
11. การพัฒนาและจัดตั้งระบบประเมินคุณค่าของตาแหน่งงาน
12. การประเมินผลเกี่ยวกับความไว้วางใจได้ (reliability) และประสิทธิภาพในการทางาน
13. การวิจยปฏิบติการ (operations research) ซึ่ งครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ทาง
            ั    ั
คณิ ตศาสตร์ การจาลองแบบของระบบโปรแกรมเชิงเส้นตรง (linear programming) และทฤษฎี
ของการตัดสิ นใจ
14. การออกแบบและติดตั้งระบบวิเคราะห์ขอมูล
                                       ้
15. การจัดระบบสานักงาน วิธีการทางานและนโยบาย
16. การวางแผนองค์กร
17. การสารวจที่ต้งโรงงาน โดยยึดถือตลาดแหล่งวัตถุดิบ แหล่งโรงงาน แหล่งเงินทุน และภาษี
                 ั
ต่างๆ มาประกอบการพิจารณา

  งานวิศวกรอุตสาหการซึ่งควบคุมโดยกฎหมายในประเทศไทย
                 การจะนาเอาสภาวะของสหรัฐอเมริ การมาใช้ในเมืองไทยโดยมิได้ปรับปรุ งอย่าง
               ่                                                       ้
ขนาดใหย่ยอม จะเป็ นผลสาเร็ จไปไม่ได้ ประเทศไทยยังเป็ นประเทศไม่กาวหน้าทางเทคโนโลยี
มากนัก และมีกาลังคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกาลังวิศวกรจากัดมาก จึงย่อมไม่สามารถจะกาหนด
ลักษณะ งานวิศวกรรมอุตสาหการให้เหมือนกับสหรัฐอเมริ กาได้ ในเมืองไทยนั้นกฎกระทรวง
ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2508) ออกตามความในพระราชบัญญัติวิชาชีพวิศวกรรม พ.ศ. 2505 ได้กาหนด
           ่ ั
งานซึ่ งอยูลกษณะ วิชาชีพวิศวกรรมควบคุมสาขาวิศวกรรมอุตสาหการไว้ดงนี้      ั
 1. งานออกแบบและคานวณงานอุตสาหกรรมของโรงงานที่ใช้ลูกจ้าง ตั้งแต่สิบคนขึ้นไป หรื อ
โรงงานที่ตองลงทุนตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป
             ้
 2. งานควบคุมการสร้าง หมายถึง การอานวยการควบคุมดูแลการสร้าง ในสาขาวิศวกรรมอุตสา
หการ ให้เป็ นไปถูกต้องตามหลักวิชาการ แบบรู ป และข้อกาหนดสาหรับงานอุตสาหกรรมของ
โรงงานที่ใช้ลูกจ้างตั้งแต่สิบคนขึ้นไป หรื อของโรงงานที่ตองลงทุนตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป
                                                        ้
 3. งานพิจารณาตรวจสอบ หมายถึง การค้นคว้า การวิเคราะห์ การทดสอบหรื อการหาข้อมูล
และสถิติต่างๆ เพื่อเป็ นหลักเกณฑ์ประกอบการตรวจสอบ วินิจฉัยงานในสาขาวิศวกรรมอุตสา
หการ
 4. งานวางโครงสร้าง หมายถึง การวางแผนผังหรื อการวางแผนงาน การสร้างหรื อประกอบสิ่ ง
ใดๆ ในสาขาวิศวกรรมอุตสาหการ สาหรับโครงการ ที่มีวงเงินตั้งแต่สิบล้านบาทขึ้นไป
 5. งานควบคุมการผลิตวัตถุประสงค์สาเร็ จรู ปหรื อกึ่งสาเร็ จรู ป งานหลอมโลหะ งานหล่อโลหะ
งานรี ดโลหะ งานเคลือบโลหะ หรื องานอบชุบ งานชุบ หรื องานแปรรู ปโลหะไม้หรื อวัสดุอื่นๆ
สาหรับงานอุตสาหกรรม ของโรงงานที่ใช้ลูกจ้างตั้งแต่ ห้าสิ บคนขึ้นไป หรื อขนาดของโรงงาน
ที่ตองลงทุนตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป
    ้
 6. งานควบคุมการถลุงแร่ และงานทาโลหะให้บริ สุทธิ์ที่มีปริ มาณผลิตดังต่อไปนี้
     ดีบุก ตั้งแต่วนละสองตันขึ้นไป
                       ั
      ตะกัว สังกะสี ทองแง หรื อพลวง ตั้งแต่วนละห้าตันขึ้นไป
              ่                                ั
      เหล็ก หรื อเหล็กกล้า ตั้งแต่วนละสิ บตันขึ้นไป
                                    ั
 7. งานให้คาปรึ กษา หมายถึง การให้ขอแนะนาและ/หรื อการตรวจสอบที่ เกี่ยวข้องกับงานใน
                                       ้
สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ ตาม 1,2,3,4,5 หรื อ 6 ตามกฎกระทรวง นี้ยงแบ่งวิศวกรอุตสาหการผู้
                                                                   ั
ที่จดทะเบียนกับคณะกรรมการควบคุมการควบคุม การประกอบอาชีพวิศวกรรม (ก.ว) เป็ น 3
ประเภท คือภาคีสมาชิก สามัญสมาชิก และวุฒิสมาชิก ซึ่ งมีขอบเขตความสามารถในการ
รับผิดชอบต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ภาคีวิศวกร สามารถทางานออกแบบและคานวณงาน
อุตสาหกรรม ของโรงงานที่ใช้ ลูกจ้างตั้งแต่ 50 คน แต่ไม่เกิน 150 คน หรื อโรงงานที่ตองลงทุน
                                                                                  ้
ตั้งแต่ 50 คน แต่ไม่เกิน 300 คน หรื อโรงงานที่ตองลงทุนตั้งแต่ 5 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 30 ล้าน
                                                 ้
บาท ส่วนวุฒิวิศวกรนั้นไม่มีขอบเขตจากัดขนาดของโรงงานที่จะรับผิดชอบ
บรรณานุกรม
อ.ชัยวัฒน์.//อาชีพวิศวกร,”/ประวัติความเป็ นมาของวิศวกร”// 14 มีนาคม 2544.//<
http://www.ierit.rmuti.ac.th/ie/html/abouIE_c.htm   >// 15 สิ งหาคม 2554

More Related Content

More from SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL

ศาสตราจารย์ปรีดี พนมยงค์
ศาสตราจารย์ปรีดี  พนมยงค์ศาสตราจารย์ปรีดี  พนมยงค์
ศาสตราจารย์ปรีดี พนมยงค์
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
 
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาร
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาร
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาร
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
 

More from SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL (20)

อาเซอร์ไบจาน
อาเซอร์ไบจานอาเซอร์ไบจาน
อาเซอร์ไบจาน
 
คองโก
คองโกคองโก
คองโก
 
Is1
Is1Is1
Is1
 
ตุรกี
ตุรกีตุรกี
ตุรกี
 
มัลดีฟ
มัลดีฟมัลดีฟ
มัลดีฟ
 
อาร์เมเนีย
อาร์เมเนียอาร์เมเนีย
อาร์เมเนีย
 
นางสาวนภาพร คำภักดี เลขที่19 รัฐสุลต่านโอมาน
นางสาวนภาพร คำภักดี เลขที่19 รัฐสุลต่านโอมานนางสาวนภาพร คำภักดี เลขที่19 รัฐสุลต่านโอมาน
นางสาวนภาพร คำภักดี เลขที่19 รัฐสุลต่านโอมาน
 
สอบกลางภาค
สอบกลางภาคสอบกลางภาค
สอบกลางภาค
 
สอบกลางภาคIs ธิรดา-น้อยเสนา
สอบกลางภาคIs ธิรดา-น้อยเสนาสอบกลางภาคIs ธิรดา-น้อยเสนา
สอบกลางภาคIs ธิรดา-น้อยเสนา
 
จิราภา ธรรมรักษ์
จิราภา ธรรมรักษ์จิราภา ธรรมรักษ์
จิราภา ธรรมรักษ์
 
ณัฎฐณิชา
ณัฎฐณิชาณัฎฐณิชา
ณัฎฐณิชา
 
กลางภาค
กลางภาคกลางภาค
กลางภาค
 
งานกลางภาค นางสาวอภิชญา บุญโกมุด
งานกลางภาค นางสาวอภิชญา บุญโกมุดงานกลางภาค นางสาวอภิชญา บุญโกมุด
งานกลางภาค นางสาวอภิชญา บุญโกมุด
 
ส่งPptขึ้นเนต
ส่งPptขึ้นเนตส่งPptขึ้นเนต
ส่งPptขึ้นเนต
 
จอมพลถนอม กิตติขจร
จอมพลถนอม กิตติขจรจอมพลถนอม กิตติขจร
จอมพลถนอม กิตติขจร
 
ศาสตราจารย์ปรีดี พนมยงค์
ศาสตราจารย์ปรีดี  พนมยงค์ศาสตราจารย์ปรีดี  พนมยงค์
ศาสตราจารย์ปรีดี พนมยงค์
 
หมอ บรัดเลย์
หมอ บรัดเลย์หมอ บรัดเลย์
หมอ บรัดเลย์
 
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาร
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาร
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาร
 
พระพุธทาสภิกขุ
พระพุธทาสภิกขุพระพุธทาสภิกขุ
พระพุธทาสภิกขุ
 
ประวัติ หมอ บรัดเลย์
ประวัติ หมอ บรัดเลย์ประวัติ หมอ บรัดเลย์
ประวัติ หมอ บรัดเลย์
 

วิศวกร

  • 1. วิศวกร นับตั้งแต่ที่มนุษย์ถือกาเนิดขึ้นบนโลก ความเป็ นนักประดิษฐ์ของเราก็ ได้พฒนามาอย่างต่อเนื่อง ด้วยสมองที่ซบซ้อน การสังเกตุ และข้อ ั ั สงสัยต่างๆ ทาให้เรารู้จกประดิษฐ์เครื่ องมือเครื่ องใช้ต่างๆ เพื่อการ ั ดารงชีพ ซึ่ งนันก็คือจุดเริ่ มต้นขององค์ความรู้ทางด้านวิศวกรรมโดยแท้จริ ง หรื อกล่าวได้ว่า ่ วิศวกรกลุ่มแรกของโลกก็ก่อเกิดมาจากจุดนี้ โดยได้มีการพัฒนารู ปแบบการสร้างสรรค์ผลงาน ต่างๆ เช่น เครื่ องมือในการล่า ที่อยูอาศัย ศาสนสถาน ฯลฯ ซึ่ งได้ถ่ายทอดองค์ความรู้มารุ่ นต่อรุ่ น ่ ่ และตลอดระยะเวลาที่ผานมาก็ได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ อย่างมากมายจนหลายๆ ผลงานจากอดีตก็ ได้กลายมาเป็ นสิ่ งมหัศจรรย์ของโลกอย่างที่เราได้พบเห็นกันในปัจจุบน ั อาชีพวิศวกรในสมัยเริ่ มแรกนั้นเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการทหาร กล่าวคือ เป็ นงานในลักษณะ ของการสร้างอาวุธส่งคราม เช่น เครื่ องยิงก้อนหิ น ปื นใหญ่ เครื่ องกระทุงประตูเมือง การ ้ ก่อสร้างกาแพง ป้ อมยาม คูเมือง เหล่านี้เป็ นต้น ดังนั้นวิศวกรรุ่ นแรกคือ วิศวกรการทหาร (Military Engineer) วิศวกรพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็ นทหารซึ่ งจะต้องเข้าร่ วมรบในสงคราม แต่ หน้าที่พิเศษแตกต่างจากทหารอื่นๆ คือต้องทาการสร้างสรรค์ส่ิงต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว ต่อมาถึง สมัยที่อานาจของเจ้าผูครองนครและอาณาจักรต่างๆ ถึงจุดเสื่อม การพาณิ ชยกรรมได้ ้ เจริ ญรุ่ งเรื องขึ้นแทนการรบขยายอาณาเขต ประมาณ ปี ค.ศ. 1750 คือ ประมาณสมัยกรุ งศรี อยุธยาตอนปลาย จึงเกิดมีวิศวกรพลเรื อน (Civil Engineer) ซึ่ งทางานต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ การทหารโดยตรง เช่น การสร้างถนน ขุดคลอง เป็ นต้น และวิศวกรเหล่านี้ได้รวมตัวกันจัดตั้ง เป็ นสถาบัน Institute of Civil Engineer (London) ขึ้นในปี ค.ศ. 1828 ยิ่งวงการพาณิ ชยกรรม และอุตสาหกรรมเจริ ญรุ่ งเรื องยิงขึ้นเท่าไร ความจาเป็ นที่จะต้องจาแนกสาขาเฉพาะของวิศวกร ่ ยิงมีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อการใช้เครื่ องจักร เครื่ องกลมีมากขึ้น วิศวกรพลเรื อนที่ทางานเกี่ยวข้อง ่ กับเครื่ องจักรกลก็มากขึ้นไปด้วย วิศวกรพลเรื อน จานวนหนึ่งจึงแยกตนเองออกมาตั้งเป็ นสาขา ใหม่ คือ วิศวกรรมเครื่ องกล (Mechanical Engineering) วิศวกรเครื่ องกลจะทางานเกี่ยวกับ เครื่ องจักรกาเนิดพลัง (engine) เครื่ องจักรแปรรู ปวัสดุ และผลิตสิ นค้า โรงงานขนาดใหญ่และ อุปกรณ์ขนย้ายวัสดุ (material handling equipment) และความหมายของ วิศวกรรมพลเรื อนแต่ เดิม (Civil Engineering) นั้นก็เปลี่ยนมาหมายความถึงวิศวกรรมโยธา ซึ่ งเกี่ยวข้องกับการ ก่อสร้างอาคาร ถนน คลอง ฯลฯ และยังคงใช้คาว่า Civil เหมือนเดิม
  • 2. ในสมัยต่อมาเมื่อพลังงานไฟฟ้ าเป็ นที่รู้จกกันแพร่ หลาย วิศวกรเครื่ องกลบางกลุ่มที่ ทางาน ั เกี่ยวกับเครื่ องจักรกาเนิดไฟฟ้ าและระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้ าก็แยกสาขาออก เป็ น วิศวกรรมไฟฟ้ า (Electrical Engineering) เพิ่มขึ้นมาอีกสาขาหนึ่ง จากสาขาหลักใหญ่ๆ 3 สาขา ของวิศวกรรมศาสตร์ คือ วิศวกรรมโยธา วิศวกรรมเครื่ องกล และวิศวกรรมไฟฟ้ า สาขาย่อย อื่นๆ ของวิศวกรรมศาสตร์ ก็เจริ ญเติบโตขึ้นมาอีกมากมาย เช่น วิศวกรรมอุตสาหการ (Industrial Engineering) วิศวกรรมเคมี (Chemical Engineering) วิศวกรรมเหมืองแร่ และโลหะวิทยา (Mining and Metallurgical Engineering) วิศวกรรมการเดินอากาศ (Aeronautical Engineering) วิศวกรรมการเกษตร (Agricultural Engineering) วิศวกรรมเครื่ องกลเรื อ (Marine Engineering) วิศวกรรมอิเลคทรอนิค (Electronic Engineering) วิศวกรรมนิวเคลียร์ (Unclear Engineering) และยังมีสาขาอื่นๆ อีกมากมายในปัจจุบน ั ั ่ ั่ คาว่า วิศวกรรม ที่เราใช้กนอยูทวไปในภาษาไทยนั้น เราแปลมาจากคา ว่า ”Engineering” ในภาษาอังกฤษ ซึ่ งอ่านว่า เอ็น-จิ-เนีย-ริ่ ง ซึ่ งหนังสื อ Encyclopaedia Americana ได้ให้คาจากัดความไว้ว่า “Engineering” เป็ นอาชีพที่เกี่ยวข้องโดยชัดเจนกับ วิทยาศาสตร์ ของการวางแผนการออกแบบการสร้าง และการใช้งานอย่างถูกหลักเศรษฐศาสตร์ ของสิ่ งก่อสร้างหรื อเครื่ องจักร คาว่า Engineering นี้ แปลมาจากภาษาลาตินว่า “engenium” ซึ่ ง แผลงว่าความสามารถตามธรรมชาติ (หรื อความเป็ นอัจฉริ ยะที่ติดตัวมาโดยกาเนิด) หรื อการคิด ประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ คาว่า ingenium นี้แผลงมาจากศัพท์เดิมว่า “eignere” หรื อ “genere” ซึ่ ง แปลว่า ผลิต ประดิษฐ์ สร้าง หรื อทาให้เกิดขึ้น Engineering Council for Professional Development แห่งสหรัฐอเมริ กา ได้ให้ความหมายของ engineering ไว้ดงนี้คือ “การสร้างสรรค์โดยการนาเอาหลักวิทยาศาสตร์ มาใช้ออกแบบ และ ั พัฒนาสิ่ งก่อสร้าง เครื่ องจักร อุปกรณ์ หรื อกระบวนการผลิต หรื อกิจกรรมใดๆ ซึ่ งใช้สิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างเดียวกันหรื อหลายอย่างรวมกัน หรื อการก่อสร้างและการใช้งานสิ่ งเหล่านี้ให้ ประโยชน์ให้เต็มที่ หรื อการพยากรณ์การทางานของสิ่ งเหล่านี้ภายใต้สภาวะของการใช้งาน ซึ่ ง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้สิ่งต่างๆดังกล่าวมาแล้วทางานตามหน้าที่ที่ออกแบบมาให้ทา ให้เป็ นการ คุมค่าทางเศรษฐศาสตร์ และปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน” อนึ่ง มีผใจเข้าคลาดเคลื่อนกันมาก ้ ู้ ว่า วิศวกร (Engineer) คือ คนที่ทางานคุมเครื่ องจักร (engine = เครื่ องจักร) ซึ่ งเดิมทีแล้ว คาว่า engineer เป็ นคาดั้งเดิมซึ่ งสะกดกันต่างๆ นานา เช่น ingenor บ้าง ingeneu บ้าง enginor บ้าง ฯลฯ
  • 3. ซึ่ งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคาว่า engine แต่อย่างไร วิศวกรที่ทาหน้าที่ควบคุมเครื่ องจักรนั้นมีนอย ้ มาก เมื่อเทียบกับวิศวกรที่หางานอื่นๆ กล่าวโดยสรุ ป วิศวกรรม คือ งานสร้างสรรค์ส่ิ งต่างๆ ซึ่ ง จะเป็ นประโยชน์ต่อสังคมโดยอาศัยพื้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเศรษศาสตร์ มาช่วยในการ สร้างสรรค์ ประวัติของอาชีพวิศวกรรม เป็ นที่ยอมรับกันโดยทัวไปว่าอาชีพวิศวกรรมในสมัยเริ่ มแรกนั้นเกี่ยวข้องอย่าง ่ ใกล้ชิดกับการทหาร กล่าวคือ เป็ นงานในลักษณะของการสร้างอาวุธส่งคราม เช่น เครื่ องยิงก้อน หิ น ปื นใหญ่ เครื่ องกระทุงประตูเมือง การก่อสร้างกาแพง ป้ อมยาม คูเมือง เหล่านี้ เป็ นต้น ดังนั้น ้ วิศวกรรุ่ นแรกคือ วิศวกรการทหาร (Military Engineer) วิศวกรพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็ นทหารซึ่ ง จะต้องเข้าร่ วมรบในสงคราม แต่หน้าที่พิเศษแตกต่างจากทหารอื่นๆ คือต้องทาการสร้างสรรค์ สิ่ งต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว ต่อมาถึงสมัยที่อานาจของเจ้าผูครองนครและอาณาจักรต่างๆ ถึงจุดเสื่ อม การ ้ พาณิ ชยกรรมได้เจริ ญรุ่ งเรื องขึ้นแทนการรบขยายอาณาเขต ประมาณ ปี ค.ศ. 1750 คือ ประมาณ สมัยกรุ งศรี อยุธยาตอนปลาย จึงเกิดมีวิศวกรพลเรื อน (Civil Engineer) ซึ่ งทางานต่างๆ ที่ไม่ เกี่ยวข้องกับการทหารโดยตรง เช่น การสร้างถนน ขุดคลอง เป็ นต้น และวิศวกรเหล่านี้ได้ รวมตัวกันจัดตั้งเป็ นสถาบัน Institute of Civil Engineer (London) ขึ้นในปี ค.ศ. 1828 ยิ่งวงการพาณิ ชยกรรมและอุตสาหกรรมเจริ ญรุ่ งเรื องยิ่งขึ้นเท่าไร ความจาเป็ นที่ จะต้องจาแนกสาขาเฉพาะของวิศวกรยิงมีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อการใช้เครื่ องจักร เครื่ องกลมีมาก ่ ขึ้น วิศวกรพลเรื อนที่ทางานเกี่ยวข้องกับเครื่ องจักรกลก็มากขึ้นไปด้วย วิศวกรพลเรื อน จานวน หนึ่งจึงแยกตนเองออกมาตั้งเป็ นสาขาใหม่ คือ วิศวกรรมเครื่ องกล (Mechanical Engineering) วิศวกรเครื่ องกลจะทางานเกี่ยวกับเครื่ องจักรกาเนิดพลัง (engine) เครื่ องจักรแปรรู ปวัสดุ และ ผลิตสิ นค้า โรงงานขนาดใหญ่และอุปกรณ์ขนย้ายวัสดุ (material handling equipment) และ ความหมายของ วิศวกรรมพลเรื อนแต่เดิม (Civil Engineering) นั้นก็เปลี่ยนมาหมายความถึง วิศวกรรมโยธา ซึ่ งเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคาร ถนน คลอง ฯลฯ และยังคงใช้คาว่า Civil เหมือนเดิม
  • 4. ในสมัยต่อมาเมื่อพลังงานไฟฟ้ าเป็ นที่รู้จกกันแพร่ หลาย วิศวกรเครื่ องกลบางกลุ่ม ั ที่ ทางานเกี่ยวกับเครื่ องจักรกาเนิดไฟฟ้ าและระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้ าก็แยกสาขาออกเป็ น วิศวกรรมไฟฟ้ า (Electrical Engineering) เพิ่มขึ้นมาอีกสาขาหนึ่ง จากสาขาหลักใหญ่ๆ 3 สาขาของวิศวกรรมศาสตร์ คือ วิศวกรรมโยธา วิศวกรรมเครื่ องกล และวิศวกรรมไฟฟ้ า สาขาย่อยอื่นๆ ของวิศวกรรมศาสตร์ ก็เจริ ญเติบโต ขึ้นมาอีกมากมาย เช่น วิศวกรรมอุตสาหการ (Industrial Engineering) วิศวกรรมเคมี (Chemical Engineering) วิศวกรรมเหมืองแร่ และโลหะวิทยา (Mining and Metallurgical Engineering) วิศวกรรมการเดินอากาศ (Aeronautical Engineering) วิศวกรรมการเกษตร (Agricultural Engineering) วิศวกรรมเครื่ องกลเรื อ (Marine Engineering) วิศวกรรมอิเลคทรอนิค (Electronic Engineering) วิศวกรรมนิวเคลียร์ (Unclear Engineering) และยังมีสาขาอื่นๆ อีกมากมายไม่ สามารถนามาระบุให้ครบถ้วนในที่น้ ีได้ วิศวกรรมอุตสาหการ คืออะไร วิศวกรรมอุตสาหการ คือสาขาหนึ่งซึ่ งได้เจริ ญเติบโตขึ้นมาและแยกตัวออกมา จากวิศวกรรมเครื่ องกล คือ สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ (Industrial Engineering) ซึ่ งมีผให้คา ู้ จากัดความไว้ดงต่อไปนี้ Encyclopaedia Americana คาว่า “วิศวกรรมอุตสาหการ คือ การ ั วิเคราะห์อย่างละเอียดถึงการใช้งานและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับคน วัตถุดิบเครื่ องจักรและ อุปกรณ์ในองค์การวิศวกรรมอุตสาหการจะต้องทาการวิเคราะห์เพื่อให้องค์การสามารถเพิ่ม ผลผลิต เพิ่มกาไรและเพิ่มประสิ ทธิภาพในการทางาน” หนังสื อ Encyclopaedia Britannica กล่าว ว่า “งานของวิศวกรรมอุตสาหการปกติจะรู้จกภายใต้ชื่อของการศึกษาการเคลื่อนไหว การศึกษา ั เวลาในการทางาน การวางแผนและควบคุมการผลิต การวิเคราะห์ข้นตอนการทางาน การั ออกแบบระบบงาน การควบคุมคุณภาพ การประเมินคุณค่าของตาแหน่งการวิเคราะห์องค์การ การศึกษาและปรับปรุ งประสิ ทธิภาพในการทางาน” ที่กล่าวมาข้างต้นเป็ นคากล่าวและความเข้าใจของบุคคลทัวๆ ไปเกี่ยวกับวิศวกรรม ่ อุตสาหการ ส่วนวิศวกรรมอุตสาหการมองตนเองอย่างไรนั้นอาจทราบได้จากคาจากัดความใน หนังสื อ Industrial Engineering Handbook ดังนี้ “วิศวกรรมอุตสาหการเกี่ยวข้องกับการออกแบบ การปรับปรุ ง และการจัดตั้งระบบ ผสมผสานระหว่างคน วัสดุ และเครื่ องจักรอุปกรณ์ ซึ่ งในการนี้จะต้องใช้ความชานาญในด้าน
  • 5. คณิ ตศาสตร์ ฟิ สิ กส์ และสังคมศาสตร์ ร่วมกันไป โดยอาศัยหลักเกณฑ์และวิธีวิเคราะห์ทาง วิศวกรรมศาสตร์ มาใช้ออกแบบ ระบุ ทานาย และประเมินผลการทางานของระบบดังกล่าว" งานหลักของวิศวกรรมอุตสาหการ กล่าวกว้างๆ ได้ว่าวิศวกรรมอุตสาหการทางานทัวๆ ไปของวิศวกรรมเครื่ องกลได้ ยกเว้น ่ งานพิเศษบางอย่างซึ่ งต้องอาศัยความรู้ทาง thermodynamics , heat transfer หรื อ fluid machine ชั้นสูง แต่วิศวกรอุตสาหการจะมีความชานาญพิเศษเฉพาะด้านของตนในงานหลัก ซึ่ งเป็ นหน้าที่ ของวิศวกรรมอุตสาหการ ซึ่ ง American Institute of Industrial Engineering ได้ระบุไว้ดงนี้ ั 1. การเลือกกระบวนการ และวิธีการประกอบชิ้นส่วนสิ นค้า 2. การเลือกใช้และการออกแบบเครื่ องมือและอุปกรณ์ 3. การออกแบบและการวางผังอาคารโรงงาน การวางผังติดตั้งเครื่ องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ การ ออกแบบอุปกรณ์ขนย้ายวัสดุ อุปกรณ์เก็บวัตถุดิบ หรื อเก็บสิ นค้า 4. การออกแบบหรื อปรับปรุ งการวางแผนและควบคุมการจ่ายสิ นค้า หรื อบริ การการผลิต การ เก็บสิ นค้าในคลัง การควบคุมคุณภาพ การซ่อมบารุ งรักษาและควบคุมโรงงานและหน้าที่อื่นๆ ที่ เกี่ยวข้องในด้านนี้ 5. การพัฒนาระบบความคุมต้นทุน เช่น การควบคุมงบประมาณ การวิเคราะห์ตนทุน การจัดตั้ง ้ ้ ระบบต้นทุนมาตรฐาน 6. การพัฒนาผลผลิต 7. การออกแบบและจัดตั้งระบบคานวณคุณค่าการใช้งานและ ระบบวิเคราะห์ทางวิศวกรรม 8. การออกแบบและจัดตั้งระบบข่าวสารเพื่อการบริ การ 9. การพัฒนาและจัดตั้งระบบค่าแรงงานจูงใจ 10. การพัฒนาวิธีวดผลงานและมาตรฐานในการทางาน รวมทั้งการวัดผลงานและประเมิน ค่า ั ผลงาน 11. การพัฒนาและจัดตั้งระบบประเมินคุณค่าของตาแหน่งงาน 12. การประเมินผลเกี่ยวกับความไว้วางใจได้ (reliability) และประสิทธิภาพในการทางาน 13. การวิจยปฏิบติการ (operations research) ซึ่ งครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ทาง ั ั คณิ ตศาสตร์ การจาลองแบบของระบบโปรแกรมเชิงเส้นตรง (linear programming) และทฤษฎี ของการตัดสิ นใจ
  • 6. 14. การออกแบบและติดตั้งระบบวิเคราะห์ขอมูล ้ 15. การจัดระบบสานักงาน วิธีการทางานและนโยบาย 16. การวางแผนองค์กร 17. การสารวจที่ต้งโรงงาน โดยยึดถือตลาดแหล่งวัตถุดิบ แหล่งโรงงาน แหล่งเงินทุน และภาษี ั ต่างๆ มาประกอบการพิจารณา งานวิศวกรอุตสาหการซึ่งควบคุมโดยกฎหมายในประเทศไทย การจะนาเอาสภาวะของสหรัฐอเมริ การมาใช้ในเมืองไทยโดยมิได้ปรับปรุ งอย่าง ่ ้ ขนาดใหย่ยอม จะเป็ นผลสาเร็ จไปไม่ได้ ประเทศไทยยังเป็ นประเทศไม่กาวหน้าทางเทคโนโลยี มากนัก และมีกาลังคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกาลังวิศวกรจากัดมาก จึงย่อมไม่สามารถจะกาหนด ลักษณะ งานวิศวกรรมอุตสาหการให้เหมือนกับสหรัฐอเมริ กาได้ ในเมืองไทยนั้นกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2508) ออกตามความในพระราชบัญญัติวิชาชีพวิศวกรรม พ.ศ. 2505 ได้กาหนด ่ ั งานซึ่ งอยูลกษณะ วิชาชีพวิศวกรรมควบคุมสาขาวิศวกรรมอุตสาหการไว้ดงนี้ ั 1. งานออกแบบและคานวณงานอุตสาหกรรมของโรงงานที่ใช้ลูกจ้าง ตั้งแต่สิบคนขึ้นไป หรื อ โรงงานที่ตองลงทุนตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป ้ 2. งานควบคุมการสร้าง หมายถึง การอานวยการควบคุมดูแลการสร้าง ในสาขาวิศวกรรมอุตสา หการ ให้เป็ นไปถูกต้องตามหลักวิชาการ แบบรู ป และข้อกาหนดสาหรับงานอุตสาหกรรมของ โรงงานที่ใช้ลูกจ้างตั้งแต่สิบคนขึ้นไป หรื อของโรงงานที่ตองลงทุนตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป ้ 3. งานพิจารณาตรวจสอบ หมายถึง การค้นคว้า การวิเคราะห์ การทดสอบหรื อการหาข้อมูล และสถิติต่างๆ เพื่อเป็ นหลักเกณฑ์ประกอบการตรวจสอบ วินิจฉัยงานในสาขาวิศวกรรมอุตสา หการ 4. งานวางโครงสร้าง หมายถึง การวางแผนผังหรื อการวางแผนงาน การสร้างหรื อประกอบสิ่ ง ใดๆ ในสาขาวิศวกรรมอุตสาหการ สาหรับโครงการ ที่มีวงเงินตั้งแต่สิบล้านบาทขึ้นไป 5. งานควบคุมการผลิตวัตถุประสงค์สาเร็ จรู ปหรื อกึ่งสาเร็ จรู ป งานหลอมโลหะ งานหล่อโลหะ งานรี ดโลหะ งานเคลือบโลหะ หรื องานอบชุบ งานชุบ หรื องานแปรรู ปโลหะไม้หรื อวัสดุอื่นๆ สาหรับงานอุตสาหกรรม ของโรงงานที่ใช้ลูกจ้างตั้งแต่ ห้าสิ บคนขึ้นไป หรื อขนาดของโรงงาน ที่ตองลงทุนตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป ้ 6. งานควบคุมการถลุงแร่ และงานทาโลหะให้บริ สุทธิ์ที่มีปริ มาณผลิตดังต่อไปนี้
  • 7. ดีบุก ตั้งแต่วนละสองตันขึ้นไป ั  ตะกัว สังกะสี ทองแง หรื อพลวง ตั้งแต่วนละห้าตันขึ้นไป ่ ั  เหล็ก หรื อเหล็กกล้า ตั้งแต่วนละสิ บตันขึ้นไป ั 7. งานให้คาปรึ กษา หมายถึง การให้ขอแนะนาและ/หรื อการตรวจสอบที่ เกี่ยวข้องกับงานใน ้ สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ ตาม 1,2,3,4,5 หรื อ 6 ตามกฎกระทรวง นี้ยงแบ่งวิศวกรอุตสาหการผู้ ั ที่จดทะเบียนกับคณะกรรมการควบคุมการควบคุม การประกอบอาชีพวิศวกรรม (ก.ว) เป็ น 3 ประเภท คือภาคีสมาชิก สามัญสมาชิก และวุฒิสมาชิก ซึ่ งมีขอบเขตความสามารถในการ รับผิดชอบต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ภาคีวิศวกร สามารถทางานออกแบบและคานวณงาน อุตสาหกรรม ของโรงงานที่ใช้ ลูกจ้างตั้งแต่ 50 คน แต่ไม่เกิน 150 คน หรื อโรงงานที่ตองลงทุน ้ ตั้งแต่ 50 คน แต่ไม่เกิน 300 คน หรื อโรงงานที่ตองลงทุนตั้งแต่ 5 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 30 ล้าน ้ บาท ส่วนวุฒิวิศวกรนั้นไม่มีขอบเขตจากัดขนาดของโรงงานที่จะรับผิดชอบ