โครงงานสารสกัดสมุนไพรรักษาแผลหน้ายาง พาวเวอร์พอย
- 6. ยางพารา
ยางพารา เป็นไม้ยืนต้น มีถิ่นกาเนิดบริเวณลุ่มน้าแอมะซอน ประเทศบราซิลและเปรู ทวีปอเมริกาใต้ โดยชาว
พื้นเมืองเรียกว่า "เกาชู" แปลว่าต้นไม้ร้องไห้ จนถึงปี พ.ศ. 2313 (1770) โจเซฟ พรีสต์ลีย์ พบว่ายาง
สามารถนามาลบรอยดาของดินสอได้ จึงเรียกว่ายางลบหรือตัวลบ (rubber) ซึ่งเป็นศัพท์ใช้ในอังกฤษ
และเนเธอร์แลนด์เท่านั้นศูนย์กลางของการเพาะปลูกและซื้อขายยางในอเมริกาใต้แต่ดั้งเดิมอยู่ที่รัฐปา
รา ของบราซิล ยางชนิดนี้จึงมีชื่อเรียกว่า ยางพารา
เวลากรีดยาง : ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกรีดยางมากที่สุดคือ ช่วง 6.00-8.00 น. เนื่องจาก
เป็นช่วงเวลาที่สามารถมองเห็นต้นยางได้อย่างชัดเจนและได้ปริมาณน้ายางใกล้เคียงกับการกรีดยางใน
ตอนเช้ามืด แต่การกรีดยางในช่วงเวลา 1.00-4.00 น. จะให้ปริมาณยางมากกว่าการกรีดยางในตอน
เช้าอยู่ร้อยละ 4-5 ซึ่งเป็นช่วงที่ได้ปริมาณน้ายางมากที่สุดด้วย แต่การกรีดยางในตอนเช้ามืดมีข้อเสีย
คือ ง่ายต่อการกรีดบาดเยื่อเจริญส่งผลให้เกิดโรคหน้ายางทั้งยังเป็นการสิ้นเปลืองและไม่มีความ
ปลอดภัยจากสัตว์ร้ายหรือโจรผู้ร้าย
การหยุดพักกรีด : ในฤดูแล้ง ใบไม้ผลัดใบหรือฤดูที่มีการผลิใบใหม่ จะหยุดพักการกรีดยาง
เนื่องจากมีผลต่อการเจริญเติบโตของใบและต้นยาง การกรีดยางในขณะที่ต้นยางเปียก จะทาให้เกิดโรค
เส้นดาหรือเปลือกเน่าได้
- 7. เวลากรีดยาง : ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกรีดยางมากที่สุดคือ ช่วง 6.00-8.00 น. เนื่องจากเป็น
ช่วงเวลาที่สามารถมองเห็นต้นยางได้อย่างชัดเจนและได้ปริมาณน้ายางใกล้เคียงกับการกรีดยางในตอน
เช้ามืด แต่การกรีดยางในช่วงเวลา 1.00-4.00 น. จะให้ปริมาณยางมากกว่าการกรีดยางในตอนเช้า
อยู่ร้อยละ 4-5 ซึ่งเป็นช่วงที่ได้ปริมาณน้ายางมากที่สุดด้วย แต่การกรีดยางในตอนเช้ามืดมีข้อเสีย คือ
ง่ายต่อการกรีดบาดเยื่อเจริญส่งผลให้เกิดโรคหน้ายางทั้งยังเป็นการสิ้นเปลืองและไม่มีความปลอดภัย
จากสัตว์ร้ายหรือโจรผู้ร้าย
การหยุดพักกรีด : ในฤดูแล้ง ใบไม้ผลัดใบหรือฤดูที่มีการผลิใบใหม่ จะหยุดพักการกรีดยาง
เนื่องจากมีผลต่อการเจริญเติบโตของใบและต้นยาง การกรีดยางในขณะที่ต้นยางเปียก จะทาให้เกิดโรค
เส้นดาหรือเปลือกเน่าได้
การเพิ่มจานวนกรีด : สามารถเพิ่มจานวนวันกรีดได้โดย
การเพิ่มวันกรีด : สามารถกรีดในช่วงผลัดใบแต่จะได้น้ายางในปริมาณน้อย ไม่ควรเร่งน้ายางโดยใช้
สารเคมีควรกรีดเท่าที่จาเป็นและในช่วงฤดูผลิใบต้องไม่มีการกรีดอีก
- 9. ว่านหางจระเข้
• ว่านหางจระเข้ เป็นต้นพืชที่มีเนื้ออิ่มอวบ จัดอยู่ในตระกูลลิเลี่ยมแหล่งกาเนิดดั้งเดิมอยู่ในชายฝั่งทะเล
เมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา พันธุ์ของว่านหางจระเข้มีมากมายกว่า 300 ชนิด
ซึ่งมีทั้งพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่มากจนไปถึงพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่า 10 เซนติเมตร ลักษณะพิเศษของว่านหาง
จระเข้ก็คือ มีใบแหลมคล้ายกับเข็ม เนื้อหนา และเนื้อในมีน้าเมือกเหนียว ว่านหางจระเข้ผลิดอกในช่วง
ฤดูหนาว ดอกจะมีสีต่างๆกัน เช่น เหลือง ขาว และแดง เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ของมัน คาว่า "อะโล"
(Aloe) เป็นภาษากรีซโบราณ หมายถึงว่านหางจระเข้ ซึ่งแผลงมาจากคาว่า "Allal" มีความหมายว่า
ฝาดหรือขม ในภาษายิว ฉะนั้นเมื่อผู้คนได้ยินชื่อนี้ก็จะทาให้นึกถึงว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้เดิมเป็น
พืชที่ขึ้นในเขตร้อนต่อมาได้ถูกนาไปแพร่พันธุ์ในยุโรปและเอเชีย และทุกวันนี้ทั่วโลกกาลังเกิดกระแสนิยม
ว่านหางจระเข้กันเป็นการใหญ่
- 11. โรคราแป้ ง
สาเหตุของโรคราแป้ ง
เกิดจากเชื้อรา Oidium heveae Steinm.
อาการของโรคราแป้ ง
เชื้อราจะเข้าทาลายใบอ่อนที่เพิ่งแตกยอดออกมา ทาให้ใบอ่อนเน่าดา มีรูปร่างบิดงอและร่วงหล่น เหลือ
เฉพาะก้าน(ซึ่งจะเหี่ยวแล้วร่วงหล่นทีหลัง) หากเข้าไปสังเกตุในสวนยางขณะลมกระโชก จะเห็นใบอ่อน
ร่วงเต็มกระจายทั่วแปลง
การป้ องกันกาจัดโรคราแป้ ง
1.ในช่วงปลายฤดูฝน ให้ใส่ปุ๋ ยบารุงต้นยางที่มีธาตุไนโตรเจนสูงกว่าปกติ เพื่อเร่งให้ใบยางที่ผลิใหม่หลัง
ฤดูผลัดใบเพสลาดหรือแก่เร็วขึ้น
2.สาหรับต้นยางที่มีอายุไม่เกิน 2 ปีและเริ่มพบเชื้อระบาด ควรพ่นสารอินทรีย์หรือสารเคมี บริเวณใบที่
กาลังผลิยอดอ่อน