การกรวดน้ำอุทิศกุสลที่ถูกต้อง และ บทกรวดน้ำอัปปะมัญญา
- 1. การกรวดน้ าอุทศกุสลทีถกต ้อง
ิ ่ ู
ท่านทราบหรือไม่วาประเพณีการกรวดน้ านี้ ผู ้ใดทาเป็ นคนแรก (ต ้นบัญญัต) ? และทีเรากรวดน้ ากันอยูทกวันนี้ ถูกต ้อง
่ ิ ่ ่ ุ
ตามพระธัมมวินัยหรือไม่? ทาอย่างไรจึงจะถูกต ้อง เพือให ้ได ้กุสลทังคนทา และผู ้ล่วงลับไปแล ้ว
่ ้
่
ประเพณีการกรวดน้ ามี พระเจ ้าพิมพิสาร เป็ นองค์ปฐมของประเพณีนี้ พระเจ ้าพิมพิสารเป็ นพระโสตาปั น (อริยบุคคล) สิง
ทีเราทาตามท่านจึงเรียกว่า อริยประเพณี พระเจ ้าพิมพิสารได ้อาราธนาพระผู มพระภาคเจ ้า และพระสาวกมาฉั นภัตตาหาร แล ้ว
่ ้ ี
ถวายเวฬุวันเป็ นพระอารามแห่ง แรกในพระพุท ธศาสนา กุสลทีพ ระเจ ้าพิมพิส ารทรงทาเป็ นกุสลที่ยงใหญ่ เป็ นมหากุสล แต่
่ ิ่
พระองค์ก็ไม่ได ้กรวดน้ าอุทศกุสลให ้ใคร ตกกลางคืน ญาติทเป็ นเปรต และรอคอยจะอนุ โมทนากุสลทีพระเจ ้าพิมพิสาร ทรงทา
ิ ี่ ่
เพือจะได ้หลุดพ ้นจากภาวะทีเป็ นอยู่ เปรตพวกนี้คอยมาแล ้วนานถึง ๙๒ อสงไขย อดอยาก เนื้อตัวสกปรกมอมแมม เมือพระ
่ ่ ่
เจ ้าพิมพิสารไม่ได ้อุทศกุสลให ้ จึงมาร ้องขอ เสียงร ้องของเปรตรบกวนทาให ้พระเจ ้าพิมพิสารไม่สามารถบรรทมได ้
ิ
รุงเช ้าพระเจ ้าพิมพิสารจึงไปทูลถามพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงตรัสบอกเหตุให ้พระเจ ้าพิมพิสารทราบ พระเจ ้าพิม
่
พิส ารจึง ได ้อาราธนาพระผู ม ีพระภาคเจ า
้ ้ และพระพุท ธสาวกมาฉั น ภั ตตาหารอีก ครั งหนึ่ง พร ้อมทั งถวายผ าไตรจีว รแล ้วจึง
้ ้ ้
กรวดน้ าอุทศกุสลไปให ้เปรตชนเหล่านั ้น เมือเปรตได ้อนุ โมทนากุสลทีพระเจ ้าพิมพิสารทรงอุทศให ้แล ้ว ก็เปลียนภพภูมเป็ น
ิ ่ ่ ิ ่ ิ
้
เทวดา มีเสือผ ้าอาภรณ์งดงามทีเกิดจากกุสล ทีได ้ถวายผ ้าไตรจีวรให ้กับพระพุทธองค์ และพระอรหันตสาวก ฉะนั น พระเจ ้าพิม
่ ่ ้
พิสารจึงเป็ นปฐมบัญญัตของการกรวดน้ าอุทศส่วนกุสล
ิ ิ
เหตุทให ้กรวดน้ าหลังจากฟั ง “ พระพุทธวจน “ (ยะถา....)
ี่
ท่านทราบหรือไม่วา การทีทานกรวดน้ าอุทศกุสลให ้ผู ้ล่วงลับไปแล ้ว พร ้อมกับทีพระเริมเจริญธัมม “ ยะถา วาริวะหาฯ “
่ ่ ่ ิ ่ ่
นั ้น ญาติผู ้ล่วงลับไปแล ้วของท่าน จะไม่ได ้กุสลเลย เพราะ “ ยะถา วาริวะหาฯ “ เป็ นพระพุทธวจน แต่ท่านไม่ได ้ฟั งพระ
่
พุทธวจน เพราะท่านมัวแต่กล่าวชือญาติทังหลายทีล่วงลับ ไปแล ้ว และตังใจจะอุทศกุสลให ้ ฉะนั ้น ท่านก็ไม่ได ้กุสลจากการนา
้ ่ ้ ิ
พระพุท ธวจนใส่เข ้าไปในจิตของเรา แล ้วเราจะเอากุส ลทีไหนไปอุท ศให ้ผู ล่วงลับ พระพุทธวจนแม ้แต่เพียงพยางค์เดียว ก็
่ ิ ้
สามารถทาให ้ผู ้ฟั งบรรลุธัมมเป็ น พระอริยบุคคลตังแต่พระโสตาปั นไปจนถึงพระอรหันต์ได ้
้
สมัยทีพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ และประทับ ณ วัตรพระเชตะวันมหาวิหาร อารามของท่านอนาถปิ ณฑิกะมหา
่
่
เศรษฐีพระโสตาปั น ซึงอยูในแคว ้นโกสล
่ พระเจ ้าปเสนทิโกสลทรงสร ้างกุสล แบบพระโพธิสัตว์ ทรงอาราธนาพระพุทธเจ ้า
และพระภิก ษุ ส งฆ์ ๕๐๐ รูป มาฉั น ภั ต ตาหาร ณ พระราชวั ง โดยสร า งปะร าพิธ ีท ี่ย ง ใหญ่
้ ิ่ ส าหรั บ ใช ้ อั ง คาสภั ต ตาหาร
พระพุทธเจ ้าและพระภิกษุ สงฆ์ ๕๐๐ รูป โดยทั่วไปพระพุทธเจ ้าจะทรงแสดงธัมมก่อน หรือ หลังฉั นภัตตาหาร อันเป็ นพุทธกิจ
ั
ของพระพุทธเจ ้า พระเจ ้าปเสนทิโกสลเป็ นพระโพธิสตว์ และปรารถนาพุทธภูม ิ จึงประสงค์จะฟั งธัมมจากพระพุทธเจ ้า เพราะ
ั
พระโพธิสตว์ยอมดาเนินวิถตามพระพุทธเจ ้าทุก ๆ พระองค์ พระพุทธเจ ้าทรงอนุโมทนามหากุสลทียงใหญ่ ของพระเจ ้าปเสนทิ
่ ี ่ ่ิ
โกสลด ้วยประโยคเพียง ๔ ประโยคเท่านั น (ความหมายในภาษาไทย) คือ
้
“ พวกคนตระหนี่ จะไปเทวโลกไม่ได ้
พวกคนโง่ จะไม่สรรเสริญทานเลย
แต่นักปราชญ์ พลอยยินดีตามทาน
เพราะเหตุนันเอง เขาจึงมึความสุขในโลกหน ้า “
้
- 2. ้
พระเจ ้าปเสนทิโกสลทรงเสียพระทัย (แต่ไม่ได ้มีโทสะ) ทีพระพุทธองค์ทรงแสดงธัมมสันมาก จึงรีบ ไปเฝ้ าพระพุทธเจ ้า
่
ในตอนเช ้าวันรุงขึน ทรงตรัสถามพระพุทธองค์วา “ ทาไมพระพุทธองค์จงทรงแสดงธัมมน ้อยนั กพระเจ ้าข ้า หม่อมชันมีความผิด
่ ้ ่ ึ ้
อันใดหรือพระเจ ้าข ้า “ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ในการสร ้างมหาทาน ทุกอย่างบริบรณ์เพรียบพร ้อม แต่มมหาอามาตย์ ๒ ท่าน
ู ี
ท่านหนึงคิดตาหนิตเตียนการทาทาน แต่มหาอามาตย์อกท่านอนุ โมทนาในมหาทาน มหาอามาตย์ทคดเช่นนี้ คือ ท่านมหา
่ ิ ี ี่ ิ
อามาตย์กาละคิดตาหนิ ส่วนท่านมหาอามาตย์ชณหะคิดอนุโมทนา พระเจ ้าปเสนทิโกสลทรงเรียกอามาตย์ทง ๒ มาสืบถามหา
ุ ั้
ความจริง ท่านมหาอามาตย์กาละยอมรับผิด จึงถูกถอดยศและเนรเทศออกไปจากพระนคร เพราะขัดธัมม ส่วนท่านอามาตย์
ชุณหะ พระเจ ้าปเสนทโกสลทรงอนุญาตให ้นาเงินในท ้องพระคลังมาทามหาทานอีก ๗ วัน การทีพระพุทธเจ ้าไม่ทรงแสดงธัมม
่
ในครังแรกนั น เพราะทรงมีพระเมตตาแก่ทานอามาตย์กาละ ทังนี้เพราะถ ้าพระพุทธองค์ทรงแสดงธัมม ท่ านอามาตย์กาลจะหัว
้ ้ ่ ้
่
แตกเป็ น ๗ เสียง สาหรับท่านอามาตย์ชณหะ ก็จะบรรลุธัมมเป็ นพระอริยบุคคล หลังจากท่านอามาตย์ชณหะถวายมหาทาน
ุ ุ
ครบ ๗ วันแล ้ว พระพุทธองค์จงแสดงธัมม “ ยะถา วาริวะหา ฯ “ท่านอามาตย์ชณหะก็ได ้บรรลุธัมมเป็ นพระโสตาปั น
ึ ุ ฉะนั น จะ
้
เห็นว่า ผู ้ทีได ้สดับพระพุทธวจน ยถา วาริวะหา ฯ สามารถบรรลุธมมเป็ นพระอริยบุคคลได ้
่ ั เราจึงไม่ควรไปกรวดน้ า และกล่าวคาอุทศกุสลใน
ิ
ขณะทีพระภิกษุ สงฆ์แสดงธัมมตามพระพุทธวจน
่ การกรวดน้ าทีถูกต ้องตามอริยประเพณีนั น เราต ้องตังใจฟั งพระภิกษุ สงฆ์เจริญธัมมให ้จบ
่ ้ ้
ครบถ ้วนก่อน ตอนนี้เราก็มกสลจากการฟั งธัมมแล ้ว ก็สามารถกรวดน้ าอุทศกุสลให ้ญาติผู ้ล่วงลับไปแล ้วได ้
ี ุ ิ
บทกรวดน้ าอัปปะมัญญา ่ ิ ้ ่
เป็ นบทกรวดน้ าทีไม่เจาะจงให ้ผู ้หนึ่งผู ้ใดเป็ นพิเศษ แต่เป็ นการ อุทศ ให ้กับสัตวะทัง ๓๑ ภูม ิ ซึงได ้แก่
้ ้ ้ ้
อรูปพรหม ๔ ชัน พรหม ๑๖ ชัน เทวดา ๖ ชัน มนุษย์ ๑ ชัน และ อบายภูม ิ ๔ (นรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน) การอุทศกุสลแบบไม่
ิ
เจาะจงนี้ มีอานิสงส์มาก แต่ผู ้ล่วงลับจะได ้อานิสงส์จากผลบุญก็ต่อเมือ ผู ้ล่วงลับได ้กล่าว “ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ “
่
บทกรวดน้ าอัปปะมัญญา
ปุญญัสสิทานิ กะตัสสะยานั ญญานิ กะตานิ เม
เตสัญจะภาคิโน โหนตุ สัตตานันตาปปะมาณะกา
้ ี ี่ ิ้
สัตวะทัง ๓๑ ภูม ิ ไม่มทสนสุด ไม่มประมาณ
ี
่
จงมีสวนแห่งบุญทีข ้าพเจ ้า ได ้ทาในบัดนี้
่
และแห่งบุญอืน ทีได ้ทาไว ้ก่อนแล ้ว
่ ่
่
และจงเป็ นพะละวะปั จจัย ให ้ทุกท่าน ถึง ซึง
วีสะติอริยะมรรคคะ วีสะติสามัญญะผะละ เอกกะนิพพานะ
โดยเฉียบพลัน ในปั จจุบนกาลชาตินี้ เทอญ.
ั
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
อ ้างอิง : คณะสิกขาธัมมตามพระไตรปิ ฏก ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธ์. หนังสือเจริญธัมมภาวนา บูชาคุณพระรัตนตรัย. กรุงเทพฯ, หสม.มาเจริญ
การพิมพ์, ๒๕๕๒.
ขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านคะ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
อ.ชัญญ์ชญา ศรีรัตนกูล (หนุ่ย)
๐๘๒–๑๙๕๑๙๕๕