Submit Search
Upload
Outlook-3Q2023-Onscreen.pdf
•
1 like
•
3,160 views
S
SCBEICSCB
Follow
SCB EIC ปรับลด GDP ไทยปีนี้เหลือ 3.1% จากข้อมูล Q2 ต่ำกว่าคาดมากและส่งออกหดตัวแรง
Read less
Read more
Economy & Finance
Report
Share
Report
Share
1 of 47
Download now
Download to read offline
Recommended
กิจกรรมเศรษฐกิจโลกขยายตัวดีต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ภาคบริการขยายตัวดีขึ้น ภาคการผลิตกลับมาขยายตัวสองเดือนติดต่อกันหลังจากหดตัวมานานกว่าปีครึ่ง ในเดือน มี.ค.กิจกรรมทางเศรษฐกิจขยายตัวทั่วถึงมากขึ้น โดยเฉพาะอินเดียและสหรัฐฯ กิจกรรมทางเศรษฐกิจของยูโรโซนกลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวนานเกือบปี กิจกรรมเศรษฐกิจจีนเร่งตัวสูงเกินคาดในไตรมาส 1 สำหรับนโยบายการเงินโลก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายช้ากว่าที่เคยมองไว้เป็นในไตรมาส 3 ทั้งปี 2-3 ครั้ง รวม 50-75 BPS ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือน มิ.ย. ทั้งปี 4 ครั้ง รวม 100 BPS จากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงเร็วกว่า สำหรับธนาคารกลางจีน (PBOC) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับมาตรการการคลัง SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แม้ยังมีแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนและท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเดือน เม.ย. ที่คาดว่าเทศกาลสงกรานต์จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากอาเซียนมาไทยมากขึ้น แต่ภาคการผลิตยังหดตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะหมวดสำคัญ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเครื่องนุ่งห่ม และมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าตามการส่งออกที่จะขยายตัวต่ำในปีนี้ สำหรับในช่วงที่เหลือของปีเศรษฐกิจไทยมีปัจจัย Upside จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาเพิ่มเติม เช่น • มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ที่จะช่วยดูดซับอุปทานที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลาง 3-7 ล้านบาท จากผู้ซื้อที่มีศักยภาพที่มีแผนจะซื้อบ้านอยู่แล้วให้เร่งซื้อภายในปีนี้ อย่างไรก็ดี SCB EIC ประเมินผลของมาตรการนี้มีแนวโน้มจำกัด เนื่องจากกลุ่มกำลังซื้อของตลาดที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทอาจไม่ได้รับอานิสงส์เท่าที่ควรจากมาตรการนี้ เพราะจะยังเผชิญแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนและดอกเบี้ยสูง รวมถึงข้อจำกัดการเข้าถึงสินเชื่อ • โครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะแหล่งที่มาจากเงินงบประมาณ ซึ่งจะเริ่มมีผลต่อเศรษฐกิจช่วงท้ายปีนี้ SCB EIC มองว่า หลังผลชั่วคราวของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ หมดลง ปัจจัยเชิงโครงสร้างจะยังคงเป็นแรงกดดันสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าอยู่ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนสูงจะฉุดรั้งการบริโภคภาคเอกชน การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับต่ำจะกดดันทิศทางการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สะสมมานานจะทำให้ศักยภาพเศรษฐกิจไทยต่ำต่อเนื่อง เช่น ผลิตภาพลดลง กำลังแรงงานลดลง และการลงทุนต่ำ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญจากราคาพลังงานที่ลดลงตามมาตรการช่วยค่าครองชีพภาครัฐ รวมถึงราคาอาหารสดลดลง อย่างไรก็ดี ความไม่สงบในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้ราคาพลังงานโลกกลับมาอยู่ในระดับสูงอีกครั้ง ประกอบกับมาตรการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่กำลังจะหมดลง SCB EIC จึงประเมินว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะเป็นบวกได้ตั้งแต่เดือน พ.ค. และกลับเข้ากรอบ 1-3% ตั้งแต่ไตรมาส 3 SCB EIC คาดว่าจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปีนี้ เนื่องจาก 1) เป็นการรักษาสถานะความเป็นกลางของนโยบายการเงิน (Neutral stance) จากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ทำให้ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว (Neutral rate) ลดต่ำลงจากเดิม และ 2) มติ กนง. ล่าสุดยังออกมาไม่เป็นเอกฉันท์ต่อเนื่อง read more : https://www.scbeic.com/th/detail/product/eic-monthly-0424
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวตามการท่องเที่ยวและแรงกระตุ้นการคลัง แต...
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวตามการท่องเที่ยวและแรงกระตุ้นการคลัง แต...
SCBEICSCB
Seminar mar 10_ashvin
Seminar mar 10_ashvin
nongalisanaja
เศรษฐกิจไทยปี 2024 จะฟื้นตัวได้ช้าและขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2023 เป็น 2.6% จากข้อมูลไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาดมาก การใช้จ่ายภาครัฐหดตัวแรงขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มลดลงจากประมาณการเดิม ส่วนหนึ่งจากนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้าในปี 2024 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.0% การส่งออกจะกลับมาขยายตัวได้จากแนวโน้มการค้าโลกที่ขยายตัวสูงขึ้น และการลงทุนภาคเอกชนจะฟื้นตัวดีตามการฟื้นตัวของการส่งออก แนวโน้มมูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในปี 2024 จะฟื้นตัวได้ช้าและขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ จากแรงส่งเศรษฐกิจที่ชะลอลงทั้งการบริโภคภาคเอกชนที่เติบโตสูงในปี 2023 และรายได้ครัวเรือนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ และการลงทุนภาครัฐที่ยังขยายตัวต่ำจากความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบประมาณประจำปี 2024 แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2024 SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะคงอยู่ในระดับปัจจุบันที่ 2.5% ไปตลอดปี 2024 เนื่องจากเป็นระดับที่เหมาะสมต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่ระดับศักยภาพในระยะยาว (Neutral rate) และช่วยเอื้อให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายได้ และช่วยสร้างความสมดุลในระบบการเงินจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงกลับเป็นบวกได้ โดยเป็นการลดแรงจูงใจในการก่อหนี้ใหม่ของครัวเรือนและลดการประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป (Underpricing of risks) จากภาวะดอกเบี้ยต่ำนาน ทั้งนี้มองว่าเงินเฟ้อจะเร่งขึ้นบ้างในปี 2024 จากแรงกดดันด้านอุปทาน ทำให้เกิดการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการไปยังราคาสินค้าเพิ่มขึ้นและโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลที่อาจกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าระดับศักยภาพและอาจสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ได้อีกทาง แต่จะเป็นเพียงผลชั่วคราว โดยเศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวในระดับศักยภาพได้ดังเดิม โครงการนี้จึงส่งผลต่อเงินเฟ้อต่ำ ทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ได้ สำหรับเงินบาทจะทรงตัวในกรอบ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่เหลือของปีนี้ และจะแข็งค่าต่อเนื่องอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2024 จากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมของภาครัฐ และแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลกปี 2024 สำหรับเศรษฐกิจโลกในปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเป็น 2.5% จาก 2.7% ในปี 2023 จากผลของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงเงินออมส่วนเกินที่ใกล้หมด โดยเฉพาะสหรัฐฯ นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มชะลอลงทั้งในระยะสั้นและระยะปานกลางจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กดดัน ในระยะปานกลางเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น แต่จะขยายตัวต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดจากปัจจัยกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรปจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วขึ้นเป็นไตรมาส 2 ปี 2024 จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงเร็วกว่าคาด ธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการยกเลิกมาตรการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวในช่วงครึ่งแรกของปี และยกเลิกนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในช่วงครึ่งหลังของปี ในระยะยาว SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยยังน่าห่วง เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำบนศักยภาพการเติบโตที่ลดลง
Outlook-4Q2023-Onscreen-20231214.pdf
Outlook-4Q2023-Onscreen-20231214.pdf
SCBEICSCB
เศรษฐกิจไทยปี 2024 จะฟื้นตัวได้ช้าและขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2023 เป็น 2.6% จากข้อมูลไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาดมาก การใช้จ่ายภาครัฐหดตัวแรงขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มลดลงจากประมาณการเดิม ส่วนหนึ่งจากนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้าในปี 2024 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.0% การส่งออกจะกลับมาขยายตัวได้จากแนวโน้มการค้าโลกที่ขยายตัวสูงขึ้น และการลงทุนภาคเอกชนจะฟื้นตัวดีตามการฟื้นตัวของการส่งออก แนวโน้มมูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในปี 2024 จะฟื้นตัวได้ช้าและขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ จากแรงส่งเศรษฐกิจที่ชะลอลงทั้งการบริโภคภาคเอกชนที่เติบโตสูงในปี 2023 และรายได้ครัวเรือนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ และการลงทุนภาครัฐที่ยังขยายตัวต่ำจากความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบประมาณประจำปี 2024 แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2024 SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะคงอยู่ในระดับปัจจุบันที่ 2.5% ไปตลอดปี 2024 เนื่องจากเป็นระดับที่เหมาะสมต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่ระดับศักยภาพในระยะยาว (Neutral rate) และช่วยเอื้อให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายได้ และช่วยสร้างความสมดุลในระบบการเงินจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงกลับเป็นบวกได้ โดยเป็นการลดแรงจูงใจในการก่อหนี้ใหม่ของครัวเรือนและลดการประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป (Underpricing of risks) จากภาวะดอกเบี้ยต่ำนาน ทั้งนี้มองว่าเงินเฟ้อจะเร่งขึ้นบ้างในปี 2024 จากแรงกดดันด้านอุปทาน ทำให้เกิดการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการไปยังราคาสินค้าเพิ่มขึ้นและโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลที่อาจกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าระดับศักยภาพและอาจสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ได้อีกทาง แต่จะเป็นเพียงผลชั่วคราว โดยเศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวในระดับศักยภาพได้ดังเดิม โครงการนี้จึงส่งผลต่อเงินเฟ้อต่ำ ทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ได้ สำหรับเงินบาทจะทรงตัวในกรอบ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่เหลือของปีนี้ และจะแข็งค่าต่อเนื่องอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2024 จากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมของภาครัฐ และแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลกปี 2024 สำหรับเศรษฐกิจโลกในปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเป็น 2.5% จาก 2.7% ในปี 2023 จากผลของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงเงินออมส่วนเกินที่ใกล้หมด โดยเฉพาะสหรัฐฯ นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มชะลอลงทั้งในระยะสั้นและระยะปานกลางจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กดดัน ในระยะปานกลางเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น แต่จะขยายตัวต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดจากปัจจัยกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรปจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วขึ้นเป็นไตรมาส 2 ปี 2024 จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงเร็วกว่าคาด ธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการยกเลิกมาตรการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวในช่วงครึ่งแรกของปี และยกเลิกนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในช่วงครึ่งหลังของปี ในระยะยาว SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยยังน่าห่วง เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำบนศักยภาพการเติบโตที่ลดลง
Outlook-4Q2023-Onscreen-20231214.pdf
Outlook-4Q2023-Onscreen-20231214.pdf
SCBEICSCB
EIC คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 75 bps ในเดือน ก.ค. เพื่อชะลอความร้อนแรงของการฟื้นตัวของอุปสงค์ และทำให้อัตราเงินเฟ้อและเงินเฟ้อคาดการณ์ปรับลดลงมาใกล้เคียงเป้าหมายเงินเฟ้อมากขึ้น โดยปัจจัยที่จะทำให้ Fed ยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่สูง
EIC-Note_Fed-Hike-(Jun22)_20220621.pdf
EIC-Note_Fed-Hike-(Jun22)_20220621.pdf
SCBEICSCB
EIC คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 75 bps ในเดือน ก.ค. เพื่อชะลอความร้อนแรงของการฟื้นตัวของอุปสงค์ และทำให้อัตราเงินเฟ้อและเงินเฟ้อคาดการณ์ปรับลดลงมาใกล้เคียงเป้าหมายเงินเฟ้อมากขึ้น โดยปัจจัยที่จะทำให้ Fed ยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่สูง
EIC Note_Fed Hike (Jun22)_20220621
EIC Note_Fed Hike (Jun22)_20220621
SCBEICSCB
presentation
SETSOURCE_Press_Release_50_presentation.pdf
SETSOURCE_Press_Release_50_presentation.pdf
anyarat3
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวดีขึ้นในปี 2024 ใกล้เคียงปีก่อน จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นเป็นหลัก โดยอุปสงค์ในประเทศของสหรัฐฯ ยังขยายตัวดี ขณะที่เศรษฐกิจจีนกลับมาขยายตัวดีขึ้นในระยะสั้นตามวัฏจักรภาคการผลิตและการส่งออกที่ฟื้นตัว รวมถึงได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อย่างไรก็ดี ปริมาณการค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงจากปัญหาการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น สำหรับนโยบายการเงินโลก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 3 รวมทั้งปี 2 ครั้ง 50 BPS ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือน มิ.ย. รวมทั้งปี 4 ครั้ง 100 BPS จากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงเร็วกว่าคาด สำหรับธนาคารกลางจีน (PBOC) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับมาตรการการคลัง ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในช่วงท้ายปีตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในระยะกลางที่สูงขึ้นจากประมาณการเดิมของ BOJ SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2024 (ไม่รวม Digital wallet) เหลือ 2.5% (เดิม 2.7%) แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกออกมาขยายตัวดีกว่าคาด โดยมีแรงส่งหลักมาจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของภาคบริการและการท่องเที่ยวจากการทยอยกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงการขยายมาตรการฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวอินเดียและไต้หวัน อย่างไรก็ดี มองไปข้างหน้าภาพรวมองค์ประกอบเศรษฐกิจส่วนใหญ่แผ่วลง โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำลง และการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งแม้ว่าจะกลับมาเร่งตัวจากการเร่งรัดเบิกจ่ายหลัง พ.ร.บ. งบประมาณ 2024 ประกาศใช้ล่าช้ากว่าครึ่งปี แต่จะไม่สามารถชดเชยการหดตัวรุนแรงในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ได้ สำหรับในช่วงที่เหลือของปี 2024 เศรษฐกิจไทยจะมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นหลายด้าน ได้แก่ (1) การส่งออกขยายตัวจำกัด ส่วนหนึ่งเพราะการส่งออกไทยเริ่มฟื้นตัวไม่สอดคล้องกับปริมาณการค้าโลกมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกสินค้ากลุ่มแผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกล รถยนต์และส่วนประกอบ (2) ภาคการผลิตที่ฟื้นตัวช้ายังเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจ โดยยังคงมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องจากสินค้าคงคลังที่ยังอยู่ในระดับสูง และส่วนหนึ่งจะถูกสินค้าจีนตีตลาดจากปัญหา Overcapacity ของภาคอุตสาหกรรมจีน (3) การบริโภคภาคเอกชนแผ่วลงจากที่เคยขยายตัวได้ดีใน 2 ปีที่ผ่านมา ผลจากรายได้ฟื้นช้าทำให้ครัวเรือนเปราะบางสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 60,000 บาทต่อเดือนซึ่งเป็นกลุ่มใหม่ที่เริ่มมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย SCB EIC ประเมินว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งปลายปีนี้เหลือ 2.25% และปรับลดอีกครั้งเหลือ 2% ในช่วงต้นปีหน้า จากแรงส่งอุปสงค์ในประเทศในระยะข้างหน้าที่อาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากฐานะครัวเรือนที่ยังเปราะบางและปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังมีอยู่ รวมถึงภาวะการเงินตึงตัวที่จะส่งผลกระทบชัดเจนขึ้น และความเสี่ยงเศรษฐกิจในปีหน้าที่จะปรับเพิ่มขึ้น สำหรับค่าเงินบาทผันผวนสูงและอ่อนค่าเร็วช่วงต้นเดือน เม.ย. จากภาวะ Risk-off ของสงครามอิสราเอล-อิหร่าน และตลาด Price-in การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายช้าลงของ Fed ต่อมาเงินบาทกลับแข็งค่าเร็วหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด สำหรับในระยะสั้นเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น read more : https://www.scbeic.com/th/detail/product/eic-monthly-0524
SCB EIC ปรับลดเป้าเศรษฐกิจไทยปี 2024 เหลือ 2.5% จากข้อจำกัดการฟื้นตัวที่มากขึ...
SCB EIC ปรับลดเป้าเศรษฐกิจไทยปี 2024 เหลือ 2.5% จากข้อจำกัดการฟื้นตัวที่มากขึ...
SCBEICSCB
Recommended
กิจกรรมเศรษฐกิจโลกขยายตัวดีต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ภาคบริการขยายตัวดีขึ้น ภาคการผลิตกลับมาขยายตัวสองเดือนติดต่อกันหลังจากหดตัวมานานกว่าปีครึ่ง ในเดือน มี.ค.กิจกรรมทางเศรษฐกิจขยายตัวทั่วถึงมากขึ้น โดยเฉพาะอินเดียและสหรัฐฯ กิจกรรมทางเศรษฐกิจของยูโรโซนกลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวนานเกือบปี กิจกรรมเศรษฐกิจจีนเร่งตัวสูงเกินคาดในไตรมาส 1 สำหรับนโยบายการเงินโลก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายช้ากว่าที่เคยมองไว้เป็นในไตรมาส 3 ทั้งปี 2-3 ครั้ง รวม 50-75 BPS ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือน มิ.ย. ทั้งปี 4 ครั้ง รวม 100 BPS จากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงเร็วกว่า สำหรับธนาคารกลางจีน (PBOC) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับมาตรการการคลัง SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แม้ยังมีแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนและท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเดือน เม.ย. ที่คาดว่าเทศกาลสงกรานต์จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากอาเซียนมาไทยมากขึ้น แต่ภาคการผลิตยังหดตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะหมวดสำคัญ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเครื่องนุ่งห่ม และมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าตามการส่งออกที่จะขยายตัวต่ำในปีนี้ สำหรับในช่วงที่เหลือของปีเศรษฐกิจไทยมีปัจจัย Upside จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาเพิ่มเติม เช่น • มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ที่จะช่วยดูดซับอุปทานที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลาง 3-7 ล้านบาท จากผู้ซื้อที่มีศักยภาพที่มีแผนจะซื้อบ้านอยู่แล้วให้เร่งซื้อภายในปีนี้ อย่างไรก็ดี SCB EIC ประเมินผลของมาตรการนี้มีแนวโน้มจำกัด เนื่องจากกลุ่มกำลังซื้อของตลาดที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทอาจไม่ได้รับอานิสงส์เท่าที่ควรจากมาตรการนี้ เพราะจะยังเผชิญแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนและดอกเบี้ยสูง รวมถึงข้อจำกัดการเข้าถึงสินเชื่อ • โครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะแหล่งที่มาจากเงินงบประมาณ ซึ่งจะเริ่มมีผลต่อเศรษฐกิจช่วงท้ายปีนี้ SCB EIC มองว่า หลังผลชั่วคราวของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ หมดลง ปัจจัยเชิงโครงสร้างจะยังคงเป็นแรงกดดันสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าอยู่ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนสูงจะฉุดรั้งการบริโภคภาคเอกชน การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับต่ำจะกดดันทิศทางการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สะสมมานานจะทำให้ศักยภาพเศรษฐกิจไทยต่ำต่อเนื่อง เช่น ผลิตภาพลดลง กำลังแรงงานลดลง และการลงทุนต่ำ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญจากราคาพลังงานที่ลดลงตามมาตรการช่วยค่าครองชีพภาครัฐ รวมถึงราคาอาหารสดลดลง อย่างไรก็ดี ความไม่สงบในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้ราคาพลังงานโลกกลับมาอยู่ในระดับสูงอีกครั้ง ประกอบกับมาตรการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่กำลังจะหมดลง SCB EIC จึงประเมินว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะเป็นบวกได้ตั้งแต่เดือน พ.ค. และกลับเข้ากรอบ 1-3% ตั้งแต่ไตรมาส 3 SCB EIC คาดว่าจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปีนี้ เนื่องจาก 1) เป็นการรักษาสถานะความเป็นกลางของนโยบายการเงิน (Neutral stance) จากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ทำให้ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว (Neutral rate) ลดต่ำลงจากเดิม และ 2) มติ กนง. ล่าสุดยังออกมาไม่เป็นเอกฉันท์ต่อเนื่อง read more : https://www.scbeic.com/th/detail/product/eic-monthly-0424
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวตามการท่องเที่ยวและแรงกระตุ้นการคลัง แต...
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวตามการท่องเที่ยวและแรงกระตุ้นการคลัง แต...
SCBEICSCB
Seminar mar 10_ashvin
Seminar mar 10_ashvin
nongalisanaja
เศรษฐกิจไทยปี 2024 จะฟื้นตัวได้ช้าและขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2023 เป็น 2.6% จากข้อมูลไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาดมาก การใช้จ่ายภาครัฐหดตัวแรงขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มลดลงจากประมาณการเดิม ส่วนหนึ่งจากนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้าในปี 2024 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.0% การส่งออกจะกลับมาขยายตัวได้จากแนวโน้มการค้าโลกที่ขยายตัวสูงขึ้น และการลงทุนภาคเอกชนจะฟื้นตัวดีตามการฟื้นตัวของการส่งออก แนวโน้มมูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในปี 2024 จะฟื้นตัวได้ช้าและขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ จากแรงส่งเศรษฐกิจที่ชะลอลงทั้งการบริโภคภาคเอกชนที่เติบโตสูงในปี 2023 และรายได้ครัวเรือนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ และการลงทุนภาครัฐที่ยังขยายตัวต่ำจากความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบประมาณประจำปี 2024 แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2024 SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะคงอยู่ในระดับปัจจุบันที่ 2.5% ไปตลอดปี 2024 เนื่องจากเป็นระดับที่เหมาะสมต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่ระดับศักยภาพในระยะยาว (Neutral rate) และช่วยเอื้อให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายได้ และช่วยสร้างความสมดุลในระบบการเงินจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงกลับเป็นบวกได้ โดยเป็นการลดแรงจูงใจในการก่อหนี้ใหม่ของครัวเรือนและลดการประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป (Underpricing of risks) จากภาวะดอกเบี้ยต่ำนาน ทั้งนี้มองว่าเงินเฟ้อจะเร่งขึ้นบ้างในปี 2024 จากแรงกดดันด้านอุปทาน ทำให้เกิดการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการไปยังราคาสินค้าเพิ่มขึ้นและโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลที่อาจกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าระดับศักยภาพและอาจสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ได้อีกทาง แต่จะเป็นเพียงผลชั่วคราว โดยเศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวในระดับศักยภาพได้ดังเดิม โครงการนี้จึงส่งผลต่อเงินเฟ้อต่ำ ทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ได้ สำหรับเงินบาทจะทรงตัวในกรอบ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่เหลือของปีนี้ และจะแข็งค่าต่อเนื่องอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2024 จากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมของภาครัฐ และแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลกปี 2024 สำหรับเศรษฐกิจโลกในปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเป็น 2.5% จาก 2.7% ในปี 2023 จากผลของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงเงินออมส่วนเกินที่ใกล้หมด โดยเฉพาะสหรัฐฯ นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มชะลอลงทั้งในระยะสั้นและระยะปานกลางจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กดดัน ในระยะปานกลางเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น แต่จะขยายตัวต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดจากปัจจัยกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรปจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วขึ้นเป็นไตรมาส 2 ปี 2024 จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงเร็วกว่าคาด ธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการยกเลิกมาตรการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวในช่วงครึ่งแรกของปี และยกเลิกนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในช่วงครึ่งหลังของปี ในระยะยาว SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยยังน่าห่วง เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำบนศักยภาพการเติบโตที่ลดลง
Outlook-4Q2023-Onscreen-20231214.pdf
Outlook-4Q2023-Onscreen-20231214.pdf
SCBEICSCB
เศรษฐกิจไทยปี 2024 จะฟื้นตัวได้ช้าและขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2023 เป็น 2.6% จากข้อมูลไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาดมาก การใช้จ่ายภาครัฐหดตัวแรงขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มลดลงจากประมาณการเดิม ส่วนหนึ่งจากนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้าในปี 2024 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.0% การส่งออกจะกลับมาขยายตัวได้จากแนวโน้มการค้าโลกที่ขยายตัวสูงขึ้น และการลงทุนภาคเอกชนจะฟื้นตัวดีตามการฟื้นตัวของการส่งออก แนวโน้มมูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในปี 2024 จะฟื้นตัวได้ช้าและขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ จากแรงส่งเศรษฐกิจที่ชะลอลงทั้งการบริโภคภาคเอกชนที่เติบโตสูงในปี 2023 และรายได้ครัวเรือนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ และการลงทุนภาครัฐที่ยังขยายตัวต่ำจากความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบประมาณประจำปี 2024 แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2024 SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะคงอยู่ในระดับปัจจุบันที่ 2.5% ไปตลอดปี 2024 เนื่องจากเป็นระดับที่เหมาะสมต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่ระดับศักยภาพในระยะยาว (Neutral rate) และช่วยเอื้อให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายได้ และช่วยสร้างความสมดุลในระบบการเงินจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงกลับเป็นบวกได้ โดยเป็นการลดแรงจูงใจในการก่อหนี้ใหม่ของครัวเรือนและลดการประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป (Underpricing of risks) จากภาวะดอกเบี้ยต่ำนาน ทั้งนี้มองว่าเงินเฟ้อจะเร่งขึ้นบ้างในปี 2024 จากแรงกดดันด้านอุปทาน ทำให้เกิดการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการไปยังราคาสินค้าเพิ่มขึ้นและโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลที่อาจกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าระดับศักยภาพและอาจสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ได้อีกทาง แต่จะเป็นเพียงผลชั่วคราว โดยเศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวในระดับศักยภาพได้ดังเดิม โครงการนี้จึงส่งผลต่อเงินเฟ้อต่ำ ทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ได้ สำหรับเงินบาทจะทรงตัวในกรอบ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่เหลือของปีนี้ และจะแข็งค่าต่อเนื่องอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2024 จากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมของภาครัฐ และแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลกปี 2024 สำหรับเศรษฐกิจโลกในปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเป็น 2.5% จาก 2.7% ในปี 2023 จากผลของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงเงินออมส่วนเกินที่ใกล้หมด โดยเฉพาะสหรัฐฯ นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มชะลอลงทั้งในระยะสั้นและระยะปานกลางจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กดดัน ในระยะปานกลางเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น แต่จะขยายตัวต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดจากปัจจัยกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรปจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วขึ้นเป็นไตรมาส 2 ปี 2024 จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงเร็วกว่าคาด ธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการยกเลิกมาตรการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวในช่วงครึ่งแรกของปี และยกเลิกนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในช่วงครึ่งหลังของปี ในระยะยาว SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยยังน่าห่วง เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำบนศักยภาพการเติบโตที่ลดลง
Outlook-4Q2023-Onscreen-20231214.pdf
Outlook-4Q2023-Onscreen-20231214.pdf
SCBEICSCB
EIC คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 75 bps ในเดือน ก.ค. เพื่อชะลอความร้อนแรงของการฟื้นตัวของอุปสงค์ และทำให้อัตราเงินเฟ้อและเงินเฟ้อคาดการณ์ปรับลดลงมาใกล้เคียงเป้าหมายเงินเฟ้อมากขึ้น โดยปัจจัยที่จะทำให้ Fed ยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่สูง
EIC-Note_Fed-Hike-(Jun22)_20220621.pdf
EIC-Note_Fed-Hike-(Jun22)_20220621.pdf
SCBEICSCB
EIC คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 75 bps ในเดือน ก.ค. เพื่อชะลอความร้อนแรงของการฟื้นตัวของอุปสงค์ และทำให้อัตราเงินเฟ้อและเงินเฟ้อคาดการณ์ปรับลดลงมาใกล้เคียงเป้าหมายเงินเฟ้อมากขึ้น โดยปัจจัยที่จะทำให้ Fed ยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่สูง
EIC Note_Fed Hike (Jun22)_20220621
EIC Note_Fed Hike (Jun22)_20220621
SCBEICSCB
presentation
SETSOURCE_Press_Release_50_presentation.pdf
SETSOURCE_Press_Release_50_presentation.pdf
anyarat3
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวดีขึ้นในปี 2024 ใกล้เคียงปีก่อน จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นเป็นหลัก โดยอุปสงค์ในประเทศของสหรัฐฯ ยังขยายตัวดี ขณะที่เศรษฐกิจจีนกลับมาขยายตัวดีขึ้นในระยะสั้นตามวัฏจักรภาคการผลิตและการส่งออกที่ฟื้นตัว รวมถึงได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อย่างไรก็ดี ปริมาณการค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงจากปัญหาการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น สำหรับนโยบายการเงินโลก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 3 รวมทั้งปี 2 ครั้ง 50 BPS ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือน มิ.ย. รวมทั้งปี 4 ครั้ง 100 BPS จากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงเร็วกว่าคาด สำหรับธนาคารกลางจีน (PBOC) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับมาตรการการคลัง ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในช่วงท้ายปีตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในระยะกลางที่สูงขึ้นจากประมาณการเดิมของ BOJ SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2024 (ไม่รวม Digital wallet) เหลือ 2.5% (เดิม 2.7%) แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกออกมาขยายตัวดีกว่าคาด โดยมีแรงส่งหลักมาจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของภาคบริการและการท่องเที่ยวจากการทยอยกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงการขยายมาตรการฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวอินเดียและไต้หวัน อย่างไรก็ดี มองไปข้างหน้าภาพรวมองค์ประกอบเศรษฐกิจส่วนใหญ่แผ่วลง โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำลง และการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งแม้ว่าจะกลับมาเร่งตัวจากการเร่งรัดเบิกจ่ายหลัง พ.ร.บ. งบประมาณ 2024 ประกาศใช้ล่าช้ากว่าครึ่งปี แต่จะไม่สามารถชดเชยการหดตัวรุนแรงในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ได้ สำหรับในช่วงที่เหลือของปี 2024 เศรษฐกิจไทยจะมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นหลายด้าน ได้แก่ (1) การส่งออกขยายตัวจำกัด ส่วนหนึ่งเพราะการส่งออกไทยเริ่มฟื้นตัวไม่สอดคล้องกับปริมาณการค้าโลกมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกสินค้ากลุ่มแผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกล รถยนต์และส่วนประกอบ (2) ภาคการผลิตที่ฟื้นตัวช้ายังเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจ โดยยังคงมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องจากสินค้าคงคลังที่ยังอยู่ในระดับสูง และส่วนหนึ่งจะถูกสินค้าจีนตีตลาดจากปัญหา Overcapacity ของภาคอุตสาหกรรมจีน (3) การบริโภคภาคเอกชนแผ่วลงจากที่เคยขยายตัวได้ดีใน 2 ปีที่ผ่านมา ผลจากรายได้ฟื้นช้าทำให้ครัวเรือนเปราะบางสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 60,000 บาทต่อเดือนซึ่งเป็นกลุ่มใหม่ที่เริ่มมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย SCB EIC ประเมินว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งปลายปีนี้เหลือ 2.25% และปรับลดอีกครั้งเหลือ 2% ในช่วงต้นปีหน้า จากแรงส่งอุปสงค์ในประเทศในระยะข้างหน้าที่อาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากฐานะครัวเรือนที่ยังเปราะบางและปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังมีอยู่ รวมถึงภาวะการเงินตึงตัวที่จะส่งผลกระทบชัดเจนขึ้น และความเสี่ยงเศรษฐกิจในปีหน้าที่จะปรับเพิ่มขึ้น สำหรับค่าเงินบาทผันผวนสูงและอ่อนค่าเร็วช่วงต้นเดือน เม.ย. จากภาวะ Risk-off ของสงครามอิสราเอล-อิหร่าน และตลาด Price-in การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายช้าลงของ Fed ต่อมาเงินบาทกลับแข็งค่าเร็วหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด สำหรับในระยะสั้นเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น read more : https://www.scbeic.com/th/detail/product/eic-monthly-0524
SCB EIC ปรับลดเป้าเศรษฐกิจไทยปี 2024 เหลือ 2.5% จากข้อจำกัดการฟื้นตัวที่มากขึ...
SCB EIC ปรับลดเป้าเศรษฐกิจไทยปี 2024 เหลือ 2.5% จากข้อจำกัดการฟื้นตัวที่มากขึ...
SCBEICSCB
EIC ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2022 EIC ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2022 เป็น 3.0% (เดิม 2.9%) และ 3.7% ในปี 2023 ตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและภาคบริการ จากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและการผ่อนคลายมาตรการเดินทางข้ามพรมแดนทั่วโลก โดย EIC ประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยจะเพิ่มเป็น 10.3 ล้านคนในปีนี้และ 28.3 ล้านคนในปี 2023 หลังจีนมีแนวโน้มเริ่มเปิดประเทศผ่อนคลายการท่องเที่ยวตั้งแต่ปลายปีนี้ ประกอบกับแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีกลับไปใกล้ระดับก่อนเกิด COVID-19 ในปี 2023 ส่งผลให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง และการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยังมีแรงกดดันจากค่าครองชีพที่ยังสูงอยู่ EIC ปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อไทยในปี 2022 เป็น 6.1% (เดิม 5.9%) และคาดว่าเงินเฟ้อจะทยอยปรับลดลงอย่างช้า ๆ อยู่ที่ 3.2 % ในปี 2023 สูงกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ จากราคาพลังงานและอาหารที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนของผู้ผลิตไปยังราคาสินค้าในกลุ่มอื่นที่มีมากขึ้น ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
Presentation_Outlook Q3 2022_20220913.pdf
Presentation_Outlook Q3 2022_20220913.pdf
SCBEICSCB
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกในปี 2024 มีแนวโน้มเติบโต 2.6% ใกล้เคียงปีก่อน มุมมองปรับดีขึ้นจากแรงส่งที่ดีในไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ดีในช่วงต้นปีนี้ โดยกิจกรรมในภาคบริการขยายตัวเร่งขึ้น ขณะที่กิจกรรมในภาคการผลิตเริ่มกลับมาขยายตัวจากที่หดตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกจะได้รับแรงสนับสนุนจากการค้าโลกที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้นและอัตราเงินเฟ้อโลกที่ชะลอตัวลง แต่ยังมีแรงกดดันจากผลกระทบของภาวะดอกเบี้ยสูง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยืดเยื้อ และปัญหาห่วงโซ่อุปทานโลกจากปัญหาการขนส่งบริเวณทะเลแดงและคลองปานามาที่แห้งแล้ง ธนาคารกลางกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักจะเริ่มปรับทิศการใช้นโยบายการเงินไตรมาส 2 ปีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง รวม 75 BPS ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้ง รวม 100 BPS ตามทิศทางเงินเฟ้อที่ปรับชะลอลง ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง รวม 20 BPS ซึ่งเป็นการยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ ขณะที่ธนาคารกลางจีนจะยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพยุงเศรษฐกิจต่อเนื่อง แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2024 สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย SCB EIC ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2024 เหลือ 2.7% (เดิม 3%) แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2024 จะยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องได้ จากแรงขับเคลื่อนของการท่องเที่ยวและภาคบริการรวมถึงเศรษฐกิจด้านอุปสงค์อื่นที่กลับมาขยายตัวเร่งขึ้นในหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มดีขึ้น แต่แรงส่งภาครัฐจะยังหดตัวต่อเนื่องในไตรมาสแรกจากความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2024 กอปรกับปัญหาสินค้าคงคลังสะสมสูงจากปีก่อนจะยังไม่สามารถคลี่คลายได้เร็ว ส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกไทยที่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยจะยังฟื้นช้าต่อเนื่องมาในปีนี้ ภาวะเงินเฟ้อไทย ในส่วนของเงินเฟ้อไทยที่ติดลบต่อเนื่องหลายเดือน SCB EIC ประเมินว่า ไทยยังไม่เผชิญภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นบวกตั้งแต่เดือน พ.ค. เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือด้านราคาพลังงานจะสิ้นสุดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันในประเทศที่จะเริ่มปรับสูงขึ้น นอกจากนี้ เงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงด้านสูงท่ามกลางความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทานโลกชะงักจากสถานการณ์ทะเลแดง สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง รวมถึงนโยบายควบคุมการส่งออกของบางประเทศที่อาจทำให้ราคาสินค้าเกษตรบางชนิดเพิ่มขึ้น เช่น ข้าวและน้ำตาล เงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งหลังของปีจึงจะเร่งกลับไปแตะกรอบเงินเฟ้อได้ โดย SCB EIC ประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2024 อยู่ที่ 0.8% และ 0.6% ตามลำดับ อ่านเพิ่มเติม : https://www.scbeic.com/th/detail/product/outlook-q12024
Outlook ไตรมาส 1/2024 ภาคการผลิตไทยปรับตัวช้าฉุดเศรษฐกิจระยะยาว SCB EIC มองดอ...
Outlook ไตรมาส 1/2024 ภาคการผลิตไทยปรับตัวช้าฉุดเศรษฐกิจระยะยาว SCB EIC มองดอ...
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลกปี 2024 เศรษฐกิจโลกในปี 2024 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้จะได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินที่ตึงตัว เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกช่วงต้นปีขยายตัวได้ดี โดยภาคบริการขยายตัวดีขึ้น ขณะที่ภาคการผลิตเริ่มทรงตัวหลังจากหดตัวนานปีกว่า อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนรอบด้าน โดยในปีนี้จะมีการเลือกตั้งใหญ่ในกว่า 60 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจรวมสูงกว่า 60% ของโลก ซึ่งอาจมีนัยต่อความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลก นอกจากนี้ การค้าและห่วงโซ่อุปทานโลกเผชิญความเสี่ยงจากการโจมตีเรือขนส่งสินค้าในบริเวณทะเลแดงและปัญหาน้ำแล้งในคลองปานามา ส่งผลให้เกิดความแออัดในการขนส่งทางเรือหรือต้องปรับเส้นทางเดินเรือ ทำให้ระยะเวลาการเดินทางและต้นทุนขนส่งสูงขึ้น ธนาคารกลางกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักจะเริ่มปรับทิศการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาส 2 โดยประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอังกฤษจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 2 ตามทิศทางเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอลง ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ (Negative interest rate) ในไตรมาส 3 (หรืออย่างเร็วไตรมาส 2) ขณะที่จีนยังมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราส่วนการสำรองของธนาคารพาณิชย์ขั้นต่ำ (RRR) เศรษฐกิจไทยปี 2024 เศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปียังมีแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวดี ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่เร่งตัวจากนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก โดยเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ที่ได้อานิสงส์จากเทศกาลตรุษจีนรวมถึงนักท่องเที่ยวหลายประเทศกลับมาใกล้เคียงระดับปกติ สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศ ผู้เยี่ยมเยือนไทยยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องตามฤดูกาลท่องเที่ยว ขณะที่การส่งออกไตรมาส 4 ปี 2023 พลิกกลับมาขยายตัว และมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามทิศทางการค้าโลกที่ฟื้นตัวท่ามกลางความเสี่ยงใหม่จากการชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานยังอ่อนแอ โดยเฉพาะภาคการผลิตที่หดตัวต่อเนื่องในหลายอุตสาหกรรมและยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ข้อมูลจริงของเศรษฐกิจไทยปี 2023 จะออกมาขยายตัวต่ำกว่าที่ SCB EIC เคยคาดการณ์ไว้ และมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าในระยะต่อไป อัตราเงินเฟ้อของไทย อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2023 ถึงต้นปี 2024 ส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาพลังงานที่ลดลงตามมาตรการช่วยค่าพลังงานของภาครัฐ ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินไทยยังไม่เผชิญภาวะเงินฝืด เนื่องจากเงินเฟ้อติดลบไม่ได้กระจายไปในรายสินค้าเป็นวงกว้าง และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวก มองไปข้างหน้าเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและจะกลับมาขยายตัวในช่วงไตรมาส 2 ได้จากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานเป็นหลักประกอบกับภาครัฐอาจทยอยปรับลดความช่วยเหลือด้านพลังงานในไตรมาส 2 หลังราคาพลังงานโลกปรับลดลงและกองทุนน้ำมันเริ่มมีภาระหนี้สูงขึ้นมาก อัตราดอกเบี้ยนโยบาย SCB EIC คาดว่าจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ สาเหตุจาก 1) เศรษฐกิจและเงินเฟ้อแผ่วลงมากในปีนี้ เช่น หากเศรษฐกิจไทยเติบโตเหลือ 2.5% และแนวโน้มเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบ 1-3% มาก และ 2) กนง. มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (Neutral rate) ที่ต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ควรมีระดับต่ำลงกว่าที่เคยประเมินเอาไว้ สะท้อนจากมติ กนง. ไม่เป็นเอกฉันท์ในผลการประชุมวันที่ 7 ก.พ. 2024 Read More : https://www.scbeic.com/th/detail/product/eic-monthly-0224
SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงในปีนี้ ตาม Momentum เศรษฐกิจไทยและเงิน...
SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงในปีนี้ ตาม Momentum เศรษฐกิจไทยและเงิน...
SCBEICSCB
EIC ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทย ปี 2022 เป็น 3.2% และปรับลดปี 2023 เป็น 3.4% EIC ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2022 เป็น 3.2% (เดิม 3.0%) จากแรงส่งการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมถึงการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรายได้แรงงานที่ปรับดีขึ้น สำหรับปี 2023 EIC ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยเป็น 3.4% (เดิม 3.7%) ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงมากภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น บางประเทศหลักจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้การส่งออกและการลงทุนของไทยชะลอลงตาม อย่างไรดี เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะยังมีแรงส่งจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ดีจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เร่งขึ้น โดย EIC ประเมินว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 28.3 ล้านคนในปี 2023 จากความต้องการท่องเที่ยวที่ยังอยู่ในระดับสูงและจีนมีแนวโน้มทยอยผ่อนคลายนโยบาย Zero-Covid อีกทั้ง การท่องเที่ยวในประเทศเติบโตดีกลับไปใกล้ระดับก่อน COVID-19 ส่งผลให้รายได้ภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการบริโภคขยายตัวดีต่อเนื่อง ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึงในกลุ่มครัวเรือนและธุรกิจที่ยังเปราะบาง สำหรับเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าจะทยอยลดลงได้ช้าและยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายอยู่ที่ 6.1% และ 3.2% ในปี 2022 และ 2023 ตามลำดับ เนื่องจากราคาพลังงานและอาหารที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง และส่งผลต่อเนื่องไปเงินเฟ้อพื้นฐาน เศรษฐกิจโลกชะลอตัวชัดเจนในปี 2022 และจะชะลอลงมากในปี 2023 ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “เศรษฐกิจโลกชะลอตัวชัดเจนในปีนี้ และจะชะลอลงมากในปีหน้าภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น ทั้งจากเงินเฟ้อที่ลดลงช้า วิกฤตพลังงานยืดเยื้อและนโยบายการเงินเข้มงวดทั่วโลก บางประเทศหลักเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยตั้งแต่ปลายปีนี้ เช่น สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป ขณะที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า EIC จึงปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2022 ลงจาก 3.0% มาอยู่ที่ 2.9% และปีหน้าลดจาก 2.7% มาอยู่ที่ 1.8% โดยในกรณีฐาน EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกจะยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย หลายประเทศยังเติบโตได้ เช่น เศรษฐกิจจีนจะฟื้นดีขึ้นตามการผ่อนคลายนโยบาย Zero-Covid อย่างไรก็ดี หากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดอาจทำให้เกิดกรณีเศรษฐกิจโลกถดถอย เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศรุนแรง หรือเงินเฟ้อกลับมาเร่งสูงจนทำให้นโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น” อัตราเงินเฟ้อโลกยังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า “อัตราเงินเฟ้อโลกจะยังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง แม้เงินเฟ้อบางประเทศผ่านจุดสูงสุดไปแล้วโดย EIC คาดว่า อัตราเงินเฟ้อของประเทศหลักจะยังสูงกว่าเป้าหมายธนาคารกลางอีก 1-2 ปี เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อเริ่มฝังลึก รวมถึงอุปสงค์บริการที่จะเพิ่มขึ้น หลังอุปสงค์สินค้าคงทนทยอยปรับลดลงกลับสู่ภาวะปกติ ธนาคารกลางจึงจะยังคงทิศทางนโยบายการเงินตึงตัวในปีหน้า โดยปรับขึ้นดอกเบี้ยช้าลง แต่จะยังคงดอกเบี้ยสูงอีกระยะ จนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้อจะกลับมาอยู่ในเป้า สำหรับนโยบายการคลังทั่วโลกจะมีบทบาทกระตุ้นเศรษฐกิจลดลง และเน้นความยั่งยืนการคลังมากขึ้นหลังจากหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมากในช่วงวิกฤต COVID-19 นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและนโยบายการเงินทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดการเงินโลกผันผวนสูงขึ้น สภาพคล่องในตลาดการเงินและภาวะการเงินโลกตึงตัวขึ้น
Presentation_Outlook-Q4-2022_20221028.pdf
Presentation_Outlook-Q4-2022_20221028.pdf
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลกปี 2023 เศรษฐกิจโลกในปี 2023 จะหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ แต่มีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้น แม้เศรษฐกิจโลกจะทยอยปรับดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 2 แต่ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ การฟื้นตัวของภาคการผลิตและภาคบริการยังมีความแตกต่างกันมาก นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำและความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ทั้งจากปัญหาเสถียรภาพระบบการเงินและความไม่แน่นอนในการขยายเพดานหนี้ของรัฐบาลในสหรัฐฯ กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนที่ขยายตัวชะลอลงในเดือน เม.ย. เศรษฐกิจยุโรปที่ยังอ่อนแอแม้จะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในครึ่งหลังของปีนี้จากปัจจัยกดดันที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของโลก อัตราเงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มปรับลดลงเข้าใกล้กรอบเป้าหมายของธนาคารกลางมากขึ้นตามราคาพลังงานโลกที่ลดลงและอุปทานคอขวดที่ปรับดีขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานยังมีแนวโน้มปรับลดลงได้ช้ากว่า ทั้งนี้ SCB EIC คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้มจะยุติการขึ้นดอกเบี้ยและคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตลอดปี ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งสู่ระดับ 3.75% และ 5% ตามลำดับ เนื่องจากภูมิภาคยุโรปเผชิญแรงกดดันเงินเฟ้อรุนแรงกว่า สำหรับธนาคารกลางญี่ปุน (BOJ) มีแนวโน้มปรับนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายน้อยลงจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการเติบโตของเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด โดยมองว่า BOJ จะปรับเงื่อนไขนโยบายควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve Control) เพิ่มเติมในเดือน ก.ค. นี้ เศรษฐกิจไทยปี 2023 เศรษฐกิจไทยจะยังได้รับแรงสนับสนุนสำคัญจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดีในช่วงที่เหลือของปี สอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกที่ขยายตัว 2.7% เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อน ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะกลับสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤติโควิดได้ในช่วงกลางปีนี้ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเร่งตัวตามการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเล็กน้อยเนื่องจากเข้าสู่ช่วง Low season นอกจากนี้ การลงทุนและภาคการผลิตมีแนวโน้มปรับดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 อย่างไรก็ดี SCB EIC ยังคงมุมมองมูลค่าการส่งออกสินค้าปีนี้เติบโตที่ 1.2% ท่ามกลางความเสี่ยงด้านต่ำจากเศรษฐกิจโลกที่สูงขึ้น โดยคาดว่าการส่งออกในไตรมาสที่ 2 จะยังหดตัวจากปัจจัยฐาน แต่จะเริ่มขยายตัวตามอุปสงค์จีนที่ปรับดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลในปีนี้จากทั้งดุลการค้าและดุลบริการ เงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะขยายตัวลดลงอย่างชัดเจนในเดือน พ.ค. จากราคาพลังงานที่มีแนวโน้มชะลอตัวและผลจากปัจจัยฐาน แต่ยังมีความเสี่ยงด้านสูงในระยะต่อไปจากการทยอยส่งผ่านต้นทุนมายังราคาผู้บริโภคและผลจากปัจจัยฐานที่ลดลง สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มขยายตัวลดลงเช่นกัน อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อไทยยังมีความเสี่ยงด้านสูงจากการส่งผ่านต้นทุนและแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นความเสี่ยงในประเทศที่ต้องติดตาม แม้ความน่าจะเป็นที่ฝ่ายเสรีนิยมจะได้จัดตั้งรัฐบาลเพิ่มขึ้นมากหลังทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ในกรณีฐาน SCB EIC มองการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจะไม่กระทบทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่า จะเห็นผลกระทบด้านลบในไตรมาสที่ 4 จากความล่าช้าในการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 อยู่บ้าง แต่คาดว่าจะกลับมาเร่งเบิกจ่ายได้ตั้งแต่ต้นปี 2024 พร้อมการผลักดัน
เศรษฐกิจไทยยังไปต่อ SCB EIC มองความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นความเสี่ยงที่ต้องจ...
เศรษฐกิจไทยยังไปต่อ SCB EIC มองความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นความเสี่ยงที่ต้องจ...
SCBEICSCB
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในปี 2023 สวนกระแสเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่การเติบโตจะยังต่ำกว่าศักยภาพเมื่อเทียบกับช่วงก่อน COVID-19
CLMV-Outlook-2023_TH_20230131.pdf
CLMV-Outlook-2023_TH_20230131.pdf
SCBEICSCB
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในปี 2023 สวนกระแสเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่การเติบโตจะยังต่ำกว่าศักยภาพเมื่อเทียบกับช่วงก่อน COVID-19 SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ในปี 2023 ขยายตัวแข็งแกร่งขึ้น แต่ยังต่ำกว่าศักยภาพการเติบโตในช่วงก่อนการระบาด COVID-19 โดยมีอัตราการเติบโตที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงรายประเทศ โดยประเมินว่าในปีนี้กัมพูชาจะขยายตัวได้ 5.5%, สปป.ลาวและเมียนมา 3.0% และเวียดนาม 6.2% CLMV มีแนวโน้มฟื้นตัวจากอุปสงค์ภายในประเทศและการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ CLMV ในปี 2023 มีแนวโน้มฟื้นตัวจากอุปสงค์ภายในประเทศและการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศมีปัจจัยบวกจากตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง เห็นได้จากการจ้างงานในเวียดนามในไตรมาส 4 ปี 2022 ที่เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดตั้งแต่เกิดการระบาด COVID-19 ขณะเดียวกัน ภาคบริการจะได้อานิสงส์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนซึ่งมีความสำคัญต่อ CLMV คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30-35% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปี 2019 โดยจีนอนุมัติให้กรุ๊ปทัวร์สามารถเดินทางมากัมพูชา และสปป.ลาวได้ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ และคาดว่าจะเพิ่มรายชื่อประเทศที่สามารถเดินทางมาได้เร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้กัมพูชาและเวียดนามจะได้รับผลประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวมากที่สุด เนื่องจากพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวสูงอยู่ที่ 18.2% และ 9.8% ต่อ GDP ตามลำดับ ในทางกลับกัน อุปสงค์จากต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวต่ำ ซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจ CLMV ผ่านช่องทางการส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเวียดนามจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับห่วงโซ่อุปทานโลกสูงมาก และเป็นปัจจัยที่ทำให้ SCB EIC ประเมินว่า เวียดนามเป็นประเทศในเดียวใน CLMV ที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวในปีนี้หลังขยายตัวสูงถึง 8% ในปีก่อน อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศของจีนอาจช่วยพยุงให้การส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศไม่ชะลอตัวมากนัก แต่ต้องจับตาความเสี่ยงหากอุปสงค์จากต่างประเทศซบเซาอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องถึง อุปสงค์ภายในประเทศ ภาคการผลิต และการจ้างงาน แนวโน้มนโยบายการเงินของ CLMV นโยบายการเงินใน CLMV มีแนวโน้มตึงตัวขึ้นเล็กน้อยในปี 2023 แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัว SCB EIC ประเมินอัตราเงินเฟ้อในเศรษฐกิจ CLMV มีแนวโน้มชะลอตัวในปีนี้ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ลดลง แต่จะไม่ลดลงเร็วมากเนื่องจากราคาจะยังคงอยู่ในระดับสูง กอปรค่าเงินที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าในบางประเทศ เช่น สปป.ลาวและเมียนมา จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาสินค้านำเข้าอยู่ในระดับสูงต่อไป ธนาคารกลางกลุ่มประเทศ CLMV มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเล็กน้อยในปีนี้ เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ แต่จะสามารถชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจาก 1) ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะลดแรงกดดันค่าเงิน CLMV อ่อนค่า 2) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความเปราะบาง และ 3) ธุรกิจในบางประเทศ เช่น เวียดนาม เริ่มเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องหลังไม่สามารถกู้ยืมเพื่อชำระหนี้เก่าได้ (Rollover) ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ หากภาวะการเงินยังคงตึงตัว สปป.ลาวและเมียนมามีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่น ๆ จากปัจจัยความเสี่ยงเฉพาะประเทศ สปป.ลาวมีเสถียรภาพค่อนข้างเปราะบางในด้านราคา ด้านการคลัง และด้านต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันให้เศรษ
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในปี 2023 สวนกระแสเศรษฐกิจโลกชะล...
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในปี 2023 สวนกระแสเศรษฐกิจโลกชะล...
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอลงชัดเจนขึ้น จากเงินเฟ้อโลกที่ชะลอลงช้า และคาดว่าจะอยู่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางนาน 1-2 ปี เศรษฐกิจโลกชะลอตัวเร็วขึ้น เป็นผลจากธนาคารกลางทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้ภาวะการเงินตึงตัวทั่วโลก เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มแผ่วลงมากขึ้นและคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 จากนโยบายการเงินตึงตัวที่เข้าสู่ระดับ Restrictive นานขึ้น เศรษฐกิจยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงปลายปี 2022 จากวิกฤตพลังงานและนโยบายการเงินตึงตัวเร็ว เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงมากจากมาตรการ Zero COVID ที่ยังคงดำเนินอยู่ประกอบกับความอ่อนแอในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ EIC มองว่าหากนโยบายการเงินโลกตึงตัวมากขึ้นอีก 100-200 BPSจากกรณีฐาน เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวรุนแรงหรือเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในปีหน้า สำหรับเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ที่มีหนี้สูง ภาครัฐจะเผชิญต้นทุนกู้ยืมแพงขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการเงิน (Financial distress) และมีข้อจำกัดทางการคลังในการสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4 ช่วงฤดูท่องเที่ยวไทย การบริโภคภาคเอกชนที่ปรับดีขึ้นเกือบทุกหมวด ในระยะต่อไปยังมีปัจจัยหนุนจากการจ้างงานโดยเฉพาะในภาคบริการและรายได้ภาคท่องเที่ยวและภาคบริการที่ปรับดีขึ้น แต่ยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อสูงและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น การส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากฐานต่ำ แต่เริ่มเห็นการหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนในเกือบทุกกลุ่มสินค้าหลักและในตลาดสำคัญ ในระยะต่อไปการส่งออกจะชะลอลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เช่นเดียวกับทิศทางการลงทุนและการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีนี้ EIC ประเมินว่า ในกรณีฐานผลกระทบจะไม่รุนแรงเท่าในปี 2011 โดยเบื้องต้นคาดว่าพื้นที่เกษตรจะได้รับผลกระทบ 1.9 ล้านไร่ หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 12,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น จะต้องติดตามประเมินผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ด้านเงินเฟ้อทั่วไปผ่านจุดสูงสุดแล้ว จากราคาหมวดพลังงานที่ปรับชะลอลง แต่เงินเฟ้อขยายวงกว้างไปสินค้าหลายประเภทมากขึ้นทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวสูงกว่ากรอบเป้าหมาย ในระยะต่อไปคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับลดลงอย่างช้า ๆ โดยจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตสู่ราคาผู้บริโภคมากขึ้น EIC คาดดอกเบี้ยนโยบายแตะ 2% ณ สิ้นปี EIC คาดว่า กนง. จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับ 2% ณ สิ้นปี 2023 โดย กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีก 25 BPS ในเดือน พ.ย. สู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดแล้ว แม้จะไม่ปรับลดลงเร็วนัก ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ในปี 2023 กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง เพื่อให้นโยบายการเงินทยอยกลับสู่ระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว โดย EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไประดับ Pre-COVID ได้ในช่วงกลางปี 2023 แต่จะอยู่ต่ำกว่าระดับศักยภาพไปอีก 1-2 ปี จากแผลเป็นเศรษฐกิจที่ลึกและมีหนี้สูงขึ้น
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอลงชัดเจนขึ้น จากเงินเฟ้อโลกที่ชะลอลงช้า และคาดว่าจะอยู่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางนาน 1-2 ปี เศรษฐกิจโลกชะลอตัวเร็วขึ้น เป็นผลจากธนาคารกลางทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้ภาวะการเงินตึงตัวทั่วโลก เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มแผ่วลงมากขึ้นและคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 จากนโยบายการเงินตึงตัวที่เข้าสู่ระดับ Restrictive นานขึ้น เศรษฐกิจยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงปลายปี 2022 จากวิกฤตพลังงานและนโยบายการเงินตึงตัวเร็ว เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงมากจากมาตรการ Zero COVID ที่ยังคงดำเนินอยู่ประกอบกับความอ่อนแอในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ EIC มองว่าหากนโยบายการเงินโลกตึงตัวมากขึ้นอีก 100-200 BPSจากกรณีฐาน เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวรุนแรงหรือเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในปีหน้า สำหรับเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ที่มีหนี้สูง ภาครัฐจะเผชิญต้นทุนกู้ยืมแพงขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการเงิน (Financial distress) และมีข้อจำกัดทางการคลังในการสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4 ช่วงฤดูท่องเที่ยวไทย การบริโภคภาคเอกชนที่ปรับดีขึ้นเกือบทุกหมวด ในระยะต่อไปยังมีปัจจัยหนุนจากการจ้างงานโดยเฉพาะในภาคบริการและรายได้ภาคท่องเที่ยวและภาคบริการที่ปรับดีขึ้น แต่ยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อสูงและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น การส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากฐานต่ำ แต่เริ่มเห็นการหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนในเกือบทุกกลุ่มสินค้าหลักและในตลาดสำคัญ ในระยะต่อไปการส่งออกจะชะลอลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เช่นเดียวกับทิศทางการลงทุนและการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีนี้ EIC ประเมินว่า ในกรณีฐานผลกระทบจะไม่รุนแรงเท่าในปี 2011 โดยเบื้องต้นคาดว่าพื้นที่เกษตรจะได้รับผลกระทบ 1.9 ล้านไร่ หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 12,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น จะต้องติดตามประเมินผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ด้านเงินเฟ้อทั่วไปผ่านจุดสูงสุดแล้ว จากราคาหมวดพลังงานที่ปรับชะลอลง แต่เงินเฟ้อขยายวงกว้างไปสินค้าหลายประเภทมากขึ้นทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวสูงกว่ากรอบเป้าหมาย ในระยะต่อไปคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับลดลงอย่างช้า ๆ โดยจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตสู่ราคาผู้บริโภคมากขึ้น EIC คาดดอกเบี้ยนโยบายแตะ 2% ณ สิ้นปี EIC คาดว่า กนง. จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับ 2% ณ สิ้นปี 2023 โดย กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีก 25 BPS ในเดือน พ.ย. สู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดแล้ว แม้จะไม่ปรับลดลงเร็วนัก ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ในปี 2023 กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง เพื่อให้นโยบายการเงินทยอยกลับสู่ระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว โดย EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไประดับ Pre-COVID ได้ในช่วงกลางปี 2023 แต่จะอยู่ต่ำกว่าระดับศักยภาพไปอีก 1-2 ปี จากแผลเป็นเศรษฐกิจที่ลึกและมีหนี้สูงขึ้น
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอลงชัดเจนขึ้น จากเงินเฟ้อโลกที่ชะลอลงช้า และคาดว่าจะอยู่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางนาน 1-2 ปี เศรษฐกิจโลกชะลอตัวเร็วขึ้น เป็นผลจากธนาคารกลางทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้ภาวะการเงินตึงตัวทั่วโลก เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มแผ่วลงมากขึ้นและคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 จากนโยบายการเงินตึงตัวที่เข้าสู่ระดับ Restrictive นานขึ้น เศรษฐกิจยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงปลายปี 2022 จากวิกฤตพลังงานและนโยบายการเงินตึงตัวเร็ว เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงมากจากมาตรการ Zero COVID ที่ยังคงดำเนินอยู่ประกอบกับความอ่อนแอในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ EIC มองว่าหากนโยบายการเงินโลกตึงตัวมากขึ้นอีก 100-200 BPSจากกรณีฐาน เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวรุนแรงหรือเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในปีหน้า สำหรับเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ที่มีหนี้สูง ภาครัฐจะเผชิญต้นทุนกู้ยืมแพงขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการเงิน (Financial distress) และมีข้อจำกัดทางการคลังในการสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4 ช่วงฤดูท่องเที่ยวไทย การบริโภคภาคเอกชนที่ปรับดีขึ้นเกือบทุกหมวด ในระยะต่อไปยังมีปัจจัยหนุนจากการจ้างงานโดยเฉพาะในภาคบริการและรายได้ภาคท่องเที่ยวและภาคบริการที่ปรับดีขึ้น แต่ยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อสูงและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น การส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากฐานต่ำ แต่เริ่มเห็นการหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนในเกือบทุกกลุ่มสินค้าหลักและในตลาดสำคัญ ในระยะต่อไปการส่งออกจะชะลอลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เช่นเดียวกับทิศทางการลงทุนและการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีนี้ EIC ประเมินว่า ในกรณีฐานผลกระทบจะไม่รุนแรงเท่าในปี 2011 โดยเบื้องต้นคาดว่าพื้นที่เกษตรจะได้รับผลกระทบ 1.9 ล้านไร่ หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 12,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น จะต้องติดตามประเมินผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ด้านเงินเฟ้อทั่วไปผ่านจุดสูงสุดแล้ว จากราคาหมวดพลังงานที่ปรับชะลอลง แต่เงินเฟ้อขยายวงกว้างไปสินค้าหลายประเภทมากขึ้นทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวสูงกว่ากรอบเป้าหมาย ในระยะต่อไปคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับลดลงอย่างช้า ๆ โดยจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตสู่ราคาผู้บริโภคมากขึ้น EIC คาดดอกเบี้ยนโยบายแตะ 2% ณ สิ้นปี EIC คาดว่า กนง. จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับ 2% ณ สิ้นปี 2023 โดย กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีก 25 BPS ในเดือน พ.ย. สู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดแล้ว แม้จะไม่ปรับลดลงเร็วนัก ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ในปี 2023 กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง เพื่อให้นโยบายการเงินทยอยกลับสู่ระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว โดย EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไประดับ Pre-COVID ได้ในช่วงกลางปี 2023 แต่จะอยู่ต่ำกว่าระดับศักยภาพไปอีก 1-2 ปี จากแผลเป็นเศรษฐกิจที่ลึกและมีหนี้สูงขึ้น
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอลงชัดเจนขึ้น จากเงินเฟ้อโลกที่ชะลอลงช้า และคาดว่าจะอยู่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางนาน 1-2 ปี เศรษฐกิจโลกชะลอตัวเร็วขึ้น เป็นผลจากธนาคารกลางทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้ภาวะการเงินตึงตัวทั่วโลก เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มแผ่วลงมากขึ้นและคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 จากนโยบายการเงินตึงตัวที่เข้าสู่ระดับ Restrictive นานขึ้น เศรษฐกิจยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงปลายปี 2022 จากวิกฤตพลังงานและนโยบายการเงินตึงตัวเร็ว เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงมากจากมาตรการ Zero COVID ที่ยังคงดำเนินอยู่ประกอบกับความอ่อนแอในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ EIC มองว่าหากนโยบายการเงินโลกตึงตัวมากขึ้นอีก 100-200 BPSจากกรณีฐาน เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวรุนแรงหรือเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในปีหน้า สำหรับเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ที่มีหนี้สูง ภาครัฐจะเผชิญต้นทุนกู้ยืมแพงขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการเงิน (Financial distress) และมีข้อจำกัดทางการคลังในการสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4 ช่วงฤดูท่องเที่ยวไทย การบริโภคภาคเอกชนที่ปรับดีขึ้นเกือบทุกหมวด ในระยะต่อไปยังมีปัจจัยหนุนจากการจ้างงานโดยเฉพาะในภาคบริการและรายได้ภาคท่องเที่ยวและภาคบริการที่ปรับดีขึ้น แต่ยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อสูงและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น การส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากฐานต่ำ แต่เริ่มเห็นการหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนในเกือบทุกกลุ่มสินค้าหลักและในตลาดสำคัญ ในระยะต่อไปการส่งออกจะชะลอลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เช่นเดียวกับทิศทางการลงทุนและการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีนี้ EIC ประเมินว่า ในกรณีฐานผลกระทบจะไม่รุนแรงเท่าในปี 2011 โดยเบื้องต้นคาดว่าพื้นที่เกษตรจะได้รับผลกระทบ 1.9 ล้านไร่ หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 12,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น จะต้องติดตามประเมินผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ด้านเงินเฟ้อทั่วไปผ่านจุดสูงสุดแล้ว จากราคาหมวดพลังงานที่ปรับชะลอลง แต่เงินเฟ้อขยายวงกว้างไปสินค้าหลายประเภทมากขึ้นทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวสูงกว่ากรอบเป้าหมาย ในระยะต่อไปคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับลดลงอย่างช้า ๆ โดยจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตสู่ราคาผู้บริโภคมากขึ้น EIC คาดดอกเบี้ยนโยบายแตะ 2% ณ สิ้นปี EIC คาดว่า กนง. จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับ 2% ณ สิ้นปี 2023 โดย กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีก 25 BPS ในเดือน พ.ย. สู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดแล้ว แม้จะไม่ปรับลดลงเร็วนัก ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ในปี 2023 กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง เพื่อให้นโยบายการเงินทยอยกลับสู่ระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว โดย EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไประดับ Pre-COVID ได้ในช่วงกลางปี 2023 แต่จะอยู่ต่ำกว่าระดับศักยภาพไปอีก 1-2 ปี จากแผลเป็นเศรษฐกิจที่ลึกและมีหนี้สูงขึ้น
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
SCBEICSCB
ประมาณการเศรษฐกิจปี 2023-2024 SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2023 เหลือ 3.1% (เดิม 3.9%) จากข้อมูลจริงไตรมาส 2 ที่ต่ำกว่าคาดมากและการส่งออกสินค้าที่หดตัวแรงต่อเนื่อง แต่ยังมีแรงหนุนหลักจากการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยฟื้นตัวดีตามประมาณการ 30 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางที่เร่งตัวและเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายใหม่ ส่งผลให้ภาคบริการฟื้นตัวต่อเนื่องช่วยลดความเปราะบางในตลาดแรงงาน สำหรับมุมมองปี 2024 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเร่งขึ้นที่ 3.5% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องเป็น 37.7 ล้านคนการลงทุนภาคเอกชนที่จะขยายตัวดีขึ้นตามแนวโน้มการอนุมัติการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment) และการส่งออกที่จะกลับมาฟื้นตัว แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะมีแนวโน้มเร่งขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้ แต่ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายอยู่ที่ 1.7% และ 2% ในปี 2023 และปี 2024 ตามลำดับ เนื่องจากราคาพลังงานและอาหารมีแนวโน้มสูงขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะทรงตัวที่ 1.4% และ 1.5% ในปีนี้และปีหน้า ตามลำดับ ทั้งนี้ SCB EIC คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินช่วงปลายเดือน ก.ย. สู่จุดสูงสุดของวัฏจักรดอกเบี้ย (Terminal rate) รอบนี้ที่ 2.5% ตามเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องเข้าสู่ระดับศักยภาพ และเงินเฟ้อที่ยังมีแรงกดดันจากราคาพลังงานและอาหารที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงจะกลับเป็นบวกได้ ช่วยสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาวจากการสะสมความไม่สมดุลทางการเงินในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำมานาน แนวโน้มเศรษฐกิจโลก สำหรับมุมมองเศรษฐกิจโลก ประเทศต่าง ๆ จะมีแนวโน้มฟื้นตัวไม่พร้อมกัน (Unsynchronized) โดยในปี 2023 SCB EIC คาดการณ์เศรษฐกิจโลกขยายตัวดีขึ้นเป็น 2.4% และจะทรงตัวใกล้เคียงเดิมในปีหน้า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ดีกว่าคาด แต่จะมีแนวโน้มเปราะบางต่อเนื่องถึงปีหน้าจากผลของเงินเฟ้อสูงและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงเงินออมส่วนเกินที่เริ่มหมดลง นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กดดันการฟื้นตัว วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักใกล้สิ้นสุดลงในปีนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของโลกอาจมีความเสี่ยงที่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงปลายปีตามทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักยังอยูในระดับสูงตามตลาดแรงงานที่ตึงตัวส่งผลต่อแรงกดดันค่าจ้าง ส่งผลให้ธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันที่ 5.25-5.5% ต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 2 ปี 2024 ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอังกฤษมีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่ออีกไม่มากในช่วงที่เหลือของปีนี้และคงดอกเบี้ยสูงไว้อีกระยะก่อนจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 จากเงินเฟ้อพื้นฐานที่เริ่มปรับลดลง สำหรับธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดการผ่อนคลายลงจากมุมมองเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญความเสี่ยงใดบ้าง มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนสูง (Uncertain) จากแรงกดดันสำคัญ อาทิ (1) เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอลง กระทบการส่งออกไทยบางกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดจีนสูง และเป็นส่วนหนึ่งของ Supply chain จีน
Outlook 3Q2023-Full report-final.pdf
Outlook 3Q2023-Full report-final.pdf
SCBEICSCB
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในปี 2023 โดยประเมินว่า เศรษฐกิจกัมพูชาจะขยายตัว 5.9% สปป.ลาว 4.0% เมียนมา 3.0% และเวียดนาม 5.0% ตามลำดับ จากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่องหลังการเปิดประเทศของจีน ทั้งด้านจำนวนนักท่องเที่ยวและค่าใช้จ่ายต่อคน ตลอดจนการบริโภคภายในประเทศที่ปรับดีขึ้นตามตลาดแรงงานและแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง ทั้งนี้เศรษฐกิจ CLMV จะขยายตัวค่อยเป็นค่อยไปและยังต่ำกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยช่วงก่อน COVID-19 ในปีนี้ ส่วนหนึ่งจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทยอยฟื้นตัวแต่ยังต่ำกว่าระดับก่อน COVID-19 การส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ค่อนข้างซบเซาตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวชะลอลง และปัจจัยกดดันเฉพาะประเทศ ปัจจัยกดดันเฉพาะประเทศทำให้ทิศทางการฟื้นตัวรายประเทศไม่เหมือนกัน ประเทศที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติสูง เช่น กัมพูชา มีแนวโน้มฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้นในปีนี้ ช่วยลดทอนผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวชะลอลงต่อการส่งออกได้ ขณะที่สปป.ลาวได้ประโยชน์จากโครงการโลจิสติกส์ต่าง ๆ อาทิ รถไฟความเร็วสูงจีน - สปป.ลาว และจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าท่าแห้งท่านาแล้ง จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวและการขนส่งภายในภูมิภาค แม้อัตราเงินเฟ้อสูงยังเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจอยู่ สำหรับเศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงมาก เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีแนวโน้มซบเซาในปีนี้ อีกทั้ง ยังเผชิญภาวะการเงินในประเทศตึงตัวขึ้นมาก ส่งผลให้ธุรกิจบางกลุ่ม โดยเฉพาะภาคอสังหาฯ ระดมทุนได้ยาก ส่งผลกระทบความเชื่อมั่นและการลงทุนภาคเอกชนไประยะหนึ่ง ความเปราะบางเชิงโครงสร้างกดดันให้เศรษฐกิจ CLMV บางประเทศขยายตัวต่ำกว่าอดีต ในระยะปานกลาง SCB EIC คาดว่า กัมพูชาและเวียดนามจะสามารถกลับมาขยายตัวใกล้ค่าเฉลี่ยในอดีต เนื่องจากปัจจัยกดดันเศรษฐกิจในปีนี้เป็นปัจจัยชั่วคราวและคาดว่าจะทยอยคลี่คลายได้ แต่สปป.ลาวและเมียนมามีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตไปอีกระยะ ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยสปป.ลาวมีความเสี่ยงด้านเสถียรภาพภาคต่างประเทศและภาคการคลัง จากระดับทุนสำรองระหว่างประเทศที่ไม่สูงนักในภาวะเงินกีบอ่อนค่าเร็ว และหนี้สาธารณะสูง ส่งผลให้ภาครัฐต้องใช้นโยบายการเงินและนโยบายการคลังตึงตัวมากขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินและอาจพิจารณาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการใช้จ่ายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ สำหรับเมียนมาความไม่สงบทางการเมืองที่ยังไม่คลี่คลายยังเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจ ส่งผลให้ฟื้นความเชี่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคได้ยาก ขณะที่ชาติตะวันตกขยายมาตรการคว่ำบาตรให้ครอบคลุมบุคคลและนิติบุคคลเพิ่มเติม ส่งผลให้สภาพแวดล้อมการทำธุรกิจในเมียนมาไม่เอื้อต่อการลงทุน และกดดันให้เศรษฐกิจเมียนมาขยายตัวต่ำในระยะปานกลาง แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของ CLMV แม้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงต่อเนื่อง ทิศทางนโยบายการเงินยังขึ้นกับบริบทเศรษฐกิจรายประเทศ อัตราเงินเฟ้อทยอยชะลอตัวในทุกประเทศตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ลดลง แต่ทิศทางนโยบายการเงินจะคำนึงถึงบริบทเศรษฐกิจการเงินในประเทศนั้น ๆ เช่น เวียดนามปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและออกมาตรการสนับสนุนสภาพคล่องในตลาดการเงินเพื่อบรรเทาอุปสรรคการระดมทุนของภาคธุรกิจที่ตึงตัวขึ้นมาก โดย SCB EIC คาดว่านโยบายการเงินเวียดนามจะผ่อนคลายต่อไป เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มซบเซาในปีนี้ และภาคอสังหาฯ ยังคงอ่อนแอคาดว่าต้องใช้
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวต่อเนื่องจากแรงส่งการบริโภคและภาคการท่องเที่ย...
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวต่อเนื่องจากแรงส่งการบริโภคและภาคการท่องเที่ย...
SCBEICSCB
สถานการณ์เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากปัญหาเสถียรภาพระบบการเงินในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งทำให้ภาวะการเงินทั่วโลกตึงตัวขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์จะไม่ลุกลามจนทำให้เศรษฐกิจโลกหดตัวรุนแรง (No hard landing) เนื่องจากสถานะเงินทุนของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และยุโรปเข้มแข็งกว่าในอดีต รวมถึงธนาคารกลางมีมาตรการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินรองรับ ในด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจของโลกในช่วงปลายไตรมาส 1 พลิกมาขยายตัวครั้งแรกในรอบครึ่งปี โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคบริการ ขณะที่ภาคการผลิตยังหดตัวตามอุปสงค์สินค้า แม้ปัญหาอุปทานคอขวดทยอยคลี่คลาย อัตราเงินเฟ้อโลก อัตราเงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องตามราคาพลังงาน ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานยังมีแนวโน้มปรับลดลงได้ช้า แต่สถานการณ์ความตึงเครียดในภาคธนาคารส่งผลให้ภาวะการเงินและเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อตึงตัวขึ้น ธนาคารกลางประเทศหลักจึงมีแนวโน้มไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้ โดยคาดว่า Fed มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้งในเดือน พ.ค. สู่ระดับ Terminal rate ที่ 5-5.25% และคงไว้ตลอดปี ขณะที่ ECB มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในเดือน พ.ค. และ มิ.ย. สู่ระดับ Terminal rate ที่ 3.5% และคงไว้ตลอดปีเช่นกัน เศรษฐกิจไทยปรับดีขึ้นชัดเจนในหลายองค์ประกอบ นำโดยภาคการท่องเที่ยว ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้วกว่า 6.5 ล้านคน และมีแนวโน้มฟื้นตัวดีต่อเนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงการท่องเที่ยวในประเทศจากความต้องการท่องเที่ยวที่ยังอยู่ในระดับสูงและปัจจัยสนับสนุนจาก โครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ขณะที่การส่งออกหดตัวเป็นเดือนที่ 5 และแนวโน้มการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี ยังน่าห่วงจากเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวชะลอลงและปัจจัยฐานสูงเป็นสำคัญ แต่แนวโน้มการส่งออกในครึ่งหลังของปีจะได้รับอานิสงส์มากขึ้นจากการฟื้นตัวของอุปสงค์จีนหลังเปิดประเทศ รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่จะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนมีความชัดเจนมากขึ้นตามความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นจากการผลิตเพื่อป้อนคำสั่งซื้อเก่าและงานคงค้างเดิม อัตราเงินเฟ้อไทย อัตราเงินเฟ้อไทยสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาสินค้าหมวดพลังงานที่ชะลอตัวลงมากตามราคาพลังงานโลกและมาตรการอุดหนุนภาครัฐที่ยังมีอยู่ อย่างไรก็ดี เงินเฟ้ออาจกลับมาเร่งตัวอีกครั้งในช่วงท้ายปีหลังจากนโยบายพยุงค่าครองชีพของภาครัฐทยอยลดลงและการส่งผ่านต้นทุนมายังผู้บริโภคมีมากขึ้นในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวรวมถึงปัจจัยฐานที่เริ่มทรงตัว สำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง SCB EIC ประเมินเม็ดเงินหาเสียงในช่วงเลือกตั้งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติมอย่างน้อย 0.07% ของ GDP SCB EIC ประเมินว่า Terminal rate ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยล่าสุดมีแนวโน้มอยู่ที่ 2.5% ในกรณีฐานคาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ 2% ในปีนี้ แต่หากเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง กนง. อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องไปสู่ระดับ 2.5% ได้ในไตรมาส 3 เงินบาทคาดว่าจะกลับมาแข็งค่าที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะปรับดีขึ้น และทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐที่จะกลับมาอ่อนค่าลง
ท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งออกยังไม่สดใสแต่คาดกลับมาขยายตัว...
ท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งออกยังไม่สดใสแต่คาดกลับมาขยายตัว...
SCBEICSCB
สถานการณ์เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากปัญหาเสถียรภาพระบบการเงินในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งทำให้ภาวะการเงินทั่วโลกตึงตัวขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์จะไม่ลุกลามจนทำให้เศรษฐกิจโลกหดตัวรุนแรง (No hard landing) เนื่องจากสถานะเงินทุนของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และยุโรปเข้มแข็งกว่าในอดีต รวมถึงธนาคารกลางมีมาตรการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินรองรับ ในด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจของโลกในช่วงปลายไตรมาส 1 พลิกมาขยายตัวครั้งแรกในรอบครึ่งปี โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคบริการ ขณะที่ภาคการผลิตยังหดตัวตามอุปสงค์สินค้า แม้ปัญหาอุปทานคอขวดทยอยคลี่คลาย อัตราเงินเฟ้อโลก อัตราเงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องตามราคาพลังงาน ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานยังมีแนวโน้มปรับลดลงได้ช้า แต่สถานการณ์ความตึงเครียดในภาคธนาคารส่งผลให้ภาวะการเงินและเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อตึงตัวขึ้น ธนาคารกลางประเทศหลักจึงมีแนวโน้มไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้ โดยคาดว่า Fed มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้งในเดือน พ.ค. สู่ระดับ Terminal rate ที่ 5-5.25% และคงไว้ตลอดปี ขณะที่ ECB มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในเดือน พ.ค. และ มิ.ย. สู่ระดับ Terminal rate ที่ 3.5% และคงไว้ตลอดปีเช่นกัน เศรษฐกิจไทยปรับดีขึ้นชัดเจนในหลายองค์ประกอบ นำโดยภาคการท่องเที่ยว ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้วกว่า 6.5 ล้านคน และมีแนวโน้มฟื้นตัวดีต่อเนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงการท่องเที่ยวในประเทศจากความต้องการท่องเที่ยวที่ยังอยู่ในระดับสูงและปัจจัยสนับสนุนจาก โครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ขณะที่การส่งออกหดตัวเป็นเดือนที่ 5 และแนวโน้มการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี ยังน่าห่วงจากเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวชะลอลงและปัจจัยฐานสูงเป็นสำคัญ แต่แนวโน้มการส่งออกในครึ่งหลังของปีจะได้รับอานิสงส์มากขึ้นจากการฟื้นตัวของอุปสงค์จีนหลังเปิดประเทศ รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่จะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนมีความชัดเจนมากขึ้นตามความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นจากการผลิตเพื่อป้อนคำสั่งซื้อเก่าและงานคงค้างเดิม อัตราเงินเฟ้อไทย อัตราเงินเฟ้อไทยสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาสินค้าหมวดพลังงานที่ชะลอตัวลงมากตามราคาพลังงานโลกและมาตรการอุดหนุนภาครัฐที่ยังมีอยู่ อย่างไรก็ดี เงินเฟ้ออาจกลับมาเร่งตัวอีกครั้งในช่วงท้ายปีหลังจากนโยบายพยุงค่าครองชีพของภาครัฐทยอยลดลงและการส่งผ่านต้นทุนมายังผู้บริโภคมีมากขึ้นในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวรวมถึงปัจจัยฐานที่เริ่มทรงตัว สำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง SCB EIC ประเมินเม็ดเงินหาเสียงในช่วงเลือกตั้งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติมอย่างน้อย 0.07% ของ GDP SCB EIC ประเมินว่า Terminal rate ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยล่าสุดมีแนวโน้มอยู่ที่ 2.5% ในกรณีฐานคาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ 2% ในปีนี้ แต่หากเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง กนง. อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องไปสู่ระดับ 2.5% ได้ในไตรมาส 3 เงินบาทคาดว่าจะกลับมาแข็งค่าที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะปรับดีขึ้น และทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐที่จะกลับมาอ่อนค่าลง
ท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งออกยังไม่สดใสแต่คาดกลับมาขยายตัว...
ท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งออกยังไม่สดใสแต่คาดกลับมาขยายตัว...
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจโลกในปี 2023 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นเป็น 2.7% (เดิม 2.4%) แต่นับว่าเติบโตชะลอลงมาจาก 3% ในปีก่อน สำหรับปี 2024 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวชะลอลงอีกเป็น 2.5% (เดิม 2.3%) เป็นผลจากกิจกรรมภาคบริการที่เริ่มมีสัญญาณชะลอลง ขณะที่กิจกรรมภาคการผลิตยังหดตัวต่อเนื่อง นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงชัดเจนขึ้นในไตรมาส 4 และต่อเนื่องในปีหน้า จากความล่าช้าในการส่งผ่านผลของนโยบายการเงินตึงตัว เงินออมส่วนเกินเริ่มหมด และหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจจีนกลับมาขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในไตรมาส 3 ทั้งในภาคบริการและการผลิตในระยะต่อไปเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัว ส่วนหนึ่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะออกมาเพิ่มเติมแต่จะยังคงเผชิญปัจจัยกดดันเชิงโครงสร้างในระยะปานกลาง-ยาว เศรษฐกิจไทย SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2023 เป็น 2.6% (เดิม 3.1%) จากข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาส 3 ขยายตัวต่ำกว่าคาดมาก การใช้จ่ายภาครัฐหดตัวสูงขึ้นจากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2023 ต่ำกว่าที่ประเมินไว้และความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปี 2024 รวมถึงนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ ในปี 2024 ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลงเช่นกันเป็น 3.0% (เดิม 3.5%) ตามแรงส่งเศรษฐกิจที่แผ่วลง แนวโน้มการบริโภคภาคเอกชนเติบโตต่ำลงจากรายได้ครัวเรือนที่ฟื้นไม่ทั่วถึงและหนี้ครัวเรือนที่ลดลงช้า การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนใช้เวลานานขึ้น รวมถึงการลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงจากความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2024 ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีทิศทางฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ ในไตรมาสที่ 4 เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวได้สูงกว่าช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังเริ่มเข้าสู่ช่วง High season ของการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากเอเชียและรัสเซีย ขณะที่ นักท่องเที่ยวจีนแม้เริ่มมีสัญญาณดีขึ้นแต่ยังคงต่ำกว่าคาด ทั้งนี้การบริโภคภาคเอกชนยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการส่งออกที่มีแนวโน้มพลิกกลับเป็นบวกได้ในไตรมาสนี้ ส่วนหนึ่งจากราคาส่งออกสินค้าเกษตรที่ปรับสูงขึ้นจากผลกระทบภัยแล้งและการจำกัดการส่งออกสินค้าในหลายประเทศ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอลงมากในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลจากนโยบายช่วยเหลือค่าครองชีพโดยเฉพาะราคาพลังงาน ทั้งนี้ราคาพลังงานโลกมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ และความไม่แน่นอนของสงครามอิสราเอล-ฮามาส ประกอบกับราคาสินค้าเกษตร (เช่น ข้าวและน้ำตาล) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากภัยแล้งและนโยบายควบคุมการส่งออกของอินเดีย จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เงินเฟ้อในปี 2024 กลับมาเร่งตัวได้อีกครั้ง จับตาสงครามอิสราเอล-ฮามาสและนโยบายการคลัง ในระยะข้างหน้า ยังต้องจับตาสงครามอิสราเอล-ฮามาสและนโยบายการคลัง โดย SCB EIC มองว่าในกรณีฐานสงครามครั้งนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยไม่มากนัก แต่หากเหตุการณ์ลุกลามรุนแรง เช่น อิหร่านเพิ่มความรุนแรงในสงครามตัวแทน (Proxy war) หรือเข้าร่วมสงครามโดยตรง (Direct war) เศรษฐกิจและเงินเฟ้อโลกรวมถึงไทยจะได้รับผลกระทบ ผ่านราคาน้ำมันโลกและความผันผวนในตลาดการเงินที่ปรับสูงขึ้น อีกทั้ง เศรษฐกิจไทยในปี 2024 ยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนที่สำคัญจากนโยบายการคลัง อาทิ โครงการดิจิทัล วอลเล็ต (Digital wallet) ซึ่ง SCB EIC ประเมินว่า โครงการนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและลดค่าใช้จ่ายครัวเรือนได้ในช่วงเวลาที่ดำเนินโครงการ โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อยที่ยังเปราะบาง
SCB-EIC-Monthly-NOV-20231123.pdf
SCB-EIC-Monthly-NOV-20231123.pdf
SCBEICSCB
แนวโน้มเศรษฐกิจโลกช่วงครึ่งหลังของปี 2023 เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราชะลอลง จากการปล่อยสินเชื่อและภาวะการเงินที่จะตึงตัวต่อเนื่องตามผลสะสมของการขึ้นดอกเบี้ย ภาคการผลิตและอุปสงค์สินค้าที่จะยังซบเซา แรงหนุนจากภาคบริการที่เริ่มมีสัญญาณแผ่วลง แรงส่งจากเศรษฐกิจจีนที่ต่ำกว่าคาด รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อและมีความไม่แน่นอนสูง อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานตึงตัวและการเติบโตที่แข็งแกร่งของค่าจ้างในช่วงครึ่งแรกของปีจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการบริโภคในระยะต่อไป และช่วยพยุงไม่ให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของโลกมีแนวโน้มชะลอลงเร็ว ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงเร็ว ความเสี่ยงที่ราคาพลังงานจะกลับมาเร่งตัวในช่วงปลายปีมีจำกัดตามอุปสงค์พลังงานโลกและจีนที่ยังอ่อนแอ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มชะลอลงช้า ตามค่าจ้างที่ยังสูงและตลาดแรงงานตึงตัว ธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลักจึงมีแนวโน้มขยายวงจรขึ้นดอกเบี้ยไปถึงไตรมาส 3 และจะคงอัตราดอกเบี้ยสูงไว้ตลอดปี เพื่อให้ผลของดอกเบี้ยส่งผ่านไปยังระบบเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในช่วงปลายเดือน ก.ค. สู่ 5.25-5.5% ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกนานกว่า โดย ECB มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย อีก 2 ครั้งในช่วงปลายเดือน ก.ค. และ ก.ย. สู่ Terminal rate 4% สำหรับ BOE มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยจนถึงเดือน ก.ย.สู่ Terminal rate 5.75% สูงสุดในกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (Advance Economies : AEs) แนวโน้มเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังของปี 2023 SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี (H2) มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องและขยายตัวได้ดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปี (H1) จากแรงหนุนภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยฟื้นตัวใกล้เคียงประมาณการ ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี โดยเฉพาะหมวดบริการ กอปรกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้น สำหรับการส่งออกจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นในช่วง H2 จากที่หดตัวต่อเนื่องใน H1 อย่างไรก็ดี มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำจากหลายปัจจัย อาทิ 1) การกลับมาของเอลนีโญที่เห็นสัญญาณชัดเจนขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อภาคเกษตร โดยข้อมูลน้ำฝนในเดือน มิ.ย. สะท้อนว่าพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก อาจประสบภาวะฝนแล้งรุนแรงมากกว่าที่ SCB EIC คาดไว้ในเดือน พ.ค. 2) การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีความไม่แน่นอนสูง อาจเป็นไปได้ที่จะล่าช้าถึงปลายเดือน ต.ค. หลังพรรคก้าวไกลไม่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล 3) ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยที่ยังเปราะบางจากรายได้ไม่พอรายจ่าย และมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนี้อีกนาน มีแนวโน้มจะก่อหนี้เพิ่มเติมมากกว่ากลุ่มอื่น และ 4) ภาคธุรกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ความเปราะบางสูงขึ้น SCB EIC คาดว่าบริษัทราว 16% มีความเสี่ยงเป็นบริษัทผีดิบ (Zombie firms) ในปี 2023 ส่วนหนึ่งจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก ท่ามกลางทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นและมาตรฐานการให้สินเชื่อธุรกิจของสถาบันการเงินที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น เงินเฟ้อทั่วไปของไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำ จากราคาพลังงานที่มีแนวโน้มชะลอตัวและผลจากปัจจัยฐาน สำหรับนโยบายพยุงราคาพลังงานในประเทศมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการภาระต่าง ๆ ที่ภาครัฐเคยสนับสนุนไว้และการรักษาสมดุลของค่าครองชีพประชาชน มาก
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทย 2023 ครึ่งปีหลังยังดี ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้าน
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทย 2023 ครึ่งปีหลังยังดี ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้าน
SCBEICSCB
Asia2030 asean
Asia2030 asean
Vipasiri Chunsirisathaporn
Asia2030 asean
Asia2030 asean
Vipasiri Chunsirisathaporn
EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลังเผชิญความเสี่ยงเงินเฟ้อ-Fed ขึ้นดอกเบี้ย หลังกิจกรรมเศรษฐกิจเดือนมิถุนายนชะลอลงทั่วโลก เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัว แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่มีอยู่ต่อเนื่อง และความกังวลต่อนโยบายการเงินที่ตึงตัวเร็วของธนาคารกลางหลักทั่วโลก สะท้อนว่าเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวลง อัตราเงินเฟ้อในเดือนที่ผ่านมาปรับสูงขึ้นทั่วโลกและคาดว่าจะยังไม่ผ่านจุดสูงสุด ขณะที่ธนาคารกลางหลักของโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีท่าทีดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวกว่าเดิมเพื่อควบคุมการเร่งตัวของเงินเฟ้อ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอลงอย่างมีนัยในเดือนที่ผ่านมา และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) ในกลุ่มเศรษฐกิจหลักในตะวันตกมากขึ้น โดยเศรษฐกิจยุโรปมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยสูง จากความเสี่ยงวิกฤตพลังงานที่เพิ่มขึ้นหากรัสเซียหยุดการส่งก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้ในกรณีฐาน EIC ประเมินว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีโอกาสเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (technical recession) แต่จะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเนื่องจากอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ และภาคธุรกิจโดยรวมยังคงขยายตัว ด้านเศรษฐกิจในฝั่งเอเชียมีแนวโน้มดีขึ้นจากการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด แม้เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นยังเป็นประเด็นสำคัญที่อาจลดทอนการฟื้นตัวในระยะต่อไป โดยยังต้องจับตาการอ่อนค่าของสกุลเงินในภูมิภาคตามการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐที่อาจส่งผลให้เงินเฟ้อจากการนำเข้าเร่งตัวเพิ่มเติม เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องตามการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว แม้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องตามการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว แต่ในระยะถัดไปยังมีความเสี่ยงด้านต่ำจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยภาคการส่งออกยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากปัจจัยด้านราคาที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ปริมาณการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปีจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจากภาวะเงินเฟ้อเร่งตัวสูงและการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวของธนาคารกลางในหลายประเทศ อีกทั้ง นโยบายควบคุมโควิดอย่างเข้มข้น (Zero Covid) ในจีนยังเป็นความเสี่ยงต่อการล็อกดาวน์ระลอกใหม่ ด้านการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวทั้งจากการลงทุนภายในประเทศและการลงทุนจากต่างชาติตามแนวโน้มการเปิดเมือง แต่การลงทุนบางส่วนอาจชะลอหรือเลื่อนออกไปจากการส่งออกที่จะชะลอตัวลง ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ รวมถึงปัญหาด้านเงินเฟ้อ ในระยะต่อไปเศรษฐกิจไทยจะได้รับอานิสงส์จากการทยอยเปิดประเทศของทั้งไทยและประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยว ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงท้ายปีมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น โดย EIC คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยรวม 7.4 ล้านคนในปีนี้ ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา เติบโตได้ดีจากการเริ่มกลับไปใช้ชีวิตตามปกติของประชาชน ส่งผลให้ในปี 2022 จำนวนผู้เยี่ยมเยือนไทยมีแนวโน้มแตะ 194 ล้านคน และด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาเป็นปกติมากขึ้น รายได้ภาคเกษตรที่ขยายตัวได้ดี และอุปสงค์คงค้าง (pent-up demand) จากกลุ่มรายได้สูง และด้านตลาดแรงงานที่เริ่มส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นแม้ยังมีความเปราะบางและยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ในบางภาคธุรกิจ ส่งผลให้การบริโภคในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวที่ดี
EIC_Monthly_July_20220712-final.pdf
EIC_Monthly_July_20220712-final.pdf
SCBEICSCB
ถึงเวลาแล้วหรือยัง…ที่ธุรกิจโรงแรมต้องทรานส์ฟอร์ม นับเป็นระยะเวลาเกือบ 3 ปีเต็มในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ธุรกิจโรงแรมต้องบอบช้ำจากการหายไปของนักท่องเที่ยว โดยแม้ปัจจุบันสถานการณ์ท่องเที่ยวของไทยเริ่มกลับสู่ภาวะปกติแล้ว แต่วิกฤตที่ผ่านมาถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กระตุ้นให้ธุรกิจโรงแรมต้องเร่งปรับตัวและให้ความสำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics), ความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคหลังโควิด-19 (Post Covid-19 era), การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร (Demographic), ระบบเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ (New economy), กระแสความยั่งยืน (ESG), ความล้ำสมัยของเทคโนโลยียุคดิจิทัล (Digital technology) และแรงกดดันจากต้นทุนที่สูงขึ้น (Cost pressure) ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของจำนวนนักท่องเที่ยว เทรนด์การท่องเที่ยว รวมถึงโครงสร้างธุรกิจโรงแรม และยังมีโอกาสส่งผลกระทบต่อเนื่องในอนาคตด้วย การปรับตัวของธุรกิจโรงแรมเพื่อรับมือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ในยุคที่ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับความท้าทายที่จะเกิดขึ้น SCB EIC ประเมิน 5 องค์ประกอบหลักที่ธุรกิจโรงแรมในอนาคตจำเป็นต้องมีไว้ดังนี้ 1. การปรับตัวให้ทันตลาดท่องเที่ยวยุคใหม่ที่มีความหลากหลายมากขึ้น ปัจจุบันตลาดท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและจะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ไม่ควรมองข้าม โดย 4 กลุ่มตลาดท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่กำลังมาแรงในปี 2567 ได้แก่ กระแสการท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์และซีรีย์เรื่องโปรด (Set-jetting), การท่องเที่ยวสาย Event หรือการท่องเที่ยวที่มีความสนใจเฉพาะ (Hyper segmentation) เช่น คอนเสิร์ต กีฬา เทศกาล กิจกรรม Adventure, การท่องเที่ยวสไตล์สุขภาพเวลเนสจากกระแสรักสุขภาพ, และการท่องเที่ยวพร้อมทำงาน (Bleisure) ของกลุ่ม Digital Nomad 2. การทำ Personalization marketing เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างกัน ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีตลอดการใช้บริการของลูกค้า (Hotel guest journey) โดยนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มต้องการประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ (Seamless experience) และการบริการเฉพาะบุคคลมากขึ้น ซึ่งผู้บริโภคแต่ละกลุ่มนั้นมีความต้องการและคาดหวังในความสะดวกสบายที่แตกต่างกันในการรับบริการของโรงแรมตั้งแต่การจอง การ Check-in/Check-out ตลอดจนการรับฟังความคิดเห็นหลังการใช้บริการ ซึ่งกลุ่ม Gen X และ Baby boomer ส่วนใหญ่ยังเป็น Manual user ที่ให้ความสำคัญกับการรับบริการโดยตรงจากพนักงาน และมี Brand loyalty ค่อนข้างสูง ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Y และ Gen Z ส่วนใหญ่เป็น Digital user ที่คุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่ในชีวิตประจำวัน และ Digital marketing มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการใช้บริการ 3. การปรับใช้ Digital technology กับธุรกิจโรงแรม การนำ Digital technology เข้ามาใช้ในการบริการและบริหารจัดการธุรกิจโรงแรม ทั้งการเพิ่มการสื่อสารและการโต้ตอบ กับลูกค้า รวมถึงการสร้างกลุ่มลูกค้า Loyalty อีกทั้ง ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มยอดขายและลดต้นทุนให้แก่ธุรกิจโรงแรมในระยะต่อไป ซึ่งปัจจุบัน Digital technology ที่ถูกนำมาใช้ในธุรกิจโรงแรมอย่างแพร่หลาย ได้แก่ หุ่นยนต์บริการ, Internet of Things อย่าง Smart access และ Smart room, ระบบ Gen AI/Data analytics /Machine learning รวมถึงการใช้เทคโนโลยี VR/AR ในการสร้างประสบการณ์ให้กับผู้เข้าพัก และยกระดับการให้บริการ เป็นต้น Read more : https://www.scbeic.com/th/detail/product/hotel-transformation-230524
In focus-Hotel transformation-20240523.pdf
In focus-Hotel transformation-20240523.pdf
SCBEICSCB
เงื่อนไขโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2567 รัฐบาลเปิดเผยเงื่อนไขโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยผู้มีสิทธิในโครงการฯ จะมีอยู่ราว 50 ล้านคน ซึ่งเป็นคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 70,000 บาท ซึ่งจะได้รับเงิน 10,000 บาทผ่านแอปพลิเคชันที่รัฐบาลอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งสามารถนำไปซื้อสินค้าได้ทุกประเภท (ยกเว้นอบายมุข บริการ น้ำมันเชื้อเพลิง และสินค้าออนไลน์) จากร้านค้าปลีกขนาดเล็กภายในอำเภอ (รวมร้านสะดวกซื้อ Standalone และในปั๊มน้ำมัน) ซึ่งการใช้จ่ายจะเริ่มในไตรมาส 4 ปี 2567 ความคิดเห็นผู้บริโภคที่คาดว่าจะได้รับสิทธิดิจิทัลวอลเล็ต SCB EIC ได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคที่คาดว่าจะได้รับสิทธิดิจิทัลวอลเล็ต (ตามรายละเอียดของโครงการในช่วงครึ่งหลังของปี 2566) ระหว่าง 12 พ.ย.- 12 ธ.ค. 25661 ซึ่งมีผลการสำรวจที่น่าสนใจที่มีผลต่อเศรษฐกิจและธุรกิจค้าปลีก ดังนี้ เม็ดเงินโดยส่วนใหญ่จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะหมุนเข้าระบบภายใน 6 เดือน แม้ว่าก่อนหน้านี้ ภาครัฐจะกำหนดระยะเวลาการใช้จ่ายมากกว่า 6 เดือนก็ตาม โดยผู้ตอบแบบสอบถามราว 58% จะทยอยใช้เงินโครงการ 10,000 บาทครบภายใน 6 เดือน อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้มีรายได้น้อย (รายได้น้อยกว่า 1.5 หมื่นบาทต่อเดือน) หรือ กลุ่มผู้สูงอายุมีแนวโน้มจะทยอยใช้จ่ายเงิน 10,000 บาทไปจนถึงวันสิ้นสุดโครงการในเดือน เม.ย. 2570 (ตามเงื่อนไขการใช้จ่ายที่ทางการประกาศเมื่อเดือน พ.ย. 2566) ทั้งนี้จากการเปิดเผยของรัฐบาลเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2567 ยังไม่ได้ระบุระยะเวลาในการใช้จ่ายเงินของโครงการ ซึ่งหากภาครัฐต้องการให้เงินหมุนเวียนเร็วอย่างเต็มประสิทธิภาพ อาจต้องกำหนดระยะเวลาการใช้จ่ายให้สั้น เช่น ไม่เกิน 6 เดือน เพื่อกระตุ้นให้ผู้มีสิทธิใช้จ่ายในระยะเวลาที่กำหนด โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ กว่า 80% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่าจะลดการใช้จ่ายเงินส่วนตัวของตัวเองลง หากได้รับเงิน 10,000 บาทจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมาใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ผู้มีสิทธิฯ ที่ลดการใช้จ่ายเงินส่วนตัว บางส่วนนำเงินที่ลดลงดังกล่าวกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านการให้ญาติใช้จ่าย/นำไปลงทุนธุรกิจต่อ ทั้งนี้หากรวมเงินที่เข้าสู่ระบบฯ ข้างต้น จะพบว่า ราว 30% ของผู้มีสิทธิฯ ทั้งกลุ่มรายได้มาก (เงินเดือน 4-7 หมื่นบาท)-ปานกลาง (1.5-4 หมื่นบาท)-น้อย (< 1.5 หมื่นบาท) มีการใช้จ่ายเงินส่วนเพิ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า 10,000 บาทต่อราย นอกจากนี้ ผู้มีสิทธิฯ โดยส่วนใหญ่จะลดการใช้จ่ายเงินส่วนตัวลง และนำเงินที่ลดลงดังกล่าวไปเก็บออม/ชำระคืนเงินกู้ (คิดเป็นสัดส่วนราว 80% ของผู้มีสิทธิที่ลดการใช้จ่ายเงินส่วนตัว) ซึ่งช่วยลดภาระหนี้ของผู้มีสิทธิฯ หรือทำให้ผู้มีสิทธิฯ มีเงินออมเพื่อใช้จ่ายในยามจำเป็นมากขึ้น Grocery เป็นสินค้าหลักที่จะได้ประโยชน์จากโครงการฯ โดยผู้ตอบแบบสอบถามเลือกใช้จ่ายเงินโครงการในสินค้า Grocery เกือบ 40% ของประเภทสินค้าที่เลือกซื้อทั้งหมด ขณะที่สินค้าหมวดสุขภาพและร้านอาหารเป็นสินค้ารองลงมาที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากโครงการฯ ยกเว้นในกลุ่มผู้มีสิทธิที่เป็น Gen Z มีแนวโน้มนำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ มีแนวโน้มนำเงินบางส่วนจากโครงการไปซื้อสินค้าเพื่อแต่ง/ซ่อมบ้านเพิ่มเติมด้วย Read more : https://www.scbeic.com/th/detail/product/digital-wallet-230424
ส่องพฤติกรรมการใช้จ่ายผู้มีสิทธิ จากนโยบาย Digital wallet
ส่องพฤติกรรมการใช้จ่ายผู้มีสิทธิ จากนโยบาย Digital wallet
SCBEICSCB
More Related Content
Similar to Outlook-3Q2023-Onscreen.pdf
EIC ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2022 EIC ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2022 เป็น 3.0% (เดิม 2.9%) และ 3.7% ในปี 2023 ตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและภาคบริการ จากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและการผ่อนคลายมาตรการเดินทางข้ามพรมแดนทั่วโลก โดย EIC ประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยจะเพิ่มเป็น 10.3 ล้านคนในปีนี้และ 28.3 ล้านคนในปี 2023 หลังจีนมีแนวโน้มเริ่มเปิดประเทศผ่อนคลายการท่องเที่ยวตั้งแต่ปลายปีนี้ ประกอบกับแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีกลับไปใกล้ระดับก่อนเกิด COVID-19 ในปี 2023 ส่งผลให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง และการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยังมีแรงกดดันจากค่าครองชีพที่ยังสูงอยู่ EIC ปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อไทยในปี 2022 เป็น 6.1% (เดิม 5.9%) และคาดว่าเงินเฟ้อจะทยอยปรับลดลงอย่างช้า ๆ อยู่ที่ 3.2 % ในปี 2023 สูงกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ จากราคาพลังงานและอาหารที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนของผู้ผลิตไปยังราคาสินค้าในกลุ่มอื่นที่มีมากขึ้น ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
Presentation_Outlook Q3 2022_20220913.pdf
Presentation_Outlook Q3 2022_20220913.pdf
SCBEICSCB
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกในปี 2024 มีแนวโน้มเติบโต 2.6% ใกล้เคียงปีก่อน มุมมองปรับดีขึ้นจากแรงส่งที่ดีในไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ดีในช่วงต้นปีนี้ โดยกิจกรรมในภาคบริการขยายตัวเร่งขึ้น ขณะที่กิจกรรมในภาคการผลิตเริ่มกลับมาขยายตัวจากที่หดตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกจะได้รับแรงสนับสนุนจากการค้าโลกที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้นและอัตราเงินเฟ้อโลกที่ชะลอตัวลง แต่ยังมีแรงกดดันจากผลกระทบของภาวะดอกเบี้ยสูง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยืดเยื้อ และปัญหาห่วงโซ่อุปทานโลกจากปัญหาการขนส่งบริเวณทะเลแดงและคลองปานามาที่แห้งแล้ง ธนาคารกลางกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักจะเริ่มปรับทิศการใช้นโยบายการเงินไตรมาส 2 ปีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง รวม 75 BPS ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้ง รวม 100 BPS ตามทิศทางเงินเฟ้อที่ปรับชะลอลง ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง รวม 20 BPS ซึ่งเป็นการยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ ขณะที่ธนาคารกลางจีนจะยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพยุงเศรษฐกิจต่อเนื่อง แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2024 สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย SCB EIC ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2024 เหลือ 2.7% (เดิม 3%) แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2024 จะยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องได้ จากแรงขับเคลื่อนของการท่องเที่ยวและภาคบริการรวมถึงเศรษฐกิจด้านอุปสงค์อื่นที่กลับมาขยายตัวเร่งขึ้นในหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มดีขึ้น แต่แรงส่งภาครัฐจะยังหดตัวต่อเนื่องในไตรมาสแรกจากความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2024 กอปรกับปัญหาสินค้าคงคลังสะสมสูงจากปีก่อนจะยังไม่สามารถคลี่คลายได้เร็ว ส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกไทยที่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยจะยังฟื้นช้าต่อเนื่องมาในปีนี้ ภาวะเงินเฟ้อไทย ในส่วนของเงินเฟ้อไทยที่ติดลบต่อเนื่องหลายเดือน SCB EIC ประเมินว่า ไทยยังไม่เผชิญภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นบวกตั้งแต่เดือน พ.ค. เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือด้านราคาพลังงานจะสิ้นสุดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันในประเทศที่จะเริ่มปรับสูงขึ้น นอกจากนี้ เงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงด้านสูงท่ามกลางความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทานโลกชะงักจากสถานการณ์ทะเลแดง สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง รวมถึงนโยบายควบคุมการส่งออกของบางประเทศที่อาจทำให้ราคาสินค้าเกษตรบางชนิดเพิ่มขึ้น เช่น ข้าวและน้ำตาล เงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งหลังของปีจึงจะเร่งกลับไปแตะกรอบเงินเฟ้อได้ โดย SCB EIC ประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2024 อยู่ที่ 0.8% และ 0.6% ตามลำดับ อ่านเพิ่มเติม : https://www.scbeic.com/th/detail/product/outlook-q12024
Outlook ไตรมาส 1/2024 ภาคการผลิตไทยปรับตัวช้าฉุดเศรษฐกิจระยะยาว SCB EIC มองดอ...
Outlook ไตรมาส 1/2024 ภาคการผลิตไทยปรับตัวช้าฉุดเศรษฐกิจระยะยาว SCB EIC มองดอ...
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลกปี 2024 เศรษฐกิจโลกในปี 2024 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้จะได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินที่ตึงตัว เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกช่วงต้นปีขยายตัวได้ดี โดยภาคบริการขยายตัวดีขึ้น ขณะที่ภาคการผลิตเริ่มทรงตัวหลังจากหดตัวนานปีกว่า อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนรอบด้าน โดยในปีนี้จะมีการเลือกตั้งใหญ่ในกว่า 60 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจรวมสูงกว่า 60% ของโลก ซึ่งอาจมีนัยต่อความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลก นอกจากนี้ การค้าและห่วงโซ่อุปทานโลกเผชิญความเสี่ยงจากการโจมตีเรือขนส่งสินค้าในบริเวณทะเลแดงและปัญหาน้ำแล้งในคลองปานามา ส่งผลให้เกิดความแออัดในการขนส่งทางเรือหรือต้องปรับเส้นทางเดินเรือ ทำให้ระยะเวลาการเดินทางและต้นทุนขนส่งสูงขึ้น ธนาคารกลางกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักจะเริ่มปรับทิศการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาส 2 โดยประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอังกฤษจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 2 ตามทิศทางเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอลง ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ (Negative interest rate) ในไตรมาส 3 (หรืออย่างเร็วไตรมาส 2) ขณะที่จีนยังมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราส่วนการสำรองของธนาคารพาณิชย์ขั้นต่ำ (RRR) เศรษฐกิจไทยปี 2024 เศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปียังมีแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวดี ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่เร่งตัวจากนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก โดยเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ที่ได้อานิสงส์จากเทศกาลตรุษจีนรวมถึงนักท่องเที่ยวหลายประเทศกลับมาใกล้เคียงระดับปกติ สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศ ผู้เยี่ยมเยือนไทยยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องตามฤดูกาลท่องเที่ยว ขณะที่การส่งออกไตรมาส 4 ปี 2023 พลิกกลับมาขยายตัว และมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามทิศทางการค้าโลกที่ฟื้นตัวท่ามกลางความเสี่ยงใหม่จากการชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานยังอ่อนแอ โดยเฉพาะภาคการผลิตที่หดตัวต่อเนื่องในหลายอุตสาหกรรมและยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ข้อมูลจริงของเศรษฐกิจไทยปี 2023 จะออกมาขยายตัวต่ำกว่าที่ SCB EIC เคยคาดการณ์ไว้ และมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าในระยะต่อไป อัตราเงินเฟ้อของไทย อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2023 ถึงต้นปี 2024 ส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาพลังงานที่ลดลงตามมาตรการช่วยค่าพลังงานของภาครัฐ ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินไทยยังไม่เผชิญภาวะเงินฝืด เนื่องจากเงินเฟ้อติดลบไม่ได้กระจายไปในรายสินค้าเป็นวงกว้าง และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวก มองไปข้างหน้าเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและจะกลับมาขยายตัวในช่วงไตรมาส 2 ได้จากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานเป็นหลักประกอบกับภาครัฐอาจทยอยปรับลดความช่วยเหลือด้านพลังงานในไตรมาส 2 หลังราคาพลังงานโลกปรับลดลงและกองทุนน้ำมันเริ่มมีภาระหนี้สูงขึ้นมาก อัตราดอกเบี้ยนโยบาย SCB EIC คาดว่าจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ สาเหตุจาก 1) เศรษฐกิจและเงินเฟ้อแผ่วลงมากในปีนี้ เช่น หากเศรษฐกิจไทยเติบโตเหลือ 2.5% และแนวโน้มเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบ 1-3% มาก และ 2) กนง. มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (Neutral rate) ที่ต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ควรมีระดับต่ำลงกว่าที่เคยประเมินเอาไว้ สะท้อนจากมติ กนง. ไม่เป็นเอกฉันท์ในผลการประชุมวันที่ 7 ก.พ. 2024 Read More : https://www.scbeic.com/th/detail/product/eic-monthly-0224
SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงในปีนี้ ตาม Momentum เศรษฐกิจไทยและเงิน...
SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงในปีนี้ ตาม Momentum เศรษฐกิจไทยและเงิน...
SCBEICSCB
EIC ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทย ปี 2022 เป็น 3.2% และปรับลดปี 2023 เป็น 3.4% EIC ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2022 เป็น 3.2% (เดิม 3.0%) จากแรงส่งการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมถึงการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรายได้แรงงานที่ปรับดีขึ้น สำหรับปี 2023 EIC ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยเป็น 3.4% (เดิม 3.7%) ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงมากภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น บางประเทศหลักจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้การส่งออกและการลงทุนของไทยชะลอลงตาม อย่างไรดี เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะยังมีแรงส่งจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ดีจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เร่งขึ้น โดย EIC ประเมินว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 28.3 ล้านคนในปี 2023 จากความต้องการท่องเที่ยวที่ยังอยู่ในระดับสูงและจีนมีแนวโน้มทยอยผ่อนคลายนโยบาย Zero-Covid อีกทั้ง การท่องเที่ยวในประเทศเติบโตดีกลับไปใกล้ระดับก่อน COVID-19 ส่งผลให้รายได้ภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการบริโภคขยายตัวดีต่อเนื่อง ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึงในกลุ่มครัวเรือนและธุรกิจที่ยังเปราะบาง สำหรับเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าจะทยอยลดลงได้ช้าและยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายอยู่ที่ 6.1% และ 3.2% ในปี 2022 และ 2023 ตามลำดับ เนื่องจากราคาพลังงานและอาหารที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง และส่งผลต่อเนื่องไปเงินเฟ้อพื้นฐาน เศรษฐกิจโลกชะลอตัวชัดเจนในปี 2022 และจะชะลอลงมากในปี 2023 ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “เศรษฐกิจโลกชะลอตัวชัดเจนในปีนี้ และจะชะลอลงมากในปีหน้าภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น ทั้งจากเงินเฟ้อที่ลดลงช้า วิกฤตพลังงานยืดเยื้อและนโยบายการเงินเข้มงวดทั่วโลก บางประเทศหลักเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยตั้งแต่ปลายปีนี้ เช่น สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป ขณะที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า EIC จึงปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2022 ลงจาก 3.0% มาอยู่ที่ 2.9% และปีหน้าลดจาก 2.7% มาอยู่ที่ 1.8% โดยในกรณีฐาน EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกจะยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย หลายประเทศยังเติบโตได้ เช่น เศรษฐกิจจีนจะฟื้นดีขึ้นตามการผ่อนคลายนโยบาย Zero-Covid อย่างไรก็ดี หากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดอาจทำให้เกิดกรณีเศรษฐกิจโลกถดถอย เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศรุนแรง หรือเงินเฟ้อกลับมาเร่งสูงจนทำให้นโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น” อัตราเงินเฟ้อโลกยังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า “อัตราเงินเฟ้อโลกจะยังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง แม้เงินเฟ้อบางประเทศผ่านจุดสูงสุดไปแล้วโดย EIC คาดว่า อัตราเงินเฟ้อของประเทศหลักจะยังสูงกว่าเป้าหมายธนาคารกลางอีก 1-2 ปี เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อเริ่มฝังลึก รวมถึงอุปสงค์บริการที่จะเพิ่มขึ้น หลังอุปสงค์สินค้าคงทนทยอยปรับลดลงกลับสู่ภาวะปกติ ธนาคารกลางจึงจะยังคงทิศทางนโยบายการเงินตึงตัวในปีหน้า โดยปรับขึ้นดอกเบี้ยช้าลง แต่จะยังคงดอกเบี้ยสูงอีกระยะ จนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้อจะกลับมาอยู่ในเป้า สำหรับนโยบายการคลังทั่วโลกจะมีบทบาทกระตุ้นเศรษฐกิจลดลง และเน้นความยั่งยืนการคลังมากขึ้นหลังจากหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมากในช่วงวิกฤต COVID-19 นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและนโยบายการเงินทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดการเงินโลกผันผวนสูงขึ้น สภาพคล่องในตลาดการเงินและภาวะการเงินโลกตึงตัวขึ้น
Presentation_Outlook-Q4-2022_20221028.pdf
Presentation_Outlook-Q4-2022_20221028.pdf
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลกปี 2023 เศรษฐกิจโลกในปี 2023 จะหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ แต่มีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้น แม้เศรษฐกิจโลกจะทยอยปรับดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 2 แต่ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ การฟื้นตัวของภาคการผลิตและภาคบริการยังมีความแตกต่างกันมาก นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำและความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ทั้งจากปัญหาเสถียรภาพระบบการเงินและความไม่แน่นอนในการขยายเพดานหนี้ของรัฐบาลในสหรัฐฯ กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนที่ขยายตัวชะลอลงในเดือน เม.ย. เศรษฐกิจยุโรปที่ยังอ่อนแอแม้จะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในครึ่งหลังของปีนี้จากปัจจัยกดดันที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของโลก อัตราเงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มปรับลดลงเข้าใกล้กรอบเป้าหมายของธนาคารกลางมากขึ้นตามราคาพลังงานโลกที่ลดลงและอุปทานคอขวดที่ปรับดีขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานยังมีแนวโน้มปรับลดลงได้ช้ากว่า ทั้งนี้ SCB EIC คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้มจะยุติการขึ้นดอกเบี้ยและคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตลอดปี ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งสู่ระดับ 3.75% และ 5% ตามลำดับ เนื่องจากภูมิภาคยุโรปเผชิญแรงกดดันเงินเฟ้อรุนแรงกว่า สำหรับธนาคารกลางญี่ปุน (BOJ) มีแนวโน้มปรับนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายน้อยลงจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการเติบโตของเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด โดยมองว่า BOJ จะปรับเงื่อนไขนโยบายควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve Control) เพิ่มเติมในเดือน ก.ค. นี้ เศรษฐกิจไทยปี 2023 เศรษฐกิจไทยจะยังได้รับแรงสนับสนุนสำคัญจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดีในช่วงที่เหลือของปี สอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกที่ขยายตัว 2.7% เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อน ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะกลับสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤติโควิดได้ในช่วงกลางปีนี้ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเร่งตัวตามการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเล็กน้อยเนื่องจากเข้าสู่ช่วง Low season นอกจากนี้ การลงทุนและภาคการผลิตมีแนวโน้มปรับดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 อย่างไรก็ดี SCB EIC ยังคงมุมมองมูลค่าการส่งออกสินค้าปีนี้เติบโตที่ 1.2% ท่ามกลางความเสี่ยงด้านต่ำจากเศรษฐกิจโลกที่สูงขึ้น โดยคาดว่าการส่งออกในไตรมาสที่ 2 จะยังหดตัวจากปัจจัยฐาน แต่จะเริ่มขยายตัวตามอุปสงค์จีนที่ปรับดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลในปีนี้จากทั้งดุลการค้าและดุลบริการ เงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะขยายตัวลดลงอย่างชัดเจนในเดือน พ.ค. จากราคาพลังงานที่มีแนวโน้มชะลอตัวและผลจากปัจจัยฐาน แต่ยังมีความเสี่ยงด้านสูงในระยะต่อไปจากการทยอยส่งผ่านต้นทุนมายังราคาผู้บริโภคและผลจากปัจจัยฐานที่ลดลง สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มขยายตัวลดลงเช่นกัน อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อไทยยังมีความเสี่ยงด้านสูงจากการส่งผ่านต้นทุนและแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นความเสี่ยงในประเทศที่ต้องติดตาม แม้ความน่าจะเป็นที่ฝ่ายเสรีนิยมจะได้จัดตั้งรัฐบาลเพิ่มขึ้นมากหลังทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ในกรณีฐาน SCB EIC มองการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจะไม่กระทบทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่า จะเห็นผลกระทบด้านลบในไตรมาสที่ 4 จากความล่าช้าในการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 อยู่บ้าง แต่คาดว่าจะกลับมาเร่งเบิกจ่ายได้ตั้งแต่ต้นปี 2024 พร้อมการผลักดัน
เศรษฐกิจไทยยังไปต่อ SCB EIC มองความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นความเสี่ยงที่ต้องจ...
เศรษฐกิจไทยยังไปต่อ SCB EIC มองความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นความเสี่ยงที่ต้องจ...
SCBEICSCB
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในปี 2023 สวนกระแสเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่การเติบโตจะยังต่ำกว่าศักยภาพเมื่อเทียบกับช่วงก่อน COVID-19
CLMV-Outlook-2023_TH_20230131.pdf
CLMV-Outlook-2023_TH_20230131.pdf
SCBEICSCB
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในปี 2023 สวนกระแสเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่การเติบโตจะยังต่ำกว่าศักยภาพเมื่อเทียบกับช่วงก่อน COVID-19 SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ในปี 2023 ขยายตัวแข็งแกร่งขึ้น แต่ยังต่ำกว่าศักยภาพการเติบโตในช่วงก่อนการระบาด COVID-19 โดยมีอัตราการเติบโตที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงรายประเทศ โดยประเมินว่าในปีนี้กัมพูชาจะขยายตัวได้ 5.5%, สปป.ลาวและเมียนมา 3.0% และเวียดนาม 6.2% CLMV มีแนวโน้มฟื้นตัวจากอุปสงค์ภายในประเทศและการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ CLMV ในปี 2023 มีแนวโน้มฟื้นตัวจากอุปสงค์ภายในประเทศและการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศมีปัจจัยบวกจากตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง เห็นได้จากการจ้างงานในเวียดนามในไตรมาส 4 ปี 2022 ที่เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดตั้งแต่เกิดการระบาด COVID-19 ขณะเดียวกัน ภาคบริการจะได้อานิสงส์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนซึ่งมีความสำคัญต่อ CLMV คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30-35% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปี 2019 โดยจีนอนุมัติให้กรุ๊ปทัวร์สามารถเดินทางมากัมพูชา และสปป.ลาวได้ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ และคาดว่าจะเพิ่มรายชื่อประเทศที่สามารถเดินทางมาได้เร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้กัมพูชาและเวียดนามจะได้รับผลประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวมากที่สุด เนื่องจากพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวสูงอยู่ที่ 18.2% และ 9.8% ต่อ GDP ตามลำดับ ในทางกลับกัน อุปสงค์จากต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวต่ำ ซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจ CLMV ผ่านช่องทางการส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเวียดนามจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับห่วงโซ่อุปทานโลกสูงมาก และเป็นปัจจัยที่ทำให้ SCB EIC ประเมินว่า เวียดนามเป็นประเทศในเดียวใน CLMV ที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวในปีนี้หลังขยายตัวสูงถึง 8% ในปีก่อน อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศของจีนอาจช่วยพยุงให้การส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศไม่ชะลอตัวมากนัก แต่ต้องจับตาความเสี่ยงหากอุปสงค์จากต่างประเทศซบเซาอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องถึง อุปสงค์ภายในประเทศ ภาคการผลิต และการจ้างงาน แนวโน้มนโยบายการเงินของ CLMV นโยบายการเงินใน CLMV มีแนวโน้มตึงตัวขึ้นเล็กน้อยในปี 2023 แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัว SCB EIC ประเมินอัตราเงินเฟ้อในเศรษฐกิจ CLMV มีแนวโน้มชะลอตัวในปีนี้ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ลดลง แต่จะไม่ลดลงเร็วมากเนื่องจากราคาจะยังคงอยู่ในระดับสูง กอปรค่าเงินที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าในบางประเทศ เช่น สปป.ลาวและเมียนมา จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาสินค้านำเข้าอยู่ในระดับสูงต่อไป ธนาคารกลางกลุ่มประเทศ CLMV มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเล็กน้อยในปีนี้ เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ แต่จะสามารถชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจาก 1) ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะลดแรงกดดันค่าเงิน CLMV อ่อนค่า 2) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความเปราะบาง และ 3) ธุรกิจในบางประเทศ เช่น เวียดนาม เริ่มเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องหลังไม่สามารถกู้ยืมเพื่อชำระหนี้เก่าได้ (Rollover) ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ หากภาวะการเงินยังคงตึงตัว สปป.ลาวและเมียนมามีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่น ๆ จากปัจจัยความเสี่ยงเฉพาะประเทศ สปป.ลาวมีเสถียรภาพค่อนข้างเปราะบางในด้านราคา ด้านการคลัง และด้านต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันให้เศรษ
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในปี 2023 สวนกระแสเศรษฐกิจโลกชะล...
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในปี 2023 สวนกระแสเศรษฐกิจโลกชะล...
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอลงชัดเจนขึ้น จากเงินเฟ้อโลกที่ชะลอลงช้า และคาดว่าจะอยู่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางนาน 1-2 ปี เศรษฐกิจโลกชะลอตัวเร็วขึ้น เป็นผลจากธนาคารกลางทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้ภาวะการเงินตึงตัวทั่วโลก เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มแผ่วลงมากขึ้นและคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 จากนโยบายการเงินตึงตัวที่เข้าสู่ระดับ Restrictive นานขึ้น เศรษฐกิจยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงปลายปี 2022 จากวิกฤตพลังงานและนโยบายการเงินตึงตัวเร็ว เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงมากจากมาตรการ Zero COVID ที่ยังคงดำเนินอยู่ประกอบกับความอ่อนแอในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ EIC มองว่าหากนโยบายการเงินโลกตึงตัวมากขึ้นอีก 100-200 BPSจากกรณีฐาน เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวรุนแรงหรือเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในปีหน้า สำหรับเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ที่มีหนี้สูง ภาครัฐจะเผชิญต้นทุนกู้ยืมแพงขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการเงิน (Financial distress) และมีข้อจำกัดทางการคลังในการสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4 ช่วงฤดูท่องเที่ยวไทย การบริโภคภาคเอกชนที่ปรับดีขึ้นเกือบทุกหมวด ในระยะต่อไปยังมีปัจจัยหนุนจากการจ้างงานโดยเฉพาะในภาคบริการและรายได้ภาคท่องเที่ยวและภาคบริการที่ปรับดีขึ้น แต่ยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อสูงและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น การส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากฐานต่ำ แต่เริ่มเห็นการหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนในเกือบทุกกลุ่มสินค้าหลักและในตลาดสำคัญ ในระยะต่อไปการส่งออกจะชะลอลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เช่นเดียวกับทิศทางการลงทุนและการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีนี้ EIC ประเมินว่า ในกรณีฐานผลกระทบจะไม่รุนแรงเท่าในปี 2011 โดยเบื้องต้นคาดว่าพื้นที่เกษตรจะได้รับผลกระทบ 1.9 ล้านไร่ หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 12,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น จะต้องติดตามประเมินผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ด้านเงินเฟ้อทั่วไปผ่านจุดสูงสุดแล้ว จากราคาหมวดพลังงานที่ปรับชะลอลง แต่เงินเฟ้อขยายวงกว้างไปสินค้าหลายประเภทมากขึ้นทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวสูงกว่ากรอบเป้าหมาย ในระยะต่อไปคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับลดลงอย่างช้า ๆ โดยจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตสู่ราคาผู้บริโภคมากขึ้น EIC คาดดอกเบี้ยนโยบายแตะ 2% ณ สิ้นปี EIC คาดว่า กนง. จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับ 2% ณ สิ้นปี 2023 โดย กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีก 25 BPS ในเดือน พ.ย. สู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดแล้ว แม้จะไม่ปรับลดลงเร็วนัก ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ในปี 2023 กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง เพื่อให้นโยบายการเงินทยอยกลับสู่ระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว โดย EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไประดับ Pre-COVID ได้ในช่วงกลางปี 2023 แต่จะอยู่ต่ำกว่าระดับศักยภาพไปอีก 1-2 ปี จากแผลเป็นเศรษฐกิจที่ลึกและมีหนี้สูงขึ้น
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอลงชัดเจนขึ้น จากเงินเฟ้อโลกที่ชะลอลงช้า และคาดว่าจะอยู่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางนาน 1-2 ปี เศรษฐกิจโลกชะลอตัวเร็วขึ้น เป็นผลจากธนาคารกลางทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้ภาวะการเงินตึงตัวทั่วโลก เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มแผ่วลงมากขึ้นและคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 จากนโยบายการเงินตึงตัวที่เข้าสู่ระดับ Restrictive นานขึ้น เศรษฐกิจยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงปลายปี 2022 จากวิกฤตพลังงานและนโยบายการเงินตึงตัวเร็ว เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงมากจากมาตรการ Zero COVID ที่ยังคงดำเนินอยู่ประกอบกับความอ่อนแอในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ EIC มองว่าหากนโยบายการเงินโลกตึงตัวมากขึ้นอีก 100-200 BPSจากกรณีฐาน เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวรุนแรงหรือเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในปีหน้า สำหรับเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ที่มีหนี้สูง ภาครัฐจะเผชิญต้นทุนกู้ยืมแพงขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการเงิน (Financial distress) และมีข้อจำกัดทางการคลังในการสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4 ช่วงฤดูท่องเที่ยวไทย การบริโภคภาคเอกชนที่ปรับดีขึ้นเกือบทุกหมวด ในระยะต่อไปยังมีปัจจัยหนุนจากการจ้างงานโดยเฉพาะในภาคบริการและรายได้ภาคท่องเที่ยวและภาคบริการที่ปรับดีขึ้น แต่ยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อสูงและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น การส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากฐานต่ำ แต่เริ่มเห็นการหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนในเกือบทุกกลุ่มสินค้าหลักและในตลาดสำคัญ ในระยะต่อไปการส่งออกจะชะลอลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เช่นเดียวกับทิศทางการลงทุนและการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีนี้ EIC ประเมินว่า ในกรณีฐานผลกระทบจะไม่รุนแรงเท่าในปี 2011 โดยเบื้องต้นคาดว่าพื้นที่เกษตรจะได้รับผลกระทบ 1.9 ล้านไร่ หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 12,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น จะต้องติดตามประเมินผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ด้านเงินเฟ้อทั่วไปผ่านจุดสูงสุดแล้ว จากราคาหมวดพลังงานที่ปรับชะลอลง แต่เงินเฟ้อขยายวงกว้างไปสินค้าหลายประเภทมากขึ้นทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวสูงกว่ากรอบเป้าหมาย ในระยะต่อไปคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับลดลงอย่างช้า ๆ โดยจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตสู่ราคาผู้บริโภคมากขึ้น EIC คาดดอกเบี้ยนโยบายแตะ 2% ณ สิ้นปี EIC คาดว่า กนง. จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับ 2% ณ สิ้นปี 2023 โดย กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีก 25 BPS ในเดือน พ.ย. สู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดแล้ว แม้จะไม่ปรับลดลงเร็วนัก ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ในปี 2023 กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง เพื่อให้นโยบายการเงินทยอยกลับสู่ระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว โดย EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไประดับ Pre-COVID ได้ในช่วงกลางปี 2023 แต่จะอยู่ต่ำกว่าระดับศักยภาพไปอีก 1-2 ปี จากแผลเป็นเศรษฐกิจที่ลึกและมีหนี้สูงขึ้น
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอลงชัดเจนขึ้น จากเงินเฟ้อโลกที่ชะลอลงช้า และคาดว่าจะอยู่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางนาน 1-2 ปี เศรษฐกิจโลกชะลอตัวเร็วขึ้น เป็นผลจากธนาคารกลางทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้ภาวะการเงินตึงตัวทั่วโลก เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มแผ่วลงมากขึ้นและคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 จากนโยบายการเงินตึงตัวที่เข้าสู่ระดับ Restrictive นานขึ้น เศรษฐกิจยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงปลายปี 2022 จากวิกฤตพลังงานและนโยบายการเงินตึงตัวเร็ว เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงมากจากมาตรการ Zero COVID ที่ยังคงดำเนินอยู่ประกอบกับความอ่อนแอในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ EIC มองว่าหากนโยบายการเงินโลกตึงตัวมากขึ้นอีก 100-200 BPSจากกรณีฐาน เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวรุนแรงหรือเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในปีหน้า สำหรับเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ที่มีหนี้สูง ภาครัฐจะเผชิญต้นทุนกู้ยืมแพงขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการเงิน (Financial distress) และมีข้อจำกัดทางการคลังในการสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4 ช่วงฤดูท่องเที่ยวไทย การบริโภคภาคเอกชนที่ปรับดีขึ้นเกือบทุกหมวด ในระยะต่อไปยังมีปัจจัยหนุนจากการจ้างงานโดยเฉพาะในภาคบริการและรายได้ภาคท่องเที่ยวและภาคบริการที่ปรับดีขึ้น แต่ยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อสูงและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น การส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากฐานต่ำ แต่เริ่มเห็นการหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนในเกือบทุกกลุ่มสินค้าหลักและในตลาดสำคัญ ในระยะต่อไปการส่งออกจะชะลอลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เช่นเดียวกับทิศทางการลงทุนและการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีนี้ EIC ประเมินว่า ในกรณีฐานผลกระทบจะไม่รุนแรงเท่าในปี 2011 โดยเบื้องต้นคาดว่าพื้นที่เกษตรจะได้รับผลกระทบ 1.9 ล้านไร่ หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 12,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น จะต้องติดตามประเมินผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ด้านเงินเฟ้อทั่วไปผ่านจุดสูงสุดแล้ว จากราคาหมวดพลังงานที่ปรับชะลอลง แต่เงินเฟ้อขยายวงกว้างไปสินค้าหลายประเภทมากขึ้นทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวสูงกว่ากรอบเป้าหมาย ในระยะต่อไปคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับลดลงอย่างช้า ๆ โดยจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตสู่ราคาผู้บริโภคมากขึ้น EIC คาดดอกเบี้ยนโยบายแตะ 2% ณ สิ้นปี EIC คาดว่า กนง. จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับ 2% ณ สิ้นปี 2023 โดย กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีก 25 BPS ในเดือน พ.ย. สู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดแล้ว แม้จะไม่ปรับลดลงเร็วนัก ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ในปี 2023 กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง เพื่อให้นโยบายการเงินทยอยกลับสู่ระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว โดย EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไประดับ Pre-COVID ได้ในช่วงกลางปี 2023 แต่จะอยู่ต่ำกว่าระดับศักยภาพไปอีก 1-2 ปี จากแผลเป็นเศรษฐกิจที่ลึกและมีหนี้สูงขึ้น
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอลงชัดเจนขึ้น จากเงินเฟ้อโลกที่ชะลอลงช้า และคาดว่าจะอยู่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางนาน 1-2 ปี เศรษฐกิจโลกชะลอตัวเร็วขึ้น เป็นผลจากธนาคารกลางทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้ภาวะการเงินตึงตัวทั่วโลก เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มแผ่วลงมากขึ้นและคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 จากนโยบายการเงินตึงตัวที่เข้าสู่ระดับ Restrictive นานขึ้น เศรษฐกิจยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงปลายปี 2022 จากวิกฤตพลังงานและนโยบายการเงินตึงตัวเร็ว เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงมากจากมาตรการ Zero COVID ที่ยังคงดำเนินอยู่ประกอบกับความอ่อนแอในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ EIC มองว่าหากนโยบายการเงินโลกตึงตัวมากขึ้นอีก 100-200 BPSจากกรณีฐาน เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวรุนแรงหรือเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในปีหน้า สำหรับเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ที่มีหนี้สูง ภาครัฐจะเผชิญต้นทุนกู้ยืมแพงขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการเงิน (Financial distress) และมีข้อจำกัดทางการคลังในการสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4 ช่วงฤดูท่องเที่ยวไทย การบริโภคภาคเอกชนที่ปรับดีขึ้นเกือบทุกหมวด ในระยะต่อไปยังมีปัจจัยหนุนจากการจ้างงานโดยเฉพาะในภาคบริการและรายได้ภาคท่องเที่ยวและภาคบริการที่ปรับดีขึ้น แต่ยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อสูงและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น การส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากฐานต่ำ แต่เริ่มเห็นการหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนในเกือบทุกกลุ่มสินค้าหลักและในตลาดสำคัญ ในระยะต่อไปการส่งออกจะชะลอลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เช่นเดียวกับทิศทางการลงทุนและการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีนี้ EIC ประเมินว่า ในกรณีฐานผลกระทบจะไม่รุนแรงเท่าในปี 2011 โดยเบื้องต้นคาดว่าพื้นที่เกษตรจะได้รับผลกระทบ 1.9 ล้านไร่ หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 12,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น จะต้องติดตามประเมินผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ด้านเงินเฟ้อทั่วไปผ่านจุดสูงสุดแล้ว จากราคาหมวดพลังงานที่ปรับชะลอลง แต่เงินเฟ้อขยายวงกว้างไปสินค้าหลายประเภทมากขึ้นทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวสูงกว่ากรอบเป้าหมาย ในระยะต่อไปคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับลดลงอย่างช้า ๆ โดยจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตสู่ราคาผู้บริโภคมากขึ้น EIC คาดดอกเบี้ยนโยบายแตะ 2% ณ สิ้นปี EIC คาดว่า กนง. จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับ 2% ณ สิ้นปี 2023 โดย กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีก 25 BPS ในเดือน พ.ย. สู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดแล้ว แม้จะไม่ปรับลดลงเร็วนัก ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ในปี 2023 กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง เพื่อให้นโยบายการเงินทยอยกลับสู่ระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว โดย EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไประดับ Pre-COVID ได้ในช่วงกลางปี 2023 แต่จะอยู่ต่ำกว่าระดับศักยภาพไปอีก 1-2 ปี จากแผลเป็นเศรษฐกิจที่ลึกและมีหนี้สูงขึ้น
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
SCBEICSCB
ประมาณการเศรษฐกิจปี 2023-2024 SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2023 เหลือ 3.1% (เดิม 3.9%) จากข้อมูลจริงไตรมาส 2 ที่ต่ำกว่าคาดมากและการส่งออกสินค้าที่หดตัวแรงต่อเนื่อง แต่ยังมีแรงหนุนหลักจากการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยฟื้นตัวดีตามประมาณการ 30 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางที่เร่งตัวและเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายใหม่ ส่งผลให้ภาคบริการฟื้นตัวต่อเนื่องช่วยลดความเปราะบางในตลาดแรงงาน สำหรับมุมมองปี 2024 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเร่งขึ้นที่ 3.5% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องเป็น 37.7 ล้านคนการลงทุนภาคเอกชนที่จะขยายตัวดีขึ้นตามแนวโน้มการอนุมัติการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment) และการส่งออกที่จะกลับมาฟื้นตัว แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะมีแนวโน้มเร่งขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้ แต่ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายอยู่ที่ 1.7% และ 2% ในปี 2023 และปี 2024 ตามลำดับ เนื่องจากราคาพลังงานและอาหารมีแนวโน้มสูงขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะทรงตัวที่ 1.4% และ 1.5% ในปีนี้และปีหน้า ตามลำดับ ทั้งนี้ SCB EIC คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินช่วงปลายเดือน ก.ย. สู่จุดสูงสุดของวัฏจักรดอกเบี้ย (Terminal rate) รอบนี้ที่ 2.5% ตามเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องเข้าสู่ระดับศักยภาพ และเงินเฟ้อที่ยังมีแรงกดดันจากราคาพลังงานและอาหารที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงจะกลับเป็นบวกได้ ช่วยสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาวจากการสะสมความไม่สมดุลทางการเงินในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำมานาน แนวโน้มเศรษฐกิจโลก สำหรับมุมมองเศรษฐกิจโลก ประเทศต่าง ๆ จะมีแนวโน้มฟื้นตัวไม่พร้อมกัน (Unsynchronized) โดยในปี 2023 SCB EIC คาดการณ์เศรษฐกิจโลกขยายตัวดีขึ้นเป็น 2.4% และจะทรงตัวใกล้เคียงเดิมในปีหน้า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ดีกว่าคาด แต่จะมีแนวโน้มเปราะบางต่อเนื่องถึงปีหน้าจากผลของเงินเฟ้อสูงและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงเงินออมส่วนเกินที่เริ่มหมดลง นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กดดันการฟื้นตัว วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักใกล้สิ้นสุดลงในปีนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของโลกอาจมีความเสี่ยงที่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงปลายปีตามทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักยังอยูในระดับสูงตามตลาดแรงงานที่ตึงตัวส่งผลต่อแรงกดดันค่าจ้าง ส่งผลให้ธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันที่ 5.25-5.5% ต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 2 ปี 2024 ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอังกฤษมีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่ออีกไม่มากในช่วงที่เหลือของปีนี้และคงดอกเบี้ยสูงไว้อีกระยะก่อนจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 จากเงินเฟ้อพื้นฐานที่เริ่มปรับลดลง สำหรับธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดการผ่อนคลายลงจากมุมมองเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญความเสี่ยงใดบ้าง มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนสูง (Uncertain) จากแรงกดดันสำคัญ อาทิ (1) เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอลง กระทบการส่งออกไทยบางกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดจีนสูง และเป็นส่วนหนึ่งของ Supply chain จีน
Outlook 3Q2023-Full report-final.pdf
Outlook 3Q2023-Full report-final.pdf
SCBEICSCB
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในปี 2023 โดยประเมินว่า เศรษฐกิจกัมพูชาจะขยายตัว 5.9% สปป.ลาว 4.0% เมียนมา 3.0% และเวียดนาม 5.0% ตามลำดับ จากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่องหลังการเปิดประเทศของจีน ทั้งด้านจำนวนนักท่องเที่ยวและค่าใช้จ่ายต่อคน ตลอดจนการบริโภคภายในประเทศที่ปรับดีขึ้นตามตลาดแรงงานและแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง ทั้งนี้เศรษฐกิจ CLMV จะขยายตัวค่อยเป็นค่อยไปและยังต่ำกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยช่วงก่อน COVID-19 ในปีนี้ ส่วนหนึ่งจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทยอยฟื้นตัวแต่ยังต่ำกว่าระดับก่อน COVID-19 การส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ค่อนข้างซบเซาตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวชะลอลง และปัจจัยกดดันเฉพาะประเทศ ปัจจัยกดดันเฉพาะประเทศทำให้ทิศทางการฟื้นตัวรายประเทศไม่เหมือนกัน ประเทศที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติสูง เช่น กัมพูชา มีแนวโน้มฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้นในปีนี้ ช่วยลดทอนผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวชะลอลงต่อการส่งออกได้ ขณะที่สปป.ลาวได้ประโยชน์จากโครงการโลจิสติกส์ต่าง ๆ อาทิ รถไฟความเร็วสูงจีน - สปป.ลาว และจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าท่าแห้งท่านาแล้ง จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวและการขนส่งภายในภูมิภาค แม้อัตราเงินเฟ้อสูงยังเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจอยู่ สำหรับเศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงมาก เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีแนวโน้มซบเซาในปีนี้ อีกทั้ง ยังเผชิญภาวะการเงินในประเทศตึงตัวขึ้นมาก ส่งผลให้ธุรกิจบางกลุ่ม โดยเฉพาะภาคอสังหาฯ ระดมทุนได้ยาก ส่งผลกระทบความเชื่อมั่นและการลงทุนภาคเอกชนไประยะหนึ่ง ความเปราะบางเชิงโครงสร้างกดดันให้เศรษฐกิจ CLMV บางประเทศขยายตัวต่ำกว่าอดีต ในระยะปานกลาง SCB EIC คาดว่า กัมพูชาและเวียดนามจะสามารถกลับมาขยายตัวใกล้ค่าเฉลี่ยในอดีต เนื่องจากปัจจัยกดดันเศรษฐกิจในปีนี้เป็นปัจจัยชั่วคราวและคาดว่าจะทยอยคลี่คลายได้ แต่สปป.ลาวและเมียนมามีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตไปอีกระยะ ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยสปป.ลาวมีความเสี่ยงด้านเสถียรภาพภาคต่างประเทศและภาคการคลัง จากระดับทุนสำรองระหว่างประเทศที่ไม่สูงนักในภาวะเงินกีบอ่อนค่าเร็ว และหนี้สาธารณะสูง ส่งผลให้ภาครัฐต้องใช้นโยบายการเงินและนโยบายการคลังตึงตัวมากขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินและอาจพิจารณาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการใช้จ่ายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ สำหรับเมียนมาความไม่สงบทางการเมืองที่ยังไม่คลี่คลายยังเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจ ส่งผลให้ฟื้นความเชี่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคได้ยาก ขณะที่ชาติตะวันตกขยายมาตรการคว่ำบาตรให้ครอบคลุมบุคคลและนิติบุคคลเพิ่มเติม ส่งผลให้สภาพแวดล้อมการทำธุรกิจในเมียนมาไม่เอื้อต่อการลงทุน และกดดันให้เศรษฐกิจเมียนมาขยายตัวต่ำในระยะปานกลาง แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของ CLMV แม้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงต่อเนื่อง ทิศทางนโยบายการเงินยังขึ้นกับบริบทเศรษฐกิจรายประเทศ อัตราเงินเฟ้อทยอยชะลอตัวในทุกประเทศตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ลดลง แต่ทิศทางนโยบายการเงินจะคำนึงถึงบริบทเศรษฐกิจการเงินในประเทศนั้น ๆ เช่น เวียดนามปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและออกมาตรการสนับสนุนสภาพคล่องในตลาดการเงินเพื่อบรรเทาอุปสรรคการระดมทุนของภาคธุรกิจที่ตึงตัวขึ้นมาก โดย SCB EIC คาดว่านโยบายการเงินเวียดนามจะผ่อนคลายต่อไป เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มซบเซาในปีนี้ และภาคอสังหาฯ ยังคงอ่อนแอคาดว่าต้องใช้
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวต่อเนื่องจากแรงส่งการบริโภคและภาคการท่องเที่ย...
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวต่อเนื่องจากแรงส่งการบริโภคและภาคการท่องเที่ย...
SCBEICSCB
สถานการณ์เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากปัญหาเสถียรภาพระบบการเงินในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งทำให้ภาวะการเงินทั่วโลกตึงตัวขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์จะไม่ลุกลามจนทำให้เศรษฐกิจโลกหดตัวรุนแรง (No hard landing) เนื่องจากสถานะเงินทุนของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และยุโรปเข้มแข็งกว่าในอดีต รวมถึงธนาคารกลางมีมาตรการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินรองรับ ในด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจของโลกในช่วงปลายไตรมาส 1 พลิกมาขยายตัวครั้งแรกในรอบครึ่งปี โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคบริการ ขณะที่ภาคการผลิตยังหดตัวตามอุปสงค์สินค้า แม้ปัญหาอุปทานคอขวดทยอยคลี่คลาย อัตราเงินเฟ้อโลก อัตราเงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องตามราคาพลังงาน ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานยังมีแนวโน้มปรับลดลงได้ช้า แต่สถานการณ์ความตึงเครียดในภาคธนาคารส่งผลให้ภาวะการเงินและเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อตึงตัวขึ้น ธนาคารกลางประเทศหลักจึงมีแนวโน้มไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้ โดยคาดว่า Fed มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้งในเดือน พ.ค. สู่ระดับ Terminal rate ที่ 5-5.25% และคงไว้ตลอดปี ขณะที่ ECB มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในเดือน พ.ค. และ มิ.ย. สู่ระดับ Terminal rate ที่ 3.5% และคงไว้ตลอดปีเช่นกัน เศรษฐกิจไทยปรับดีขึ้นชัดเจนในหลายองค์ประกอบ นำโดยภาคการท่องเที่ยว ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้วกว่า 6.5 ล้านคน และมีแนวโน้มฟื้นตัวดีต่อเนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงการท่องเที่ยวในประเทศจากความต้องการท่องเที่ยวที่ยังอยู่ในระดับสูงและปัจจัยสนับสนุนจาก โครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ขณะที่การส่งออกหดตัวเป็นเดือนที่ 5 และแนวโน้มการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี ยังน่าห่วงจากเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวชะลอลงและปัจจัยฐานสูงเป็นสำคัญ แต่แนวโน้มการส่งออกในครึ่งหลังของปีจะได้รับอานิสงส์มากขึ้นจากการฟื้นตัวของอุปสงค์จีนหลังเปิดประเทศ รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่จะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนมีความชัดเจนมากขึ้นตามความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นจากการผลิตเพื่อป้อนคำสั่งซื้อเก่าและงานคงค้างเดิม อัตราเงินเฟ้อไทย อัตราเงินเฟ้อไทยสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาสินค้าหมวดพลังงานที่ชะลอตัวลงมากตามราคาพลังงานโลกและมาตรการอุดหนุนภาครัฐที่ยังมีอยู่ อย่างไรก็ดี เงินเฟ้ออาจกลับมาเร่งตัวอีกครั้งในช่วงท้ายปีหลังจากนโยบายพยุงค่าครองชีพของภาครัฐทยอยลดลงและการส่งผ่านต้นทุนมายังผู้บริโภคมีมากขึ้นในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวรวมถึงปัจจัยฐานที่เริ่มทรงตัว สำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง SCB EIC ประเมินเม็ดเงินหาเสียงในช่วงเลือกตั้งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติมอย่างน้อย 0.07% ของ GDP SCB EIC ประเมินว่า Terminal rate ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยล่าสุดมีแนวโน้มอยู่ที่ 2.5% ในกรณีฐานคาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ 2% ในปีนี้ แต่หากเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง กนง. อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องไปสู่ระดับ 2.5% ได้ในไตรมาส 3 เงินบาทคาดว่าจะกลับมาแข็งค่าที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะปรับดีขึ้น และทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐที่จะกลับมาอ่อนค่าลง
ท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งออกยังไม่สดใสแต่คาดกลับมาขยายตัว...
ท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งออกยังไม่สดใสแต่คาดกลับมาขยายตัว...
SCBEICSCB
สถานการณ์เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากปัญหาเสถียรภาพระบบการเงินในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งทำให้ภาวะการเงินทั่วโลกตึงตัวขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์จะไม่ลุกลามจนทำให้เศรษฐกิจโลกหดตัวรุนแรง (No hard landing) เนื่องจากสถานะเงินทุนของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และยุโรปเข้มแข็งกว่าในอดีต รวมถึงธนาคารกลางมีมาตรการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินรองรับ ในด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจของโลกในช่วงปลายไตรมาส 1 พลิกมาขยายตัวครั้งแรกในรอบครึ่งปี โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคบริการ ขณะที่ภาคการผลิตยังหดตัวตามอุปสงค์สินค้า แม้ปัญหาอุปทานคอขวดทยอยคลี่คลาย อัตราเงินเฟ้อโลก อัตราเงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องตามราคาพลังงาน ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานยังมีแนวโน้มปรับลดลงได้ช้า แต่สถานการณ์ความตึงเครียดในภาคธนาคารส่งผลให้ภาวะการเงินและเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อตึงตัวขึ้น ธนาคารกลางประเทศหลักจึงมีแนวโน้มไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้ โดยคาดว่า Fed มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้งในเดือน พ.ค. สู่ระดับ Terminal rate ที่ 5-5.25% และคงไว้ตลอดปี ขณะที่ ECB มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในเดือน พ.ค. และ มิ.ย. สู่ระดับ Terminal rate ที่ 3.5% และคงไว้ตลอดปีเช่นกัน เศรษฐกิจไทยปรับดีขึ้นชัดเจนในหลายองค์ประกอบ นำโดยภาคการท่องเที่ยว ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้วกว่า 6.5 ล้านคน และมีแนวโน้มฟื้นตัวดีต่อเนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงการท่องเที่ยวในประเทศจากความต้องการท่องเที่ยวที่ยังอยู่ในระดับสูงและปัจจัยสนับสนุนจาก โครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ขณะที่การส่งออกหดตัวเป็นเดือนที่ 5 และแนวโน้มการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี ยังน่าห่วงจากเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวชะลอลงและปัจจัยฐานสูงเป็นสำคัญ แต่แนวโน้มการส่งออกในครึ่งหลังของปีจะได้รับอานิสงส์มากขึ้นจากการฟื้นตัวของอุปสงค์จีนหลังเปิดประเทศ รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่จะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนมีความชัดเจนมากขึ้นตามความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นจากการผลิตเพื่อป้อนคำสั่งซื้อเก่าและงานคงค้างเดิม อัตราเงินเฟ้อไทย อัตราเงินเฟ้อไทยสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาสินค้าหมวดพลังงานที่ชะลอตัวลงมากตามราคาพลังงานโลกและมาตรการอุดหนุนภาครัฐที่ยังมีอยู่ อย่างไรก็ดี เงินเฟ้ออาจกลับมาเร่งตัวอีกครั้งในช่วงท้ายปีหลังจากนโยบายพยุงค่าครองชีพของภาครัฐทยอยลดลงและการส่งผ่านต้นทุนมายังผู้บริโภคมีมากขึ้นในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวรวมถึงปัจจัยฐานที่เริ่มทรงตัว สำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง SCB EIC ประเมินเม็ดเงินหาเสียงในช่วงเลือกตั้งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติมอย่างน้อย 0.07% ของ GDP SCB EIC ประเมินว่า Terminal rate ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยล่าสุดมีแนวโน้มอยู่ที่ 2.5% ในกรณีฐานคาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ 2% ในปีนี้ แต่หากเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง กนง. อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องไปสู่ระดับ 2.5% ได้ในไตรมาส 3 เงินบาทคาดว่าจะกลับมาแข็งค่าที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะปรับดีขึ้น และทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐที่จะกลับมาอ่อนค่าลง
ท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งออกยังไม่สดใสแต่คาดกลับมาขยายตัว...
ท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งออกยังไม่สดใสแต่คาดกลับมาขยายตัว...
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจโลกในปี 2023 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นเป็น 2.7% (เดิม 2.4%) แต่นับว่าเติบโตชะลอลงมาจาก 3% ในปีก่อน สำหรับปี 2024 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวชะลอลงอีกเป็น 2.5% (เดิม 2.3%) เป็นผลจากกิจกรรมภาคบริการที่เริ่มมีสัญญาณชะลอลง ขณะที่กิจกรรมภาคการผลิตยังหดตัวต่อเนื่อง นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงชัดเจนขึ้นในไตรมาส 4 และต่อเนื่องในปีหน้า จากความล่าช้าในการส่งผ่านผลของนโยบายการเงินตึงตัว เงินออมส่วนเกินเริ่มหมด และหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจจีนกลับมาขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในไตรมาส 3 ทั้งในภาคบริการและการผลิตในระยะต่อไปเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัว ส่วนหนึ่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะออกมาเพิ่มเติมแต่จะยังคงเผชิญปัจจัยกดดันเชิงโครงสร้างในระยะปานกลาง-ยาว เศรษฐกิจไทย SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2023 เป็น 2.6% (เดิม 3.1%) จากข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาส 3 ขยายตัวต่ำกว่าคาดมาก การใช้จ่ายภาครัฐหดตัวสูงขึ้นจากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2023 ต่ำกว่าที่ประเมินไว้และความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปี 2024 รวมถึงนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ ในปี 2024 ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลงเช่นกันเป็น 3.0% (เดิม 3.5%) ตามแรงส่งเศรษฐกิจที่แผ่วลง แนวโน้มการบริโภคภาคเอกชนเติบโตต่ำลงจากรายได้ครัวเรือนที่ฟื้นไม่ทั่วถึงและหนี้ครัวเรือนที่ลดลงช้า การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนใช้เวลานานขึ้น รวมถึงการลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงจากความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2024 ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีทิศทางฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ ในไตรมาสที่ 4 เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวได้สูงกว่าช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังเริ่มเข้าสู่ช่วง High season ของการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากเอเชียและรัสเซีย ขณะที่ นักท่องเที่ยวจีนแม้เริ่มมีสัญญาณดีขึ้นแต่ยังคงต่ำกว่าคาด ทั้งนี้การบริโภคภาคเอกชนยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการส่งออกที่มีแนวโน้มพลิกกลับเป็นบวกได้ในไตรมาสนี้ ส่วนหนึ่งจากราคาส่งออกสินค้าเกษตรที่ปรับสูงขึ้นจากผลกระทบภัยแล้งและการจำกัดการส่งออกสินค้าในหลายประเทศ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอลงมากในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลจากนโยบายช่วยเหลือค่าครองชีพโดยเฉพาะราคาพลังงาน ทั้งนี้ราคาพลังงานโลกมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ และความไม่แน่นอนของสงครามอิสราเอล-ฮามาส ประกอบกับราคาสินค้าเกษตร (เช่น ข้าวและน้ำตาล) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากภัยแล้งและนโยบายควบคุมการส่งออกของอินเดีย จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เงินเฟ้อในปี 2024 กลับมาเร่งตัวได้อีกครั้ง จับตาสงครามอิสราเอล-ฮามาสและนโยบายการคลัง ในระยะข้างหน้า ยังต้องจับตาสงครามอิสราเอล-ฮามาสและนโยบายการคลัง โดย SCB EIC มองว่าในกรณีฐานสงครามครั้งนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยไม่มากนัก แต่หากเหตุการณ์ลุกลามรุนแรง เช่น อิหร่านเพิ่มความรุนแรงในสงครามตัวแทน (Proxy war) หรือเข้าร่วมสงครามโดยตรง (Direct war) เศรษฐกิจและเงินเฟ้อโลกรวมถึงไทยจะได้รับผลกระทบ ผ่านราคาน้ำมันโลกและความผันผวนในตลาดการเงินที่ปรับสูงขึ้น อีกทั้ง เศรษฐกิจไทยในปี 2024 ยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนที่สำคัญจากนโยบายการคลัง อาทิ โครงการดิจิทัล วอลเล็ต (Digital wallet) ซึ่ง SCB EIC ประเมินว่า โครงการนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและลดค่าใช้จ่ายครัวเรือนได้ในช่วงเวลาที่ดำเนินโครงการ โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อยที่ยังเปราะบาง
SCB-EIC-Monthly-NOV-20231123.pdf
SCB-EIC-Monthly-NOV-20231123.pdf
SCBEICSCB
แนวโน้มเศรษฐกิจโลกช่วงครึ่งหลังของปี 2023 เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราชะลอลง จากการปล่อยสินเชื่อและภาวะการเงินที่จะตึงตัวต่อเนื่องตามผลสะสมของการขึ้นดอกเบี้ย ภาคการผลิตและอุปสงค์สินค้าที่จะยังซบเซา แรงหนุนจากภาคบริการที่เริ่มมีสัญญาณแผ่วลง แรงส่งจากเศรษฐกิจจีนที่ต่ำกว่าคาด รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อและมีความไม่แน่นอนสูง อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานตึงตัวและการเติบโตที่แข็งแกร่งของค่าจ้างในช่วงครึ่งแรกของปีจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการบริโภคในระยะต่อไป และช่วยพยุงไม่ให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของโลกมีแนวโน้มชะลอลงเร็ว ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงเร็ว ความเสี่ยงที่ราคาพลังงานจะกลับมาเร่งตัวในช่วงปลายปีมีจำกัดตามอุปสงค์พลังงานโลกและจีนที่ยังอ่อนแอ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มชะลอลงช้า ตามค่าจ้างที่ยังสูงและตลาดแรงงานตึงตัว ธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลักจึงมีแนวโน้มขยายวงจรขึ้นดอกเบี้ยไปถึงไตรมาส 3 และจะคงอัตราดอกเบี้ยสูงไว้ตลอดปี เพื่อให้ผลของดอกเบี้ยส่งผ่านไปยังระบบเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในช่วงปลายเดือน ก.ค. สู่ 5.25-5.5% ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกนานกว่า โดย ECB มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย อีก 2 ครั้งในช่วงปลายเดือน ก.ค. และ ก.ย. สู่ Terminal rate 4% สำหรับ BOE มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยจนถึงเดือน ก.ย.สู่ Terminal rate 5.75% สูงสุดในกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (Advance Economies : AEs) แนวโน้มเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังของปี 2023 SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี (H2) มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องและขยายตัวได้ดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปี (H1) จากแรงหนุนภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยฟื้นตัวใกล้เคียงประมาณการ ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี โดยเฉพาะหมวดบริการ กอปรกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้น สำหรับการส่งออกจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นในช่วง H2 จากที่หดตัวต่อเนื่องใน H1 อย่างไรก็ดี มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำจากหลายปัจจัย อาทิ 1) การกลับมาของเอลนีโญที่เห็นสัญญาณชัดเจนขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อภาคเกษตร โดยข้อมูลน้ำฝนในเดือน มิ.ย. สะท้อนว่าพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก อาจประสบภาวะฝนแล้งรุนแรงมากกว่าที่ SCB EIC คาดไว้ในเดือน พ.ค. 2) การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีความไม่แน่นอนสูง อาจเป็นไปได้ที่จะล่าช้าถึงปลายเดือน ต.ค. หลังพรรคก้าวไกลไม่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล 3) ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยที่ยังเปราะบางจากรายได้ไม่พอรายจ่าย และมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนี้อีกนาน มีแนวโน้มจะก่อหนี้เพิ่มเติมมากกว่ากลุ่มอื่น และ 4) ภาคธุรกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ความเปราะบางสูงขึ้น SCB EIC คาดว่าบริษัทราว 16% มีความเสี่ยงเป็นบริษัทผีดิบ (Zombie firms) ในปี 2023 ส่วนหนึ่งจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก ท่ามกลางทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นและมาตรฐานการให้สินเชื่อธุรกิจของสถาบันการเงินที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น เงินเฟ้อทั่วไปของไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำ จากราคาพลังงานที่มีแนวโน้มชะลอตัวและผลจากปัจจัยฐาน สำหรับนโยบายพยุงราคาพลังงานในประเทศมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการภาระต่าง ๆ ที่ภาครัฐเคยสนับสนุนไว้และการรักษาสมดุลของค่าครองชีพประชาชน มาก
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทย 2023 ครึ่งปีหลังยังดี ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้าน
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทย 2023 ครึ่งปีหลังยังดี ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้าน
SCBEICSCB
Asia2030 asean
Asia2030 asean
Vipasiri Chunsirisathaporn
Asia2030 asean
Asia2030 asean
Vipasiri Chunsirisathaporn
EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลังเผชิญความเสี่ยงเงินเฟ้อ-Fed ขึ้นดอกเบี้ย หลังกิจกรรมเศรษฐกิจเดือนมิถุนายนชะลอลงทั่วโลก เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัว แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่มีอยู่ต่อเนื่อง และความกังวลต่อนโยบายการเงินที่ตึงตัวเร็วของธนาคารกลางหลักทั่วโลก สะท้อนว่าเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวลง อัตราเงินเฟ้อในเดือนที่ผ่านมาปรับสูงขึ้นทั่วโลกและคาดว่าจะยังไม่ผ่านจุดสูงสุด ขณะที่ธนาคารกลางหลักของโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีท่าทีดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวกว่าเดิมเพื่อควบคุมการเร่งตัวของเงินเฟ้อ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอลงอย่างมีนัยในเดือนที่ผ่านมา และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) ในกลุ่มเศรษฐกิจหลักในตะวันตกมากขึ้น โดยเศรษฐกิจยุโรปมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยสูง จากความเสี่ยงวิกฤตพลังงานที่เพิ่มขึ้นหากรัสเซียหยุดการส่งก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้ในกรณีฐาน EIC ประเมินว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีโอกาสเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (technical recession) แต่จะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเนื่องจากอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ และภาคธุรกิจโดยรวมยังคงขยายตัว ด้านเศรษฐกิจในฝั่งเอเชียมีแนวโน้มดีขึ้นจากการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด แม้เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นยังเป็นประเด็นสำคัญที่อาจลดทอนการฟื้นตัวในระยะต่อไป โดยยังต้องจับตาการอ่อนค่าของสกุลเงินในภูมิภาคตามการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐที่อาจส่งผลให้เงินเฟ้อจากการนำเข้าเร่งตัวเพิ่มเติม เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องตามการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว แม้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องตามการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว แต่ในระยะถัดไปยังมีความเสี่ยงด้านต่ำจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยภาคการส่งออกยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากปัจจัยด้านราคาที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ปริมาณการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปีจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจากภาวะเงินเฟ้อเร่งตัวสูงและการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวของธนาคารกลางในหลายประเทศ อีกทั้ง นโยบายควบคุมโควิดอย่างเข้มข้น (Zero Covid) ในจีนยังเป็นความเสี่ยงต่อการล็อกดาวน์ระลอกใหม่ ด้านการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวทั้งจากการลงทุนภายในประเทศและการลงทุนจากต่างชาติตามแนวโน้มการเปิดเมือง แต่การลงทุนบางส่วนอาจชะลอหรือเลื่อนออกไปจากการส่งออกที่จะชะลอตัวลง ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ รวมถึงปัญหาด้านเงินเฟ้อ ในระยะต่อไปเศรษฐกิจไทยจะได้รับอานิสงส์จากการทยอยเปิดประเทศของทั้งไทยและประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยว ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงท้ายปีมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น โดย EIC คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยรวม 7.4 ล้านคนในปีนี้ ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา เติบโตได้ดีจากการเริ่มกลับไปใช้ชีวิตตามปกติของประชาชน ส่งผลให้ในปี 2022 จำนวนผู้เยี่ยมเยือนไทยมีแนวโน้มแตะ 194 ล้านคน และด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาเป็นปกติมากขึ้น รายได้ภาคเกษตรที่ขยายตัวได้ดี และอุปสงค์คงค้าง (pent-up demand) จากกลุ่มรายได้สูง และด้านตลาดแรงงานที่เริ่มส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นแม้ยังมีความเปราะบางและยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ในบางภาคธุรกิจ ส่งผลให้การบริโภคในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวที่ดี
EIC_Monthly_July_20220712-final.pdf
EIC_Monthly_July_20220712-final.pdf
SCBEICSCB
Similar to Outlook-3Q2023-Onscreen.pdf
(20)
Presentation_Outlook Q3 2022_20220913.pdf
Presentation_Outlook Q3 2022_20220913.pdf
Outlook ไตรมาส 1/2024 ภาคการผลิตไทยปรับตัวช้าฉุดเศรษฐกิจระยะยาว SCB EIC มองดอ...
Outlook ไตรมาส 1/2024 ภาคการผลิตไทยปรับตัวช้าฉุดเศรษฐกิจระยะยาว SCB EIC มองดอ...
SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงในปีนี้ ตาม Momentum เศรษฐกิจไทยและเงิน...
SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงในปีนี้ ตาม Momentum เศรษฐกิจไทยและเงิน...
Presentation_Outlook-Q4-2022_20221028.pdf
Presentation_Outlook-Q4-2022_20221028.pdf
เศรษฐกิจไทยยังไปต่อ SCB EIC มองความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นความเสี่ยงที่ต้องจ...
เศรษฐกิจไทยยังไปต่อ SCB EIC มองความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นความเสี่ยงที่ต้องจ...
CLMV-Outlook-2023_TH_20230131.pdf
CLMV-Outlook-2023_TH_20230131.pdf
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในปี 2023 สวนกระแสเศรษฐกิจโลกชะล...
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในปี 2023 สวนกระแสเศรษฐกิจโลกชะล...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น EIC คาดเงินเฟ้อโลกชะลอช้าและอยู่สูงกว่าเ...
Outlook 3Q2023-Full report-final.pdf
Outlook 3Q2023-Full report-final.pdf
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวต่อเนื่องจากแรงส่งการบริโภคและภาคการท่องเที่ย...
SCB EIC คาดเศรษฐกิจ CLMV ขยายตัวต่อเนื่องจากแรงส่งการบริโภคและภาคการท่องเที่ย...
ท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งออกยังไม่สดใสแต่คาดกลับมาขยายตัว...
ท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งออกยังไม่สดใสแต่คาดกลับมาขยายตัว...
ท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งออกยังไม่สดใสแต่คาดกลับมาขยายตัว...
ท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งออกยังไม่สดใสแต่คาดกลับมาขยายตัว...
SCB-EIC-Monthly-NOV-20231123.pdf
SCB-EIC-Monthly-NOV-20231123.pdf
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทย 2023 ครึ่งปีหลังยังดี ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้าน
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทย 2023 ครึ่งปีหลังยังดี ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้าน
Asia2030 asean
Asia2030 asean
Asia2030 asean
Asia2030 asean
EIC_Monthly_July_20220712-final.pdf
EIC_Monthly_July_20220712-final.pdf
More from SCBEICSCB
ถึงเวลาแล้วหรือยัง…ที่ธุรกิจโรงแรมต้องทรานส์ฟอร์ม นับเป็นระยะเวลาเกือบ 3 ปีเต็มในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ธุรกิจโรงแรมต้องบอบช้ำจากการหายไปของนักท่องเที่ยว โดยแม้ปัจจุบันสถานการณ์ท่องเที่ยวของไทยเริ่มกลับสู่ภาวะปกติแล้ว แต่วิกฤตที่ผ่านมาถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กระตุ้นให้ธุรกิจโรงแรมต้องเร่งปรับตัวและให้ความสำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics), ความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคหลังโควิด-19 (Post Covid-19 era), การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร (Demographic), ระบบเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ (New economy), กระแสความยั่งยืน (ESG), ความล้ำสมัยของเทคโนโลยียุคดิจิทัล (Digital technology) และแรงกดดันจากต้นทุนที่สูงขึ้น (Cost pressure) ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของจำนวนนักท่องเที่ยว เทรนด์การท่องเที่ยว รวมถึงโครงสร้างธุรกิจโรงแรม และยังมีโอกาสส่งผลกระทบต่อเนื่องในอนาคตด้วย การปรับตัวของธุรกิจโรงแรมเพื่อรับมือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ในยุคที่ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับความท้าทายที่จะเกิดขึ้น SCB EIC ประเมิน 5 องค์ประกอบหลักที่ธุรกิจโรงแรมในอนาคตจำเป็นต้องมีไว้ดังนี้ 1. การปรับตัวให้ทันตลาดท่องเที่ยวยุคใหม่ที่มีความหลากหลายมากขึ้น ปัจจุบันตลาดท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและจะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ไม่ควรมองข้าม โดย 4 กลุ่มตลาดท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่กำลังมาแรงในปี 2567 ได้แก่ กระแสการท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์และซีรีย์เรื่องโปรด (Set-jetting), การท่องเที่ยวสาย Event หรือการท่องเที่ยวที่มีความสนใจเฉพาะ (Hyper segmentation) เช่น คอนเสิร์ต กีฬา เทศกาล กิจกรรม Adventure, การท่องเที่ยวสไตล์สุขภาพเวลเนสจากกระแสรักสุขภาพ, และการท่องเที่ยวพร้อมทำงาน (Bleisure) ของกลุ่ม Digital Nomad 2. การทำ Personalization marketing เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างกัน ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีตลอดการใช้บริการของลูกค้า (Hotel guest journey) โดยนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มต้องการประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ (Seamless experience) และการบริการเฉพาะบุคคลมากขึ้น ซึ่งผู้บริโภคแต่ละกลุ่มนั้นมีความต้องการและคาดหวังในความสะดวกสบายที่แตกต่างกันในการรับบริการของโรงแรมตั้งแต่การจอง การ Check-in/Check-out ตลอดจนการรับฟังความคิดเห็นหลังการใช้บริการ ซึ่งกลุ่ม Gen X และ Baby boomer ส่วนใหญ่ยังเป็น Manual user ที่ให้ความสำคัญกับการรับบริการโดยตรงจากพนักงาน และมี Brand loyalty ค่อนข้างสูง ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Y และ Gen Z ส่วนใหญ่เป็น Digital user ที่คุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่ในชีวิตประจำวัน และ Digital marketing มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการใช้บริการ 3. การปรับใช้ Digital technology กับธุรกิจโรงแรม การนำ Digital technology เข้ามาใช้ในการบริการและบริหารจัดการธุรกิจโรงแรม ทั้งการเพิ่มการสื่อสารและการโต้ตอบ กับลูกค้า รวมถึงการสร้างกลุ่มลูกค้า Loyalty อีกทั้ง ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มยอดขายและลดต้นทุนให้แก่ธุรกิจโรงแรมในระยะต่อไป ซึ่งปัจจุบัน Digital technology ที่ถูกนำมาใช้ในธุรกิจโรงแรมอย่างแพร่หลาย ได้แก่ หุ่นยนต์บริการ, Internet of Things อย่าง Smart access และ Smart room, ระบบ Gen AI/Data analytics /Machine learning รวมถึงการใช้เทคโนโลยี VR/AR ในการสร้างประสบการณ์ให้กับผู้เข้าพัก และยกระดับการให้บริการ เป็นต้น Read more : https://www.scbeic.com/th/detail/product/hotel-transformation-230524
In focus-Hotel transformation-20240523.pdf
In focus-Hotel transformation-20240523.pdf
SCBEICSCB
เงื่อนไขโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2567 รัฐบาลเปิดเผยเงื่อนไขโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยผู้มีสิทธิในโครงการฯ จะมีอยู่ราว 50 ล้านคน ซึ่งเป็นคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 70,000 บาท ซึ่งจะได้รับเงิน 10,000 บาทผ่านแอปพลิเคชันที่รัฐบาลอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งสามารถนำไปซื้อสินค้าได้ทุกประเภท (ยกเว้นอบายมุข บริการ น้ำมันเชื้อเพลิง และสินค้าออนไลน์) จากร้านค้าปลีกขนาดเล็กภายในอำเภอ (รวมร้านสะดวกซื้อ Standalone และในปั๊มน้ำมัน) ซึ่งการใช้จ่ายจะเริ่มในไตรมาส 4 ปี 2567 ความคิดเห็นผู้บริโภคที่คาดว่าจะได้รับสิทธิดิจิทัลวอลเล็ต SCB EIC ได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคที่คาดว่าจะได้รับสิทธิดิจิทัลวอลเล็ต (ตามรายละเอียดของโครงการในช่วงครึ่งหลังของปี 2566) ระหว่าง 12 พ.ย.- 12 ธ.ค. 25661 ซึ่งมีผลการสำรวจที่น่าสนใจที่มีผลต่อเศรษฐกิจและธุรกิจค้าปลีก ดังนี้ เม็ดเงินโดยส่วนใหญ่จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะหมุนเข้าระบบภายใน 6 เดือน แม้ว่าก่อนหน้านี้ ภาครัฐจะกำหนดระยะเวลาการใช้จ่ายมากกว่า 6 เดือนก็ตาม โดยผู้ตอบแบบสอบถามราว 58% จะทยอยใช้เงินโครงการ 10,000 บาทครบภายใน 6 เดือน อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้มีรายได้น้อย (รายได้น้อยกว่า 1.5 หมื่นบาทต่อเดือน) หรือ กลุ่มผู้สูงอายุมีแนวโน้มจะทยอยใช้จ่ายเงิน 10,000 บาทไปจนถึงวันสิ้นสุดโครงการในเดือน เม.ย. 2570 (ตามเงื่อนไขการใช้จ่ายที่ทางการประกาศเมื่อเดือน พ.ย. 2566) ทั้งนี้จากการเปิดเผยของรัฐบาลเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2567 ยังไม่ได้ระบุระยะเวลาในการใช้จ่ายเงินของโครงการ ซึ่งหากภาครัฐต้องการให้เงินหมุนเวียนเร็วอย่างเต็มประสิทธิภาพ อาจต้องกำหนดระยะเวลาการใช้จ่ายให้สั้น เช่น ไม่เกิน 6 เดือน เพื่อกระตุ้นให้ผู้มีสิทธิใช้จ่ายในระยะเวลาที่กำหนด โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ กว่า 80% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่าจะลดการใช้จ่ายเงินส่วนตัวของตัวเองลง หากได้รับเงิน 10,000 บาทจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมาใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ผู้มีสิทธิฯ ที่ลดการใช้จ่ายเงินส่วนตัว บางส่วนนำเงินที่ลดลงดังกล่าวกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านการให้ญาติใช้จ่าย/นำไปลงทุนธุรกิจต่อ ทั้งนี้หากรวมเงินที่เข้าสู่ระบบฯ ข้างต้น จะพบว่า ราว 30% ของผู้มีสิทธิฯ ทั้งกลุ่มรายได้มาก (เงินเดือน 4-7 หมื่นบาท)-ปานกลาง (1.5-4 หมื่นบาท)-น้อย (< 1.5 หมื่นบาท) มีการใช้จ่ายเงินส่วนเพิ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า 10,000 บาทต่อราย นอกจากนี้ ผู้มีสิทธิฯ โดยส่วนใหญ่จะลดการใช้จ่ายเงินส่วนตัวลง และนำเงินที่ลดลงดังกล่าวไปเก็บออม/ชำระคืนเงินกู้ (คิดเป็นสัดส่วนราว 80% ของผู้มีสิทธิที่ลดการใช้จ่ายเงินส่วนตัว) ซึ่งช่วยลดภาระหนี้ของผู้มีสิทธิฯ หรือทำให้ผู้มีสิทธิฯ มีเงินออมเพื่อใช้จ่ายในยามจำเป็นมากขึ้น Grocery เป็นสินค้าหลักที่จะได้ประโยชน์จากโครงการฯ โดยผู้ตอบแบบสอบถามเลือกใช้จ่ายเงินโครงการในสินค้า Grocery เกือบ 40% ของประเภทสินค้าที่เลือกซื้อทั้งหมด ขณะที่สินค้าหมวดสุขภาพและร้านอาหารเป็นสินค้ารองลงมาที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากโครงการฯ ยกเว้นในกลุ่มผู้มีสิทธิที่เป็น Gen Z มีแนวโน้มนำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ มีแนวโน้มนำเงินบางส่วนจากโครงการไปซื้อสินค้าเพื่อแต่ง/ซ่อมบ้านเพิ่มเติมด้วย Read more : https://www.scbeic.com/th/detail/product/digital-wallet-230424
ส่องพฤติกรรมการใช้จ่ายผู้มีสิทธิ จากนโยบาย Digital wallet
ส่องพฤติกรรมการใช้จ่ายผู้มีสิทธิ จากนโยบาย Digital wallet
SCBEICSCB
เศรษฐกิจ CLMV มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นในปี 2024 SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจ CLMV มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นในปี 2024 ตามการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยว ซึ่งจะสนับสนุนให้อุปสงค์ในประเทศปรับดีขึ้นผ่านการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน ในระยะปานกลางเศรษฐกิจ CLMV มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตของธุรกิจข้ามชาติออกไปลงทุนในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคตามยุทธศาสตร์ “China +1” เพื่อลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในระยะต่อไป ในปีนี้ SCB EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจกัมพูชาจะขยายตัวต่อเนื่อง 6.0% (จาก 5.6% ในปี 2023) สปป.ลาว 4.7% (จาก 4.5%) เมียนมา 3.0% (จาก 2.5%) และเวียดนาม 6.3% (จาก 5.1%) อัตราการขยายตัวของแต่ละประเทศใน CLMV ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อน COVID-19 จากปัจจัยกดดันต่าง ๆ อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเศรษฐกิจภูมิภาค CLMV มีความสัมพันธ์สูงทั้งด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวและภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกัน บางประเทศ เช่น กัมพูชาและเวียดนามมีอัตราส่วนหนี้เสีย (Non-performing loans ratio) สูงขึ้นหลังมาตรการช่วยเหลือในช่วง COVID-19 สิ้นสุดลง ประกอบกับภาวะการเงินในประเทศที่ตึงตัวขึ้น อาจกระทบการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินและการเข้าถึงสภาพคล่องของธุรกิจได้ นอกจากนี้ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นปัจจัยที่ต้องจับตาต่อเนื่อง ในระยะสั้นการค้าโลกอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาการขนส่งบริเวณทะเลแดงและคลองปานามาที่แห้งแล้งและอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งสินค้าส่งออกของภูมิภาค CLMV ได้ ในระยะยาวเศรษฐกิจ CLMV จะต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับโลกที่มีแนวโน้มจะกีดกันการค้าและตั้งกำแพงภาษีมากขึ้น ความเร็วในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ CLMV แตกต่างกัน ความเร็วในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ CLMV แตกต่างกัน ขึ้นกับปัจจัยเฉพาะประเทศ โดยเฉพาะในสปป.ลาวที่เผชิญความเสี่ยงจากระดับหนี้สาธารณะซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปสกุลเงินต่างประเทศที่อยู่ในระดับสูงเทียบกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ ท่ามกลางภาวะการเงินโลกตึงตัว ทำให้เงินกีบอ่อนค่ารวดเร็ว ซ้ำเติมภาระการชำระหนี้ต่างประเทศ และทำให้เงินเฟ้อในประเทศพุ่งสูงขึ้นมากและปรับตัวลดลงได้ช้าในปีนี้ ปัจจัยเหล่านี้กดดันศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะปานกลาง โดยสปป.ลาวกำลังดำเนินการรัดเข็มขัดทางการคลัง ควบคู่กับการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้และการหาแหล่งระดมทุนใหม่เพื่อรักษาเสถียรภาพการคลังไว้ ขณะที่เมียนมาเป็นอีกประเทศที่กำลังเผชิญปัจจัยกดดันเชิงโครงสร้าง ซึ่งได้รับผลกระทบจากความไม่สงบทางการเมืองตั้งแต่ปี 2021 และทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงปลายปี 2023 ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์ในประเทศซบเซา ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกมีส่วนทำให้อุปสงค์ต่างประเทศอ่อนแอลงมาก ประกอบกับปัญหาอื่น ๆ เช่น การขาดแคลนเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เงินจัตอ่อนค่าและเงินเฟ้อเร่งตัว ตลอดจนปัญหาระบบขนส่งและโครงข่ายไฟฟ้าหยุดชะงัก การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ยังดูเป็นไปได้ยากในระยะสั้น เนื่องจากจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยทางการเมืองที่มีเสถียรภาพ ค่าเงินของกลุ่มประเทศ CLMV จะเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าลดลง read more : https://www.scbeic.com/th/detail/product/clmv-outlook-mar24
SCB EIC มองเศรษฐกิจ CLMV เร่งตัวในปี 2024 แต่ยังโตช้ากว่าช่วงก่อน COVID-19 จา...
SCB EIC มองเศรษฐกิจ CLMV เร่งตัวในปี 2024 แต่ยังโตช้ากว่าช่วงก่อน COVID-19 จา...
SCBEICSCB
ภาพรวมธุรกิจเวชศาสตร์ความงาม (Aesthetic & Surgery) ธุรกิจเวชศาสตร์ความงาม (Aesthetic & Surgery) เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งในระดับโลกและในไทย โดยตลาดเวชศาสตร์ความงามของไทยในปี 2021 มีมูลค่าอยู่ที่ราว 5 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องราว 10%CAGR ในช่วงปี 2022-2030 จากเทรนด์ดูแลผิวและความงามของผู้บริโภคยุคใหม่ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ต่างชาติ ด้วยค่าบริการในไทยที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายเมื่อเทียบกับค่าบริการเฉลี่ยของโลก รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของภาครัฐ ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านหัตถการและศัลยกรรมความงามอันดับต้น ๆ ของเอเชียแปซิฟิก ผู้บริโภคส่วนใหญ่ใส่ใจด้านความสวยความงาม SCB EIC ได้สำรวจผู้บริโภคชาวไทยในด้านเวชศาสตร์ความงาม พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ใส่ใจด้านความสวยความงาม โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y ผู้หญิง และ LGBTQIA+ ที่มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับความสวยความงามมากขึ้นและใช้จ่ายในด้านเวชศาสตร์ความงามสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจเวชศาสตร์ความงามทั้งด้านหัตถการและศัลยกรรมเสริมความงามมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง ธุรกิจหัตถการเสริมความงาม : เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มขยายฐานผู้ใช้บริการได้มากขึ้นในกลุ่มผู้ชายและ Gen Z โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่จะใช้บริการเพื่อการรักษาและบำรุงผิวมากที่สุดควบคู่กับการใช้บริการหัตถการประเภทอื่น และจะใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาทต่อครั้ง ทั้งนี้ผู้บริโภคยังเลือกใช้บริการจากสถานบริการที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างคลินิกหัตถการความงาม และโรงพยาบาลเฉพาะทาง โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านราคาเป็นหลัก รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยทั้งจากสถานบริการและอุปกรณ์/เครื่องมือที่ใช้ให้บริการ ธุรกิจศัลยกรรมเสริมความงาม : แม้การทำศัลยกรรมเสริมความงามจะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคบางส่วน แต่ผู้บริโภคมีแนวโน้มให้ความสนใจเพิ่มขึ้น ประกอบกับโดยส่วนใหญ่ผู้บริโภคจะทำศัลยกรรมมากกว่า 1 ประเภท โดยการศัลยกรรมจมูกและดวงตาเป็นที่นิยมสูงสุดทั้งจากผู้ที่ผ่านการทำศัลยกรรมเสริมความงามมาแล้วและผู้ที่สนใจทำศัลยกรรมในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ผู้บริโภคจะเลือกใช้บริการศัลยกรรมเสริมความงามจากโรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางและคลินิกศัลยกรรมตกแต่งความงามเป็นหลัก เนื่องจากมาตรฐานความปลอดภัยเป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากที่สุด ขณะที่การทำศัลยกรรมในต่างประเทศก็ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง โจทย์ท้าทายของธุรกิจหัตถการและศัลยกรรมเสริมความงาม แม้หัตถการและศัลยกรรมเสริมความงามจะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Y และ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับการทำหัตถการและศัลยกรรมความงามเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่การเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้บริการใหม่ และยังคงรักษาฐานผู้ใช้บริการรายเดิมให้กลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่องถือเป็นโจทย์ท้าทายสำคัญของธุรกิจหัตถการและศัลยกรรมเสริมความงาม โดย 1. การกำหนดราคาที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักของธุรกิจหัตถการเสริมความงามในการเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้บริการเดิมกลับมาใช้บริการซ้ำ และการเจาะกลุ่มผู้ใช้บริการใหม่ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมใช้บริการหัตถการเสริมความงามมากกว่า 1 ประเภท และยังมีผู้บริโภคไม่น้อยที่สนใจใช้บริการหัตถการเสริมความงาม อีกทั้ง การพัฒนาแพ็กเกจการบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลควบคู่ไปด้วยจะสามารถดึงดูดผู้ใช้บริการได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น read more : https://www.scbeic.com/th/detail/product/surgery-170424
Health and Wellness survey 2024-Aesthetic-Surgery-20240417.pdf
Health and Wellness survey 2024-Aesthetic-Surgery-20240417.pdf
SCBEICSCB
ภาพรวมธุรกิจเวชศาสตร์ความงาม (Aesthetic & Surgery) ธุรกิจเวชศาสตร์ความงาม (Aesthetic & Surgery) เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งในระดับโลกและในไทย โดยตลาดเวชศาสตร์ความงามของไทยในปี 2021 มีมูลค่าอยู่ที่ราว 5 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องราว 10%CAGR ในช่วงปี 2022-2030 จากเทรนด์ดูแลผิวและความงามของผู้บริโภคยุคใหม่ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ต่างชาติ ด้วยค่าบริการในไทยที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายเมื่อเทียบกับค่าบริการเฉลี่ยของโลก รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของภาครัฐ ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านหัตถการและศัลยกรรมความงามอันดับต้น ๆ ของเอเชียแปซิฟิก ผู้บริโภคส่วนใหญ่ใส่ใจด้านความสวยความงาม SCB EIC ได้สำรวจผู้บริโภคชาวไทยในด้านเวชศาสตร์ความงาม พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ใส่ใจด้านความสวยความงาม โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y ผู้หญิง และ LGBTQIA+ ที่มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับความสวยความงามมากขึ้นและใช้จ่ายในด้านเวชศาสตร์ความงามสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจเวชศาสตร์ความงามทั้งด้านหัตถการและศัลยกรรมเสริมความงามมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง ธุรกิจหัตถการเสริมความงาม : เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มขยายฐานผู้ใช้บริการได้มากขึ้นในกลุ่มผู้ชายและ Gen Z โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่จะใช้บริการเพื่อการรักษาและบำรุงผิวมากที่สุดควบคู่กับการใช้บริการหัตถการประเภทอื่น และจะใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาทต่อครั้ง ทั้งนี้ผู้บริโภคยังเลือกใช้บริการจากสถานบริการที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างคลินิกหัตถการความงาม และโรงพยาบาลเฉพาะทาง โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านราคาเป็นหลัก รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยทั้งจากสถานบริการและอุปกรณ์/เครื่องมือที่ใช้ให้บริการ ธุรกิจศัลยกรรมเสริมความงาม : แม้การทำศัลยกรรมเสริมความงามจะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคบางส่วน แต่ผู้บริโภคมีแนวโน้มให้ความสนใจเพิ่มขึ้น ประกอบกับโดยส่วนใหญ่ผู้บริโภคจะทำศัลยกรรมมากกว่า 1 ประเภท โดยการศัลยกรรมจมูกและดวงตาเป็นที่นิยมสูงสุดทั้งจากผู้ที่ผ่านการทำศัลยกรรมเสริมความงามมาแล้วและผู้ที่สนใจทำศัลยกรรมในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ผู้บริโภคจะเลือกใช้บริการศัลยกรรมเสริมความงามจากโรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางและคลินิกศัลยกรรมตกแต่งความงามเป็นหลัก เนื่องจากมาตรฐานความปลอดภัยเป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากที่สุด ขณะที่การทำศัลยกรรมในต่างประเทศก็ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง โจทย์ท้าทายของธุรกิจหัตถการและศัลยกรรมเสริมความงาม แม้หัตถการและศัลยกรรมเสริมความงามจะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Y และ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับการทำหัตถการและศัลยกรรมความงามเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่การเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้บริการใหม่ และยังคงรักษาฐานผู้ใช้บริการรายเดิมให้กลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่องถือเป็นโจทย์ท้าทายสำคัญของธุรกิจหัตถการและศัลยกรรมเสริมความงาม โดย 1. การกำหนดราคาที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักของธุรกิจหัตถการเสริมความงามในการเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้บริการเดิมกลับมาใช้บริการซ้ำ และการเจาะกลุ่มผู้ใช้บริการใหม่ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมใช้บริการหัตถการเสริมความงามมากกว่า 1 ประเภท และยังมีผู้บริโภคไม่น้อยที่สนใจใช้บริการหัตถการเสริมความงาม อีกทั้ง การพัฒนาแพ็กเกจการบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลควบคู่ไปด้วยจะสามารถดึงดูดผู้ใช้บริการได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น read more : https://www.scbeic.com/th/detail/product/surgery-170424
Health and Wellness survey 2024-Aesthetic-Surgery-20240417.pdf
Health and Wellness survey 2024-Aesthetic-Surgery-20240417.pdf
SCBEICSCB
CLMV economic growth to accelerate in 2024. SCB EIC expects CLMV economic growth to accelerate in 2024, backed by a recovery in exports and tourism, which will bolster domestic demand through labor market recovery. Looking ahead, CLMV economies are poised to benefit from the “China +1” strategy, with multinational enterprises seeking to diversify their manufacturing bases to mitigate rising geopolitical risks. This relocation trend will help buttress foreign direct investment (FDI) in CLMV countries in the medium term. In 2024, SCB EIC anticipates GDP growth of 6.0% in Cambodia (up from 5.6% in 2023), 4.7% in Lao PDR (from 4.5%), 3.0% in Myanmar (from 2.5%), and 6.3% in Vietnam (from 5.1%). The growth rate of each CLMV economy still lagged behind the pre-COVID-19 average. Slower growth is primarily attributed to pressures from China’s economic deceleration, given CLMV’s heavy reliance on China—especially in trade, investment, tourism, and the real estate sector. Meanwhile, Cambodia and Vietnam witnessed an uptick in non-performing loan ratios following the withdrawal of COVID-19 relief measures. Furthermore, tighter domestic financial conditions may hinder credit from financial institutions and access to liquidity for businesses. Geopolitical conflicts also pose significant risks that warrant monitoring. In the short term, disruptions in the Red Sea and a drought in the Panama Canal could hamper global trade and heighten costs in export logistics for CLMV countries. In the long term, the CLMV region must prepare for the rising tides of protectionism worldwide, notably trade barriers and tariffs. read more : https://www.scbeic.com/en/detail/product/clmv-outlook-mar24
CLMV-Outlook-March-2024-ENG-20240327.pdf
CLMV-Outlook-March-2024-ENG-20240327.pdf
SCBEICSCB
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกในปี 2024 มีแนวโน้มเติบโต 2.6% ใกล้เคียงปีก่อน มุมมองปรับดีขึ้นจากแรงส่งที่ดีในไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ดีในช่วงต้นปีนี้ โดยกิจกรรมในภาคบริการขยายตัวเร่งขึ้น ขณะที่กิจกรรมในภาคการผลิตเริ่มกลับมาขยายตัวจากที่หดตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกจะได้รับแรงสนับสนุนจากการค้าโลกที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้นและอัตราเงินเฟ้อโลกที่ชะลอตัวลง แต่ยังมีแรงกดดันจากผลกระทบของภาวะดอกเบี้ยสูง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยืดเยื้อ และปัญหาห่วงโซ่อุปทานโลกจากปัญหาการขนส่งบริเวณทะเลแดงและคลองปานามาที่แห้งแล้ง ธนาคารกลางกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักจะเริ่มปรับทิศการใช้นโยบายการเงินไตรมาส 2 ปีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง รวม 75 BPS ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้ง รวม 100 BPS ตามทิศทางเงินเฟ้อที่ปรับชะลอลง ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบและ YCC ในเดือน มี.ค. และมีแนวโน้มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกรอบเวลาหลายปี ขณะที่ธนาคารกลางจีนจะยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพยุงเศรษฐกิจต่อเนื่อง แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2024 สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย SCB EIC ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2024 เหลือ 2.7% (เดิม 3%) แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2024 จะยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องได้ จากแรงขับเคลื่อนของการท่องเที่ยวและภาคบริการรวมถึงเศรษฐกิจด้านอุปสงค์อื่นที่กลับมาขยายตัวเร่งขึ้นในหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มดีขึ้น แต่แรงส่งภาครัฐจะยังหดตัวต่อเนื่องในไตรมาสแรกจากความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2024 กอปรกับปัญหาสินค้าคงคลังสะสมสูงจากปีก่อนจะยังไม่สามารถคลี่คลายได้เร็ว ส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกไทยที่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยจะยังฟื้นช้าต่อเนื่องมาในปีนี้ ภาวะเงินเฟ้อไทย ในส่วนของเงินเฟ้อไทยที่ติดลบต่อเนื่องหลายเดือน SCB EIC ประเมินว่า ไทยยังไม่เผชิญภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นบวกตั้งแต่เดือน พ.ค. เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือด้านราคาพลังงานจะสิ้นสุดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันในประเทศที่จะเริ่มปรับสูงขึ้น นอกจากนี้ เงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงด้านสูงท่ามกลางความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทานโลกชะงักจากสถานการณ์ทะเลแดง สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง รวมถึงนโยบายควบคุมการส่งออกของบางประเทศที่อาจทำให้ราคาสินค้าเกษตรบางชนิดเพิ่มขึ้น เช่น ข้าวและน้ำตาล เงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งหลังของปีจึงจะเร่งกลับไปแตะกรอบเงินเฟ้อได้ โดย SCB EIC ประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2024 อยู่ที่ 0.8% และ 0.6% ตามลำดับ อ่านเพิ่มเติม : https://www.scbeic.com/th/detail/product/outlook-q12024
Outlook ไตรมาส 1/2024 ภาคการผลิตไทยปรับตัวช้าฉุดเศรษฐกิจระยะยาว SCB EIC มองดอ...
Outlook ไตรมาส 1/2024 ภาคการผลิตไทยปรับตัวช้าฉุดเศรษฐกิจระยะยาว SCB EIC มองดอ...
SCBEICSCB
เศรษฐกิจโลกปี 2024 เศรษฐกิจโลกในปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง จากผลของนโยบายการเงินตึงตัวต่อเนื่องและตลาดแรงงานอ่อนแอลง อีกทั้ง ยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนรอบด้าน โดยในปีนี้จะมีการเลือกตั้งใหญ่กว่า 60 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจรวมสูงกว่า 60% ของโลก นอกจากนี้ การค้าและห่วงโซ่อุปทานโลกเผชิญความเสี่ยงใหม่จากการโจมตีเรือขนส่งสินค้าในบริเวณทะเลแดงและปัญหาน้ำแล้งในคลองปานามา ก่อให้เกิดความแออัดในการขนส่งทางเรือหรือต้องปรับเส้นทางเดินเรือ ทำให้ระยะเวลาการเดินทางและต้นทุนขนส่งสูงขึ้น ธนาคารกลางในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักมีแนวโน้มจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาส 2 จากเงินเฟ้อที่มีทิศทางชะลอลง สำหรับจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย (Required Reserve Ratio : RRR) ขณะที่ญี่ปุ่นมีแนวโน้มยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบปีนี้ เศรษฐกิจไทยปี 2024 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปี 2024 แรงส่งหลักมาจากการบริโภคภาคเอกชนตามความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับดีขึ้น มาตรการลดค่าครองชีพและโครงการ Easy e-receipt กระตุ้นการใช้จ่าย ทั้งนี้ ผลบวกของโครงการนี้อาจไม่มากเท่าในอดีต เนื่องจากเงื่อนไขจำกัดเฉพาะร้านที่ออก e-Tax Invoice ได้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีแรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นต่อเนื่องและการส่งออกที่กลับมาขยายตัวได้ สอดคล้องกับการผลิตบางอุตสาหกรรมที่เริ่มฟื้น เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปมาจากการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2024 ล่าช้ากดดันการลงทุนภาครัฐในช่วงครึ่งปีแรก ตลอดจนความไม่แน่นอนจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความเสี่ยงใหม่ในตะวันออกกลางที่อาจกระทบการขนส่งทางทะเล และทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกชะงักขึ้นได้อีก สำหรับเงินเฟ้อไทย แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะติดลบต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีก่อน แต่ส่วนใหญ่เป็นผลจากมาตรการช่วยค่าครองชีพประชาชน โดย SCB EIC ประเมินว่า ประเทศไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เงินเฟ้อติดลบยังไม่กระจายตัวรายสินค้าเป็นวงกว้าง และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวก มองไปข้างหน้าเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานเป็นหลัก กดดันปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยที่ยังอยู่ในระดับสูงและรายได้กลุ่มเปราะบางฟื้นช้า แนวโน้มหนี้ครัวเรือนไทย สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยยังน่ากังวลสอดคล้องกับผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2023 พบว่า กลุ่มคนรายได้น้อยเผชิญปัญหาหนี้สินเพิ่มขึ้นหลังวิกฤตโควิดและยังมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายอยู่มาก โดยผู้มีรายได้น้อยกว่า 1 ใน 3 ประกอบอาชีพอิสระ/รับจ้างทั่วไป ซึ่งมีแนวโน้มเป็นแรงงานนอกระบบที่รายได้ไม่มากและเข้าไม่ถึงระบบประกันสังคม ประกอบกับกลุ่มนี้มีวิธีบริหารจัดการหนี้ที่ยังไม่ดีนัก จึงพึ่งพาหนี้นอกระบบสูง และมีแนวโน้มติดอยู่ในวงจรหนี้อีกนาน จึงต้องอาศัยนโยบายระยะสั้น เพิ่มสภาพคล่องและแก้หนี้ให้กลุ่มครัวเรือนเปราะบาง ควบคู่กับนโยบายระยะยาว เพิ่มภูมิคุ้มกันคนไทย เช่น ปรับทักษะช่วยยกระดับรายได้ยั่งยืน เพิ่มสัดส่วนแรงงานทำงานในระบบให้เข้าถึงสวัสดิการประกันสังคม และเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินส่วนบุคคล แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2024 SCB EIC คาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ที่ระดับ 2.5% ตลอดปีนี้ เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มองว่าเป็นระดับที่เหมาะสมกับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจสู่ศักยภาพและเอื้อให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย read more : https://www.scbeic.com/th/detail/product/eic-monthly-0124
SCB EIC Monthly Jan 24
SCB EIC Monthly Jan 24
SCBEICSCB
ธุรกิจสุขภาพและเวสเนส (Health & Wellness) เป็นธุรกิจที่กำลังมาแรงทั้งในระดับโลกและในไทยเอง อีกทั้ง ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในอนาคตโดยเฉพาะธุรกิจสุขภาพและเวลเนสด้านดูแล รักษาและป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเวชศาสตร์ป้องกัน แพทย์ทางเลือก สุขภาพจิต และ Wellness real estate ที่มีศักยภาพในการเติบโตค่อนข้างสูง SCB EIC ได้สำรวจผู้บริโภคชาวไทยในด้านสุขภาพและเวลเนส พบว่า ผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมาส่งผลให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการดูแล รักษา และป้องกันสุขภาพมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้ธุรกิจด้านนี้ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคค่อนข้างสูง 4 กลุ่มธุรกิจสุขภาพและเวลเนสด้านดูแล รักษา และป้องกันที่มาแรงและกำลังเติบโต • ธุรกิจเวชศาสตร์ป้องกัน : เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากวิกฤตโควิด-19 ที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคเห็นความสำคัญต่อเวชศาสตร์ป้องกันค่อนข้างมากทั้งการตรวจสุขภาพ การเข้ารับวัคซีน การตรวจเลือดกับห้องแล็บ การตรวจคัดกรองโรค และการตรวจยีน อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคยังมีความกังวลด้านค่าใช่จ่ายอยู่สูงพอสมควร โดยผู้ที่มีสิทธิรักษาพยาบาลในด้านเวชศาสตร์ป้องกันอย่างเช่นการตรวจสุขภาพจะมีการใช้บริการที่มากกว่า อีกทั้ง การบริการรูปแบบใหม่อย่าง Telemedicine ยังเข้าถึงผู้บริโภคได้ไม่มากนักเนื่องจากผู้บริโภคยังมีมายาคติในด้านราคาและคุณภาพในการรักษา ซึ่งต้องการการประชาสัมพันธ์และการส่งเสริมให้เกิดการใช้งาน • ธุรกิจแพทย์ทางเลือก : เป็นธุรกิจที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคค่อนข้างสูง ด้วยปัจจุบันแพทย์ทางเลือกเป็นศาสตร์การรักษาที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นโดยเฉพาะแพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน และธรรมชาติบำบัด โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและกลุ่มที่มีโรคประจำตัว ซึ่งคลินิกเฉพาะทาง และโรงพยาบาลยังคงเป็นสถานที่ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกใช้บริการเนื่องจากมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ อย่างไรก็ดี นอกจากชื่อเสียงของสถานที่และแพทย์แล้ว ราคาที่เหมาะสม คุณภาพการให้บริการ และอุปกรณ์ที่สะอาด ทันสมัย ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้บริการแพทย์ทางเลือกของผู้บริโภค • ธุรกิจด้านสุขภาพจิต : เป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มวัยทำงานให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของตนเองเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้คนไทยกว่าครึ่งเผชิญภาวะเครียดสะสมและปัญหาการนอนหลับ ตามด้วยภาวะหมดไฟในการทำงาน อย่างไรก็ดี ผู้ที่เผชิญปัญหารบกวนสุขภาพจิตส่วนใหญ่ยังคงเลือกฟื้นฟูจิตใจด้วยตัวเองมากกว่า สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะปัญหาที่เผชิญยังอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรงมากนัก แต่ถ้าหากจำเป็นจะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะเลือกปรึกษาจิตแพทย์/นักจิตบำบัดในคลินิกสถานพยาบาล/โรงพยาบาลเป็นหลัก ตามด้วยบริการปรึกษาปัญหาทางโทรศัพท์อย่างสายด่วนสุขภาพจิตของกรมสุขภาพจิต ขณะที่บริการปรึกษาสุขภาพจิตผ่าน Telemedicine ยังเข้าถึงผู้บริโภคได้ไม่มากนัก • ธุรกิจ Wellness real estate : เป็นอีกธุรกิจที่กำลังเป็นที่สนใจจากผู้บริโภคค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกลุ่ม Baby boomer และ Gen X ซึ่งปัจจัยด้านราคาที่เหมาะสม ระบบการดูแลบริการลูกบ้าน และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ผู้สูงอายุส่งผลให้ผู้บริโภคจะสนใจ Wellness real estate มากกว่า Real estate ทั่วไป Read more : https://www.scbeic.com/th/detail/product/health-and-wellness-survey-170124
สำรวจเทรนด์สุขภาพเวลเนสชาวไทยด้านดูแล รักษา และป้องกัน…ธุรกิจดาวรุ่งที่กำลังเ...
สำรวจเทรนด์สุขภาพเวลเนสชาวไทยด้านดูแล รักษา และป้องกัน…ธุรกิจดาวรุ่งที่กำลังเ...
SCBEICSCB
ไทยเป็นประเทศที่ฟื้นจากวิกฤตโควิดช้าติดกลุ่มรั้งท้ายในโลก กิจกรรมเศรษฐกิจไทยเพิ่งกลับไปแตะระดับก่อนโควิดเมื่อสิ้นปี 2023 นับว่าไทยเป็นประเทศที่ฟื้นจากวิกฤตโควิดช้าติดกลุ่มรั้งท้ายในโลก มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตช้าตามระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยที่ลดต่ำลงหลังโควิด สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมาโดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือน สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยเร่งสูงขึ้นมากตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด ติดอันดับ 1 ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และติดอันดับ 7 ของโลก (ข้อมูลธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ ณ ไตรมาส 2 ปี 2023) สาเหตุหลักเกิดจากความไม่พร้อมด้านรายได้ของคนไทยที่ฟื้นช้าและไม่ทั่วถึง (K-Shape recovery) คนกลุ่มบนจำนวนน้อยรายได้ฟื้นเร็วและโตดี ในขณะที่คนกลุ่มล่างจำนวนมากยังฟื้นช้า โตต่ำ และกำลังเผชิญปัญหาทางการเงินในทุกมิติ ทั้งด้านรายได้ รายจ่าย ภาระหนี้ และเงินออม โดยกลุ่มครัวเรือนที่รายได้ฟื้นช้าไม่พอรายจ่าย ส่วนใหญ่ทำงานในภาคการผลิตมูลค่าไม่สูง คือ ภาคเกษตร (50%) และภาคบริการ (30%) มีหัวหน้าครัวเรือนอายุมากคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% และเรียนจบต่ำกว่าชั้นมัธยมคิดเป็นสัดส่วนถึง 75% กลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยมีความไม่พร้อมด้านรายได้ ความไม่พร้อมด้านรายได้ของคนไทยเกิดขึ้นในกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของประเทศ สาเหตุหลักของความไม่พร้อมด้านรายได้ของคนไทยมาจากผลิตภาพแรงงานที่ปรับลดลงเกือบทุกสาขาการผลิตและยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด โดยแรงงานภาคเกษตรมีผลิตภาพต่ำสุด นอกจากนี้ สัดส่วนแรงงานนอกระบบของไทยยังสูงมากถึง 51% (ปี 2022) ส่วนใหญ่ทำงานในภาคเกษตร ภาคบริการและการค้า ซึ่งมีผลิตภาพไม่สูง SCB EIC ประเมินกลุ่มคนรายได้น้อยจะเผชิญปัญหาด้านการเงินอีกนาน โดยจากผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2023 (สำรวจ ณ 20 ต.ค. - 3 พ.ย 2023 จำนวนตัวอย่าง 2,189 คน) พบว่า (1) กลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยยังมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายอยู่มาก และมีแนวโน้มเผชิญปัญหาหนี้สินเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายสูงสุดถึง 73% และส่วนใหญ่ของคนกลุ่มนี้ราว 70% มีภาระหนี้เพิ่มขึ้นเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤต อีกทั้ง แนวโน้มข้างหน้ามีความจำเป็นต้องกู้มากขึ้น ส่วนใหญ่จะพึ่งพาเงินกู้นอกระบบมากขึ้น และการกู้ไปชำระหนี้กลายเป็นวัตถุประสงค์หลักของการกู้เงิน (2) กลุ่มคนรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนกว่าครึ่งหนึ่งประสบปัญหาค้างชำระหนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลจากทั้งรายได้ลดลงมากและค่าใช้จ่ายของครัวเรือนสูงขึ้น คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าคนกลุ่มอื่น ส่งผลให้กันชนทางการเงินของกลุ่มคนรายได้น้อยลดลงมากตามการออมที่ลดลงตั้งแต่เกิดโควิด โดยราว 70% ของคนกลุ่มนี้ไม่มีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน หรือสามารถอยู่ได้ไม่เกิน 1-3 เดือนหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นทำให้ขาดรายได้ (เช่น เจ็บป่วย ออกจากงาน) สะท้อนความเปราะบางทางการเงินของครัวเรือนในการรองรับปัจจัยไม่คาดคิดในอนาคต (3) พฤติกรรมการชำระหนี้ของกลุ่มคนรายได้น้อยไม่ค่อยดีนัก โดยกว่าครึ่งมีพฤติกรรมการจ่ายชำระหนี้แค่ขั้นต่ำ หรือจ่ายหนี้ไม่เต็มจำนวน หรือผิดนัดชำระหนี้เป็นบางครั้ง นอกจากนี้ กลุ่มคนรายได้น้อยยังมองว่าสถานการณ์หนี้สินของตนมีแนวโน้มปรับแย่ลงมากกว่าปรับดีขึ้นในช่วง 1 ปีข้างหน้า SCB EIC ประเมินว่ากลุ่มครัวเรือนรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนจะยังมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายนานกว่า 3 ปี อ่านเพิ่่มเติม : https://www.scbeic.com/th/detail/product/consumer-survey-110124
เมื่อคนไทย (ส่วนใหญ่) ยังไม่พร้อม…การเตรียมความพร้อมจึงจำเป็น
เมื่อคนไทย (ส่วนใหญ่) ยังไม่พร้อม…การเตรียมความพร้อมจึงจำเป็น
SCBEICSCB
การก่อสร้างภาครัฐ มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัว 2%YOY แตะระดับ 810,000 ล้านบาท โดยจะเผชิญปัจจัยท้าทายด้านความล่าช้าในการจัดทำงบประมาณประจำปี 2024 ซึ่งจะกระทบมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐใน Q1-Q2/2024 และคาดว่าจะสามารถเร่งเบิกจ่ายได้ในช่วง Q3/2024 ซึ่งเป็นช่วงท้ายปีงบประมาณ อย่างไรก็ดี จะมีการเริ่มประมูลโครงการ Mega project ใหม่ ๆ โดยหน่วยงานต่าง ๆ เตรียมนำเสนอเพื่อให้ ครม. อนุมัติ ทั้งนี้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปรับปรุงระบบคมนาคมทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ โดยมีโอกาสเร่งพัฒนาการคมนาคมขนส่งด้านรถไฟ ที่เชื่อมโยงกับการคมนาคมอื่น ๆ นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมการลงทุนยังหนุนให้เกิดโอกาสในการเร่งพัฒนาโครงการก่อสร้างที่เกี่ยวข้อง ทั้งโครงการภาครัฐ และภาคเอกชน การก่อสร้างภาคเอกชน มูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนในปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ 598,000 ล้านบาท (+3%YOY) โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการขยายตัวของมูลค่าการก่อสร้างที่อยู่อาศัยกลุ่มคอนโดมิเนียม ไปตามการเปิดโครงการใหม่ที่กลับมาฟื้นตัวใน 1-2 ปีก่อนหน้า รวมถึงการขยายตัวของมูลค่าการก่อสร้างอาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีการ Renovate พื้นที่ค้าปลีก และโรงแรม เพื่อรองรับการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม หนี้ครัวเรือนสูง และราคาที่อยู่อาศัยใหม่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นความท้าทายต่อการเปิดตัวโครงการ และการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มระดับราคาปานกลางลงมา รวมถึงต้องจับตาภาวะ Oversupply ที่อาจทำให้เลื่อน/ยกเลิกโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่ไม่มีศักยภาพออกไป โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานในบางพื้นที่ ความท้าทายในปี 2024 ของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ภาคก่อสร้างยังเผชิญความท้าทายทั้งในปี 2024 และในระยะปานกลาง ทั้งต้นทุนก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูง ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องทางการเงิน และแรงกดดันในการลดการปล่อย CO2 ที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างต้องปรับกลยุทธ์รับมือ ได้แก่ 1) เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ และควบคุมต้นทุนก่อสร้าง ด้วยการพัฒนาศักยภาพ และร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อเข้าประมูลงานก่อสร้างได้อย่างหลากหลาย ร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ระมัดระวังการเข้าประมูลแบบแข่งขันด้านราคา รวมถึงทำสัญญาสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างล่วงหน้า อย่างสอดคล้องกับความต้องการใช้ 2) บริหารสภาพคล่องทางการเงิน โดยปรับสัดส่วนการรับงานก่อสร้างภาครัฐ และเอกชนให้เหมาะสม รวมถึงดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผน เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตามกำหนด 3) ลดการปล่อย CO2 ด้วยการหาพันธมิตรวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลงทุนนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้ ให้ความสำคัญกับการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงกำหนดเป้าหมาย และตัวชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อม
SCB EIC คาดอุตสาหกรรมก่อสร้างปี 2024 ขยายตัว 2%YOY แตะ 1.4 ล้านล้านบาท แนะผู้...
SCB EIC คาดอุตสาหกรรมก่อสร้างปี 2024 ขยายตัว 2%YOY แตะ 1.4 ล้านล้านบาท แนะผู้...
SCBEICSCB
ธุรกิจสุขภาพและเวสเนส (Health & Wellness) เป็นธุรกิจที่กำลังมาแรงทั้งในระดับโลกและในไทยเอง โดยมูลค่าตลาดสุขภาพและเวลเนสของไทยมีขนาดใหญ่มากอยู่ที่ราว 1.5 ล้านล้านบาทในปี 2019 คิดเป็น 8% ของ GDP ไทย อีกทั้ง มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจาก 4 เมกะเทรนด์สุขภาพ ได้แก่ การก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์, พฤติกรรมการใส่ใจสุขภาพมากขึ้นของผู้บริโภค, อัตราการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เพิ่มสูงขึ้น และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งจะสร้างโอกาสให้แก่ภาคธุรกิจในการเกาะกระแสที่กำลังเติบโต SCB EIC ได้สำรวจผู้บริโภคชาวไทยในด้านสุขภาพและเวลเนสพบว่า หลังผ่านวิกฤตโควิด-19 ผู้บริโภคชาวไทยให้ความใส่ใจต่อสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น โดยความใส่ใจสุขภาพที่มากขึ้นจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการใช้บริการด้านสุขภาพและเวลเนสเพิ่มสูงขึ้นตามมาโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจสุขภาพและเวลเนสด้านบริการและการท่องเที่ยว ซึ่งแต่ละธุรกิจมีฐานลูกค้าหลักและพฤติกรรมการใช้บริการของผู้บริโภคที่แตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน 5 กลุ่มธุรกิจสุขภาพและเวลเนสด้านบริการและการท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง ได้แก่ ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ : เป็นธุรกิจที่กลุ่มผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยให้ความสำคัญและพร้อมที่จะใช้จ่าย เนื่องจากผู้บริโภคกว่า 70% มีพฤติกรรมเลือกรับประทานอาหาร ทั้งหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารบางประเภท และเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้ง ยังมีผู้บริโภคจำนวนมากที่อยู่ระหว่างลด/ควบคุมน้ำหนัก ทั้งนี้กลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพที่ผู้บริโภคสนใจและหาซื้ออย่างต่อเนื่องนั้นจะอยู่ในกลุ่มเครื่องดื่มสุขภาพ กลุ่มอาหารทั่วไปแต่หลีกเลี่ยงบางประเภท อย่างเช่นอาหารหวาน-มัน-เค็มจัด หรือสารก่อมะเร็ง และกลุ่มอาหาร Organic ทั้งนม ไข่ ผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ ทั้งนี้ ราคา รสชาติ ความสะดวก และความชื่นชอบถือเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเลือกซื้ออาหารเพื่อสุขภาพ โดยกลุ่มผู้บริโภค Gen Z จะหาข้อมูลอาหารสุขภาพตามรีวิวออนไลน์มากกว่ากลุ่มอื่น นอกจากนี้ ผู้บริโภคที่สนใจอาหารเพื่อสุขภาพยังมีการซื้ออาหารเสริมควบคู่ไปด้วยโดยเฉพาะอาหารเสริมเพื่อเสริมสุขภาพและโภชนาการ ธุรกิจออกกำลังกาย : เป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะในธุรกิจอุปกรณ์เสริมในการออกกำลังกายที่กำลังเป็นที่นิยมและมีแนวโน้มเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจให้บริการออกกำลังกายอาจเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากพฤติกรรมผู้ออกกำลังกายที่คุ้นชินกับการออกกำลังกายที่บ้านเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องจากช่วงโควิด-19 ซึ่งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเท่าไหร่นัก ทั้งนี้ผู้บริโภคกว่า 90% ระบุว่ามีการออกกำลังกาย และส่วนใหญ่นิยมการเดินออกกำลังกายโดยเฉพาะใน Baby boomer, การวิ่งใน Gen Z, การเข้ายิม/ฟิตเนสในกลุ่ม Gen Y และคลาสโยคะ พิลาทิส ใน Gen X อีกทั้ง มีสถานที่ตั้งเป็นปัจจัยสำคัญในการไปออกกำลังกาย ธุรกิจผลิตภัณฑ์ด้านความงาม : เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวสดใส โดยกลุ่มเป้าหมายสำคัญคือ กลุ่มผู้หญิงและ LGBTQIA+ เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญและพร้อมที่จะใช้จ่ายในผลิตภัณฑ์ด้านความงามสูง โดยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าเป็นกลุ่มที่ผู้บริโภคให้ความสนใจสูงสุด ตามด้วยการดูแลผิวกายและการป้องกันแสงแดด ซึ่งผู้บริโภคเลือกใช้แบรนด์ทั่วไปเป็นหลัก รองลงมาเป็นเวชสำอางต่างชาติ และเคาน์เตอร์แบรนด์ แต่กลุ่ม Gen Z จะนิยมแบรนด์ไทยที่โปรโมตในออนไลน์สูงกว่า นอกจากนี้ ผู้บริโภคจะพร้อมจ่ายมากขึ้นหากเป็นผลิตภัณฑ์นั้นเป็นผลิตภัณฑ์ Organic https://www.scbeic.com/th/detail/product/health-wellness-261223
In focus-Health and wellness survey-2023.pdf
In focus-Health and wellness survey-2023.pdf
SCBEICSCB
เศรษฐกิจไทยปี 2024 จะฟื้นตัวได้ช้าและขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2023 เป็น 2.6% จากข้อมูลไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาดมาก การใช้จ่ายภาครัฐหดตัวแรงขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มลดลงจากประมาณการเดิม ส่วนหนึ่งจากนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้าในปี 2024 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.0% การส่งออกจะกลับมาขยายตัวได้จากแนวโน้มการค้าโลกที่ขยายตัวสูงขึ้น และการลงทุนภาคเอกชนจะฟื้นตัวดีตามการฟื้นตัวของการส่งออก แนวโน้มมูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในปี 2024 จะฟื้นตัวได้ช้าและขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ จากแรงส่งเศรษฐกิจที่ชะลอลงทั้งการบริโภคภาคเอกชนที่เติบโตสูงในปี 2023 และรายได้ครัวเรือนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ และการลงทุนภาครัฐที่ยังขยายตัวต่ำจากความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบประมาณประจำปี 2024 แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2024 SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะคงอยู่ในระดับปัจจุบันที่ 2.5% ไปตลอดปี 2024 เนื่องจากเป็นระดับที่เหมาะสมต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่ระดับศักยภาพในระยะยาว (Neutral rate) และช่วยเอื้อให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายได้ และช่วยสร้างความสมดุลในระบบการเงินจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงกลับเป็นบวกได้ โดยเป็นการลดแรงจูงใจในการก่อหนี้ใหม่ของครัวเรือนและลดการประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป (Underpricing of risks) จากภาวะดอกเบี้ยต่ำนาน ทั้งนี้มองว่าเงินเฟ้อจะเร่งขึ้นบ้างในปี 2024 จากแรงกดดันด้านอุปทาน ทำให้เกิดการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการไปยังราคาสินค้าเพิ่มขึ้นและโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลที่อาจกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าระดับศักยภาพและอาจสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ได้อีกทาง แต่จะเป็นเพียงผลชั่วคราว โดยเศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวในระดับศักยภาพได้ดังเดิม โครงการนี้จึงส่งผลต่อเงินเฟ้อต่ำ ทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ได้ สำหรับเงินบาทจะทรงตัวในกรอบ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่เหลือของปีนี้ และจะแข็งค่าต่อเนื่องอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2024 จากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมของภาครัฐ และแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลกปี 2024 สำหรับเศรษฐกิจโลกในปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเป็น 2.5% จาก 2.7% ในปี 2023 จากผลของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงเงินออมส่วนเกินที่ใกล้หมด โดยเฉพาะสหรัฐฯ นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มชะลอลงทั้งในระยะสั้นและระยะปานกลางจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กดดัน ในระยะปานกลางเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น แต่จะขยายตัวต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดจากปัจจัยกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรปจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วขึ้นเป็นไตรมาส 2 ปี 2024 จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงเร็วกว่าคาด ธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการยกเลิกมาตรการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวในช่วงครึ่งแรกของปี และยกเลิกนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในช่วงครึ่งหลังของปี ติดตามฉบับเต็ม https://www.scbeic.com/th/detail/product/Outlook-141223
Outlook ไตรมาส 4/2023
Outlook ไตรมาส 4/2023
SCBEICSCB
ประเด็นสำคัญที่จะส่งผลต่อทิศทางอุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2024 อุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2024 ยังมีแนวโน้มขยายตัว แม้จะต้องเผชิญกับปัญหาภัยแล้งรุนแรง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากราคาที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่เปราะบางและนโยบายควบคุมการส่งออกน้ำตาลของอินเดีย โดยประเด็นสำคัญที่จะส่งผลต่อทิศทางอุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2024 มีดังนี้ • การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2024 จะยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการบริโภคสินค้าน้ำตาลในตลาดโลกยังคงมีแนวโน้มเติบโต อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้ายังคงมีความเปราะบางสูง จากผลของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงมาก • นโยบายควบคุมการส่งออกน้ำตาลของอินเดีย อินเดีย จะส่งผลให้ราคาน้ำตาลโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้า เนื่องจากอินเดียเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลที่สำคัญของโลก ทั้งนี้การดำเนินนโยบายควบคุมการส่งออกของอินเดียยังมีความไม่แน่นอนสูง จากกรอบเวลาและความเข้มงวดในการดำเนินนโยบายที่ไม่ชัดเจน • ปัญหาภัยแล้ง ปริมาณฝนที่น้อยกว่าค่าปกติในหลายพื้นที่ของไทยในปีนี้จากปรากฎการณ์เอลนีโญ จะสร้างความเสียหายให้กับผลผลิตอ้อยในฤดูกาลผลิต 2023/2024 เนื่องจากอ้อยเป็นพืชที่ต้องการน้ำมากและพื้นที่เพาะปลูกอ้อยส่วนใหญ่ของไทยพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก อุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2024 ยังขยายตัวได้ SCB EIC คาดว่ารายได้ของอุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อย โดยได้รับปัจจัยหนุนจากราคาที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยปริมาณผลผลิตที่ลดลงค่อนข้างมาก โดยปริมาณผลผลิตน้ำตาลไทยในปีการผลิต 2023/2024 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง 20.9% มาอยู่ที่ 8.7 ล้านตัน ตามปริมาณอ้อยเข้าหีบของไทยที่คาดว่าจะลดลง 15.7%YOY มาอยู่ที่ 79.1 ล้านตัน ซึ่งเป็นผลจากผลผลิตต่อไร่ที่จะปรับตัวลดลงจากภาวะภัยแล้ง ทั้งนี้พื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือ จะมีปริมาณผลผลิตอ้อยลดลงค่อนข้างมาก จากภาวะฝนแล้งที่รุนแรงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ในขณะที่ราคาส่งออกน้ำตาลโดยเฉลี่ยในปี 2024 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 21.6%YOY มาอยู่ที่ 620.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สอดคล้องกับราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในปีนี้ และคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปีหน้า เนื่องจากคาดว่าตลาดน้ำตาลโลกจะเผชิญภาวะขาดดุล กอปรกับอินเดียมีแนวโน้มที่จะลดโควตาการส่งออกน้ำตาลลงอีกในฤดูกาลผลิตหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำตาลโลกในปี 2024 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 26.1 เซนต์ต่อปอนด์ สำหรับมูลค่าการส่งออกน้ำตาลปี 2024 คาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่มูลค่าตลาดน้ำตาลในประเทศจะอยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 12.0%YOY จาก 1) ปริมาณการบริโภคในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ 2) ราคาน้ำตาลในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากนโยบายภาครัฐ สำหรับในระยะกลางอุตสาหกรรมน้ำตาลยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณผลผลิตน้ำตาลของไทยและความต้องการบริโภคน้ำตาลทั้งในและต่างประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อ่านเพิ่มเติม https://www.scbeic.com/th/detail/product/sugar-201223
อุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2024 ยังขยายตัวได้ แม้จะเผชิญปัญหาภัยแล้งรุนแรง
อุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2024 ยังขยายตัวได้ แม้จะเผชิญปัญหาภัยแล้งรุนแรง
SCBEICSCB
ตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่าในปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อย จากกลุ่มเกรด A เป็นหลัก ท่ามกลางภาวะอุปทานส่วนเกินที่เพิ่มมากขึ้น • ตลาดสำนักงานให้เช่าในปี 2024 : อุปสงค์มีแนวโน้มขยายตัวเพียงเล็กน้อย จากกลุ่ม CBD เกรด A เป็นหลัก จากทั้งความต้องการใหม่และกลุ่มที่ย้ายมาจาก Segment อื่น แต่รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid workplace จากที่ไหนก็ได้ สลับกับการเข้าสำนักงาน ยังคงกดดันให้ความต้องการพื้นที่สำนักงานให้เช่าในปัจจุบัน และในระยะต่อไปมีแนวโน้มเติบโตได้ไม่มากเท่าที่ควร ขณะที่อุปทานพื้นที่ให้เช่าใหม่ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในอัตราที่มากกว่าการขยายตัวของความต้องการพื้นที่ให้เช่า ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ยังคงกดดันอัตราค่าเช่าให้ฟื้นตัวได้เพียงเล็กน้อย และกดดันให้อัตราการปล่อยเช่ายังมีแนวโน้มลดลง ตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยการเพิ่มขึ้นของอุปทานที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้อัตราปล่อยเช่าลดลงจากช่วงก่อนหน้า • ตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในปี 2024 : มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามอุปทานใหม่ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2023 โดยโครงการที่จะแล้วเสร็จส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มดึงดูดผู้เช่าได้ดี ขณะที่สถานการณ์กำลังซื้อในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวได้มากขึ้น แต่ยังต้องติดตามภาวะหนี้ครัวเรือน และภาระค่าใช้จ่ายที่ยังอยู่ในระดับสูง อาจยังกดดันกำลังซื้อในกลุ่มเปราะบาง ขณะที่อัตราค่าเช่ามีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อย ใกล้เคียงกับอัตราในปีก่อนหน้า ตามกำลังซื้อที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว และภาระต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากหดตัวแรงในช่วง COVID-19 ความท้าทายของตลาดสำนักงานให้เช่าและตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในระยะต่อไป อย่างไรก็ดี ตลาดสำนักงานให้เช่าและตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในระยะต่อไป ยังต้องเผชิญความท้าทายที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอุปทานส่วนเกินที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแรงกดดันจากเทรนด์ ESG นอกจากนั้น การทำงานแบบ Hybrid workplace และการ Outsourcing จากภายนอกจะส่งผลต่อความต้องการสำนักงานให้เช่า ขณะที่ความนิยมแพลตฟอร์ม E-commerce ยังคงมีผลต่อคงามต้องการพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า • อุปทานส่วนเกิน ยังมีแนวโน้มเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ตามแผนการเปิดโครงการของผู้ประกอบการในระยะต่อไป ซึ่งยังสูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของความต้องการพื้นที่ โดยเฉพาะในตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่า โดยคาดว่าอัตราเติบโตเฉลี่ยของอุปทานพื้นที่เช่ารวมในช่วงปี 2024-2027 จะยังมากกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2015-2019 ค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกดดันการฟื้นตัวของอัตราการปล่อยเช่า และอัตราค่าเช่าในระยะต่อไป • การทำงานรูปแบบ Hybrid workplace รวมถึงการ Outsourcing จากภายนอก ทำให้ความจำเป็นในการใช้พื้นที่สำนักงานของแต่ละบริษัทชะลอลง และความต้องการพื้นที่สำนักงานให้เช่าในระยะต่อไปยังฟื้นตัวได้ไม่มากเท่าที่ควร นอกจากนี้ ยังทำให้รูปแบบของพื้นที่สำนักงานให้เช่าถูกปรับเปลี่ยนเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่ามากขึ้น • แพลตฟอร์ม E-commerce ยังมีแนวโน้มได้รับความนิยมจากผู้บริโภคต่อไปหลัง COVID-19 คลี่คลาย เนื่องจากต้องการความสะดวกสบายในการซื้อสินค้า ประกอบกับร้านค้ามีทางเลือกให้ทั้งหน้าร้าน และช่องทางออนไลน์ ทำให้คาดว่าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ยังส่งผลต่อการขยายตัวของตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในระยะต่อไป • แรงกดดันจากเทรนด์ ESG ต่อภาคอสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์ ทั้งในด้านอุปสงค์ ด้านอุปทาน รวมถึงด้านที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงิน
SCB EIC มองตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่าและตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าปี 2024 ยังม...
SCB EIC มองตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่าและตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าปี 2024 ยังม...
SCBEICSCB
การผลิตไฟฟ้าหมุนเวียนจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) และพลังงานลม (Wind) ปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวตามความต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ผลจากเป้าหมาย Net zero pathway ที่มีร่วมกันของหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย นอกจากนี้ ยังหนุนให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องเติบโตตาม อาทิ แผงโซลาร์และอุปกรณ์กังหันลม รวมถึงโครงข่ายไฟฟ้า (Grids) การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของทั่วโลก ตลาดการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของทั่วโลกยังคงเติบโตได้ดีต่อเนื่อง (ในปี 2024 ขยายตัว 29% ต่อปี) และทยอยเพิ่มบทบาทในการผลิตไฟฟ้าของโลก ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ได้แก่ 1. การลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากพลังงาน Fossil ที่ราคามีความผันผวน (โดยเฉพาะในแถบแอฟริกา) 2. แผนการเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกเกือบ 50% ภายในปี 2028 และเข้าสู่ Net zero ภายในปี 2050 3. การอุดหนุนของภาครัฐเพื่อสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง (Self-consumption) และ 4. ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ต่ำเมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานอื่น ๆ ผนวกกับต้นทุนของแบตเตอรี่ ESS ที่ทยอยปรับตัวลดลง ช่วยลดข้อจำกัดในการใช้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ลง ทั้งนี้จากแนวโน้มการเติบโตข้างต้น เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนในตลาด PPA ในต่างประเทศ เช่น ตลาดอินเดียและบางประเทศในแอฟริกา ที่การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เติบโตดีในอีก 5 ปีข้างหน้า ท่ามกลางศักยภาพของพื้นที่เหมาะสม และนโยบายสนับสนุนตลาด PPA (พิจารณาจาก PPA policy score ที่จัดทำโดย EY1) การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของไทย ในส่วนของตลาดไทย การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากแรงหนุนของตลาดที่ขายไฟให้ลูกค้าโดยตรง (Private PPA) และ Self consumption (ทั้งสองตลาดมีโอกาสเติบโตเร่งขึ้นอีกมาก หากภาครัฐให้การสนับสนุน เช่น นโยบาย TPA : Third Party Access & Wheeling charges2) นอกจากนี้ ตลาดที่ขายไฟให้ภาครัฐ (Public PPA) ยังมีโอกาสเติบโต ทั้งจากโครงการที่อยู่ระหว่างเตรียมเปิดประมูลเฟส 2 ราว 2.6 GW และแผน PDP ใหม่ที่คาดว่าอาจประกาศได้ในปี 2024 (ซึ่งเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในสิ้นปี 2037 อาจจะเพิ่มขึ้นจากแผน PDP2018Rev1 กว่า 200%) ความต้องการใช้แผงโซลาร์ของทั่วโลก ความต้องการใช้แผงโซลาร์ทั่วโลกเติบโตได้ดีตามตลาดการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยในปี 2024 ขยายตัวราว 24%YOY และขยายตัวได้ต่อเนื่องในระยะกลาง โดยเฉพาะตลาด Self consumption ที่กำลังเพิ่มบทบาทมากขึ้นและขยายตัวได้ดีกว่าตลาดโรงไฟฟ้า ในส่วนของแนวโน้มราคาแผงโซลาร์ในปี 2024 คาดว่ายังคงลดลงต่อเนื่อง เป็นผลมาจาก 1. ราคา Polysilicon ที่ลดลงจากกำลังการผลิตต้นทุนต่ำที่มีมากขึ้น 2. การแข่งขันที่มากขึ้นจากผู้เล่นรายใหญ่ที่กำลังกินส่วนแบ่งการตลาด และ 3. การเข้าสู่ช่วงกลางของเทคโนโลยี (ช่วงที่การผลิตขนาดใหญ่ หรือ Mass-production level) ทำให้ต้นทุนต่อ Watt ต่ำลง ในระยะกลาง คาดว่าราคาจะลดลงต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอลง ตามกำลังการผลิตที่เติบโตในอัตราที่ชะลอลง ผนวกกับแนวโน้มนโยบายกีดกันการค้าที่มีมากขึ้น ความท้าทายของภาพรวมธุรกิจแผงโซลาร์ 1. นโยบายกีดกันทางการค้าที่อาจมีมากขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ใช้ภาษีนำเข้าเพื่อลดการเข้ามาแข่งขันของแผงโซลาร์นำเข้าจากจีนหรือจากประเทศที่จีนใช้เป็นฐานการผลิต เช่น ไทย และนำมาสู่การลงทุนและการจ้างงานในสหรัฐฯ ที่มากขึ้น 2. ข้อจำกัดบางประการที่อาจส่งผลให้ตลาดเติบโตได้จำกัด อาทิ Grid bottleneck, การขาดแคลนแรงงานและพื้นที่สำหรับติดตั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ราคาที่ดินอยู่ในระดับสูง
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมปี 2024 เติบโตตามกระแสการใช้ไฟฟ้าสีเขีย...
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมปี 2024 เติบโตตามกระแสการใช้ไฟฟ้าสีเขีย...
SCBEICSCB
อุตสาหกรรมอาหารทะเลในปี 2024 และระยะ Medium-term มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคทั้งในไทยและตลาดโลกที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยังจำเป็นต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบางและอาจเติบโตต่ำกว่าคาด รวมถึงผลกระทบจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มลุกลามขยายวงกว้างมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความต้องการบริโภคอาหารทะเลของผู้บริโภคในระยะต่อไปได้ ภาพรวมการส่งออกทูน่ากระป๋อง และกุ้งและผลิตภัณฑ์ มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยในปี 2024 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ 5.5%YOY หลังจากคาดว่าจะหดตัวในปีนี้ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่ส่งผลให้อุปทานปลาทูน่าลดลง โดยปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนการเติบโตในปีหน้ามาจากความต้องการในประเทศคู่ค้าที่ทยอยปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกจะยังคงอยู่ต่ำกว่าช่วง Pre-COVID (2015-2019) เล็กน้อย ขณะที่ต้นทุนของผู้ประกอบการโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุดิบทูน่าและต้นทุนการออกจับปลายังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะยังคงกดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการในระยะต่อไป มูลค่าการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกัน โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตในปีหน้าที่ราว 4%YOY หลังจากที่คาดว่าจะหดตัว -11.4%YOY ในปีนี้ จากแรงหนุนของความต้องการนำเข้าในประเทศคู่ค้าสำคัญที่ทยอยฟื้นตัว ทั้งนี้หากพิจารณาเป็นรายสินค้าจะพบว่า การส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งฟื้นตัวได้เร็วกว่ากุ้งแปรรูป โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งไปยังตลาดจีนที่เติบโตดี ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากการยกเลิกนโยบาย Zero COVID ของทางการจีนที่ทำให้การส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาขยายตัวสูง อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไปคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญอย่างจีน และนโยบายสร้างความมั่นคงด้านอาหาร (Food security policy) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการนำเข้าสินค้ากุ้งจากไทยในระยะต่อไปได้ ประเด็นสำคัญและความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารทะเล ได้แก่ มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง ESG การทำประมงอย่างยั่งยืน (Sustainable fishing) และการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม (Fair labor practices) เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการในธุรกิจประมงจำเป็นต้องให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและลดอุปสรรคจากข้อกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) ต่าง ๆ เหล่านี้ การแข่งขันจากสินค้านวัตกรรมทางเลือกใหม่ ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ประเภท Plant-based seafood ที่มีการวิจัยและพัฒนาออกมาอย่างหลากหลายเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์และนิยมบริโภคโปรตีนทางเลือกจากพืชมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน นโยบายการสร้างความมั่นคงด้านอาหาร (Food security) ของคู่ค้าหลักอย่างจีน ส่งผลให้จีนมีแนวโน้มทยอยลดการนำเข้าและพึ่งพาการผลิตภายในประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกสินค้าอาหารของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก ซึ่งรวมถึงสินค้าประมงอย่างกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง จากความท้าทายดังกล่าวข้างต้น SCB EIC มองว่า ผู้ประกอบการควรเร่งปรับปรุงและพัฒนากระบวนการผลิตของตนให้สอดรับกับกฎระเบียบและมาตรฐานสากลโดยเฉพาอย่างยิ่งประเด็นด้าน ESG
อุตสาหกรรมอาหารทะเลมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ท่ามกลางแนวโน้มการฟื้นตัวที่เปราะบา...
อุตสาหกรรมอาหารทะเลมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ท่ามกลางแนวโน้มการฟื้นตัวที่เปราะบา...
SCBEICSCB
ธุรกิจบริการอาหารปี 2024 ธุรกิจบริการอาหารมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2024 จากการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ แต่ยังต้องระวังปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เช่น แนวโน้มการปรับเพิ่มขึ้นของค่าแรงที่ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ธุรกิจบริการอาหารมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2024 ธุรกิจบริการอาหารมีแนวโน้มฟื้นตัวดีต่อเนื่อง คาดว่ามูลค่าตลาดจะเติบโตราว 11% ในปี 2024 เนื่องจากการขยายตัวต่อเนื่องของการบริโภคภาคเอกชน การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ในระยะกลางคาดว่ายังเติบโตต่อเนื่องที่อัตราการเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี ในช่วงปี 2025-2027 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวและกำลังซื้อที่ดีขึ้น ประกอบกับธุรกิจบริการอาหารส่วนใหญ่มีการปรับตัวตามความต้องการของผู้บริโภคมาตั้งแต่ช่วงการระบาดของ COVID-19 โดยการเพิ่มช่องทางการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ส่งผลให้มีช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้เติบโตจากลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยที่คาดว่าจะกระทบต่อธุรกิจที่ต้องติดตาม เช่น นโยบายปรับขึ้นค่าแรงจะส่งผลให้ต้นทุนปรับสูงขึ้นตาม เนื่องจากธุรกิจบริการอาหารเป็นธุรกิจที่พึ่งพาแรงงานที่รับค่าแรงขั้นต่ำจำนวนค่อนข้างมาก นอกจากนี้ ธุรกิจบริการอาหารยังเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น จากผู้เล่นหน้าใหม่ที่เข้ามาในตลาด ธุรกิจบริการอาหารแบบ Full-service1 ธุรกิจบริการอาหารแบบ Full-service คาดว่าจะเติบโต 11% ในปี 2024 แม้ว่าจะได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงในช่วงการระบาดของ COVID-19 แต่จะกลับมาฟื้นตัวจาก Pent up demand และการฟื้นตัวของตลาดนักท่องเที่ยว รวมถึงกำลังซื้อเพิ่มขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ อย่างไรก็ดี การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยร้านอาหาร Chain มีโอกาสปรับตัวได้มากกว่าในการควบคุมต้นทุนเมื่อต้นทุนด้านแรงงานสูงขึ้น อีกทั้ง ยังสามารถนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อลดการจ้างพนักงาน เนื่องจากมีเงินทุนและสภาพคล่องที่มากกว่า ธุรกิจร้านอาหาร Limited-service2 ธุรกิจร้านอาหาร Limited-service คาดว่าจะเติบโต 8% ในปี 2024 โดยร้านอาหารประเภทนี้ได้รับผลกระทบในช่วงโรคระบาดไม่รุนแรงเท่าประเภทอื่น เพราะร้านส่วนใหญ่เป็น Chain และมีบริการ Delivery ทำให้ปรับตัวได้ง่าย ทั้งนี้ในระยะข้างหน้า การขยายสาขาจะทำให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจะสนับสนุนการเติบโตในระยะกลาง และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่ส่งผลกระทบมาก เนื่องจากร้านส่วนใหญ่ใช้พนักงานน้อยและมีเงินทุนในการนำเทคโนโลยีมาใช้แทนแรงงาน ร้านอาหารแบบคาเฟ่/บาร์3 ร้านอาหารแบบคาเฟ่/บาร์ ค่อย ๆ ทยอยฟื้นตัว คาดว่าจะเติบโต 13% ในปี 2024 แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากโรคระบาดค่อนข้างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา แต่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค อีกทั้ง ผู้ประกอบการยังมีการปรับตัวโดยปรับปรุงร้านให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ รวมถึงการปรับเปลี่ยนเมนูตามกระแสนิยมของผู้บริโภค เช่น เมนูเพื่อสุขภาพ, ความนิยมชาไทย หรือการสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น เช่น เมล็ดกาแฟที่สร้างรายได้ให้กับชาวเขา รวมไปถึงการนำเอกลักษณ์และวัตถุดิบเฉพาะมาเป็นจุดขาย อย่างไรก็ดี ร้านอาหารประเภทนี้มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะระหว่างร้านเล็ก ๆ กับร้าน Chain ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวให้มีความแข็งแกร่งและมีความสามารถในการแข่งขัน เช่น การสร้างความแตกต่าง หรือการให้บริการเสริมที่ไม่เหมือนคู่แข่
Industry_Insight_Restaurant_20231107.pdf
Industry_Insight_Restaurant_20231107.pdf
SCBEICSCB
ธุรกิจโรงไฟฟ้าปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวตามความต้องการใช้ไฟฟ้า ในประเทศ ท่ามกลางความท้าทายด้านนโยบายโครงสร้างพลังงานและค่า Ft อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า (Power) ปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวตามความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศ ท่ามกลางความท้าทายจากการปรับโครงสร้างพลังงานและค่า Ft ของรัฐบาล ขณะเดียวกัน พลังงานหมุนเวียนในไทยและทั่วโลกยังคงเติบโตจากการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนตามเป้าหมาย Net zero pathway และนโยบาย ESG ความต้องการใช้ไฟฟ้าในไทยยังคงเติบโตตามการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยแนวโน้มไฟฟ้านอกระบบทยอยเพิ่มสัดส่วนมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการผลิตไฟฟ้าใช้เอง โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้คาดว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งในและนอกระบบการไฟฟ้าจะขยายตัว 3.5%YOY ในปี 2024 และ 3.3%(CAGR) ในปี 2025-2027 ขณะที่ค่า Ft ของไทยมีทิศทางปรับลดลง หลังจากสูงขึ้นทำสถิติสูงสุดในช่วงต้นปี 2023 ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่ Ft ของไทยในปี 2024 อาจอยู่ในระดับต่ำ หนุนให้ค่าไฟฟ้าอยู่ต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วย หากรัฐบาลยังคงให้เลื่อนการจ่ายคืนภาระหนี้คงค้าง (AF) ที่มีต่อ EGAT พร้อมกดดันให้ Pool gas price อยู่ในระดับต่ำ ด้วยการเพิ่มสัดส่วนปริมาณก๊าซในอ่าวไทยใน Pool gas ทั้งนี้การลดลงของค่า Ft อาจส่งผลต่อรายได้ของโรงไฟฟ้าในกลุ่มที่รายได้อ้างอิงกับค่า Ft เช่น โรงไฟฟ้าที่มีสัดส่วนลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) สูง โรงไฟฟ้าที่มีสัญญา Private PPA และโรงไฟฟ้า SPP (Non-firm) อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางลบจากค่า Ft ที่ลดลง อาจถูกลดทอนลงและไม่รุนแรงเหมือนในปี 2022 เนื่องจาก Ft ที่ลดลงสอดคล้องไปกับต้นทุนพลังงานก๊าซที่ลดลง (แม้ว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติอาจมีความเสี่ยงจากปัญหา Geopolitics บ้างในระยะสั้น) สำหรับแนวโน้มในระยะกลาง การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิลมีความเสี่ยงที่จะถูกกดดันมากขึ้นจากกระแสการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพต่ำ ทำให้ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานฟอสซิลอาจต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกระแสของโลก รวมถึงสอดรับไปกับแนวทาง Thailand Taxonomy1 ที่เริ่มดำเนินการในกลุ่มพลังงานไปแล้ว ความท้าทายของธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่ต้องจับตา 1. ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อค่า Ft โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่รายได้อ้างอิงกับค่า Ft อาทิ a) นโยบายด้านพลังงานของรัฐบาล โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างก๊าซธรรมชาติและการเก็บ AF เพื่อชำระคืนหนี้ให้แก่ EGAT เร็วกว่าที่คาด b) ราคาก๊าซโลกที่ไม่ทยอยลดลงตามที่คาดการณ์ จากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดต่าง ๆ โดยเฉพาะความเสี่ยงจาก Geopolitical เช่น ความขัดแย้งในอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เป็นต้น c) ค่าเงินบาทที่อาจอ่อนกว่าคาด ซึ่งจะกระทบต้นทุนการนำเข้าก๊าซ 2. แผน PDP ใหม่ ที่คาดว่าจะเผยแพร่ภายในปี 2024 โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงใน Energy mixed ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งอาจมีการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนสำคัญอย่าง พลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น เป็นต้น แนวโน้มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในไทย การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในไทยยังมีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มนอกระบบการไฟฟ้า (ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาปริมาณการใช้ไฟฟ้าจากทั้งในและนอกระบบการไฟฟ้าขยายตัวราว 17% ต่อปี และในปี 2023 คาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 12%) ปัจจัยสำคัญมาจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งจากกลุ่มที่ผลิตเพื่อขายลูกค้าโดยตรง (Private PPA) และกลุ่มที่ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง แนวโน้มในระยะข้างหน้า คาดว่าจะยังเติบโตได้ต่อเนื่อง หากพิจารณาจากแผน PDP ใหม่ที่คาดว่าจะเปิดเผยในปี 2024
SCB EIC Industry insight-Power overview-20231027.pdf
SCB EIC Industry insight-Power overview-20231027.pdf
SCBEICSCB
แนวโน้มเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจโลกในภาพรวมขยายตัวได้ในอัตราชะลอลง เป็นผลจากกิจกรรมภาคบริการที่เริ่มมีสัญญาณชะลอลง ขณะที่กิจกรรมภาคการผลิตยังหดตัวต่อเนื่อง นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงชัดเจนขึ้นในไตรมาส 4 และต่อเนื่องในปีหน้า จากความล่าช้าในการส่งผ่านผลของนโยบายการเงินตึงตัว เงินออมส่วนเกินเริ่มหมด และหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจจีนกลับมาขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในไตรมาส 3 ทั้งในภาคบริการและการผลิตในระยะต่อไปเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัว ส่วนหนึ่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะออกมาเพิ่มเติมแต่จะยังคงเผชิญปัจจัยกดดันเชิงโครงสร้างในระยะปานกลาง-ยาว แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อโลก อัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักเริ่มชะลอลงบ้าง แต่ยังอยู่ในระดับสูง SCB EIC คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอังกฤษจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงจนถึงกลางปี 2024 ก่อนจะทยอยปรับลดดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางที่อาจยังไม่สิ้นสุด ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่กลับมาเร่งตัวอีกครั้งจากสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ และภาวะเอลนีโญ แนวโน้มเศรษฐกิจไทย สำหรับเศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวต่อได้จากการบริโภคภาคเอกชนและภาคบริการเป็นหลัก ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยยังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 4 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากอาเซียน เอเชียตะวันออก และยุโรป อย่างไรก็ดี การสูญเสียความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนบางส่วน และผลกระทบจากการยกระดับสงครามในอิสราเอลฯ ส่งผลให้การเร่งตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัวลงกว่าที่คาด ขณะที่ความต้องการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของนักท่องเที่ยวไทยจะยังอยู่ระดับสูงต่อเนื่อง อีกทั้ง การส่งออกสินค้าไทยที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวและคาดว่าจะกลับมาขยายตัวชัดเจนขึ้นในไตรมาส 4 จากราคาสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเอลนีโญ ราคาสินค้าส่งออกเกี่ยวกับพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงผลจากปัจจัยฐานต่ำ ในกรณีฐาน SCB EIC คาดว่า สงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์กระทบเศรษฐกิจไทยโดยตรงผ่านการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าไม่มากนัก แต่หากสงครามครั้งนี้ขยายวงกว้างไปในภูมิภาคตะวันออกกลาง อาจกระทบต่อศักยภาพการส่งออกของไทยในภูมิภาคนี้ รวมถึงอาจกระทบแรงงานไทยที่ทำงานในอิสราเอลและประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ได้ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อไทย อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มเร่งขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า จากราคาสินค้าเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและนโยบายจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรของบางประเทศ รวมถึงราคาพลังงานที่คาดว่าจะทรงตัวในระดับสูงจากการขยายระยะเวลาลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ และความไม่แน่นอนของสงครามในอิสราเอลฯ อย่างไรก็ดี แรงกดดันจากเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ โดยเฉพาะด้านพลังงาน จะมีส่วนช่วยให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในระยะข้างหน้าเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมายได้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย SCB EIC คาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะคงอยู่ที่ระดับปัจจุบัน 2.5% ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวแล้ว (Neutral rate) และสอดคล้องกับแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะต่อไปที่จะเร่งตัวขึ้น อีกทั้ง อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงจะกลับเป็นบวกช่วยสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว สำหรับค่าเงินบาท สงครามในอิสราเอลฯ ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกและราคาสินทรัพย
SCB EIC Monthly-OCT-20231020.pdf
SCB EIC Monthly-OCT-20231020.pdf
SCBEICSCB
More from SCBEICSCB
(20)
In focus-Hotel transformation-20240523.pdf
In focus-Hotel transformation-20240523.pdf
ส่องพฤติกรรมการใช้จ่ายผู้มีสิทธิ จากนโยบาย Digital wallet
ส่องพฤติกรรมการใช้จ่ายผู้มีสิทธิ จากนโยบาย Digital wallet
SCB EIC มองเศรษฐกิจ CLMV เร่งตัวในปี 2024 แต่ยังโตช้ากว่าช่วงก่อน COVID-19 จา...
SCB EIC มองเศรษฐกิจ CLMV เร่งตัวในปี 2024 แต่ยังโตช้ากว่าช่วงก่อน COVID-19 จา...
Health and Wellness survey 2024-Aesthetic-Surgery-20240417.pdf
Health and Wellness survey 2024-Aesthetic-Surgery-20240417.pdf
Health and Wellness survey 2024-Aesthetic-Surgery-20240417.pdf
Health and Wellness survey 2024-Aesthetic-Surgery-20240417.pdf
CLMV-Outlook-March-2024-ENG-20240327.pdf
CLMV-Outlook-March-2024-ENG-20240327.pdf
Outlook ไตรมาส 1/2024 ภาคการผลิตไทยปรับตัวช้าฉุดเศรษฐกิจระยะยาว SCB EIC มองดอ...
Outlook ไตรมาส 1/2024 ภาคการผลิตไทยปรับตัวช้าฉุดเศรษฐกิจระยะยาว SCB EIC มองดอ...
SCB EIC Monthly Jan 24
SCB EIC Monthly Jan 24
สำรวจเทรนด์สุขภาพเวลเนสชาวไทยด้านดูแล รักษา และป้องกัน…ธุรกิจดาวรุ่งที่กำลังเ...
สำรวจเทรนด์สุขภาพเวลเนสชาวไทยด้านดูแล รักษา และป้องกัน…ธุรกิจดาวรุ่งที่กำลังเ...
เมื่อคนไทย (ส่วนใหญ่) ยังไม่พร้อม…การเตรียมความพร้อมจึงจำเป็น
เมื่อคนไทย (ส่วนใหญ่) ยังไม่พร้อม…การเตรียมความพร้อมจึงจำเป็น
SCB EIC คาดอุตสาหกรรมก่อสร้างปี 2024 ขยายตัว 2%YOY แตะ 1.4 ล้านล้านบาท แนะผู้...
SCB EIC คาดอุตสาหกรรมก่อสร้างปี 2024 ขยายตัว 2%YOY แตะ 1.4 ล้านล้านบาท แนะผู้...
In focus-Health and wellness survey-2023.pdf
In focus-Health and wellness survey-2023.pdf
Outlook ไตรมาส 4/2023
Outlook ไตรมาส 4/2023
อุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2024 ยังขยายตัวได้ แม้จะเผชิญปัญหาภัยแล้งรุนแรง
อุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2024 ยังขยายตัวได้ แม้จะเผชิญปัญหาภัยแล้งรุนแรง
SCB EIC มองตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่าและตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าปี 2024 ยังม...
SCB EIC มองตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่าและตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าปี 2024 ยังม...
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมปี 2024 เติบโตตามกระแสการใช้ไฟฟ้าสีเขีย...
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมปี 2024 เติบโตตามกระแสการใช้ไฟฟ้าสีเขีย...
อุตสาหกรรมอาหารทะเลมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ท่ามกลางแนวโน้มการฟื้นตัวที่เปราะบา...
อุตสาหกรรมอาหารทะเลมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ท่ามกลางแนวโน้มการฟื้นตัวที่เปราะบา...
Industry_Insight_Restaurant_20231107.pdf
Industry_Insight_Restaurant_20231107.pdf
SCB EIC Industry insight-Power overview-20231027.pdf
SCB EIC Industry insight-Power overview-20231027.pdf
SCB EIC Monthly-OCT-20231020.pdf
SCB EIC Monthly-OCT-20231020.pdf
Outlook-3Q2023-Onscreen.pdf
1.
Outlook มุมมองเศรษฐกิจปี 2023-2024 ณ ไตรมาส
3 ปี 2023 Q3/2023 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) 13 กันยายน 2023
2.
2 Executive summary เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวไม่พร้อมกัน (Unsynchronized)
โดยในปี 2023 SCB EIC คาดการณ์เศรษฐกิจโลกขยายตัว 2.4% และในปี 2024 จะขยายตัวใกล้เคียงปีนี้ แม้ที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลก ขยายตัวได้ดีกว่าคาด แต่จะมีแนวโน้มเปราะบางต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4 ถึงปีหน้า จากผลของเงินเฟ้อและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงเงินออมส่วนเกินที่เริ่มหมดลง นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กดดัน วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักใกล้สิ้นสุดในปีนี้ และคาดว่า FED ECB และ BOE จะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินในครึ่งหลังปี 2024 จากเงินเฟ้อพื้นฐานที่ลดลง สาหรับ PBOC มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ BOJ มีแนวโน้มลดการผ่อนคลายลงจากมุมมองเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในปี 2023 และ 2024 แต่การฟื้นตัวจะไม่เท่ากันในแต่ละภาคเศรษฐกิจ (Uneven) โดยในปี 2023 SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจเป็น 3.1% (เดิม 3.9%) จากข้อมูลจริงไตรมาส 2 ที่ต่ากว่าคาดมากและการส่งออกสินค้าที่หดตัวต่อเนื่อง แม้ยังมีแรงหนุนหลักจากการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว ในปี 2024 เศรษฐกิจจะเติบโต เร่งขึ้นที่ 3.5% จากการลงทุนภาคเอกชนที่จะขยายตัวดีขึ้นตามแนวโน้มการอนุมัติการลงทุนของ BOI และการส่งออกที่ฟื้นตัว สาหรับอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเร่งตัวจากราคาพลังงานและอาหาร ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 แต่จะยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย SCB EIC คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับขึ้นสู่ Terminal rate ที่ 2.5% ตามเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องเข้าสู่ระดับศักยภาพ และเงินเฟ้อที่ยังมีแรงกดดันจากราคา พลังงานและอาหารที่มีแนวโน้มสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงจะกลับเป็นบวกช่วยสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนสูง (Uncertain) จากแรงกดดันสาคัญ อาทิ (1) เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอลง กระทบการส่งออกไทยบางกลุ่มสินค้า รวมถึง FDI จากจีนอาจชะลอลงบ้าง และอาจกระทบกาลังซื้อจากจีนในภาคอสังหาฯ ไทยบาง Segments และ (2) วิกฤตภัยแล้ง ประเมินภัยแล้งในกรณีฐานจะทาให้ GDP ไทยลดลง -0.5 pp และเงินเฟ้อ สูงขึ้น +0.63 pp ในช่วงปีนี้ถึงปีหน้า รวมถึงยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาล หากรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายครั้งใหญ่ (เช่น Digital wallet) เศรษฐกิจไทยปีหน้าอาจขยายตัวได้ เกิน 5% ชั่วคราว แต่ต้นทุนการคลังที่สูงขึ้นมากอาจไม่ได้ช่วยเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว และกระทบพื้นที่การคลังเพื่อรองรับความไม่แน่นอนข้างหน้า อย่างไรก็ดี ชุดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะสั้นของรัฐบาลใหม่ คาดว่าจะส่งผลบวกต่อธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับการบริโภค ท่องเที่ยว และภาคเกษตร สาหรับธุรกิจที่มีแรงงานขั้นพื้นฐานสัดส่วนสูงอาจได้รับผลกระทบด้านต้นทุน และธุรกิจ พลังงานอาจได้รับผลกระทบด้านรายได้
3.
เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวไม่พร้อมกัน (Unsynchronized) และยังเปราะบาง โดยเฉพาะจีนที่เผชิญปัญหาระยะสั้นและยาว
4.
4 • เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาส
3 มีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าคาด จากการใช้จ่าย ผู้บริโภค ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยชั่วคราว (ภาพยนตร์และคอนเสิร์ต) ญี่ปุ่น ขยายตัวดีกว่าคาดในไตรมาส 2 จากการส่งออกสุทธิที่เพิ่มขึ้น • ตลาดแรงงานทั่วโลกยืดหยุ่นสูง ช่วยสนับสนุนรายได้แรงงานและการบริโภค • การฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคบริการ แม้เริ่มชะลอลงบ้าง แต่คาดว่าจะยัง ขยายตัวได้ในช่วงข้างหน้า ขณะที่ภาคการผลิตเริ่มทรงตัว เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นเป็น 2.4% ใน 2023 เศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่นดีกว่าคาด ช่วยลดผลลบจากเศรษฐกิจ จีนที่ฟื้นช้า ในปี 2024 เศรษฐกิจโลกยังเปราะบางจากผลดอกเบี้ยสูงและเงินเฟ้อสูงเกินกรอบเป้าหมายในหลายประเทศ หมายเหตุ : *กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bloomberg, S&P Global และ CEIC คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดย SCB EIC หน่วย : %YOY Citi Economic surprise index หน่วย:ดัชนี,<0=ตัวเลขจริงออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาด(ณวันที่ 24ส.ค.2023) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของโลก (PMI) หน่วย : ดัชนี, > 50 = ขยายตัว Upside Downside GDP growth 2022 2023 Forecast 2024 Jun Sep Global 3.0% 2.1% 2.4% 2.3% US 2.1% 1.4% 1.9% 1.7% Euro 3.5% 0.6% 0.6% 1.2% UK 7.5% -0.6% 0.4% 0.7% Japan 1.4% 1.2% 1.9% 1.3% China 3.0% 5.7% 5.1% 4.5% India 6.7% 6.4% 6.1% 6.3% CLMV 6.4% 4.6% 4.6% 5.8% -190 -140 -90 -40 10 60 110 160 Jan-23 Mar-23 May-23 Jul-23 Global US Eurozone UK China Japan EMs กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ แต่เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอลง • มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อเข้มงวดขึ้น กดดันการลงทุนและการบริโภค ขณะที่เงินออมส่วนเกินเริ่มหมดลง • เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า ตามภาคอสังหาฯ และอุปสงค์ในประเทศที่ยังซบเซา • ภาคการผลิตและการค้าระหว่างประเทศที่จะยังอ่อนแอ ตามภาวะอุปสงค์ทั่วโลกที่ซบเซา • ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาจเร่งตัวในไตรมาส 4 ตามการลดอุปทานน้ามันของ OPEC+ และนโยบายปกป้องอุปทานผลผลิตเกษตร ในหลายประเทศและเอลนีโญ ทาให้ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในปลายปีนี้ • ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยืดเยื้อ • ความเสี่ยง US government shutdown และความไม่แน่นอนในภาคธนาคารขนาดกลาง-เล็กของสหรัฐฯ 45 47 49 51 53 55 57 59 Jul-21 Jan-22 Jul-22 Jan-23 Jul-23 Services PMI Manufacturing PMI Composite PMI
5.
5 49.2 54.1 51.9 35 50 65 Jan-21 Mar-21 May-21 Jul-21 Sep-21 Nov-21 Jan-22 Mar-22 May-22 Jul-22 Sep-22 Nov-22 Jan-23 Mar-23 May-23 Jul-23 Manufacturing Service Composite 43.5 47.9 46.7 40 50 60 70 Jan-21 Mar-21 May-21 Jul-21 Sep-21 Nov-21 Jan-22 Mar-22 May-22 Jul-22 Sep-22 Nov-22 Jan-23 Mar-23 May-23 Jul-23 Manufacturing
Service Composite เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวไม่พร้อมกัน (Unsynchronized) เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ และเศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวดี จากภาคบริการ ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปและจีนเห็นสัญญาณขยายตัวชะลอลงมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการผลิต หมายเหตุ : *กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bloomberg ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (S&P Global PMI) : สหรัฐฯ หน่วย : ดัชนี (มากกว่า 50 คือขยายตัว) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (S&P Global PMI) : ยุโรป หน่วย : ดัชนี (มากกว่า 50 คือขยายตัว) 47 50.4 40 50 60 70 Jan-21 Mar-21 May-21 Jul-21 Sep-21 Nov-21 Jan-22 Mar-22 May-22 Jul-22 Sep-22 Nov-22 Jan-23 Mar-23 May-23 Jul-23 Manufacturing Service Composite 51 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (S&P Global PMI) : ญี่ปุ่น หน่วย : ดัชนี (มากกว่า 50 คือขยายตัว) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (S&P Global PMI) : จีน หน่วย : ดัชนี (มากกว่า 50 คือขยายตัว) 49.6 54.3 52.6 40 50 60 Jan-21 Mar-21 May-21 Jul-21 Sep-21 Nov-21 Jan-22 Mar-22 May-22 Jul-22 Sep-22 Nov-22 Jan-23 Mar-23 May-23 Jul-23 Manufacturing Service Composite
6.
6 ตลาดแรงงานในประเทศ AEs เริ่มส่งสัญญาณอ่อนตัวลง
แต่ยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งเทียบกับก่อน COVID-19 คาดว่าตลาดแรงงาน AEs จะอ่อนตัวลงมากขึ้นอีก ส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อจะปรับลดลงต่อเนื่องได้ในระยะข้างหน้า หมายเหตุ : *กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bloomberg การขยายตัวของค่าจ้าง และอัตราการเปิดรับสมัครงานใหม่ในสหรัฐฯ หน่วย : %YOY อัตราการเปิดรับสมัครงานใหม่ (Job vacancy rate) เริ่มชะลอตัว แต่ยังสูงกว่าก่อน COVID-19 หน่วย : % การจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payrolls) หน่วย : พันตาแหน่ง อัตราการว่างงานใน US และ EU ยังอยู่ในระดับต่าเป็นประวัติการณ์ แม้ใน UK เริ่มปรับสูงขึ้น หน่วย : % 3.2 4.4 4.8 5.6 0 2 4 6 8 Jan-19 May-19 Sep-19 Jan-20 May-20 Sep-20 Jan-21 May-21 Sep-21 Jan-22 May-22 Sep-22 Jan-23 May-23 Wage growth Job opening rate Job opening has started declining, signaling a decreasing wage growth going forward. -70 430 930 Jan-21 Mar-21 May-21 Jul-21 Sep-21 Nov-21 Jan-22 Mar-22 May-22 Jul-22 Sep-22 Nov-22 Jan-23 Mar-23 May-23 Jul-23 Services Manu Others Employment in 2023H2 tends to decelerate continuously to Pre-COVID-19 level (177K). 2.3 3 2.8 3.3 1 2 3 4 1.5 2.5 3.5 Mar-19 Jul-19 Nov-19 Mar-20 Jul-20 Nov-20 Mar-21 Jul-21 Nov-21 Mar-22 Jul-22 Nov-22 Mar-23 Eurozone UK (RHS) 6.4 4.2 3.63 8 13 3 5 7 9 Mar-19 Jul-19 Nov-19 Mar-20 Jul-20 Nov-20 Mar-21 Jul-21 Nov-21 Mar-22 Jul-22 Nov-22 Mar-23 EU UK US (RHS)
7.
7 3.2 4.7 -1 -0.5 0 0.5 1 1.5 0 2 4 6 8 10 Jan-20 Apr-20 Jul-20 Oct-20 Jan-21 Apr-21 Jul-21 Oct-21 Jan-22 Apr-22 Jul-22 Oct-22 Jan-23 Apr-23 Jul-23 CPI MOM (RHS)
Core CPI MOM (RHS) US CPI US Core CPI 6.9 0 3 6 9 12 Jun-20 Sep-20 Dec-20 Mar-21 Jun-21 Sep-21 Dec-21 Mar-22 Jun-22 Sep-22 Dec-22 Mar-23 Jun-23 UK CPI MOM UK CPI YOY UK Core CPI วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้สิ้นสุดในปีนี้ แรงกดดันเงินเฟ้อพื้นฐานในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักยังมีสูงในช่วงที่ผ่านมา FED จึงมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยสูงต่อเนื่อง ขณะที่ ECB และ BOE จะขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกไม่มากสู่ Terminal rate หมายเหตุ : *กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bloomberg, CEIC, Eurostat. ECB และ BOE อัตราเงินเฟ้อของ US หน่วย : %YOY หน่วย : %MOM • Fed มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยไว้ในระดับปัจจุบันที่ 5.25-5.5% จากเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลง ต่อเนื่อง เช่นเดียวกับตลาดแรงงานที่ส่งสัญญาณชะลอตัวลง • ECB มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย 0.25% อีก 1 ครั้งในเดือน ก.ย. สู่ 4% • BOE มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยสู่ Terminal rate 5.75% ณ เดือน พ.ย. สูงสุดในกลุ่ม AEs โดยคาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% อีก 2 ครั้งในเดือน ก.ย. และ พ.ย. จากแรงกดดัน เงินเฟ้อที่ยังสูง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังติดลบมาก อัตราเงินเฟ้อของ UK หน่วย : %YOY, %MOM 5.3 5.5 -1 0 1 -1 4 9 Jan-20 Apr-20 Jul-20 Oct-20 Jan-21 Apr-21 Jul-21 Oct-21 Jan-22 Apr-22 Jul-22 Oct-22 Jan-23 Apr-23 Jul-23 EU MOM (RHS) Core CPI MOM (RHS) EU CPI EU Core CPI อัตราเงินเฟ้อของ EU หน่วย : %YOY, %MOM
8.
8 FED ECB และ
BOE อาจเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินในครึ่งหลังของปี 2024 จากเงินเฟ้อพื้นฐานที่ลดลง PBOC มีแนวโน้ม ผ่อนคลายต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ BOJ มีแนวโน้มลดการผ่อนคลายลงจากมุมมองเงินเฟ้อที่สูงขึ้น หมายเหตุ : *กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bloomberg, S&P Global, PBOC, BOJ และ CEIC คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2024 หน่วย : %YOY คาดการณ์นโยบายการเงินในปี 2024 หน่วย : %YOY • เงินเฟ้อทั่วไปในปี 2024 ยังมีแนวโน้มอยู่สูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคาร กลางหลัก ตามราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตร เช่น ข้าว และปาล์มน้ามัน ที่คาดว่าจะอยู่สูงกว่าปี 2023 • เงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มปรับลดลงชัดเจนขึ้น ตามตลาดแรงงานที่อ่อนตัวลง และการใช้จ่ายผู้บริโภคที่จะขยายตัวชะลอลงจากปีนี้ -2 0 2 4 6 8 10 12 Mar-20 Sep-20 Mar-21 Sep-21 Mar-22 Sep-22 Mar-23 Sep-23 Mar-24 Sep-24 US PCE US core PCE Euro CPI Euro core CPI JP CPI JP core CPI UK CPI UK core CPI 4.5 3.75 5.25 -0.1 -2 0 2 4 6 8 Mar-20 Sep-20 Mar-21 Sep-21 Mar-22 Sep-22 Mar-23 Sep-23 Mar-24 Sep-24 US EU UK JP • นโยบายการเงินของ US EU UK มีแนวโน้มผ่อนคลายขึ้นในช่วง ครึ่งหลังของปี 2024 เปลี่ยนจากการคงดอกเบี้ยในระดับ Restrictive เป็นการลดดอกเบี้ยสู่ระดับเข้มงวดน้อยลง แต่ดอกเบี้ยจะยังสูงกว่า Neutral rate ไปจนถึงปี 2025 • นโยบายการเงินของจีนยังผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ • ญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดการผ่อนคลายลงจาก Ultra-loose monetary policy และยุติ YCC ในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 หรืออาจเร็วขึ้น หาก ค่าเงินเยนยังคงอ่อนค่ารุนแรง แต่จะยังคงนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ ประมาณการเงินเฟ้อโดย BOJ (ณ ก.ค. 2023) หน่วย : %YOY Core CPI Core-Core CPI 2023 (Apr) 2.5% (1.8%) 3.2% (2.5%) 2024 (Apr) 1.9% (2.0%) 1.7% (1.7%) 2025 (Apr) 1.6% (1.6%) 1.8% (1.8%) อัตราการขยายตัวของสินเชื่อคงค้างจีน หน่วย : %YOY 11.5 10.0 11.0 12.0 13.0 14.0 Jan-21 May-21 Sep-21 Jan-22 May-22 Sep-22 Jan-23 May-23
9.
9 ในระยะต่อไปเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีปัจจัยกดดันสาคัญ ได้แก่
1) ภาระหนี้ที่สูงขึ้นท่ามกลางดอกเบี้ยขาขึ้น 2) เงินออมที่ลดลง 3) ตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มอ่อนตัวต่อเนื่อง กดดันการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจ หมายเหตุ : *กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ หนี้ครัวเรือนสหรัฐฯ (Total Debt Balance) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หน่วย : $Tillion • ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ยังคงใช้จ่ายต่อเนื่อง แม้ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นในช่วง COVID-19 เริ่มหมดลง ในระยะต่อไป ผู้บริโภคจะต้องพึ่งพาเงินกู้ยืมมากขึ้นหากยังคงแนวโน้มการใช้จ่ายแบบเดิม ส่งผลให้ Financial health แย่ลง โดยเฉพาะในครัวเรือนรายได้น้อย • นอกจากนี้ ชาวอเมริกันกว่า 40 ล้านคนต้องกลับมาชาระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาในเดือน ต.ค. นี้ หลังหยุดพักราว 3 ปี ส่งผลให้สถานะทางการเงินของครัวเรือนที่มีภาระ Student debt ตึงขึ้น และอาจเป็นปัจจัยกดดันการใช้จ่ายผู้บริโภคในระยะต่อไป ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bloomberg หนี้บัตรเครดิตและอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต หน่วย : $Tillion 14.30 17.06 0 3 6 9 12 15 18 Q1/19 Q2/19 Q3/19 Q4/19 Q1/20 Q2/20 Q3/20 Q4/20 Q1/21 Q2/21 Q3/21 Q4/21 Q1/22 Q2/22 Q3/22 Q4/22 Q1/23 Q2/23 Mortgage HE Revolving Auto Loan Credit Card Student Loan Other Total หน่วย : % 1.03 21 12 14 16 18 20 22 0.75 0.80 0.85 0.90 0.95 1.00 1.05 Q1/19 Q2/19 Q3/19 Q4/19 Q1/20 Q2/20 Q3/20 Q4/20 Q1/21 Q2/21 Q3/21 Q4/21 Q1/22 Q2/22 Q3/22 Q4/22 Q1/23 Q2/23 Credit card debt balance Credit card rate (RHS) หนี้บัตรเครดิตปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต เพิ่มขึ้นสู่ All-time-high เงินออมของผู้บริโภคในสหรัฐฯ (US Personal Savings) หน่วย : $Billion 1,495 862 0 2,000 4,000 6,000 Jan-19 May-19 Sep-19 Jan-20 May-20 Sep-20 Jan-21 May-21 Sep-21 Jan-22 May-22 Sep-22 Jan-23 May-23 เงินออมลดลงต่อเนื่อง ต่ากว่าระดับก่อนเกิด COVID-19
10.
10 เศรษฐกิจยูโรโซนในระยะข้างหน้ายังมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจากหลายปัจจัย ข้อมูลล่าสุดในไตรมาส 3 เริ่มสะท้อนภาวะซบเซาทั้งการบริโภคและการลงทุน ความน่าจะเป็นที่ยูโรโซนจะเกิด
Recession ใน 12 เดือนข้างหน้า หน่วย : %, ข้อมูล ณ วันที่ 8 ก.ย. อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน หน่วย : ดัชนี 0 20 40 60 80 100 01/01/2019 01/01/2020 01/01/2021 01/01/2022 01/01/2023 Eurozone Germany 60 50 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคใน Eurozone หน่วย : ดัชนี -16 -30 -20 -10 0 Jan-18 May-18 Sep-18 Jan-19 May-19 Sep-19 Jan-20 May-20 Sep-20 Jan-21 May-21 Sep-21 Jan-22 May-22 Sep-22 Jan-23 May-23 93.3 46.7 40 45 50 55 60 80 90 100 110 120 01/2022 03/2022 05/2022 07/2022 09/2022 11/2022 01/2023 03/2023 05/2023 07/2023 Economic Sentiment Index PMI (RHS) เศรษฐกิจยูโรโซนรอดจากภาวะถดถอยได้ในไตรมาส 2 ปี 2023 แต่ความเสี่ยงยังมีอยู่ จากการบริโภคและการลงทุนที่ซบเซาทั้งภาคอุตสาหกรรมและบริการ โดยเฉพาะเยอรมนี และยังมีความเสี่ยงด้านต่าจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ และผลจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูง ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของคณะกรรมาธิการยุโรป, S&P Global, Bloomberg และ CEIC
11.
11 เศรษฐกิจจีนเผชิญปัจจัยกดดันเชิงโครงสร้างมากขึ้น ทาให้ไม่สามารถพึ่งพาโมเดลขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นเดิมที่ พึ่งพาการลงทุนเป็นหลักได้ เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงอีกในระยะปานกลาง หมายเหตุ
: *กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ หมายเหตุ : *คาดการณ์โดย IMF ซึ่งรวม Local Government Financing Vehicle (LGFV) และ Government Fund ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ IMF, World Bank, National Bureau of Statistics, PBOC และ CEIC Real estate slowdown : ภาคอสังหาฯ จีนหดตัวต่อเนื่องและมีแนวโน้มซบเซาต่อไป หน่วย : %YOY • ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนเติบโตโดยขับเคลื่อนจากการลงทุนและการส่งออก จีนเน้นลงทุน ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาฯ และเข้าร่วม WTO จนกลายเป็นผู้เล่นสาคัญในห่วงโซ่อุปทาน โลกและเป็นฐานการผลิตสาคัญของบริษัทข้ามชาติ • โมเดลเศรษฐกิจเช่นนี้จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนได้น้อยลงในระยะข้างหน้า เนื่องจากรัฐบาลท้องถิ่น ก่อหนี้ไว้สูงมากจากการเน้นลงทุนสูงในอดีต ทาให้พื้นที่การคลังมีจากัดในการลงทุนเพิ่มเติม และรัฐบาลจีนก็ไม่ต้องการจะออกมาตรการก่อหนี้เพิ่มมากนัก • ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์มีส่วนทาให้หลายประเทศลดการพึ่งพาจีน โดยเฉพาะชาติตะวันตก โดยห่วงโซ่อุปทานโลกมีแนวโน้มแบ่งขั้วและแยกส่วน (Fragmentation) ส่งผลกระทบต่อการลงทุน และการค้าระหว่างประเทศของจีน Public Debt : หนี้สาธารณะจีนอยู่ในระดับสูง* หน่วย : % ต่อ GDP โครงสร้างเศรษฐกิจจีนพึ่งพาการลงทุน (Gross capital formation) มากกว่าประเทศอื่น ๆ หน่วย : % ของ GDP 23 26 21 43 51 54 68 38 -20% 0% 20% 40% 60% 80% 100% Japan Eurozone US China Gross Capital Formation Private Consumption Government Consumption Net Exports ปัญหาเชิงโครงสร้างที่จะกดดันการลงทุนจีนในระยะปานกลาง -50 -20 10 40 70 Mar-21 May-21 Jul-21 Sep-21 Nov-21 Jan-22 Mar-22 May-22 Jul-22 Sep-22 Nov-22 Jan-23 Mar-23 May-23 Jul-23 Real estate investment Floor space started Floor space completed Floor space sold Geopolitics : FDI เข้าจีนต่าสุดรอบ 25 ปี หน่วย : ล้านดอลลารสหรัฐ 101.4 110.1 122 129 136.4 143.4 149.6 155.6 0 30 60 90 120 150 180 2021 2022 2023 2024 2025 2026 2027 2028 0 50,000 100,000 150,000 Mar-00 Feb-03 Jan-06 Dec-08 Nov-11 Oct-14 Sep-17 Aug-20
12.
12 การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีน (Decoupling)
เป็นปัจจัยสาคัญที่กดดันการลงทุนต่างชาติในจีน Decoupling มีแนวโน้มเร่งตัวและขยายวงกว้างขึ้น ตามนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร หมายเหตุ : *กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC นัยทางการเมืองระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ต้องการรักษา International order เดิม • One-China Policy | ไม่ยกระดับสู่ความขัดแย้ง • ลงทุนห่วงโซ่อุปทานในประเทศให้เข้มแข็ง • มาตรการกีดกันทางการค้า รักษาความได้เปรียบ • สร้างเครือข่ายพันธมิตร • Made in China 2025 | Dual Circulation • ไม่อยากให้สถานการณ์รุนแรง มองประโยชน์ร่วมระยะยาว • เศรษฐกิจจีนเติบโตไม่สูงเช่นในอดีต • เร่งสนับสนุนการผลิตเทคโนโลยีในประเทศ รับมือการกีดกัน การค้าของสหรัฐฯ ร่วมมือพันธมิตร (BRICs และ BRI) จีนรักษา Status Quo เน้นพึ่งพาตนเอง Bipartisan infrastructure law Inflation reduction act CHIPS and Science act Semiconductor Export curbs นโยบายสหรัฐฯ ที่มีนัยต่อ Geopolitics การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มเร่งตัวและขยายวงกว้างขึ้น Investment ban พัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน ให้มั่นคงขึ้น ลงทุนพลังงานหมุนเวียน สร้างความมั่นคงพลังงาน อุดหนุนอุตสาหกรรม EV ที่ใช้ชิ้นส่วนในประเทศ อุดหนุนการผลิตเซมิคอนดัก เตอร์ในสหรัฐฯ และห้าม บริษัทที่ได้รับการอุดหนุน ลงทุนผลิตชิปขั้นสูงในจีน ห้ามส่งออกชิปขั้นสูง ไปจีน ห้ามคนสัญชาติ สหรัฐฯ ช่วยจีนผลิต เซมิคอนดักเตอร์ ห้ามลงทุนเทคโนโลยี สาคัญในจีน เช่น เซมิคอนดักเตอร์, Quantum computing, AI สหรัฐฯ ร่วมมือพันธมิตรลดการพึ่งพาจีนเชิงรุก : • สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์ ตกลงข้อจากัดส่งออกชิป/เทคโนโลยีการผลิตชิปไปยังจีน • สหรัฐฯ แคนาดา และสหภาพยุโรป / สหรัฐฯ และญี่ปุ่น (กําลังดําเนินการ) ทาข้อตกลงการค้าแร่/แร่หายาก ลดการพึ่งพาการนาเข้า จากจีน และเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทาน พลังงานหมุนเวียน และรถยนต์ไฟฟ้าของตนเอง • อินโด-แปซิฟิก (กําลังดําเนินการ) เสริมสร้างให้เศรษฐกิจยืดหยุ่นขึ้น ผ่านการลงทุนนอกจีน/ย้ายแหล่งผลิตไปพันธมิตรมากขึ้น จีนเร่งสนับสนุนการผลิตเทคโนโลยีภายในประเทศ : เตรียมจัดตั้งกองทุนสนับสนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
13.
13 หมายเหตุ : *กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่มา
: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ IMF WEO April 2023, Trade Map, Statista, CEIC และ World Bank Database ผลการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจในโลก (เรียงตามลาดับความเป็นพันธมิตร) โดย SCB EIC Country/ Criteria ระบบการปกครอง ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ นโยบายต่างประเทศและ ข้อตกลงระหว่างกัน ผลการแบ่งขั้ว การค้า การลงทุน Mexico Canada Israel EU27 UK Japan Australia Taiwan Korea Philippines Vietnam Hongkong Laos Cambodia Myanmar Iran Russia South Africa Brazil Brunei Country/ Criteria ระบบการปกครอง ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ นโยบายต่างประเทศและ ข้อตกลงระหว่างกัน ผลการแบ่งขั้ว การค้า การลงทุน India Singapore Thailand UAE Chlie Indonesia Malaysia Morocco ประเทศเศรษฐกิจหลักส่วนใหญ่เป็นพันธมิตรสหรัฐฯ หรือมีแนวโน้มเป็นพันธมิตรสหรัฐฯ จึงมีโอกาสที่จะใช้นโยบาย กีดกันจีนคล้ายสหรัฐฯ และลงทุนในประเทศกลุ่มพันธมิตรหรือประเทศที่เป็นกลางมากขึ้นแทนจีน พันธมิตรสหรัฐฯ มีแนวโน้มเป็นพันธมิตรสหรัฐฯ แต่เผชิญข้อจากัดในการเลือกข้างเนื่องจากพึ่งพาจีนสูง เป็นกลาง มีแนวโน้มเป็นพันธมิตรจีน แต่เผชิญข้อจากัดในการเลือกข้างเนื่องจากพึ่งพาสหรัฐฯ สูง พันธมิตรจีน
14.
14 FDI โลกเริ่มมีสัญญาณไหลเข้าไปลงทุนในจีนลดลงสวนทางกับภูมิภาคอื่น ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันการลงทุนของจีน ในระยะปานกลาง
และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังบทบาทของจีนในห่วงโซ่อุปทานโลก หมายเหตุ : *กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ มูลค่า FDI สุทธิเข้าจีน (Net FDI Flow) หน่วย : พันล้านหยวน หน่วย : % ต่อ GDP มูลค่าโครงการลงทุนใหม่ (Greenfield FDI) แบ่งตามภูมิภาค* หน่วย : ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการค้าจีนต่อการค้าโลก หน่วย : % ของการค้าโลก 0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 3.5 4 4.5 0 500 1000 1500 2000 2500 2010 2012 2014 2016 2018 2020 2022 Net FDI flow % of GDP (แกนขวา) 0 50,000 100,000 150,000 200,000 250,000 2010 2012 2014 2016 2018 2020 2022 China EU US Africa SE Asia LATAM South Asia 6.0 7.0 8.0 9.0 10.0 11.0 12.0 13.0 14.0 15.0 16.0 2010 2012 2014 2016 2018 2020 2022 Exports Imports ในปี 2022 มูลค่า FDI ไหลเข้าจีน โครงการลงทุนใหม่ในจีน และสัดส่วนการค้าจีนต่อการค้าโลกลดลง ซึ่งอาจสะท้อนผล จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น หมายเหตุ : * Announced greenfield FDI projects by destination ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ State Administration of Foreign Exchange, National Bureau of Statistics, UNCTAD, Trademap และ CEIC
15.
เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจจีนแผ่วลงและภัยแล้งเป็นปัจจัยกดดันสาคัญของเศรษฐกิจไทย ต้องจับตานโยบายรัฐบาลชุดใหม่
16.
16 หมายเหตุ : *สีแดง
= ปรับลดลงจากประมาณการเดิม (ณ มิ.ย. 2023), สีเขียว = ปรับดีขึ้นจากประมาณการเดิม ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดย SCB EIC ประมาณการเศรษฐกิจ (กรณีฐาน) หน่วย 2023F* 2024F ณ มิ.ย. 23 ณ ก.ย. 23 ณ ก.ย. 23 GDP %YOY 3.9 3.1 3.5 การบริโภคภาคเอกชน %YOY 4.3 6.1 3.2 การบริโภคภาครัฐ %YOY -2.2 -2.2 1.5 การลงทุนภาคเอกชน %YOY 2.4 1.6 4.4 การลงทุนภาครัฐ %YOY 2.2 1.8 3.2 มูลค่าส่งออกสินค้า (USD BOP) %YOY 0.5 -1.5 3.5 มูลค่านาเข้าสินค้า (USD BOP) %YOY 0.7 -1.0 3.4 จานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ล้านคน 30.0 30.0 37.7 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป %YOY 2.1 1.7 2.0 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน %YOY 1.7 1.4 1.5 ราคาน้ามันดิบ Brent USD/Bbl. 80.7 81.5 84 อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (สิ้นปี) % 2.5 2.5 2.5 เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (สิ้นปี) THB/USD 32-33 33.5-34.5 32-33 • การท่องเที่ยวและการบริโภคขยายตัวต่อเนื่อง • การลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวดีขึ้น ตามแนวโน้มการอนุมัติ การลงทุนของ BOI และการส่งออกกลับมาฟื้นตัว ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปี 2024 • เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอลง กดดันการส่งออกไทย • หนี้ครัวเรือนสูงและความเสี่ยงการผิดชาระหนี้สูงขึ้น หลังหมดมาตการช่วยเหลือ กระทบการบริโภค • ภัยแล้ง กระทบภาคเกษตร Downside risks • นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ Upside risk SCB EIC ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2023 เหลือ 3.1% (เดิม 3.9%) จากข้อมูลจริงไตรมาส 2 ที่ต่ากว่าคาดมาก และการส่งออกที่หดตัวต่อเนื่อง สาหรับปี 2024 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.5% จากการลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกที่ฟื้นตัว
17.
17 85 90 95 100 105 110 2019Q1 2019Q2 2019Q3 2019Q4 2020Q1 2020Q2 2020Q3 2020Q4 2021Q1 2021Q2 2021Q3 2021Q4 2022Q1 2022Q2 2022Q3 2022Q4 2023Q1 2023Q2 2023Q3F 2023Q4F 2024Q1F 2024Q2F 2024Q3F 2024Q4F 2025Q1F 2025Q2F 2025Q3F 2025Q4F Actual GDP GDP
poteltial Forecast GDP Forecast GDP with digital wallet policy (1) Forecast GDP with digital wallet policy (2) Pre-COVID19 มาตรการ Digital wallet อาจกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยในปี 2024 เติบโตเกิน 5% ชั่วคราว แต่ต้นทุนการคลังที่สูงขึ้นมาก อาจไม่ได้ช่วยเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว และกระทบพื้นที่การคลังเพื่อรองรับความไม่แน่นอนข้างหน้า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากวิกฤต COVID-19 หน่วย : ดัชนี Rolling sum 4 ไตรมาส (2019Q4 = 100) ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC Scenario แหล่งเงินมาตรการ Digital wallet กรณี 1 ให้หน่วยงานของรัฐจ่ายไปก่อน รัฐบาลตั้งงบประมาณ FY2024 ชาระคืน โดยใช้เงินจากภาษีที่คาดจะเก็บได้เพิ่มและการโยกงบประมาณจากส่วนอื่น กรณี 2 ให้หน่วยงานของรัฐจ่ายไปก่อน รัฐบาลทยอยตั้งงบประมาณชาระคืนในระยะยาว ส่งผลให้ในอนาคตภาครัฐมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น/รายได้นาส่งจากหน่วยงานของรัฐลดลง • แผลเป็นจากวิกฤต COVID-19 ทาให้ระดับศักยภาพ เศรษฐกิจของไทยเติบโตลดลงเหลือราว 3% (จาก 4%) • มาตรการ Digital wallet อาจกระตุ้นเศรษฐกิจ เพียงแค่ในระยะสั้น เศรษฐกิจไทยกลับสู่ระดับ ศักยภาพในช่วง 1Q24 ช่วงประมาณการ กิจกรรมทางเศรษฐกิจไทยกลับสู่ ระดับ Pre-COVID-19 ใน 3Q23 ประมาณการเศรษฐกิจ (GDP, %YOY) 2023F 24F กรณีไม่มี Digital Wallet 3.1 3.5 Policy scenario 1 5.4 Policy scenario 2 6.4 GDP Potential W/O Digital Wallet Policy With Digital Wallet Policy Public Debt/GDP 71.3% in 2032 Scenario 1 Scenario 2 Fiscal constraint (Govt Budget) Fiscal constraint (Quasi-fiscal policy) Public Debt/GDP 72.5% in 2032 Public Debt/GDP 72.6% in 2032
18.
18 นโยบายรัฐบาลใหม่เป็นอีกปัจจัยที่จะกระทบแนวโน้มเงินเฟ้อทั้งด้านบวกและลบ SCB EIC
ประเมินเงินเฟ้อมีแนวโน้ม เร่งตัวในไตรมาส 4 จากทิศทางราคาพลังงานและอาหาร แต่จะยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป หน่วย : %YOY ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ • ผลกระทบภัยแล้งต่อราคาสินค้าเกษตร (+) • การเร่งตัวของราคาน้ามัน (+) ราคาน้ามันดิบลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2022 - ครึ่งแรก ของปี 2023 จากความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย แต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 – ปี 2024 เศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ ประกอบกับกลุ่ม OPEC+ ขยายเวลาปรับลดกาลัง การผลิต ราคาน้ามันในปี 2024 จึงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเทียบปี 2023 • ราคาข้าวโลกสูงขึ้นในช่วงปลายปีนี้ (+) จากนโยบายงดการส่งออกข้าวของอินเดีย • นโยบายรัฐบาลใหม่ (+ และ -) ปัจจัยกดดันต่อเงินเฟ้อในปี 2023 และ 2024 -4% -2% 0% 2% 4% 6% 8% 10% 2020Q1 2020Q3 Jan-21 Mar-21 May-21 Jul-21 Sep-21 Nov-21 Jan-22 Mar-22 May-22 Jul-22 Sep-22 Nov-22 Jan-23 Mar-23 May-23 Jul-23 Core contribution Energy contribution Raw food contribution Headline Core ปัจจัยฐานสูง จะมีผลอีกเล็กน้อย ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เงินเฟ้อหมวดพลังงานกลับมาเร่งตัว ประมาณการ (%YOY) 2023F 2024F เงินเฟ้อทั่วไป 1.7 2.0 เงินเฟ้อพื้นฐาน 1.4 1.5
19.
19 SCB EIC คาดว่า
กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งสู่ 2.5% และคงไว้ตลอดปีหน้า เพื่อปรับนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับแนวโน้ม เศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะปานกลาง อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงจะกลับเป็นบวกช่วยสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว หมายเหตุ : *กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย และ CEIC คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย โดย SCB EIC หน่วย : % อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงของไทย (Real policy rate) หน่วย : %YOY SCB EIC คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในเดือน ก.ย. นี้ สู่ระดับ Neutral rate ที่ 2.5% และคงไว้ที่ระดับดังกล่าวตลอดปีหน้า เนื่องจาก 1. เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องในระดับศักยภาพ (3-4%) นโยบายการเงินจึงควร Normalize ให้เหมาะสมกับเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว 2. เงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น โดยมีแรงกดดันจากราคาพลังงานและอาหารที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ส่งผลให้อาจมีการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการไปยังราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 3. อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงจะกลับเป็นบวกช่วยสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ลดปัญหาหนี้ครัวเรือนและการ Underpricing of risks จากดอกเบี้ยที่ต่าเป็นระยะเวลานาน ซึ่งส่งผลให้ เกิดความเปราะบางในระบบการเงินไทย 1.75 2 2.5 2.5 2.5 2.5 2.5 2.5 0 0.5 1 1.5 2 2.5 Q1/2023 Q2/2023 Q3/2023 Q4/2023 Q1/2024 Q2/2024 Q3/2024 Q4/2024 2.25 2.5 -5 -3 -1 1 3 5 Jan-19 May-19 Sep-19 Jan-20 May-20 Sep-20 Jan-21 May-21 Sep-21 Jan-22 May-22 Sep-22 Jan-23 May-23 Sep-23 Jan-24 May-24 Sep-24 Policy rate Real rate (Policy rate - Inflation)* Real rate (Policy rate - 12m Inflation expectation) Forecast
20.
20 เศรษฐกิจจีนแผ่วลงกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
21.
21 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยโดยรวมในปีนี้ยังมีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีตามประมาณการที่ 30 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางที่เร่งตัวเพิ่มขึ้นและเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่น่าจับตา หมายเหตุ
: *กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยแล้วกว่า 18 ล้านคน (ข้อมูล ณ วันที่ 3 ก.ย. 2023) หน่วย : ล้านคน หมายเหตุ : ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือน ส.ค. ประเมินจากตัวเลขเบื้องต้นของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา, Index เทียบในช่วงเดือนเดียวกันของปี 2019 ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยุโรป เอเชียตะวันออก จีน เอเชียใต้ อาเซียน รัสเซีย อเมริกา ตะวันออกกลาง อื่น ๆ นักท่องเที่ยว ต่างชาติ ก.ค. (คน) %MOM Index (2019 =100) จีน 410,311 32% 42 มาเลเซีย 371,200 -9% 116 ยุโรป 386,750 50% 82 เกาหลีใต้ 150,385 23% 91 อินเดีย 128,070 -18% 78 เวียดนาม 121,784 10% 97 ตะวันออก กลาง 111,855 66% 140 สหรัฐฯ 75,914 0% 82 รัสเซีย 64,937 28% 139 0.1 0.1 0.3 ก.ค. 0.7 0.1 0.3 ม.ค. 0.5 0.2 0.1 0.2 0.3 0.2 0.6 0.3 0.1 0.4 0.5 0.1 0.2 0.3 ก.พ. 0.9 0.3 0.7 0.3 0.4 0.2 ส.ค. 0.1 0.2 0.8 0.3 0.1 0.8 0.3 มี.ค. 2.0 0.3 2.2 0.2 เม.ย. 0.2 พ.ค. 0.1 0.2 มิ.ย. 0.2 0.4 0.9 0.2 0.3 2.1 2.1 2.2 2.2 2.5 2.5 0.3
22.
22 SCB EIC ประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี
2024 ที่ 37.7 ล้านคน แต่จานวนนักท่องเที่ยวจีนยังถูกกดดันจาก China slowdown และการแข่งขันจากประเทศปลายทางอื่น ๆ จากการผ่อนคลายมาตรการการท่องเที่ยวของจีน หมายเหตุ : *กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, OAG และสานักข่าวต่าง ๆ ประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2024 โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติจะฟื้นกลับมาในระดับปี 2019 ได้ในช่วงปลายปี 2024 หน่วย : ล้านคน 28.8 11.0 2020 2019 5.4 2021 2022 10.9 4.8 25.2 2023F 9.2 28.5 2024F 39.8 6.7 0.4 11.2 30.0 37.7 นักท่องเที่ยวจีน นักท่องเที่ยวชาติอื่น Capacity ของสายการบินในภูมิภาคเอเชียที่คาดว่าจะกลับมาระดับปกติ ข้อมูล OAG ในเดือน ส.ค. พบว่า International scheduled seats ของสายการบินในหลายภูมิภาคกลับมาใกล้เคียงหรือสูงกว่า ปี 2019 แล้ว ยกเว้นในเอเชียแปซิฟิกที่กาลังฟื้นตัวต่อเนื่อง นโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวของรัฐบาลใหม่ เช่น นโยบายฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ อย่าง จีน อินเดีย และรัสเซีย, การขยายศักยภาพการบริการภาคพื้นดินของสนามบิน China slowdown มีโอกาสส่งผลให้การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนชะลอตัวลง และหากเศรษฐกิจจีน อ่อนแอลงจะส่งผลให้จานวนนักท่องเที่ยวจีนมีโอกาสต่ากว่าประมาณการ การแข่งขันที่สูงขึ้นเพื่อเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจีน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่รัฐบาล จีนปลดล็อกการท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ในหลายประเทศ ราคาตั๋วเครื่องบินที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงตามราคา Jet fuel ที่ยังสูงและมีโอกาสพุ่งสูงขึ้นอีก ตามความต้องการ Jet fuel ที่สูงขึ้นภายใต้กาลังการผลิตที่จากัด ปัจจัยที่มีโอกาสส่งผลต่อจานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2024 + + - - -
23.
23 การฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวและบริการช่วยลดความเปราะบางในตลาดแรงงาน อัตราการว่างงาน จานวนคนทางานต่าระดับ รวมถึงชั่วโมงทางานกลับสู่ระดับก่อน
COVID-19 แล้ว จานวนผู้ว่างงานและอัตราการว่างงานของไทย หน่วย : พันคน หน่วย : % กาลังแรงงาน จานวนคนทางานต่าระดับ (ต่ากว่า 35 ชม./สัปดาห์) หน่วย : ล้านคน จานวนชั่วโมงการทางานเฉลี่ย หน่วย : ชั่วโมง/สัปดาห์ 373 651 748 608 547 491 462 421 429 1.0% 1.7% 1.9% 1.5% 1.4% 1.2% 1.2% 1.1% 1.1% 0.0% 0.5% 1.0% 1.5% 2.0% 0 100 200 300 400 500 600 700 800 2019 2020 2021 Q1-2022 Q2-2022 Q3-2022 Q4-2022 Q1-2023 Q2-2023 ผู้ว่างงาน อัตราว่างงาน (แกนขวา) 1.0% 1.1% ก่อน COVID-19 ล่าสุด ก่อน COVID-19 6.9 8.7 8.4 9.2 7.1 6.6 6.8 9.2 6.9 0 2 4 6 8 10 12 14 2019 2020 2021 Q1-2022 Q2-2022 Q3-2022 Q4-2022 Q1-2023 Q2-2023 Thousands ทางานตั้งแต่ 1-34 ชม./สัปดาห์ ทางาน 0 ชม./สัปดาห์ (เสมือนว่างงาน) 6.9 6.9 ก่อน COVID-19 ล่าสุด ก่อน COVID-19 42.3 40.3 40.5 40.5 41.9 42.5 42.2 41.0 42.3 35 37 39 41 43 2019 2020 2021 Q1-2022 Q2-2022 Q3-2022 Q4-2022 Q1-2023 Q2-2023 42.3 42.3 ก่อน COVID-19 ล่าสุด ก่อน COVID-19 ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสถิติแห่งชาติ
24.
24 หมายเหตุ : *การสารวจความคิดเห็นผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และ
SMEs ระหว่างวันที่ 1-25 ส.ค. 23 จานวน 300 ราย โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย และ CEIC มูลค่าส่งออกสินค้าไทยหดตัวต่อเนื่องรุนแรง แต่คาดว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีจากเศรษฐกิจโลก ที่จะขยายตัวดีขึ้นในไตรมาส 4 ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินมูลค่าการส่งออกทั้งปี 2023 หดตัวที่ -1.5% (เดิม 0.5%) มูลค่าการส่งออกของไทย หน่วย : ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการส่งออกของไทยรายตลาดและสินค้าสาคัญ หน่วย : %YOY (สัดส่วนในปี 2022) รายการ 2022 2022Q3 2022Q4 2023Q1 2023Q2 Jul-23 YTD รวมทั้งหมด (100%) 5.7% 6.7% -8.2% -4.5% -6.2% -6.2% -5.5% ไม่รวมทองคา (97.5%) 4.6% 6.3% -8.0% -2.4% -6.3% -5.2% -4.5% เกษตรกรรม (9.3%) 2.2% -2.7% -7.1% 0.2% -5.5% -7.7% -3.8% อุตสาหกรรมการเกษตร (7.9%) 17.9% 21.5% -4.0% 3.4% -7.5% -11.8% -3.7% สินค้าอุตสาหกรรม (78.6%) 4.5% 6.3% -8.0% -5.9% -4.7% -3.4% -5.0% สินค้าแร่และเชื้อเพลิง (4.1%) 15.6% 10.8% -22.7% -2.1% -28.2% -35.7% -20.6% สหรัฐฯ (16.5%) 13.4% 15.9% -1.3% -3.9% -3.3% 0.9% -3.0% จีน (12%) -7.6% -17.7% -13.5% -7.4% -0.7% -3.2% -3.7% อาเซียน5 (14.2%) 9.7% 11.8% -17.3% -2.4% -12.4% -18.3% -9.1% CLMV (10.8%) 11.5% 29.3% -0.3% -6.4% -19.3% -26.5% -15.2% ญี่ปุ่น (8.6%) -1.4% -0.3% -7.3% -0.3% -2.3% -1.7% -1.3% สหภาพยุโรป28 (9.3%) 6.6% 17.4% -1.8% -1.4% 0.7% -4.8% -1.0% ฮ่องกง (3.5%) -13.0% -22.6% -24.7% -3.4% -9.6% 9.6% -4.8% ออสเตรเลีย (3.9%) 2.1% 17.8% -1.8% -13.3% 15.1% 2.7% 0.4% ตะวันออกกลาง (3.8%) 23.5% 38.6% 14.2% 14.9% -4.4% 8.5% 5.4% อินเดีย (3.7%) 22.6% 14.0% -5.9% 3.7% -19.4% -2.1% -7.9% 20,000 22,500 25,000 27,500 30,000 Jan Feb Mar Apr May Jun Jul Aug Sep Oct Nov Dec 2022 2023 2022-avg 2023-avg มุมมองผู้ส่งออกต่อแนวโน้มการส่งออกในไตรมาสหน้า สารวจโดย ธปท.* หน่วย : %ของผู้ตอบ 24 21 46 40 30 39 0 20 40 60 80 100 แย่ลง ทรงตัว ดีขึ้น Q2/23 vs Q1 Q3/23 vs Q2 SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวดีขึ้นใน Q4 รวมถึงมีปัจจัยฐานตํ่าจะทําให้ตัวเลขการส่งออกสินค้า %YOY กลับมาเป็นบวกได้ช่วงท้ายปี
25.
25 เศรษฐกิจจีนที่แผ่วลงส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกไทยที่พึ่งพาตลาดจีนสูง และเป็นส่วนหนึ่งของ Supply
chain จีน โดยเฉพาะยางพารา ไม้ยางพารา ปิโตรเคมี คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ และชิ้นส่วนรถยนต์ หมายเหตุ : *เสี่ยงสูง : พึ่งพาจีนสูง (>20%) เป็นส่วนหนึ่งใน Supply chain ของสินค้าที่จีนส่งออก เสี่ยงปานกลาง : พึ่งพาจีนปานกลาง (10–20%) เป็นส่วนหนึ่งใน Supply chain ของสินค้าที่จีนส่งออก เสี่ยงต่า : 1) พึ่งพาจีนสูง แต่เป็นกลุ่มสินค้าที่จาเป็น เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าทดแทนผลผลิตที่ไม่เพียงพอในจีน หรือ 2) พึ่งพาจีนต่า (<10%) และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งใน Supply chain ของสินค้าที่จีนส่งออก **การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสาปะหลังที่ลดลงเป็นผลมาจากการขาดแคลนผลผลิตในประเทศ สะท้อนได้จากราคามันสาปะหลังที่ไม่ได้ปรับตัวลดลง แม้ปริมาณการส่งออกจะลดลงค่อนข้างมาก ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ General Administration of Customs จีน, CEIC และกระทรวงพาณิชย์ (MOC) สินค้าไทยส่งออกไปจีนที่ได้รับผลกระทบแล้ว ส่วนใหญ่เป็นสินค้าขั้นกลางที่มีความเชื่อมโยง/เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของจีน ขณะที่สินค้าที่พึ่ง Final demand ในจีน โดยเฉพาะสินค้าอุปโภค บริโภคที่จาเป็น ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด จะส่งผลให้สินค้าในกลุ่มเสี่ยงปานกลางและต่า มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบมากขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์มันสาปะหลัง เนื่องจากพึ่งพาตลาดจีนในสัดส่วนที่สูง ▪ Natural rubber ▪ Rubber wood ▪ Petrochemical ▪ Computer & Parts ▪ Auto parts ▪ Cassava products ▪ Electronic components ▪ Fresh fruits ▪ Cement เสี่ยงต่า* เสี่ยงปานกลาง* เสี่ยงสูง* CN export to world หน่วย : % YTD growth (Jan-Jul 2023) TH export to CN หน่วย : % YTD growth (Jan-Jul 2023), % share to total TH export in 2022 -4 -4 -1 -12 -25 Furniture Textile Garments Plastic Articles Household Appliances Automate Data Processing Machine Electronic Components -10 -12 7.0 9.1 8.0 5.0 -44.8 Computer and parts 1.0 -43.1 Motor vehicles & parts -17.5 -25.2 Plastic in Primary Form -17.9 Cassava products** Natural rubber 2% 12% 29% 65% CN dependency (% 2022 share) 31%
26.
26 อย่างไรก็ดี การส่งออกไทยปี 2024
มีแนวโน้มพลิกกลับมาขยายตัวได้ 3.5% จากทิศทางการค้าโลกที่ฟื้นตัวได้บ้าง และปัญหาคอขวดอุปทานที่คลี่คลายลง แต่ยังมีแรงกดดันจากเอลนีโญและแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน หมายเหตุ : *กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ WTO, World Bank, IMF, Bloomberg, JP Morgan และ S&P Global คาดการณ์ปริมาณการค้าโลก (Volume) หน่วย : % ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต : ระยะเวลาส่งมอบสินค้าปรับลดลงต่อเนื่อง หน่วย : ดัชนี, > 50 หมายถึงระยะเวลาขนส่งปรับเร็วขึ้น 2.7 6 5.2 1.7 1.7 2 3.2 2.8 3.7 0 1 2 3 4 5 6 7 WTO WB IMF 2022 2023 2024 สินค้า ณ เม.ย. 23 สินค้าและบริการ ณ มิ.ย. 23 สินค้าและบริการ ณ ก.ค. 23 Shanghai containerized freight index (ต้นทุนค่าระวางเรือ) ลดลงเข้าใกล้ระดับก่อนวิกฤติ หน่วย : ดัชนี, คานวนจากอัตราค่าระวาง 15 เส้นทาง 30 40 50 60 2008 2011 2014 2017 2020 2023 0 2000 4000 6000 Jan feb Mar Apr May Jun Jul Aug Sep Oct Nov Dec 2015-2019 avg 2021 2022 2023
27.
27 สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น แม้ FDI
จากจีนอาจชะลอลงบ้าง แต่แนวโน้มการกระจาย ฐานการผลิตมาไทยยังเป็นไปอย่างต่อเนื่องในระยะปานกลาง หมายเหตุ : *มูลค่าขอรับการส่งเสริมฯ ในปี 2019 ไม่รวมโครงการรถไฟเชื่อมสามสนามบิน มูลค่า 162 พันล้านบาท ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ BOI และสานักข่าวต่าง ๆ สถิติการขอรับการส่งเสริมและการอนุมัติการลงทุนจากจีน (BOI Applications & Approvals) หน่วย : พันล้านบาท, โครงการ 203 164 112 158 45 132 2020 37% 24% 34% 37% 15.5 10% 2019* 16% 48% 29% 27% 2021 14% 16% 44% 11% 2022 54% 13% 1H2022 15% 24% 1H2023 99.4 31.5 38.6 77.4 61.5 Minerals and Ceramics Metal Products, Machinery and Vehicles Light Industries/Textiles Electric and Electronic Products Chemicals and Paper Public Utilities Other จานวนโครงการ 160 181 117 100 48 98 48% 12% 33% 12% 52% 73.8 41% 41% 2019 33% 2020 33% 10% 33% 43% 1H2022 2021 25% 8% 44% 2022 55.8 1H2023 56.5 47.6 24.6 41.7 การผลิต Electric and Electronic products และ PCB • Solar cell 3 โครงการ มูลค่ารวม 1.5 หมื่นล้านบาท การผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับรถ EV เช่น • แบตเตอรี่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 5.6 พันล้านบาท • รถ EV (BYD, GAC AION, CHANGAN) มูลค่ากว่า 3.8 หมื่นล้านบาท 37% 20% China 19% 4% Singapore 12% Japan 8% USA Taiwan Others จีนขอรับการส่งเสริมจาก BOI มูลค่าสูง เป็นอันดับ 1 ในช่วง 1H2023 BOI Applications BOI Approvals ตัวอย่างโครงการจากจีนที่สาคัญในช่วงปี 2022 - 2023 แม้เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัว แต่ FDI จากจีนในไทยในธุรกิจ บางประเภทยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยกลุ่ม อุตสาหกรรมหลักที่ยังมีแนวโน้มเข้ามาลงทุน ได้แก่ อย่างไรก็ดี นโยบายด้านการลงทุนและส่งเสริมอุตสาหกรรม ภายในจีนมีแนวโน้มส่งผลให้ FDI จากจีนในบางกลุ่มธุรกิจ ลดลงในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ ของจีน เช่น กลุ่มที่ต้องการขยายตลาดในอาเซียน เช่น การผลิตรถ EV การผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และ AI กลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้าน Geopolitics เช่น E&E กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ ด้าน ESG ของจีน การผลิตยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ขั้นสูง
28.
28 21% 23% 20% 58% 50%
50% และอาจส่งผลต่อกาลังซื้อจากจีนในภาคอสังหาฯ ไทย มีความเสี่ยงที่จะชะลอลงในบาง Segments โดยเฉพาะ คอนโดบางพื้นที่ในกรุงเทพฯ และจังหวัดท่องเที่ยวสาคัญ สัดส่วนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์คอนโด แบ่งตามสัญชาติ หน่วย : % 1% 4% 2% 2022 4% 2021 5% 4% 1Q2023 China+HK Japan Russia Germany France UK US Singapore Taiwan Myanmar Others ล้านบาท 2022 %YOY 1Q23 %YOY China + HK 29,439 +28% 8,300 +80% Others 29,822 +85% 8,828 +57% รวม 59,261 +49% 17,128 +67% สัดส่วน นักท่องเที่ยวจีน ปี 2019 (ก่อน COVID-19) คอนโดระดับราคาสูง-ปานกลาง ในกรุงเทพฯ ชั้นใน และชั้นกลาง รวมถึงจังหวัดท่องเที่ยว Segment ที่มีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจจีน กรุงเทพฯ 49% ภูเก็ต 18% ชลบุรี 15% เชียงใหม่ 7% 1 คอนโดให้เช่าสาหรับนักท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวสาคัญ 2 ความเสี่ยงของเศรษฐกิจจีนต่อตลาดที่อยู่อาศัยไทย วิกฤติอสังหาฯ ในจีน และราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับลดลงมาก ส่งผลให้นักลงทุนจีน มีทางเลือกในการลงทุนที่อยู่อาศัยในประเทศมากขึ้น Worse : กระทบที่อยู่อาศัยบางทาเลที่ผู้ประกอบการเน้นกาลังซื้อชาวจีน อาทิ ห้วยขวาง รัชดา พระราม 9, จังหวัดท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ชลบุรี และภูเก็ต และที่อยู่อาศัยแนวราบบางทาเลที่ชาวจีนนิยม เช่น บางนา-ตราด ศรีนครินทร์ พัทยา และชลบุรี ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ REIC สัดส่วนมูลค่าโอนคอนโดจากชาวจีน ยังต่ากว่าช่วงก่อนเกิด COVID-19 (~ 60%)
29.
29 เศรษฐกิจไทยท่ามกลางวิกฤติภัยแล้ง
30.
30 Key summary ผลกระทบภัยแล้งต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2023
และ 2024 1 2 3 สถานการณ์น้าฝนและน้าในเขื่อนในปัจจุบันเป็นอย่างไร? สถานการณ์ภัยแล้งจะรุนแรงแค่ไหน? วิกฤติภัยแล้งจะสร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจไทยมากเพียงใด? ฝนแล้งรุนแรงในหลายพื้นที่ ปริมาณน้าใช้การได้ในเขื่อนทั่วประเทศค่อนข้างต่า ภาคเหนือ กลาง ตะวันออก ฝนแล้งรุนแรงสุดในรอบ 41 ปี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและใต้ ฝนแล้งใกล้เคียงปี 2019 กรณีฐาน มูลค่าความเสียหายโดยตรง 69,000 ล้านบาท (ปี 2023 ราว 20,000 ล้านบาท ปี 2024 ราว 49,000 ล้านบาท) ส่งผลกระทบต่อ GDP -0.14 pp และ -0.36 pp ในปี 2023 และปี 2024 ตามลาดับ และเงินเฟ้อ +0.18 pp และ +0.45 pp ปี 2023 และปี 2024 ตามลาดับ หากเทียบกรณีไม่เกิดวิกฤตภัยแล้ง ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC
31.
31 ปริมาณฝนในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้
แตะระดับต่าสุดในรอบ 41 ปี ในหลายพื้นที่ของไทย ขณะที่ปริมาณน้าใช้การได้ ในเขื่อนทั่วประเทศอยู่ในระดับต่ากว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ปริมาณฝนสะสมที่ต่างจากค่าปกติ (ค่าเฉลี่ยปริมาณฝนในรอบ 30 ปี) หน่วย : % ปริมาณน้าใช้การได้ในเขื่อนทั่วประเทศ (ณ วันที่ 1 ของเดือน) หน่วย : ล้าน ลบ.ม. หมายเหตุ : *ปีที่ประสบภัยแล้งมากที่สุด ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา และคลังข้อมูลน้าแห่งชาติ สัดส่วนปริมาณน้าฝนต่อปริมาณฝนทั้งปี (ข้อมูลเฉลี่ยปี 1991-2020) หน่วย : % สถานการณ์น้าล่าสุด 63.6 36.4 Jan - Aug Sep - Dec 0 10 20 30 40 Dec Mar Aug Jun Jan Feb Apr Jul May Sep Oct Nov -8% +33% 2023 ค่าเฉลี่ย 10 ปี (2013 - 2022) -31 -15 -35 -30 -9 -8 ตะวันออก -27 (1992) เหนือ ตะวันออก เฉียงเหนือ -25 (1993*) กลาง ใต้ฝั่งตะวันออก ใต้ฝั่งตะวันตก -20 (1993) -26 (2019) -20 (1992) -31 (1990) ปีที่ประสบภัยแล้งมากที่สุดในรอบ 41 ปี (1981 - 2022) 8M2023
32.
32 ปริมาณฝนยังมีแนวโน้มตกน้อยกว่าปกติในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากผลของปรากฎการณ์เอลนีโญและปรากฎการณ์ ไอโอดีขั้วบวก จุดการเปลี่ยนแปลงของอุณภูมิพื้นผิวน้าทะเลที่ส่งผลกระทบต่อไทย หน่วย :
% ระดับอุณภูมิน้าทะเลบริเวณมหาสมุทรอินเดียที่ต่างไปจากค่าปกติ หน่วย : องศาเซลเซียส ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ IRI (International Research Institute for Climate and Society) และ Australia’s Bureau of Meteorology ภัยแล้งจะรุนแรงแค่ไหน มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย ไอโอดี (Indian Ocean Dipole) ขั้วบวก : ปรากฏการณ์ที่ความแตกต่างของอุณหภูมิ ผิวน้าระหว่างบริเวณมหาสมุทรอินเดียฝั่ง ตะวันตกและฝั่งตะวันออกสูงขึ้นผิดปกติ เอลนีโญ : ปรากฎการณ์อุณหภูมิผิวน้า ทะเลบริเวณเส้นศูนย์สูตรในมหาสมุทร แปซิฟิกกลางและตะวันออกสูงขึ้นผิดปกติ -1.5 -1 -0.5 0 0.5 1 1.5 2 2.5 Jul-22 Aug-22 Sep-22 Oct-22 Nov-22 Dec-22 Jan-23 Feb-23 Mar-23 Apr-23 May-23 Jun-23 Jul-23 Aug-23 Sep-23 Oct-23 Nov-23 Dec-23 Jan-24 Feb-24 Mar-24 Apr-24 May-24 เอลนีโญ ปกติ ลานีญา ระดับอ่อน ระดับปานกลาง ระดับรุนแรง ระดับรุนแรงมาก คาดการณ์ ระดับอุณภูมิน้าทะเลบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกที่ต่างไปจากค่าปกติ (ONI) หน่วย : องศาเซลเซียส -0.8 -0.4 0 0.4 0.8 1.2 1.6 Jul-22 Aug-22 Sep-22 Oct-22 Nov-22 Dec-22 Jan-23 Feb-23 Mar-23 Apr-23 May-23 Jun-23 Jul-23 Aug-23 Sep-23 Oct-23 Nov-23 Dec-23 ไอโอดี ขั้วบวก ไอโอดี ขั้วลบ คาดการณ์
33.
33 ในกรณีฐาน พื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก
อาจจะต้องเผชิญภาวะฝนแล้งรุนแรงที่สุดในรอบ 41 ปี ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ IRI (International Research Institute for Climate and Society) และ Australia’s Bureau of Meteorology คาดการณ์ปริมาณฝนสะสมปี 2023 รายภูมิภาค หน่วย : มม. 1,259 1,216 1,391 945 900 1,448 1,112 1,363 922 851 1,413 1,200 1,537 831 761 1,307 1,120 1,012 941 1,518 1,281 1,643 1,809 เหนือ กลาง ตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ ใต้ตะวันออก ใต้ตะวันตก 2,000 2,142 1,825 2,501 1,975 1,431 2,284 -26.8% -30.0% -21.9% -13.7% -22.2% -14.4% ค่าเฉลี่ย 30 ปี (1991 - 2020) แย่ ปริมาณฝนต่าสุดในรอบ 41 ปี (1981 - 2022) ฐาน ดี กรณีฐาน ประมาณการปริมาณฝนที่น้อยกว่าค่าปกติ (ฝนแล้ง) โดยกาหนดให้เกิดเอลนีโญและไอโอดีขั้วบวกในเดือน ส.ค – ธ.ค. ในระดับเดียวกับการคาดการณ์ ณ เดือน ส.ค. ของสถาบันวิจัย IRI และกรม อุตุนิยมวิทยาออสเตรเลีย กรณีดี ฝนแล้งน้อยกว่ากรณีฐาน ตามค่าความผันผวนของฝนในช่วงเอลนีโญ (กรณีฐาน + ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) กรณีแย่ ฝนแล้งมากกว่ากรณีฐาน (กรณีฐาน - ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน) ภัยแล้งจะรุนแรงแค่ไหน
34.
34 ภัยแล้งจะกระทบเศรษฐกิจไทยโดยตรงผ่านภาคเกษตร และส่งผลทางอ้อมผ่านความเชื่อมโยงของภาคเกษตรกับ ภาคส่วนอื่น ๆ
ในระบบเศรษฐกิจ ช่องทางส่งผ่านผลกระทบของภัยแล้งต่อเศรษฐกิจไทย ห่วงโซ่มูลค่าของการผลิตสินค้าเกษตร ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ภัยแล้ง ภาคเกษตร ภาคส่วนอื่น ๆ ในระบบเศรษฐกิจ • ผลผลิตเกษตรเสียหาย • ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น • รายได้เกษตรกร • ค่าใช้จ่ายด้านอาหารของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น • อุตสาหกรรมที่พึ่งพาสินค้าเกษตรเป็นวัตถุดิบ เช่น โรงงานน้าตาล โรงสีข้าว • ปัจจัยการผลิตสินค้าเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมี บริการเครื่องจักรกลการเกษตร • อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าที่พึ่งพากาลังซื้อ จากเกษตรกร เช่น จักรยานยนต์ เครื่องใช้ ในครัวเรือน • ธุรกิจส่งออกสินค้าเกษตรและนาเข้าปัจจัย การผลิต ผลกระทบ ทางตรง ผลกระทบ ทางอ้อม ผลิตสินค้าเกษตร แปรรูป ขั้นต้น/ขั้นสูง ปัจจัยการผลิต กระจายสินค้า และการตลาด บริโภค ฝนแล้ง
35.
35 ผลผลิตสินค้าเกษตรที่ลดลงจากภัยแล้งปี 2023 หน่วย :
ล้านตัน มูลค่าความเสียหายจากภัยแล้งปี 2023 หน่วย : ล้านบาท ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานเศรษฐกิจการเกษตร ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย -15.4 -20.2 -10.5 -2.7 -3.3 -2.3 -2.7 -2.1 -1.2 ฐาน -1.6 แย่ -1.5 -0.9 ดี -21.5 -27.9 -15.2 อ้อย 2023/24 ข้าวนาปรัง 2024 มันสาปะหลัง 2023/24 ข้าวนาปี 2023/24 ประมาณการผลผลิตที่ลดลงเทียบกับกรณีฝนปกติ โดยกาหนดให้ปัจจัย อื่น ๆ ที่มีผลต่อผลผลิตเท่ากันในทุกกรณี และใช้ปัจจัยปริมาณน้าฝน ที่แตกต่างกันในแต่ละกรณีในแบบจาลองประมาณการผลผลิต ข้าวนาปรัง ประเมินจากราคาขายข้าวเปลือกในเดือน ส.ค. 2023 (11,844 บาทต่อตัน) ข้าวนาปี ประเมินจากราคาขาย ข้าวเปลือกเฉลี่ยถ่วงน้าหนักในเดือน ส.ค. 2023 (12,949 บาทต่อตัน) อ้อย ประเมินจากราคาอ้อยล่าสุด (1,162 บาทต่อตัน) มันสาปะหลัง ประเมินจากราคาในเดือน ส.ค. 2023 (2,780 บาทต่อตัน) 32,285 39,315 27,598 17,880 23,525 12,235 16,070 20,697 11,407 1,693 2,433 ฐาน 3,168 แย่ ดี มันสาปะหลัง ข้าวนาปี อ้อย ข้าวนาปรัง 68,668 86,705 52,933 รายพืช รายปี 49,065 61,356 39,112 19,603 25,349 13,822 ฐาน แย่ ดี 2023 2024 68,668 86,705 52,934 ในกรณีฐาน วิกฤติภัยแล้งจะสร้างความเสียหายขั้นต่าให้กับเศรษฐกิจไทยราว 69,000 ล้านบาท
36.
36 ในกรณีฐาน รายได้เกษตรกรในปี 2024
มีแนวโน้มทรงตัว จากราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยชดเชย ผลกระทบจากผลผลิตที่ลดลงได้ส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ดีรายได้ชาวนาและชาวไร่อ้อยจะยังมีแนวโน้มขยายตัว ดัชนีรายได้ ราคาและผลผลิตภาคการเกษตร หน่วย : %YOY แนวโน้มดัชนีรายได้ ผลผลิตและราคาสินค้าเกษตรรายสินค้าปี 2024 หน่วย : % หมายเหตุ : *ข้อมูลเบื้องต้น และอาจมีการเปลี่ยนแปลง ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานเศรษฐกิจการเกษตร, World Bank, IMF, ISO, USDA และ IRSG ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย 3.0 -1.5 2.3 1.7 1.8 1.6 -2.4 13.7 -0.7 2021 2022* 0.6 2023F 2024F 11.6 รายได้ ราคา ผลผลิต 8.1 -3.8 -2.5 5.7 -4.4 -7.8 -0.5 -6.5 มันสาปะหลัง ข้าวเปลือก ยางพารา ปาล์มน้ามัน อ้อย % จานวนครัวเรือนต่อครัวเรือนเกษตรรวม ครัวเรือนเกษตรทั้งหมด 8 ล้านครัวเรือน 57 9 5 21 5 18.2 -12.2 ผลผลิต รายได้ ราคา
Download now