FTA Pitchy Thailand1. FTA Thailand
ASEAN
ASEAN-CHINA
5. ( - )
China Free Trade Agreement
12. INDICATOR % OVERALL
AVERATE PRICE OF
PRIMARY FACTOR (%)
+ 0.71
UNSKILLED LABOUR WAGE
RATE (%)
+ 0.72
SKILLED LABOUR WAGE
RATE (%)
+ 0.65
RENTAL PRICE OF CAPITAL
(%)
+ 0.82
13. INDICATOR OVERALL
EXPORT VOLUMES
(%)
+ 1.07
IMPORT VOLUMES
(%) + 2.03
TRADE BALANCE
(MILLIONS$)
- - 368.30
14. • .Pan Pearl River Delta
• 2.East Coast
• 3.Western China
Editor's Notes FTA ถือเป็นเครื่องมือทางการค้าสำคัญที่ประเทศต่างๆ สามารถใช้เพื่อขยายโอกาสในการค้า สร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจ พร้อมๆ กับเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาให้แก่สินค้าของตน เนื่องจากสินค้าที่ผลิตใน FTA จะถูกเก็บภาษีขาเข้าในอัตราที่ต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาชิก FTA จึงทำให้สินค้าที่ผลิตภายในกลุ่มได้ เปรียบในด้านราคากว่าสินค้าจากประเทศนอกกลุ่ม ไม่กำหนดตายตัวขึ้นอยู่กับประเทศคู่สัญญา FTA จะตกลงกันมีลักษณะพื้นฐานที่เหมือนกันอยู่ 3 ประการ คือ1.มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า และไม่สร้างอุปสรรคทางการค้าเพิ่มต่อประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาชิก (No Fortress Effects)2.ครอบคลุมการค้าระหว่างประเทศมากพอ (Substantial Coverage) ซึ่งเป็นกติกาที่ WTO กำหนดไว้เพื่อปกป้องและป้องกันผลกระทบที่จะมีต่อประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาชิกของ FTA นั้นๆ3.มีตารางการลดภาษีหรือเปิดเสรีที่ประเทศคู่สัญญา FTA เจรจากันว่าจะลดภาษีให้แก่กันในสินค้าใดบ้าง จะลดอย่างไร และจะใช้ระยะเวลายาวนานเท่าไรในการลดวัตถุประสงค์ของ FTA สะท้อนแนวคิดเมื่อประเทศต่างๆ ผลิตสินค้าที่ตนมีต้นทุนในการผลิตต่ำประโยชน์สูงสุดดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น หากยังมีการเก็บภาษีขาเข้าซึ่งส่งผลบิดเบือนราคาที่แท้จริงของสินค้า สินค้าที่ผลิตในประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาชิก FTA จึงทำให้สินค้าที่ผลิตภายในกลุ่มได้เปรียบในด้านราคากว่าสินค้าจากประเทศนอกกลุ่ม - ที่ประชุม ASEAN-China Summit ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2545 ผู้นำอาเซียน-จีนได้ลงนามกรอบความตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจอาเซียน-จีน (Framework Agreement on Comprehensive Economic Co-operation between the Association of South East Asian Nations and the people’s Republic of China) ครอบคลุมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในทุกด้าน แบ่งเป็น 2 เรื่องหลัก คือ (1) การเปิดเสรีด้านการค้าสินค้า บริการ และการลงทุน (2) การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ให้มีการลดภาษีสินค้าบางส่วนทันที (Early Harvest Programme) - นโยบายจัดทำเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีนส่งผลให้จีนเปลี่ยนจากจากคู่แข่งสู่การเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจ- จีนจะเป็นตลาดสำคัญสำหรับสินค้าส่งออกไทยช่วยให้ไทยลดการพึ่งพาเฉพะตลาดหลักในอดีตส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีภูมิต้านทานจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก- การเข้ามามีบทบาทในตลาดโลกของจีนจะสร้างแรงกระตุ้นให้ธุรกิจไทยเร่งการปรับตัวในอัตราที่เร็วกว่าในอดีตส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจไทยยืนอยู่บนพื้นฐานของการมีศักยภาพการแข่งขันระดับสูงของธุรกิจในตลาดโลกสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน- ธุรกิจไทยเน้นการลงทุนในประเทศจีนจะสร้างโอกาสให้ธุรกิจหันสู่การลงทุนในจีนสูงขึ้น- การเป็นหุ้นส่วนหรือพันธมิตรทางเศรษฐกิจดังกล่าวยังสร้างอำนาจการเจรจาต่อรองของไทยอาเซียนและจีนในเวทีระหว่างประเทศให้ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและกลุ่มเศรษฐกิจอื่นๆหันมาสนใจอาเซียนมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 1สินค้าปกติ(Normal Track)ลดอัตราภาษีที่สูงกว่า 20% ให้เหลือ 20% ในวันที่ 1 มกราคม 2548 ส่วนภาษีที่มีอัตราต่ำกว่า 20% ให้ลดอัตราภาษีลงตามลำดับ และอัตราภาษีของสินค้าทั้งหมดจะต้องลดลงเหลือ 0% 2สินค้าอ่อนไหว (Sensitive Track)ไม่เกิน 400 รายการและไม่เกินร้อยละ 10 ของมูลค่าการนำเข้า กำหนดให้ลดอัตราภาษีเหลือ 20% ในปี 2555 อัตราภาษีสุดท้ายอยู่ที่ 0-5% และสินค้าอ่อนไหวสูง (Highly Sensitive Track)กำหนดห้ามเกิน 40%หรือ 100 รายการของสินค้าอ่อนไหวสูงทั้งหมดทั้งนี้ สินค้าที่จะได้รับสิทธิการลดภาษีจะต้องได้แหล่งกำเนิดสินค้าบางประเภทต้องใช้วัตถุดิบภายในทั้งหมด (Wholly Obtained) ส่วนสินค้าอื่นๆ ต้องมีมูลค่าของวัตถุดิบที่ใช้ภายในประเทศไม่ต่ำกว่า 40%ได้ใช้มาตรการปกป้องเพื่อเป็นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในของแต่ละประเทศ อาทิการทะลักของสินค้านำเข้าโดยให้ ขึ้นอัตราภาษีนำเข้าของสินค้าที่ได้รับผลกระทบให้เท่ากับอัตราภาษีทั่วไปที่เก็บ ใช้มาตรการนี้ได้ตั้งแต่ตกลงการค้ากัน มีผลบังคับใช้ 5 ปี การเปิดเสรีด้านบริการServices แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การเจรจาจัดทำข้อบทความตกลง (AgreementonServices)การเจรจาแลกเปลี่ยนข้อผูกพันการเปิดตลาด (SpecificCommitments) 1. อาเซียน-จีนยังไม่สามารถสรุปผลการจัดทำข้อบทความตกลงด้านการค้าบริการได้ เนื่องจากยังมีบางประเด็นที่สมาชิกมีท่าทีแตกต่างกัน ที่มีความแตกต่างมากสุด ได้แก่ - คำนิยามนิติบุคคลของภาคีที่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ได้จากความตกลง (Juridicalperson) จีนได้แจ้งตอบรับที่จะให้นิติบุคคลที่คนของประเทศภาคีควบคุมหรือถือหุ้นข้างมาก สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงได้ โดยไม่มีเงื่อนไขว่าต้องมีธุรกิจเป็นตัวเป็นตน (SubstantiveBusinessOperations: SBO) มาก่อน - สำหรับนิติบุคคลที่ถือหุ้นข้างมากหรือครอบคลุมโดยของคนของประเทศอื่นที่ไม่ใช่ภาคี อาเซียน-จีน ต้องมี SBO ตามหลักเกณฑ์ที่จีนเสนอ (เช่น จำนวนปีที่ประกอบธุรกิจ หลักฐานการชำระภาษี เป็นต้น) ทั้งนี้ อาเซียนเห็นว่าไม่ควรกำหนดหลักเกณฑ์บังคับใช้เหมือนกันในทุกสาขาบริการ ควรขึ้นกับประเทศที่นิติบุคคลนั้นจดทะเบียน หากจะมีหลักเกณฑ์ควรเป็นเพียง Guideline เท่านั้น - คำนิยามบุคคลธรรมดาที่สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลง ( Naturalperson) ทั้งสองฝ่ายยังคงยืนยันท่าที่เดิม กล่าวคือ จีนต้องการให้เฉพาะบุคคลที่ถือสัญชาติสมาชิกเท่านั้น แต่อาจจะเจรจาทบทวนให้ครอบคลุมผู้มีถิ่นพำนักถาวรด้วยหลังจากที่จีนมีกฏหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว สมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่เห็นว่าบุคคลธรรมดาที่สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงควรครอบคลุมทั้งผู้มีสัญชาติและบุคคลสัญชาติอื่นแต่มีถิ่นพำนักถาวรในประเทศภาคีด้วย โดยไทยและฟิลิปปินส์ยังยืนยันที่จะไม่รวมผู้มีถิ่นพำนักถาวร2. การเจรจาแลกเปลี่ยนข้อผูกพัน ใช้ request/offerapproach ซึ่งอาเซียนและจีนได้มีการดำเนินการยื่น request และ offer ให้พิจารณาระหว่างกันแล้วสาขาการค่าบริการที่ไทยมีศักยภาพ ได้แก่- BUSINESSSERVICES เช่น สถาปนิก MANAGEMENTCONSULTINGSERVICES- ค้าปลีก (โดยเฉพาะ ในมณฑลดังต่อไปนี้ Jiangxi, Fujian, Guangdong, Guangxi, Jilin, Sichuan และ Hubei/ ค้าส่ง และตัวแทนจัดจำหน่าย (นายหน้าในสินค้าจำพวก energyproducts, แร่และเชื้อเพลิง) - ด้านการท่องเที่ยว จัดตั้งโรงแรม ภัตตาคาร ส่งพ่อครัวไปทำงาน จัดตั้งบริษัทตัวแทนท่องเที่ยว - จัดตั้งนวดไทย/สปา ส่งคนไปทำงาน- บริการซ่อมรถยนต์ Investment ขณะนี้ ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก เนื่องจากยังมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่อง 1. การเปิดเสรีด้านการลงทุน ควรเป็นแบบ negative list approach (ตาม AIA) หรือไม่ ในขณะที่จีนต้องการครอบคลุมแค่บางสาขา (positive list approach) 2. สาขาที่จะครอบคลุมการเปิดเสรีด้านการลงทุน ต้องเป็นไปตามกรอบ AIA หรือไม่ คือครอบคลุม (services incidental to) สาขาที่ลงทุน มุมมองภาคการผลิตการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคของไทยในทางบวก โดยเฉพาะในภาคการผลิต เช่นกัน -- ราคาเฉลี่ยปัจจัยการผลิตพื้นฐาน (Averagepriceofprimaryfactor) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.02 -- ค่าจ้างแรงงานที่ไม่มีทักษะ (Unskilledlabourwagerate) ซึ่งเกิดจากค่าจ้างแรงงานและผลตอบแทนผู้ประกอบการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.72 ซึ่งเป็นการสะท้อนถึง สวัสดิการที่เพิ่มขึ้นของคนไทย -- ค่าจ้างแรงงานที่ไม่มีทักษะ (Skilledlabourwagerate) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.65 -- ค่าเช่าสินค้าทุน (Rentalpriceofcapital) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.82 ประเด็นที่น่าสนใจ คือ การเพิ่มขึ้นของตัวแปรภาคการจ้างการผลิต เป็นการตอบสนองต่อการขยายต่อเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งส่งผลให้มีการลงทุนในประเทศมากขึ้น มีความต้องการแรงงาน ปัจจัยการผลิต เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ทุกตัวแปรมีการขยายตัวในทางบวกเพิ่มโอกาสให้แก่ผู้ส่งออก เพิ่มการแข่งขันภายในประเทศสินค้าบางอย่างที่ไม่เคยส่งออกเพราะต่างชาติตั้งกำแพงภาษีจะเริ่มส่งออกได้ทางเลือกให้แก่ผู้ผลิตสามารถนำเข้าได้จากหลายแหล่งมากขึ้นขายสินค้าได้ในราคาที่ถูกลงผู้ผลิตอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีผู้ผลิตสินค้าเพื่อขายในประเทศซึ่งจะต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าที่ราคาถูกลงดังนั้น FTA ในมุมมองที่เป็นกลางคือ ผู้ที่จะได้ประโยชน์ คือ ผู้ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่า ผลจากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีนต่อเศรษฐกิจโดยรวมมุมมองภาคการค้า ผู้บริโภคการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคของไทยในทางบวก โดยเฉพาะในภาคการค้า เช่นกัน -- การส่งออก (Exportvolumes) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.07 -- การนำเข้า (Importvolumes) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.03 -- ดุลการค้า (Tradebalances) ลดลง 368.3 ล้านเหรียญสหรัฐ การเปิดเขตการค้าเสรีจะส่งผลให้การค้าโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น ทั้งในส่วนของการส่งออกและการนำเข้า อย่างไรก็ตาม จากผลการศึกษาพบว่าไทยมีแนวโน้มที่จะนำเข้าในปริมาณที่สูง (สูงมากกว่าการส่งออก) ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนสูงขึ้นช่วยลดภาษีขาเข้าทำให้ราคาสินค้านำเข้าถูกลงถือเป็นการเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนทางอ้อม ช่วยลดภาษีขาเข้าทำให้ราคาสินค้านำเข้าถูกลงถือเป็นการเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนทางอ้อม การลดภาษีศุลกากรยังทำให้มีการนำเข้าสินค้าชนิดใหม่ๆเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ประชาชน ยุทธศาสตร์เพื่อใช้ประโยชน์จากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน จะเน้นการมองตลาดจีนเป็นภูมิภาค/มณฑล และใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของแต่ละมณฑลของจีนให้เป็นประโยชน์PanPearlRiverDelta (เขตสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ)ได้แก่ มณฑลที่อยู่ใกล้อาเซียน ใกล้กับเวียดนาม เช่น ยูนนาน กวางซี เสฉวน สามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน หรือจัดทัวร์ที่เชื่อมที่ท่องเที่ยวจากอาเซียนเข้าสู่จีนได้EastCoast (ฝั่งตะวันออก) ได้แก่ มณฑลและเมืองสำคัญทางตะวันออก เช่น กวางตุ้ง ฟูเจี้ยน และเมืองเซี่ยงไฮ้ เป็นต้น ซึ่งเป็นฝั่งที่ความเจริญทางเศรษฐกิจสูง และน่าจะมีความร่วมมือด้านการลงทุนระหว่างกันได้ โดยจีนอาจมาลงทุนในสาขาพลังงงาน เคมีภัณฑ์ การขนส่งทางเรือ และไฟฟ้าWesternChina (จีนฝั่งตะวันตก)จีนในฝั่งตะวันตกเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ไทยอาจมีความร่วมมือด้านการลงทุน เพื่อใช้เป็นแหล่งวัตถุดิบให้กับไทย เช่น แร่เหล็ก ถ่านหิน วัตถุดิบสำหรับเคมีภัณฑ์ ไทยต้องเน้นสร้างความสัมพันธ์กับจีนในทุกระดับในระดับเอกชน: ต้องผลักดันการจับคู่ทางธุรกิจ และการส่งเสริมสินค้าไทยให้เข้าสู่ชีวิตประจำวันของชาวจีนมากขึ้น โดยเฉพาะคุณภาพของข้าวหอมมะลิ ผลไม้เมืองร้อน และสินค้าจำพวกเครื่องประดับ ผลักดันการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า เพื่อให้การกระจายสินค้าของไทยเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว และสินค้าไทยอยู้ในสภาพสมบูรณ์ โดยเฉพาะในมณฑล/เมืองสำคัญ เช่น ในมณฑลกวางตุ้ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิงเฉิงตู เป็นต้นในระดับรัฐบาล: ไทยและจีนมีความแน่นแฟ้นระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ มีหัวหน้าคณะระดับรองนายกรัฐมนตรี มีการประชุมมาแล้ว 2 ครั้ง และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังเน้นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลมณฑลด้วย เช่น เสฉวน กวางซี ยูนนาน เป็นต้นทั้งสองฝ่ายได้มีการกำหนดเป้าหมายการค้า การลงทุน และจำนวนนักท่องเที่ยวร่วมกัน โดยในปี 2010 ไทยและจีนจะบรรลุเป้าหมายการค้าที่ 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การลงทุน 6,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีนักท่องเที่ยวระหว่างกัน 4 ล้านคนนอกจากนี้ ยังผลักดันความร่วมมือด้านต่างๆ ที่สำคัญ เช่น ด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ซึ่งจะทำให้การค้าสินค้าเกษตรคล่องตัวขึ้น และด้านทรำย์สินทางปัญญา กลุ่มสินค้าที่เห็นได้ชัดเจนว่าสู้จีนไม่ได้คือ 1.เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เพราะจีนมีความสามารถในการผลิตทุกระดับตั้งแต่เสื้อผ้าสำเร็จรูปปริมาณมาก คุณภาพต่ำและราคาถูก ไปจนถึงเสื้อผ้าชั้นสูงที่เน้นยี่ห้อ ไทยคงต้องพยายามถ่วงเวลาการเปิดเสรีในรายการนี้ออกไปให้นานที่สุด2.เครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะไทยผลิตใช้แรงงานมาก เทคโนโลยีต่ำ เผชิญกับอัตราภาษีวัสดุนำเข้าที่ค่อนข้างสูง ประสบปัญหาไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าจีนที่มีคุณภาพใกล้เคียง3.ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมที่มีปัญหามาโดยตลอด เพราะผู้ผลิตไทยทำการผลิตตามคำสั่งของบริษัทแม่ในต่างประเทศ ประสบปัญหาค่าแรงงานสูงและสินค้าไม่ได้คุณภาพ ทำให้มีการย้ายฐานการผลิตไปจีน4.ถุงและกระสอบพลาสติก เพราะเม็ดพลาสติกไทยก็มีราคาสูง เพราะนโยบายคุ้มครองอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของรัฐบาลไทย รายการสินค้าที่ไทยจะแข่งขันได้ดีกับจีน คือกลุ่มชิ้นส่วนที่จีนซื้อจากไทยไปประกอบเป็นสินค้า1.อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ นับเป็นจุดแข็งที่สำคัญของไทย ในกลุ่มชิ้นส่วนของแท้ (โออีเอ็ม) ซึ่งไทยทำได้ดีมาก ในกลุ่มชิ้นส่วนของแท้ (โออีเอ็ม) ซึ่งไทยทำได้ดีมาก และอาจสู้กับชิ้นส่วนนำเข้าจากจีนซึ่งมีคุณภาพต่ำกว่าและมีราคาถูกได้ดี แต่กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนเลียนแบบในประเทศไทยต่ำและใช้แรงงานมาก จะประสบปัญหาอย่างแน่นอนหรือเอ็สเอ็มอี ประเภทที่ปรับตัวได้ยาก อาจต้องล้มหายตายจาก2.อุตสาหกรรมเครื่องหนังและรองเท้า ผู้ผลิตสินค้าคุณภาพสูงในไทยจะได้ประโยชน์ ผู้ผลิตไทยที่เป็นเอสเอ็มอีผลิตสินค้าคุณภาพต่ำ คงจะสู้สินค้าราคาถูกจากจีนได้ยาก3.อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย จะได้ประโยชน์อย่างมากจากการค้าเสรีกับจีน ไทยก็มีการออกแบบที่ดี สินค้ามีคุณภาพสูง4.อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง จุดแข็งอีกประการหนึ่งของไทย โดยปัจจุบัน ก็ส่งออกไปขายในตลาดจีนปีละหลายร้อยล้านบาท5.ผลิตภัณฑ์เหล็กขั้นปลายทั้งเหล็กเส้น เหล็กลวด และเหล็กแผ่น แม้ปัจจุบันจีนจะเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้ผลิตได้ไม่พอใช้ ต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กเป็นจำนวนมากทุกปี เป็นการง่ายที่ไทยจะส่งผลิตภัณฑ์เหล็กไปสู่ตลาดจีนได้มากขึ้นและง่ายขึ้น โดยสรุปคือ อุตสาหกรรมไทยที่ใช้แรงงานมาก เทคโนโลยีต่ำ วัตถุดิบมีราคาแพง และสินค้าประเภท "มวลชน" ผลิตมากๆ ราคาถูก จะสู้จีนไม่ได้แทบทั้งหมด ปัญหาที่ซับซ้อนคือ ผู้ผลิตกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งเป็นรายขนาดกลางและขนาดเล็กหรือเอสเอ็มอีที่ขาดแคลนเงินทุน เทคโนโลยี และปรับตัวได้ยาก รัฐบาลต้องผลักดัน ให้อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อนขึ้น ใช้วัสดุคุณภาพสูง เน้นการออกแบบอย่าง ผลิตสินค้าในกลุ่มที่เป็น "มวลชน" น้อยลง