4. ค
Thesis Title DSP-Based Maximum Power Point Tracking for Grid Connected
Inverter
Thesis Credits 12
Candidate Mr. Sinchai Sae-tang
Thesis Advisor Dr. Cherdchai Prapanavarat
Program Master of Engineering
Field of Study Electrical Engineering
Department Electrical Engineering
Faculty Engineering
B.E. 2546
Abstract
This thesis proposes an algorithm that converts dc current from PV cells to ac current
which will be injected to a grid. Due to the nonlinear characteristic of PV cells, the
system must include an algorithm to track the maximum power point (MPP) at any
atmospheric conditions. The algorithm used in this thesis is the incremental
conductance method. The output of the MPPT controller is used to control the duty
cycle of a boost converter so that maximum power is obtained from the PV cells at all
times. The sinusoidal output current which is in-phase with the grid voltage is
synthesized by a hysteresis control which generates the controlling signal for inverter
switches. The controller compares the reference sinusoidal signal with the actual current
which is injected to the grid. The reference sinusoidal signal is the product of the signal
which corresponds with the maximum power available from the PV cells at that time
and the sinusoidal voltage synthesized from the mains. The system is controlled by an
ADMC331 DSP chip. The experimental results show that the maximum power point of
PV cells was closely tracked under slow and fast changing of solar radiation. The
generated sinusoidal current is in-phase with the grid voltage. The efficiency of the
maximum power point tracking circuit is 99.26 percent on average and the total
efficiency of the system is 84.45 percent.
Keywords : PV Cell / Maximum Power Point Tracking / Grid Connected System
15. ฑ
ประมวลศัพทและคํายอ
ADC = analog to digital converter
ALU = arithmetic and logic unit
DSP = digital signal processor
MAC = multiplier/accumulator
PIO = digital I/O port pin
PWM = pulse width modulation
RAM = random access memory
ROM = read only memory
SPORT = serial port
21. 6
3. ซิลิกอนแบบอะมอรฟส (Amorphous Si cells) จะมีประสิทธิภาพ 8-13 เปอรเซ็นต และสามารถ
ตอบสนองตอแสงไดดีในชวงความยาวคลื่นสั้นของแสงอาทิตย
รูปที่ 2.2 วงจรสมมูลของเซลลแสงอาทิตย
รูปที่ 2.3 กราฟคุณลักษณะของเซลลแสงอาทิตย
จากโครงสรางของเซลลแสงอาทิตยสามารถนํามาเขียนเปนวงจรสมมูลในรูปของแหลงจายกระแสตอ
ขนานกับไดโอด และไดกราฟคุณลักษณะของเซลลแสงอาทิตยดังรูปที่ 2.2 และ 2.3 จากกราฟกระแส-
แรงดันจะพบวามีจุดที่สําคัญ 2 จุดคือแรงดันขณะเปดวงจร (VOC) และกระแสลัดวงจร (ISC) โดยขณะที่
เกิดการลัดวงจรของเซลลแสงอาทิตยกระแสที่สรางขึ้นไดจะไหลผานวงจรภายนอก สวนขณะเปด
วงจรของเซลลแสงอาทิตยกระแสที่สรางขึ้นไดจะไหลผานไดโอดที่ตอขนานภายในเซลล จากวงจร
สมมูลสามารถเขียนสมการความสัมพันธของกระแสและแรงดันอยางงายเมื่อละคาความตานทาน
ขนาน (Rsh) และคาความตานทานอนุกรม (Rs) ไดดังสมการ (2.1), (2.2) และ (2.3) [3]
( )⎡ ⎤= − −
⎢ ⎥⎣ ⎦
P Ph P r
S
qV
I N I N I exp 1AKTN (2.1)
( )⎡ ⎤⎡ ⎤= −
⎢ ⎥⎢ ⎥⎣ ⎦ ⎣ ⎦
3
G
r rr
r r
qET 1 1I I expT kA T T (2.2)
( )⎡ ⎤= + −⎣ ⎦Ph SCR i r
SI I k T T 100 (2.3)
จากสมการ (2.1), (2.2), (2.3) และวงจรสมมูลในรูปที่ 2.2 พบวาคุณลักษณะของเซลลแสงอาทิตยจะ
ขึ้นอยูกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ปริมาณแสงที่ตกกระทบบนเซลลแสงอาทิตย และโหลดที่ตอ
Rs
Rsh RoIPh V
+
-
I
ISC
IMAX
I/P
VMAX
PMAX
VOC
V
25. 10
กําลังไฟฟามากกวาจุดที่ 2 แตนอยกวาจุดที่ 5 ซึ่งเปนจุดที่ใหกําลังไฟฟาสูงสุดของปริมาณ S3 ระบบก็
จะปรับเพิ่มแรงดันขึ้นอีกทําใหจุดการทํางานเบี่ยงเบนไปจากจุดจายกําลังสูงสุดทําใหไมสามารถดึง
กําลังสูงสุดมาใชได สวนการที่ระบบจะสามารถกลับมาหาจุดจายกําลังสูงสุดไดอยางถูกตองอีกครั้งจะ
เกิดขึ้นก็ตอเมื่อปริมาณแสงมีการเปลี่ยนแปลงชาลง หรือเขาสูสภาวะคงตัว
2.2.3 วิธีเพิ่มคาความนํา (Incremental Conductance: IncCond) [3]
จากกราฟกําลังไฟฟา-แรงดันของเซลลแสงอาทิตยในรูปที่ 2.8 จะไดความสัมพันธของอัตราการ
เปลี่ยนแปลงกําลังไฟฟาตออัตราการเปลี่ยนแปลงแรงดันเปน
รูปที่ 2.8 กราฟกําลังไฟฟา-แรงดันของเซลลแสงอาทิตย
- ถา >dP 0dV แสดงวาจุดทํางานอยูทางดานซายของจุดจายกําลังสูงสุด
- ถา =dP 0dV แสดงวาจุดทํางานอยูที่จุดจายกําลังสูงสุด
- ถา <dP 0dV แสดงวาจุดทํางานอยูทางดานขวาของจุดจายกําลังสูงสุด
ดังนั้นถาเราจัด dP
dV ใหมใหอยูในรูปของกระแส และแรงดันจะไดสมการเปน
( )
=
d VIdP
dV dV
= +dP dV dII VdV dV dV
= +dP dII VdV dV (2.5)
ดังนั้นที่จุดจายกําลังสูงสุดจะไดคาเปน
+ =dII 0V dV (2.6)
P
VMAX
PMAX
Voc
V
dP
dV
dP
0
dV
>
dP
0
dV
<
26. 11
โดย I
V คือคาความนําของเซลลแสงอาทิตย และ dI
dV คือคาอัตราการเปลี่ยนแปลงความนํา ซึ่งถา
ผลรวมของสมการ (2.6) มีคาเปนบวกแสดงวาระบบกําลังทํางานทางดานซายของจุดจายกําลังสูงสุด
ตัวระบบก็จะปรับคาแรงดันเพิ่มขึ้น แตถาผลรวมมีคาเปนลบแสดงวาระบบทํางานอยูทางดานขวาของ
จุดจายกําลังสูงสุดระบบก็จะปรับลดคาแรงดันลง และถาผลรวมมีคาเทากับศูนยแสดงวาระบบทํางาน
ที่จุดจายกําลังสูงสุดระบบก็จะคงแรงดันเดิมนั้นไว
วิธีนี้จะสามารถหาจุดจายกําลังสูงสุดไดแมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงปริมาณแสงอยางรวดเร็ว แตก็มี
ขั้นตอนการคํานวณเพิ่มขึ้น
2.2.4 การหาจุดจายกําลังสูงสุดดวยหลักการของระลอกคลื่น (A Ripple-Based Maximum
Power Point Tracking) [4]
จากคุณลักษณะของระบบเชื่อมตอกริดเฟสเดียวดังรูปที่ 2.9 จะทําใหกําลังไฟฟาทางดานไฟสลับมี
ความถี่เปน 2 เทาของความถี่ระบบกริดทําใหเกิดระลอกคลื่นบนแรงดัน และกําลังไฟฟาทางดาน
ไฟตรงจากระลอกคลื่นของทั้ง 2 สัญญาณสามารถนําไปใชหาจุดจายกําลังสูงสุดของเซลลแสงอาทิตย
ไดโดยสัญญาณที่เกิดขึ้นแสดงดังรูปที่ 2.10
รูปที่ 2.9 ระบบเชื่อมตอกริดแบบเฟสเดียว
ในการวิเคราะหการหาจุดจายกําลังสูงสุดดวยระลอกคลื่นแรงดันและกําลังไฟฟาจะพิจารณาเปน
คาบเวลา รูปที่ 2.11 จะแสดงพื้นที่การทํางานของเซลลแสงอาทิตยจะแบงเปนพื้นที่สวน A, B และ C
โดยพื้นที่สวน A จะมีแรงดันต่ํากวาแรงดันที่จุดจายกําลังสูงสุด พื้นที่สวน B จะมีแรงดันใกลกับ
แรงดันที่จุดจายกําลังสูงสุด และพื้นที่สวน C จะมีแรงดันสูงกวาแรงดันที่จุดจายกําลังสูงสุด และเมื่อ
จําลองการทํางานของเซลลแสงอาทิตยใหทํางานจากพื้นที่ C ไปยังพื้นที่ A (ที่เวลา 0 วินาที ถึง 0.6
วินาที) จะไดสัญญาณดังรูปที่ 2.12 ซึ่งพบวา
- ในพื้นที่สวน A ระลอกคลื่นของแรงดัน และกําลังไฟฟามีคาสูงสุดหรือต่ําสุดที่เวลาเดียวกัน
- ในพื้นที่สวน B จะมีระลอกคลื่นกําลังไฟฟาต่ํา และมีความถี่เพิ่มขึ้น
GridS1 S3
S4S2
L
Power
Transformer
PV
Cell VPV
IPV
IL
27. 12
- ในพื้นที่สวน C ที่เวลาเดียวกันระลอกคลื่นของแรงดันจะมีคาสูงสุด (ต่ําสุด) ในขณะที่
ระลอกคลื่นของกําลังไฟฟาจะมีคาต่ําสุด (สูงสุด)
- ระลอกคลื่นของกําลังไฟฟาจะมีคามากขึ้นเมื่อจุดทํางานเคลื่อนที่ออกจากจุดจายกําลังสูงสุด
รูปที่ 2.10 รูปคลื่นสัญญาณที่เกิดขึ้นในระบบเชื่อมตอกริด [4]
รูปที่ 2.11 ยานการทํางานของเซลลแสงอาทิตย [4]
ก) กระแสที่จายเขาระบบกริด
ข) กระแสที่จายจากเซลลแสงอาทิตย และแรงดันตกครอมตัวเก็บ
t (mS)
t (mS)
t (mS)
ค) กําลังไฟฟาที่ไดจากเซลล
t (mS)
28. 13
รูปที่ 2.12 แรงดันตกครอมตัวเก็บประจุ และกําลังไฟฟาที่ไดจากเซลลแสงอาทิตย [4]
จากลักษณะดังกลาวสามารถที่จะนําไปใชปรับจุดทํางานใหเขาใกลจุดจายกําลังสูงสุดโดยการเพิ่มหรือ
ลดคาแรงดันอางอิง (Vref) ดวยแรงดันคานอยๆ ซึ่งคาอัตราการเปลี่ยนแปลงแรงดันจะเปนตัว
ตรวจสอบเสนทางของจุดทํางานวาวิ่งเขาหรือวิ่งออกจากจุดจายกําลังสูงสุด สวนคาอัตราการ
เปลี่ยนแปลงกําลังไฟฟาจะเปนตัวบอกพื้นที่ของจุดทํางานวาอยูในพื้นที่สวนใด (A, B หรือ C) จากรูป
ที่ 2.12 เมื่อเปรียบเทียบคา P1n และ P2n พบวา P1n มีคามากกวา P2n แสดงวาจุดทํางานอยูในพื้นที่ A และ
เมื่อเปรียบเทียบคา V2O และ V2n พบวา V2O มีคามากกวา V2n แสดงวาเสนทางการเดินของจุดทํางานวิ่ง
ไปทางซายของกราฟกําลังไฟฟา-แรงดันของเซลลแสงอาทิตย สรุปไดวาขณะนี้จุดทํางานอยูในพื้นที่
A และกําลังวิ่งออกจากจุดจายกําลังสูงสุด ดังนั้นจะตองเพิ่มคาแรงดันอางอิงเพื่อไปควบคุมใหจุด
ทํางานวิ่งเขาหาจุดจายกําลังสูงสุด โดยคาตัวแปรตางๆคือ (ดูรูปที่ 2.10 ประกอบ)
P1n คือ คากําลังไฟฟาที่ไดในชวงที่ระลอกคลื่นแรงดันมีคาสูงสุดที่คาบเวลาปจจุบัน
P2n คือ คากําลังไฟฟาที่ไดในชวงที่ระลอกคลื่นแรงดันมีคาต่ําสุดที่คาบเวลาปจจุบัน
V2O คือ คาระลอกคลื่นแรงดันต่ําสุดที่คาบเวลากอน
V2n คือ คาระลอกคลื่นแรงดันต่ําสุดที่คาบเวลาปจจุบัน
แตถาจุดทํางานอยูในพื้นที่ B แรงดันอางอิงที่ใชจะแทนดวยแรงดันเฉลี่ย (Vmean)
+
= 1n 2n
mean
V V
V 2 (2.7)
ขั้นตอนการควบคุมการหาจุดจายกําลังสูงสุดแสดงดังตารางที่ 2 .1
30. 15
แบบคือแบบกระแสตอเนื่อง และแบบกระแสไมตอเนื่อง ในที่นี้จะกลาวถึงเฉพาะการทํางานในโหมด
กระแสตอเนื่องที่ใชในงานวิจัย ซึ่งมีรูปคลื่นการทํางานดังรูปที่ 2.15 และมีขั้นตอนการทํางาน 2 โหมด
คือ
รูปที่ 2.14 วงจรตัวแปลงผันแบบทบระดับ
รูปที่ 2.15 รูปคลื่นการทํางานของวงจรแปลงผันแบบทบระดับ
โหมดที่ 1 ชวงเวลา ontt0 ≤<
โหมดที่ 1 จะเริ่มจากการที่สวิตช SB ตอวงจรที่เวลา t = 0 ถึงเวลา t = ton ในขณะที่ไดโอด D จะไดรับ
แรงดันไบอัสกลับทําใหไมนํากระแส ซึ่งมีวงจรสมมูลดังรูปที่ 2.16 ก) กระแสที่ไหลผานตัวเหนี่ยวนํา
จะเพิ่มขึ้นอยางเปนเชิงเสนจาก I1 ถึง I2 โดยแรงดันตกครอมตัวเหนี่ยวนําแสดงดังสมการ (2.8) และ
ในชวงนี้ตัวเก็บประจุจะเปนตัวจายกระแสใหกับโหลด ซึ่งตัวเก็บประจุจะตองมีคามากพอที่จะจาย
กระแสใหโหลดไดในชวงเวลา ton โดยกระแสเฉลี่ยของตัวเก็บประจุจะเทากับกระแสเฉลี่ยของโหลด
t
t
t
t
t
t
VSB(t)
Va
IL(t)
iD(t)
iC(t)
vc(t)
io(t)
Va
Ia
Ia
I2 -Ia
I1 -Ia
I2
I1
I2
I1
IL
DTP TP TP+DTP
I
vc
0
ton
LOADVs
Lc
Cc
SB
D
IC
IL(t)
io(t)
+
-
Va
+
-
VSB(t)
iC(t)
Ia
iD(t)
31. 16
− ∆= =2 1
S C C
on on
I I IV L Lt t (2.8)
∆
= C
on
S
L I
t V (2.9)
พลังงานที่เก็บในตัวเหนี่ยวนํามีคาเทากับ
( )= ∆ 21E L I2
= 2 2
S on
1 V t2L (2.10)
โหมดที่ 2 ชวงเวลา < ≤on Pt t T
ในโหมดนี้สวิตช SB จะตัดวงจรที่เวลา t = ton ซึ่งมีวงจรสมมูลดังรูปที่ 2.16 ข) กระแสที่เกิดขึ้นจะไหล
ผานตัวเหนี่ยวนํา ไดโอด ตัวเก็บประจุ และโหลด โดยกระแสที่ไหลผานตัวเหนี่ยวนําจะลดลงอยาง
เปนเชิงเสนจาก I2 สู I1 จนกระทั่งสวิตช SB ตอวงจรอีกครั้งในวัฎจักรการทํางานถัดไป
รูปที่ 2.16 วงจรสมมูลของตัวแปลงผันแบบทบระดับ
สําหรับแรงดันตกครอมตัวเหนี่ยวนําแสดงดังสมการ (2.11) ในโหมดนี้กระแสจากแหลงจายจะชารต
ประจุใหกับตัวเก็บประจุ
− ∆− = =2 1
a S C C
off off
I I IV V L Lt t (2.11)
Lc IL(t)
LOADVs CC
IC
io(t)
+
-
Va
iC(t)
Ia
vc(t)
+
-
ก) โหมดที่ 1
LOADVs
Lc
Cc
D
IC
IL(t)
io(t)
+
-
Va
iC(t)
Ia
iD(t)
vc(t)
+
-
ข) โหมดที่ 2
32. 17
∆
= −
C
off
a S
L I
t V V (2.12)
ในชวงสภาวะคงตัวกระแสกระเพื่อมของตัวเหนี่ยวนําในชวง ton และ toff จะมีคาเทากันดังนั้นจาก
สมการ (2.9) และ (2.12) จะได
( )−
∆ = = a S offS on
C C
V V tV t
I L L (2.13)
แทนคา =on Pt DT และ ( )= −off Pt 1 D T ในสมการ (2.13) จะได
( )( )= − −S P a S PV DT V V 1 D T
( )= − − +a P S P S PV 1 D T V T V DT (2.14)
เมื่อจัดรูปสมการ 2.14 จะไดความสัมพันธของแรงดันอินพุต และแรงดันเอาตพุตเปน
= −
S
a
V
V 1 D (2.15)
จากกฎทรงพลังงานจะไดวากําลังอินพุตเทากับกําลังเอาตพุตดังนั้นจะไดความสัมพันธของกระแส
อินพุต และกระแสเอาตพุตเปน
= −
a
in
I
I 1 D (2.16)
จากสมการ (2.15) และ (2.16) จะเห็นวาคาของแรงดัน และกระแสเอาตพุตจะมีความสัมพันธกับ
วัฎจักรการทํางานของสวิตช โดยที่คาบการทํางานของสวิตชหาไดจาก
= = +P on off
S
1T t tf
( )
∆
=
−
C a
S a S
L V I
V V V
(2.17)
แทนคาสมการ (2.15) ในสมการ (2.17) จะไดความสัมพันธของคากระแสกระเพื่อมของตัวเหนี่ยวนํา
∆ = S
S
V D
I f L (2.18)
พิจารณาที่ตัวเก็บประจุในสภาวะคงตัวผลคูณของกระแสดิสชารตประจุกับชวงเวลาที่สวิตชทํางาน จะ
เทากับผลคูณของกระแสชารตประจุกับชวงเวลาที่สวิตชไมทํางาน ดังนั้นการหาแรงดันกระเพื่อมของ
ตัวเก็บประจุจึงพิจารณาจากชวงสวิตชทํางานโดยกระแสเฉลี่ยของตัวเก็บประจุจะเทากับกระแสเฉลี่ย
ของโหลดดังนี้
∆ = − = ∫
ton
c c c a
C
0
1v v v (0) I dtC
∆ = a on
c
C
I t
v C (2.19)
จากสมการ (2.15) เราสามารถจัดใหอยูในรูปของคา ton ไดดังนี้
33. 18
= =− − −
S S P S P
P P on
V V T V T
1 D T DT T t (2.20)
−
= − =S P a S
on P
a S a
V T V V
t T V f V (2.21)
แทนสมการ (2.15) และ (2.21) ในสมการ (2.19) จะไดความสัมพันธของแรงดันกระเพื่อมของตัวเก็บ
ประจุเปน
( )−
∆ = =a a S a
c
a S C S C
I V V I D
v V f C f C (2.22)
จากสมการ (2.22) พบวาคาแรงดันกระเพื่อมเอาตพุตสามารถลดไดโดยการเพิ่มความถี่ในการสวิตช
และการเพิ่มขนาดของตัวเก็บประจุ
2.5 อินเวอรเตอร
อินเวอรเตอรจะทําหนาที่เปนตัวเชื่อมตอระหวางเซลลแสงอาทิตยกับระบบกริดโดยจะแปลงไฟ
กระแสตรงที่เกิดจากเซลลแสงอาทิตยไปเปนไฟกระแสสลับจายเขาระบบกริด สําหรับอินเวอรเตอรที่
ใชในการเชื่อมตอกับระบบกริดจะมี 2 ชนิดคือ
1. อินเวอรเตอรแบบแหลงจายแรงดัน (Voltage-Source Inverter: VSI) จะมีตัวเก็บประจุตอขนานกับ
แหลงจายแรงดันกระแสตรง
2. อินเวอรเตอรแบบแหลงจายกระแส (Current-Source Inverter: CSI) จะมีตัวเหนี่ยวนําตออนุกรม
กับแหลงจายแรงดันกระแสตรง
อินเวอรเตอรที่นิยมนํามาใชงานกับเซลลแสงอาทิตยจะเปนอินเวอรเตอรแบบแหลงจายแรงดัน
ถึงแมวาตัวเซลลแสงอาทิตยจะทําตัวเปนแหลงจายกระแสก็ตาม ดังนั้นในที่นี้จะกลาวถึงเฉพาะ
อินเวอรเตอรแบบแหลงจายแรงดันซึ่งการควบคุมการทํางานของอินเวอรเตอรจะมีอยู 2 แบบคือการ
ควบคุมดวยแรงดัน (Voltage-Control Inverter:VCI) และการควบคุมดวยกระแส (Current-Control
Inverter:CCI) ดังแสดงในรูปที่ 2.17 ก) และ 2.17 ข) โดยวิธีการควบคุมแรงดันจะควบคุมการจาย
กําลังไฟฟาของเซลลแสงอาทิตยเขาสูระบบกริดดวยมุมเฟส (δ) ระหวางแรงดันของอินเวอรเตอรกับ
แรงดันกริด ซึ่งจะทําใหแรงดันของอินเวอรเตอรตามแรงดันกริด สวนหลักการควบคุมดวยกระแสจะ
เปนการควบคุมใหกระแสจายเขากับระบบกริดมีมุมเฟสเดียวกับแรงดันของระบบกริด
39. 24
( )( )−
=
CONST PWM CRST
NOM
0.9*I T T
C 1.1*3.5 (2.27)
โดย ICONST คือ คากระแสจากแหลงจายกระแสภายในตัว DSP มีคาเทากับ 13.5 µA
TCRST คือ เวลาการทํางานของสัญญาณ PWMSYNC
รูปที่ 2.22 การอานคาสัญญาณอนาล็อก
T P W M -
T C R S T
C O M P A R A T O R
O U T P U T
V V IL
tV IL
T C R S T
V C
V C M A X
P W M S Y N C
V 1
t